สากลจักรวาล สากลศาสนา 14
ธรรมสามีวินิจฉัย
การวิเคราะห์ศาสนาสากล เพื่อความเข้าใจในเชิงวิชาการที่ถูกต้องของคนยุคใหม่จำเป็นต้องมองไปในสถานะของความเป็นศาสนาที่แท้จริงที่อำนวยประโยชน์แด่ชาวโลก
โดย สาระสำคัญ 2 ประการ ของความเป็นศาสนา คือ
ประการที่ 1 การกำเนิดขึ้นของพระศาสดา และความเป็นไปของชีวิตพระศาสดาหรือ ประวัติทั้งสิ้นของพระศาสดาของศาสนา เพราะศาสดาหมายถึง ผู้ที่พิสูจน์คำสอนของศาสนานั้น ๆ หากศาสนาไร้เสียซึ่งศาสดา ย่อมไม่อาจเชื่อถือได้ว่าเป็นศาสนา
ประการที่ 2 พระคัมภีร์ของศาสนา ที่สืบต่อมาถึงปัจจุบันนี้ โดยสาระแห่งหลักธรรมที่สูงสุดในพระคัมภีร์นั้น ๆ มีความจริงโดยการพิสูจน์จากหลักวิชาสมัยใหม่ เพียงไร หากไม่มีสัจธรรม หรือคัมภีร์กล่าวความเท็จ ศาสนานั้นย่อมไม่อาจเชื่อถือได้ว่าเป็นศาสนา เช่นเดียวกัน
และเมื่อพิจารณาตามหลักการนี้แล้ว จะพบว่า ศาสนาสากลแต่ละศาสนา ต่างมี จุดอ่อนในองค์ประกอบดังกล่าว มากบ้างน้อยบ้าง แต่ที่บกพร่องมากที่สุด ก็คือศาสนาพราหมณ์ เพราะศาสนาพราหมณ์ เป็นลัทธิที่บกพร่องในองค์ประกอบทั้งด้านศาสดา ผู้ประกาศศาสนา และด้านหลักคำสอน โดยที่ไม่ปรากฏตัวผู้ประกาศศาสนา ไม่มีศาสดา และในด้านคำสอน สถานะของศาสนาพราหมณ์ ในสมัยดั้งเดิม ก่อนมีพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นพราหมณ์ก็ยังไม่มีพระคัมภีร์ทางศาสนาเกิดขึ้นเลย เป็นแต่เพียงธรรมเนียมความเชื่อของท้องถิ่น และแตกต่างไปในแต่ละท้องถิ่น มากมายหลายลัทธิ ซึ่งต่างก็เรียกตนเองว่าพราหมณ์ ทั้งสิ้น
ก่อนที่จะมีศาสนาคริสต์เกิดขึ้น ก็มีธรรมเนียมความเชื่อในท้องถิ่นหลายหลากลัทธิอยู่แล้ว เช่น ลัทธิวีรบุรุษ ลัทธิแม่มด ลัทธิคาถาอาคมต่าง ๆ ที่เมื่อมีคริสต์ศาสนา ๆ ก็พยายามขจัดไป และแม้ก่อนจะมีศาสนาอิสลามเกิดขึ้น ก็ได้มีลัทธิธรรมเนียมการบูชาพระเจ้า เทพยดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่แตกต่างกันในท้องถิ่นที่เป็นตะวันออกกลางขณะนี้ โดยเฉพาะในเมืองเม็กกะ ประเทศซาอุดิอาระเบียปัจจุบัน ซึ่งมีธรรมเนียมการสวดอ้อนวอนเทพต่าง ๆ จำนวนมากถึง 360 องค์ ณ สถานที่เป็นสถานกาบาของอิสลามปัจจุบันนี้ และเมื่อประกาศศาสนาอิสลาม พระนบี มุฮำมัด ก็ ได้นำผู้คนไปที่สถานกาบา ทุบต่อย ทำลายเทวรูปทั้ง360 องค์ทิ้งหมดและห้ามมิให้ประชาชนบูชาพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์อัลเลาะห์ และให้มีการสวดมนต์สรรเสริญอัลเลาะห์แต่เพียงองค์เดียวต่อมา และธรรมเนียมการสวดบูชา เช่นที่มีอยู่ก่อน ดังกล่าว ในศาสนาอิสลามก็ดี ในศาสนาคริสต์ก็ดี ก่อนศาสนาพุทธก็ดี เป็นลัทธิธรรมเนียมที่ไม่มีศาสดา ไม่มีผู้ประกาศศาสนาโดยชัดแจ้ง แต่เกิดขึ้นได้ จากสัญชาตญาณความกลัว ของมนุษย์ เป็นสิ่งที่มนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์มีความรู้สึกตรงกันอยู่โดยอัตโนมัติ เพราะ
สัญชาตญาณของมนุษย์ยุคนั้นใกล้เคียงกับสัตว์ป่าอยู่ วิถีชีวิต หรือวัฒนธรรมยุคนั้น จึงเกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณแบบสัตว์
เพียงแต่มนุษย์ได้ถูกสร้างโดยธรรมชาติให้มีมันสมองเป็นแบบมนุษย์ ที่มีความสามารถในการคิด และด้วยความสามารถนี้ ทำให้วิถีทางของมนุษย์ ไม่เป็นสิ่งตายตัวเหมือนสัตว์ แต่เปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจการคิด การเปลี่ยนแปลงทางวิถีชีวิตของมนุษย์จึงแตกต่างจากสัตว์ แต่ก็จะไปสู่จุดสุดท้ายอย่างเดียวกับสัตว์ เพราะมนุษย์มีความคิดที่หยุดไม่ได้ ในวันหนึ่งมนุษย์ก็จะคิดสร้างสิ่งที่ทำลายมนุษย์เองขึ้นมา ก็ไปสู่จุดจบ เช่น เดียวกับสัตว์ทั้งหลาย ที่ต่างก็มีชีวิตเพียงเพื่อเป็นเหยื่อเท่านั้นลัทธิธรรมเนียมดั้งเดิมของมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์ ที่เกิดขึ้นเองโดยสัญชาตญาณแห่งความกลัวนี้เอง จึงมีหลายหลากไปทุกมุมโลก ที่เรียกรวม ๆ ว่า พราหมณ์ และไม่มีตัวตนของผู้ประกาศศาสนา ไม่มีศาสดา พราหมณ์ไม่มีแม้กระทั่งคัมภีร์ศาสนาเป็นแต่เพียงการจดจำและธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลที่สืบทอดมาตลอดเวลายาวนาน จนกระทั่งมีพระศาสดา ผู้ประกาศศาสนาพุทธขึ้นในชมพูทวีปขณะนั้น(ชมพูทวีป หมายถึง โลกทั้งโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศอินเดียเท่านั้น) และตราบพระศาสดาเสด็จล่วงไป แล้วมีพระสาวก 500 องค์ที่ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ ทำการสังคายนาพระธรรมวินัย จัดรวบรวมคำสอนของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เป็นระบบระเบียบ (หมายถึงเป็น Science หรือ วิทยาศาสตร์ ที่ข้อความในพระคัมภีร์อ้างอิงซึ่งกันและกัน มีเหตุมีผลต่อกันตลอดทั้งพระคัมภีร์) เกิดเป็นพระคัมภีร์หลักคำสอนของพระพุทธศาสนาขึ้นก่อนแล้วนั้นแหละผู้รู้ทางลัทธิธรรมเนียมพราห์มณ์ จึงคิดเอาอย่างและจัดสร้างคัมภีร์ขึ้นบ้าง
ซึ่งความจริงนี้ ได้ปรากฏขึ้นทีหลัง ในยุคที่อินเดียได้ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ และ ข้าหลวงใหญ่อังกฤษยุคนั้น ได้ทำการสำรวจและได้ฟื้นฟูพระพุทธศาสนาขึ้นเป็นอันมากและได้ศึกษาศาสนา ลัทธิธรรมเนียมต่าง ๆ ของอินเดีย จึงได้พบข้อ สรุปว่า "พราหมณ์" เป็นศาสนาที่ไม่มีศาสดา และทั้งไม่มีหนังสืออ้างอิงหรือคัมภีร์ของศาสนา อยู่เลย พราหมณ์ขณะนั้น เป็นเพียงพิธีกรรมเฉพาะถิ่นเฉพาะท้องที่เท่านั้น
ตราบมาถึงยุคหลังพุทธกาลแล้ว พวกพราหมณาจารย์ทั้งหลายได้เห็นความ จำเริญอันรุ่งโรจน์ของศาสนาพุทธ จึงได้คิดรวบรวมลัทธิธรรมเนียมการบูชาต่าง ๆ ของบรรพบุรุษมาไว้ในเล่มเดียวกัน และเกิดเป็นคัมภีร์ไตรเพท ขึ้นมาทีหลัง และไตรเพทนั้นแท้จริงก็คือ วิธี การบูชาของคนโบราณ ๆ ยุคเก่าก่อน ว่ามีวิธีบูชาอย่างไรบ้าง ซึ่ง เป็นเพียงการรวบรวมมาจากตระกูลผู้ถือครองคำสอนสืบมาคนละเรื่องสองเรื่อง มารวมกันเข้าเป็นเล่มใหญ่ ไม่มีศาสดาผู้วิเคราะห์สรุปลงว่าแนวทางลัทธิธรรมเนียมใดเป็นสัจจะ เป็นอวิชชา อย่างไร แต่รวมเอาไว้ทั้งหมด โดยไม่เลือกสรร ไม่วินิจฉัยว่าอย่างไร เป็นทางที่ถูก อย่างไรเป็นทางที่ผิด ฉะนั้น พราห์มณ์ จึงมีลัทธิบูชาอย่างธรรมดา ๆ ไปจนถึงการบูชาอย่างแปลกประหลาด เช่นหญิงพรหมจารี มาบูชาศิวเทพ ด้วยการร่วมกับศิวลิงค์ เป็นต้น ไป ถึง พิธีอัศวเมธ ที่ปล่อยม้าอุปการออกไปรอบทิศ แม้กระทั่งพิธีลบศักราชสร้างศักราชใหม่ขึ้นมา ประเทศใดไม่ยอมรับก็ทำสงครามกันเป็นต้น ทุกวันนี้ที่เห็น เป็นปรากฎการณ์ประจำปีก็คือพิธีเผาศพบนฝั่งแม่น้ำคงคา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กำลังติดตามศึกษาอยู่ว่าจะเป็นเหตุของโรคติดต่อในวันหนึ่งหรือไม่
ในขณะเดียวกันก็มีพิธีอาบน้ำชำระบาปในแม่น้ำคงคา ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่หาหลักการทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แต่พวกพราหมณ์ก็ถือว่าเป็นประเพณีที่ศักดิ์สิทธิ์ มีชาวอินเดียที่เลื่อมใสหลั่งไหลมาลงแม่น้ำนี้ปีละหลายล้านคน และทุกปีก็มีอุบัติเหตุเหยียบกันตายที่แม่น้ำนี้เป็นประจำ ปีละไม่น้อยกว่า 200 คนเสมอไป เช่นปีที่แล้ว(2546) ก็มีรายงานว่า คนอินเดียเหยียบกันตายในพิธีชำระบาปในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ถึงกว่า 200 คน กระนั้นพิธีกรรมที่ไร้เหตุผลนี้ก็ยังคงเป็นที่นิยมมาจนกระทั่งทุกวันนี้ (ไม่เฉลียวคิดว่า ถ้าแม่น้ำคงคาศักดิ์สิทธิ์จริง พวกเต่า หอย ปู ปลาในแม่น้ำ ก็คงเป็นสัตว์วิเศษ เป็นเทพเจ้าไป หมดแล้ว)
นอกจากนี้ ก็ยังมีบุคคลสวมรอยอ้างตนเป็นพระนารายณ์อวตารลงมาโปรดมนุษย์ยุคนี้ในอินเดียใต้ สามารถอ้างอิงคัมภีร์พราหมณ์สวมรอยเป็นเทพเจ้าสูงสุด ว่าตนเป็นองค์อวตาร เป็นศาสดายุคใหม่ของฮินดู แล้วแสวงหาความร่ำรวยได้โดยไม่ชอบธรรมอย่างที่ชาวอินเดียและรัฐบาลอินเดียไม่รู้สึกถึงความไม่ชอบธรรมอย่างใดเลย (กรณี สัตยา ไสบาบา ชาวบ้านปุตตะปาตี ขันธรประเทศ อินเดียใต้ นักเล่นกลระดับโลก อ้างตัวว่าเป็นพระนารายณ์อวตาร เป็นองค์ภควัน ศรีสัตยา ไสบาบา ตามคัมภีร์พราหมณ์) ฉะนั้น ข้อสรุปก็ คือ เมื่อพราหมณ์เขียนคัมภีร์ขึ้นมา ก็เรียกตนใหม่ว่าฮินดู เป็นลัทธิฮินดูขึ้นมา และข้อเท็จจริงนี้ ทำให้ฮินดูที่มีฐานะเป็นลัทธิศาสนา มีอายุมาภายหลังมีศาสนาพุทธแล้ว และฮินดูได้นำพุทธไปรวมไว้ในพระคัมภีร์ของพวกเขาอย่างไม่เข้าใจความหมายเลย นับตั้งแต่เรื่อง กรรม ไปจนถึง เรื่อง นิพพาน อันเป็นคุณสมบัติของพระอรหันต์ในศาสนาพุทธ และด้วยเหตุที่ยังไม่มีศาสดาเป็นการอ้างอิงได้ ในพระคัมภีร์ของเขา และทั้งพระคัมภีร์ฮินดู ก็ล้วนเป็นเรื่องที่ วิทยาศาสตร์ ยากจะยอมรับได้ เพราะในบางประเด็น ฮินดูล้าหลังไปกว่าคริสต์ และ อิสลาม เสียอีก
เช่นเรื่องการสร้างโลก ซึ่งนักปราชญ์ฮินดูบรรยายไว้อย่างพิลึกกึกกือ ในคัมภีร์บางเล่มจนฝรั่งเอาไป เขียนรวมความว่า พระเจ้าสร้างโลกของเราเป็นรูป แบน ๆ เหมือนจานข้าว มีแผ่นดินเป็นที่อยู่ของมนุษย์และสัตว์พืชทั้งหลาย และมีเขาสูง ๆ อยู่ ตรงกลางแผ่นดินทั้งสิ้น เป็นเขาไกรลาศ ที่อยู่ของพระอิศวร และทวยเทพทั้งหลาย แล้วด้านใต้ผืนโลกลงไปมี ช้าง 4 เชือกแบกโลกเอาไว้ แล้วช้างทั้ง 4 เชือกนั้นก็ยืนอยู่บนหลังเต่ามหิมาตัวหนึ่ง เต่าตัวนั้นพาโลกเราว่ายไปในทะเลใหญ่ ท่ามกลางความมืดมิด แต่นักเขียนคัมภีร์ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่า เต่าพาโลกเราว่ายไปทางไหน และด้วยเหตุผลอย่างไร และพวก พราหมณ์เพิ่งมารวบรวมเป็นคัมภีร์ขึ้น ภายหลังศาสนาพุทธแผ่ออกไปทั่วชมพูทวีปแล้ว ต่อมาจึงเรียกชื่อลัทธิใหม่ว่า ฮินดู ในคัมภีร์ของพราหมณ์ฮินดู จึงมี ภควัตคีตา ที่เป็นหลักฐานที่ใหม่ที่สุด
ฉะนั้น แท้จริงฮินดูจึงเป็นเพียงธรรมเนียมปฏิบัติอย่างเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมที่ล้าหลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์ชาติ ฮินดูจึงเป็นพิธีกรรมที่สนองตอบต่อสัญชาตญาณอย่างมนุษย์ชนิดหนึ่ง ที่รวบรวมเอาลัทธิพิธีกรรมของคนยุคดึกดำบรรพ์มาไว้ในเล่มเดียวกัน เท่านั้นเอง เพราะเหตุที่ ไม่อาจระบุได้แน่นอนว่า ใครเป็นศาสดาผู้สอนลัทธิฮินดูนี้
และที่สำคัญ หลักธรรมไม่ได้เขียนเป็นคัมภีร์ไว้แต่เดิม เพิ่งค้นคว้าและเอามาเรียบเรียง เป็นคัมภีร์ภายหลังยุคพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในอินเดียแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมีหลักธรรมในพระพุทธศาสนาปนอยู่ในคัมภีร์ฮินดู ซึ่งผู้เขียนอธิบายอย่างไม่ถูกต้องตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนาอยู่มาก ในอีกทัศนะหนึ่ง แม้ชาวฮินดูเองทุกวันนี้ ก็อาจจะเข้าใจผิดว่าพุทธกับฮินดูเป็นอย่างเดียวกัน ชาวฮินดูแทบทั้งหมดในอินเดียรู้เรื่องศาสนาพุทธดีในแง่ประวัติศาสตร์ โดยเข้าใจว่าฮินดูทั้งหมดนั้นแหละคือพุทธ โดยเหตุผลที่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตารปางที่ 9 ของฮินดู และแม้แต่ผู้นำยุคต่อสู้เพื่อ เอกราชของอินเดียคือ มหาตม คานธี ผู้นำหลักอหิงสาไปใช้ในการต่อสู้ ก็เข้าใจเช่นนั้น
ในขณะต่อมา เมื่อมีศาสนาคริสต์และอิสลามเกิดขึ้น โดยมีหลักฐานองค์ประกอบ ทั้งทางพระศาสดา และทั้งคัมภีร์ศาสนา ก็จริง แต่เมื่อมีการวิเคราะห์โดยศาสตร์ยุคใหม่ คือวิทยาศาสตร์ กลับได้พบความขัดแย้งที่ลบล้างข้อเท็จจริงในเรื่องศาสดาและ หลักการของศาสนา จนกระทั่งไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าจะยอมรับได้
ในกรณีของศาสนาคริสต์ ตัวหลักการของศาสนาอันสูงสุด กล่าวคือ หลักการที่ว่า พระเยซูเป็นบุตรพระจ้า และเป็นพระเจ้าด้วยนั้น ได้กลายเป็นเรื่องไร้สาระในสายตา ของนักวิทยาศาสตร์และการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อศาสดาของศาสนาอิสลามกำเนิดมาเมื่อ 600 ปี ต่อมา ศาสนาอิสลามก็ได้โต้แย้งเรื่องพระเยซูเป็นพระเจ้า ขึ้นมาตั้งแต่ต้นเมื่อก่อกำเนิดศาสนาอิสลาม
การจารึกหลักฐานเกี่ยวกับชีวประวัติของพระเยซูในพระคัมภีร์ไบเบิล ก็เห็นได้ว่าไม่สมเหตุสมผล สาระทั้งหมดเป็นเพียงการคาดคะเนของนักเขียนคัมภีร์ โดยคาดคะเนว่าคงเป็นอย่างนั้น คงเป็นอย่างนี้ ตามภูมิรู้ภูมิธรรมของตนเอง เช่นการพยายามลำดับ เชื้อสายของมนุษย์บนพื้นฐานความเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก และสร้างมนุษย์คนแรกขึ้น จึงพยายามลำดับวงศ์ตระกูลมนุษย์มาตั้งแต่อาดัมและอีวาเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน พยายามลำดับวงศ์กษัตริย์ตั้งแต่ต้นมาถึงกษัตริย์ดาวิด ต้นตระกูลชาวอิสราเอล โดยพยายามจัดเป็นช่วง ๆ ช่วงละ 14 ชั่ววงศ์กษัตริย์ ช่วงแรกมีชื่อว่าอะไรบ้าง แล้วไล่ 14 ชั่ววงศ์กษัตริย์ช่วงต่อมา จนครบ 14 ชั่ววงศ์กษัตริย์ที่จรดวงศ์ดาวิด เป็นต้น ซึ่งเมื่อสันตปาปาองค์หนึ่งคำนวณออกมาพบว่าตั้งแต่พระเจ้าสร้างมนุษย์คู่แรก อาดัมกับอวีวา มาจนถึงวงศ์กษัตริย์ดาวิดตามพระคัมภีร์ มีเวลาเพียง 4,000 ปีเท่านั้นเอง จึงไม่สอดคล้องหลักฐานการวิวัฒนาการของชาติพันธ์มนุษย์ที่บอกว่ามีการวิวัฒนาการมาสู่มนุษย์ยุคปัจจุบันเป็นเวลานับด้วยล้านปี
แท้จริงเป็นศิลปะของการประพันธ์แท้ ๆ เท่านั้น โดยนึกเอาชื่อขึ้นมาร้อยเรียงลงไป ๆตามที่คาดคะเนด้วยภูมิปัญญาตน ใช่ว่ามีชื่อนั้น ๆ อยู่จริงก็หาไม่
ใน New Testaments ซึ่งพอจะอ้างได้ว่า เป็นคัมภีร์ของคริสต์ศาสนาที่แท้จริง (ไม่ไปอ้างเอาของคนอื่นมาเป็นของตนเช่นอ้างว่า Old Testaments ซึ่งเป็นของยูดายเดิมว่าเป็นของตน) ก็มีเรื่องราวที่คนยุคนี้จะเข้าใจได้ว่าเป็นเพียงการคาดคะเนของนักเขียนคัมภีร์ และภูมิปัญญาของพระเจ้าก็เป็นเพียงภูมิปัญญาของนักเขียนคัมภีร์คนนั้น ที่เห็นชัดเจนก็คือตอนที่ว่าด้วยการกำเนิดของพระเยซู ดังปรากฏในพระคัมภีร์หลักข้อมูลว่าดังนี้
"The birth of Jesus Christ came about this way : When His mother Mary was engaged to Joseph, before they came together she was found to be with child from the Holy Spirit. But as Joseph, her fiance่ was fair-minded and did not want to disgrace her publicity, he planned to break with her secretly. But while he was considering this an angel of the Lord appeared to him in a dream and said, "Joseph, son of David, be not afraid to take Mary as your wife, for what is conceived in her is from the Holy Spirit. She will give birth to a son and you are to call Him Jesus, for He will save His people from their sins. All this took place in fulfilment of what the Lord had said through the prophet, "Behold! The virgin will be with child and shall bear a son, and they will name Him Immanuel," which means, God with us. When Joseph awoke from his sleep he carried out what the angel commanded of the Lord. He took to him his wife but had no marital relations with her until she had given birth to her first-born son, whom he called Jesus." (Matthew 1:18-25)
"เรื่องพระกำเนิดของพระเยซูคริสต์เป็นดังนี้ คือมารีย์ผู้เป็นมารดาของพระเยซูนั้น เดิมโยเซฟได้สู่ขอหมั้นกันไว้แล้ว ก่อนที่จะได้อยู่กินด้วยกันก็ปรากฏว่า มารีย์มีครรภ์แล้วด้วยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่โยเซฟคู่หมั้นของเขาเป็นคนมีธรรมะ ไม่พอใจที่จะแพร่งพรายความเป็นไปของเธอ หมายจะถอนหมั้นเสียลับ ๆ แต่ เมื่อโยเซฟยังคิดเรื่องนี้อยู่ ก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า มาปรากฎแก่โยเซฟในความฝันว่า "โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิในครรภ์ ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ เธอจะ ประสูติบุตรชาย แล้วเจ้าจงเรียกนาม ท่านว่าเยซู เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาป ของเขา ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้าซึ่งตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล ครั้นโยเซฟตื่นขึ้นก็กระทำตามคำซึ่งทูตของพระเจ้าสั่งนั้น คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา แต่มิได้สมสู่กับเธอ จนประสูติบุตรชายแล้ว และโยเซฟ เรียกนามของบุตรนั้นว่าเยซู"
ซึ่งจะพบว่า พอมีข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือได้เพียงว่า มีชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ ได้ หมั้นกับหญิงสาวคนหนึ่งชื่อมารีย์ ต่อมาได้อยู่ด้วยกันตามธรรมเนียมสามีภรรยาทั้งหลาย ก็มีบุตรชายคนแรก พ่อตั้งชื่อให้ว่า เยซู เพื่อให้พ้องกับชื่อตน โยเซฟ แล้วต่อมาก็มีบุตรด้วยกันอีกหลายคน ส่วนที่แต่งเติมเข้าไปล้วนเป็นเรื่องที่หาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนได้ยาก
ภายหลังพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน นักประพันธ์ คือ แมททิว ซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งของพระเยซูจึงเอาเรื่องนี้มาแต่งเติมขึ้น เพื่อให้เกิดพลังด้านการโฆษณาชวนเชื่อ ว่า พระเยซูเป็นพระบุตรพระเจ้า เกิดจากท้องนางพรหมจารี แม้โยเซฟซึ่งเป็นสามี ก็ไม่ได้หลับนอนกับนางมารีย์ แต่เกิดขึ้นด้วยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์แต่ในการเติมแต่งเสริมข้อความของนักประพันธ์ โดยเสริมข้อความเข้าไปเป็นประโยคที่ว่า When His mother Mary was engaged to Joseph, before theycame together she was found to be with child from the Holy Spirit. เดิมโยเซฟได้สู่ขอหมั้นกันไว้แล้ว ก่อนที่จะได้อยู่กินด้วยกันก็ปรากฎว่า มารีย์มีครรภ์แล้ว ด้วยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์
คำว่า she was found to be with child from the Holy Spirit. "มารีย์มีครรภ์แล้ว ด้วยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์" ไม่มีคำอธิบายอย่างไร คำว่า พระวิญญาณ บริสุทธิ์ โดยปรมัตถธรรมหมายถึงอะไร ไม่มีคำอธิบาย เพราะนักเขียนคัมภีร์ ไม่เข้าใจคำว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ในเชิงปรมัตถธรรม หรือในเชิงวิชาการอย่างศาสนาพุทธ
อย่างไรก็ตาม ในสมัยนั้น นักเขียนคัมภีร์ มักคุ้นกับการเขียนเรื่องราวแปลก ๆ ออกไป เพื่อสร้างภาพ การเขียนเรื่องนี้ โดยอ้างว่าเป็นอภินิหาริย์ของพระวิญญาณ บริสุทธิ์ หรือในความหมายว่าพระเจ้ายะโฮวาห์ทรงเสด็จลงมาร่วมรักกับนางมารีย์ จน นางมารีย์ตั้งครรภ์ ทั้ง ๆ ที่นางมารีย์มีคู่หมั้นแล้ว ก็โดยที่การร่วมรักระหว่างเทพเจ้ากับมนุษย์นั้น เป็นความเชื่อมาแต่เก่าก่อนที่สังคมสมัยนั้นยอมรับกันอยู่แล้ว ดังเช่นตำนาน ซิว กับ ยูโรปา ซิวคือชื่อเดิมของเทพเจ้ายูปีเตอร์ (Jupiter) ผู้ยิ่งใหญ่ของกรีก และโรมัน ซึ่งต่อมาโรมันได้เปลี่ยนชื่อพระเจ้าซิวใหม่เป็น ยูปีเตอร์ (Jupiter) ซิวเป็นผู้ สร้างโลก ส่วน ยูโรปา(Europa) ไม่ใช่เทพธิดา แต่เป็นมนุษย์ เป็น พระราชธิดาพระเจ้าแผ่นดินฟินิเชียน ที่มีความงามอย่างล้ำเลิศในโลก จนซิว ที่มีภริยา เป็นเทพอัปสรอยู่หลายองค์บนสวรรค์ถึงกับหลงรักนางอย่างอดกลั้นไม่อยู่ วันหนึ่งจึงออกอุบายแปลงเป็นโคเผือกผู้ตัวงามเดินเข้ามาหานาง ขณะเสด็จไปเก็บดอกไม้ในทุ่งกว้าง นางรู้สึกชอบ โคผู้ตัวนั้น พอโคทำกริยาเชิญให้ขึ่นขี่ นางก็ขึ้นขี่หลังโค โคเทพเจ้าก็พานางวิ่งเตลิดไป ไกลข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงเกาะครีต(Crete) กลางมหาสมุทรแปซิฟิก สมสู่อยู่ด้วยกันที่นั่นจนมีลูกสามคน แล้วเทพเจ้าซิวหรือจูปีเตอร์ ก็หนีไปหลงรักหญิงคนใหม่ คือเทพีลาโตนา(Latona) สมสู่กับนางจนเกิดบุตรผู้สามารถ คือ Apollo หรือเทพพระอาทิตย์ ต่อไปตามวิถีวัฒนธรรมของเทพเจ้ายุคนั้น
ความเชื่อในลักษณะนี้เองที่น่าจะเป็นที่ไปที่มาของเรื่องกำเนิดพระเยซู ที่นักประพันธ์เขียนเลียนแบบเทพเจ้าจูปีเตอร์ผู้ยิ่งใหญ่ในยุคเดิม แต่การที่นักประพันธ์วาด ภาพพระยะโฮวาห์ ออกมาเช่นนี้ กลับเป็น เรื่องที่ ไม่ถูกศีลธรรมและจริยธรรมทางศาสนาอย่างยิ่ง เพราะขณะนั้นนางมารีย์มีคู่หมั้นแล้ว คือโยเซฟ การที่ทรงแสดงเดชโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสู่สมกับนางมารีย์ ก็เป็น เรื่องที่ ไม่ชอบธรรม ไม่น่าเชื่อถือ และเห็นได้ว่า พระเจ้าประพฤติลามกอนาจารเพราะไปผิดลูกเมียคนอื่น ซึ่งขัดกับบทบัญญัติ 10 ประการ ที่พระเจ้าเองบัญญัติขึ้นให้มนุษย์ปฏิบัติตาม (You shall not murder!You shall commit no adultery! You shall not steal! [Exodus 20:13-15] :อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าลักทรัพย์) ซึ่งเรื่องนี้เห็นได้ว่า เป็น เพราะผู้เขียนพระคัมภีร์ต้องการยกเหตุการณ์นี้ขึ้นให้เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ จึงเผลอไปเขียนบทให้พระเจ้ากระทำลามกอนาจารไป โดยลืมนึกถึงบทบัญญัติ 10 ประการของพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิม จึงเกิดขัดแย้งกันขึ้น และทำให้ศาสนาไม่น่าเชื่อถือในทัศนะของนักวิทยาศาสตร์และคนยุคใหม่
และการที่นักเขียนคัมภีร์ยกเรื่องให้ศักดิ์สิทธิ์เสียแต่แรกเช่นนี้เอง ทำให้มีส่วนในการที่พระเยซูเข้าใจในพระองค์ผิดมาตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าพระองค์เป็นบุตรพระเจ้า และเมื่อประกาศศาสนาก็ทรงประกาศนามพระองค์ว่า ทรงเป็นบุตรพระเจ้า ตามวลีที่ยิ่งใหญ่ที่ว่า
For God so loved the world that He gave His only-begotten Son, so that whoever believes in Him should not perish, but have everlasting life. For God did not sent His Son into the world to condemn the world but in order that the world might be safe through Him.
He who believes in Him is not condemned; but he who does not believe is already condemned, because he has not believed in the name of the only-begotten Son of God. [John 3:16-18]
เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วย กู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น
ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้อง ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า
อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อความข้างต้น ซึ่งเป็นวาทะของพระเยซู ในฐานะของพระศาสดาผู้ประกาศศาสนาเอง ก็เป็นเรื่องที่คนยุคใหม่ เห็นแล้วว่าไม่เป็นความจริง พระเยซูมิ ได้เป็นพระเจ้า หรือบุตรพระเจ้าแต่อย่างใด การที่พระองค์ทรงเพ้อฝันไปเช่นนั้น แม้ กระทั่งชาวอิสราเอลยุคนั้นก็เชื่อว่าเป็นเพราะพระองค์ทรงวิกลจริต บ้างก็ว่าทรงเพ้อไปตามอำนาจของผีที่สิงพระองค์อยู่ ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของนักจิตวิเคราะห์ยุคปัจจุบันที่พิสูจน์ได้ว่า เป็นเพราะทรงเป็นโรควิกลจริตชนิดหนึ่ง ที่หลงเพ้อในความยิ่งใหญ่ของตน เรียกว่า megalomania คล้ายของ จิมโจนส์ สาวกของพระองค์ในปี พ.ศ. 2520 ที่เพ้อ ว่าตัวเองเป็นพระเยซูกลับชาติมาเกิด และในที่สุดเพ้อว่าตัวเองเป็นพระเจ้า และพาสาวกฆ่าตัวตายไปทั้งเมือง จำนวน 900 คนเศษ และ ลัทธิบัญญัติ 10 ประการ ปี 2543 ที่ พาสาวกฆ่าตัวตายหมู่กว่า 700 ศพ ที่ดังกระฉ่อนไปทั่วโลกยุค โลกาภิวัฒน์ทั้งสองกรณี
และภายหลังการโฆษณาชวนเชื่อ ให้คนทั้งหลายเชื่อได้ว่า พระเยซูเป็น พระเจ้าแล้วศาสนาคริสต์ก็สร้างจักรวรรดิ์ขึ้นมาแบบมหาอำนาจ อ้างอำนาจเบื้องบนมา ข่มขู่ประชาชนทั้งหลายให้ยอมแก่พระเจ้า แล้วบาดหลวงก็สถาปนาตนเองขึ้นเป็นคณะผู้แทนพระเจ้าบนโลกมนุษย์ ฉะนั้น คนที่นับถือศาสนาคริสต์จะต้องเชื่อโดยปราศจาก ข้อสงสัยประการใดใดว่า พระเยซูเป็นบุตรพระเจ้า และเป็นพระเจ้า และจะต้องเชื่อข้อความในพระคัมภีร์ไบเบิลทุก ๆ ข้อความ ทำให้อำนาจเผด็จการพระเจ้าปกครองกดขี่ชาวยุโรปไปได้ระยะหนึ่ง
แต่ สิ่งที่เป็นความเท็จย่อมไม่จีรัง ฉะนั้นนานไปคนก็เห็นความเท็จยิ่งขึ้นไป เห็นความไม่เป็นธรรมยิ่งขึ้น คนก็เริ่มเอาใจออกห่างและต่อต้าน จึงกลายเป็นการตั้งป้อมชิงอำนาจ กันระหว่างฝ่ายพระคริสต์กับฝ่ายบ้านเมืองตลอดมา ในประวัติศาสตร์คริสต์ศาสนาจึงมีแต่การทะเลาะวิวาทกัน การรบราฆ่าฟันกันแล้วมีการแก้แค้นกันระหว่างศาสนจักร ฝ่ายบาดหลวง กับนักวิทยาศาสตร์ กับนักปกครอง กับนักวิชาการ และที่สุดกับกษัตริย์ และสถาบันกษัตริย์ ซึ่งสถานะของกษัตริย์ยุคนั้นถูกกำหนดให้เป็นข้ารับใช้พระเจ้า ถือว่าต้อยต่ำกว่าโป๊ป จะเป็นกษัตริย์ได้ต้องให้โป๊ปสวมมงกุฏให้เสียก่อน
ดังจะเห็นจากเรื่องราวในประวัติศาสตร์ยุคนั้นว่า ในฝ่ายราชอาณาจักร เมื่อ คริสต์ศาสนาถูกสถาปนาขึ้น ก็เกิดเป็นระบบอำนาจเผด็จการเทวทูต ที่มหึมายิ่งใหญ่ครอบงำยุโรปอยู่เป็นเวลาประมาณ 1พันปีหลังคริสต์กาล ในระหว่างนั้นพวกพระตั้งตัว เป็นตัวแทนเทพเจ้า ถืออำนาจปกครองโดยระบบเทวสิทธิทุกด้าน และเหยียดมนุษย์ทั้งปวงว่าเป็นคนบาป ที่ทรยศต่อพระเจ้า พระเจ้ามีพิโรธแรงร้ายต่อคนบาป ๆ ทั้งหลายต้องมีหน้าที่ล้างบาปตนเองจากพิธีกรรมที่ตัวแทนพระเจ้าประกอบพิธีให้ จึงจะทรงปรานีให้ได้รับความรอดจากความตายในนรกเพลิง
คนทั้งหลายไปจนถึงชั้นกษัตริย์ยุคนั้น จึงตกอยู่ใต้อำนาจพระคาทอลิกอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และนานไปพระเหล่านั้นก็หลงในลาภ และคำสรรเสริญ โบสถ์แต่ละแห่งแข่งกันสะสมทรัพย์สมบัติไว้มากมายมหาศาล โป๊ปที่กรุงโรมมีชีวิตความเป็นอยู่ฟุ่มเฟือยโอ่โถงยิ่งกว่าพระราชามหากษัตริย์ เมื่อพวกพระ ประพฤติตกต่ำไปก็เป็นเหตุให้เกิดกบฎ และฝ่ายพระก็ปราบปรามลงโทษกบฎเหล่านั้น ด้วยวิธียุยงส่งเสริมสาวกและคนที่ยอมรับอำนาจพระเจ้าให้ขัดขวางต้านทานพวกกษัตริย์ดังมีกรณีตัวอย่างมาตั้งแต่ยุคพระเจ้าเฮ็นรี่ที่ 2 แห่งอังกฤษ
พระองค์ทรงมีพระวิจารณญาณว่าสถาบันศาสนาไม่ซื่อสัตย์ ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการหลอกลวงสถาบันกษัตริย์และประชาชน ด้วยลุแก่โลภโมโทสัน มีพระประสงค์จะลิดรอนอำนาจของโป๊ปลงครั้นได้จังหวะก็ส่งคนของพระองค์บุกเข้าไปประหารชีวิตโป๊ปเบ๊กเกต ซึ่งเป็นโป๊ปประจำ ประเทศอังกฤษขณะนั้น โป๊ปใหญ่ที่กรุงโรมรู้เข้าก็เตรียมทำพิธีคว่ำบาตร (ทางพระสงฆ์พุทธว่า ปัพพาชนียกรรม) ไม่ให้ประชาชนเชื่อฟังนับถือพระองค์ พระเจ้าเฮ็นรี่ที่ 2 ต้านแรงกดไม่ไหวจึงทรงยอมแพ้แก่โป๊ป ต้องติดสินบนเป็นเงินทองจำนวนมหาศาลแด่ โป๊ปที่กรุงโรม แล้วต้องสร้างที่ฝังศพของโป๊ปเบ๊กเกตอย่างโอ่อ่าสมเกียรติ แต่แม้กระนั้นก็ยังไม่พอแก่โทษ พระเจ้าเฮ็นรี่ที่ 2 ก็ยังต้องถูกโบย ด้วยการเฆี่ยนหลังด้วยแซ่จนยับเยิน ณ ที่ฝังศพของโป๊ปเบ็กเกต อย่างน่าอดสูต่อสาธารณะ เพื่อ แลกกับการอยู่ต่อไปในราชบัลลังก์อังกฤษ เป็นเหตุให้สถาบันกษัตริย์มีรอยแค้นฝังใจสืบต่อมา
ตราบมาถึงยุคพระเจ้าเฮ็นรี่ที่ 4 แห่งเยอรมันในปี พ.ศ. 1616 ทำการแข็งขืนอำนาจของโป๊ปเกรกอรี่ที่ 7 ด้วยการออกพระราชบัญญัติฉบับหนึ่ง ที่ไม่สอดคล้อง ข้อบัญญัติของโป๊ป เมื่อโป๊ป ตักเตือนมาก็มีลายพระหัตถ์หมิ่นประมาทโป๊ปด้วยถ้อยคำ หยาบคายกลับไป คล้ายเป็นการประกาศอิสรภาพทางฝ่ายอาณาจักรไม่ขึ้นต่อฝ่ายพระ อีกต่อไป พวกพระเผด็จการก็ทำพิธีคว่ำบาตรพระเจ้าเฮ็นรี่ที่ 4 ว่าเป็นผู้ทรยศต่อพระเจ้า ห้ามประชาชนนับถือเชื่อฟังอีกต่อไป จากนั้นประชาชนก็เริ่มหันหลังให้พระองค์เพราะการยุยงโฆษณาชวนเชื่อของพวกพระคริสต์ อ้างอำนาจพระเจ้าผู้สร้างโลกขึ้นมา ข่มขู่ และเพราะคนทั้งหลายกลัวพระเจ้าบนสวรรค์มากกว่าพระเจ้าแผ่นดินเบื้องล่าง ก็ เริ่มหันหลังให้บัลลังก์กษัตริย์ บัลลังก์ของพระเจ้าเฮ็นรี่ที่ 4 ก็สั่นคลอน
จนในที่สุดพระเจ้าเฮ็นรี่ที่ 4 ต้องยอมจำนนต่อโป๊ป ต้องเดินทางไปยังปราสาทโคโนสซา เยอรมัน ที่ซึ่งโป๊ปแปรพระราชฐานมาพำนักอยู่ในฤดูกาลนั้น เพื่อขอขมาอภัยโทษจากโป๊ป แต่โป๊ปก็ ยังไม่อนุญาตให้เข้าเฝ้าในทันที พระเจ้าเฮ็นรี่ที่ 4 ต้องคุกเข่าขอขมาอยู่หน้าปราสาท โคโนสซาอยู่เป็นเวลา 3 วันโป๊ปจึงออกมาพบและว่ากล่าวสั่งสอนอย่างเผ็ดร้อนเจ็บแสบซึ่งทำความเจ็บแค้น ให้แก่พระเจ้าเฮ็นรี่ที่ 4 เป็นอันมาก และเมื่อเสด็จกลับไปแล้ว ก็ทรงวางแผนแก้แค้นโป๊ป ด้วยการเตรียมกำลังทหาร ทำการฝึกซ้อมจนเข้มแข็งแล้วจึงนำทัพไปโจมตีโป๊ปที่กรุงโรม และโป๊ปสู้ไม่ได้ต้องเผ่นหนีไปต่างประเทศ พระเจ้าเฮ็นรี่ที่ 4 ก็ปล้นสมบัติโป๊ป ได้สมบัติไปมากมายมหาศาล แล้วเผาสำนักของโป๊ปจนวอดวายพินาศอันเป็นการสะท้อนภาพของศาสนาคริสต์กับฝ่ายอาณาจักร ที่ไม่เคยมีความสงบ มีแต่คิดแก่งแย่งอำนาจกันและกันอยู่ตลอดเวลา
สถานการณ์คราวนั้นยังคงย้ำอำนาจของฝ่ายศาสนจักรที่มีเหนือราชอาณาจักรอยู่ เพราะไม่นานพระเจ้าเฮ็นรี่ที่ 4 ก็มาพบความล่มสลาย ด้วยการยุยงจากฝ่ายพระบาดหลวงคาทอลิกศัตรูของพระองค์ จนเป็นผลให้ พระราชโอรสของพระองค์เองปฏิวัติยึดอำนาจ นั่งบัลลังก์แทน และจับพระบิดาไปขังคุก ไว้ พระโอรสก็นำราชอาณาจักรไปสวามิภักดิ์ต่อโป๊ปอีกครั้งหนึ่ง ส่วนพระเจ้าเฮ็นรี่ที่ 4 ภายหลังถูกปล่อยจากคุกก็กลายเป็นคนอนาถา หาที่พึ่งไม่ได้ เพราะแม้กระทั่งราชโอรสที่เป็นกษัตริย์อยู่ขณะนั้น ก็ไม่กล้าฝ่าฝืนอำนาจของโป๊ป ต้อง รอนแรมไปอย่างสิ้นไร้ไม้ตอก และ เที่ยวขออาหารตามวัด ประทังชีวิตไปวัน ๆ จนในที่สุดไปประเทศฝรั่งเศสและสิ้นพระชนม์ลงอย่างอนาถายากไร้
นับตั้งแต่นั้นมายุโรปก็ถูกครอบครองด้วยระบบอำนาจเผด็จการขนาดมหึมาอย่างไม่อาจกระดุกกระดิก ลัทธิความเชื่อหลายอย่างถูกทำลายลงอย่างถอนรากถอนโคนรวมทั้งลัทธิแม่มด ที่คณะพระคาทอลิกกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีต จึงได้มีการจับกุมและนำมาลงโทษด้วยการเผาในที่สาธารณะ จนเป็นเหตุให้ผู้บริสุทธิ์ถูกเผาไฟทั้งเป็นไปด้วยหลายพันคนในยุคนั้น เมื่อฝ่ายพระคริสต์ประพฤติลุแก่อำนาจบาทใหญ่เช่นนี้ ผลก็คือมีการดิ้นรนของปวงชนเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากอำนาจที่ไม่เป็นธรรม ทั้งทางการเมืองและศาสนาเอง การเมืองทำให้มีการต่อสู้เชิงวิชาการ มีการคิดค้นหลักการทางรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ขึ้นมาอย่างหลายหลากและก้าวหน้า ที่ ต่อต้านหลักการเผด็จการเทพเจ้าในยุโรปขณะนั้น
แล้วเกิดทฤษฎีวิทยาศาสตร์ ที่หักล้างหลักการในพระคัมภีร์ไบเบิล จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์ยุคแรก ๆ คือกาลิเลโอ ถูกกล่าวหาว่าเป็น กบฎต่อพระเจ้าและพวกพระทำการคว่ำบาตร และเนรเทศไปจากบ้านเกิดเมืองนอน ไปสิ้นชีพลงอย่างน่าอนาถในต่างแดนอีกคนหนึ่ง
ระบบอำนาจพระคริสต์ในยุโรปจึงเป็นเหตุให้ประชาชนถูกกดขี่ และแล้วก็เกิดแรงต้าน ตั้งแต่สามัญชนไปถึงสถาบันกษัตริย์ ต่างตื่นตัวขึ้นทำการต่อต้าน ทำให้เกิดยุคปฏิวัติทางภูมิปัญญาหรือ ยุคเรอเนซ้องส์ (renaissance) ขึ้นในยุโรป ทางการเมืองนำไปสู่ทฤษฎีการปกครองระบอบประชาธิปไตยรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งหมายถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่จะปกครองตนเอง ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของความกลัวหรืออำนาจอื่นโดยไม่ชอบธรรมจากตัวแทนพระเจ้า ทางวิทยาศาสตร์เกิด ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาร์วินที่หักล้างหลักการในพระคัมภีร์ไบเบิล และในรัสเซียก็เกิดทฤษฎีคอมมิวนิสต์ขึ้น มีการ ปฏิวัติล้างระบบคริสต์ศาสนาในรัสเซียลงขนานใหญ่ หวังถอนรากถอนโคน มีคติแหลมคมเช่น ศาสนาเป็นยาเสพติด (คำว่าศาสนาหมายถึงศาสนาคริสต์) ขึ้นมาปลุกใจประชาชนทุกแห่งหน จนเกิดการนองเลือด ล้างทั้งสถาบัน กษัตริย์และสถาบันศาสนาลงครั้งใหญ่ อันเป็นการปฏิวัตินองเลือดครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลกครั้งหนึ่ง
ในด้านศาสนจักร ต่อจากยุคพระเจ้าเฮ็นรี่ที่ 4 มาประมาณ 400 ปีเศษ กษัตริย์ เจ้าครองนครในเยอรมันและฝรั่งเศส ร่วมกันต่อต้านโป๊ปที่กรุงโรมกันครั้งใหญ่ และยกมาร์ติน ลูเธอร์ ขึ้นเป็นโป๊ปของนิกายใหม่คือโปรเตสแตนท์(Protestant) แทน เพราะในขณะนั้นโป๊ปที่กรุงโรมลุแก่อำนาจบาทใหญ่ เอาเปรียบประชาชนและสร้าง ความไม่เป็น ธรรมประการต่าง ๆ กษัตริย์เหล่านั้นเห็นว่าพิธีล้างบาปที่โป๊ปกำหนดนั้น เอาเปรียบประชาชนเกินไป ในยุคนั้นพวกบาดหลวงในนิกายคาทอลิกเดิม จัดทำพิธีล้างบาปให้ประชาชนทั่วไปทุกชั้นวรรณะ
เพราะประชาชนล้วนเป็นคนบาป จะต้องล้างบาปเป็นประจำทุกปี ทุกเดือน ฯลฯ แล้วแต่ความผิดบาปซึ่งโป๊ปจะตัดสิน โดยพิธีกรรมแต่ละพิธีกรรมมีการตีค่าราคาเป็นเงินไว้ และโป๊ปจะตีค่าอย่างสูงลิ่วสำหรับคนที่มีความผิดบาปอย่างหนัก โดยเฉพาะเศรษฐี หรือกษัตริย์ จะถูกตีค่าล้างบาปอย่างสูงมาก แต่ประชาชน ไม่มีวันเข้าใจวิธีการตีค่าล้างบาปของโป๊ปเลย และประชาชนก็เกรงกลัวการคว่ำบาตร เพราะการคว่ำบาตรหมายถึง พระพิโรธของพระเจ้า จำต้องยอมตามบัญชาพระบาดหลวงทุกอย่าง
และผลที่เกิดขึ้นก็คือความร่ำรวยมั่งคั่งอย่างมหาศาลของโป๊ปและพระบาดหลวงเจ้าสำนักทั้งหลาย จึงเกิดลัทธิต่อต้านลัทธิเดิมคาทอลิก ผู้นำลัทธิต่อต้านคือมาร์ติน ลูเธอร์ ประกาศตนไม่ยอมฟังคำสั่งของโป๊ป และได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์ เจ้าครองนครแคว้นต่าง ๆ ในเยอรมันขณะนั้นหลายแคว้น และทำการคุ้มครองลูเธอร์อย่างแข็งแรง จนสามารถตั้งนิกายต่อต้านคือ โปรเตสแตนท์ ขึ้นสำเร็จ ในขณะนั้นก็เป็นช่วงที่การเมืองในยุโรปปั่นป่วนอยู่ด้วยสงครามเยอรมัน-ฝรั่งเศส ฝรั่งเศส-อังกฤษบ้าง อังกฤษ-สเปนบ้าง ฯลฯ เจ้าผู้ครองนครก็พยายามขูดรีดจาก ประชาชนบ้าง แม้กระทั่งเกิดความคิดใหม่ ก็เที่ยวปล้นสมบัติของโป๊ป สาขาประเทศ ต่าง ๆ ปรากฏว่ามีกษัตริย์สกุลหนึ่งคือ โฮเฮนโซลเลิน(Hohenzollen) ได้เข้าปล้น ปราสาทของโป๊ปในเยอรมันนี ได้ เงินทองเข้าของมากมายมหาศาล จนสามารถนำไปตั้งประเทศปรัสเซียขึ้นได้ทั้งประเทศ
การวิวาทระหว่างคาทอลิกกับโปรเตสแตนท์ เดิมก็เป็นเพียงวิวาทะ ต่อมาก็รุนแรงขึ้น จนถึงกับต่อต้านกันด้วยอาวุธ และรบกันเป็นสงครามไม่รู้จบ มาจนถึง ปัจจุบันนี้ คือ กรณีคาทอลิกกับโปรเตสแตนท์ในไอรแลนด์เหนือ ที่ยังเป็นข่าวอยู่ใน เร็ว ๆ นี้ เป็นเหตุ ให้การปกครองบนเกาะบริเตนใหญ่ หรือเกาะอังกฤษ ไม่ลงตัวมาจนถึงทุกวันนี้ (เราไม่ทราบว่า สก๊อตแลนด์มีฐานะเป็นอะไร ไอร์แลนด์เหนือมีฐานะเป็นอะไร จะว่าขึ้นกับอังกฤษก็ไม่ใช่ เป็นประเทศอิสระก็ไม่ใช่) แล้วคาทอลิกซึ่งเป็นคริสต์เดิม ก็แตกแยกออกไปอีกเป็นหลายนิกาย และแต่ละนิกายก็ ทำสงครามเย็น (coldware) กันมาโดยตลอดเช่นออธอด๊อกซ์ ในรัสเซียก็ไม่ยอมรับสันตปาปาที่กรุงโรมมาตั้งแต่แยกตัวออกไป จนกระทั่งทุกวันนี้ และในราชสำนักอังกฤษเองก็สร้างนิกายขึ้นมาสำหรับราชสำนักโดย เฉพาะคือนิกาย Church of England มิได้ถือนิกายเดิมคือคาทอลิกอีกต่อไป คริสต์ศาสนาจึงแตกฉานซ่านเซ็น รวมกันไม่ติด เข้ากันได้บ้าง เป็นศัตรูกันบ้าง เกิดนิกายที่ปฏิรูปไปต่าง ๆ มากที่สุดในโลก จนเมื่อมีคำถามว่า อะไรคือคริสต์ ก็จะหาคำตอบไม่ได้ แล้วหลังสุดก็มีผู้ประกาศตนเป็นศาสดาองค์ใหม่ของศาสนาคริสต์ คือ มอร์มอน ที่ประกาศว่า โจเซฟ สมิธ ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้เป็นศาสดาองค์ใหม่ของคริสต์ศาสนา มีหน้าที่เผยแผ่พระวัจนะ ในยุคสุดท้ายของโลกก่อนจะถึงวันสิ้นโลก(ที่เรียกตัวเองว่า ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย) แต่โป๊ปที่กรุงโรมหายอมรับพระบัญชาพระเจ้าไม่ ไม่ยอมรับโจเซฟ สมิธ ว่าเป็นศาสดาองค์ใหม่ ในทางตรงกันข้ามพวกมอร์มอน ก็หาว่าพวกคาทอลิกเป็นผู้ทรยศ
ส่วนในไอร์แลนด์เหนือ ก็เป็นการรบกันระหว่างคาทอลิกกับโปรเตสแตนท์ ซึ่งเป็นคริสต์ ด้วยกัน นับถือไบเบิลเล่มเดียวกัน มีพระเจ้าองค์เดียวกัน เริ่มรบกันมาตั้งแต่มาร์ติน ลูธอร์ ตั้งนิกายโปรเตสแตนท์(Protestant) ขึ้น ชื่อนิกายใหม่ที่แปลว่า ผู้ต่อต้าน (disagree, deny) จึงนำไปสู่การแตกแยกทางความคิดแล้วเลยไปเป็นสงครามเกิดการรบกันเองระหว่างคริสต์ 2 พวก ตั้งแต่นั้นมาจนถึงบัดนี้
ตราบมาสู่สมัยปัจจุบัน ได้มีปรากฎการณ์ใหม่ ๆ คือชาวตะวันตก ได้รู้จักศาสนาพุทธ แพร่หลายขึ้น จากการเริ่มแปลพระคัมภีร์ของศาสนาพุทธเผยแผ่ออกไปตามสถาบันชั้นสูงของอังกฤษ เมื่อประมาณปีพ.ศ.2412 (134 ปีมาแล้ว) ได้มีการตื่นตัวในการศึกษาพระพุทธธรรมของวงการปัญญาชน และมีชาวอังกฤษเดินทางไปประเทศไทยเพื่อศึกษา ทางปฏิบัติจากพระวิปัสนาจารย์เมืองไทยจนกระทั่งในเดือน ธันวาคม ปี พ.ศ. 2542 องค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศยกวันวิสาขบูชา คือวันประสูติ วันตรัสรู้ และวันเสด็จปรินพพาน ของบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าของศาสนาพุทธ ว่าเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของโลก ทำให้ชาวโลกได้สัมผัสสิ่งใหม่ด้านศาสนา
จนระยะหลังที่สุดราชสำนักอังกฤษ ได้ประกาศยกย่องพระภิกษุในพระพุทธศาสนาองค์หนึ่ง ให้ได้รับเกียรติยศอันสูงสุด คือ เขมมธัมโม มหาเถระ (Veneral Ajahn Khemadhammo Mahathera) ซึ่งได้ไปเรียนวิปัสนาธุระจากสำนักท่านอาจารย์ชา ประเทศไทย จนสำเร็จหลักสูตร แล้วได้เดินทางกลับอังกฤษและ เผยแผ่กิตติคุณของ พระพุทธศาสนาขึ้นที่อังกฤษจนปรากฏผลดีเป็นที่เลื่อมใสศรัธาของราชสำนักอังกฤษ จนได้รับการประกาศยกย่องเกียรติคุณอย่างสูงในฐานะ เป็นผู้ประกอบคุณงามความดี อันสูงส่ง และรับพระราชทานเหรียญสดุดีเกียรติคุณ โอบีอี.จากสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 2 พระราชินี ประเทศอังกฤษ ณพระราชวังบักกิ้งแฮม เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2546 ดังข้อความที่สดุดี ว่า
Appointed an OBE [Oficer of the Most Excellent Order of the British Empire] in the Queen's Birthday Honours,
Veneral Ajahn Khemadhammo Mahathera recieved the Insignia from HM the Queen at an Investiture at Buckingham Palace on October9th, 2003.
นี่คือตัวอย่างสถานการณ์ฝ่ายศาสนา ที่บันดาลเหตุการณ์ในโลกให้เกิดขึ้นมาโดยตลอด ควบคู่ไปเสมอกับความเป็นมนุษยชาติของโลก ไม่ว่าด้านร้าย หรือด้านดี เป็นที่น่าสังเกตมาในระยะหลังของประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ซึ่งเป็นเหตุให้มนุษย์ยุคใหม่เริ่มสนใจศาสนาสากลมากขึ้น ๆ โดยเฉพาะประเทศตะวันตกและอเมริกาและปรากฏการณ์ที่น่าสนใจก็คือ พระคัมภีร์หรือหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ได้รับการถ่ายทอดหรือแปลเป็นภาษาอังกฤษอันเป็นภาษาสากลมากยิ่งขึ้นทุกวัน ๆ และเป็นที่แน่นอนว่าชาวโลกยุควิทยาศาสตร์ย่อมพอใจที่ได้อ่านศึกษาศาสนาพุทธ ในประเด็นสำคัญที่สุดที่แตกต่างจากศาสนาทั้งหลาย ก็คือ ศาสนาพุทธเผยแผ่ออกไปทั่วโลกได้อย่างไร โดยไม่มีพลังอำนาจหรืออาวุธเป็นตัวนำการเผยแผ่เลย
ต่อเมื่อทำการวิเคราะห์วิจัยลงไปอย่างลึกซึ้ง ก็จะได้คำตอบว่า ศาสนาพุทธเผยแผ่ออก ไปด้วยหลักวิชาการล้วน ๆ และวิชาการล้วน ๆ นั้น เป็นบ่อเกิดของความเลื่อมใสอย่างแท้จริงของคนในโลก และโลกยุคใหม่ในซีกส่วนที่เคยถูกครอบด้วยระบบอำนาจของคริสต์ก็ตาม อิสลามก็ตาม มีนักบุกเบิกไปสู่ศาสนาพุทธที่แท้ก็คือ นักวิทยาศาสตร์
ทั้งนี้เพราะหลักธรรมในศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์(Science) และเป็นวิชาการล้วน ๆและวิชาการล้วน ๆ นั้น ก็มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับวิชาการต่าง ๆในยุคโลกาภิวัฒน์ทั้งสิ้นแต่ศาสนาพุทธเสนอวิชาการส่วนที่เป็นนามธรรม ที่มีทฤษฎีการปฏิบัติอย่างนามธรรม เป็นชั้นปริยัติ ปฏิบัติ และ ปฏิเวธ หลายหลากวิธี ที่ล้วนนำไปสู่ความพ้นทุกข์ และพบความสุขได้ทันทีเมื่อสำเร็จการศึกษาลง ในชาติปัจจุบันนี้ จึงเป็นเรื่องที่คนยุคใหม่ไม่เคยพบ ไม่เคยศึกษามาก่อน และเริ่มมองศาสนาพุทธอย่างน่าสนใจโดยเฉพาะ หากโลกเฉลียวใจในแนวทางแห่งสันติสุขของศาสนาพุทธ อาจใช้พุทธวิธีเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ปัญหาการทะเลาะ เบาะแว้งหรือสงครามศาสนาในปัจจุบันนี้ได้และเมื่อโลกได้เข้าใจความสำคัญของศาสนาขึ้น และเริ่มต้นการศึกษาวิเคราะห์วิจัยอย่างจริงจังทั่วถึง ด้วยศาสตร์(Science) ของมนุษย์ที่สอดคล้องหลักการ อคติ 4 อย่างอันเป็นหลักการศึกษาในพระพุทธศาสนาแล้ว โลกย่อมรู้ความจริงเกี่ยวกับศาสนาต่าง ๆ และย่อมมีผลทางวิชาการเกิดขึ้น น่าคาดหวังว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงความคิดความเชื่อใหม่เกิดขึ้นในโลก อย่างน่าสนใจติดตามไปอย่างยิ่ง
- ธรรมสามี
-
31 ธ.ค. 2546
-
ดี34