ReadyPlanet.com
dot
dot dot
bulletBUDDHISM TO THE NEW WORLD ERA
bulletคำบูชาพระรัตนตรัย ทำวัตรแปล เช้า-เย็น
bulletChart Showing the Process
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2540 - 2566
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 1
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 2
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี บุคคลที่ 1 - 188 ปัจจุบัน
bulletหนังสือพิมพ์ดี
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 1
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 2
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 3
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 4
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 5
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 6
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 7
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 8
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 9
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 10
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 11
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 12
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 13
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 14
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 15
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 16
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 17
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 18
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 19
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 20
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 21
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 22
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 23
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 24
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 25
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 26
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 27
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 28
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 29
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 30
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 31
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 32
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 33
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 34
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 35
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 36
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 37
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 38
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 39
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 40
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 41
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 42
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 43
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 44
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 45
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 46
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 47
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 48
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 49
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 50
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 51
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 52
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 53
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 54
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 55
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที่ 56
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 57
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 58
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 59
bulletTo The World
bulletENGLISH
bulletUSA
bulletChina
bulletIndia
bullet Mynmar
bullet Cambodia
bullet Loas
bulletSri Lanka
bulletMalaysia
bulletKorea
bulletA Sharp Turn of Believes : Iresearch Iwrite Iread
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 1
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 2
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 3
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 4
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 5
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 6
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 7
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 8
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 9
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 10
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 11
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 12
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 13
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 14
bulletMystery Report 15
bulletMystery Report 16
bulletMystery Report 17
bulletMystery Report 18
bulletMystery Report 19
bulletMystery Report 20
bulletMystery Report 21
bulletMystery Report 22
bulletMystery Report 23
bulletMystery Report 24
bulletMystery World Report 25
bulletศึกษาโลกลี้ลับ 26
bulletเฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว วิเคราะห์ทุกปัญหาในโลกมนุษย์ด้วยสติปัญญาและเหตุผลวิทยาศาสตร์จากนสพ.ดี
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2536
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2537
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2538
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2539
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2540
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2541
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2542
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2543-2545
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2545-2549
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2549-2550
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2550-ส.ค.2551
bulletเฝ้าดูฯ ส.ค.-ก.ย.2551
bulletเฝ้าดูฯ ก.ย.2551- ธ.ค. 2551
bulletเฝ้าดูฯสำนวนพัชรา กอปรทศธรรม
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 16-27
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 29
bulletบทความใหม่ เม.ย.-พ.ค.2552
bulletพุทธธรรมเพื่อทางดับทุกข์
bulletทฤษฎีการดับทุกข์ทางจิต วิปัสสนากรรมฐานโดยการทำงาน(สำนวนปรับปรุงใหม่)
bulletประวัติพัชรา กอปรทศธรรม
bulletประวัติการต่อสู้เพื่อการดับทุกข์ ของพัชรา กอปรทศธรรม
bulletอัลบั้มรูป history
bulletนิทานธรรมะประยุกต์ มานุสสาสุระสงคราม 4 ภาค และอื่น ๆ
bulletอัลบั้มรูป ภาพในอดีตและชีวประวัติศาสตร์ที่สวยงาม
bulletจากเวบบอร์ด พูดกันไม่รู้เรื่อง ประชาธิปไตยล้าหลัง
bulletศาสนาสากล การวิเคราะห์ความหมาย
bulletปลอบใจ
dot
รวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์ แนวปฏิรูปคณะสงฆ์อยู่ในบทวิเคราะห์นี้แล้ว
dot
bulletรวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์
dot
สากลจักรวาล สากลศาสนา แนวคิดศาสนาสำหรับคนยุคใหม่ ผู้ก้าวผิดทางไปสู่สิ่งไร้สาระโดยไม่รู้ตัว
dot
bulletสากล...ศาสนา 1
bulletสากล...ศาสนา 2
bulletสากล...ศาสนา 3
bulletสากล...ศาสนา 4
bulletสากล...ศาสนา 5
bulletสากล...ศาสนา 6
bulletสากล...ศาสนา 7
bulletสากล...ศาสนา 9
bulletสากล...ศาสนา 8
bulletสากล...ศาสนา 10
bulletสากล...ศาสนา 11
bulletสากล...ศาสนา 12
bulletสากล...ศาสนา 13
bulletสากล...ศาสนา 14
bulletสากล...ศาสนา 16
dot
ส่วนข้อมูลสำคัญเพื่อการวิจัยการเมืองไทยยุค คมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
dot
bulletข้อมูลสำคัญยุคคมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่1/26ส.ค.2551
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่2/27ส.ค.2551
bulletใบปลิว อีเมล์ ในหลวงทรงร้องไห้
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 1
bulletในหลวงเพิ่งทราบข่าวฆ่าประชาชน10เมย.53ทรงร้องไห้
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
dot
รวมข่าวม็อบการเมืองสนธิ-จำลอง-ปชป.มิ.ย.51-เม.ย.52 นสพ.
dot
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 2
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 3
bulletรวมข่าวม็อบ30มิ.ย.51-23มี.ค.52
bulletเลือดศรีสะเกษบันทึกเรื่องราวรอบด้านเกี่ยวกับเขาพระวิหาร
bulletรายงานการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศไทยที่ล้มล้างรัฐบาลทักษิณ
bulletหนังสือพิมพ์ดี ของฟรีให้เปล่ามา20ปีแล้วทั้งเอกสารและอินเทอเนท
bulletหนังสือพิมพ์ดี ( อินเทอเนต ) เล่ม 1 - 44 - ล่าสุด
bulletหน้าที่เก็บไว้
bulletมูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร)
bulletวัดมหาพุทธาราม ศรีสะเกษ บันทึกเหตุการณ์
bulletสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดศรีสะเกษแห่งที่ 1
bulletเกี่ยวกับเวบไซต์ของเรา เราทำเพื่อปัญญาชนโดยแท้
bulletรวมกระทู้เด็ดจากกระดานถามตอบ
bulletคาถาอาคมไสยศาสตร์
bulletกวีนิพนธ์ใหม่
bulletศูนย์ปฏิญญาณละเลิกอบายมุข บัญชีที่ 1- 4


ศึกษาโลกลี้ลับภาค 10 article

 

 

 

 

 

 

ศึกษา

โลกลี้ลับ

ภาค ๑๐

 

 

 

 

 

ทิพโสต?

การปรากฏต่อเนื่องของเสียงทิพย์

 

9 พ.ย. 2549

 

 

04.50  น. 

 

-  เสียงถี่กระชั้น    ดังสนั่นในหูมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว

 

-  มันดังอยู่ตลอดเวลา  ตลอดวัน  และตลอดคืนที่ตื่นอยู่

 

-  เป็นเสียงที่เคยได้ยินมาแล้ว  และได้บันทึกลักษณะของเสียงนี้ไว้แล้ว ในบันทึกการปฏิบัติธรรม        ระหว่างเทศกาลเข้าพรรษา ศึกษาโลกลี้ลับภาค 9  เรื่อง ทิพโสต

 

-  มิใช่เสียงของธรรมชาติทั่วไป  แต่เป็นเสียงเฉพาะที่เกิดกับเราคนเดียว  บัดนี้มันติดตัวไปด้วย ไม่ว่าจะไปไหน

 

-  บัดนี้มันดังสนั่นขึ้น มีความถี่กระชั้นแรงขึ้น  โดยเฉพาะเวลาตื่นนอนเช้าตรู่ ๆ อย่างนี้  เสียงจะสนั่นในหูจนระงมไปหมด หากแต่เสียงเล็กที่เสียดแทงหูเหมือนปลายหอกชอนไชไป จนต้องลุกขึ้น  กระนั้นก็มิได้มีอันตรายอย่างใด

 

 

05.45 น.

 

-ขณะนี้เวลา 05.45 น. บนเก้าอี้หน้าจอคอมพิวเตอร์ เราได้เริ่มบันทึก ศึกษาโลกลี้ลับภาค 10  เสียงก็ยังดังสนั่น  เป็นเสียงที่คล้ายของพวกแมลงตัวกระจิดริดจำนวนมหาศาล รวมหมู่กันร่ำร้อง ในแบบเดียวกับพวกแมงอี  แต่แมลงพวกนี้ไม่มีตัวตน เหมือนพวกมันร่ำร้องอยู่กลางอากาศรอบ ๆ ตัว  เหนือหัว

 

-เมื่อภาระเสร็จลงแล้ว  เสียงยิ่งดัง แหลมเล็กกระชั้นถี่ไปกว่าเดิม  ดุจดังว่าเสียงเรียกร้องเร่งให้ประกอบความเพียร และเร่งการเดินทางได้แล้ว

 

- เมื่อฌานมีขึ้นแล้ว  ทำฌานให้เกิดขึ้นแล้วเสียงก็ดังสนั่นขึ้นกว่าเดิม

 

เราได้เคยยินเสียงชนิดนี้มาก่อนแล้วในปี พ.ศ.2516  แต่คราวนั้นอธิษฐานให้ได้ยินก็ได้ยิน(คือขอว่าให้ได้ยินเสียง ๆ ก็ดังขึ้น ขอว่าอย่าได้ยินเสียง ๆ ก็หายไป) และ ดังมากจนกึกก้องท้องฟ้าอันไพศาล และเราเรียกว่า  เสียงแห่งความสงบ  เพียงแต่เราไม่ทราบแน่ชัดถึงลักษณะที่ไปที่มา หรือต้นสายปลายเหตุว่าเสียงแห่งความสงบนี้เกิดจากอะไร?  จะบริหารได้อย่างไร? (ไม่เข้าใจหรือยังค้นไม่พบความหมายในเชิงวิทยาศาสตร์)

 

ครั้งที่2 ที่ได้ยินก็คือ  ดนตรีในป่าช้า ในปี พ.ศ.2533  ที่ดังกึกก้องเป็นดนตรีประสานเสียงของเครื่องมือดนตรีหลายชนิดหลายชิ้น(มีปี่ แตรกับกลองใหญ่เป็นเครื่องมือหลัก) เป็นเพลงแห่ศพ   ที่เราเพียงคนเดียวได้ยิน  คราวนั้นไปอยู่ป่าช้าโพนเขวา 15 วัน 14 คืน มีดนตรีบรรเลงต้อนรับอยู่ 1 คืนเต็ม ๆ  แม้เสียงบรรเลงจะดังสนั่นหวั่นไหว ราวกับถล่มป่าช้าให้ราบพนาสูร แต่โยมฟากหมู่บ้านหรือพระในวัดป่าโพนเขวาติดกับป่าช้ากลับไม่ได้ยินกันเลย   ครั้นไปอยู่ป่าช้าจีนคือสุสานสุขาวดีต่อไปอีก21วัน20คืน  2 วันสุดท้าย ก็มีดนตรีเช่นเดียวกันมาบรรเลงถึง2คืน(โปรดดูอัลบั้มรูป ธุดงค์1 ในเวบของเรา)

 

เสียงที่ได้ยินมานี้มีลักษณะคล้ายกันมากกับเสียงที่ได้ยินร่ำระงมอยู่ในขณะนี้ ในแง่ที่ไม่มีคนอื่นได้ยินกับเรา

 

- เราคิดว่าต้องตามศึกษาเสียงนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง  และบัดนี้เราได้หลักการมาแล้วว่า

 

1.    เป็นเสียงคู่กับผู้มีใจสงบ

2.    ทำความกังวลให้หมดไป ภาระทางโลกที่ให้กังวล เป็นนิวรณ์หมดลงไป เสียงจะชัดเจนขึ้นไปอีก

3.    ทำฌานให้เกิดขึ้น หรืออยู่ในฌาน เพิ่มคุณภาพแห่งฌาน เสียงจะพัฒนาไปอีก(แต่จะอย่างไรยังไม่รู้)

 

หมายความว่า  ทำได้ตามเงื่อนไข3ประการนี้เมื่อไร  ใครก็ตามก็จะได้ยินเสียงชนิดนี้เอง เป็นหลักการวิทยาศาสตร์แล้ว

 

สำหรับเรา มีข้อพิศูจน์  เราได้จัดส่งหนังสือพิมพ์ดีเล่มที่37ไปสู่สมาชิกแล้วเสร็จเมื่อวานนี้  เอาโปรแกรม ACDSee ที่ติดค้างมานานมาติดตั้งแล้ว เอารูปขึ้นหน้าHomepage แล้ว  (ทั้งหมดนี้โดยอุปการะอุปถัมภ์ของ อ.สมจิตร กอปรทศธรรม ญาติธรรมผู้สนิทใกล้ชิด)  และนั่นทำให้งานเวบไซท์ของเรากำลังจะเสร็จสมบูรณ์ในระดับมาตรฐานสากล เหลืออีกเพียงการจัดการเครื่องหมายการค้า หรือยี่ห้อ หรือ โลโก (Logo) ของเราขึ้นเท่านั้นเอง  ความกังวลก็แทบว่าหมดสิ้นไปหมด  และเราหวังว่าจะได้ศึกษาบริหารเสียงนี้ต่อไป

 

เป้าหมายการศึกษากรณีนี้ก็คือ  เสียงนี้จะนำเราไปสู่อะไร?  ขณะนี้เรายังบริหารไม่ได้  คือให้มันหยุดลงไม่ได้  เหมือนเปิดสวิทไฟ  แต่ปิดไม่ได้ 

 

 

มันจะนำเราไปสู่ทิพโสตหรือไม่? 

 

น่าเป็นเช่นนั้น !!!

 

เราคิดไว้เช่นนี้นานแล้ว ด้วยความตื่นเต้น

และมั่นใจว่าเมื่อไปสู่สถานที่อันสงบอย่างยิ่งแล้ว  เสียงนี้น่าจะกระหึ่มกึกก้องทั่วท้องฟ้าและแผ่นดินอย่างที่เคยได้ประสบมาก่อนในปี 2516  และคงอธิษฐานเอาได้ดั่งใจ

 

(แต่ปี 2516 นั้น เสียงปรากฏอยู่เพียงไม่กี่คืนกี่วันเท่านั้นเองก็ค่อยจางหายไป และไม่กลับมาอีก)

 

นั่นคือแนวทางการศึกษาต่อไป  ซึ่งกำลังจะเริ่มขึ้นบัดนี้แล้ว

 

 

 

งานหนักอีกโลกหนึ่ง การศึกษาโลกไซเบอร์

 

 

10  พ.ย. 2549

 

04.30 น.

 

เสียงแซร่สนั่นก้องในหู  ตลอดคืน  ที่ตื่นอยู่

 

นับตั้งแต่วันสุดท้ายที่ได้บันทึก การปฏิบัติธรรมระหว่างเข้าพรรษา มาจนถึงบัดนี้  เราหันมาสู่ทิศทางอีกทิศทางหนึ่งคือ  โลกไซเบอร์(cyber)

 

และงานอีกด้านหนึ่ง  และเสร็จสิ้นลงเกือบสมบูรณ์แล้ว

 

เรานำตัวเองไปหมกมุ่นเป็นชั่วโมง ๆ  เป็นวัน  เป็นคืน  อยู่หน้าจอแก้ว 

 

เราก็ปวดตา  จนมีเมือกน้ำตาคลอ  เป็นบ่อย  และเป็นมานาน

 

และปวดเมื่อยไปทั้งกาย  ทำให้อ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง

 

 

 

รำลึกถึงฌาน

 

มารำพึงว่าจะทำอย่างไร       แล้วรำลึกถึงฌาน

 

ลองใช้ปฏิบัติการของฌานดูสิ !!!

 

 

ลองปฏิบัติ  ก็ได้ผล   และได้ฌาน

 

ก็เลยได้ความรู้พิเศษมาก ๆ

 

ก็โดยการทำฌาน   ทำฌานให้เกิดขึ้น

 

และเราก็ทดลองทำฌาน  เพ่งฌานให้เกิดขึ้น

 

ก็หายปวดเมื่อยไปได้  และเห็นการปฏิบัติของฌาน

 

นี่เป็นความรู้ใหม่ การค้นพบเชิงยุทธวิธีใหม่  และค่อนข้างมีความหมายมาก ๆ ทีเดียว

 

 

06.40 น.

 

เอาละเราจะเริ่มวันนี้  คือ  การศึกษาสมาธิวิปัสสนา ระดับอภิญญา

 

โปรดติดตามศึกษาไปด้วยกัน  เพื่อประโยชน์ของตนเองของใครของมัน

และเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปด้วย

 

 

20.00 น.

 

-          เย็นนี้ออกจากวัดไปกิจนิมนต์พร้อมหมู่สงฆ์ สวดมนต์เจริญพระปริตร ชุมชนตลาดนอก เสียงก็ติดตามไปและร่ำร้องกันอยู่เหนือหลังคาบ้านเจ้าภาพ

 

 

 

11 พ.ย. 2549

 

04.30 น. 

 

เสียงยิ่งแซร่สนั่น  และสดใสขึ้น  มีลักษณะร่าเริงขึ้นกว่าเดิม

 

เมื่อออกไปข้างนอกลานวัด เสียงนี้จะขยับขึ้นสูง  เหมือนไปร่ำร้องกันอยู่ที่เพดานฟ้า และเสียงจะเบาลงเพราะอยู่ไกล

 

เมื่อออกไปกิจนิมนต์ สู่เคหสถานฆราวาสวิสัย เมื่อวานนี้  เสียงก็ลงมาที่เพดานหลังคาบ้าน

 

วันนี้เมื่อเข้าห้องน้ำ  เสียงก็ลงมาต่ำ ๆ  ติดหลังคาห้องน้ำและดูระงมไปหมดใกล้ ๆ ตัวนี่เอง

 

เรากำลังศึกษาลักษณะของเสียงนี้อยู่ทีเดียว

 

 

ถามตัวเองว่าดีหรือไม่ดี มีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์

 

ต้องตอบว่าดี มีประโยชน์อย่างแน่นอน

 

ประการที่ 1  เป็นเสียงปลุกสติ ปลุกจิตให้ตื่นโพลงสดใส

 

ประการที่ 2  เป็นเสียงที่ประสานสรรพวิชา  เหมือนตาข่ายที่คลุมเอาวิชาทั้งหลายไว้ให้อยู่ภายในขอบเขตของเสียง  มิให้กระจัดกระจาย

 

ประการที่ 3  เพราะเหตุประการที่ 2 จะทำสมาธิก็เร็ว  ทำฌาน  กสิณ    ก็เร็ว  เพราะเสียงนี้เป็นตาข่ายครอบวิชาทั้งหลายไว้แล้ว

 

ประการที่ 4     ย่อมอุปการะแด่วิปัสสนาญาณ  และ  ปราณ

 

ประการที่ 5    เป็นของประจำตัวของเรา  ซึ่งนอกจากนี้แล้วก็ยังไม่ทราบว่าเสียงนี้จะนำเราไปถึงไหน  เมื่อไปสู่ที่อันสงบสงัด เช่นป่าช้า  เสียงนี้จะกึกก้องขึ้นมาอย่างไร  และจะนำอะไรมาปรากฏ  อะไรจะเกิดขึ้น  จะนำไปสู่โทรจิตหรืออย่างไร  นี่เป็นสิ่งที่คาดหวังเอาไว้

 

 

05.30 น.

 

ดูเอาเถิด  !!! 

แม้ขณะที่พิมพ์เรื่องราวลงบนเวอร์ด ก็ยังระงมกันอยู่ รอบ ๆ กุฎิและบนหัวเรานี่เอง

 

และครั้นให้ความสนใจ นิ่งฟังพวกเขา  ก็ดุจดั่งว่าพวกเขารู้  และยิ่งปรีดา  พวกเขาดุจดั่งเป็นกองเชียร์ เร่งเร้าให้เราปฏิบัติพากเพียรในภารกิจแห่งมรรคผล และแห่งพระพุทธศาสนา

 

 

เอาละ   พอจะวางแผนงานได้แล้วละ  หนังสือพิมพ์ดี เล่มที่37ก็ส่งออกไปสู่สมาชิกแล้ว  เหลือเรื่องราวของเวบอยู่เพียงเล็กน้อย  คือยังเอาภาพในหลวงขึ้นไม่ได้  เอาสโลแกนและโลโกหรือยี่ห้อของเราขึ้นยังไม่ได้  ต้องศึกษาไปอีกสักนิด  และทั้งต้องดูในเรื่องญาติโยม ประชาชนที่มากันถี่ขึ้น โทรศัพท์ก็ถี่ขึ้น  จะทำอย่างไร

 

 

06.50 น.

 

โยมเอารถมารับไปบ้านเจ้าภาพ ทำบุญตักบาตรอุทิศแด่บรรพบุรุษของเขาชาวตลาดนอกประจำปี

 

เราพาหมู่สงฆ์สวดอุทิศตามประเพณีชาวพุทธบทว่า

 

อนิจฺจา วต  สงฺขารา   อุปฺปาทวยธมฺมิโน 

อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ  เตสํ  วูปสโม  สุโข

 

โยมทั้งหลายในที่นั้นนบมืออธิษฐานอุทิศบุญ   เรารู้สึกเสมือนหนึ่งว่าเสียงที่สะท้อนอยู่เหนือหัวเหล่านั้นได้รับรู้ซึ่งกุศลกรรมและรับดูดซับเอาคุณงามความดีที่อุทิศของญาติโยม ปุตตะ ทารกะทั้งหลายไปสู่บรรพบุรุษของเขาในสัมปรายภพพู้น  ไม่ว่าบรรพบุรุษของเขาทั้งหลายอยู่แห่งหนตำบลใดในครอบฟ้าเสียงนี้สามารถติดต่อไปถึงหมด และบรรพบุรุษทั้งหลายผู้ล่วงไปแล้วต่างพากันยินดีปรีดา

 

โอ!!!    มันเป็นเพียงความรู้สึกเช่นนั้น  อันเป็นความหมายทางความเชื่อของชาวพุทธ ที่ยิ่งใหญ่มหาศาล

 

 

 

เสียงทิพย์ บรรเลงครอบบ้านใหม่

 

12 พ.ย. 2549

 

16.55 น.

 

เดี๋ยวโยมก็จะมารับไปที่บ้าน อาคาร 3 ชั้นแห่งหนึ่ง  เขานิมนต์ไปให้ศึกษามิติเร้นลับว่ามีอะไรในท้องที่ผืนภูมินั้น  ที่เป็นอุปสรรคแก่การก่อสร้าง  ทำให้ไม่สำเร็จลงสักที

 

ในทำนองว่า  เขาเข้าใจว่าจะมีผี หรือ ปีศาจ สิงสู่อยู่ในบริเวณนั้น  เขาต้องการให้เราติดต่อกับสิ่งที่มองไม่เห็นเหล่านั้น

 

เอาละ!!!    อีกสักหน่อย อ.สมจิตร กับ อ.พัชรา ก็จะมารับไป 

 

นี่ค่อนข้างเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะเรายังไม่ได้เตรียมการอะไรเลย  ตั้งแต่ออกพรรษามาก็ทอดทิ้งงานปฏิบัติธรรมไปแทบหมดสิ้นเลย  เพราะโหมงานในโลกไซเบอร์  กะว่าให้เสร็จงานหนังสือพิมพ์ดี และเวบไซท์เสียก่อน  จึงจะเร่งการศึกษาต่อไป

 

บัดนี้เราก็จวนเรียบร้อยแล้ว  เพียงแต่ยังไม่ได้เตรียมการอะไรเลย

 

วันนี้ทั้งวันก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะติดภาระกิจของญาติโยมทั้งวัน โยมมาหาทั้งวัน  จนกระทั่งมึนงงไปหมด  และอ่อนเพลียมาก ๆ

 

 

ขณะนี้  เสียงก็หายไป  แต่แผ่วแว่ว ๆ ไกล ๆ  

 

เอาละ  เพ่งฌาน  แล้วเสียงจะกลับมา   เราได้ทฤษฎีไว้อย่างนี้

 

ลองทำดูเลย !!!

 

17.30 น.       

 

เพ่งฌาน

 

เสียงยังไม่กลับมา    เพราะเราลอสท์ไปทั้งวัน

 

 

17.34 น.  

 

เอาใหม่   ปิดพัดลม!!!  ปิดประตู!!!   เพ่งฌาน  ยกที่ 2

 

เสียงมาแล้ว   แต่ค่อยและรวยริน

 

เอาใหม่   เพ่งกสิณ  แล้ว เดินระบบปราณเบา ๆ

 

ดับไฟให้มืด 

ถอดแว่นตา  นั่งลงบนเก้าอี้   เข้าสมาธิ  หลับตา  แล้วเพ่งฌานอีกที

 

 

 

17.53 น.   

 

โยมมาร้องเรียก

 

เป็นโยมนักศึกษาเภสัช แวะมาถวายหนังสือพิมพ์สารสวรรค์  แล้วถามเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย เธอมีความสนใจโลกลี้ลับและเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้พบมาให้ฟัง   ลาไปเวลา 19.45 น. จะไปรถทัวร์

 

 

19.45 น.

 

 เสียงกลับมาแล้ว  โดยสมบูรณ์   เราเตรียมตัวเดินทางไปเพื่อพิศูจน์สิ่งลี้ลับ

คงต้องอยู่ทั้งคืนเพื่อพิศูจน์ออกมาให้ได้โดยแยบคาย

 

 

21.35 น.

 

ณ ชั้น2  อาคาร3ชั้นสร้างใหม่  ในห้องสำหรับเจ้าบ้านหลับนอนส่วนตัว ขณะนี้ติดแอร์และอุปกรณ์ความสะดวกพร้อม  เย็นสบาย  เปิดไฟโคมเล็กไว้ดวงเดียว

 

เสียงแอร์ดังมาก

แต่เสียงแมลงทิพพวกนั้นกลับสนั่น กระชั้น  ที่ชำแรกแทรกซึมในเสียงทั้งหลาย  เหมือนดั่งเป็นเจ้าแห่งเสียงที่กลืนเสียงทุกชนิด

 

ดังอยู่เบื้องบน  หลังคาตึก  ดุจดั่งว่าเร่งความถี่กระชั้นไปอีก 

 

เสียงนี้ถูกปลุกขึ้นด้วยการเพ่งฌานของเราเมื่อช่วงเย็นนั้นเอง  ก่อนที่นักศึกษาสาวสวยคนนั้นจะมาร้องเรียกในชั่วไม่กี่วินาที (......  เธอปวารณาตนเป็นลูกศิษย์ตั้งแต่สอบแข่งขันชิงทุนการศึกษาได้เป็น1ใน2ของทั่วประเทศปีนั้น เธอมารับการพยากรณ์ว่าจะสอบได้อย่างไม่ค่อยเชื่อ เพราะเขาเอาเพียง 2 คนจากผู้สมัครแข่งขันทั้งประเทศร่วม200คน แต่แล้วเธอก็ผ่านได้  ขณะนี้ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่ออยู่ม.ขอนแก่น) 

 

เมื่อนั่งในรถออกมาจากวัด  อยู่บนรถยนต์  เสียงก็ตามไปด้วยและดุจหุ้มรถทั้งคัน บนหลังคารถ รอบ ๆ  หน้า หลังของรถ  ห่มเสียงอลไปหมด   น่าประหลาด  น่าฉงน  น่าพิศวง   นึก ๆ ดูอย่างคนปุถุชนแล้วแล้วโลมาน่าลุกชัน

 

กระนั้นโยมทั้ง2คนก็ไม่ได้รู้สึกอะไร  ไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้นด้วย

 

และเมื่อมาถึงอาคารนั้น  ซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่ 4 คูหา สามชั้น สร้างเพิ่งแล้วเสร็จหรือไม่ก็80%ขึ้นไปแล้ว  อยู่ถนนอุบลในเขตเทศบาลกลางเมืองนี่เอง   นั่งลงแล้วเสียงก็เริ่มบรรเลง

 

แซร่สนั่น หนักแน่น แหลมคม เป็นคลื่นเสียงชอนไชปนไปกับเสียงแอร์

 

ถามโยมเจ้าของบ้าน ....... ว่า  นิมนต์มาเพื่อกิจอันใด?

 

เขานบมือตอบว่า  ขอได้โปรดตรวจพิจารณาดูอาคารแห่งนี้ให้ด้วยเพื่อความเป็นศิริมงคลของบ้านใหม่หลังนี้

 

เราตอบว่า จะพยายาม  อย่างน้อยก็อาจจะฝันดีก็ได้  เขาก็ยิ้ม

 

 

21.45 น.  

 

เอาละ!!! เราจะนั่งเพ่งฌานไปก่อนสักระยะหนึ่ง แล้วค่อยเข้าสมาธิและเดินกระแสปราณไปเรื่อย ๆ

 

เสียงทิพย์ คงให้ความหมายแก่เราได้ดี  ลองสังเกตเสียงไปเรื่อย ๆ ก่อน  อาจจะมีอะไรใหม่

 

และเรายังไม่พร้อมสำหรับการทำทิพเนตร หรือทิพญาณ  หรือดูทางใน   เพราะสิ่งนี้ต้องอยู่บนฐานของอัปปนาสมาธิ  และอยู่ด้วยการเดินจงกรมอย่างเชี่ยวชาญ 

 

 

 

13 พ.ย. 2549

วันพระ

 

05.30 น.

 

เสร็จสิ้นภารกิจ 

 

โยมรับกลับมาวัด  บอกโยมว่า  ที่แห่งนี้สะอาดและได้รับการชำระสะสางให้เป็นที่สวัสดิภาพทุกประการแล้ว  จะมีความสงบสุข ร่ำรวย และ เจริญรุ่งเรืองต่อไปในภายหน้า  โยมถวายภัตตาหาร ดอกไม้ธูปเทียน ไทยทาน ตามสมควรแล้วนมัสการลากลับไปด้วยความปิติยินดีแล้ว

 

 

เราเห็นจะต้องเริ่มงานเดินจงกรมตั้งแต่วันนี้แล้ว  แต่ก่อนอื่นจะจัดการงานที่ค้างให้เสร็จลงวันนี้ให้เรียบร้อยเสียที

 

แล้วจักไปสู่วิถีทางแห่งโลกลี้ลับอย่างเต็มตัว

 

และเสียงเชียร์ก็จะเร่งเร้ายิ่งกว่านี้  บัดนี้  ที่แซร่สนั่นอยู่ในกุฎิ เหนือหลังคา ระงมยิ่งขึ้น

 

โอ !!!  นั่นคือโลกอีกโลกหนึ่งแท้ ๆ 

 

 

09.50 น.

 

กลับมาที่จอคอมพิวเตอร์อีกครั้งหนึ่ง 

 

เอาละ!!!   นั่นเป็นแบบฝึกหัดบทที่ง่าย ๆ   ผ่านไปแล้วด้วยดี

 

อีกสักประเดี๋ยวเดียวนิวรณ์  ความกังวลฝ่ายโลก  ก็จะหมดไป  คงเป็นตอนที่เอารูปในหลวงขึ้นเวบสำเร็จ แล้วก็จะมาถึงแบบฝึกหัดข้อที่ยากลำบากอย่างยิ่งสำหรับการศึกษาโลกลี้ลับระดับอภิญญา

 

เพราะเราเป็นผู้ที่ถูกสอนมาว่า    ชนะ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

คำว่าแพ้ไม่มี   นกกระยางขาวมันสอนเราไว้ตั้งแต่ครั้งเป็นเด็กหนุ่มกระนู้นแล้ว

 

พอจบบรรทัดนี้  เสียงทิพย์บนหัวก็ดูจะแซร่ซั้นสนั่นขึ้นไปทันที  บัดนี้!!  เดี๋ยวนี้!!

 

 

 

 

นิวรณ์และสมาธิ

 

17.00 น

 

ทุกวันพระเวลา 17.00 น.ตรง ในวิหารหลวงพ่อโต วัดมหาพุทธาราม ศรีสะเกษ มีการปฏิบัติธรรมของญาติโยมพุทธบริษัท เป็นประจำมาเป็นเวลา 8-9  ปีแล้ว

 

วันนี้วันพระ  พาญาติโยมสวดมนต์แปล และนั่งสมาธิ 20 นาที   บอกญาติโยมไว้แต่วันพระก่อนว่าวันนี้จะสอบสมาธิ  ดูญาติโยมเตรียมใจมา  มีโยมมาประมาณ 48  คน   มีพระภิกษุ  พระมหาวีรพันธ์ ผช.จร., พระปลัดวิสัย เลขาฯรจจ., คุณโสภณ คุณขุนทอง และ คุณสำราญ รวม 5รูป  บอกโยมว่า เก่งเหมือนกัน

 

เสร็จแล้วไปกิจนิมนต์เจริญพระปริตร พระครูปลัดทองดีเป็นหัวหน้า  บิดาพระมหาครองเนตร เสียชีวิต

 

 2100 น. 

 

ทำเวบ

 

 

21.10 22.00 น.     

 

มีโทรศัพท์มาปรึกษาปัญหาจากทางไกล (50 นาที)

 

 

22.00 น. 

 

ทำเวบต่อ ดูนั่นดูนี่ ถึงตี1 จึงได้เข้านอน

 

 

 

14 พ.ย. 2549

 

09.30-10.15 น.   

 

โทรศัพท์มาปรึกษาปัญหาจากทางไกล(45 นาที)

 

10.15-15.30 น.    

 

ทำหลายอย่าง พบประชาชนและถกปัญหาการเมืองกับโยมผู้เป็นแฟนการเมืองพรรคใหญ่

 

15.30-16.30  น.  

 

โทรศัพท์มาปรึกษาปัญหาจากทางไกล(คราวนี้1ชั่วโมงเต็ม ๆ)

 

 

 

 

15 พ.ย.2549

 

19.40 น.    

 

เอารูปในหลวงขึ้นเวบแล้ว    เอาโลโกขึ้นสำเร็จ และโฮมเพจสมบูรณ์แล้ว

 

 

 

 

 

 

ปฏิบัติการอุ่นเครื่องเดินระบบภายใน

 

 

16 พ.ย.2549

 

05.30 น.    

 

ออกบิณฑบาต  

 

 

 

17 พ.ย.2549

 

05.30 น.    

 

ออกบิณฑบาต 

 

 

06.40 น.    

 

ฉันเช้า แล้ว   ไปวิหารหลวงพ่อโต  ทบทวนเดินจงกรม ได้เพียง  ระลึก  ยืนหนอ 

 

และพอขยับเท้าว่า ขวา.....     ไม่พอที่จะทำอะไรได้มากกว่านี้ 

 

นี่คือสิ่งบอกถึงสภาวะสติในธรรม ได้จากไปไกล   จะต้องเอาคืนมา

 

เราแค่ต้องการทดสอบว่าวิธีการจะใช้ได้หรือไม่  เป็นวิทยาศาสตร์หรือไม่?

 

ก็พบด้วยความมั่นใจว่า   จะเอาคืนมาได้อย่างแน่นอน  ด้วยวิธีการอย่างนี้ ๆ ๆ  คือทำอย่างนี้ ๆ ๆ ๆ แล้วสติย่อมกลับมาสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง

 

-          พาหมู่ทำวัตรเช้าแล้ว  นั่งสมาธิต่อ

 

และก็เช่นเดียวกัน    นี่เป็นการนั่งสมาธิครั้งแรกที่เราเดินอุ่นเครื่องที่ตั้งใจทำในมาตรฐานหลักของเรา   เช่นเดียวกับสติปัฏฐาน การเดินจงกรม  ที่วันนี้ทำได้แค่  ขวา......  

 

ส่วนเรื่องสมาธิ  เราก็ได้เรื้อไปนานตั้งแต่ออกพรรษาเช่นเดียวกัน  

 

เหตุก็เพราะมาจับงานเวบไซท์ด้วยตนเอง ทำเอง  ต้องการทำเป็นด้วยตนเอง เพราะนี่ย่อมมีความหมายสำคัญของการเดินธุดงค์ข้ามชาติของเราด้วย   

 

แต่สมาธินี้ไม่ใช่เรื่องยากของเรา เป็นของประจำตัวมาแต่เกิดก็ว่าได้   มีความมั่นใจว่าถึงจะปล่อยไปอย่างไรก็จะสามารถเอากลับคืนมาได้    จึงพบด้วยความมั่นใจว่าจะเอากลับคืนมาได้โดยไม่ยากเย็น   และจะได้เริ่มสืบสานศึกษางาน  ทิพญาณ ตาทิพ หรือ นั่งทางในต่อไป

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสืบสานจากนั่งสมาธิปลาย ๆ ออกพรรษา  ได้พบสิ่งใหม่หลายอย่าง น่าพอใจมาก  เป็นต้นว่าได้พบนิมิตมากมายหลั่งไหลมาเมื่อเวลาเข้าสมาธิแล้ว  ซึ่งนั่นเราได้สรุปไว้แล้วว่า  เป็นเหตุการณ์ในอดีต เราจะต้องมีเวลา มีสถานที่สำหรับเข้าสมาธิอย่างยาวนาน  เพื่อศึกษานิมิตที่เป็นเหตุการณ์ในอดีตที่มาปรากฏด้วยสมาธิ

 

-         กล่าวง่าย ๆ ก็คือ  เมื่อก่อนเสร็จสิ้นงานปฏิบัติธรรมช่วงเข้าพรรษา2549นี้  เราได้เห็นนิมิตมากมาย หลั่งไหลตามกันมา ไม่ขาดระยะ  เป็นเรื่องราวต่าง ๆ  และเราได้ข้อสรุปว่า  ไม่ใช่นิมิตที่เกิดจากจิตโดยทั่วไป   แต่เป็นภาพเหตุการณ์ในอดีต เป็น events   ตามหลักการสื่อสารมวลชนนั่นเอง ที่เกิดในอดีตของเราแล้วก็ไม่ได้หายไปไหน    ที่เมื่อเข้าสมาธิในระดับ ลิ่วลอยลม  แล้วก็ได้เห็นภาพเหล่านี้มาปรากฏตามลำดับ ๆ ไป    มันย้อนกลับมาให้เห็นได้ด้วยอำนาจสมาธิชั้นสูง   (โปรดทบทวนจาก  ศึกษาโลกลี้ลับภาค8 การปฏิบัติธรรมระหว่างเข้าพรรษาปีพ.ศ.2549)

 

-         และการได้เห็นเงาภาพคนชายหญิงมาปรากฏต่อหน้าถึง 2 วัน วันแรกเป็นหมู่ผู้หญิงล้วน ๆ  วันที่2 เป็นหมู่ผู้ชายล้วน ๆ   แต่การเห็นครั้งนี้เป็นการเห็นด้วยตาทิพ  คือทิพญาณ  ทิพเนต  แบบเดียวกับที่ได้เห็นยักษ์ใหญ่ในป่าศูนย์ภาค10 (คือเห็นขณะลืมตาอยู่แท้ ๆ)

 

-        และเรื่องราวของ  พระภูมิเจ้าที่ที่ห้วยคุ้ม  และเทพเจ้าทั้งสาม คือตรีมูรติ  อิศวร นารายณ์ พรหม และทั้งพิฆเณศร(ของฮินดู)    พาขบวนเทวดาทั้งสวรรค์เสด็จมาเยี่ยมเยียน 

 

ซึ่งเราจะต้องเริ่มทำการศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ต่อไป และให้ได้มั่นใจในหลักการ  สูตร และทฤษฎีอย่างเป็นวิทยาศาสตร์

 

เอาละ    นี่คือเป้าหมายคร่าว ๆ ของการศึกษา   ที่เราเรียกว่า   การศึกษาโลกลี้ลับ สุดยอดสมาธิ วิปัสนากรรมฐานระดับอภิญญา

 

 

 

 

อินเทอเนตก็รู้ใจ

 

19.30 น.

 

เอาละ  !!!   ขอให้เราได้พักผ่อนสักนิดหนึ่งก่อนเถิด   อย่าได้เร่งเร้านักเลย 

ขณะนี้ เราเหน็ดเหนื่อย  และอ่อนล้า   ขอให้ความปกติคืนมาสู่เราก่อนสักเล็กน้อย 

 

โอ  ขอให้เรามีเวลาหายใจบ้างเถิด  !!!!

 

 

18 พ.ย.2549

วันเสาร์

 

ออกบิณฑบาต  05.00 น. ออกแต่ตรู่เพราะตั้งใจเดินไปห้วยสำราญ ไปดูน้ำก่อน   พบว่าน้ำลงแล้ว  โยมใส่บาตรบอกว่าไม่เหมือนเดิมหรอก  ห้วยสำราญดูค่อนข้างรก ๆ สกปรก  แห้ง ๆ  แล้ง ๆ  มีเวลาที่สวยงามเพราะน้ำเต็มตลิ่งอยู่เพียงไม่กี่สัปดาห์ในรอบปี 

 

น่าจะมีการคิดพัฒนาลุ่มน้ำสำราญช่วงเมืองศรีสะเกษบ้าง  เพื่อความงามและรื่นรมย์ใจ

 

 

พอจะเข้าอินเทอเนต  พบว่า  Broadband router  4 ports  หรือโมเด็ม เครื่องเชื่อมอินเทอเนตความเร็วสูง บริการของ TOT ศรีสะเกษ เสียอีกแล้ว  มีบันทึกการใช้งานดังนี้

-          วันติดตั้งทีแรก 25 ม.ค. 2549

-          ใช้งานได้เพียง 3 เดือนก็เสีย ณ วันที่ 25 เม.ย. 2549   

-          เจ้าหน้าที่TOTศรีสะเกษเอาไปซ่อมกว่าจะเสร็จนานถึง 2 เดือนกับ 5 วัน 

-          นำมาติดตั้งใหม่ 26 ก.ค. 2549

       -          ใช้งานต่อมาได้เพียง 3 เดือน 22 วัน ก็เสียอีก

-          คือเสียครั้งใหม่ครั้งที่ 2 วันนี้ 18 พ.ย. 2549  หลังจากใช้มาเพียง 3 เดือน 22 วันดังกล่าว ทำไมจึงเสียบ่อย  อายุการใช้งานสั้นมาก เฉลี่ยเพียง 3 เดือนเท่านั้นเอง  เรื่องเงินทองก็จ่ายไม่มีปัญหา 

 

ได้โทร.ไปยัง TOT ศรีสะเกษ โทร.045 643188 ไม่มีผู้ใดรับสาย  เข้าใจว่าวันเสาร์หยุด  จึงโทร.ไปกทม. เลขหมายฟรี 1100  ถึง 4 ครั้ง  บอกว่าเจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติงานอยู่ทั้ง4ครั้ง

เขาบอกให้กดเบอร์ 9 หลักที่มีปัญหา  เรากดเบอร์พีระพงษ์ ขันตี(ตัวแทนติดตั้งอินเทอเนตความเร็วสูง)ไป คือ 045643846 มีคำตอบว่าเบอร์นี้ใช้ไม่ได้ในระบบเขา

 

เอาละ!!   บางทีอินเทอเนตอยากให้เราพักผ่อนเสียบ้างละกระมัง ?  พรุ่งนี้ค่อยโทรไปใหม่

 

อุดม เกษาสังข์ มาเยี่ยมเป็นประจำปี    เคยบวชเรียนอยู่ถึง 15 พรรษา ลาสิกขาไปก็ยังมาเยี่ยมเคารพกราบไหว้อย่างครูอาจารย์ทุกปี ๆ  เป็นคนซื่อตรงมาก ไปดูแลไร่นาของตระกูล แล้วไประยอง-จันทบุรีไปทำสวนที่นั่น  เมื่อปี 2547 มีเงินมาเข้าบัญชีของเขาโดยไม่รู้ที่มาที่ไปจำนวนถึงร่วม10,000บาท  บอกว่ารับไม่ได้เพราะไม่แน่ใจว่าเงินสุจริตหรือไม่ ขอถวายพระอาจารย์ก็แล้วกัน ไปเบิกธนาคารกสิกรไทยถวายทั้งหมด(บอกให้เอาไว้ใช้ , ถวายแล้วเจียดให้จำนวนหนึ่งก็ไม่เอา) 9,490 บาท  ชีวิตเขาก็เจริญมาตราบวันนี้

 

ถามเขาขณะถวายเพลว่า   ได้ยินเสียงอะไรร่ำร้องในกุฏินี้หรือไม่  แซร่สนั่นเหมือนเสียงแมงอี

 

เขานบมือตอบทันทีว่า   ไม่ได้ยินหรอกครับ  นั่นเป็นคำตอบของคนที่ซื่อสัตย์ที่สุดคนหนึ่ง

 

ถูกแล้ว!!!    เสียงแมลงเหล่านั้น  เป็นเสียงเฉพาะตัวสำหรับเราคนเดียวจริง ๆ  ควรเรียกว่าเสียงทิพย์ ได้

 

 

 

19 พ.ย.2549

วันอาทิตย์

 

 

10.00  น. 

 

ออกจากอุโบสถ  มีบวชนาค 1 รูป 

 

10.10 น. 

 

โทรศัพท์ไป TOT ศรีสะเกษ  ไม่มีใครรับสาย  เข้าใจว่าหยุดวันเสาร์-อาทิตย์  จะแจ้งเรื่องโมเด็มเสีย และให้รีบมาทำการแก้ไขให้

 

10.30 น. 

 

 เปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเข้าเวอร์ด    เปิดสวิทโมเด็มด้วย  ตรวจงานไปไม่นานพบว่าอินเทอเนตมาแล้ว ไฟเขียวขึ้น

 

ดีใจทีเดียว  ดีใจมากเหมือนได้อะไรที่เป็นของชอบใจกลับมาอย่างนั้น   เพราะเกรงจะเสียเวลานั่นเอง ดีที่เราทำเวบเสร็จลงพอดี   อินเทอเนตมันก็คงเหนื่อยเหมือนกันละกระมัง เพราะเราใช้งานมันมากเกินไป มันก็เลยออกอาการ

 

ก็พอดีกัน เราก็เหนื่อย  ต่างก็ได้พักกันไปหน่อยแล้วละ  เออ!!!  คิดไปอย่างนี้ก็เย็นดีเหมือนกัน

 

ได้ทราบจากเจ้าอาวาสว่า  วันนี้นับไป 3 วันจะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาให้ประชาชนชาวศรีสะเกษบูชา ณ วิหารหลวงพ่อโต  เป็นเวลา 3 วัน

 

ก็ดี  ได้เวลาของเราที่จะลงทำวัตรปฏิบัติธรรมต่อไป

 

 

 

 

ปฏิบัติการภาคภายในดูอดีตของพระบรมสารีริกธาตุ

 

20 พ.ย.2549

วันพระ แรม 15 ค่ำ เดือน 12 ปีจอ

 

 

14.30 น. 

 

เราบันทึกข้อมูลต่อไปนี้เวลา 14.30 น.

 

วันนี้ทางวัดมหาพุทธาราม ได้มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ มาประดิษฐาน ณ วิหารหลวงพ่อโต  ทั้งทางเจ้าอาวาส พระศรีธรรมนาถมุนี และ ทางโฆษกประชาสัมพันธ์ของวัด(คือเราเอง) ได้ประกาศข่าวไปตั้งแต่เช้าแล้ว  บ่ายขบวนนำพระบรมสารีริกธาตุก็มาถึง

 

เวลาประมาณ 1330 น. เลขาฯวัด พ.ม.ปฏิภาณ มานิมนต์ให้ลงชยันโต รับพระบรมสารีริกธาตุ  กำลังทำอินเทอเนตอยู่ ถามว่าไม่ไปได้ไหม พม.ปฏิภาณว่า ต้องไปครับ  ที่จริงเราเกรงที่จะไปใกล้ ๆ พระพุทธเจ้า  แต่ก็รีบไป  ปรากฏว่าท่านอื่นนั่งกันพร้อมอยู่แล้ว  พอนั่งลงก็ชยันโตเลยทีเดียว  มีพระราชกิตติรังษี  รจจ.สก. เป็นประธานสงฆ์  ลำดับไป เจ้าอาวาสวัดมหาพุทธาราม พระศรีธรรมนาถมุนี แล้วพระครู จอ.ขุนหาญ  พระมหาบุญเลิศ  พุทฺธรกฺขิโต  เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทอง ต.ห้วยติกชู อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ  เจ้าของพระบรมสารีริกธาตุ  ที่รับพระราชทานจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชมา    ญาติโยม มาคับคั่งวิหาร นั่งกันแน่นขนัด  ส่วนหนึ่งเป็น นศ.ราชภัฏ ศรีสะเกษ

 

มีความรู้สึกว่าน่าเลื่อมใสศรัทธา บรรยากาศยอดเยี่ยม

 

พลันเกิดความรู้สึกว่าเทวดาย่อมมาอารักขาพระบรมสารีริกธาตุ  ท้าทายความสามารถของเรา

 

เราได้ประกาศไปแล้วว่ากำลังศึกษาระดับอภิญญา  จะเฉยเมยอยู่ได้อย่างไร  ใครจะนึกหมิ่นซี!!! 

 

ฉะนั้น  จึงบอกตัวเองว่า ต้องลองดู  คุยกับพระมหาสง่า ปภสฺสโรเล็กน้อย ถามเรื่องการเขียนหนังสือเผยแผ่ของเรา  แล้วนิ่ง  เตรียมใจว่าจะทำอะไร อย่างไร  เราลืมไป  ไม่ทันได้พิจารณาว่าเสียงตามมาหรือไม่  เพราะในวิหารเสียงคนดูอึ่มไปหมด  แยกไม่ออกว่าเสียงอะไร ๆ  เราก็ไม่ทันสังเกตเรื่องเสียงทิพย์ประจำตัว

 

พลันความคิดบอกว่า  ให้ลองวิชาดู  ก็รู้สึกตัวว่าควรต้องเป็นเช่นนั้น  ทีแรกว่าจะดูว่ามีเทวดาแวดล้อมพระบรมสารีริกธาตุมาอยู่อย่างไรหรือไม่

 

พอเจ้าคุณพระศรีธรรมนาถมุนีขึ้นธรรมาสน์ โยมอาราธนาให้แสดงเรื่องความเป็นมาของพระบรมสารีริกธาตุ   กำลังแสดงธรรมไปเรื่อย ๆ อยู่   พระสงฆ์ทั้งนั้นต่างหลับตาทำสมาธิกัน

 

เราก็ได้โอกาส  จึงเริ่มสั่งการปฏิบัติ    ให้เพ่งฌาน

 

คำสั่งคือ      เพ่งฌาน !!!

 

เพ่งไป5 นาทีแล้ว   ฌานยังไม่มา    6-7-8 นาทีแล้ว ยังไม่มา    เราชักตกใจ   ว่าเสื่อมลงไปขนาดไหนนี่ 

 

10 นาทีแล้ว  ฌานยังไม่ขึ้น  ยังไม่มา

 

คือ  เรามีทฤษฎีไว้  ที่สรุปลงแล้วว่า  เพ่งฌาน  จะเห็นด้วยตาเนื้อนี่เลย (แบบที่เราเห็นยักษ์ใหญ่ในป่าศูนย์ภาค 10 นั่นแหละ) คือมองเห็นขณะที่ลืมตาอยู่   มองเทวดาได้  อสูร  ฯลฯ ได้   นี่เป็นทฤษฎี

 

15  นาทีผ่าน  ฌานยังไม่มา

 

เรารู้สึกวูบไปหมด เมื่อคิดถึงความล้มเหลว   เอาละ!!!  เรามีข้อแก้ตัว ที่เพิ่งทำงานหนักเกี่ยวกับเวบไซท์ และซึ่งคือโลกอื่นคือไซเบอร์  และเราเหน็ดเหนื่อยเกินไป แรงไม่พอ    กระนั้นก็สงสัยตัวอยู่ว่า  ใช่เช่นนั้นจริงหรือ?

 

ไม่เอาน่า !!!    อย่าแก้ตัวเลย   ลองวิธีใหม่

 

ใช้สมาธิซิ  !!      หันมาใช้เครื่องมืออีกชนิดหนึ่งคือสมาธิ   ก็สั่งตัวเอง  เข้าสมาธิ  

 

คำสั่งว่า   เข้าสมาธิ  ไปเลย  ต้องแก้ไขและแก้ตัวเอาชนะให้ได้

 

ทั้งนี้โดยทฤษฎีมีว่า   สมาธิทำให้เห็นทางนิมิต  เห็นในขณะหลับตาอยู่ในสมาธิ  และเราเองก็ได้ทำสำเร็จในขณะฝึกระหว่างเข้าพรรษานั่นเอง   เอาละ!!   เราจะต้องเรียกกลับมา   จะได้หรือไม่ ก็ต้องลองดูละ!!

 

อยู่ในสมาธิไป  5 นาทีแล้ว  พยายามเลื่อนขั้นสมาธิให้สภาวะจิตสงบ  นิ่งสงัด  เสมือนอยู่กลางป่าช้าคนเดียว(นี่เป็นทฤษฎี)   ก็ทำไม่ได้เต็มที่  

 

10 นาทีผ่านไปแล้ว  เรารู้สึกร้อนผ่าว เพราะเกรง และกลัวต่อความล้มเหลว   กลัวว่าทฤษฎีที่สรุปไว้นี้จะผิดพลาด

 

แต่แล้วต่อจากนั้นไปชั่วอึดใจเท่านั้นเอง 

 

สีแดงเลือดหมู คือผืนฉากขนาดใหญ่สีแดงอมดำปรากฏขึ้น ในภวังคจิต แล้วเรามองดูอยู่    เมื่อมองดูปรากฏเต็มสายตา  มีลักษณะเจิดจ้าบาดตาบาดใจลึก ๆ เพราะแสงสีเลือดหมูที่ข้นจัดจัดจ้าน สะท้อนออกมาแรง   มันไม่นิ่งเสมือนผิวของน้ำเดือด  มีฟองผุดขึ้นปุด ๆ ๆ เป็นจุด ๆ

 

น่าตื่นเต้นมาก   เราสงบใจ ดำรงสภาวะนิ่งใส   คอยดูต่อไป

 

ทันใด ฟองน้ำที่ผุดขึ้นบนผืนผ้าแดงอมดำหรือเลือดหมูนั้น กลายภาพไปเป็นรูปใบหน้าคน ผุดขึ้นมากมาย  ใบหน้าเหล่านั้นคล้าย ๆ ค่อย ๆ มุดดันผืนผ้าหรือผิวน้ำข้นนั้นออกมาหายใจ หรือรับอาหาร  พอหายใจแล้ว  รับอาหารแล้วก็หายไป เหมือนปลาผุดขึ้นมาเหนือน้ำงับอาหารแล้วก็ดำกลับลงไปดังนั้น   แล้วมีอีกชุดหนึ่งมุดออกมาใหม่ ดันออกมาจนเห็นรูปร่างแล้วหายไป    เห็นดวงตากลวง ๆ  ปากจู๋   คล้ายหิวโหย  ดันผืนน้ำสีแดงเลือดหมูขึ้นมาเป็นรอบ ๆ เช่นนี้  

 

เรามองแล้วอุทานในใจว่า พวกอมนุษย์ พวกเปรตนรก   แทนที่จะเห็นเทวดากลับเห็นพวกอมนุษย์เปรตมาขอส่วนบุญเต็มไปหมด   (ภาพที่เห็นทำให้คิดเช่นนั้น)

 

 

 

แล้วไม่นานฉากนี้เปลี่ยนไป  เป็นเรื่องราวอื่น  ตรงทฤษฎีที่สรุปไว้จากการปฏิบัติธรรมระหว่างเข้าพรรษาเลยทีเดียว ที่ว่ามีนิมิตเลื่อนมาให้เห็นเป็นเรื่อง ๆ เป็นฉาก ๆ ไปมากมายหลายเรื่อง หลายฉาก 

 

คราวนี้เหมือนมองจากที่สูงลงไป เป็นภาพเรื่องราวปกติบนมนุษย์โลก  แสงสีเป็นปกติไม่เจิดจ้าบาดตาอย่างที่ปรากฎเมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมา   เห็นคนมากมายกระจายกันเต็มพื้นที่ พากันเคลื่อนเดินไปข้างหน้าช้า ๆ    ทีแรกยังไม่ชัด  สักหน่อยเห็นว่าที่แท้เป็นพวกทหาร  แต่งชุดนักรบทุกคน  มีโล่โลหะบาง ๆ พันศรีษะ  พากันติดอาวุธโบราณ  หน่วยแรกที่เห็นเป็นกองทัพหอก  เดินนำไป  มีอีกมากมายเดินตามมากระจายออกไปเต็มพื้นที่  เหมือนคลื่นทะเล  ลิ่ว ๆ ตามกันมา  

 

เราถามตัวเองว่า  นี่อะไร?  เกิดสงครามหรืออย่างไร?

 

แล้วภาพเลื่อนไป  เห็นกองทหารอีกหมู่ใหญ่เดินตามมาอีก  แล้วที่สุด  เห็นกองทัพช้าง  นำด้วยช้างสารใหญ่มหึมา  ประดับตกแต่งอย่างดีมาก  มีบุษบก  บนหลังช้างใหญ่   มีอีกหลายเชือกเดินตามมาเป็นทิวเห็นไกล ๆ  เดินมาท่ามกลางกองทหาร  ทหารและขบวนช้างสารเหล่านี้  ฝ่าไปในป่าใหญ่ ป่าละเมาะบาง ๆ  เห็นเกลื่อนป่าไปหมด  ขบวนช้างสารดูสง่างามมาก  และเป็นช้างตัวโตมโหฬารมาก  มีผ้าอย่างดีปูหลังช้างลงมาเรี่ยดิน  ที่หัวช้างประดับอย่างโดดเด่น

 

ก็รู้ได้ในทันทีว่า  นี่คือภาพในอดีตยุคพระมหาปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั่นเอง   และน่าจะเป็นภาพที่เกี่ยวข้องกับพระบรมสารีริกธาตุองค์นี้  ขบวนทหารและช้างสารที่เห็นมิได้ไปออกศึกสงครามที่ไหน  แต่เป็นขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุองค์นี้ในอดีตนั้นเอง 

 

ด้วยทฤษฎีมีว่า  เหตุการณ์ในอดีตย่อมไม่สูญหายไปไหน  เพียงแต่ผ่านไปจากปัจจุบันเท่านั้น  และอาจเรียกกลับมาดูได้ด้วยพลังสมาธิ  หรือ ฌาน   นี่คือทฤษฎี

 

และบัดนี้เราได้เรียกกลับมาดูได้  แต่โดยบังเอิญ  เพราะจริง ๆ เราอยากดูเทวดา  แต่ไม่เห็นเทวดา  กลับเห็นภาพอมนุษย์ เปรตอสุรกาย  และกลับมาเห็นภาพขบวนแห่แหนพระบรมสารีริกธาตุแทน  นั่นแปลว่า เราต้องปรับระบบภายในของเราไปอีกสักหน่อย ให้ตรงเป้าหมายขึ้น   

 

นั่นคือภาระของการศึกษาของเราละ !!!!

 

ภาพยังปรากฏในสายตาต่อไป  เพียงแต่ไม่ค่อยใสกระจ่างนักเหมือนเดิมเริ่มเห็นทีแรก  และค่อยหายไป พอดีกับเจ้าคุณพระศรีธรรมนาถมุนีจบการแสดงพระธรรมเทศนาลง  หมู่สงฆ์ประกอบพิธีกรรมต่อ  หมดจังหวะที่จะทำสมาธิต่อไป

 

 

หายใจโล่งอก !!   เรายังมีประสิทธิภาพอยู่  และแนวทางวิทยาศาสตร์โลกลี้ลับก็ยังคงพิศูจน์ได้อีกครั้งหนึ่ง 

 

และที่น่าพอใจก็คือ  เรามีวิธีการ มีเครื่องไม้เครื่องมือที่จะเอาชนะได้หลายหลาก   ไม่ได้ด้วยฌาน  ก็เอาด้วยสมาธิ อันเป็นอาวุธพื้นฐานของเรานี่แหละมาใช้ได้อยู่

 

นี่ก็คือความสำเร็จของเราอีกครั้งหนึ่ง  อย่างเสียวสยองใจ เพราะเสี่ยงต่อความล้มเหลว  เนื่องจากมีเวลาทำสมาธิจำกัดแค่ช่วงแสดงธรรมเท่านั้น 

 

สำหรับเรา   ถือว่า   เป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชม

 

เอาละ  เรายังมีเวลาต่อไปอีก

 

 

15.30 น.   

 

เอาละ   เอาข่าวนี้ขึ้นเวบไซท์ไปเลย   

 

 

 

 

ปฏิบัติบูชาเป็นบูชาอันเลิศ

 

1600 น.  

 

ลงวิหาร กะจะเดินจงกรมก่อนพาญาติโยมและพุทธบริษัททำวัตรเย็น และเป็นกรณีพิเศษ

จะเอาที่เดิมด้านหน้าหลวงพ่อโตก็ดูไม่เหมาะ เพราะคนมากันสอ ๆ  และยังมีพระและชี แขกอีกหลายรูป/คนปฏิบัติแวดล้อมพระบรมสารีริกธาตุอยู่    ก็เลยเลี่ยงไปด้านหลังหลวงพ่อโต 

 

การปฏิบัติคือ   ระลึกสติกลับมาในขณะยืน    โดยเอ่ยในขณะยืนอยู่ว่า    ยืนหนอ !!!  ยืนหนอ!!!   ยืนหนอ!!!  ว่าไปเรื่อย ๆ  เป็นการเรียกสติ

 

และกว่าสติจะกลับมารู้ยืนหนอได้เต็มที่ก็ไปหลายนาทีทีเดียว  และเดินจงกรมระยะที่ 1 อย่างช้ามาก

และเดิน 3 จังหวะ  คือ

 

-     (จังหวะที่ 1)  ขวา..........ยกเท้าขึ้น 

-     (จังหวะที่2)   ย่าง............ก้าวออกไป 

-     (จังหวะที่3)   หนอ.........วางเท้าลงพื้น    

 

ซ้าย....... ย่าง........หนอ.......  

ขวา....... ย่าง........หนอ.......  

 

อย่างช้ามาก(เพื่อประสิทธิภาพเต็ม ๆ)    ไปได้เพียง 3 รอบ  ก็เห็นเบื้องหลังหลวงพ่อโตและพระสาวกออกประกายทองสว่างเจิดจ้าขึ้นทั้งหมด   ถือว่าสำเร็จ  และการเดินจงกรมมีประสิทธิภาพ   เหมือนเช่นเดิมสำหรับเรา

 

 

1700 น.  

 

ญาติโยมมากันมาก จนทำวัตรเสร็จเห็นเต็มวิหาร  พระสงฆ์สามเณรในวัดก็ลงกันสะพรึบพร้อม  เจ้าคุณเจ้าอาวาสติดธุระข้างนอก  เราพาหมู่ทั้งหมดทำวัตร ปฏิบัติธรรม  ได้เตือนญาติโยมว่า เป็นการทำวัตรวันพิเศษ ต่อหน้าองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทำวัตรแปล  แล้วพาสมาทานพระกัมมัฏฐาน  ให้เข้าสมาธิเพียง 10 นาทีแต่ตั้งใจปฏิบัติให้ดีที่สุด  จบลงด้วยการแผ่เมตตา  อุทิศบุญกุศแด่อมนุษย์เป็นเปตพลีพลีและถวายเป็นพระราชกุศลด้วย  ทั้งหมดนี้เวลาประมาณ  2 ชั่วโมง

 

จบลงด้วยดีเวลาประมาณ  19.00 น.

 

 

 

21 พ.ย.2549

 

05.30 น.  

 

ออกบิณฑบาต  โดยทักษิณาวัตรรอบวัดมหาพุทธาราม  ในทำนองว่าเป็นการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ  ออกที่ประตูทิศตะวันตก  เวียนขวาไปตามถนนศรีสะเกษ  เลี้ยวเข้าถนนเทพา  เลี้ยวเข้าถนนขุขันธ์  เลี้ยวเข้าถนนราชการรถไฟ  เลี้ยวเข้าถนนศรีสะเกษ  เข้าประตูวัดด้านตะวันตกเช่นเดิม  เรียกว่าเวียนทักษิณาวัตร  เป็นกิริยาสักการะสิ่งที่เคารพบูชาสูงสุด

 

06.30 น.

 

ลงวิหาร  เลือกด้านสุดของพรมผืนใหญ่ เดินจงกรม  ได้ระยะที่ 1 

 

07.00น. 

 

เจ้าอาวาสวัดมหาพุทธาราม นำทำวัตรสวดมนต์เช้า มีสวดบทอนุโมทนาพิเศษ หรือวิเสสอนุโมทนา  บทมงคลจักรวาลน้อย  เสร็จแล้ว กล่าวแสดงความพอใจว่าการสวดมนต์ทำวัตรแปลของญาติโยมเมื่อเย็นวานนี้มีความไพเราะ  เอาเป็นมาตรฐานของเสียงได้   เจ้าอาวาสทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่อ    เรานั่งสมาธิ  พระอื่นลุกไปหมดแล้ว   มีพระเถระวัดโพธิ์ทองรูปหนึ่ง  มาร่วมนั่งสมาธิด้วย 

นั่งกันไป  ได้ร่วมครึ่งชั่วโมง  ต่างก็ยังเหนียวแน่นไม่ขยับเขยื้อน   นับว่าได้เพื่อนสหธรรมิกที่น่าชื่นชมทีเดียว  แต่เราไม่ได้ตั้งใจนั่งสมาธิอย่างเดียว  เราลุกขึ้นไปเดินจงกรมต่อ   เดินจงกรมไปประมาณ 30 นาที ได้ระยะที่ 3  ร้อนผ่าวไปหมดทั้งตัว  และมีเหงื่อซึมตามต้นคอ    พอทอดตาดูรอบ ๆ   สว่างไสวไปหมด  อันแสดงว่าสติลุกโพลงขึ้นมาได้ ด้วยการเดินจงกรม   พอดีนักเรียนเข้ามาเป็นแถว  จะมาไหว้พระบรมสารีริกธาตุ   จึงหยุดเดินจงกรม  พระรูปนั้นยังคงนิ่งในสมาธิต่อไปไม่มีท่าว่าจะหยุด  นับว่าเยี่ยมทีเดียว

 

พอใจมาก   บัดนี้สภาวะของธรรมได้มาแล้วพร้อมเต็มที่แล้ว 

 

 

16.00 น.  

 

ขณะเดินไปวิหารปรากฏละอองฝนลงมาจากฟ้าเป็นฝอย ๆ เล็ก ๆ   ปลิวไปกับลมทั่วไปหมด  ดูคล้าย ๆ ละอองหมอก แต่ไม่ใช่หมอก เป็นฝน   ละอองฝนครั้งนี้ลงในวัดมหาพุทธารามไปตลอดเวลาเย็น   

 

เราเข้าไปในวิหาร เดินจงกรม  ได้ระยะที่ 3

 

ได้สัมผัสด้วยความรู้สึกว่า มีดวงตาโตใหญ่คู่หนึ่งแอบมองอยู่ตลอดเวลาทางเบื้องหลัง ได้สัมผัสความยินดี ความกรุณา ความรักที่ปราศจาความตำหนิใดใด เราคิดว่าถ้าเพียงเพ่งฌานก็คงจะเห็นรูปกายเจ้าของดวงตานี้ปรากฎขึ้นทันที  แต่ความคิดต้านทานไว้ว่า  อย่าเลย  อย่าพึ่งเลย     ก็เพราะเราเกรงและไม่พร้อมที่จะเฝ้าพระพุทธองค์  และโดยวิสัยของเราก็ต้องห่างไกลพุทธองค์เข้าไว้  จะต้องห่างไกลจากความอธิษฐานขอความปราณีช่วยเหลือจากพระพุทธองค์โดยสิ้นเชิง 

 

 

17.00 น.

 

พาหมู่ทำวัตรสวดมนต์แปล  มีญาติโยมมาจำนวนประมาณ 40-50  คน

 

หลังทำวัตรฝนริน  และตกประปราย จนเปียกถนนหนทาง

 

21.30 น.  ฝนตกลงมาอีกซู่ใหญ่เพียงระยะหนึ่ง     แท้จริงฝนรินเบา ๆ  มาตั้งแต่ 16.00 น.แล้ว   เราคิดในใจว่าฝนไม่ควรลงหนักเพราะหน้าเกี่ยวข้าว  ชาวนาจะเดือดร้อน 

 

 

การเดินจงกรมถึงระยะที่ 3 แสดงว่าเราดีขึ้นมาก  เข้าสู่ภาวะสมบูรณ์  สว่างไสวแล้ว

 

 

นั่นหมายถึงพร้อมสำหรับงานขั้นต่อไป  คืองานของปราณ และพระผู้มีปกติอยู่ด้วยอิริยาบถ 3

 

ซึ่งจะเป็นอีกระดับหนึ่งของภาคภายในของเรา

 

 

และเพิ่งสังเกตว่า บรรดาเสียงทิพย์ ได้บรรเลงกระชั้นถี่ขึ้นครอบวิหารหลวงพ่อโตแล้ว

 

เสียงย่อมจะเพิ่มระดับความถี่และดังขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ นี่คือสมมติฐานที่ไม่น่าผิดพลาดเลย

 

 

 

22 พ.ย.2549  

 

05.30 น.

 

 ออกบิณฑบาตเช้า

 

 

07.00 น.  

 

ทำวัตรเช้า

 

07.40 น.   

 

นั่งสมาธิไประยะหนึ่งแล้วลุกไป เดินจงกรมที่เดิม ถึงระยะที่ 5  สามารถกำหนดได้ระยะละ 1 เที่ยว ก็พอ   โดยเรียกสติมาอย่างสมบูรณ์ทุกขั้นตอน  พอดีนักเรียนเข้ามา    เรากลับไปกุฏิ ตั้งใจทำงานที่ค้างให้เสร็จ

 

 

10.25-11.50 น. 

 

มีโทรศัพท์จากทางไกลมาปรึกษาปัญหาชีวิต (1ชม.25นาที)

 

การเดินจงกรม 5 ระยะวันนี้สิ้นพลังภายในไปมาก  เป็นการหักโหมเกินไป ทำให้ป่วย ต้องหยุดพักผ่อน

 

 

17.00 น. 

 

พาญาติโยมพุทธบริษัทและพระสงฆ์ทำวัตรเย็นแปล  และปฏิบัติธรรมสมาธิบูชาพระบรมสารีริกธาตุ

 

 

20.30 น.   

 

มีเวลาสงบพอที่จะระลึกวันรับพระบรมสารีริกธาตุ(20พ.ย.49)   เหตุใดเพ่งฌานไม่สำเร็จ?  

 

ฌานไม่มาในวันนั้นเนื่องจากปัญหาอะไร? อย่างไร?    

 

 

นี่เป็นประเด็นสำคัญ  จะต้องวิเคราะห์ดูให้ทราบปัญหาอย่างกระจ่าง

 

 

 

 

เตรียมทดสอบสมาธิลัดเวลา

 

 

23 พ.ย. 2549

 

08.05 น. 

 

กลับจากทำวัตรเช้าในวิหารหลวงพ่อโต  พาหมู่ทำวัตรเสร็จโดยต่อเนื่องรวดเดียว 25 นาที  ได้ผลสมบูรณ์ทั้งหมู่    เลิกแล้วเรานั่งสมาธิราว 10 นาที   ไม่ได้เดินจงกรม

 

สังเกตว่า พลังแรง  เสียงก็ดีสดใสขึ้น  เรากำลังพบเรื่องราวที่น่าสนใจขึ้นไปเรื่อย ๆ   แม้เราเองก็ตื่นเต้น

 

บัดนี้พิจารณาเรื่อง      สมาธิลัดเวลา    ที่ได้พบระหว่างการฝึกในพรรษา

 

ยุติว่าเราจะทำการทดสอบวันพรุ่งนี้  วันนี้ให้เตรียมตัวไว้ให้พร้อม

 

 

20.30 น.

 

การทดสอบสมาธิลัดเวลาในวันพรุ่งนี้ 24 พ.ย.2549

 

สถานที่                  วิหารหลวงพ่อโต ณ ที่นั่งทำวัตรปกติ

เวลา                        12.40-13.00 น.  เดินจงกรมระยะที่1 ประมาณ 20 นาที

13.00-17.00          นั่งสมาธิ ไม่ขยับเขยื้อน ลุกไปไหนประมาณ 4 ชั่วโมง ถึงเวลาทำวัตรเย็นพอดี  ทำวัตร      เย็นต่อ

ผลที่ต้องการ         เวลา 4 ชั่วโมงจะเท่ากับกี่นาที หรือกี่อึดใจเท่านั้นเอง

 

 

 

24  พ.ย.2549

 

05.30 น.     

 

-              บิณฑบาต

 

07.00 น.  

 

-              พาหมู่ทำวัตรเช้า  เสร็จเวลา  07.15 น. หมู่สงฆ์แยกย้ายไป

 

07.15 น. -  08.30 น.     

 

นั่งสมาธิต่อไป   เป็นเวลา 1 ชั่วโมง 15 นาที   มีจุดประสงค์เพื่อตรวจสอบเตรียมการก่อนจะทดสอบสมาธิลัดเวลา ซึ่งจะเริ่มทำการทดสอบเวลา  12.40 -  17.00 น. วันนี้

 

 

ข้อกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมในการทดสอบ

1.    อาจจะไม่ต้องเดินจงกรมก่อนก็ได้  ให้เริ่มเลย  ด้วยการทำบุรพภาคแห่งงานสมาธิเสียก่อน  และจบ  ลงด้วยปัจฉิมภาค  

 

       อย่างเช่นที่สอบไว้เช้านี้  ปุรพภาค และปัจฉิมภาค คือสมาธิลืมตา  

       -       ลืมตาอยู่   35  นาที   

       -       หลับตาลง และอยู่ในการหลับตา  30   นาที   

       -       แล้ว  จบด้วยการลืมตาเป็นปัจฉิมภาคแห่งสมาธิแบบเรา  10  นาที

       รวมเวลา 1 ชั่วโมง  15 นาที 

 

2.      การลืมตา มิให้เพ่งฌาน   ให้ใช้สมาธิล้วน ๆ

3.      ใช้กสิณได้เฉพาะกรณีมีมารมารบกวน 

4.       ใช้ระบบปราณช่วยเพียงเท่าที่จำเป็น  เป้าหมายคือสอบสมาธิล้วน ๆ  จึงต้องทำสมาธิล้วน ๆ  แก้ปัญหาด้วยสมาธิเอง

 

ทางวิชาการว่า  จัดระบบควบคุมตัวแปรให้แน่ชัด 

 

 

09.40 น.

 

ลองสอบความรู้สึกตัวเอง  ที่จริงงานนี้ก็ใช่ยากเย็นอะไรสำหรับเรา(พระผู้มีปกติอยู่ด้วยอิริยาบถ3)  เพียงแต่รู้สึกตื่นเต้นบ้าง เมื่อรำลึกว่า นี่เป็นการรายงานผ่านหน้าต่างอินเทอเนต  ใคร ๆ ก็รู้ก็เห็น   กระนั้นเป้าหมายของเราในครั้งนี้ก็คือ  ศึกษาเรื่องสมาธิลัดเวลา  ซึ่งเป็นการค้นพบใหม่ระหว่างปฏิบัติธรรมช่วงเข้าพรรษานั่นเอง   อยากศึกษาเพื่อทราบเทคนิกอันนี้อย่างชัดแจ้ง   การปฏิบัติทดสอบวันนี้ต้องใช้เทคนิกสมาธิล้วน ๆ  ห้ามนำเทคนิกอื่นมาช่วย โดยเฉพาะระบบปราณ กสิณ และฌาน จะช่วยได้เมื่อจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น

 

 แต่เราจะควบคุมเสียงทิพย์ได้อย่างไร  เพราะเสียงทิพย์ ติดตามเราไปและมีผลต่อสมาธิ

 

ละไว้ก่อนเถิด!! เพราะเป็นตัวแปรที่เรายังควบคุมไม่ได้

 

 

 12.30 น. 

 

ออกจากกุฎิที่พักเดินทางไปวิหารหลวงพ่อโต เพื่อทดสอบสมาธิลัดเวลา ตามแผนที่วางไว้  จะไม่เดินจงกรม 12.40 น.จะนั่งลงและไม่ขยับเขยื้อนจนกว่าจะครบเวลา และพาญาติโยมทำวัตรต่อจนเสร็จลง

 

 

 

 

19.30  น.

 

มาสู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ต่อไปนี้เป็นรายงานปฏิบัติการทดสอบสมาธิลัดเวลา

 

การทดสอบสมาธิลัดเวลาวันนี้   ตามแผนที่ต้องการที่กำหนดไว้คือ  13.00-17.00                นั่งสมาธิ ไม่   ขยับเขยื้อน ลุกไปไหนประมาณ 4 ชั่วโมง ถึงเวลาทำวัตรเย็นพอดี  ทำวัตรเย็นต่อ  ก็สำเร็จดังข้อกำหนดไว้   และในความจริงนั่งสมาธิอย่างไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลยนานกว่านี้สักหน่อย  โดยเริ่มตั้งแต่  12.40 น.  ไปถึง 17.00 น.พาญาติโยม พระภิกษุสามเณรทำวัตรเย็น ถึง 18.30 น.   แล้วพักปราศรัยกับญาติโยมเล็กน้อย  ราว 15 นาทีจึงได้ลุกจากที่นั่งนั้น   นับว่าเป็นการนั่งสมาธินานถึง 4 ชั่วโมง 20 นาที  

 

รวมทำวัตรด้วย พักด้วยเป็นเวลาถึง  6 ชั่วโมง  5 นาที    ที่เราไม่ได้ขยับเขยื้อนจากที่นั่ง

 

แผนการผิดพลาดไปหน่อยก็ตรงที่ประจวบกับมีการนำนักเรียนมาอบรมและชมพระบรมสารีริกธาตุในวิหารระหว่างเวลา 12.30 น. 15.00 น.  ใช้เสียงกระหึ่มกึกก้องแหลมคม จนคับวิหารหลวงพ่อโต

 

 และแน่ละ!!!   เป็นผลเสียแก่สมาธิเราอย่างมากมาย  ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่น่าจะทำสมาธิได้เลย   แต่เราก็ได้กำหนดการณ์ไว้แล้ว และไม่พรั่นพรึงอะไร    จึงลงนั่งบนอาสนะเวลา  12.40  น. ก็เริ่มเข้าสมาธิ  ท่ามกลางความอึงอลนั้น โดยไม่มีการทำปุรพภาคแห่งสมาธิตามที่วางแผนและสอบเอาไว้เลย(ตั้งใจหลับตาหนีความวุ่นวาย)  พอนั่งไปจัดท่านั่งเสร็จ เข้าสมาธิไปไม่กี่ชั่วอึดใจเท่านั้นเอง   ลมมา  พัดอื้ออึง ไปหมด ข้าวของในวิหารล้มระเนนระนาด  แม้กระทั่งจอฉายของพระที่พูดอยู่ก็ล้มลงไป ก็โกลาหลไปอีก  คนช่วยกันเก็บข้าวของ บ้างก็ปิดหน้าต่าง อลวลไปหมด   แต่เราหาขยับเขยื้อนไม่   และไปตลอด 4 ชั่วโมง 20 นาที  บรรจบเวลาทำวัตรเย็น 17.00 น.   ญาติโยมมากันมากกว่าวันก่อน ๆ   เราก็พาทำวัตรต่อทันที  ตราบเสร็จลงด้วยดีเวลา 18.30 น.   ไม่มีใครนอกจากพระในวิหารที่ทราบว่าเรานั่งสมาธิมาตั้งแต่เที่ยงวัน 12.40 นาทีแล้วโดยไม่ขยับเขยื้อน  

 

ช่วงเวลาที่อบรมนักเรียน เป็นเวลาร่วม  2 ชั่วโมงเศษ  ช่วงนั้นเหมือนมารผจญ  ได้เวทนาปวดขาอย่างที่ไม่เคยมาก่อน(เป็นเพราะเราไม่ได้เริ่มด้วยการเดินระบบปราณเช่นเคย)  แต่ก็แก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้   แล้วต่อมาก็ได้พบสภาวะกดดันชนิดหนึ่งที่เราไม่เคยพบมาอีกเหมือนกัน  คือศีรษะตึงและเริ่มจะปวดหนึบ ๆ แปลบ ๆ  และเราได้รู้ชัดสัมผัสทันทีถึงอันตราย(ถ้าทนไปในสภาวะเช่นนี้อาจจะถึงสติวิปลาสได้) พยายามแก้ไขด้วยสมาธิก็ไม่สำเร็จ  ต้องอาศัยระบบปราณ(ของคู่กับความเป็นพระผู้มีปกติอยู่ด้วยอิริยาบถ3)  ก็แก้ปัญหาไปได้  พอพ้นเวลาอบรมนักเรียนก็เป็นเวลาโรงเรียนเลิก  นักเรียนเข้ามาในวิหารและสั่นติ้ว ดังมาก ๆ   ทั้งภายนอกภายในวิหารมีเสียงนักเรียน  สถานการณ์เหล่านี้ก็ดึงมาตรฐานของสมาธิให้ลดลงไปต่ำกว่าระดับปกติ  จนที่สุดจะคลายลงและล้มเหลวโดยฉับพลัน     ต้องแก้ไขอีก  ลองเพ่งฌาน(เข้าสู่สภาวะจิตโพล้เพล้)  เพื่อเข้าสู่ประตูของโลกอดีต  ก็เกิดนิมิตขึ้นมากมายไหลตามกันมา เราก็ดูนิมิตเหล่านั้นเพลินไป (และพบนิมิตอันหนึ่งที่เป็นเรื่องของเราเองในอดีต ที่กำลังจะทบทวนดูอีกครั้งว่าใช่หรือไม่  เพราะมีสตรีมาเกี่ยวข้องเป็นประเด็นสำคัญในนิมิตนั้นด้วย)  ทำให้หลุดไปจากปัญหาที่เผชิญอยู่  ไปสู่อีกโลกหนึ่ง   กระนั้น สรุปแล้ววันนี้ไม่เหมาะสำหรับปฏิบัติงานธรรมะระดับอุกฤต  แต่เรื่องนักเรียนนี้เรามองไว้ก่อนแล้วไม่มีปัญหาอะไร แก้ไขได้   และภายหลัง 1500 น.ไป  ก็เดินสมาธิได้ดี  ก็เลยเอาตัวรอดไปได้  ไม่เสียชื่อพระผู้มีปกติอยู่ด้วยอิริยาบถ 3

 

การนั่งสมาธิไปเรื่อย ๆ ธรรมดา ๆ เช่นนี้  เราจะนั่งไปกี่ชั่วโมงก็ย่อมได้  เพราะเป็นความสุขของเราอยู่ในตัวอยู่โดยปกติ  แต่แบบลัดเวลานั้น วันนี้นับว่ายังไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากมีปัญหาความสงบของสถานที่  ไม่พอจะให้ดิ่งลงไปสู่ระดับที่ต้องการได้

 

นั่นคือความจำเป็นที่ต้องออกธุดงค์สู่แดนป่าเขาลุ่มน้ำที่เปลี่ยวเดี่ยวโดดและที่ไกลฝูงชนคนทั้งหลาย เมื่อได้สิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมแล้ว งานสมาธิก็จะง่ายขึ้น

 

เราจะพูดถึงรายละเอียดของการทำสมาธิวันนี้อีกทีหลัง  รวมทั้งเรื่องนิมิตที่ได้พบด้วย

 

 

 

 

25 พ.ย.2549

วันเสาร์

 

07.00 น.      

 

ทำวัตรตามปกติ

 

 

0830-09.32 น.     

 

โทรศัพท์ปรึกษาปัญหาชีวิตจากทางไกล(62 นาที)

 

 

09.00 น.    

 

ญาติโยมมาเยี่ยมเยียน ไปจนถึงเพล

 

 

17.00 18.30 น.   

 

 พาพระสงฆ์และญาติโยมที่มามากจนเต็มส่วนหลังของวิหาร  ทำวัตรแปล

 

  

 

19.20 น.   

 

ยังไม่มีเวลาพอจะทบทวนทำสมาธิวานนี้ที่นั่งไม่ขยับเขยื้อนเป็นเวลา  4 ชั่วโมง 15 นาทีเต็ม ๆ   แต่มีสิ่งที่น่าสังเกตก็คือ   เหตุใดทำสมาธิถึง 4 ชั่วโมง เศษ ๆ  เมื่อเปรียบเทียบกับการเดินจงกรมในเช้าวันที่ 22 พ.ย. 49 ที่เดินได้ถึงระยะที่ 5 ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง    ปรากฎว่าการเดินจงกรมเปลืองเอนเนอยี หรือกำลังภายในมากกว่า เพราะวันนั้นถึงกับป่วย ลงกิจนิมนต์ฌาปนกิจศพไม่ได้ แต่หลังทำสมาธิแล้วกลับมีกำลังวังชาดีขึ้น สุขภาพสมบูรณ์ขึ้น

 

ตรงนี้ก็ต้องมีเหตุผลที่อธิบายได้ 

 

 

 

องครักษ์พิทักษ์พระบรมสารีริกธาตุ

 

26 พ.ย. 2549

27 พ.ย. 2549

 

28 พ.ย. 254*

 

17.00 น.

 

วันธรรมสวนะ  ญาติโยมมาทำวัตรสวดมนต์แปลและปฏิบัติธรรมกรรมฐานบูชาพระบรมสารีริกธาตุ มากมายเต็มวิหารจนล้นออกไปนอกประตูชั้นใน(ประมาณ 300 คน)   พาญาติโยมสวดมนต์ พาสมาทานธุดงค์ นั่งสมาธิ 10 นาที  พาแผ่เมตตา และพาอุทิศบุญกุศลที่ได้ทำมาในวันนี้ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บิดามารดาครูอาจารย์และสรรพสัตว์  ตั้งความปรารถนาร่วมกันเพื่อถึงนิพพานในชาตินี้ชาติหน้า

 

29 พ.ย. 2549

 

30 พ.ย. 2549

 

วันนี้ทำรายงานชื่อว่า

 

รายงานการปฏิบัติธรรมระหว่างเข้าพรรษาปีพุทธศักราช 2549

ของพระพยับ ปญฺญาธโร

ศึกษาโลกลี้ลับภาค 8 

ระหว่างวันที่ 10 กรกฎาคม-8 ตุลาคม พุทธศักราช 2549

ณ วัดมหาพุทธาราม ตำบลเมืองเหนือ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ 

โดยพระพยับ ปญฺญาธโร

วัดมหาพุทธาราม อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ

 

แล้วเสนอเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ กับ  เจ้าอาวาสวัดมหาพุทธาราม  มีหนังสือนำเรียน     ข้อความเหมือนกันดังนี้

 

 

 

วัดมหาพุทธาราม

167/1  ถนนขุขันธ์   อำเภอเมือง

จังหวัดศรีสะเกษ 33000

โทร. 045622455,   057694431

 

                                                                                        1    ธันวาคม     2549

 

เรื่อง                       รายงานการปฏิบัติธรรมระหว่างเข้าพรรษาปีพุทธศักราช 2549

เรียน                       เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ

อ้างถึง                    โครงการฝึกอบรมพระวิปัสสนาจารย์คณะสงฆ์ภาค 10 ประจำปี 2549

สิ่งที่ส่งมาด้วย      รายงานการปฏิบัติธรรมระหว่างเข้าพรรษาปีพุทธศักราช 2549  1 เล่ม

 

                ตามที่คณะสงฆ์ ภาค 10 ได้จัดให้มีโครงการฝึกอบรมพระวิปัสสนาจารย์คณะสงฆ์ภาค 10 ประจำปี 2549  รุ่นที่ 1 ระหว่างวันที่ 2-21 พฤษภาคม 2549    ศูนย์การคณะสงฆ์ภาค 10 ตำบลหนองเมือง อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี  ทางจังหวัดคณะสงฆ์ศรีสะเกษได้มีคำสั่งให้กระผมเข้ารับการฝึกอบรมโดยมุ่งหมายให้สืบสานแนวทางธรรมปฏิบัติ ให้ก้าวหน้าไปตามอุดมการณ์พระพุทธศาสนาจนกว่าจะถึงที่สุดนั้น

                กระผมจึงได้ดำเนินการฝึกฝนตนเองต่อมาในฤดูกาลเข้าพรรษาพุทธศักราช 2549 ในการปฏิบัตินี้ กระผมได้ทำการจดบันทึกข้อมูลเป็นรายวัน รายชั่วโมงไว้ด้วยนับตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2549 (วันอาสาฬหบูชา) ถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2549 (วันออกพรรษา) ซึ่งรวมเวลาปฏิบัติธรรมครบถ้วนไตรมาสพอดี และบัดนี้กระผมได้จัดทำเป็นเล่มรายงานขึ้น

ฉะนั้นจึงขอส่งรายงานการปฏิบัติธรรมระหว่างเข้าพรรษาปีพุทธศักราช 2549 มาถวายพร้อมนี้

อนึ่งกระผมยังมีความพยายามที่จะปฏิบัติธรรมที่ยิ่งยวดไปกว่าเดิมอีกตามแบบอย่างพระธุดงค์กรรมฐานในอดีต  และในการนี้คงมีความจำเป็นต้องเดินทางไกลไปถึงต่างประเทศเพื่อศึกษาแนวทางปฏิบัติของสหธรรมิกต่างชาติและต่างวัฒนธรรมอันจะเป็นประโยชน์ต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เป็นสากลและกว้างขวางต่อไปด้วย  จึงเรียนมาเพื่อกรุณาทราบและหวังว่าพระเดชพระคุณท่านจะเห็นด้วยและพิจารณาให้การสนับสนุน อำนวยความสะดวกในการปฏิบัติธรรม และด้านเอกสารอ้างอิงต่าง ๆ แก่กระผมในกาลอันสมควรต่อไปด้วย   กระผมเรียนมาเพื่อกรุณาทราบเป็นชั้นต้นก่อน

 

เรียนมาด้วยความเคารพ

 

 (พระพยับ ปญฺญาธโร)

                                                                         ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาพุทธาราม

 

 

 

 

 

 

1 ธ.ค. 2549

 

 

ญาติโยมมาปฏิบัติธรรม สวดบูชาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ตลอดคืน  มีพระสงฆ์ 9 รูป ครองจีวรสีกรัก มาจากที่ต่าง ๆ   มาไหว้ แล้วลงไปนั่งเป็นแถวแนวอยู่หน้าพระบรมสารีริกธาตุ  นำประกอบพิธี  สวดมนต์สลับกับการเทศน์  ที่จริง เราพาทำวัตรสวดมนต์แปลเสร็จตั้งแต่ 18.30 น. ไม่ทันคิดว่าจะมีการฉลองกันทั้งคืน ลุกจากที่ว่าจะกลับกุฎิ  พระคุณเจ้าพิธีธรรมอุทานว่า อ้าว จะไม่อยู่ด้วยกันหรอกหรือ  เราเพิ่งนึกได้  เขานิมนต์ให้นั่งปรก  ก็เลยนั่งสมาธิปรกให้ไปถึง 6 ทุ่ม ไม่ลุกไปไหนเป็นเวลาถึง  5 ชั่วโมงเศษ ๆ  จึงกลับกุฎิ  เหตุผลก็คือเราไม่อยากทำเพียงการแสดงอวดว่านั่งสมาธิได้ทั้งคืน   แต่ทำได้แค่สมาธิ   เพราะระบบที่อึงอลไปหมดแบบนี้เหมาะสำหรับการปฏิบัติอย่างหยาบ ๆ สำหรับชาวบ้านทั่ว ๆ ไป สำหรับพระทั่ว ๆ ไป ไม่ช่วยให้เจริญในธรรมขั้นสูงเลย  เราอยากแสดงท่าทีว่าไม่เหมาะสำหรับเรา ไร้สาระ  กระนั้นก็ไม่เสียเที่ยว เพราะยังเห็นนิมิตต่าง ๆ ไหลมาอยู่ระยะหนึ่งหลายเรื่องราว คลับคล้ายว่าจะเป็นเรื่องของเราเองด้วยเรื่องหนึ่ง แต่ภาพไม่ค่อยชัดและไม่สามารถเดินสมาธิระดับนั้นต่อเนื่องไปได้เพราะบรรยากาศสับสนไปหมดไม่เอื้อให้การปฏิบัติชั้นสูงเลย  น่าจะคิดปรับทิศทางธรรมปฏิบัติแบบชาวบ้านนี้ให้ตรงเป้าหมายและมีการพัฒนาขึ้นบ้าง 

 

 

 

2  ธ.ค.2549

 

3 ธ.ค. 2549

 

07.00 น.

 

พิธีทำบุญตักบาตรเช้าและเคลื่อนขบวนพระบรมสารีริกธาตุจากวิหารหลวงพ่อโต วัดมหาพุทธาราม อ.เมืองศรีสะเกษ ไปประดิษฐาน ณ   ศูนย์การศึกษาภาค 3 อ.ขุขันธ์  ก่อนจะไปสู่ วัดโพธิ์ทอง ต.ห้วยติกชู อ.ภูสิงห์ ประดิษฐานอยู่ ณ วิหารหลวงพ่อโต ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย.2549 ถึง 3 ธ.ค.2549 รวมเวลา 13 วัน

 

ก่อนจะเคลื่อนขบวนไป มีการแห่แหนพระบรมสารีริกธาตุเวียนทักษิณาวัตรรอบวิหารหลวงพ่อโต 3 รอบ  แล้วอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นที่บุษบกบนรถ  เราคิดว่าเวลาเช่นนี้น่ามีเทวดามาห้อมล้อมส่งพระบรมสารีริกธาตุ   เราจะลองเพ่งฌานดูสักหน่อยเป็นไร 

 

เพราะขณะอยู่ในวิหารตลอดภาคเช้านี้ เราไม่มีโอกาสดูเทวดาเลย เพราะเจ้าคุณเจ้าอาวาสไม่อยู่    เราก็เป็นประธานสงฆ์ทำพิธีกรรมทั้งสิ้นแทน  รวมทั้งดูแลในฐานะเจ้าบ้านและเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมคณะสงฆ์ศรีสะเกษแห่งที่ 1 วัดมหาพุทธารามอย่างเต็มตัว  คนใกล้คนไกลก็เพ่งมองดู   มารู้จัก  กระนั้นความท้าทายทำให้อยากลอง  จ้องหาโอกาสอยู่   และในขณะที่นายฉัตรมงคล อังคสกุลเกียรติ์  นายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองศรีสะเกษ ประคองพานพระบรมธาตุขึ้นไปยังบุษบกบนรถ พร้อม ๆ แม่ชีขาว ๆ แวดล้อมจัดการอยู่นั้นเอง  เราก็ถือโอกาสเพ่งฌาน(เป็นการเพ่งฌานกลางแจ้งท่ามกลางฝูงชน)  แต่ก็ไปไม่ตลอดเพราะญาติโยมที่ผ่านไปมาทักทาย  คนแล้วคนเล่า   เราก็ตอบสนองเขา ก็ทำให้ฌานขาด

กระนั้นเราก็พยายามปะติดปะต่อ   ไปชั่วขณะใหญ่เงาภาพก็ปรากฏขึ้นราง ๆ  ทีแรกเห็นดำมืดไปหมด แล้วชัดขึ้นไปอีกพอเป็นเงาภาพของคนเปลือยท่อนบน  ผิวดำมัน เรียบสนิท   แต่มีสร้อยสังวาลและมงกุฎ เห็นเฉพาะส่วนบนที่โอบอุ้มเอาบุษบกทั้งบุษบกไว้ในอ้อมแขน  ตัวโตกว่าคนธรรมดาหลายเท่า   ขณะเห็นทีแรกเราทั้งยินดีและรู้สึกผิดหวัง นึกในใจว่านี่ไม่ใช่เทวดา  แต่เป็นอสูร  อสูรไม่มีศักดิ์สูงเท่าเทวดา จะมาเฝ้าพระบรมธาตุได้อย่างไร?  ภาพนี้ใช่ภาพจริงหรือไม่? (ความคิดเดิมเริ่มแรกของเราคืออยากเห็นเทวดา และน่าจะเห็นง่ายเพราะเทวดาน่าจะมาห้อมล้อมพระบรมสารีริกธาตุกันจำนวนมาก)  ทำไมเทวดาไม่ปรากฏมาอารักขาพระบรมสารีริกธาตุ?   แต่ครั้นนึกอีกที กรอภาพมาดูใหม่อีกที(เรามีระบบความจำที่กรอภาพกลับมาพิจารณาอย่างละเอียดภายหลังได้) ก็ดูมิใช่อสูรเพราะรูปร่างงดงาม  เกลี้ยงเกลาเกินกว่าจะเรียกอสูร  แต่เหตุใดผิวกายดำสนิทเช่นนั้น  เทวดาผิวดำมีด้วยหรือ?  เรากำลังทบทวนอยู่อย่างนั้น ก็พอดีโยมนิมนต์ให้ไปยืนรวมหมู่กับพระมหาบุญเลิศ พุทฺธรกฺขิโต  เจ้าอาวาสวัดบ้านโพธิทอง เจ้าของพระบรมสารีริกธาตุองค์นี้  และนายฉัตรมงคล อังคสกุลเกียรติ์ นายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองศรีสะเกษ  กับญาติโยมผู้มีเกียรติ์อื่น ๆ ถ่ายรูปกันหน้าบุษบกก่อนจะเคลื่อนขบวนไป

 

 

เราลองทบทวนและถามตัวเองต่อมาว่า  เนื่องจากการเพ่งฌานครั้งนี้ เหตุและผลเกิดขึ้นในชั่วเวลาไม่ถึง 5 นาที  เวลาจำกัดเกินไปจนไม่มีเวลาพอทบทวนตรวจสอบจากภาพที่ปรากฎขึ้นเองจากตัวเองได้  ทำให้เกิดประเด็นการวิเคราะห์ผลของงานนั้นว่า จะเชื่อได้อย่างไรว่าภาพที่เห็นไม่ใช่จินตนาการเราเอง  กล่าวคือ เรานึกเอาเองก็กลายเป็นมโนภาพขึ้นมาได้  จะต้องมีหลักเกณฑ์ หรือหลักวิชาที่ตัดสินอย่างไร

 

 

แล้วคำตอบก็คือ   เมื่อเราเพ่งฌานอยู่นั้นจินตนาการทั้งสิ้นหยุดลงโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว  มโนภาพก็ย่อมเกิดไม่ได้     ภาพที่ออกมาจึงเป็นผลของฌานอย่างแน่นอน    หลักวิชา ก็คือเมื่อเข้าฌาน หรือเพ่งอารมณ์ฌานอะไร   จิตหรือจินตนาการก็ย่อมหยุดนิ่งสนิทกับอารมณ์ฌานนั้น ๆ  เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับอารมณ์ฌานนั้น  จึงย่อมไม่มีจินตนาการเกิดขึ้น

 

เอาละ!!! ในขณะนั้นเราพยายามเข้าสู่ภาวะจิตโพล้เพล้อยู่ทีเดียว แล้วจินตนาการจะเกิดอย่างไรได้  นั่นเป็นหลักวิชา  เป็นอันว่าโดยหลักวิชา  ผลเกิดจากฌาน  ไม่ใช่เกิดจากจินตนาการอย่างแน่นอน  ได้คำตอบแล้วแม้เราเองก็พอใจและมั่นใจ

 

 

ตกลงเรื่องใครเป็นใคร  ข้อสรุปว่าอย่างไร  ภาพที่เห็นคืออะไร  เทวดาหรืออสูร?

 

ก็เป็นเทวดา    น่าจะเป็นเทวดาได้นี่นะ น่าเป็นเทวดามากกว่าอสูร  เพราะเทวดาก็มีผิวสีได้เหมือนกัน ที่สำคัญใบหน้า ผิวพรรณ  เครื่องประดับ  งดงาม เกลี้ยงเกลาเกินกว่าจะเป็นพวกอสูร  เพียงแต่เรายังไม่รู้จักเท่านั้น  และเราไม่ควรมีอคติเพราะฝังใจมาว่าเทวดาต้องรูปงาม ผิวขาวผ่องละอองนวล อย่างที่ปรากฎในวรรณคดีไทยแทบทุกชิ้น 

 

แต่เอาละ!!!  สำหรับการเพ่งฌานครั้งนี้ ถึงภาพที่เห็นเป็นเค้าโครงร่างที่รางเลือน ไม่ทันเห็นรายละเอียด และปรากฏขึ้นชั่วไม่กี่อึดใจ   แต่ก็ไม่เสียที  เพราะในที่สุดเราก็ได้เห็นเทวดา ผู้ย่อมทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์พระบรมสารีริกธาตุจนได้  เพราะอาการที่โอบอุ้มประคองบุษบกทั้งบุษบกนั้น จะเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากเทพองครักษ์พิทักษ์พระบรมสารีริกธาตุ 

 

 เทวดาผิวหมึกองค์นี้เป็นใคร ???

 

 

เอาละ!!!  ในความรู้สึกส่วนตัว  แม้เท่าที่ได้เห็นวันนี้เราก็พอใจที่สุดแล้ว   นั่นหมายถึงได้รู้และเข้าใจในหลักการและวิธีปฏิบัติระดับอภิญญา จนมั่นใจไปอีกระดับหนึ่งแล้วนั่นเอง

 

นี่แปลว่าเราได้รู้จักเทวดาอีกองค์หนึ่งแล้วใช่ไหมนี่? 

 

โอ !!!   นี่คือเบื้องต้นการศึกษาสมาธิวิปัสสนากรรมฐานระดับอภิญญา   ก่อนที่จะมีข้อสรุปเรายังต้องทำ     การพิศูจน์ทดลองอีกต่อไปอย่างมากมายหลายครั้งและหลายหลาก   ให้มั่นใจจริง ๆ

 

เพราะการศึกษาของเราจะต้องไปสู่ความชัดแจ้งจนหายคลายสงสัยอย่างแน่นอน

 

 

 

 

4 ธ.ค. 2549

 

09.40 น.

 

ว่าจะเดินเท้าไปสวนสมเด็จ !!!  แต่เปลี่ยนใจ  ไปสวนราชสักการะ  ไปดูบึงที่ห้วยน้ำคำ ที่เคยใช้ฝึกอากาสกสิณ

 

 

 

5  ธ.ค.  2549

 

 

17.00 น. 

 

พาญาติโยมปฏิบัติธรรมะถวายเป็นพระราชกุศล

 

 

 

 

4 ทฤษฎีสำหรับอบรมนักเรียนผู้ปฏิบัติธรรม

 

 

6  ธ.ค. 2549

 

1700 น.

 

กสิณเขียวอีกแล้ว

ลงไปวิหารเวลาเย็นพบปูอาสนะเต็มไปทั้งวิหาร  จึงทราบว่าจะมีการอบรมปฏิบัติธรรมถวายเป็นพระราชกุศล  เจ้าคุณศรีธรรมนาถมุนี เจ้าอาวาสสะกิดบอกเบา ๆ ว่าให้ช่วยอบรมด้วย   ทำให้เราเหน็ดเหนื่อยขึ้นมาทันที 

 

ในขณะนั้นนึกว่าอบรมข้าราชการ และใช้เวลาหลาย ๆ วัน  คิดว่าอย่างน้อยก็ 7 วันที่เคยอบรมมา  ก็รู้สึกเหนื่อยเพราะหวังว่าจะได้พักสักหน่อยแล้วแต่กลับยังยืดเยื้อไปอีก    ตอนเจ้าคุณพูดอบรมพระสามเณรอยู่เราก็ถือโอกาสเข้าสมาธิเพื่อให้หายเหนื่อย 

 

กสิณเขียวปรากฏขึ้นอีกครั้ง  เป็นสีเขียวจัดมาก เข้มและข้นมาก ๆ  ดูเสมือนเกลียวคลื่นหมุนวนรอบตัวอยู่  รู้สึกถึงมวลสารของสีเขียวอัดกันแน่นเป็นเกลียวน้ำหมุนวนอยู่  และตรงใจกลางนั้นเขียวเข้มจัด  และการเพ่งดูยิ่งทำให้เข้มไปอีก เป็นความเข้มที่เกิดจากความรู้สึกด้วยส่วนหนึ่ง และเหมือนได้รับการบำบัดความเหน็ดเหนื่อย และฟึกฟื้นพลัง  กสิณเขียวปรากฏอยู่นานพอให้วิเคราะห์ได้  ว่ากสิณสีต่าง ๆนี้ เป็นเครื่องมือที่มาเสริมพลังให้แด่ฌาน และสมาธิดีขึ้นได้ด้วย  คิดว่ากสิณเขียวนี้อาจเป็นประดุจยารักษาฟึกฟื้นพลังภายในชนิดหนึ่งด้วยก็ได้  ปรากฏคราวนี้แล้วทำให้สดชื่นเข้มแข็งแรงขึ้น 

 

เอาละ!!  เรายังไม่ทราบว่ากสิณเขียวมาอย่างไร  มันมาเองหรืออย่างไร ต้องศึกษาจริง ๆ ต่อไป   เป็นเพราะกสิณเขียวคราวนี้ ดูชัดเจนมากจริง ๆ   บันทึกเอาไว้เพื่อเราจะได้เป็นข้อมูลสำคัญอีกครั้งหนึ่ง

 

 

 

7 ธ.ค. 2549

 

08.30 น.

 

แม้ขณะตอนลงทำวัตรเช้า 07.00น. เราก็ยังคิดว่าการอบรมวันนี้เป็นการอบรมข้าราชการ สนง.วัฒนธรรมจังหวัด  นึกสบายใจอยู่ว่าพาไปได้ พูดกันรู้เรื่อง เพราะเป็นการอบรมผู้ใหญ่  พอ 0830 น. มีเจ้าหน้าที่มาตาม นิมนต์ให้ลงวิหาร  พอโผล่เข้าไปก็พบนักเรียนชาย-หญิงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 250 คน นั่งกันเต็มวิหาร ดูแน่นพรืดไปหมด นึกในใจว่าจะจัดการอย่างไรจึงจะเอาตัวรอดไปได้  พอนั่งลง เจ้าหน้าที่ก็ทำพิธีเปิดการอบรมทันที มีรองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษมาเป็นประธาน เจ้าคุณศรีธรรมนาถมุนียังไม่เข้ามา ดูมีเจตนาให้เราเด่นขึ้น  เข้ามาภายหลังเปิดการอบรมแล้ว  ให้โอวาทแล้ว บอกว่าจะไปข้างนอกละ ให้เรารับหน้าที่อบรมต่อไป  เราก็ต้องรับหน้าที่อบรมนักเรียนไปทั้งวัน มีจนท.เกษตรมาพูดเรื่องเศรษฐกิจแบบพอเพียงตอนเพล เสริมแทรกหน่อย  เสร็จเพลก็อบรมต่อไปถึง 15.30 น.จึงเสร็จ  จนท.วัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษเป็นเจ้าเรื่อง 

 

โดยปกติเราไม่ค่อยสนใจเรื่องอบรมธรรมะนักเรียน และคิดว่าจะไม่ไปยุ่ง นักเรียนเยาว์เกินไป ยากจักลากยากจักเข็น แม้พระเอง(ผู้ที่อบรมเขานั่นแหละ)ยังไม่เอาไหน เรามักคิดเช่นนี้ตลอดมา   แต่พอมองไปอีกทีว่าเขามีเจตนาให้พาปฏิบัติธรรม ไม่ใช่อบรมเทศนาพาที เล่นลิ้นเล่นลม  ประกอบกับเจ้าคุณศรีธรรมนาถมุนีไม่ยอมบอกก่อนว่าจะอบรมใคร เท่าไร  กี่วันกี่คืน  และเราก็ไม่ได้ถามด้วย(เราชอบคิดเอาง่าย ๆ ว่ามีอะไรมารับได้หมด)   ก็วางแผนไว้ในใจขณะนั้น เพื่อที่จะให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง รอดวันไป และคิดถึงเทคนิกที่ง่ายที่สุดแต่มีประสิทธิภาพที่สุด

 

ก็ลงตัว เป็นแผนอบรมธรรมปฏิบัติ 4 ทฤษฎี  คือ

 

1.  นั่งหนอ (ที่เราเองเคยได้ประโยชน์สูงสุดมาแล้ว)

2.  ยืนหนอ 

3.  เดินจงกรมระยะที่1  สามจังหวะ และ

4.  สมาธิขั้นมาตรฐานบริกรรมพุทโธ       พุทธหายใจเข้า    โธ หายใจออก  

 

ซึ่งเราคิดขึ้นโดยอัตโนมัติในขณะนั้นนั่นเอง

 

และเริ่มนำออกใช้ พาปฏิบัติไปตามทฤษฎีนั้น

 

ปรากฏว่าได้ผลดีมาก   นักเรียนให้ความร่วมมือ ตั้งใจปฏิบัติอย่างดีมาก  สมกับที่เน้นไปว่านักเรียนเป็นมนุษย์ รู้จักคิดเองทำเอง  เจ้าหน้าที่วัฒนธรรมจังหวัดผู้รับผิดชอบโครงการก็พอใจมากทีเดียว สมกับที่อารัมภกถายกยอไว้เยอะเพื่อเรียกความสนใจจากนักเรียน(เขาบอกว่าพระอาจารย์พยับ เดินธุดงค์ไปพบสิ่งมหัศจรรย์มากมาย เดี๋ยวท่านคงเล่าให้ฟัง  แต่เราไม่ได้เล่าเลย เพราะนักเรียนเต็มใจปฏิบัติธรรมอย่างดีมาก พวกเขาสนุกในการปฏิบัติธรรมไปแล้ว และเวลา 1 วันน้อยไปเสียแล้ว)   และแม้เราเองก็พอใจ  คิดว่า นี่คือธรรมปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสมสำหรับนักเรียนเลยทีเดียว  จะพัฒนาเป็นแบบฝึกมาตรฐานต่อไป โดยเพิ่มเติมทฤษฎียืนหนอไปอีกสักหน่อยก็จะสมบูรณ์    ปิดการอบรมเขานิมนต์ให้ให้โอวาทและมอบประกาศนียบัตร และจัดการถ่ายรูปกันขนานใหญ่  โดยได้ความภูมิใจว่าถ่ายรูปที่ระลึกกับพระอาจารย์ ด้วย    นับว่าสำเร็จ เราเองพอใจมาก ๆ ในผลงานวันนี้ 

 

สำหรับเรา นี่ก็เป็นการค้นพบสิ่งใหม่อีกสิ่งหนึ่งคือ หลักสูตรการอบรมธรรมะปฏิบัติแด่นักเรียนยุคใหม่ ยุคเสรีภาพและประชาธิปไตย

 

เอาละ!!!  เราอย่าเพิ่งพูดอะไรมากเลยเดี๋ยวจะกลายเป็นภาระ!!!!

 

 

 

ปฏิบัติการต่อเนื่องของเสียงทิพย์

 

และมีอีกสิ่งหนึ่งที่มีค่าควรแก่การบันทึกในวันนี้ก็คือ  เรื่องเสียงทิพย์   วันนี้ใจสงบมาก  ด้วยความพอใจในผลงานการพาฝึกของตนเอง  เวลานั่งคอยอยู่ เสียงทิพย์ จึงดังสนั่นขึ้นท่วมวิหารหลวงพ่อโตแล้ว  และดังอย่างถี่ หนักแน่นมาก เหมือนยกระดับเสียงไปอีกระดับหนึ่ง  ที่เพิ่มความถี่และกระชั้นเร้าใจมากขึ้น   แนวทางศึกษาเรื่องนี้  ต้องเป็นการทดลองว่าเสียงจะดังสนั่นขึ้นไปได้ขนาดไหน  เราต้องมีโอกาสปลีกไปวิเวกที่ไหนสักแห่งหนึ่งเพื่อพิศูจน์ประเด็นเสียงทิพย์ ตามสมมติฐานนี้โดยเฉพาะ

 

และเรามีความคิดอยู่ลึก ๆ ว่านี่คือประตูไปสู่ยมโลก  หรือ เทวโลก หรือจากยมโลก และเทวโลกมาสู่เรา เทวดา อมนุษย์และเทพเจ้าทั้งหลายจะมาปรากฎตัวผ่านทางเสียงนี้  เป็นรูปร่างองค์จริงอย่างชัดเจน  สัมผัส  สื่อสารกันได้โดยตรงเลยทีเดียว   ก็ยังเป็นเพียงข้อสมมติฐานอยู่

 

กระนั้นเราก็เคยมีประสบการณ์มาแล้ว  จากสถานการณ์วันที่ 31 มีนาคม 2523(ประวัติของผมตอนที่10 ดีเล่มที่ 19 หน้า 56)  เสียงที่แหลมเล็ก ถี่กระชั้นเช่นนี้แหละ ได้นำไปสู่ขอบนรกอเวจี เห็นภาพการทรมานนักโทษในนรก ที่ความรู้สึกบอกว่าเป็นเทวทัต  ถูกพันธนาการไว้กับหลักบนขอบแท่นทรงกลมขนาดใหญ่  ที่หมุนรอบตัวไปช้า ๆ  แล้วพอผ่านมาถึงจุด ๆ หนึ่ง คล้ายมีอาวุธออกมาทรมานลงโทษ  นักโทษจะร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุดและถูกทรมานจนมีสภาพปานตายลงไป  แต่พอผ่านจุดนั้นก็ฟื้นขึ้นมาใหม่  แต่แท่นนั้นก็หมุนวน  ผ่านไปแล้วกลับมาใหม่  โดนลงโทษทรมานซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่เช่นนี้ไม่มีวันจบสิ้น   ไม่ทราบยาวนานเท่าไร ได้ยินเสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวดเป็นระยะ ๆ 

 

แต่เราไม่สามารถไปที่เดิมนั้นได้อีกเป็นครั้งที่ 2  จึงได้เป็นสมมติฐานที่สำคัญสำหรับการศึกษาทีเดียว

 

แม้ขณะที่อยู่ในกุฎีที่พัก เสียงก็ยิ่งกระชั้นและดังหนักแน่นขึ้น  เราน่าจะลองบอกทฤษฎีให้โยมที่มาเยี่ยมเยียนถึงกุฎีที่พักปฏิบัติ คือให้นั่งนิ่งหรือเข้าสมาธิฟังเสียงทิพย์  เพราะทฤษฎีมีว่า  ความสงบใจ วิเวกสันโดษ ฌาน  เป็นที่มาของเสียงทิพย์  ใครก็ตามทำความสงบใจได้ หรือทำฌานให้เกิดขึ้นได้ย่อมได้ยิน เป็นหลักการวิทยาศาสตร์  ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

 

เอาละ  เราพอจะสรุปได้แล้วหลายเรื่องทีเดียว

 

 

 

8 ธ.ค. 2549

 

08.00 น.

 

เสียงทิพย์ ที่สนั่นในกุฎีนี้ ดูไม่มีทีท่าว่าจะสร่างถอยเสียแล้ว

เอาละ!!!  เราจะลองมาสรุปเรื่องราวที่เกี่ยวข้องในขอบเขตของการศึกษาระดับอภิญญาในประเด็นหลัก ๆบางประเด็น

 

 

 

 

อภินิหาร์ย์พระบรมธาตุ

 

13.00 น.

 

เรื่องพระบรมสารีริกธาตุ  มาอยู่ที่วิหารหลวงพ่อโตเป็นเวลา 13 วันระหว่างวันที่  20 พ.ย. 2549  ถึงวันที่  3 ธ.ค. 2549  ซึ่งช่วงเวลานี้ก็เปิดโอกาสให้เราได้ศึกษาและมีประสบการณ์ก้าวหน้าทางการศึกษาไปอีก  ที่ประสบผลสำเร็จน่าพอใจทีเดียว  โดยเฉพาะเรื่องการเพ่งฌาน ดูโลกในอีกมิติหนึ่ง  เรามาถึงความหมายของคำว่า  จิตโพล้เพล้  ที่จะต้องทดสอบพิศูจน์ต่อไป โดยสมมติฐานก็คือ  สภาวะจิตโพล้เพล้เป็นประตูเปิดสู่โลกอดีต  หรือ โลกต่างมิติ  นั่นเอง 

 

เราจะต้องเข้าทางประตูนี้

 

ส่วนเรื่องการระลึกชาติ  มั่นใจแล้วว่าอาจสรุปได้ในชั้นต้นแล้ว  นั่นคือการเรียกเหตุการณ์ในอดีตมาดูได้ด้วยสมาธิ  หรือฌาน หรือปฏิบัติการร่วมระหว่างสมาธิและฌาน  ขณะนี้เรายังไม่เข้าใจว่าทำอย่างไรจึงจะลัดเข้าไปหาเรื่องราวที่เราต้องการได้เลย   โดยไม่ต้องคอยดูนิมิตทุกเรื่องที่ไหลมาให้เห็น ซึ่งโดยวิธีการนี้เราต้องเสียเวลาในการเข้าสมาธิเป็นเวลานานนับชั่วโมง ๆ   เพราะนิมิตที่ไหลมาส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องของเราเลย  เราอยากจะลัดไปดูเรื่องของเราเลยนี่จะทำอย่างไร?  ก็ต้องศึกษาต่อไปอีก  

 

และอีกประการหนึ่ง  จริง ๆ เราก็ยังคลุมเครืออยู่ว่า  นิมิตเกิดขึ้นเพราะอะไร  และทำไมในระยะหลังมานี้ พอเข้าสมาธิแล้วนิมิตก็มาเองทุกครั้ง  เรายังวิเคราะห์ไม่ชัดว่าอะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริง   เดิมเราคิดว่าต้องทำอัปปนาสมาธิก่อน  แต่ระยะหลังไม่ใช่  ไม่ถึงอัปปนา  หรือระดับลิ่วลอยลมแต่อย่างใด  นิมิตก็เกิดขึ้นแล้ว  ดูจะง่ายกว่าเดิม และง่ายมากด้วยซ้ำไป 

 

คงเป็นเพราะมีวสีเกิดขึ้นหรือเปล่า?   ก็จะต้องศึกษาสังเกตต่อไป

 

กระนั้นประเด็นสำคัญก็คงต้องอยู่ที่เรื่อง  สภาวะจิตโพล้เพล้ 

 

เอาละ!!!!!   

 

อีกประการหนึ่งก็คือการปรากฏขึ้นของกสิณเขียวหลายครั้ง  คล้ายจำนงหมายให้ประโยชน์อะไรสักอย่าง  เราจะเอากสิณเขียวมาเสริมได้อย่างไร?  ก็ต้องศึกษากสิณสีต่าง ๆ ไปอีกสาขาหนึ่งอย่างละเอียดไปอีก และบัดนี้เรามองไปที่อ่างเก็บน้ำห้วยน้ำคำ  ฟากตะวันตก ที่เคยไปเดินเล่นมาแล้ว และวันที่ 4 ธ.ค. 2549 นั้นก็ได้ไปดูเห็นว่าคงสภาพเดิมอยู่  ก็น่าจะใช้ได้  เราจะไปปักกลดที่นั่นได้หรือไม่อย่างไร?

 

มาถึงความลี้ลับของพระบรมสารีริกธาตุ  แน่ละพระบรมธาตุย่อมเป็นของน่าสังเวช แม้องค์บรมครูก็ต้องจากไป ตกอยู่ใต้อำนาจธรรมอนัตตา  พระบรมธาตุจึงเป็นเสมือนองค์แทนองค์พระพุทธเจ้าผู้ปรินิพพานไปนานแล้วนั้น และเทวดาย่อมมาพิทักษ์รักษา  ตามที่เราเองก็ได้เห็นแก่ตามาแล้วในครั้งนี้เอง

 

 

 

คืนสู่สัญญาในอดีตด้วยจินตนาการ

 

เราจะลองมาย้อนรำลึกอดีตอีกสักหน่อย  อดีตที่สลับซับซ้อนเกี่ยวกับพระบรมสารีริกธาตุองค์หนึ่ง 

 

เราเองก็เคยมีพระบรมธาตุเม็ดข้าวสารไว้บูชาก่อนออกบวช ได้มาในปลายปี พ.ศ.2513  ประดิษฐานอยู่ในผอบ แล้วผอบอยู่ในเจดีย์ทองอีกครั้งหนึ่ง ก่อนออกบวชได้มอบให้ ดร.เดือน คำดี ไว้  ดร.เดือน(ขณะนั้นยังไม่เป็นดร. ขณะนี้เป็นอาจารย์แผนกปรัชญาและศาสนา ม.เกษตรศาสตร์) ได้รู้จักกันตอนไปอบรมหลักสูตรการวิจัยทางสังคมศาสตร์ ที่สภาวิจัยแห่งชาติ  3 เดือน ปีพ.ศ.2521 เขาสนใจทางปรัชญาและศาสนาและศาสนาสากล จึงถูกชะตากัน

 

ขณะนั้นมีอาจารย์มาอบรมเป็นคาทอลิก และชอบคุยเรื่องอานุภาพของพระเจ้าให้พวกเราผู้เข้าอบรมฟัง  ดร.เดือนไม่พอใจมาก และนำเรื่องศาสนาคริสต์มาวิจารณ์กันอย่างแรง  เรากับดร.เดือนจึงสนิทกันค่อนข้างเร็ว  ในการออกวิจัยภาคสนามไปถึงเชียงราย และ  เชียงใหม่ ดร.เดือนนี่แหละเป็นเจ้ากี้เจ้าการนัดเพื่อนจัดพิธีกรรม การหมั้นนายทหารคนหนึ่ง(ร.ต.พยับ เติมใจ บก.ทหารสูงสุด) กับอาจารย์สาวสวยจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นคนนั้น   โดยให้เจ้าบ่าวหมั้นด้วยดอกกุหลาบสวยสดช่อหนึ่ง มีเพื่อนร่วมรุ่นทั้งหมดเป็นพะยาน ในห้องโถงที่จัดเลี้ยงค่ำคืนนั้น และมีดนตรีคือเสียงปรบมือกันสนั่นหวั่นไหว ภายหลังเจ้าสาวรับช่อกุหลาบไปกำไว้ในมือของเธอ พร้อมรอยยิ้มหัวเราะอย่างเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่าง  (ยังมีรูปการหมั้นเป็นพะยานอยู่)  แต่ในความเป็นจริงเมื่อเสร็จสิ้นงานอบรมการวิจัยเราก็ค่อยห่างเหินกันไปเพราะเธออยู่ไกลถึงขอนแก่น ส่วนเราอยู่สนามเสือป่า กทม.  น่าเสียดายความมีน้ำใจของเพื่อน ๆ !!)  

 

ครั้นเมื่อดร.เดือนแต่งงานที่นครปฐม ปีต่อมา เราก็ได้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้  แต่ดร.เดือนไม่เคยรู้ประวัติของเรามาก่อนเลยโดยเฉพาะในทางธรรมะ แต่เขามีความสังเกตที่เฉียบคมมาก เขาเอ่ยว่าเราเหมือนโพธิรักษ์ไม่มีผิดเลย  อุดมการณ์เป็นแบบเดียวกัน(เขาหมายถึงสมณะโพธิรักษ์ เจ้าสำนักมังสวิรัติ สันติอโศกนั่นเอง)  เมื่อรู้ว่าเราบวชก็พอใจมากและตั้งความหวังไว้อย่างสูงมาก 

 

แล้ววันหนึ่ง ในปลายปี พ.ศ.2528 ดร.เดือนก็มาถึงวัดโนนน้อย อ.อุทุมพรพิสัย จ. ศรีสะเกษ  ที่เราเป็นสมภาร-เจ้าอาวาสอยู่  กลับไปไม่นาน ได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งด้วยลายมือที่หยาบและยุ่งเหยิงมาก ๆ มาตัดพ้อต่อว่าอย่างแรง กระทั่งบริภาษ  ว่าเส้นทางของท่านไม่ใช่อย่างนี้  ท่านต้องเข้าป่า ไปสู่ภูเขาและถ้ำ  และทำอุดมการณ์อันสูงสุดให้สำเร็จ  มาอยู่อย่างนี้ได้อย่างไร  ร่วมหมู่เขาได้อย่างไร? ไร้สาระ ไร้ประโยชน์ใดใด  ท่านเปลี่ยนไปแล้ว  ทรยศแล้วหรือ? ทำนองนี้ (ยังเก็บจดหมายไว้ในแฟ้มอยู่)

 

แล้ว ดร.เดือนก็ห่างหายไปสนิท  เราก็มองว่าเธอไม่เข้าใจเรา  ไม่รู้จุดมุ่งหมายของเรา   ไม่รู้สมรรถภาพของเรา  ไม่รู้วิชชาของเรา  เราอย่าพูด อย่าคบหากับเธอต่อไปอีกเลย  ก็เลยเสมือนตายจากกันไป 

 

18 ปีต่อมา วันที่ 9 ธ.ค. 2546  จึงได้พบดร.เดือนอีกครั้งหนึ่ง  ที่มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งโลก (มพล.) ในฐานะที่ต่างก็เป็นเครือข่ายผู้ทรงคุณวุฒิเหมือนกัน และยังอยู่ฝ่ายงานวิจัยด้วยกัน   ต่างได้รับเชิญมาประชุมสัมมนาผู้ทรงคุณวุฒิมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งโลก ด้วยกัน พบว่าดร.เดือนเป็นที่รู้จักของพระสงฆ์ที่ได้รับนิมนต์ไปประชุมเป็นอย่างดี และเรียกเขาว่าอาจารย์  พอเข้าห้องประชุม พระสงฆ์ทั้งหลายก็ชี้ให้ดร.เดือนไปนั่งหัวโต๊ะ  หมายถึงให้เป็นประธาน  ดร.เดือนรีบปฏิเสธว่า  ไม่ใช่   ต้องท่านรูปนี้  แล้วคนอื่น ๆ ก็โอเค  เราก็จำต้องไปนั่งหัวโต๊ะ  เป็นประธานการประชุม ต่อมาเราก็เลยได้รับมอบหมายจากสถาบันวิจัย มพล.ให้เขียนแผนงานวิจัยทั้งสิ้นของสถาบันขึ้นมาและได้เขียน โครงร่างงานวิจัยระบบทั้งหมดของพระพุทธศาสนายุคปัจจุบัน (ดีเล่มที่31หน้า34)  ดังได้เล่ามาแล้ว   แต่การประชุมมพล.ต่อไป(ท้ายสุดประชุมเรื่องเครือข่ายพุทโธโลยี พ.ศ.2547-48) ก็ไม่พบดร.เดือนอีก

 

ดร.เดือนไม่เคยถามว่าพระบรมสารีริกธาตุที่มอบให้นั้น มีความเป็นมาอย่างไร และเราก็ไม่คิดจะบอก เพราะรู้ว่า ดร.เดือนชอบและไม่ชอบใครในวงการวัดวาอารามและศาสนา

 

ในขณะนั้น  ดร.เดือนไม่ยอมรับสายสันติอโศกว่าเป็นธรรมทายาทที่แท้จริง และค่อนข้างจะแอนตี้(ต่อต้าน)สันติอโศก   แต่ดร.เดือนไม่เคยทราบว่า พระบรมสารีริกธาตุที่มอบให้นั้นเดิมเป็นของโพธิรักษ์  เจ้าสำนักสันติอโศกนั่นเอง

 

 เรื่องเริ่มขึ้นในปลายปีพ.ศ.2513  เราได้เริ่มก่อน ด้วยการเขียนจดหมายไปหาโพธิรักษ์  ในขณะนั้นยังเป็นนายรักษ์ รักพงษ์  ทำงานช่อง 4 อยู่  เหตุก็เนื่องมาจากได้อ่านหนังสือที่เขาเขียนแสดงในงานพระไตรปิฎก ที่วัดบวรนิเวศวิหาร แล้วพอใจ  ก็เขียนไปบอกว่าเขาเป็นพระโสดาบันแล้ว   โพธิรักษ์เขียนตอบมาทันทีบอกว่าที่รีบตอบมิใช่เพราะดีใจที่ได้เป็นพระโสดาบัน แต่บังเอิญว่างพอดี  แล้วก็ปรารภถึงต้นเหตุของการเขียนหนังสือเล่มนั้นคือเดินตรงสู่ความเป็นพระอริยะ  แล้วเล่าว่าประพฤติเมตตาจิตโดยกินมังสวิรัติมานานแล้ว  แล้วแหยมมาว่าถามตรง ๆ เถอะ รู้ได้อย่างไรว่าผมเป็นพระโสดาบัน   ก็ตอบไป  โต้ตอบจดหมายไปมากันหลายเที่ยว (เรียกว่าลองของกัน)   เที่ยวสุดท้ายบอกว่าเตรียมจะออกบวช จัดการมรดกเรียบร้อยแล้วเหลืออยู่แต่พระบรมธาตุองค์หนึ่ง ว่าได้มาจากนายทหารผู้หนึ่ง  ยังไม่ได้ให้ใครไป ฟังสำเนียงคล้ายเขาอยากให้เรา ก็เลยขอไว้  แล้วฝากไว้ที่เขาก่อน  เขาตอบทันทีว่าได้เลย บัดนี้พระบรมธาตุเป็นของท่านแล้ว  ยังเก็บสำเนาจดหมายโต้ตอบกันครั้งนั้นไว้ทั้งหมด      แล้วค่ำวันหนึ่งเราก็บุกไปเยี่ยมบ้านโพธิรักษ์ที่ทุ่งมหาเมฆ นั่งโต๊ะกินมังสวิรัติกัน  2 คนตอน ทุ่มเศษ ๆ เขาแสดงการทำอาหารมังสวิรัติให้ดูและเสิรฟเอง  และรับเอาพระบรมสารีริกธาตุมา  ไม่นานต่อมาก็มีข่าวนักจัดรายการเงินล้านสละโลกออกบวช  เราเขียนจดหมายถึงเขาขนาดยาวมาก เพราะเขียนอยู่ 2 วันจึงจบ  วันแรกเขียนตั้งแต่ประมาณ3ทุ่มไปถึงตี1  เหนื่อย  ก็เลยเข้านอน  วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาเขียนต่อ  ไปจบเอาตอนเที่ยงวันเศษ ๆ เนื้อความก็คือขอให้ใฝ่ใจในหน้าที่ของศาสนทายาท พระศาสนากำลังเสื่อมโทรมลงไป หากปฏิญญาณตนเป็นพระโพธิสัตว์ก็จะต้องรับภาระหน้าที่กอบกู้พระศาสนา   ฯลฯ ทำนองนี้  แต่เขียนด้วยพรรณนาโวหาร ที่ดูเวลานี้แล้วรู้สึกว่าเพ้อเจ้อมากไปหน่อย ไม่ทราบโพธิรักษ์อ่านจบหรือไม่   ยังเก็บสำเนาไว้อยู่  คงจะมีโอกาสเอาออกมาเปิดเผยให้ทราบในภายหลัง

 

นี่ก็คือการตั้งความหวังเอาไว้กับบุคคลที่เราเลื่อมใส เชื่อใจ  คงเหมือนกับ ดร.เดือนที่แอบตั้งความหวังไว้กับเรา ???? 

 

ที่เล่านี้เพื่อให้ทราบความเป็นมาของพระบรมสารีริกธาตุองค์หนึ่ง เป็นของโพธิรักษ์แล้วตกมาสู่เรา แล้วไปสิ้นสุดที่ดร.เดือน คำดี

 

เดิมสังเกตว่าพระบรมสารีริกธาตุ สัณฐานเม็ดข้าวสารองค์นี้มีสีสันไม่ขาวสนิททั่วทั้งองค์  เพราะด้านปลายข้างหนึ่งเป็นสีน้ำเงินจัดเหมือนสีดอกอัญชัญ   แต่ก่อนที่เราออกบวชนั้นมาดูพบว่าขาวสนิททั้งองค์

 

นี่เป็นเรื่องที่แปลกเหมือนกัน

 

มีพระและโยมพูดกันมาตลอดว่าพระบรมธาตุเสด็จมาหรือเสด็จไปได้   ระหว่างนี้เจ้าคุณพระศรีธรรมนาถมุนี เจ้าอาวาสวัดมหาพุทธาราม รองเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษก็พูดให้ญาติโยมฟังทำนองเดียวกัน ท่านยังแถมไปอีกว่า  อธิษฐานให้พระบรมธาตุเสด็จมาก็ได้  ท่านเองก็ประจักษ์ข้อเท็จจริงนี้ด้วยตนเองคือมีเสด็จไปจนหมด แล้วเสด็จมาใหม่  ก็เคยพบ  ท่านยังพูดติดตลกว่าเร็ว ๆ นี้ยังไม่ได้เปิดผอบดู บางทีพระบรมธาตุอาจเสด็จหนีไปหมดแล้วก็ได้  

 

เราบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับอดีตพระบรมสารีริกธาตุองค์หนึ่งไว้ สำหรับการวิเคราะห์วิจัยและพิศูจน์โลกลี้ลับโดยสมบูรณ์ทุกแง่ทุกมุมต่อไป

 

 

 

 

ป้องกันข้อครหาว่าด้วยสุขภาพจิต

 

10 ธ.ค. 2549

 

13.30 น.

 

เราอาจจะมองข้ามประเด็นบางประเด็นไป  ซึ่งน่าจะมิใช่เรื่องเล็กน้อย

นั่นคือ   สุขภาพจิตของเราเป็นอย่างไร?

 

ที่รายงานมาทั้งหมดนี้เป็นความเพ้อเจ้อเพราะจิตวิปลาสหรือไม่?

 

ขณะนี้เสียงทิพย์ ยังได้ยินอยู่หรือไม่?     ยังได้ยินอยู่

 

แล้วการเห็นนั่นเห็นนี่ ในสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น นี่ อาจเป็นเพราะจิตอารมณ์วิปลาสหรือไม่? 

 

โดยสรุป  เราเป็นคนบ้า   หรือใกล้บ้าหรือเปล่า?

 

 

เพราะฉะนั้น   เราจึงต้องใจเย็น  และให้เวลาสำหรับปัญหานี้อย่างพอสมควรทีเดียว

 

 

เอาละ   เราจะให้เวลาไปจนกว่าจะขึ้นปีใหม่ 2550 

 

 เพื่อที่จะพิศูจน์ว่า  เราเป็นคนปกติ   ก่อนที่จะทำการในแผนการอันอุกฤตต่อไปในการศึกษาระดับอภิญญานั้น 

 

 

เราขอจบรายงานสุดยอดสมาธิวิปัสสนากรรมฐานระดับอภิญญาภาค 10 ลงแต่เพียงเท่านี้

โปรดคอยติดตามบทบาทของพระวิปัสสนาจารย์เจ้า

พระอาจารย์พยับ ปญฺญาธโรต่อไปใน

รายงานสุดยอดสมาธิวิปัสสนากรรมฐานระดับอภิญญาภาค 11

ในเร็ว ๆ นี้

 

 




Mystery World Report ศึกษาโลกลี้ลับ การศึกษาเชิงงานวิจัยสมาธิและไสยศาสตร์

ศึกษาโลกลี้ลับตอนที่ 27 Mystery worldreport 27 เร่ิม วันกาลเข้าพรรษา 27 ก.ค.2564
Mystery World Report 26 : บันทึกสำคัญ
Mystery World Report 25
Mystery World Report 24
Mystery World Report 23
Mystery World Report 22
Mystery World Report 21
Mystery World Report 20 : ศึกษาโลกลี้ลับ 20 (ภาษาไทย)
Mystery World Report 19 article
MysteryWorld Report 18
Mystery World Report 17
Mystery World Report 16
Mystery World Report 15
ศึกษาโลกลี้ลับภาค 14 ย่อ
ศึกษาโลกลี้ลับภาค 13 ต้นฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 1
ศึกษาโลกลี้ลับภาค 13 ต้นฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 2
ศึกษาโลกลี้ลับภาค 13 ย่อ
ศึกษาโลกลี้ลับภาค 12 ต้นฉบับสมบูรณ์
ศึกษาโลกลี้ลับภาค 12 (ย่อ)
ศึกษาโลกลี้ลับภาค 11 (ย่อ)
ศึกษาโลกลี้ลับภาค 9 article
ศึกษาโลกลี้ลับภาค 8 article
ศึกษาโลกลี้ลับภาค 7 article
ศึกษาโลกลี้ลับภาค 6 article
ศึกษาโลกลี้ลับภาค 5 article
ศึกษาโลกลี้ลับภาค 4 article
ศึกษาโลกลี้ลับภาค 3 article
ศึกษาโลกลี้ลับภาค 2 article
ศึกษาโลกลี้ลับภาค 1 article
ศึกษาโลกลี้ลับ 1



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
----- ***** ----- โปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate นี่คือเวบไซต์คู่ www.newworldbelieve.com กับ www.newworldbelieve.net เราให้เป็นเวบไซต์ที่เสนอธรรมะหรือ ความจริง หรือ ความคิดเห็นในเรื่องราวของชีวิต ตั้งใจให้ธัมมะเป็นทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แด่คนทั้งหลาย ทั้งโลก ให้ได้รู้ความจริงของศาสนาต่าง ๆในโลกวันนี้ และได้รู้ศาสนาที่ประเสริฐเพียงศาสนาเดียวสำหรับโลกยุคใหม่ จักรวาลใหม่ เรามีผู้รู้ ผู้ตรัสรู้ ผู้วินิจฉัยสรรพธรรมสรรพวิชชา สรรพศาสน์ และสรรพศาสตร์ พอชี้ทางสู่โลกใหม่ ให้ความสุข ความสบายใจความมีชีวิตที่หลุดพ้นไปสู่โลกใหม่ เราได้อุทิศเนื้อที่ทั้งหมดเป็นเนื้อที่สำหรับธรรมะทั้งหมด ไม่มีการโฆษณาสินค้า มาแต่ต้น นับถึงวันนี้ร่วม 14 ปีแล้ว มาวันนี้ เราได้สร้างได้ทำเวบไซต์คู่นี้จนได้กลายเป็นแดนโลกแห่งความสว่างไสว เบิกบานใจ ไร้พิษภัย เป็นแดนประตูวิเศษ เปิดเข้าไปแล้ว เจริญดวงตาปัญญาละเอียดอ่อน เห็นแต่สิ่งที่น่าสบายใจ ที่ผสานความคิดจิตใจคนทั้งหลายด้วยไมตรีจิตมิตรภาพล้วน ๆ ไปสู่ความเป็นมิตรกันและกันล้วน ๆ วันนี้เวบไซต์นี้ ได้กลายเป็นโลกท่องเที่ยวอีกโลกหนึ่ง ที่กว้างใหญ่ไพศาล เข้าไปแล้วได้พบแต่สิ่งที่สบายใจมีความสุข ให้ความคิดสติปัญญา และได้พบเรื่องราวหลายหลากมากมาย ที่อาจจะท่องเที่ยวไปได้ตลอดชีวิต หรือท่านอาจจะอยากอยู่ณโลกนี้ไปชั่วนิรันดร ไม่กลับออกไปอีกก็ได้ เพียงแต่ท่านเข้าใจว่านี่เป็นแดนต้นเรื่องเป็นด่านข้ามจากแดนโลกเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง และซึ่งเป็นโลกหรือบ้านของท่านทั้งหลายได้เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาต่างศาสนา ได้โปรดใช้การแปลของ กูเกิล หรือ Google Translate แปลเป็นภาษาของท่านก่อน ที่เขาเพิ่งประสบความสำเร็จการแปลให้ได้แทบทุกภาษาในโลกมนุษย์นี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปีนี้เอง นั้นแหละเท่ากับท่านจะเป็นที่ไหนของโลกก็ตาม ทั้งหมดโลกประมาณ 7.6 พันล้านคนวันนี้ สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในโลกของเราได้เลย เราไม่ได้นำท่านไปเที่ยวแบบธรรมดาๆ แต่การนำไปสู่ความจริง ความรู้เรื่องชีวิตใหม่ การอุบัติใหม่สู่ภาวะอริยบุคคล ไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปพ้นจากทุกข์ ทั้งหลายไปสู่โลกแห่งความสุขแท้นิรันดร คือโลกนิพพานขององค์บรมศาสดาพุทธศาสนา พระบรมครูพุทธะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านโปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate ท่านก็จะเข้าสู่โลกนี้ได้ทันทีพร้อมกับคน7.6พันล้านคนทั้งโลกนี้. ----- ***** ----- • หมายเหตุ เอาขึ้นเวบไซต์ แทนของเดิม ทั้ง 2 เวบ .net .com วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 07.00 น. -----*****-----