ศึกษา
โลกลี้ลับ
ภาค 7
ภาค 7 ธุดงค์ภาคผนวก
พิศูจน์บ้านผีสิง
พอกลับจากศูนย์การคณะสงฆ์ภาค 10 พร้อมด้วยแนววิทยายุทธแนวใหม่เอี่ยมและเตรียมการทันทีเพื่อฝึกฝนหาความชำนาญต่อไปนั้น พระอาจารย์พยับ ปัญญาธโร ก็ได้พบเข้ากับเรื่องราวเร้นลับที่เกิดในสังคมเมือง ที่เจริญแล้วอย่างหนึ่ง และเตรียมการไปพิศูจน์โดยไม่รั้งรอทันที โปรดติดตามบันทึกต่อไปนี้
27 มิ.ย. 2549
1500 น.
อาจารย์วิทยาลัยพลศึกษา ศรีสะเกษ อาจารย์เยาวภา หลานยายสาย รัตนา ผู้อุปปัฏฐาก พานักเรียนมาด้วย 5 คน บอกว่าคุณยายไม่อยู่ ไม่งั้นจะให้คุณยายพามา คุณยายได้ข่าวว่ามีพระมาจากประเทศอินเดีย มาที่จังหวัดมหาสารคาม ก็อยากพบ ก็รีบเดินทางไปมหาสารคามและยังไม่กลับ
วันนี้มีเรื่องประหลาดเร้นลับมาปรึกษาพระอาจารย์ ขอความรู้ และวิธีการแก้ไขต่าง ๆ ให้นักเรียนชายเล่าปัญหาให้ฟังก่อน แล้วค่อยให้นักเรียนหญิงเล่าปัญหาที่ 2 ต่อไป
เรื่องบอกเล่าเกี่ยวกับบ้านผีสิง
- นักเรียนชายเล่าว่า เมื่อชั่ว 2 เดือนที่ผ่านมาได้อาศัยอยู่บ้านของอาจารย์ เป็นบ้านเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ และอาจารย์เจ้าของบ้านไม่ได้อยู่ ท่านยังอยู่บ้านหลังใหญ่หลังเดิมที่จังหวัดสุรินทร์ จึงให้เด็กนักเรียนคนนี้กับเพื่อนอีกคนหนึ่งไปอยู่เฝ้าให้ มาเมื่อราว 7 วันที่แล้ว ได้เกิดฝันประหลาดว่า มีผู้หญิงอุ้มเด็กอ่อน ๆ มาหาว่าต้องการผ้าอ้อมและเครื่องนุ่งห่มกันหนาว เพราะตั้งแต่อยู่ที่นี่ก็ทนหนาวมานาน หนาวเหลือเกิน ก็นำไปปรึกษาคนอื่น ก็คิดกันว่ามีวิญญาณแม่ลูกอ่อนอยู่แถวนั้นก็จัดการหาซื้อผ้าอ้อมมาทำการเซ่นให้ โดยวางเครื่องเซ่นไว้ที่หลังบ้าน คืนต่อมาก็ฝันอีกว่าเด็กมาอ้อนวอนอยากมาเป็นลูกของนักเรียนชายคนนั้น คืนต่อมาก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กในตอนกลางคืน และได้ยินต่อมาอีกหลายคืน และมีการอาละวาดสาดน้ำขึ้นไปบนหลังคา เสียงดังโครมใหญ่ จนกระทั่งทนไม่ได้ กลัว ในที่สุดแม่ที่สุรินทร์ได้พาไปหาคนทรง ๆ บอกว่ามีผีตายท้องกลมสิงสู่อยู่ในบริเวณบ้านหลังนั้น และเราอยู่นั่นสร้างความไม่พอใจแด่เขา เขาไม่ให้อยู่ต้องออกไปจากบ้านหลังนั้นภายในวันเสาร์ที่ 1 ก.ค. 2549 และห้ามเข้าไปอีกไม่งั้นจะมีอันตราย ถึงตาย วันนี้เขาเพิ่งออกไปจากบ้านหลังนั้นมาด้วยความกลัว ทิ้งข้าวของส่วนตัวไว้ที่บ้าน เมื่อมาปรึกษาอาจารย์เยาวภา ๆ ก็พามาหา
เรื่องบอกเล่าเกี่ยวกับผีอำที่หอพัก
- นักเรียนหญิงเล่าเรื่องว่า อยู่หอพักแห่งหนึ่งกับเพื่อนอีกหลายคน ที่หอพักนี้มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นบ่อย ๆ มีผีมาอำเธออยู่บ่อย ๆ นักเรียนทั้งหมดอยู่กันอย่างหวาดกลัวผีกันทุกคน ๆ พบการกลั่นแกล้งของผีหลายรูปแบบ เช่นเวลานอนหลับ มีการดึงขาลงมาบ้าง ทับตัวตนบ้าง เข้าสิงทำให้พูดเพ้อเจ้อไปคนเดียวบ้าง ฯลฯ
เราพิจารณาแล้ว นับเป็นเรื่องราวที่เรากำลังมุ่งมั่นจะศึกษาอยู่พอดี และเรื่องราวหอพักแห่งนี้ ก็เคยมีนักเรียนมาหาก่อนหน้านี้ก็หลายครั้งแล้ว ครั้งหนึ่งถึงกับมากันกลุ่มใหญ่ทั้งชายและหญิง และมีนักเรียนหญิงคนหนึ่งเป็นลมลงปัจจุบันที่หน้ากุฏิเรา ว่าผีตามมารังแก จนต้องหามกันเข้ามาในกุฏิ แต่ตอนนั้นเรายังไม่รู้วิธีการจะจัดการอย่างไร ทำการแก้ไขสุ่มไปจนหายเอง
บังเอิญบัดนี้เพิ่งได้แนวทางวิชานั่งทางในมาใหม่ ๆ
เราก็น่าจะไปลองวิชานั่งทางในดูเสียเลย โดยไปดูก่อน เพื่อให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร มีมิติเร้นอยู่อย่างไรบ้าง
นึกทบทวนไปมายิ่งเห็นว่าดีจริง ๆ ได้โอกาสเหมาะเจาะจริง ๆ
ก็เลยนัดให้มารับไปบ้านนั้นวันนี้ เวลา 21.30 น.
- เรื่องกำลังตื่นเต้นเข้าไปทุกขณะแล้ว แม้ตัวเราเองก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นบ้างแล้ว
บุกบ้านผีสิง
17.15 น.
เอาละจะเตรียมตัว
เกิดแนวคิดใหม่ เดิมว่าจะไปนั่งสมาธิดูสักครู่ใหญ่ ๆ แล้วกลับ เห็นจะไม่พอ จะต้องอยู่ดูสถานการณ์ทั้งคืน
จึงวางแผนใหม่ ว่าคืนนี้ทั้งคืนจะอยู่ที่บ้านหลังนั้น จะให้พวกครูและนักเรียนออกไปหมด เหลืออยู่แต่เราคนเดียว เพื่อทำงาน
และปฏิบัติฟึกฟื้นวิชาไปจนถึงระดับที่มองเห็นยักษ์ในป่าของศูนย์การคณะสงฆ์ภาค 10 ให้ได้
ก็คงจะสำเร็จกิจ
แล้วอย่างไร?
เราก็จะได้ติดตามไปนั่งดูที่หอพักต่อไปอย่างไร?
และนี่คือบทบาทของอะไร? หมอผีหรือ ?
น่าจะมิใช่ ก็บทบาทของพระนี่แหละ พระที่ไม่ทอดทิ้งสังคม มีความรู้ มีวิชชา เมตตาช่วยแก้ปัญหาสังคมไปทุกรูปแบบ แม้เป็นแบบที่แปลกประหลาดไปขนาดนี้ พระก็ต้องช่วย นี่อย่างไรล่ะ!!!
แต่หลักของเรามีว่า แผ่เมตตาอย่างเดียว ผีจะร้ายอย่างไร ก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้อยู่แล้ว และบุคคลนี้เป็นบุคคลผู้ซึ่งเทพเจ้าทั้ง3 เพิ่งเสด็จมาเยี่ยมเยียน อำนวยพรให้ใหม่ ๆ หมาด ๆ
ไม่ได้หรอกน่ะ
ยังไม่ต้องพูดถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นบรมครูของเรา
เรากำลังประมาทผีหรือเปล่า?
นั่นซี!!!
ลองทบทวนคำว่าประมาท
ก็เรามีการเตรียมพร้อม เตรียมวิชาสารพัด จะเรียกว่าประมาทได้อย่างไร
มิได้ไปตัวเปล่า แต่มีวิชา ธรรมาวุธ เพียบพร้อม ๆ ที่จะจัดการสถานการณ์ผี ๆ ได้
- เพียงแต่เราขาดดวงตา มองทางในเท่านั้นเอง และเรากำลังจะไปลองฝึกฝนดู ตามแนวทางที่รู้มาแล้วจากป่าศูนย์การคณะสงฆ์ภาค 10
19.10 น.
เตรียมชุดธุดงค์ชุดใหญ่เลย ครบเครื่อง เพราะวางแผนการติดตามศึกษาระยะยาว ถ้าวันแรกคืนแรกนี้ยังไม่ชัดเจน เราก็จะอยู่ต่อไป กี่วันก็ได้ จนกว่าจะรู้เรื่องราวชัดเจน
อ.พัชราโทร.มา บอกจะตามไปสมทบที่บ้านหลังนั้น
19.30 น.
ถ้ามีเหตุการณ์ เราจะเพียงดู และบันทึกข้อมูลอย่างเดียว
ปล่อยให้ผี หรืออะไรก็ตามทำอะไรก็ได้ ได้ทุกอย่างตามใจเขา
ถ้าคิดจะทำร้ายก็ให้ทำร้ายได้เลย แต่เราจะอยู่เฉย ๆ จะทำแบบหณุมาน นอนให้มัยราพณ์ตีด้วยต้นตาล
มีปัญญาทำอะไรก็ทำไป เราจะอยู่เฉย ๆ
(นี่เป็นความมั่นใจในเรื่องภาคภายในโดยเฉพาะ เป็นคนละส่วนกับภาคภายนอก)
เราต้องการข้อมูล ให้ได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง สิ้นข้อสงสัยให้ได้เท่านั้น
แล้วค่อยคิดแก้ไขเป็นขั้นตอนต่อไป
อืม!! น่าเป็นแผนการที่ดีทีเดียว
21.30 น.
รถเก๋งมารับ พร้อมคณะ 4 คนด้วยกัน เจ้าของรถคือสามีอ.เยาวภานั่นเอง
22.00 น.
บัดนี้เราอยู่ผู้เดียวในบ้านหลังนี้
วินัย จันทรินทร์ อายุ 19 ปี เจ้าของปัญหา กับเพื่อนชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งไม่รู้สึกอะไรกับเหตุการณ์นี้นัก
บ้านเป็นบ้านชั้นเดียว แบบบังกะโล ห้องแถว อยู่ในบริเวณที่ดินจัดสรร เนื้อที่ประมาณ 100 ตารางวา มีรั้วลวดหนามล้อมรอบ มีทางเข้าบ้านยังไม่มีประตู
เข้าทางบ้านหนองยาง แล้วไปเรื่อย ๆ ถึงบ้านอีกหมู่หนึ่ง เลยจากนั้นไปสักหน่อย
พอเห็น ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องประสาทของเด็กมากกว่า แล้วคนทรง นักธรรมบ้านนอกก็ไปขยายเรื่องให้น่ากลัวไป โดยไปพยากรณ์ว่าเขาห้ามเข้ามาในบ้านอีก ให้ออกไปภายในวันเสาร์ ที่ 1 ก.ค. 2549 มิฉะนั้นจะเกิดอันตรายถึงชีวิต ก็กลัวกันใหญ่
พอบอกให้พากันกลับเราจะอยู่ต่อไปคนเดียว ก็กลัวว่าเขา หรือผีที่นี่จะตามไปกับรถ ถามว่าถ้าเขาตามไปจะทำอย่างไร?
ก็บอกว่าไม่ต้องกลัว หลวงพ่อไม่ให้ตามไป เพราะหลวงพ่อมาอยู่ที่นี่แล้ว ใครจะไปไหนไม่ได้ ?
22.30 น.
แมลงมาที่บ้านมาก เปิดไฟข้างนอก ข้างในสว่าง แมลงก็มา มีแมงจู๊ดจี่ แมงกินูน บางตัวขนาดใหญ่ปีกแข็งปานอิฐปานหิน บินมาชนหลังคาสังกะสีดังโครม ๆ โพล้งเพล้ง มีตักแตน แล้วมีจิ้งจกตัวหนึ่งร้องขึ้นเสียงดังยาว ๆ หลาย ๆ ครั้ง
เรานั่งสมาธิในบ้าน ไม่ได้ใช้กลด เพราะไม่มียุง
28 มิ.ย. 2549
00.15 น.
ขณะบันทึกนี้ 00.15 น.
เสียงจิ้งจกนั่นแหละน่าจะเป็นเสียงคล้ายเด็กร้อง ตามที่วินัยได้ยิน
เราเดินจงกรมในบ้านไป 1 เที่ยวแล้ว ระยะที่ 1-3
เพิ่งสังเกตว่าหน้าต่างปิดสนิท ก็ไปเปิดหน้าต่างออก ซึ่งมีอยู่เพียง 4 บานใหญ่ รู้สึกโล่งโปร่งขึ้น เปิดประตูกระจกและประตูชั้นนอกโครงเหล็กออกอีก เปิดโล่งเลย สบาย หายอึดอัด
ออกไปเดินดูข้างนอกบ้าน
เงียบสงบดีมาก
แต่ที่นี่กลิ่นโคลนสาบควายแรงมาก ทำให้อากาศเสียความบริสุทธิ์ไปหมด เราพยายามนนั่งสมาธิ นั่งทางในแต่ไม่ได้ผล ยังขึ้นระดับที่ละเอียดอ่อนระดับที่นั่งได้ในป่าศูนย์ภาคคืนนั้นไม่ได้ (เรามีระบบความจำ ที่จำเอาระดับธรรมะนั้นไว้แล้วใช้เป็นเกณฑ์สำหรับเปรียบเทียบกับการปฏิบัติครั้งต่อ ๆ มา)
ระดับนั้น คล้ายว่าใสปานเส้นใยแก้ว ก็ว่าได้
เรารู้อยู่แล้วว่าเรายังทำไม่ได้ อย่างเป็นปกติ อย่างเป็นธรรมชาติ จึงต้องวางแผนฝึกต่อ
เราต้องทบทวน พยายามฝึกไปให้ถึงระดับนั้น และทำให้ได้อย่างช่ำชอง
และมั่นใจ ไม่เหลือวิสัยคนอย่างเราจะทำได้แน่
00.22 น.
ลมมาแรง เสียงฟังดังอู้ ๆ วู่ ๆ เสียงแมงจุ๊ดจี่ แมงกินูน ชนหลังคาสังกะสี ดังอยู่ตลอดเวลา
ทั้งเสียงสังกะสีถูกลม
เอาละ เราจะเข้าสมาธิอีกครั้งหนึ่ง มองทางใน
จิ้งจกตัวนั้นร้องพิสดารดี เจ๊บ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ แล้วมีอีกตัวหนึ่งร้องรับอยู่ด้านนู้น แล้ว 2 ตัวร้องอยู่อีกคนละทิศ รวมเป็นสี่ทิศเลย
จริง ๆ แล้ว ถ้าคนอยู่เพียงคนเดียว สองคน เสียงนี้ประหลาดน่ากลัวมาก
02.06 น.
เราทำสมาธิได้ไม่ดีเลย ขณะนี้ 02.06 น. มีเสียงตกถูกหลังคาสังกะสีดังปึง ๆ ๆ เป็นระยะ ๆ บางครั้งดังทีเดียว แต่เป็นเพราะแมลงกินูน แมงจุ๊ดจี่ตัวเขื่อง ๆ บินมาชน และยังมีแมลงอื่น ๆ มาอีกเยอะ แล้วจิ้งจกพวกนั้นก็มากินแมลงบนหลังคา บางทีมันวิ่งไล่กัน และวิ่งทับกันตามประสาสัตว์จิ้งจก เสียงมันแล่นแฉลบไปบนสังกะสี แสบ ๆ ยาว ๆ แล้วพอไปทับกันมันก็ร้องอ๊อดแอ๊ด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ไก่ขันมาแต่ไกล
เสียงดนตรีจากหมู่บ้านด้านใต้โน้นหยุดไปนานสักหน่อยแล้ว
เสียงรถยนต์วิ่งไปในเวลากลางคืนจากที่ไกล ดังเหมือนคนร้องโหยหวนยาว ๆ
การทำสมาธิคืนนี้ ใช้ไม่ได้เลย ระบบปราณเดินไม่ได้ดั่งใจ
คิดจะเร่งงานฝึก
แต่ที่นี่มีปัญหา สาเหตุเพราะอากาศไม่บริสุทธิ์ กลิ่นโคลนสาบควายแรงจริง ๆ มีนาลุ่มน้ำนองอยู่หน้าบ้านนี้ มีคอกวัวในโรงวัวบริเวณที่ดินด้านหน้าบ้าน ติดกันเป็นที่วัวลงเกลือกและถ่ายมูลไว้ทั้งฝูง และรอบ ๆ บ้านยังมีรอยวัวมากินหญ้าและถ่ายมูลไว้สด ๆ หลายกองรอบ ๆ บ้าน ทำให้กลิ่นขี้วัวแรงจริง ๆ กลิ่นแบบนี้ไม่อนุเคราะห์แด่ปราณเลย จนนั่งสมาธิก็ไม่ได้ดี
เราคงได้ข้อสรุปแล้ว
เสียงจิ้งจกนั่นเองเป็นตัวปัญหา และแมงจุ๊ดจี่ ตัวดำปีกแข็ง ตัวโต ที่เราเรียกว่าตัวขุนมันนั่นที่บินชนหลังคาบ้านอยู่ตลอดคืน ดังโครมคราม บางทีมันบินหวือ ๆ ๆ ๆ แล้วชนเข้ากับรั้วเหล็กอย่างแรงเสียงดังเพล้ง เหมือนคนขว้างก้อนหินก็ปานกัน เพราะตัวมันแข็งปานก้อนอิฐก้อนหินทีเดียว
เป็นเรื่องหวาดระแวง แล้วประสาทกิน หลอกตัวเอง
เสียดาย !!! เราไม่ได้เจอผีจริง ๆ เสียแล้ว
02.20 น.
ขณะนี้เราอยู่ในบ้าน ดับไฟมืด เหลือไฟหน้าบ้าน เราออกไปปิดไฟหน้าบ้าน ต้องการอยู่ในความมืดล้วน ๆ เผื่อผีจะชอบความมืดและมากับความมืด กระนั้นเมื่อดับไฟแล้ว กลับดูสว่างกว่าเก่า มองไปรอบ ๆ บ้าน เป็นทุ่งนาโล่ง ๆ มีหมู่ไม้ขึ้นเป็นหย่อม ๆ ประปราย มีโรงเรือนและบ้าน 3-4 หลัง ห่างออกไปประมาณ 100-200 เมตร เปิดไฟทิ้งไว้
ที่จริงเวลากลางคืนก็ไม่มืดเลย สว่างพอเดินทางหรือเทียวไปไหน ๆ ได้พอ ๆ กับเวลากลางวันนั่นเอง ไม่แปลกอะไรเลย
ที่บริเวณนี้ ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยแม้สักนิดเดียว เราคิดอยู่ในใจ ยิ่งถ้าเทียบกับบริเวณที่เราธุดงค์ไป และปักกลดแต่ละแห่งแล้ว ถ้านึกอย่างสามัญชนดูแล้วเทียบกันไม่ได้ ที่เราธุดงค์มานั้นน่ากลัวมาก ๆ แต่เราไม่เคยรู้สึกว่าน่ากลัวอะไรเลย ต่อเมื่อลองคิดแบบคน ๆ คิด จึงรู้สึกขึ้นว่าเป็นอย่างไร
เราคิดว่า เรื่องนี้จบลงได้เลย แท้จริงเป็นเรื่องแหกตาเท่านั้นเอง
แต่ก็อยากทำเครื่องหมายไว้ให้คนอยู่ที่บ้านอบอุ่นใจ จึงออกเดินไปรอบ ๆ บ้าน ได้ 3 รอบ นั่งที่แคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน คิดว่าถึงอย่างไรก็ไม่ค่อยเหมาะสำหรับทำกรรมฐาน เป็นสถานที่ ๆ ไม่อำนวยให้ปฏิบัติธรรมเลย โดยที่ปัญหาส่วนใหญ่มีเสียงแมลงมากเกินไป และกลิ่นขี้ควายแรงมาก
ตัวปัญหาที่แท้จริง
03.29 น.
ถ้าจะให้อะไรดีขึ้น ต้องไล่เจ้าจิ้งจก 4 ตัวหนีไปเสีย
มันนั่นเองเป็นตัวปัญหา
ไก่ขันกระชั้นมาแล้ว อากาศเย็นยะเยือกลงไปอีก หนาว ดีที่ไม่มียุง ตั้งแต่มามีอยู่ 3-4 ตัว
- ข้าวของที่เอามา ยังอยู่ในย่ามครบครัน ไม่ได้ใช้อะไรเลยแม้สักอย่าง
รำลึกเหตุการณ์คราวเป็นเจ้าวัดบ้านโนนน้อย คืนนั้นเผาศพยายแม่ธรรมอายุ 90 เศษ ๆ คนเฒ่าของหมู่บ้าน ตกดึก กองฟอนก็ถูกลมรวยริน ลุกแดงโพลงขึ้นมา แล้วจวนรุ่งแจ้งอากาศเย็นลง เย็นลงช้า ๆ จนเย็นยะเยือก มักเป็นที่ทราบกันว่า ก่อนที่ปีศาจหรือผีจะปรากฏตัว อากาศจะเย็นลงไปก่อน ค่อย ๆ เย็นลง ๆ ๆ ๆ เราคิดว่าอีกสักหน่อยวิญญาณของยายก็คงผุดลุกขึ้นมาแน่ ๆ ในทันใดนั้นก็เหมือนได้เห็นเงา ๆ รูปคนผียายผีค่อย ๆ ผุดลุกขึ้นนั่งบนกองฟอน แล้วเดินหายไปในความมืด(บางทีอุณหภูมิที่เหมาะสมอาจจะทำให้สารระเหยบางอย่างทำปฏิกิริยาทางเคมี เป็นผีขึ้นมาก็ได้)
ทำให้รู้ว่า ก่อนที่วิญญาณจะปรากฏตัวนั้น ต้องประกอบด้วยอุณหภูมิที่เยือกเย็นพอดีเสียก่อน ตรงนี้อาจจะเกี่ยวกับการรวมธาตุหรือแก็สอะไร ๆ เข้าด้วยกันให้เหมาะพอดีเสียก่อนจึงจะเกิดเป็นเงาผีขึ้นมาได้
นี่ก็เป็นเพียงข้อสมมติฐานอยู่ ไม่เคยมีโอกาสพิศูจน์อย่างจริงจังเลย แต่เรื่องอากาศเย็นนี้ พอจะเห็นว่ามีมูลความจริงอยู่เหมือนกัน
03.40 น.
เราจะบอกพวกเขาอย่างไร?
ทำเป็นว่าซีเรียส สร้างเรื่องให้น่าสงสัย น่ากลัว แล้วมาต่ออีกสักคืน 2 คืนหรือ?
เรื่องเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ซี!!!!
สาเหตุก็คือคนทรงไปกุให้ใหญ่โตขึ้น ว่าถ้าไม่ออกจากบ้านไปในวันเสาร์ที่ 1 ก.ค. 2549 จะเป็นอันตรายถึงตายแน่ เด็กก็กลัว ใคร ๆ ก็กลัว ครูบาอาจารย์ก็กลัว ก็กลายเป็นผลร้ายทางจิตวิทยากลุ่มขึ้นมา
พวกนี้เป็นหมอผีประจำหมู่บ้าน ถามอะไรไปแกก็ตอบว่าผีทำหมดแหละ เพราะในหัวมีแต่เรื่องผี ๆ ๆ
พูดไปได้อย่างไร? โง่เขลาแท้ ๆ !!!
03.55 น.
จวนจะตี 4 แล้ว ขณะนี้ใกล้รุ่งแต่เรายังไม่เจอผีสักตัว
เวลาที่เหลือก่อนสว่างนี้ จะมีผีมาหรือไม่?
คงไม่มีแล้ว มีแต่จิ้งจก 2 ตัวทักกันไป ทักกันมา
มันคือตัวปัญหาอย่างแท้จริง
เอาจิ้งจกออกไป ผีก็ไปด้วย
06.00 น.
เอาละ!!!! เราพอจะรู้แนวทางของเราแล้วว่า งานอย่างนี้ คือเรื่องสงเคราะห์ผี หรือจนกระทั่งงานปราบผี ฯลฯ คงต้องเป็นหน้าที่ของเราอย่างขาดไม่ได้เสียแล้ว
เพราะมีประชาชนส่วนหนึ่ง จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องผีนี้ และเราเองก็ต้องการเรียนรู้ และบัดนี้ก็ได้รู้อะไรขึ้นมามากพอสมควรแล้วทีเดียว
จะต้องติดตามเก็บข้อมูล
เรื่องผี ๆ ควรจะต้องกระจ่าง อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ออกมา
แต่สำหรับวันนี้
สิ่งที่เราได้ก็คือ ได้ทบทวนการเดินจงกรม
ตอนใกล้รุ่งนั้นทบทวนตั้งแต่ระยะที่ 1 ไปจนถึงระยะที่ 4 ฟ้าก็สว่าง หญิงในหมู่บ้านออกมาที่โรงวัว แล้วเลยมาไหว้ถามข่าวเสียก่อน
เรายังคงต้องชื่นชมว่า จงกรม เป็นแนวปฏิบัติที่ทรงคุณล้ำเลิศ และเราจะขาดไม่ได้เลย
จบการบันทึกภาค 7 ลงเท่านี้
พระอาจารย์พยับ ปญฺญาธโร จำต้องหยุดงานภาคธุดงค์ลงไว้ก่อน เนื่องเพราะวาระเข้าพรรษาตามพระวินัยบัญญัติมาถึงแล้ว จะต้องหยุดการสัญจรลงชั่ว 3 เดือน
กระนั้นหาหยุดการปฏิบัติธรรมกรรมฐานไม่
ต่อเมื่อสิ้นเทศกาลแล้ว ออกพรรษาแล้วงานธุดงค์เพื่อการฝึกฝนวิชาเร้นลับดังกล่าวมานี้ก็จะเริ่มขึ้นทันที
แต่จะอย่างไรนั้น
โปรดติดตาม โลกลี้ลับ ตอนต่อไป ในบทบาทของพระวิปัสสนาจารย์ พระธุดงค์ และพระกัมมัฏฐานของ พระพยับ ปญฺญาธโร เพื่อนำความลี้ลับของโลกนามธรรม และโลกวิมุติ-นิพพาน ออกมาเผยแผ่แด่ชาวโลก
* พระพยับ ปญฺญาธโร ผู้บันทึก
ระหว่างเดินทาง 22- 28 พ.ค. 2549
* แฟ้ม vipassna7new.doc