ศึกษา
โลกลี้ลับ
ภาค 2
โลกลี้ลับ (2)
ภาค 2
ติดตามพระวิปัสสนาจารย์ พระธุดงค์ และพระกัมมัฏฐานยุคใหม่
ภาค 2 การเดินทางและธุดงค์ขาไป
วางแผนผิดพลาดแทบเอาตัวไม่รอด
30 เม.ย. 49
02.20 น.
ออกจากวัดพระโต
07.20 น.
แวะข้างทาง ฉันเช้า บันทึก ณ ริมหนองน้ำ
อีก 15 กม.ถึง อ.กันทรารมย์
อีก 53 กม.ถึงอุบลราชานี
มือถือเรา หมายเลข 057 694431 ขณะนี้ปิด
เมื่อมาถึงศาลาปากทางเข้าสุสานสุขาวดี พักหนหนึ่ง
และหลับไปประมาณ 40 นาที เพราะเหน็ดเหนื่อยมาก
- ลมปราณยังไม่มี
- อยู่ในสภาพคนป่วย
ค่าของปราณเท่ากับติดลบ ระหว่าง 0 ถึง -10
09.00 น.
ถึงป้ายบอกทางเป็นกม.
- อ.กันทรารมย์ 10
- อ.วารินชำราบ 42
- อุบลราชธานี 46
10.00 น.
ถึงปากทางไป
- (ขวา) วัดป่าขันติธรรม
- (ซ้าย)วัดบ้านคล้อ อ.กันทรารมย์
12.00 น.
ยังไม่ถึงกันทรารมย์
- เหนื่อยมาก
- โคนขาทั้งสองข้างปวดหนึบ ๆ แวะพักที่ศาลาทรุด ๆ เขาเอามากองรวมกันไว้ 3 หลัง
- แผนการผิดพลาดไปหมด
- คำนวณไม่ถูก ให้เวลา 2 วันเดินทาง 120 กม. ไม่เพียงพอแน่
- ครั้นรู้ว่าพลาด เราก็เร่ง
- แล้วเกิดทรุดไปกว่าเก่า เสียหายในระยะยาวนาน
จะเข้ากันทรารมย์ก่อน
อย่างไร วันนี้ต้องถึงวารินให้ได้
ไม่งั้นก็ไม่ทันการเปิดอบรม
สุสานฮ่วยเชย อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
14.10 น.
ถึงสุสานฮ่วยเซย อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
ฝนตกปรอย ๆ ตัดสินใจจะเข้าพักปักกลดค้างคืน ณ สุสานแห่งนี้
- ก็เหลือเวลาวันนี้กับวันพรุ่งนี้
- สำหรับเดินทางให้ถึงศูนย์ภาค 10 อ.ม่วงสมสิบ จ.อุบลราชธานี
มีเวลาถึง 2 คืน
แต่สภาพร่างกายเป็นอย่างไร?
ปราณนั้นหายไปอย่างสนิท ชนิดที่ไม่เห็นร่องรอยเลย
หรือนี่คือการสิ้นหวังแล้ว
สำหรับแผนการกอบกู้ฟึกฟื้นปราณ?
14.40 น.
ภายในสุสานฮ่วยเซย หน้าศาลาศพ
ไม่เห็นคนเฝ้าสุสาน ก็นั่งรออยู่
จะขอพักปักกลดคืนนี้
แท้จริงเราเคยมาเยี่ยมแล้วครั้งหนึ่ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535
- สงบ
มีนกกะปูด คอดำ ตัวแดง หางยาว พากันมาวิ่งเล่น
ดูเชื่อง ไม่กลัวคน แล้วส่งเสียง ปู๊ด ๆ ๆ ๆ
มีฝูงนกเอี้ยง ร่าเริง
นกกะจิบ ส่งเสียงจิบ ๆ ๆ ๆ
เท้าทั้งสองระบมไปหมด
มีเส้นเบ่งบวมออกมาทั้งสองข้าง แต่บัดนี้สบายใจขึ้น
มั่นใจว่าไปทันการเปิดประชุมแน่
จากนี้ โยมผู้ชายคนหนึ่ง วัยกลางคน
ขับรถจักรยานเข้ามา แล้วมาไหว้ คุยด้วย คุย ๆ แล้วลุกมาขอกราบ ลุกมากราบ
ถามว่า ไม่กลัวหรือ?
ตอบว่า กลัวอะไร
ก็คุยกันเรื่องกลัวหรือไม่กลัวนี้นานสักหน่อย
ท้ายสุดบอกเขาว่า ที่ไม่กลัวไม่ใช่ว่าไม่มีอะไร แต่มีความรู้จึงไม่กลัว
เขาว่าพอตกเย็นจะไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามา มันเงียบ
เล่าว่า ที่นี่มีทำบุญเชงเม้ง คนมาแน่นสุสาน หว่านเงินเหรียญบาท ห้าบาท สิบบาทไว้ทั่วสุสาน
แต่คนไม่กล้าเข้าไปเก็บ กลัวว่าคนตายจะตามมาทวงเอาคืน
เรื่องราวของคนเฝ้าสุสานอายุ 72 ปี
แล้วคนเฝ้าสุสานอายุ 72 ปี มาไหว้
เล่าว่าอยู่ที่นี่มาตั้งแต่อายุ 23 บัดนี้ก็ครบ 50 ปีอยู่สุสาน เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่
เล่าเรื่องพระธุดงค์มาพักที่นี่หลายรูป หลายคณะ
ทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง เมื่อ 2-3 วันก็มีคณะหนึ่ง 3-4 รูป มาแล้วก็ไป
ตอนจบเล่าเรื่องชายไปซาอุดีอาระเบีย ส่งเงินมาให้เมียเดือนละ 7,000 บาททุกเดือน
รักเมียมาก แต่เมียกลับมีชู้ เอาเงินไปบำเรอชู้หมด จนญาติ ๆ ทนไม่ไหว ส่งข่าวไปให้ทราบที่ ซาอุ ว่าเมียเล่นชู้ ก็โกรธ กลับมาเงียบ ๆ เขาก็บอกชายชู้ให้รีบหนีไป ไม่งั้นตาย
ชายชู้ก็จะหนีไปทำงานต่างประเทศเหมือนกัน แต่ติดขัดทำพาสพอรทไม่ทัน ก็หลบไปรออยู่ที่โรงแรม กะว่าพอได้พาสพอรทก็จะเดินทางไปทันที
แต่แล้ววันต่อมานั่นเองก็พบว่าผูกคอตายกับซี่กรงโรงแรม มีขวดยาโฟลิดอน อยู่ในห้อง
ตำรวจว่าฆ่าตัวตาย
ให้เอามาฝังที่สุสานฮ่วยเซยนี้ และลุง คนเฝ้าสุสานเป็นคนจัดการฝังให้เอง
เป็นเรื่องที่ร่ำลือกันมากในจังหวัดอุบลราชธานี
และคนทั้งหลายต่างก็สมน้ำหน้าชายชู้
บางคนแม้แต่คนเฝ้าสุสานก็คิดว่า เขาไม่ได้ฆ่าตัวตาย
แต่เป็นการฆ่าทิ้งอย่างมีเงื่อนงำ
เพราะทางตำรวจฝ่ายหนึ่งบอกว่า คอหมุนรอบตัวได้
และแพทย์บอกยาโฟลิดอนก็ไม่ทันตกถึงท้อง
ลุงคนเฝ้าสุสานมีศรัทธาในเรื่องกรรม ออกวาทะว่า ทำอะไรไปก็ได้สิ่งนั้นแหละ
หรือทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว นั่นเอง
แล้วแกก็วกมาพูดปรัชญาเรื่องกรรม
และว่าเงินทองของนอกกาย
แกว่าทักษิณรวยแต่ก็ทุกข์เพราะเงิน
ฝนตกลงมา ก็เลยต้องพักปักกลดในศาลาพิธีกรรมศพ
โยมคนหนุ่มลาไปก่อน ว่าค่ำ ๆ จะกลับมาถวายน้ำปานะ
แล้วคนเฝ้าสุสานก็ไปแล้ว พร้อมพรรคพวกลูกน้อง 3 คน เอารถออกไป
คุณภาพของปราณที่วิเศษ
ขณะนี้มีเราอยู่เพียงคนเดียว
ไปสรงน้ำที่บ่อบาดาลข้าง ๆ รั้ว บริเวณที่พักคนงาน
อาบน้ำแล้ว สบายขึ้นมาก
เตรียมกางกลด ปูที่นอน ขึงเชือก ตากจีวร แล้ว พร้อมจำวัด
แผนที่วางไว้ผิดพลาดหมด
แต่คืนนี้สุสานฮ่วยเซยจะมีอะไรบ้าง
จะมีดนตรีป่าช้าให้สดับฟัง เหมือนป่าช้าโพนเขวา และสุสานสุขาวดี หรือไม่?
จากเก้าอี้ที่นี่
ตรงหน้าเป็นแถวหลุมฝังศพเป็นแนวยาวดั่งกองทหาร
แต่แคบ ไม่กว้างขวางมโหฬารเหมือนสุสานสุขาวดี ศรีสะเกษ
ถ้าฝนไม่ตกเราจะเข้าไปปักกลดด้านหลังของป่าช้า
จะเงียบสงัดกว่า เพราะห่างไกลถนนหลวงกว่า
- เราเพิ่งรู้ว่า ไม่ได้พกยาขนานใดติดมาเลย
- บัดนี้อยากได้ยาหม่องนวดเท้าสักหน่อย
วางแผนไว้ ผิดหมด
เรื่องร่างกาย-จิตใจ แม้จะป่วยอยู่
ไม่ค่อยสบายอยู่ก็ตาม
แต่เราวางแผนไว้ว่าจะสามารถนำปราณกลับมาได้
เมื่อปราณกลับมาก็จะหายป่วยทันที
ปราณจะนำไปให้พ้นสภาพที่อยู่เหนือทั้งกายและใจเลยทีเดียว
นั่นคือคุณภาพของปราณ ที่วิเศษ
แต่บัดนี้ ปราณ ไม่มีเลย
การเดินทางวันนี้
ทั้งหมดไร้คุณค่าต่อการนำปราณกลับมาโดยสิ้นเชิง
ผลงานทั้งวัน ๆ นี้ ไร้ผลต่อการฟื้นปราณอย่างสิ้นเชิง
เพราะค่าของปราณยังคงอยู่ที่ขีดต่ำกว่าค่าลบ ด้วยซ้ำไป
นั่นหมายถึง สภาพคนป่วย
แต่บางทีความสงบในป่าช้าอาจจะกระตุ้นปราณให้กลับมาได้บ้างก็ได้
เรื่องราวของสุสานกับโลกลี้ลับ
18.00 น.
ณ สุสานฮ่วยเซย
สุสานว่างเปล่า
ลุงเฝ้าสุสานอายุ 72 ปี เฝ้าที่นี่มา 50 ปี
เป็นสิ่งที่น่าพิศวง
แน่ละ !!!
แกต้องมีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับป่าช้าแห่งนี้และเรื่องราวของชีวิต
บัดนี้ ออกไปจากป่าช้าแล้วไปพักที่บ้านพร้อมทีมงาน
ขณะนั้น เรานั่งบนอาสนะสงฆ์ใกล้ ๆ กลด
มองดูป่าช้าและฝนรินน้อย ๆ
ลุงแกคงคิดว่าพระรูปนี้ทะนงตน กล้ามารูปเดียวค้างคืนที่นี่ จะคอยดูว่าจะเป็นอย่างไร
ในการสนทนากันนั้น แกพูดคล้ายจะบอกแนะนำว่า มาดีทำดีแล้ว ไม่ต้องกลัวผีสางคางลาย ฯลฯ
แต่เราทำเป็นไม่สนใจ และแท้จริงเราไม่ได้คิดเช่นนั้น
แท้จริงเราเหน็ดเหนื่อยมาก เท้า 2 ข้างพองหน่อย ๆ
จนระบม เพราะเดินทางกว่า 20 กม.ช่วงศรีสะเกษ-กันทรารมย์
พอไปกันหมดก็ล้มตัวลงนอนทันทีในกลด
ไม่ได้ทำวัตรสวดมนต์ จุดธูปเทียนดอกไม้บูชาด้วยซ้ำ
ประมาณ 1930 น.แว่วเสียงรถเข้ามา
ในสำนึกว่าโยมคงเอาน้ำปานะมาถวาย
เพียงชะเง้อดูเห็นตะคุ่ม ๆ สักครู่ใหญ่ ๆ
ก็ออกรถกลับไป เขามองเข้ามาในศาลามืด ๆ ก็ไม่กล้าเข้ามา ก็เลยกลับออกไปเอง
เราก็หลับไป
แม้จะไม่สนิท เพราะมีความกังวลอยู่หลายอย่าง เกี่ยวกับป่าช้าเอง
ระลึกในคราวไปป่าช้าโพนเขวา และป่าสุสานสุขาวดีศรีสะเกษ
คราวนั้น สภาพปราณ 80 % และอาจชาร์จได้ถึง 100%
แต่บัดนี้ปราณอยู่ต่ำกว่า 0 อยู่ในระดับติดลบ
นั่นคือระดับคนป่วยโดยแท้จริง
นึกว่าถ้าเกิดเหตุทางนามธรรมขึ้นมาจะแก้ไขอย่างไร
ทบทวนว่า กระนั้นเราก็มีอย่างอื่นอยู่ คือ กสิณ
ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็ได้ทำการทดสอบและได้ผลเป็นที่น่าพอใจมาก(ราวต้นเดือนเมษายน
2549)
ก็ได้ลองใช้ดู ก็ปรากฏว่าได้ผลดีมาก
แม้จะไม่มีปราณก็อาจจะใช้กสิณแทนได้อยู่ระดับหนึ่ง
ก็คงเพียงพอ และหากไม่เพียงพอ
ก็ยังมีอะไรจะเอาออกมาใช้อีก(คราวสงครามสวรรค์ก็ยังไม่ทันมีปราณเลย)
แต่เราต้องการปราณกลับมา
แต่วันนี้ขณะนี้ ดูเหมือนว่าหมดทางเสียแล้ว
เรารำพึงเช่นนี้ก่อนหลับไป
1 พ.ค. 2549
02.00 น.
กลางดึกได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์แข่งความเร็วกันที่ถนนหน้าสุสาน
เสียงดังสนั่นกึกก้องจริง ๆ จนสะดุ้งตื่นขึ้นมา
ดูเวลาแล้วพบว่าเป็นเวลา 02.00 น.
มาทบทวนแผนการที่ผิดพลาดอีกครั้งหนึ่ง
พบว่า ผิดมาทั้งหมด
1. กะเวลาผิด การเดินทางระยะทางถึง 120 กม.ด้วยเท้าในเวลา 2 วัน น่าจะเป็นไปไม่ได้
เพราะต้องเดินถึงวันละ 60 กม.
และทั้งยังผิดหลักการด้วย คือ
เราตั้งใจจะเดินไปอย่างสบาย ๆ ค่ำไหนนอนนั่น
แล้วพอรู้ว่าผิดก็เร่ง แล้วเกิดล้อแตก
เท้าบวมไปไม่ได้
2. วันเตรียมการ คือวันที่ 29 เม.ย. 49
ก่อนออกเดินทาง 1 วัน วางแผนว่าจะเป็นเวลาว่าง
เพื่อการตรวจสอบอย่างละเอียดทุกภาคกายและจิต
แต่กลับปรากฏว่าไม่ว่างทั้งวัน ไปว่างเอาก็ถึงมืด 19.30 น. เพราะญาติโยมทยอยไปหาทั้งวัน
เป็นวันเสาร์ด้วย
เราต้องการวันเตรียมการเสมอ และอย่างจำเป็นสียด้วย
เพราะต้องใช้ตรวจสอบสภาพภายในของตัวเองอย่างละเอียดละออ
แต่ก็ไม่ได้ตรวจสอบ และดูเหมือนเราจะประมาทเกินไป
ทำเป็นว่าไม่เป็นไร ตรวจสอบเอาขณะออกเดินทางก็ได้
แต่พอรู้ว่าให้เวลาผิดก็เร่ง แทนที่จะได้ออกตี 4 ก็ออกตี2
แล้วก็อ่อนลง
จนต้องแวะเข้าพักข้างทางในศาลาปากทางเข้าสุสานสุขาวดี ศรีสะเกษ
ที่เลยประตูเมืองศรีสะเกษ สะพานห้วยแฮตไปประมาณ 500 เมตร
แล้วเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัวประมาณ 40 นาที
จึงฝืนลุกเดินต่อ ขณะนั้นได้ระยะทางเพียง 5-6 กม.เท่านั้นเอง
ก็ยังมีหวัง พยายามทดสอบปราณ เลี้ยงปราณ
แต่ไม่กระดิกเลย
ก็ลองมาเร่งความเร็วของฝีเท้าหวังให้กระตุ้นปราณอีกครั้ง
ก็ไม่ได้ผล
ระดับปราณยังคงติดลบ
แล้วการเร่งซอยเท้า เอาใจสู้กลับกลายเป็นผลร้ายต่อสภาพกายภายหลัง
ในระยะยาวอีกด้วย
ได้ดื่มน้ำจากคนสร้างทางและคนวางสายไฟฟ้า
ครั้นทนทู่ซี้มากลางแดดอย่างทรหด
จนถึงที่พักชำรุด3หลังเขายกมารวมกันไว้
มีป้ายบอกห้ามเข้าก็หลบเข้าไป ได้เวลาเพล
ว่าจะฉันเพล แต่ไม่ได้ฉัน ล้มลงนอน
อยู่ในสภาวะ หมดสภาพโดยสิ้นเชิง
ก็จำต้องเปลี่ยนแผน เนื่องด้วยเป็นกิจราชการสงฆ์
ต้องรีบไปให้ทันการเปิดอบรมใน 2 พ.ค. 2549 ณ กม.42 เส้นทาง 212 ให้ได้
และได้มาถึงสุสานฮ่วยเซย อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ได้ทบทวนแผนการที่ผิดพลาด
และความสิ้นหวังในการฟึกฟื้นระบบปราณ ณ เวลากลางดึก
02.00 น. บนที่นอน คืนวันที่ 1 พ.ค. 2549
ในศาลาพักศพของสุสานเงียบสงัดแห่งนี้ อีกครั้งหนึ่ง
แต่แล้ว ที่สุสานฮ่วยเซยกลางดึกวันที่ 30 เม.ย.
ต่อกับ 1 พ.ค. 2549 เวลา 02.00 น. ดังกล่าวนั้นเอง
เมื่อมอเตอร์ไซค์แข่งระเบิดเสียงปลุกขึ้น
ก็ได้พบว่า มีกระแสปราณรวยรินขึ้นแล้ว
ผุดลุกขึ้นนั่งในเกือบจะทันทีที่ได้สัมผัส
และเดินกระแสปราณ
แต่ยังเดินกระแสปราณไปไม่ได้
พบว่าเป็นเพียงสภาพการก่อตัวขึ้นมาในระยะต้น ๆ เท่านั้นเอง
ก็เฉลียวใจว่า ยังไม่ควรเร่ง ควรให้การสะสมมากพอเสียก่อน
ระยะนี้ควรจะพยายามสะสมไปเรื่อย ๆ ก่อน
ก็นั่งต่อไปสบาย ๆ ประมาณ 30 นาทีจึงล้มตัวลงนอนราบต่อไป
คืนสู่ธรรมชาติด้วยวิปัสสนาญาณ
ก็ถามตัวเองว่า อะไรคือสิ่งอุปการะแด่ปราณ?
ถูกแล้ว ขณะนั้นมองไปรอบ ๆ กาย
เห็นศาลาพิธีศพกว้างใหญ่ ปรากฎสลัวราง
มีแสงมาจากศาลาแดง หัวใจสุสานตลอดคืน
เสาศาลาดุจยืนเรียงรายรอบ ๆ ตัวเราผู้มาอาศัย
เห็นตะคุ่ม ๆ
ทันใดก็เห็นธรรมชาติ
ธรรมชาติได้กลับคืนมาสู่เราแล้วโดยพลัน
นี่คือวิถี วิปัสสนาญาณ!
กระนั้น วิถีนี้ก็ใช่มีปัญหาสำหรับเรา
เพราะอาจจะฟื้นมาเมื่อไรก็ได้โดยง่ายดาย
และเมื่อคืนสู่ธรรมชาติแล้ว เช่นนี้
ความว่างก็ปรากฏมา ความแกล้วกล้าหาญก็มา
ความหวาดหวั่นกังวล ไม่มี
และนี่ย่อมอุปการะแด่การที่จะฟึกฟื้นปราณอย่างแน่นอน
เราจึงควรจะต้องบำเพ็ญกิจสันโดษต่อไปในสุสานฮ่วยเซยแห่งนี้อีก 1 วัน 1 คืน
เช้าวันที่ 2 พ.ค. วันเปิดการอบรมจึงรีบไปแต่เช้าตรู่ ก็คงทัน
นี่ก็น่าจะสำเร็จกระบวนการฝึกฟื้นปราณตามประสงค์
และการเข้าฝึกอบรมตามแนวสติปัฏฐาน ตลอด 20 วันก็คงจะอุปการะเป็นอย่างดี
เมื่อเราตั้งใจฝึกอย่างละเอียดทุกขั้นตอนจริง ๆ
หรือมิฉะนั้นแล้ว ภายหลัง 20 วันการฝึกก็แวะมาที่สุสานฮ่วยเซย อุบลราชานีอีกครั้ง
และจบลง ณ สุสานสุขาวดี ศรีสะเกษ
สักกี่คืนก็ได้โดยปราศจากความกังวลใจ
จนกว่าจะสำเร็จประโยชน์
06.00 น.
ออกจากสุสานประคองบาตร บิณฑบาต
เส้นทางสุสานถึงซอยชยางกูร ได้ภัตตาหารมานิดหน่อย
0800 น.
นายสุสาน มาสุสาน มาพูดคุยถามข่าวคราว
แล้วคุยเตลิดไปหลายเรื่องหลายราว จนถึง 10.00 น.
10.00 น.
ออกมาหาที่ส่งข้อมูลสู่อินเทอเนต
ส่งข้อมูลนี้ ณ Internet ความเร็วสูง ในเมือง อุบลราชธานี
จบการบันทึกภาค 2 ลงเท่านี้
โปรดติดตาม โลกลี้ลับ ตอนต่อไป ในภาค 3 การฝึกอบรม
พระพยับ ปญฺญาธโร ผู้บันทึก
ระหว่างเดินทาง 30 เม.ย. 2 พ.ค. 2549
จากเวบไซท์ www.newworldbelieve.com
* แฟ้ม vipassna2new.doc