ReadyPlanet.com
dot
dot dot
bulletBUDDHISM TO THE NEW WORLD ERA
bullet1 Thai-ไทย
bullet2.English-อังกฤษ
bullet3.China-จีน
bullet4.Hindi-อินเดีย
bullet5.Russia-รัสเซีย
bullet6.Arab-อาหรับ
bullet7.Indonesia-อินโดนีเซีย
bullet8.Japan-ญี่ปุ่น
bullet9.Italy-อิตาลี
bullet10.France-ฝรั่งเศส
bullet11.Germany-เยอรมัน
bullet12.Africa-อาฟริกา
bullet13.Azerbaijan-อาเซอร์ไบจัน
bullet14.Bosnian-บอสเนีย
bullet15.Cambodia-เขมร
bullet16.Finland-ฟินแลนด์
bullet17.Greek-กรีก
bullet18.Hebrew-ฮีบรู
bullet19.Hungary-ฮังการี
bullet20.Iceland-ไอซ์แลนด์
bullet21.Ireland-ไอร์แลนด์
bullet22.Java-ชวา
bullet23.Korea-เกาหลี
bullet24.Latin-ละติน
bullet25.Loa-ลาว
bullet26.Finland-ฟินแลนด์
bullet27.Malaysia-มาเลย์
bullet28.Mongolia-มองโกเลีย
bullet29.Nepal-เนปาล
bullet30.Norway-นอรเวย์
bullet31.persian-เปอร์เซีย
bullet32.โปแลนด์-Poland
bullet33.Portugal- โปตุเกตุ
bullet34.Romania-โรมาเนีย
bullet35.Serbian-เซอร์เบีย
bullet36.Spain-สเปน
bullet37.Srilanga-สิงหล,ศรีลังกา
bullet38.Sweden-สวีเดน
bullet39.Tamil-ทมิฬ
bullet40.Turkey-ตุรกี
bullet41.Ukrain-ยูเครน
bullet42.Uzbekistan-อุสเบกิสถาน
bullet43.Vietnam-เวียดนาม
bullet44.Mynma-พม่า
bullet45.Galicia กาลิเซียน
bullet46.Kazakh คาซัค
bullet47.Kurdish เคิร์ด
bullet48. Croatian โครเอเซีย
bullet49.Czech เช็ก
bullet50.Samoa ซามัว
bullet51.Nederlands ดัตช์
bullet52 Turkmen เติร์กเมน
bullet53.PunJabi ปัญจาบ
bullet54.Hmong ม้ง
bullet55.Macedonian มาซิโดเนีย
bullet56.Malagasy มาลากาซี
bullet57.Latvian ลัตเวีย
bullet58.Lithuanian ลิทัวเนีย
bullet59.Wales เวลล์
bullet60.Sloveniana สโลวัค
bullet61.Sindhi สินธี
bullet62.Estonia เอสโทเนีย
bullet63. Hawaiian ฮาวาย
bullet64.Philippines ฟิลิปปินส์
bullet65.Gongni-กงกนี
bullet66.Guarani-กวารานี
bullet67.Kanada-กันนาดา
bullet68.Gaelic Scots-เกลิกสกอต
bullet69.Crio-คริโอ
bullet70.Corsica-คอร์สิกา
bullet71.คาตาลัน
bullet72.Kinya Rwanda-คินยารวันดา
bullet73.Kirkish-คีร์กิช
bullet74.Gujarat-คุชราด
bullet75.Quesua-เคซัว
bullet76.Kurdish Kurmansi)-เคิร์ด(กุรมันซี)
bullet77.Kosa-โคซา
bullet78.Georgia-จอร์เจีย
bullet79.Chinese(Simplified)-จีน(ตัวย่อ)
bullet80.Chicheva-ชิเชวา
bullet81.Sona-โซนา
bullet82.Tsonga-ซองกา
bullet83.Cebuano-ซีบัวโน
bullet84.Shunda-ชุนดา
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet86.Sesotho-เซโซโท
bullet87.NorthernSaizotho-ไซโซโทเหนือ
bullet88.Somali-โซมาลี
bullet89.History-ประวัติศาสตร์
bullet90.Divehi-ดิเวฮิ
bullet91.Denmark-เดนมาร์ก
bullet92.Dogry-โดกรี
bullet93.Telugu-เตลูกู
bullet94.bis-ทวิ
bullet95.Tajik-ทาจิก
bullet96.Tatar-ทาทาร์
bullet97.Tigrinya-ทีกรินยา
bullet98.Check-เชค
bullet99.Mambara-มัมบารา
bullet100.Bulgaria-บัลแกเรีย
bullet101.Basque-บาสก์
bullet102.Bengal-เบงกอล
bullet103.Belarus-เบลารุส
bullet104.Pashto-พาชตู
bullet105.Fritian-ฟริเชียน
bullet106.Bhojpuri-โภชปุรี
bullet107.Manipur(Manifuri)-มณีปุระ(มณิฟูรี)
bullet108.Maltese-มัลทีส
bullet109.Marathi-มาราฐี
bullet110.Malayalum-มาลายาลัม
bullet111.Micho-มิโช
bullet112.Maori-เมารี
bullet113.Maithili-ไมถิลี
bullet114.Yidsdish-ยิดดิช
bullet115.Euroba-ยูโรบา
bullet116.Lingala-ลิงกาลา
bullet118.Slovenia-สโลวีเนีย
bullet119.Swahili-สวาฮิลี
bullet120.Sanskrit-สันสกฤต
bullet121.history107-history107
bullet122.Amharic-อัมฮาริก
bullet123.Assam-อัสสัม
bullet124.Armenia-อาร์เมเนีย
bullet125.Igbo-อิกโบ
bullet126.History115-ประวัติ 115
bullet127.history117-ประวัติ117
bullet128.Ilogano-อีโลกาโน
bullet129.Eve-อีเว
bullet130.Uighur-อุยกูร์
bullet131.Uradu-อูรดู
bullet132.Esperanto-เอสเปอแรนโต
bullet133.Albania-แอลเบเนีย
bullet134.Odia(Oriya)-โอเดีย(โอริยา)
bullet135.Oromo-โอโรโม
bullet136.Omara-โอมารา
bullet137.Huasha-ฮัวซา
bullet138.Haitian Creole-เฮติครีโอล
bulletคำบูชาพระรัตนตรัย ทำวัตรแปล เช้า-เย็น
bulletChart Showing the Process
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2540 - 2566
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 1
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 2
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี บุคคลที่ 1 - 188 ปัจจุบัน
bulletหนังสือพิมพ์ดี
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 1
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 2
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 3
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 4
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 5
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 6
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 7
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 8
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 9
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 10
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 11
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 12
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 13
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 14
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 15
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 16
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 17
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 18
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 19
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 20
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 21
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 22
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 23
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 24
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 25
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 26
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 27
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 28
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 29
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 30
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 31
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 32
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 33
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 34
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 35
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 36
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 37
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 38
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 39
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 40
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 41
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 42
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 43
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 44
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 45
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 46
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 47
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 48
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 49
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 50
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 51
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 52
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 53
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 54
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 55
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที่ 56
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 57
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 58
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 59
bulletTo The World
bulletENGLISH
bulletUSA
bulletChina
bulletIndia
bullet Mynmar
bullet Cambodia
bullet Loas
bulletSri Lanka
bulletMalaysia
bulletKorea
bulletA Sharp Turn of Believes : Iresearch Iwrite Iread
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 1
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 2
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 3
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 4
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 5
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 6
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 7
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 8
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 9
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 10
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 11
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 12
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 13
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 14
bulletMystery Report 15
bulletMystery Report 16
bulletMystery Report 17
bulletMystery Report 18
bulletMystery Report 19
bulletMystery Report 20
bulletMystery Report 21
bulletMystery Report 22
bulletMystery Report 23
bulletMystery Report 24
bulletMystery World Report 25
bulletศึกษาโลกลี้ลับ 26
bulletเฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว วิเคราะห์ทุกปัญหาในโลกมนุษย์ด้วยสติปัญญาและเหตุผลวิทยาศาสตร์จากนสพ.ดี
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2536
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2537
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2538
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2539
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2540
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2541
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2542
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2543-2545
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2545-2549
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2549-2550
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2550-ส.ค.2551
bulletเฝ้าดูฯ ส.ค.-ก.ย.2551
bulletเฝ้าดูฯ ก.ย.2551- ธ.ค. 2551
bulletเฝ้าดูฯสำนวนพัชรา กอปรทศธรรม
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 16-27
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 29
bulletบทความใหม่ เม.ย.-พ.ค.2552
bulletพุทธธรรมเพื่อทางดับทุกข์
bulletทฤษฎีการดับทุกข์ทางจิต วิปัสสนากรรมฐานโดยการทำงาน(สำนวนปรับปรุงใหม่)
bulletประวัติพัชรา กอปรทศธรรม
bulletประวัติการต่อสู้เพื่อการดับทุกข์ ของพัชรา กอปรทศธรรม
bulletอัลบั้มรูป history
bulletนิทานธรรมะประยุกต์ มานุสสาสุระสงคราม 4 ภาค และอื่น ๆ
bulletอัลบั้มรูป ภาพในอดีตและชีวประวัติศาสตร์ที่สวยงาม
bulletจากเวบบอร์ด พูดกันไม่รู้เรื่อง ประชาธิปไตยล้าหลัง
bulletศาสนาสากล การวิเคราะห์ความหมาย
bulletปลอบใจ
dot
รวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์ แนวปฏิรูปคณะสงฆ์อยู่ในบทวิเคราะห์นี้แล้ว
dot
bulletรวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์
dot
สากลจักรวาล สากลศาสนา แนวคิดศาสนาสำหรับคนยุคใหม่ ผู้ก้าวผิดทางไปสู่สิ่งไร้สาระโดยไม่รู้ตัว
dot
bulletสากล...ศาสนา 1
bulletสากล...ศาสนา 2
bulletสากล...ศาสนา 3
bulletสากล...ศาสนา 4
bulletสากล...ศาสนา 5
bulletสากล...ศาสนา 6
bulletสากล...ศาสนา 7
bulletสากล...ศาสนา 9
bulletสากล...ศาสนา 8
bulletสากล...ศาสนา 10
bulletสากล...ศาสนา 11
bulletสากล...ศาสนา 12
bulletสากล...ศาสนา 13
bulletสากล...ศาสนา 14
bulletสากล...ศาสนา 16
dot
ส่วนข้อมูลสำคัญเพื่อการวิจัยการเมืองไทยยุค คมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
dot
bulletข้อมูลสำคัญยุคคมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่1/26ส.ค.2551
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่2/27ส.ค.2551
bulletใบปลิว อีเมล์ ในหลวงทรงร้องไห้
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 1
bulletในหลวงเพิ่งทราบข่าวฆ่าประชาชน10เมย.53ทรงร้องไห้
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
dot
รวมข่าวม็อบการเมืองสนธิ-จำลอง-ปชป.มิ.ย.51-เม.ย.52 นสพ.
dot
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 2
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 3
bulletรวมข่าวม็อบ30มิ.ย.51-23มี.ค.52
bulletเลือดศรีสะเกษบันทึกเรื่องราวรอบด้านเกี่ยวกับเขาพระวิหาร
bulletรายงานการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศไทยที่ล้มล้างรัฐบาลทักษิณ
bulletหนังสือพิมพ์ดี ของฟรีให้เปล่ามา20ปีแล้วทั้งเอกสารและอินเทอเนท
bulletหนังสือพิมพ์ดี ( อินเทอเนต ) เล่ม 1 - 44 - ล่าสุด
bulletหน้าที่เก็บไว้
bulletมูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร)
bulletวัดมหาพุทธาราม ศรีสะเกษ บันทึกเหตุการณ์
bulletสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดศรีสะเกษแห่งที่ 1
bulletเกี่ยวกับเวบไซต์ของเรา เราทำเพื่อปัญญาชนโดยแท้
bulletรวมกระทู้เด็ดจากกระดานถามตอบ
bulletคาถาอาคมไสยศาสตร์
bulletกวีนิพนธ์ใหม่
bulletศูนย์ปฏิญญาณละเลิกอบายมุข บัญชีที่ 1- 4


สากล...ศาสนา 13

สากลจักรวาลสากลศาสนา

ธรรมสามีวินิจฉัย (13)

 

 

. . . . . .คนเรามีความจำเป็นอย่างไร จึงต้องสนใจศึกษาให้รู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องราวของ ศาสนาสากล?

 

. . . . . .เพราะคนทั้งหลายย่อมถูกครอบอยู่ด้วยสิ่งที่เรียกว่า คำสอน ลัทธิ-ประเพณี วัฒนธรรม และพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เป็นผลมาจากคำสอนในศาสนา ทำให้พฤติกรรมของคนทั้งหลายถูกนำพาไป หรือถูกกำหนด ถูกบีบบังคับให้ประพฤติไปตามวิถีทางของศาสนานั้น ๆ โดยที่เราต้องจำยอมประพฤติตามตั้งแต่เกิดและมิได้เคยคิดดูเลยว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ชอบธรรม และยุติธรรมหรือไม่ เพียงใด

 

. . . . . .ฉะนั้น เราจึงควรมีเวลาหยุดคิดไตร่ตรองดูบ้าง จนถึงสนใจศึกษาให้รู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องราวของศาสนาสากล

 

. . . . . .แล้วสิ่งที่คนยุคใหม่ ยุคที่เจริญด้วยวิทยาศาสตร์ และเทกโนโลยี่ทางการศึกษาอันลึกซึ้ง ก็จะได้พบด้วยความฉงนฉงายใจว่า เรื่องราวต่าง ๆ ในพระคัมภีร์-คำสอนของศาสนาสากลที่สรรเสริญยกยอว่า มีพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งนั้น แท้จริงก็เป็นเพียงความคิดเห็น การประมาณการณ์ การเรียบเรียงออกมาซึ่งจินตนาการส่วนบุคคลของคน ๆ หนึ่ง คือมนุษย์คนหนึ่ง โดยสนองตอบต่อสถานการณ์เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น ๆ เท่านั้นเอง


. . . . . .ภูมิปัญญาทั้งหมดในพระคัมภีร์สำคัญ ๆ ทางศาสนาสากลของโลก (คือ ไตรเพท มีภควัทคีตาบ้าง พระเวทย์บ้าง รามายณะบ้าง อิสยาห์ บ้าง โตราห์ บ้างไบเบิล บ้าง อัลกูรอาน บ้าง นั้น) จึงเป็นเพียงภูมิปัญญาของคนผู้รจนา เรียบเรียง คัมภีร์นั้นขึ้นมา ตามภูมิสติภูมิปัญญาของตนที่มีอยู่ เท่านั้นเอง และเห็นได้ว่า เรื่องราวที่รจนาออกมาแทบทั้งสิ้นในพระคัมภีร์เหล่านั้น ล้วนไร้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ และเมื่อวิทยาศาสตร์ เริ่มขึ้นในยุคแรก ๆ จึงเป็นเหตุให้เกิดการขัดแย้งกันขึ้นมาทันที

นับตั้งแต่ทฤษฎี ดาราศาสตร์ของกาลิเลโอ ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน และทฤษฎีแรงโน้มถ่วงสัมพัทธของอัลเบิรต ไอสไตน์ เป็นต้น อันเป็นการขัดแย้งอย่างรุนแรง กับฝ่ายศาสนจักร ซึ่งตั้งขึ้นเป็นระบบอำนาจครอบคลุมยุโรปขณะนั้น โดยทาง ศาสนจักรไม่อาจยอมรับได้ เพราะทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์ไม่ลงรอยกับพระคัมภีร์แต่ถึงกับโต้แย้งคัดค้านกับพระคัมภีร์คริสตศาสนา ฝ่ายศาสนจักรจึงแสดงอำนาจขับไล่คว่ำบาตรนักวิทยาศาสตร์ยุคนั้น อันเป็นการเนรเทศ ลงโทษฐานกบฏต่อพระเจ้าอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งเหตุผลและเมตตาธรรมอย่างยิ่ง ซึ่งบ่งถึงความผิดพลาดของคริสตจักร และคริสตศาสนา ในประวัติศาสตร์โลก โดยที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างสิ้นเชิง

. . . . . .แต่สัจธรรมย่อมเป็นความจริง ทำให้นักวิทยาศาสตร์ยืนหยัดต่อสู้หักล้างนักเขียน คัมภีร์มาโดยตลอดต่อเนื่อง และสามารถหักล้างความเชื่อตามพระคัมภีร์ศาสนาได้ จนกระทั่งศาสนาคริสต์ ได้จำนนต่อเหตุผลของนักวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าสาขาดาราศาสตร์หรือ ชีววิทยาไปอย่างราบคาบ ศาสนาคริสต์จึงเผยแผ่ไปโดยกลยุทธที่ไม่ลงตัวมา ตลอด ตั้งแต่ยุควิทยาศาสตร์เริ่มต้นขึ้น มีการปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ตราบมาถึง การชูธงประชาธิปไตย ว่า ประชาธิปไตยเป็นหลักการของศาสนาคริสต์ ในปัจจุบันนี้ (มีตัวอย่างที่น่าศึกษาการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ตัวอย่างหนึ่งก็คือ การเผยแผ่ในประเทศไทยนี่เอง ซึ่งคริสต์คาทอลิกได้ใช้ความพยายามมาตั้งแต่ยุคพระนารายณ์มหาราช จนถึงปัจจุบันนี้ โดยใช้กลยุทธปรับเปลี่ยนไปหลายหลากวิธีที่น่าสนใจอย่างยิ่ง)

 

ในขณะ เดียวกันนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าคำสอนของศาสนาพุทธในพระคัมภีร์ไตรปิฎก เป็นคำสอนที่มีเหตุผล ที่สอดคล้องหลักการของวิทยาศาสตร์ และมีนักวิทยาศาสตร์คน สำคัญ ๆ เช่น อัลเบิรต ไอสไตน์ ยกย่องว่าเป็นศาสนาที่มีค่าควรเป็นศาสนาของโลก ไอสไตน์ยกย่องว่า ถ้าโลกจะมีเพียงศาสนาเดียวแล้วควรเป็นศาสนาพุทธ

 

. . . . . .จึงเป็นที่สังเกตขึ้นมาในปัจจุบันนี้ว่า เหตุที่ได้มีศาสนาใหม่เกิดขึ้นมาถึง 2 ศาสนา ภายหลังมีศาสนาพุทธขึ้นมาแล้วนั้น น่าเป็นเพราะศาสดาของศาสนาใหม่ คือ พระเยซูแห่ง ศาสนาคริสต์ก็ดี พระนบี มุฮำมัด แห่งศาสนาอิสลามก็ดี ไม่ได้เอาใจใส่ศึกษาพระธรรม คำสอนของศาสนาพุทธอย่างลึกซึ้งพอ

ในกรณีขององค์พระเยซูเอง ได้มีหลักฐานว่า ทรงมีโอกาสไปศึกษาศาสนาพุทธอยู่อินเดียเหนือระยะหนึ่ง แต่ทรง ศึกษาไม่สำเร็จ และยังเข้าพระทัยผิดไปอีก โดยไปทำทุกรกริยาตามอย่าง สิทธัตถะจึงทำให้ทรงคลาดเคลื่อนไปไกล จนกลายเป็นวิปลาสทางสติปัญญาแห่งพุทธศาสนาไปเสียอีก ห่างไกลไปจากการบรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์ตามหลักธรรมศาสนาพุทธไปอีกด้วย

 ฉะนั้น ในพระคัมภีร์ไบเบิลภาค พันธสัญญาใหม่ (New Testaments) ซึ่งเป็นพระคัมภีร์ที่เขียนขึ้นภายหลังการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน จึงไม่มีการอ้างอิงถึง ข้อความใดใด หรือเนื้อหาใดใด หรือแม้กระทั่ง บุคคลใดใดของพระคัมภีร์ไตรปิฏกเลย

ล้วนแต่มีการอ้างอิง พระคัมภีร์อื่น คือพระคัมภีร์โตราห์บ้าง อิสยาห์บ้าง อันเป็นของยูดายเดิม ซึ่งเป็นโครงเรื่องหลักพื้น ๆของความเชื่อโบราณที่มีกำเนิดมาจากความกลัว จึงมีเรื่องพระเจ้าผู้สูงสุดที่เป็นโครงเรื่องเดิมของลัทธิพราหมฮินดูยุคก่อนศาสนาพุทธ อุบัติขึ้น เพียงแต่ได้มีการปรับเปลี่ยนเรื่องราวของสวรรค์ให้มีตำแหน่งสูงสุดเป็นองค์ผู้สูงสุดแต่เพียงพระองค์เดียว ไม่มีพระเจ้าหรือเทพหลายหลากเหมือนเดิม ซึ่งที่จริงมีเหตุมาจากความแตกแยกทางสังคมและการเมือง ที่หาความเป็นเอกภาพไม่ได้ ในขณะนั้น

 

จึงคิดสร้างรูปแบบพระเจ้าที่ทรงพระเอกานุภาพสูงสุดขึ้นมาใหม่ ในพระมหาคัมภีร์ อัลกุรอานของศาสนาอิสลามซึ่งเป็นศาสนาใหม่มีกำเนิดมาเพียง 1365 ปี ก็เช่นเดียวกัน

 

อิสลามจะอ้างอย่างเป็นหลักการสำคัญของศาสนาอิสลามว่า มีศาสนทูต หรือนบี ขององค์อัลเลาะห์ส่งมาจากสวรรค์ก่อนหน้าจะมีนบีมุฮำมัดหลายพระองค์ โดยอ้างชื่อศาสดาต่าง ๆ ในอดีต นับตั้งแต่ อับบราฮาม และ โมเสส ของศาสนายูดาย ว่า ล้วนเป็น ศาสนทูต หรือนบีองค์หนึ่งของพระเจ้าอัลเลาะห์ทั้งสิ้น และแม้ปัจจุบันและอนาคตข้างหน้า ศาสนทูตทั้งหลายเหล่านี้ก็ยังต้องอยู่ใต้การปกครองของอัลเลาะห์ตลอดไป

. . . . . .ดังปรากฎในวรรคที่ 112 ของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ว่า

 

"โอ้มุฮำมัด เจ้าจง กล่าวแก่ปวงประชากรของเจ้าเป็นการชี้แจงให้พวกเขาเกิดความเกรงกลัวเถิดว่า วันหนึ่งคือวันกิยามะห์ อัลเลาะห์จะทรงรวบรวมพระศาสนทูตทั้งหลาย แล้ว พระองค์ก็ตรัสแก่พระศาสนทูตเหล่านั้น...........

โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวประวัติของนบีอีซา (พระเยซู/บก.) ให้ปวงประชากรของเจ้าทราบเถิด ใน ตอนที่อัลเลาะห์จะได้ตรัสว่า โอ้อีซาบุตรมัรยำ เจ้าจงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของข้าที่มีต่อเจ้า 7 อย่าง......"

(วรรคที่112-13 ส่วนที่ 7 บทที่ 4 อัล-มาอิดะห์ หน้า 531-32)

 

และโดยเฉพาะพระเยซู ศาสดาของศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นศาสนาใหม่ยุคหลังศาสนาพุทธมีกำเนิดขึ้นมา 543 ปี ก่อนศาสนาอิสลาม 638 ปี นั้น

อิสลามถึงกับนำเอาเรื่องราว ของพระเยซูมาอ้างไว้ในพระคัมภีร์อัลกุรอานอย่างละเอียดมากมาย โดยบัญญัติลบล้างประวัติเดิมในพระคัมภีร์ไบเบิล ใน เรื่องเด่น ที่สำคัญอันเป็นหลักการความเชื่อของชาวคริสต์ลงไปทั้งสิ้น โดยบิดเบือนไปประการต่าง ๆ (และในขณะเดียวกัน ก็เชิดชูยกย่องมุฮำมัด ว่าเป็นนบีเป็นองค์ศาสนทูตของอัลเลาะห์โดยแท้จริง) และเอามาอ้างใหม่ว่า พระเยซูเป็นเพียง ศาสนทูต หรือนบีองค์หนึ่งของศาสนาอิสลาม ใน นามของนบีอีซาบุตรมัรยำ เท่านั้น

อันเป็นเหตุของความขัดแย้ง และเหตุของสงครามศาสนาระหว่างคริสต์-อิสลามสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ (ที่จริง สงครามระหว่างคริสต์-อิสลาม เริ่มขึ้นทันทีพร้อมกับการก่อตั้งศาสนาอิสลาม ไม่ใช่เฉพาะที่โลกรู้จักดีคือ ครูเสด เท่านั้น เพราะอิสลามเผยแผ่ออกไปด้วยวิธีการสงครามโดยตรง)

และบุคคลที่พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน กล่าวยกย่องว่าเป็นศาสนทูตที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์อัลเลาะห์ ก็คือท่านนบีมุฮำมัด ผู้ รจนาพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานนั่นเอง (ทรงยกย่องพระองค์เอง)

มุฮำมัด ทรงอ้างว่า พระองค์เองเป็นนบีองค์สุดท้ายของอัลเลาะห์ ก่อนจะถึงวันกิยามะห์ คือ วันสิ้นโลก และจะทรงเรียกศาสนทูตทั้งหลายมารับพระบัญชาครั้งสำคัญของพระองค์

 

อย่างไรก็ตาม ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานไม่ปรากฎว่ามีการอ้างอิงว่า พระพุทธเจ้า หรือชื่อหนึ่งชื่อใดที่มีความหมายถึงศาสดา พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ หรือพระอรหันต์ องค์หนึ่งองค์ใดของศาสนาพุทธ (นับแต่ กกุสันโธพุทธเจ้า ถึงอัครสาวก โมคคัลลานะ - สารีบุตร - อานนท์ หรือ พระมหากัสสปะ ฯลฯ) ว่าเป็นนบีของ อัลเลาะห์ด้วยองค์หนึ่งแต่อย่างใด

แม้จะมีการสรรเสริญอัลเลาะห์ พระเจ้าสูงสุด ด้วยถ้อยคำสรรเสริญคุณสมบัติ ที่เป็นคุณสมบัติอันสูงสุดของพระศาสดาของศาสนาพุทธ คือยกย่องว่า อัลเลาะห์ทรงเป็นผู้รู้แจ้งจริงยิ่งกว่าใครบ้าง ทรงปัญญายิ่งบ้าง ทรงรอบคอบที่สุดในสิ่งที่ซ่อนเร้นทั้งหลายบ้าง เป็นต้นนั้น ซึ่งเป็นความหมายทาง ภูมิปัญญาของศาสนาพุทธ แต่อิสลามก็มีความเข้าใจคุณสมบัติเช่นนั้นอย่างโลกียะ ทั้งสิ้น มิใช่ความหมายที่ตรงตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา

คำว่าพุทธะ ผู้รู้ ผู้ทรงปัญญายิ่ง หรือผู้รู้แจ้งจริง ผู้รอบคอบ ตามความหมายเดิมของศาสนาพุทธ มีความหมายทางโลกุตตระปัญญาล้วน ๆ

 

ซึ่งแสดงให้เห็นว่าท่านนบีมุฮำมัดผู้ประพันธ์พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน และพระศาสดายุคหลังพระพุทธศาสนา ไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึงซึ่งหลักคำสอนที่แท้จริงของศาสนาพุทธ ไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฎกของศาสนาพุทธอย่างลึกซึ้งและรู้แจ้งจริงในคำสอนของศาสนาพุทธนั่นเอง เพราะมิฉะนั้น ศาสดาเหล่านี้ก็จะสามารถซึมซับรับเอาหลักธรรมในพระไตรปิฎก และ สามารถบรรลุธรรมเป็น พระอรหันต์ได้ และจะไม่ประกาศศาสนา ที่ย้อนไปในหลักการดั้งเดิมของมนุษย์ดึกดำบรรพ์ เช่นพราหมณ์ - ฮินดู อีก

 

เพราะก่อนจะมีพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น ได้มีลัทธิ ความเชื่อ เป็นเรื่องราวที่เขียนขึ้นด้วยอำนาจอคติต่าง ๆ โดยเฉพาะ ภยาคติ และ โมหคติ คือมีความลำเอียงเพราะความกลัว และความโง่เขลา เป็นต้นเหตุ ซึ่งทำให้ขาด ความเป็นกลางในการวิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ ทุกปัญหาในพระคัมภีร์เหล่านั้น ๆ (ในยุคปัจจุบัน จะเห็นได้จากลัทธิฟาหลุนกงในจีน และลัทธิธรรมกายในไทย ที่ไม่สามารถบรรลุธรรมเบื้องสูงในพระพุทธศาสนาแล้วเฉออกนอกทางไป กลับไปสู่เบื้องต่ำคือเรื่อง เทพเจ้า ลงมาถึงเรื่องซาตาน ภูติผีต่าง ๆ ซึ่งพุทธมองว่ามิใช่อริยสัจ แต่เป็นอวิชชา)

 

 

. . . . . .อย่างไรก็ตาม ศาสดาที่มีประวัติที่สลับซับซ้อน และยากแก่ความเข้าใจของคนยุคนั้นที่สุดก็คือ พระเยซู

ส่วนที่ยากแก่ความเข้าใจก็คือ ส่วนที่แสดงถึงฤทธิ์ หรือการกระทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ ของพระองค์ ที่ทรงตั้งพระทัยแสดงถึง 21 ครั้งเพื่อยืนยันว่าทรงได้ฤทธิ์อำนาจนั้นมาจากพระเจ้า ผู้เป็นพระบิดาผู้ทรงรักพระองค์ยิ่งนัก อันเป็นฐานการอ้างอิงตัวพระองค์ เองว่า ทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า

อันเป็นหลักการทั้งหมดของศาสนาคริสต์(ชาว คริสต์หรือผู้ที่จะเข้ารีต เป็นคริสต์ จะต้องเชื่ออย่างปราศจากความสงสัยด้วย ประการใดใด ว่า พระเยซูเป็นบุตรพระเจ้า และทรงเป็นพระเจ้า)

แต่ หลักการว่าด้วยฤทธิ์นี้ ทาง ศาสนาพุทธได้กล่าวไว้อย่างเป็นหลักวิทยาศาสตร์ ว่าด้วยการ เจริญคุณภาพภายในของบุคคล ไปในทางศีลธรรมและศาสนา ก็สามารถบังเกิดฤทธิ์ได้เป็น ธรรมดา ด้วยความประพฤติดีประพฤติชอบด้วยตนเอง  ศาสนาพุทธกล่าวว่าฤทธิ์มีการเสื่อมลงได้เป็นธรรมดาเสมอ หากคุณธรรมภายใน หรือปัจจัยเหตุภายนอกประการหนึ่งประการใดที่ เกี่ยวข้องเสื่อมหรือขาดการสัมพันธ์ไป ฤทธิ์ใดใดย่อมเสื่อมลงเสมอ ศาสนาพุทธจึง สรรเสริญการศึกษาที่เหตุปัจจัย เป็นศาสนาเหตุและผล คือวิทยาศาสตร์

และที่สุดของความจริงก็คือ มีแต่มรรคผลเท่านั้นที่ไม่เสื่อม ศาสนาพุทธจึงไม่สอนให้มองฤทธิ์หรือการอัศจรรย์ว่าเป็นเรื่องสำคัญไปกว่ามรรคผล  เพราะมิใช่ทางแห่งปัญญา หรือสัพพัญญุตญาณที่รู้แจ้งโลก และวันหนึ่งย่อมเสื่อมลงได้ แต่มรรคผลไม่มีการเสื่อมลง

และปรากฎว่าเป็นจริง เมื่อ ในที่สุดฤทธิ์ของพระเยซูก็เสื่อมลง เมื่อไม่ทรงสามารถเนรมิตรสร้างพระวิหารแห่งกรุงเยรูซาเล็มขึ้นมาใหม่ได้ (เพื่อให้คนทั้งหลายได้ประจักษ์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตร และพระเจ้าในขณะเดียวกัน)

ตามที่ทรงประกาศในเทศกาลปัสกาต่อหน้าคนทั้งหลายว่า จะทรงทำลายพระมหาวิหารและจะทรงเนรมิตรสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวัน ก็ทรงทำไม่สำเร็จ เนื่องจากความเสื่อมซึ่งฤทธิ์มาถึง

 

และเมื่อคราวคับขันมาถึงที่สุดก็ไม่สามารถแสดงฤทธิ์ช่วยพระองค์เองให้รอดจากการตรึงกางเขน ให้ปรากฎเป็นการอัศจรรย์ต่อหน้าฝูงชนมหาศาลได้ และ ไม่ทรงทราบถึงสาเหตุแห่งความเสื่อมของฤทธิ์ของพระองค์เอง ว่ามีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาตามเหตุปัจจัย  แต่ทรงเข้าพระทัยว่าพระบิดาประทานฤทธิ์นั้นให้  จึงกล่าวโทษพระบิดาของพระองค์อย่างหลงผิดด้วยการตะโกนวาทะก่อนสิ้นพระชนม์ว่า "พระเจ้าของข้าพระองค์พระเจ้าของข้าพระองค์ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย"

อันเป็นวาทะสุดท้าย ที่ กลับลบล้างวาทะทั้งสิ้นทั้งมวลของพระองค์ ที่ตรัสมาก่อนทั้งหมด ลงอย่างราบคาบ

. . . . . .เรื่องราวของพระเยซู ก็คือความหลงในอัตตภาวะที่ทรงเข้าพระทัยผิดไป ด้วยโมหะ และ อวิชชา

มีการซ่อนเร้นอัตตาตัวตนที่ยิ่งใหญ่ อยู่ล้ำลึกว่าตนเองมาจากเทพเจ้าผู้สูงสุด เป็นพระบุตรเพียงองค์เดียวของพระเจ้า ผู้ทรงไว้ซึ่งความกรุณาปรานีอย่างสูงสุดต่อมวลมนุษยโลก ซึ่งเป็นเหตุผลเพื่อทรงอ้างอย่างหนักแน่นว่าทำไมมนุษยโลกจึงไม่พึงปฏิเสธพระองค์ และหากปฏิเสธพระองค์แล้ว พระบิดาของพระองค์จะทรงพระพิโรธอย่างหนัก และไม่มีการให้อภัยใดใด นอกจากทรงลงโทษมนุษย์ผู้ปฏิเสธนั้นอย่างรุนแรง หนักหน่วง และต้องไปสู่จุดจบ ณสถานลงโทษอันน่าสะพึงกลัวคือไปนรกเพลิง สถานเดียว

. . . . . .การประกาศตัวพระองค์โดยเปิดเผยว่าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และ ทรง สร้าง พฤติกรรมแปลกประหลาดหลายอย่างหลายครั้งคราว ตลอดจนดูหมิ่นพระเจ้าองค์เดิมของชาวยิว (อับราฮาม) ต่อหน้าสาธารณชน ว่าพระองค์ทรงเกิดก่อนอับบราฮาม และทรงรู้อะไร ๆ มากกว่าพระเจ้าอับบราฮามของชาวยิวเสียอีก เป็นต้น จนทำให้คนทั้งเมืองโกรธจะทำประชาทัณฑ์พระองค์หลายครั้ง แต่ทรงหลุดรอดไปได้ทุกครั้ง

และ เป็นเหตุให้คนทั้งหลายเชื่อว่าพระองค์ทรงวิกลจริต และถูกผีสิงอยู่

น่าเสียดายที่ พระเยซูมีอายุเพียงสั้น ๆ 33 พระพรรษาเท่านั้น และทรงมีเวลาเผยแผ่ศาสนาอยู่ เพียง 3 ปี ก็ทรงถูกประชาชนทั้งเมืองตัดสินตรึงกางเขนสิ้นพระชนม์เสียก่อน ด้วย ข้อหาว่า ทำร้ายร่างกายและทรัพย์สินผู้อื่น

และลบหลู่ดูหมิ่นพระเจ้าสูงสุดของชาว อิสราเอล

จึงไม่ทันมีเหตุการณ์ให้พิศูจน์ว่าวิถีชีวิตพระองค์ในวัยต่อ ๆ มาจะสามารถ ดำรงอุดมการณ์สูงสุดไว้ได้หรือไม่

 

ตราบมาสู่สมัยใหม่นี้ วิทยาการด้านการแพทย์ และจิตวิเคราะห์(สาขาของการวิเคราะห์พฤติกรรมด้านจิตวิทยา) คล้ายจะยืนยันว่า พระเยซูทรงเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง มีพระอาการตรงกับโรคที่เรียกว่า  megalomania  (ศาสนวิเคราะห์ว่าเป็น  ฌานวิปลาส) ได้มีการศึกษาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ และมีตัวอย่างในประวัติศาสตร์มาศึกษาอย่างมากมายเกี่ยวกับคนที่เป็นโรควิกลจริตชนิดนี้

นับตั้งแต่เรื่องราวของพระเจ้าอิวานที่ 4 แห่งรัสเซีย ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2073 นักวิเคราะห์จิต ชี้ว่า พระเจ้าอิวานที่ 4 ทรงมีพระบุคลิกภาพที่ผิดปกติ ทรงมีวิกลจริตแบบอาชญากรสังคม สามารถสังหารคนนับพัน ๆ คนได้โดยไม่รู้สึกผิด ทรงนิยมการล่าสัตว์แล้วเลยไปหาความสำราญทางเพศต่อ โดยเข้าไปในหมู่บ้าน บังคับข่มขืนลูกสาวชาวนาในชนบท เป็นปกติวิสัย แต่ขณะเดียวกันทรงเคร่งครัดในวัตรปฏิบัติทางศาสนาคริสต์ ทรงเข้าห้องสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้าเป็นประจำและเป็นเวลานานนับชั่วโมง ๆ เหตุร้ายแรง ครั้งใหญ่ในสมัยของพระองค์ ก็คือทรงฟาดพระโอรสของพระองค์ผู้ทรงเป็นรัชทายาท ด้วยหอกจนสิ้นพระชนม์ลงต่อหน้าอย่างน่าอนาถ ด้วยมือของพระองค์เอง อย่างไม่มีเหตุผลและลางสังหรณ์ของเหตุร้าย แต่นักวิเคราะห์ว่ามีเหตุมาจากความวิกลจริตคุ้มคลั่งและระแวงในองค์รัชทายาท ที่ซ่อนอยู่ล้ำลึกในจิตใต้สำนึกนั่นเอง เพราะเมื่อบุตรตายแล้วก็ยังสำนึกได้ เข้าโอบอุ้มร่ำคร่ำครวญอย่างสาหัส ตามที่ประวัติศาสตร์จารึกเอาไว้ (รีดเดอร์ไดเจสต์อัศจรรย์จิตมนุษย์ 2543 หน้า 163)

 

. . . . . .ประวัติที่คล้ายลอกเลียนแบบชีวิตพระเยซูมาทั้งหมด ก็คือ ประวัติของจิม โจนส์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เมือง โจนส์ทาวน์ ในอเมริกาใต้ เมื่อปี พ.ศ.2520 คือเมื่อ 26 ปีที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งมีสาเหตุมาจากความวิกลจริตด้วยโรค megalomania เช่นกัน

จิม โจนส์ มีอาการสำคัญที่บ่งถึงความวิกลจริตก็คือ หลงในความสรรเสริญ นานเข้าก็หลงตัวเองว่าเป็นพระเยซูกลับชาติมาเกิด และครั้นนานต่อไปอีก ก็ถึงกับหลงว่าตนเป็นพระเจ้า ซึ่งมีความละม้ายคล้ายประวัติของพระเยซูอย่างไม่ผิดเพี้ยน จึงมีนักจิตวิเคราะห์นำประวัติของเขามาศึกษาร่วม กับนักประวัติศาสตร์ และได้ข้อสรุปออกมาน่าสนใจ ตามบันทึกต่อไปนี้

 

 

. . . . . ."ประมุขของลัทธิผู้กลายเป็นทูตมรณะ

. . . . . .จิม โจนส์ ล้างสมองสาวกของคริสตจักรแห่งปวงชน ให้เชื่อว่าเขาเป็น "พ่อและผู้ไถ่บาป" บรรดาสาวกยอมสละทุกสิ่งที่ตนมีให้แก่เขา สำหรับคนจำนวนไม่น้อยคริสตจักร แห่งนี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นผูกพันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ไม่มีใครนึกฝันว่าพวกเขาจะต้องมาพลีชีพให้

. . . . . .จิม โจนส์ เป็นผู้นำทางศาสนาหน้าตาดีและน่าเลื่อมใส เขาเทศนาเรื่องของ สังคมนิยม ภราดรภาพ และความเสมอภาค ทางเผ่าพันธ์ เขาให้อาหารและการดูแลรักษาทางการแพทย์โดยไม่คิดเงินแก่คนยากคนจนและคนที่ถูกย่ำยีในแคลิฟอร์เนีย แต่ที่สำคัญคือเขาให้บ้านแก่คนที่ว้าเหว่และสังคมไม่เหลียวแล คนพวกนี้ตอบแทนด้วยการยินดียกทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีเพื่อช่วยทำนุบำรุง "คริสตจักรแห่งปวงชน" (Peoples Temple) ของจิม โจนส์

. . . . . .เช่นเดียวกับลัทธิอื่น ๆ ขบวนการของโจนส์โน้มน้าวใจผู้คนโดยเฉพาะคนที่เข้ากับ ครอบครัว เพื่อนฝูงและคริสตจักรแบบดั้งเดิมของตัวเองไม่ได้ ตลอดจนคนที่แสวงหาการยอมรับและการปลอบประโลมจิตใจ สาวกส่วนใหญ่ของคริสตจักรแห่งปวงชน เทิดทูนจิม โจนส์เป็นเหมือนพ่อ พวกเขาเรียกโจนส์ว่า "พ่อ" ไม่ว่าพ่อจะขออะไร พวกเขายินดียกให้ทุกอย่าง

. . . . . ."ไม่นานต่อมาความคลั่งไคล้ในศาสนาและลัทธิสังคมนิยมของโจนส์ก็กลายเป็นโรคจิตที่หลงเพ้อในความยิ่งใหญ่ของตน (megalomania) เขาเห็นตัวเองเป็นพระเยซู กลับชาติมาเกิด แล้วก็เห็นเป็นองค์พระเจ้าเอง เขาบัญชาให้ผู้คนภักดีต่อเขาอย่างถวายหัว ใครที่ ขอลาจากไปจะขู่ว่าจะต้องตาย เขาไม่ยอมให้ใครมากังขาในอำนาจของเขา แม้แต่พ่อแม่ยังไม่สามารถทักท้วงได้ เมื่อเขาสั่งเฆี่ยนลูก ๆ


. . . . . .เพื่อเสริมอำนาจให้แข็งแกร่งขึ้น โจนส์พาสาวกไปยังถิ่นทุรกันดารแดนไกลใน กายานา ซึ่งเป็นประเทศสังคมนิยมในอเมริกาใต้ ในปี ค.ศ. 1977 (พ.ศ.2520/บก.)

เขาได้รับอนุญาตจากทางการให้จัดตั้งอาณานิคมอิสระ ซึ่งเขาโฆษณาว่าเป็นดินแดนแสนสุขในฝันทางศาสนา แต่จดหมายของสมาชิกที่เขียนกลับมาถึงญาติในสหรัฐอเมริกา เผยให้รู้ว่าเมืองโจนส์ทาวน์ตามที่เรียกกันนั้น เป็นเหมือนค่ายกักกันมากกว่าจะเป็นแหล่งพักพิง สำหรับพวกสังคมนิยม

. . . . . .การล้างสมองรูปแบบหนึ่งจะมีการปลุกสมาชิกให้ตื่นขึ้นกลางดึกเพื่อมาฟังโจนส์กล่าวคำปราศรัยโอ้อวดพล่าม อยู่เป็นชั่วโมง ๆ ใครที่ไม่ตั้งใจฟังจะถูกโบยอย่างหนัก เขากระทำทารุณกรรมต่อเด็กทั้งทางร่างกายและทางเพศ ซึ่งแต่ก่อนเขาเคยสามารถหลบ ซ่อนหน่วยงานสวัสดิการเด็กในแคลิฟอร์เนียได้ แต่พอมาที่กายานา เรื่องแบบนี้ก็ยิ่ง โจ่งแจ้งขึ้น เด็ก ๆ ที่ไม่ยอมยิ้มเมื่อได้ยินชื่อเขา จะถูกเอากระแสไฟจี้ตามแขนขา เด็กๆ ที่ซุกซนอยู่ไม่สุขจะถูกหย่อนตัวลงไปในบ่อซึ่งขู่ว่ามีงูอยู่เต็ม

. . . . . .พวกผู้ใหญ่ก็ตกอยู่ในสภาพที่น่าสยดสยองพอ ๆ กัน ใครที่บังอาจขัดคำสั่งจะถูกขังไว้ในหีบไม้อบไอน้ำร้อน ครั้งละนานเป็นวัน ๆ ผู้หญิงที่มีสัมพันธ์กับคู่รักโดยขัดต่อกฏ ระเบียบของโบสถ์ จะถูกบังคับให้ร่วมเพศกับผู้ชายคนอื่นต่อหน้าธารกำนัล เพื่อเป็นการยืนยันอำนาจของตัวเอง ตัวโจนส์เองซึ่งแต่งงานแล้ว จะเรียกร้องขอร่วมเพศรสกับหญิงที่มีสามีแล้วในนิคม


. . . . . .นิคมโจนส์ทาวน์อัตคัตอาหารและยารักษาโรค แต่โจนส์กลับมียากล่อมประสาทอยู่ในปริมาณมหาศาล เอาทดสอบความภักดีอย่างน่าขนลุก โจนส์จะยื่นเครื่องดื่มที่เขาบอกว่าเป็นยาพิษให้แก่สาวก ถ้าพวกเขาเชื่อมั่นในตัวโจนส์ก็จะร่วมดื่มจากถ้วยเดียวกันและกลายเป็นผู้พลีชีพอุทิศตนเพื่ออุมการณ์ของสังคมนิยม เมื่อพวกเขาดื่ม ก็จะพบว่าไม่ใช่ยาพิษจริง ๆ

ไม่นานความหวาดระแวงที่ชักนำโจนส์และสาวกไปยังกายานาก็ หนักข้อยิ่งขึ้น เขาวางยามรักษาการณ์ติดอาวุธไว้รอบอาณาบริเวณเพื่อข่มขวัญใครที่ พยายามจะหนี มีการซ้อมอัตตวินิบาตกรรมหมู่อยู่เนือง ๆ

กระนั้นก็ยังมีคนจำนวน มากยังหลงภักดีเลื่อมใสต่อผู้ไถ่บาปของพวกเขาแม้กระทั่งเมื่อโจนส์เริ่มจะออกอาการ วิปลาส พวกเขาเชื่อนิทานที่โจนส์เล่าว่ามีชะตากรรมที่เลวร้ายกว่านั้นรอคอยอยู่ หากพวกเขาบังอาจทิ้งที่นี่ไปและกลับไปสู่สหรัฐอเมริกาซึ่งชั่วร้ายและฟอนเฟะ สมาชิกของคริสตจักรแห่งปวงชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำ ตกอยู่ในสภาพเหมือนเชลยศึก และใน ไม่ช้าพวกเขาก็สติกระเจิดกระเจิงเพราะความเหนื่อยอ่อน การถูกลงฑัณฑ์และการขาดแคลนอาหาร พวกเขาหมดทางเลือกนอกจากต้องคอยพึ่งพาอาศัยโจนส์

. . . . . .เรื่องสิ้นสุดลงเมื่อสมาชิกรัฐสภาจากแคลิฟอร์เนีย ชื่อ ลีโอ ไรอัน เกิดความห่วงใย เมื่อได้รับรายงานอันน่าตระหนกจากราษฎรในเขตที่มีญาติอยู่ที่โจนส์ทาวน์ เขาจึง เดินทางไปตรวจการด้วยตนเอง ทีแรกเขาไม่พบอะไรนอกจากผู้คนที่ยิ้มแย้มดูมีความสุขดี แต่เมื่อมีคนสองสามคนขอกลับไปบ้านพร้อมกับคณะผู้มาเยือน บรรยากาศก็เริ่มเครียดขมึง ก่อนที่เครื่องบินของไรอันจะบินขึ้นจากลานบินใกล้ ๆ ก็มีกลุ่มคนติดอาวุธบุกเข้าจู่โจม สมาชิกรัฐสภากับนักข่าวสองคนและสมาชิกของคริสตจักรที่กำลังจะจากไปคนหนึ่งถูกยิงเสียชีวิต

ย้อนกลับไปที่โจนส์ทาวน์ โจนส์รวบรวมสาวกให้มาฟังเทศน์เป็นครั้งสุดท้าย เขาเล่าเรื่องการตายที่ลานบิน แล้วจึงสาบาญว่าจะยอมตายด้วยกันมากกว่าจะยอมแพ้แก่ศัตรู โจนส์สั่งให้ทุกคนดื่มน้ำหวานผสมไซยาไนด์ คนที่อิดเอื้อนลังเลถูกขู่ด้วยปืนไรเฟิล เกือบทุกคนสมัครใจดื่ม

คนที่รอดชีวิตเล่าว่าแม่กรอกยาไซยาไนด์ลงในปากของลูกน้อย คนในครอบครัวจับมือกันรอความตายอย่างสงบ เมื่อเจ้าหน้าที่ของกายานาและสหรัฐฯ เข้าไปตรวจค้นสถานที่ในเวลาต่อมา ก็ได้พบศพกว่า 900 ศพร่างของโจนส์ในวัย 46 ปีนอนตายอยู่มีบาดแผลจากลูกกระสุน เห็นได้ชัดว่า เป็นการฆ่าตัวตาย."

* จาก รีดเดอร์ส ไดเจสท์ อัศจรรย์จิตมนุษย์ (แปล) พิมพ์ครั้งแรกพ.ศ. 2543 หน้า 51

 

คนที่เป็นโรควิกลจริตชนิดนี้ ยังมีต่อมาเป็นระยะ ๆ ที่ดังกระฉ่อนไปทั่วโลกอีกครั้งหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง โดยมีนักบวชคริสต์พาสาวกฆ่าตัวตายหมู่ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งโดยความเชื่อว่า ไปพบพระเจ้าบนสวรรค์โดยรวดเร็วกว่าจะรอเวลาแก่ชราภาพแล้ว ดังที่เป็นข่าวทางสื่อมวลชน และ โทรทัศน์ทุกช่อง เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2543 และหนังสือพิมพ์ดีได้วิเคราะห์ ไว้แล้วใน คอลัมน์เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจาก จอแก้ว ดี เล่มที่ 20 หน้า 25) ดังต่อไปนี้

 

"ข่าว : พระคริสต์ฆ่าตัวตายหมู่

ช่อง 3 28 มี.ค. 43 08.30 น.

ข่าวสั้น ๆ รายงานต่อเนื่องของโทรทัศน์หลายช่อง ลัทธิฟื้นฟูบัญญัติ 10 ประการของพระเจ้า อันเป็นสาขาของคริสต์ศาสนาสาขาหนึ่ง ที่ประเทศอูกันดา พากันปลงชีวิตตัวเอง เจ้าหน้าที่ไปพบเหตุร้ายนี้เข้า จากการเข้าค้นที่สำนักลัทธินี้ ในคราวแรกพบศพตายหมู่ประมาณ 500ศพ ต่อมาพบในหลุมฝังศพด้านหลังอาคารเจ้าสำนักอีก ต่อมาจนถึงวันนี้มีรายงานว่ายอดศพที่พบเพิ่มขึ้นเป็น 700 กว่าศพแล้ว

หากแต่เจ้าลัทธิยังลอยนวลหนีไป พร้อมกับเงินที่หลอกสาวกบริจาคอ้างว่าพระแม่มาเรียต้องประสงค์

สันนิษฐานจากสิ่งแวดล้อมว่า น่าจะมีสาวกบางส่วนที่ไม่เต็มใจฆ่าตัวตายตามคำขอของเจ้าลัทธิ เนื่องจากศพที่พบในระยะหลังที่สุดมีร่องรอยของฆาตกรรม มีรอยแผลจากของมีคมที่ศีรษะ มีเชือกมัด ตามแขน ตามตัว เป็นต้น แท้ที่จริงแล้ว

นี่คือภาพที่สะท้อนวิกฤตในวงการศาสนาคริสต์ นักบวชในประเทศนั้นเสื่อมความนิยมเลื่อมใสศรัทธาจากประชาชน หรือด้วยเหตุปัญหาทางเศรษฐกิจอื่น เป็นผลกระทบชีวิตความเป็นอยู่ตามครรลองนักบวชโดยเฉพาะในสำนักใหญ่ ๆ ที่มีนักบวชรวมกันอยู่มาก ๆ เช่นสำนักนี้ ทำให้เกิดขาดแคลนปัจจัย 4อันเป็นพื้นฐานการยังชีพ นั่นเอง ที่นานเข้าแก้ไม่ตกเลยหาทางออกกันแบบนี้"

 

. . . . . .เมื่อลองจับวาทะอันสุดยอดของพระเยซู คือวาทะที่ตรัสต่อขุนนางยิว นิโคเดมัสเมื่อเริ่มประกาศศาสนา ด้วยการประกาศตัวพระองค์ว่าทรงมิใช่มนุษย์ธรรมดา ๆ แต่เป็นถึงพระบุตรพระเจ้าลงมาจากสวรรค์เบื้องบน โดยคำสั่งของพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาของ พระองค์ ตามพระคัมภีรจอห์น บทที่ 3/16-18 ก็คือประโยคที่ว่า

. . . . . .For God so loved the world that He gave His only-begotten Son, so that whoever believes in Him should not perish, but have everlasting life.For God did not sent His Son into the world to condemn the world but in order that the world might be safe through Him.
. . . . . .He who believes in Him is not condemned; but he who does not believe is already condemned, because he has not believed in the name of theonly-begotten Son of God. [John 3:16-18]

. . . . . .เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของ พระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อ ช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น
. . . . . .ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจในพระนามของพระบุตร องค์เดียวของพระเจ้า

 

. . . . . .จะพบว่ามีเงื่อนไขที่อนุญาตให้เจ้าลัทธิกระทำการรุนแรงได้ อย่างมีเหตุผลที่ น่าชื่นชมยินดี โดยความกรุณาของพระเจ้า คือประโยคที่ว่า


.
. . . . .He who believes in Him is not condemned; but he who does not believe is already condemned, because he has not believed in the name of the only-begotten Son of God.
. . . . . .ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจในพระนามของพระบุตรองค์ เดียวของพระเจ้า

 

. . . . . .ซึ่งหมายความว่า จิม โจนส์ และเจ้าสำนักลัทธิฟื้นฟูบัญญัติ 10 ประการ ดังกล่าวเป็นตัวอย่างมา ก็ได้อ้าง ข้อความนี้ และด้วยความเชื่อเช่นนี้ เป็นหลักการ พิพากษาสาวกอย่างรุนแรง

. . . . . .กรณีของพระเยซู ก็มีโอกาสจะเกิดขึ้น ในทำนองเดียวกันนี้ ทำนองเดียว กับ กรณี จิม โจนส์ และ กรณี ลัทธิฟื้นฟูบัญญัติ 10 ประการ ดังกล่าว

. . . . . .เพียงแต่ กรณีพระเยซู พระเยซูได้ถูกพิพากษาลงโทษอย่างรุนแรง จากทั้งศาลบ้านเมืองและทั้งมติมหาชนยุคนั้นถึงสิ้นพระชนม์ชีพไปเสียก่อน ตั้งแต่ทรงประกาศศาสนาได้เพียง 3 ปี พระชนมายุได้เพียง 33 พรรษาบนไม้กางเขนก่อนที่จะทันให้ธาตุแท้ของอุดมการณ์ หรือ โรควิกลจริต megalomaniaแสดงอาการอันเปิดเผยขึ้นโดยชัดแจ้ง.

 

 

  • ธรรมสามี
  • ก.ค. 2546
  • ดี29 พ.ค.-ก.ย.2546






Copyright © 2010 All Rights Reserved.
----- ***** ----- โปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate นี่คือเวบไซต์คู่ www.newworldbelieve.com กับ www.newworldbelieve.net เราให้เป็นเวบไซต์ที่เสนอธรรมะหรือ ความจริง หรือ ความคิดเห็นในเรื่องราวของชีวิต ตั้งใจให้ธัมมะเป็นทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แด่คนทั้งหลาย ทั้งโลก ให้ได้รู้ความจริงของศาสนาต่าง ๆในโลกวันนี้ และได้รู้ศาสนาที่ประเสริฐเพียงศาสนาเดียวสำหรับโลกยุคใหม่ จักรวาลใหม่ เรามีผู้รู้ ผู้ตรัสรู้ ผู้วินิจฉัยสรรพธรรมสรรพวิชชา สรรพศาสน์ และสรรพศาสตร์ พอชี้ทางสู่โลกใหม่ ให้ความสุข ความสบายใจความมีชีวิตที่หลุดพ้นไปสู่โลกใหม่ เราได้อุทิศเนื้อที่ทั้งหมดเป็นเนื้อที่สำหรับธรรมะทั้งหมด ไม่มีการโฆษณาสินค้า มาแต่ต้น นับถึงวันนี้ร่วม 14 ปีแล้ว มาวันนี้ เราได้สร้างได้ทำเวบไซต์คู่นี้จนได้กลายเป็นแดนโลกแห่งความสว่างไสว เบิกบานใจ ไร้พิษภัย เป็นแดนประตูวิเศษ เปิดเข้าไปแล้ว เจริญดวงตาปัญญาละเอียดอ่อน เห็นแต่สิ่งที่น่าสบายใจ ที่ผสานความคิดจิตใจคนทั้งหลายด้วยไมตรีจิตมิตรภาพล้วน ๆ ไปสู่ความเป็นมิตรกันและกันล้วน ๆ วันนี้เวบไซต์นี้ ได้กลายเป็นโลกท่องเที่ยวอีกโลกหนึ่ง ที่กว้างใหญ่ไพศาล เข้าไปแล้วได้พบแต่สิ่งที่สบายใจมีความสุข ให้ความคิดสติปัญญา และได้พบเรื่องราวหลายหลากมากมาย ที่อาจจะท่องเที่ยวไปได้ตลอดชีวิต หรือท่านอาจจะอยากอยู่ณโลกนี้ไปชั่วนิรันดร ไม่กลับออกไปอีกก็ได้ เพียงแต่ท่านเข้าใจว่านี่เป็นแดนต้นเรื่องเป็นด่านข้ามจากแดนโลกเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง และซึ่งเป็นโลกหรือบ้านของท่านทั้งหลายได้เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาต่างศาสนา ได้โปรดใช้การแปลของ กูเกิล หรือ Google Translate แปลเป็นภาษาของท่านก่อน ที่เขาเพิ่งประสบความสำเร็จการแปลให้ได้แทบทุกภาษาในโลกมนุษย์นี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปีนี้เอง นั้นแหละเท่ากับท่านจะเป็นที่ไหนของโลกก็ตาม ทั้งหมดโลกประมาณ 7.6 พันล้านคนวันนี้ สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในโลกของเราได้เลย เราไม่ได้นำท่านไปเที่ยวแบบธรรมดาๆ แต่การนำไปสู่ความจริง ความรู้เรื่องชีวิตใหม่ การอุบัติใหม่สู่ภาวะอริยบุคคล ไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปพ้นจากทุกข์ ทั้งหลายไปสู่โลกแห่งความสุขแท้นิรันดร คือโลกนิพพานขององค์บรมศาสดาพุทธศาสนา พระบรมครูพุทธะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านโปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate ท่านก็จะเข้าสู่โลกนี้ได้ทันทีพร้อมกับคน7.6พันล้านคนทั้งโลกนี้. ----- ***** ----- • หมายเหตุ เอาขึ้นเวบไซต์ แทนของเดิม ทั้ง 2 เวบ .net .com วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 07.00 น. -----*****-----