ศึกษา
โลกลี้ลับ
ภาค 6
โลกลี้ลับ (6)
ภาค 6
ติดตามพระวิปัสสนาจารย์ พระธุดงค์ และพระกัมมัฏฐานยุคใหม่
ภาค 6 การเดินทางและธุดงค์ภาค 6
การประชุมประจำปีของพระสังฆาธิการทั่วประเทศ
โอกาสที่
พระพยับ ปญฺญาธโร ได้รับคำสั่งให้ไปประชุม พระสังฆาธิการระดับเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาสและผู้ช่วยเจ้าอาวาสทั่วประเทศ ตามมติมหาเถรสมาคมที่ 143/2546 ณ ศูนย์การคณะสงฆ์ภาค 10 ถนนชยางกูร กม.ที่ 42 ตำบลหนองเมือง อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี ในวันที่ 23 มิถุนายน 2549 ได้สมาทานธุดงค์กรรมฐาน แล้วเดินทางไปอย่างพระธุดงค์ อย่างสามัญชน ไปสุสานฮ่วยเซย ทำกรรมฐานที่สุสานแห่งนั้นก่อน 1 คืน แล้วเลยไปเข้าประชุม ณ ศูนย์การคณะสงฆ์ภาค 10 และตั้งใจว่าจะทำการศึกษาป่าที่ตั้งศูนย์การคณะสงฆ์ภาค 10 แห่งนี้ โดยปักกลดสักคืนหนึ่งในป่า เพราะที่นั่นเดิมเคยเป็นป่าใหญ่ แม้ขณะนี้ก็ยังเป็นป่าขนาดใหญ่อยู่ เพียงแต่ถูกลิดรอนลงไปบ้าง โดยการบุกเบิกสร้างเป็นศูนย์การคณะสงฆ์ภาค 10 ส่วนหนึ่งและการพัฒนาท้องถิ่นส่วนหนึ่ง กระนั้นก็ยังทรงสภาพที่น่าศึกษาทางธรรมกรรมฐานอยู่อย่างเต็มที่
และแม้โอกาสนี้จะเป็นระยะเวลาเพียงสั้น ๆ ก็ได้ผลการศึกษาอย่างสมบูรณ์คุ้มค่า ปรากฎตามบันทึกการเดินทาง ต่อไปนี้
อุทิศส่วนบุญ ณ สุสานฮ่วยเซย
22 มิ.ย. 2549
0800 น.
ออกจากวัดพระโต
ตั้งใจว่าจะเดินทางไปในแบบพระธุดงค์ผู้เคร่งกรรมฐานตลอดทางนั้นด้วย โดยตั้งใจว่าจะแวะที่สุสานฮ่วยเซยเสียก่อน เพราะมีเรื่องราวที่ติดค้างใจมาตั้งแต่การมาพักค้างคืนคราวก่อนคือคืนวันที่ 8 ต่อกับ 9 มิ.ย. 2549 ขณะปักกลดพักแรมท้ายสุสานนั้น ได้ประสบการณ์บางอย่าง ที่มานึกดูภายหลังแล้ว น่าสงสัยว่าอะไรเป็นอะไร ตามที่ได้รายงานไปในครั้งก่อน ( หน้า 109)ว่า
จึงกลับไปฮ่วยเซย
เรากำลังอยู่ในสปิริตของนักปฏิบัติอย่างแรงและต่อเนื่อง
ขนสัมภาระออกไปท้ายสุสาน
เลือกได้ที่คิดว่าเหมาะแล้ว
ใต้ต้นคูณสามง่ามต้นหนึ่ง ตรงมุมข้างตะวันออกเฉียงใต้ ติดกับฮวงซุ้ยใหญ่ของสุสาน
จัดแจงเรียบร้อยแล้ว ไปสรงน้ำ ฯลฯ
9 มิ.ย. 2549 (ศุกร)
02.00 น.
ตื่น ได้กลิ่นน่าสะอิดสะเอียน เพราะลมเปลี่ยนทิศ
ระลึกได้ว่า ก่อนตื่นขึ้นมากลางดึก นิมิตรเห็นซากโครงกระดูก 2 ซาก ซากหนึ่งสูงซากหนึ่งต่ำ มายืนมองดูเราอยู่แต่ไกล ๆ ไม่เข้ามาใกล้ ออกท่าทางหม่นหมองไม่สบาย แต่เราไม่เอาใจใส่
พบว่าบริเวณนั้นมีหลุมขนาดลึกบ้าง ตื้นบ้างหลายหลุม หลุมหนึ่งค่อนข้างใหญ่กว่าเพื่อน อยู่ด้านหัวนอนของเรานั่นเอง กลิ่นมาจากหลุมนั้น
และบริเวณที่เรานอนนั้น น่าเป็นที่จัดการเศษศพ แล้วหญ้าขึ้นคลุมจนเราไม่ทันสังเกต กลิ่นจึงเหียนหืนขึ้นยามลมสงบ
เราตัดสินใจเก็บข้าวของ รื้อแค้มป์อย่างช้า ๆ รอเวลา กะว่าเสร็จก่อนตี 4 จะได้ออกไปจากสุสาน
ในคืนนั้นต้องตื่นขึ้นตั้งแต่เวลา 02.00 น. ซึ่งเป็นเวลาดึกอยู่ เหตุที่ต้องตื่นก็เพราะได้กลิ่นน่าสะอิดสะเอียน เหียนหืนขึ้นมา ทนกลิ่นไม่ได้ จนต้องรื้อกลดหนีออกไปจากที่นั้น
กลิ่นนั้นยังติดผ้าและจีวรมาถึงศูนย์การคณะสงฆ์ภาค 10 แม้ว่าจะซักผ้าทุกผืน จีวรสบงทุกตัวแล้วก็ตาม เสร็จสิ้นการเดินทางไปแล้วก็ตาม กลิ่นก็ยังติดไปจนถึงศรีสะเกษ
มาระลึกว่า กลิ่นไม่น่าจะแรงขนาดนั้น เพราะตอนกลางวันก่อนปักกลดก็ได้สำรวจดูอย่างดีแล้วว่าเป็นอย่างไร
มารำลึกถึงความเชื่อบางอย่างของคนไทยเรา เกี่ยวกับเรื่องวิญญาณหรือจารีตปฏิบัติเกี่ยวกับคนตาย ว่าบางทีเราอาจจะปฏิบัติผิดจารีตคลองธรรมเช่นนั้น ทำให้วิญญาณไม่พอใจและส่งกลิ่นขึ้นประท้วง อะไรทำนองนั้น ใช่หรือไม่?
เราเองอยากพิศูจน์แบบเผชิญหน้ากับเหตุการณ์จริง ๆ ให้รู้กันอย่างชัดเจนจะแจ้ง
มารำลึกว่าที่ฮ่วยเซยนี้ยังไม่ทันมีการบรรเลงดนตรีแห่ศพให้เราฟังเลย เพราะไปที่ป่าช้าโพนเขวา ก็มีดนตรีแห่ศพให้ฟัง ดังลั่นสนั่นเกือบตลอดคืน ไปที่สุสานสุขาวดีก็มีถึง 2 ครั้ง 2 คืน แต่มาที่ฮ่วยเซยหลายหนแล้ว ยังเงียบอยู่ ไม่มีวี่แววว่าจะมีดนตรีให้ฟัง แถมยังมีกลิ่นติดตัวกลับไปถึงศรีสะเกษอีกเช่นนี้
และบังเอิญนึกขึ้นได้อีกเหมือนกันว่า มาฮ่วยเซยหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยแผ่อานิสงส์บุญให้เปรตผีในป่าช้าแห่งนี้เลย
อาจจะเป็นได้ไหมว่า พวกอมนุษย์ที่นี่ก็ประสงค์ได้ส่วนบุญด้วย ???
น่าเป็นไปได้มากทีเดียว !!!
กะว่าไปคราวนี้จะตั้งใจแผ่ส่วนบุญกุศลให้
ด้วยบทอุทิศ ที่ว่า อิมินาปุญญกัมมเมนะ อุปัชฌายาคุณุตตรา ฯลฯ
ประสบการณ์วิญญาณในอดีต
เพราะเราเคยมีประสบการณ์ตรงในเรื่องนี้มาแล้ว ได้เห็น ประจักษ์ ได้ข้อมูลอย่างชัดเจนอย่างสิ้นข้อสงสัยไปเลยทีเดียว
เมื่อเฉลียวใจนึกดูเรื่องการแผ่บุญกุศลนี้แล้ว ก็เห็นว่าในระยะหลัง ๆ มานี้ เรามิได้เห็นความสำคัญเสียเลย ไปปักกลดที่ไหนดูเหมือนละเลยไปทุกแห่ง (เพราะทะนงตน ไม่นึกเกรงอะไรในโลกวิญญาณ) นึก ๆ ยิ่งพบสัจธรรมว่า แท้ที่จริงควรถือเป็นจริยาอย่างหนึ่ง คือการอุทิศบุญกุศลหรือแผ่ส่วนบุญนี้ ควรที่จะทำ เพราะเปรียบเสมือนการให้ทานอย่างหนึ่งโดยตรง มิใช่เรื่องที่พระสงฆ์ พระธุดงค์ควรจะเลินเล่อ หลงลืม เป็นอันขาด เพราะเป็นสิ่งที่มีอานิสงส์มาก เป็นสิ่งที่อมนุษย์ ทั้งหลายต้องการมาก ดังที่เคยประจักษ์ด้วยตนเองมาแล้ว ครั้งหนึ่ง ในคราวที่บวชใหม่แล้วเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอน
ในปี พ.ศ. 2526 ปีบวช ณ กาญจนบุรี แล้วเตรียมฝึกทบทวนวิชามุ่งหมายจะเข้าแดนป่าไปจากสังคมจากโลกนี้ แล้วมีโทรเลขไปแจ้งว่า แม่ป่วยหนักกลับด่วน ก็ได้กลับมาจำพรรษาแรกอยู่ที่วัดบ้านโคกกลาง (วัดใหญ่) ตำบลอี่หล่ำ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอน
แล้วคืนหนึ่งก็ได้พบปรากฎการณ์ประหลาด เริ่มจากได้ยินเสียงแซ่สนั่น กระชั้นถี่ บาดลึกในใจ จนผวาตื่นขึ้นมา ขณะนั่งเข้ากรรมฐานในเวลากลางคืน มองไปรอบ ๆ ศาลา สิ่งแรกที่เห็นก็คือ วงกลมแดง ๆ ดูเป็นวง ๆ ขนาดเท่ากำปั้นของเด็ก ๆ มากมายหลายวงซ้อนกันอยู่เต็มไปหมด แล้วพอชัดขึ้นก็เห็นเป็นเงาภาพราง ๆ ในโครงร่างมนุษย์ นี่คือสิ่งที่ควรเรียกว่า อมนุษย์ เปรต อสุรกายจำนวนมากล้อมทั้ง 4 ด้านของศาลาไว้ มีหลายลักษณะต่างกันไป สูงบ้าง ต่ำบ้าง ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ที่กระจิ๋วหลิวตัวแบน ๆ ก็มี และยังรู้สึกด้วยว่าเป็นใครบ้าง แม้กระทั่งยายที่เพิ่งเสียไปไม่กี่วันนี้เองก็มาด้วย บางพวกก็ทำให้แปลกใจเพราะมาไกล มาจากแดนที่เราอุปสมบทและเพิ่งจากมา มาจากกาญจนบุรีนู้น!! ที่เห็นลักษณะวงกลมแดง ๆ ขนาดเท่าเบ้าตา ก็คือวงรอบดวงตานั่นเอง เสมือนลอยอยู่ในอากาศเป็นจำนวนมาก ต่อเมื่อเพ่งดูแล้วจึงเห็นเป็นเงารูปร่างเหมือนคน มีแสงเฉพาะวงแดง ๆ รอบเบ้าตา และดวงตาหลัว ๆ ดังกล่าว บางตนอยู่ด้านหลังเพื่อนก็กระโดดขึ้น ๆ ลง ๆ เพื่อมองเข้ามาในศาลา บางตนก็ขี่คอซ้อนกันขึ้น มีลักษณะเคลื่อนไหว ไปต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา ทีแรกไม่เข้าใจ ตกใจ เพราะไม่เคยเห็นอะไรมากมายขนาดนี้ สัญชาติญาณบอกว่าต้องเตรียมการต่อสู้ เหมือนกำลังเลือกอาวุธที่จะใช้อยู่ กะจะใช้เตโชกสิณ พลันนึกได้ว่าเราเป็นสมณะ จะทำร้ายคนอื่นอย่างไร? อาจจะเป็นอย่างอื่นละกระมัง เหตุใดพวกนี้จักมาราวีกับเราด้วยเรื่องอะไร ก็คิดได้ว่า โอ้ !! พวกเขาแห่กันมาแน่นขนัดอย่างนี้ เพื่อขอส่วนบุญละกระมัง !!! คงจะเหมือน ๆ กับพวกแมงตัวเล็กดำ ๆ ที่พากันบินมาลงกลางดึกจนเต็มกุฏิ เต็มพื้นห้องจนไม่มีที่เดินที่วางเท้า ในวันแรก ๆ ที่เราบวชนั่นละกระมัง!! ก็นึกขึ้นมาได้ว่า มีเหตุผล ๆ
ก็หยุดยืนอยู่กลางศาลาทันที พนมมือสำรวมจิตอุทิศบุญให้ โดยกล่าวคาถา อุททิสสนาธิฏฐานคาถา มีว่า อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อุปัชฌายา คุณุตตะรา .... (ด้วยบุญนี้อุทิศให้ อุปัชฌาย์ผู้เลิศคุณ...ด้วยบุญนี้ที่เราทำ และอุทิศให้ปวงสัตว์ ฯลฯ) ที่รู้กันว่าคาถาหยาดน้ำอิมินา นั่นแหละ
ปรากฏแก่ตาอย่างชัดเจนว่า มีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะพอสวดคาถาจบลงปรากฏว่า หมู่อมนุษย์ทั้งหลายที่มาแน่น 4 ด้านศาลานั้น อันตรธานหายเกลี้ยงไปในทันที ไม่มีเหลือแม้แต่ 1 ตน
อันเป็นประสบการณ์จริงที่ประจักษ์ชัดแจ้งแก่สายตาตนเองมาแล้วตั้งแต่แรกเข้าสู่อ้อมผ้ากาสาวพัสตร์ จึงได้ข้อสรุปในหลักวิชา และเข้าใจเห็นใจว่า อมนุษย์ก็ประสงค์อยากได้อะไรจากพระธุดงค์ หรือพระผู้มีบารมีแก่กล้า ก็ไม่ควรที่จะละเลยการแผ่บุญกุศลให้แด่อมุนุษย์เสมอไป
กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่คือบทบัญญัติข้อหนึ่งว่าด้วยจริยาของพระธุดงค์
(โปรดอ่านประวัติของผมตอนออกอุปสมบท มีเรื่องราวลึกลับมากมาย เพียงแต่ขณะนั้นผมยังไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร เลยเล่าไว้ในเชิงบันทึกข้อมูลอย่างนั้น ไม่มีบทวิเคราะห์ไว้)
เราตั้งใจไปฮ่วยเซยครั้งใหม่นี้ก็คิดว่า เพราะเราลืมเรื่องนี้ไปทุกครั้ง ๆ ที่ไปไม่เคยแผ่ส่วนกุศลให้เปตชนในท้องที่นั้นเลย เราไม่เคยแม้แต่จะจุดธูปเทียนบูชา และบอกกล่าว คราวนี้จะต้องไปแก้ตัว จะต้องแผ่บุญกุศลให้พวกเปตวิญญาณในสุสานแห่งนี้ ส่วนเรื่องการบรรเลงดนตรีฉลองให้นั้น คิดว่าที่ฮ่วยเซย ไม่เหมือนโพนเขวาและสุขาวดี เพราะฮ่วยเซยเป็นสุสานขนาดเล็ก มีเนื้อที่น้อย และอยู่กลางเมือง ท่ามกลางแสงไฟฟ้าถนนหนทางที่ล้อมรอบ และเสียงรถเสียงคนคมนาคมรมอยู่ตลอดคืน ไม่มีวิญญาณจะอยู่รวมกันเป็นหมู่เป็นเมืองใหญ่ ๆ เหมือนโพนเขวาและสุขาวดี ก็ไม่ติดใจอีกแล้ว
11.00 น.
สุสานฮ่วยเซย
คนในสุสานพากันมาไหว้ คนที่ดูเฉยเมยก็มาคุยด้วย พวกเขาเห็นวันนั้นที่ไปปักกลดท้ายสุสานนั่นเอง ว่ามาธุดงค์จริง ๆ อยู่ป่าช้าจริง ๆ ไม่กลัวผี เพราะมาฮ่วยเซยแต่ละครั้งมาด้วยความจำกัด รีบด่วนและเจอฝนอยู่ตลอด ก็พักแต่ในศาลาพักศพ ไม่มีโอกาสปักกลดในป่าจริง ๆเลยสักครั้ง พึ่งไปปักกลดในสุสานจริง ๆ ก็คืนนั้นเอง และดูเหมือนคนจะเห็นว่าทำอย่างนั้นเป็นการน่านับถือ (แต่เราเองไม่ได้มีความคิดว่าจะทำอะไรเพื่อโอ้อวดชาวบ้าน เพื่อให้เขานับถืออย่างนั้น)
ได้ทำการอุทิศส่วนบุญกุศลให้เปตชนท้องถิ่นนั้นตามที่ตั้งใจไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว
แดนที่ตะวันขึ้นทางตะวันตก
23 มิ.ย. 2549
-06.00 น.
ถึง กม.42 ศูนย์การคณะสงฆ์ภาค 10 ลงจากรถบัสแล้ว
ทั้ง ๆ ที่อยู่บนรถขณะจอดลง ก็ยังเห็นดวงตะวันขึ้นทางทิศตะวันออกอยู่ ใจจดจ่อระวังอยู่ ต่อพอลงเท้าแตะพื้นดินคลาดสายตาไปชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นเอง ตะวันกลับไปทิศตะวันตกอีกแล้ว ทำให้ต้องยอมรับอยู่เงียบ ๆ ว่า ช่างเถิด!!! จะเป็นตะวันออกหรือตะวันตกก็ช่างเถิดนะ เราจะได้เลิกคิดเลิกกังวลในเรื่องนี้เสียที
- เลือกเอาบริเวณป่าด้านตะวันตก(ที่เรานึกว่าเป็นตะวันออก) บริเวณที่จะสร้างเจดีย์ เป็นที่ปักกลด นึกเลือกไว้ในใจอยู่แต่แรกแล้วว่าจะต้องเป็นบริเวณนั้น เจ้าคุณพระอาจารย์เคยพาเดินจงกรมมารอบ ๆ คล้ายหมายสีมาเขตไว้แล้ว
- เป็นด้านตรงข้ามกับที่เราปักกลดครั้งมารับการฝึกอบรมอยู่ ด้านนี้เป็นผืนป่าใหญ่กว่า
0830
เดินทางไปอาคารใหญ่ที่ประชุม
เพลกลับไปฉันที่กลด
แล้วประชุมต่อไปทั้งวัน
ค้นพบวิชานั่งทางในหรือทิพญาณ
17.00 น.
ก่อนเลิกประชุมเล็กน้อย พระเดชพระคุณพระธรรมปริยัติโสภณ จภ.10 กำลังกล่าวสรุปและเตรียมปิดประชุมพายุลมฝนพัดหมุนมาขนาดใหญ่ ราวกับว่าฝนกำลังจะลงถล่มอย่างหนัก แต่แล้วพอมาปะทะเข้ากับอาคารที่ประชุมก็สลายลงไปอย่างรวดเร็ว น่าประหลาดใจ
1730 น.
- พักค้างคืนที่ป่าแห่งนั้น ด้านตะวันออกของอาคารศูนย์
- เรามาบันทึกเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นและทรงคุณค่าต่อไปนี้ภายหลัง
ป่าใหญ่ด้านทิศใต้ เวลานั้นเป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว บัดนั้นโปร่งโล่งไปตลอดแนวป่า ตรงข้ามกับป่าด้านทิศเหนือ อีกข้างของถนนที่ยังรกอยู่ เพราะพระผู้เข้าอบรมพระวิปัสสนาจารย์ทั้ง 2 รุ่นได้ช่วยกันถางวัชพืชที่รุงรังออกไปหมด ทั้งทำความสะอาดพื้นดินเอาไว้เพื่องานการวิปัสสนาโดยเฉพาะ ทำให้เหมาะแก่การพักปักกลดเป็นอย่างดียิ่ง เดิมเจ้าคุณผู้อำนวยการฝึก จะพาลูกศิษย์ลงมาฝึกเดินจงกรมในป่านี้ ท่านเปรย ๆ ขึ้นถึง 2 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำ แต่การเดินจงกรมในป่า เป็นเรื่องยาก ต้องชำนาญแล้วและมีความพยายามอย่างมากแล้วจริง ๆ จึงจะทำได้ หมายความว่า ทำอย่างได้ประโยชน์ ไม่ใช่เพียงแค่ลองดู สักแต่ว่าทำ ๆ ไปหัวเราะกันไป
- บัดนี้เราเดินฝ่ามาในป่าแห่งนี้ ท่ามกลางความมืดที่สลัวลง และพระสงฆ์องค์เจ้า ผู้มาประชุม พากันเคลื่อนไหวสลายไปจากสถานที่แห่งนี้อย่างรวดเร็วไปแล้ว ก็เหลือแต่เราคนเดียวเคลื่อนไหวอยู่บริเวณป่าแห่งนี้ ท่ามกลางความเงียบสงัด และความเป็นป่าใหญ่แสดงด้วยเสียงระงมร่ำร้องของเหล่าแมงอีที่สนั่นลั่นโสตสะเทือนเลื่อนไปทั้งแนวป่า เป็นแหล่งรวมแมงอีที่ร่ำร้องระงมที่มโหฬารมาก โดยเฉพาะในเวลานั้น ดูดุจว่ามีแมงอีจับร่ำร้องตามต้นไม้ทุกต้นเต็มไปหมด ตลอดทางที่เราเดินจากชายป่าด้านตะวันตกมาสู่ชายป่าด้านตะวันออกที่ปักกลด มีแต่เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นของหมู่แมงอี ดุจบรรเลงดนตรีเฉลิมฉลองให้ก็ปาน ยามราตรีเช่นนี้ ป่าแห่งนี้นับว่ามีคุณค่าแห่งการธุดงค์อยู่อย่างสูงยิ่งทีเดียว
- เราพิจารณาบริเวณโดยรอบยามบัดนั้นแล้ว พบว่าเป็นสถานที่ที่น่าอยู่น่ารื่นรมย์อีกแห่งหนึ่งทีเดียว ป่าทั้งป่ามีความโปร่งโล่ง ลมพัดผ่านเบา ๆ ตลอดแนวป่า มีการถ่ายเทอากาศอย่างดียิ่ง
- พลันก็มีจิตกระสันใคร่ปฏิบัติสมาธิจิตและเดินปราณ เนื่องเพราะบรรยากาศรอบตัวเป็นใจอย่างยิ่ง จึงลาดอาสนะแล้วนั่งลงใต้กลด ปฏิบัติสมาธิทันที และสมาธิแล่นไปวูบเดียวก็ถึงจุดสูงสุด เมื่อเดินปราณเบา ๆ ไปแล้ว พลันรู้สึกว่า ได้พบความละเอียดอ่อนแห่งปราณไปอีกลักษณะหนึ่ง ที่ใสขึ้นกว่าเดิม
- นิ่งสังเกตดูด้วยความยินดีและประหลาดใจ ก็พบว่าเป็นสภาวะจิต-ทรงฌานที่ละเอียดไปกว่าเดิม และทำให้การทรงตัวนั่งสบายและ มีพลังการนั่งมั่นคง วิเวก เหมือนนั่งอยู่กลางอากาศก็ปานนั้น เสมือนหายตัวไปก็ปานนั้น จนไม่รู้สึกต่อการผ่านไปของเวลานาที คำนวณว่า ในสภาวะนี้ จะนั่งไปเช่นนั้นได้ตลอดทั้งคืน ตรงนี้ เป็นลักษณะของจิตและวิชาที่ละเอียดไปทุกอย่าง ได้พิจารณาดูด้วยความตื่นตระหนกปรีดาในใจไปด้วย ใช้ ธัมมวิจยจริตพิจารณาไปก็พบว่า หมายถึงองค์รวมทั้งสิ้นของภาควิชาทั้งหมดแห่งจิตละเอียดไปอีกระดับหนึ่ง
อาทิ
- สมาธิ ละเอียดไปอีก
- กสิณละเอียดไปอีก
- ฌาน อารมณ์จิตใจที่นิ่งสงัดสงบ ละเอียดไปอีก
- ปราณละเอียดไปอีกขั้นหนึ่งอย่างที่ไม่เคยผ่านมาก่อน ไม่เคยนึกรู้มาก่อน
แล้วทรงตัวอยู่อย่างนั้น แม้นาทีผ่านไปก็ไม่รู้สึก เป็นเวลานานแสนนาน โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย รำคาญ แต่สบาย อยู่ในสภาวะไร้ตัวตน ดุจลอยตัวหนือแผ่นดิน เหนืออาสนะที่นั่ง ไปเลยทีเดียว
แต่มีจิตที่ดูแลพิจารณาบริหารอยู่ทุกขณะ เพราะแม้ขณะนั้น ก็มีความคิด มีความพิจารณา มีการสั่งการ และเมื่อต้องการ ก็รู้สึกในสัมผัสต่อสิ่งภายนอกว่าอย่างไร ขณะนั้นก็รู้สึกอยู่ ด้วยจิตสั่งให้คอยดู ถึงกระแสลมที่พัดผ่านป่ามาอย่างสม่ำเสมอ ก็รู้ รู้ในบรรยากาศสบายโล่งโปร่ง เป็นแนวป่าที่รื่นรมย์เหมาะแก่งานการธุดงค์อย่างยิ่ง
ครั้นแล้วภาคจิตของเราก็จดจำเอาไว้โดยอัตโนมัติ ดุจบันทึกลงด้วยฟิลมภาพยนตร์นั่นทีเดียว เมื่อต้องการศึกษาพิจารณาอีกครั้งก็สามารถนำออกมาฉายภาพดูใหม่อีกครั้งได้
นี่ก็เป็นวิชาอีกชนิดหนึ่งที่ให้ประโยชน์ทางการจัดเก็บข้อมูลและวิเคราะห์วิจัยได้มากมายจริง ๆ และเนื้อแท้ก็คือ กสิณชนิดหนึ่ง นั่นเอง
ยักษ์เจ้าป่าที่ศูนย์ภาค 10
แล้วในขณะที่อิ่มเอมใจ สบายอยู่นั้น พลันความรู้สึกก็เกิดขึ้นว่า บริเวณป่าแห่งนี้ จักมีสิ่งที่เรียกว่าพระภูมิเจ้าที่หรือเทวดาอยู่หรือไม่?
ทำไมเราจักไม่ลองสวดพระเวทมนต์ชุมนุมเทวดาดูหรืออย่างไร ?
ที่แห่งนี้ก็ดูว่าเคร่งขรึม น่าหวาดสะดุ้งอยู่
กำลังลังเลใจอยู่ว่าจะสวดบทมนต์ชุมนุมเทวดาดี หรือจะนั่งสมาธิที่อ่อนโยนละเมียดละไมนั้นไปเรื่อย ๆ ดี ยังไม่ทันตัดสินใจอะไร
ข้างหน้า ต่อสายตาที่เพ่งมองไป ก็ปรากฏภาพชนิดหนึ่งขึ้น ราง ๆ แล้วชัดขึ้นตามลำดับ
- เป็นภาพของยักษ์ใหญ่ ใบหน้าแดงอมดำเปลือกมังคุด ผมหยิก ปากกว้าง ริมฝีปากหนาใหญ่ มีโหนกแก้มกลมหนา ตาพอง จมูกโต ตัวใหญ่โตมโหฬารมาก จนเหมือนต้นไม้รอบตัวมันเป็นเพียงต้นหญ้าอ่อน ๆ ท่อนบนเปลือย ไม่สวมผ้า อยู่ในสภาพกึ่งนั่งกึ่งนอนเอนอยู่ แล้วค่อยตั้งตัวตรงขึ้น ค่อยปรากฎขึ้นจนเป็นรูปร่างชัดเจน ประจักษ์แก่ตา หันหน้าตรงมา
- พอนึกว่าเป็นยักษ์อย่างไร ก็เห็นพนมมือในลักษณะอ่อนโยน ไม่เคลื่อนไหว นิ่งอยู่อย่างนั้น
ตลอดเวลา ไม่ขยับเขยื้อนไปทางไหน
สิ่งที่เราประหลาดใจก็คือ ครานี้ ไม่ได้สวดมนต์ชุมนุมเทวดาเลย แต่ยักษ์ก็ปรากฏกายขึ้นมาเช่นนี้
นี่เป็นผลมาจากอะไร?
แล้วสิ่งที่น่าจะเป็นคำตอบก็ผุดขึ้นมาเองทันที
อ๋อ!!! นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า นั่งทางใน หรือ ทิพญาณ (ตาทิพย์) นั่นเอง
หรือมิใช่ ?
เพราะการเข้าสมาธิขณะนั้น มีความละเอียดอ่อนใสบางมาก เปรียบปานแก้วกระจ่าง อย่างเป็นระดับที่ไม่เคยละเอียดเท่ามาก่อน ซึ่งหมายความว่า บังเอิญ เราได้นั่งสมาธิจิตละเอียดอ่อนถึงระดับเป็นวิชาทิพญาณนั่งทางในไปอย่างไม่รู้ตัว
ไม่เช่นนั้นหรือ?
เราค้นพบวิชานี้เข้าโดยบังเอิญใช่หรือไม่?
น่าจะใช่ใช่ไหม?
และความจริงและความหมายของขณะนั้นก็คือ ภาคจิตของเราพัฒนาไปอีก โดยเข้าสู่สภาวะละเอียดอ่อนไปกว่าเดิมไปอีกระดับหนึ่ง และเราเองก็รู้ความพัฒนานั้นโดยชัดเจนกับตัวเอง
อ๋อ !!! แน่ละ !!! ภาคจิตพัฒนาไปอีกระดับหนึ่งอย่างแน่นอนอยู่แล้ว
เพียงแต่ เป็นเรื่องความบังเอิญ
เรามิได้นึกรู้ หรือตั้งใจมาก่อน มันเกิดเอง เป็นเอง จากการอบรมด้วยสิ่งแวดล้อมที่ดีเยี่ยม
อีกครั้งหนึ่งแล้ว !!!
นี่คือสิ่งที่ค้นพบครั้งใหม่สุด ที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง
ทำให้เรารู้แนวทางที่จะฝึกฝนไปให้ช่ำชอง
ฉะนั้น ก็หมายถึงระดับขั้นตอนแห่งวิชา ที่เราได้พบโดยบังเอิญในวันนี้ จะต้องฝึกฝนเอาให้ได้ ให้ช่ำชองต่อไป
หมายความว่าต่อไปถ้าเรามีความสามารถทางนี้แล้ว เราก็ไม่ต้องสวดมนต์ชุมนุมเทวดา อันเป็นการรบกวนเทวดาอีก เราก็ใช้ทิพญาณ ตาทิพย์นี้ หรือนั่งทางในดูก็จะรู้แจ้งเรื่องราวของเทวดาหรือภูติภูมิต่าง ๆ ในแผ่นดิน ป่า เขาลำเนาไพรได้ เป็นอีกวิชาชนิดหนึ่งสำหรับบุกเบิกพิศูจน์โลกลึกลับต่อไป
และสรุปขั้นนี้ได้ว่า ทิพญาณ ตาทิพย์ หรือ วิชานั่งทางในก็คือ ส่วนละเอียดขององค์รวมทั้งสิ้นของภาคจิตหรือภาคภายในไปอีกระดับหนึ่ง ตามที่ปรากฏแด่เราในขณะนั่งสมาธิในป่าของศูนย์ภาค 10 นั่นเอง
หมายถึงปราณอันละเอียดอ่อนไปกว่าเดิม มีลักษณะเหมือนใยบัวที่ลอกไปอีกชั้นหนึ่ง ให้ละเอียดเบาบางไปกว่าเดิมอีก
รวมทั้งวิชา องค์รวมทั้งสิ้นพัฒนาตามกันไปด้วย
ฉะนั้น บทสรุปอีกครั้งหนึ่งก็คือ ถ้าเราฝึกปรือไปในทางเพิ่มพูนความละเอียดแห่งคุณธรรมของสมาธิ และปราณ ฌาน กสิณ ทั้งองค์รวมไปอีกได้ ก็ย่อมสามารถมองไปเห็นมิติแห่งโลกอื่นได้โดยง่ายดาย
เช่นนั้นใช่หรือไม่?
เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นยินดี เพียงใดเล่า?
เอาเถิด เราวางเป็นข้อสมมติฐานไว้ก่อน
แล้วตามฝึกฝนอย่างเข้มต่อไปให้ได้ เพราะน่าจะไม่เหลือวิสัยสำหรับคนอย่างเรา อย่างแน่นอน
และเมื่อฝึกเอาได้ อะไรจะเปลี่ยนแปรไปขนาดไหน?
นี่คือตัวอย่างของการมองเห็นมิติอื่น
นี่คือข้อมูล ที่บันทึกโดยตรงจากแหล่งข้อมูลชั้น 1 (primary data)
คือการมองเห็นยักษ์ในป่าของศูนย์การคณะสงฆ์ภาค 10 ได้ มิใช่ด้วยสติวิปปัลลาส แต่ด้วยการนั่งสมาธิ ฌาน กสิณ ปราณในระดับละเอียดอ่อนที่แหล่งข้อมูลไม่เคยสัมผัสมาก่อน และครั้นเกิดสัมผัสได้ขึ้นมา ในสถานที่อันบังเอิญเหมาะเจาะ ที่มียักษ์อยู่พอดี แหล่งข้อมูลก็เห็นยักษ์ขึ้นมาได้เอง
เช่นนั้นจะไม่เป็นเหตุเป็นผลเชิงวิทยาศาสตร์หรือ?
ถ้าเช่นนั้น ก็ไม่เหลือวิสัยของเราที่จะฝึกฝนแนวธรรมะ ให้ละเอียดอ่อนไปถึงระดับนี้ได้ งานของเราในเร็ววันข้างหน้านี้ก็คือ เราจะฝึกเอาโดยเร็ว ไม่รอช้าเสียเวลาอีกเลย
เพราะดูเหมือนทางสู่มิติ โลกลี้ลับ ใดนั้น ได้เริ่มขึ้นจากวันที่เทพเจ้าทั้งสาม รวมทั้งขบวนทวยเทพในสวรรค์ทั้งสิ้น เสด็จมาอำนวยพร นี่ มิใช่เรื่องธรรมดาเสียแล้ว ย่อมจะต้องบอกอะไรที่เป็นความหมายอย่างสำคัญยิ่งอย่างแน่นอน
- แล้วต่างจากแนววิชาที่เรามีอยู่อย่างไร?
- อ๋อ! เรามีอยู่เป็นแนวบู๊ล้วน ๆ เป็นภาคการปราบปราม ด้วยฤทธิ์ อำนาจล้วน ๆ
- นี่เป็นแนวปัญญา แนวบุ๋น แนวข่าวกรองหรือ intelligence อย่างไร?
- เมื่อได้ทั้งแนวบู๊และแนวบุ๋นมาแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า?
- แน่นอน การได้ค้นพบแนววิชาไปอีกแนวหนึ่งและระดับหนึ่ง เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยินดีมาก และอยู่ในแผนการฟึกฟื้นฝึกฝนในทันที เราจะต้องเร่งรีบฝึกฝนแนววิชานี้ต่อไปอย่างแน่นอน เพื่อเป็นเครื่องมืออีกชนิดหนึ่งสำหรับพิศูจน์ความลี้ลับ ของโลกที่ลี้ลับ และทั้งชัยชนะอันอมตะในโลกที่ลี้ลับ และไขความกระจ่างแจ้งแห่งสาระใดใดมีกล่าวไว้ในคำสอนของพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น
20.30 น.
ร่วม 2 ชั่วโมงต่อมา
- แม้กระทั่งลุกมากางกลด ตระเตรียมการเข้ากรรมฐานในกลดแล้ว มองไปทีไรก็ยังคงเห็นยักษ์ใหญ่อยู่ ณ ที่เดิม แม้หน้าตาจะเปลี่ยนสีผิวไปเป็นแดงเข้มขึ้นบ้าง ก็ยังอยู่ในท่าพนมมืออยู่เหมือนเดิม
- และดูเหมือนว่า ยักษ์ก็ยอมตนเป็นผู้รับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของเราด้วย
- นี่คือสัญลักษณ์ของมิตรหรือ มิตรคือยักษ์ใหญ่ของเราผู้พร้อมจะรับใช้รับบัญชา อย่างนั้นหรือ?
- อย่างไรกันนี่? จะสรุปว่าที่ศูนย์การคณะสงฆ์ภาค 10 ต.หนองเมืองแห่งนี้มีเจ้าที่ผู้ดูแลรักษาอยู่อย่างนั้นสิ? และผู้พิทักษ์พื้นภูมิสถานที่แห่งนี้เป็นยักษ์กุมภัณฑ์ อย่างนั้นหรือ ?
24 มิ.ย. 2549
0100 น.
พายุมา
ฝนลงเล็กน้อย 2-3เม็ด แต่ลมพัดแรง
เก็บของทั้งหมดลงย่ามใหญ่ แล้วนั่งกรรมฐานสู้ฝนลมไปตลอดทั้งคืนที่เหลือ
ไม่เห็นยักษ์ใหญ่อีกแล้ว
04.30 น.
เคลื่อนย้ายออกไปจากป่า ไม่เสียเที่ยวเลยหนอ!! ที่นี่ยังมีดีอยู่จริง ๆ
0700 น.
ไปโดยรถบัส
0900
ถึงอุบลราชธานี
1000
ถึงศรีสะเกษ
ขอบคุณและอนุโมทนารถบัสทั้งสายอุบลและศรีสะเกษ ที่ถวายการโดยสาร ทั้งขามาและขากลับ
* แฟ้ม vipassna6new.doc