บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2540
บุคคลที่ 1 สุขวิช รังสิตพล
ใน ฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ คะแนนที่ได้มาจาก เป็นบุคคลที่ทำให้วงการศึกษาของชาติสั่นสะเทือนอย่างแรง ไม่เคยปรากฎมาก่อน การศึกษาของชาติได้รับการเชิดชูอย่างสูงเด่นยิ่งกว่าสมัยใดใด ในการทำงานอย่างนี้ เราพิจารณาผลงานโดยรวมเป็นหลัก ความบกพร่องใดย่อมมีได้เป็นธรรมดาของการทำงานใหญ่และในถานการณ์เศรษฐกิจสังคมแห่งชาติที่เราเผชิญอยู่ เราเห็นว่า การศึกษา เป็นปัญหาสำคัญเร่งด่วน และต้องการคนที่กล้าทำงานใหญ่ทางการศึกษา ชาติจึงจะอยู่รอดได้
หนังสือพิมพ์ดีจึงขอยกย่องเกียรติคุณ สุขวิช รังสิตพล ไว้ ณ ที่นี้
บทบรรณาธิการดีเล่มที่ 9
***************************************************************************************************************************************************************************************************
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ พุทธศักราช 2541
บุคคลที่ 2 สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส. ศิวรักษ์
เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี
คะแนนที่ได้ เป็นการแซงหน้าบุคคลอื่นอีกหลายท่าน ในระยะหลังชั่วเดือน พ.ย.-ธ.ค. 41 นี่เอง หลายสถานการณ์ ๆ นั้น ได้ก่อเกิดบทบาทและได้เห็นแนวคิดแนวธรรมของบุคคล ว่าเป็นอย่างไร เราตัดสินจากหลักการนี้
1. สถานการณ์กรณีวัดนาคนิมิตรราษฎร์บำรุง แขวงจอมทอง เขตจอมทอง กทม. จัดโชว์จำบ๊ะในวัดติดผนังอุโบสถพระเณรก็ร่วมดูอยู่ด้วย
“เดี๋ยวนี้วัดเป็นอาณาจักรอิสระ ไม่สามารถตรวจเงินทอง หรือบัญชีรายรับ รายจ่ายของวัดได้ ทั้งที่วัดเป็นนิติบุคคล พอทำผิดกฎหมายแต่ไม่มีใครทำอะไร อย่างวัดตามหัวเมืองเวลามีงานแต่ละที มีการร้องเพลงสกปรกโสมมเสียงดังแสบแก้วหูไปหมด เพื่อเรียกคนไปทำบุญ เอาเงินเข้าวัด ผมจึงไม่แปลกใจว่า ทำไมคนหันไปนับถือศาสนาอื่นกันหมด นับตั้งแต่ตั้งประเทศไทยมา ไม่เคยมีคนหันไปนับถือคริสต์ โยเร หรือเจ้าแม่กวนอิมมากมายขนาดนี้ เพราะกระแสหลักของเราไม่ทำงาน พระไม่ สามารถเอาพระธรรมคำสั่งสอน มาสั่งสอน และปกป้องให้คนหลุดพ้นจากความทุกข์ ได้” “ทุกวันนี้วัดจึงกลายเป็นเครื่องมือหากิน พระติดลาภยศ และมีความโลภ พระหลายรูปหลายวัดเอาไสยศาสตร์มาใช้ขัดกับพระธรรมวินัย พระต้องมีความเรียบง่าย แต่ขณะนี้พระบ้านเราไม่เรียบง่ายแล้ว กลับมีความฟุ่มเฟือย ชอบของตื่นเต้น ไหลไปกับกระแสโลกาภิวัฒน์ อีกทั้งพระต่างพากันเห็นพ้องต้องกันว่า วัดต้องหาเงิน ใครหาเงินได้มากก็เก่ง …..หรืออย่างกรณี๊ลานจอดรถ ตรงนี้พระไม่ได้เอื้ออาทรแต่อย่างใด แต่จ้องจะเอาสตางค์ ขณะเดียวกันจะไปโทษพระอย่างเดียวก็ไม่ได้ พระเป็นลูกชาวบ้านเกิดมาไม่เคยเห็นสตางค์มากมาย พอมีโอกาสจึงไม่รอช้า และหากพระไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ แล้วจะสอนให้คนอื่นเชื่อได้อย่างไร”
“ส.ศิวรักษ์ ชี้วัดจ้ำบ๊ะ”, ข่าวสด 9 พ.ย.41 หน้า13
2. สถานการณ์สันติอโศก รายการเจิมศักดิ์ ปิ่นทองและช่อง 9 อ.ส.ม.ท.”
ลานบ้านลานเมือง”,ปฐมอโศก(1-2): 20,27 พ.ย.41 เวลา 20.30 น. ท่านวิเคราะห์สันติอโศกท่ามกลางสมาคมชาวอโศกได้อย่างแม้สันติอโศกก็ยอมรับคำของท่าน
3. ส.ศิวรักษ์ ให้คำนิยมแด่ อาจารย์ ผู้มีหัวคิดก้าวหน้าทางการสอน
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักเคลื่อนไหวเพื่อสตรีและเยาวชน ที่เสียชีวิตเพราะสาเหตุเครื่องบินตกที่ จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อ 12 ธ.ค.41
“มีพระพุทธพจน์เป็นเครื่องเตือนใจว่า คนที่บำเพ็ญคุณงามความดีและต่อสู้เพื่อความถูกต้องดีงามเช่นนี้ แม้อายุน้อย ก็มีค่ายิ่งกว่าคนที่มีอายุยืนนาน หากอยู่อย่างเป็นกาฝากของสังคม หรืออยู่อย่างที่แก่แดดแก่ลม หากไม่มีคุณธรรมประจำชีวิตและจิตใจ”
“จากใจ ส.ศิวรักษ์ แด่ ธีรนาถ กาญจนอักษร” ข่าวสด: 19 ธ.ค.41, หน้า5.
กรณีวัดพระธรรมกาย เราเห็นว่าท่านพูดได้ตรงความจริง
“วัดนี้เป็นลัทธิมิจฉาทิฐิไปแล้ว เพราะสอนคนให้หลงผิดเป็นของตน สอนเรื่องนิพพานเป็นอัตตา มีตัวตนให้คนยึดมั่นถือมั่น ซึ่งขัดกับหลักของพุทธศาสนา ขัดกับพระพุทธวจนะ ธรรมกายอาศัยความหละหลวมอ่อนแอของรัฐบาลและมหาเถรสมาคมที่ไม่กล้าจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้เด็ดขาด พระผู้ใหญ่ที่เป็นหลักของบ้านเมืองไม่เอาจริงจึงจัดการยาก ธรรมกายเองฉลาดในการอิงและอุปถัมภ์ผู้ใหญ่บางรูป การกระทำของวัดธรรมกายแม้จะขัดหลักพระพุทธศาสนาแต่คนไม่สนใจมองจุดนี้จึงกลายเป็นการยอมรับเป็นเรื่องปกติ”
“การมอมเมาของวัดนี้มี 2 ลักษณะ คือเจตนาใช้บุญบังหน้าหลอกลวงหาเงินเข้าวัดให้มาก และหลงผิดในหลักพุทธศาสนา โดยคิดว่าแนวทางของตนเช่นการเพ่งลูกแก้วเป็นแนวทางที่ถูกต้อง เกิดเห็นผิดเป็นชอบ เป็นมิจฉาทิฐิตามหลักพุทธศาสนา พระสงฆ์ต้องสอนให้คนพ้นทุกข์ ที่ธรรมกายทำอยู่เป็นการมอมเมาประชาชน เป็นการกระทำของพวกเดียรถีย์ การอวดอ้างอิทธิฤทธิ์เห็นโน่นเห็นนี่ ความจริงการนั่งสมาธิก็ย่อมเห็นรูปต่าง ๆ เป็นธรรมดา เรียกว่าเห็นนิมิต แต่เมื่อเห็นแล้วหลักพุทธศาสนาต้องทำลายทิ้งไม่ใช่ยึดติด เพราะถ้ายึดติดอยู่จะไม่มีทางถึงจุดหมาย คือการพ้นทุกข์”
“ถ้าหลวงพ่อสดมาให้เห็นน่าจะมาเตือนสติมากกว่าที่ลูกศิษย์เอาท่านมาหากินมาปรากฎตัวเพราะความไม่สบายใจ”
“กก.มหาเถรชี้2ทางเลือก”, มติชนรายวัน: 20 ธ.ค.41.
เราจึงขอยกย่อง สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ.2541 ของหนังสือพิมพ์ ดี ไว้ ณ ที่นี้
บทบรรณาธิการดีเล่มที่ 14
**************************************************************************************************************************************************************************************************
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2542
บุคคลที่ 3 ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
เรามีวิธีการตัดสินสองขั้นตอน คือขั้นตอนแรก ดูว่าถึงมาตรฐานหรือไม่ แล้วเมื่อถึงมาตรฐานแล้วจึงได้เริ่มให้คะแนน ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ยกขึ้นสู่มาตรฐาน และคะแนนพุ่งถึงจุดที่เรายอมยกให้เป็นบุคคลแห่งปี เมื่อ คณะตามหาแก่นธรรม ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และ สุเมธ โสฬส เดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานี และเปิดการ เสวนากับพระคริสต์คาทอลิกที่สำนักมิซซังคาทอลิกจังหวัดอุบลราชธานี ตามที่ถ่ายทอดในรายการตามหาแก่นธรรม ทางโทรทัศน์ช่อง 11 ในคืนวันที่ 5 กันยายน 2542 เวลา 2050 น. ฝ่ายคาทอลิก นำโดย คุณพ่อบุญเลื่อน หมั้นทรัพย์ [ที่รายการ แสงธรรม ช่อง 9 ทุกวันอาทิตย์ 0530 น. ยกว่าเป็น "สังฆราช" (สังฆราชเถื่อน นอกพระธรรมวินัยแห่งพระพุทธศาสนา และนอกกฎหมายไทย) ผู้หนึ่งของนิกายคาทอลิกไทย] ซึ่งเป็นพระที่ดำรงตำแหน่งระดับ พระคาร์ดินาลของศาสนาคาทอลิก และชาวคริสต์ไทย อีก 2 คน คือ นคร แก้วบุญเรือน และ สุมิตรา พงศธร ร่วมวงเสวนาปัญหาศาสนธรรมสากลด้วย เรามองดูที่บุคคลิกภาพเมื่อพบคนต่างชาติต่างศาสนา และการเผชิญสถานการณ์ที่ผันแปรไปจากสภาพปกติ ว่าจะเป็นเช่นไร สามารถดำรงบุคคลิกภาพของตน ๆ มีความเป็นตัวของตัวเอง ไว้ได้เพียงไรหรือไม่ และ ดร.เจิมศักดิ์ ได้คะแนนล้ำหน้าบุคคลในสายตาท่านอื่น ๆ จากจุดนี้ นอกจากนี้เรามองรายการที่สร้างสรรค์สิ่งใหม่ เช่นรายการลานบ้านบานเมือง รายการขอคิดด้วยคน และรายการ ตามหาแก่นธรรม ว่า เป็นรายการที่ปฏิรูปความคิดของสังคมเมื่อนำมาสู่วงการศึกษาพระพุทธศาสนา จึงบังเกิดปฏิกริยาทางความคิดมันสมองขึ้นในทางที่จะปฏิรูปไปสู่สิ่งที่ดีของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงยิ่งขึ้น
ฉะนั้น หนังสือพิมพ์ดีจึงขอประกาศ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นบุคคลแห่งปีของ หนังสือพิมพ์ดี ประจำปี พ.ศ.2542 และเป็นบุคคลที่ 3 ที่ได้เข้าทำเนียบบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดีต่อไป
เราขอประกาศชมเชยบุคคลผู้ต่อสู้เพื่อความถูกต้องของพระธรรมวินัย ๒ ท่าน คือ (๑) สมพร เทพสิทธา และ (๒) มาณพ พลไพรินทร์ คุณธรรมที่เรามองมี ๒ ประการคือ หนึ่งความกล้าหาญ และสองความเสียสละอันเป็นคุณธรรมที่เหมาะและจำเป็นสำหรับการดำรงสถานภาพสังคมขณะนี้ จึงขอประกาศชมเชยบุคคลทั้ง 2 ท่านไว้ ณ ที่นี้
บทบรรณาธิการดีเล่มที่ 19
**************************************************************************************************************************************************************************************************
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2543
บุคคลที่ 4 ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ประเวศ วะสี
เป็นบุคคลแห่งปีของ หนังสือพิมพ์ดี ประจำปีพุทธศักราช 2543
และนี่คือเหตุผลของเรา การต่อสู้เพื่อการปฏิรูปการศึกษาของ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประเวศ วะสี เป็นสิ่งที่น่าศรัทธา เมื่อมาถึงระยะหลังที่สุดนี้ ท่านได้เสนอทางแก้ปัญหาของชาติ ด้วยการเสนอ ยุทธศาสตร์แก้วิกฤตชาติ ซึ่งมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับหนี้สาธารณะ การศึกษา และการเศรษฐกิจแบบพอเพียง เราเห็นว่ายุทธศาสตร์นั้น มีคุณค่าต่อความมั่นคงของชาติ อย่างเป็นหลักประกันชั้นหนึ่งสำหรับชาติและสังคมไทย หากรัฐบาลที่มาภายหลังการการเลือกตั้ง 6 มกราคม 2544 ที่เป็นผลจากการทดลองใช้ระบบการเมืองตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ดำเนินนโยบายผิดพลาดหรือไม่สร้างสรรค์
และเมื่อ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประเวศ วะสี วิเคราะห์สถานการณ์วงการสงฆ์ และสรุปลงว่า สามัญชน บวชเข้ามาเพื่อเป็นเจ้านายสงฆ์ พระพุทธเจ้าสละความเป็นเจ้านายสงฆ์ (บัลลังก์จักรพรรดิ์ :บก.) มาเป็นสามัญชน (รายการขอคิดด้วยคน ช่อง 9 เมื่อ 24 พ.ค. 2543 เวลา 2030 น.) บอกให้รู้ถึงความเข้าใจปัญหาในวงการสงฆ์อย่างไร เข้าใจแก่นศาสนาอย่างไร เป็นเหตุให้หนังสือพิมพ์ดีสามารถตัดสินใจเลือกบุคคลแห่งปีได้อย่างไม่ลังเลใจ
ฉะนั้น จึงขอประกาศความชื่นชมยินดี ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประเวศ วะสี เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดีประจำปี พุทธศักราช 2543 ไว้ ณ ที่นี้
และขอชื่นชม ด้วยกับ คณะผู้ร่วมเสนอแนวคิด ยุทธศาสตร์แก้วิกฤตชาติ จำนวนทั้งหมด 8 ท่าน อีก 7 ท่านคือ นิธิ เอียวศรีวงศ์, รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, ชัยอนันต์ สมุทวานิช, เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, โสภณ สุภาพงศ์, บวรศักดิ์ อุวรรณโณ และ ณรงค์ โชควัฒนา ไว้ ณ ที่นี้
บทบรรณาธิการดีเล่มที่ 22
**************************************************************************************************************************************************************************************************
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2544
บุคคลที่ 5 สามเณรีธัมมะนันทา
(อดีต รองศาสตราจารย์ ดร. ฉั ตรสุมาลย์ กบิฬสิงห์ แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
ว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ประจำปีพุทธศักราช 2544 โดยที่ทางหนังสือพิมพ์ดี ขอสงวนเหตุผล ไม่ขออธิบายเหตุผลประการใดใด แห่งการที่บุคคลทั้ง 6 ท่านนี้ ได้รับการพิจารณายกให้เป็นบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2544 นี้ เพราะท่านเหล่านี้ อยู่เหนือคำอธิบายใดใด จำเป็นที่เราต้องยกให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดีอยู่แล้ว โดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ วิธีการมองของเราก็เพียงมองว่า ท่านเหล่านี้เข้าสู่ครรลองธรรมชาติแล้วหรือยังเท่านั้นเอง เมื่อเข้าสู่ครรลองธรรมชาติแล้ว ก็ย่อมอยู่ในธรรมชาติเอง เป็นไปเองอยู่แล้ว สิ่งที่เราพอใจก็คือ การที่เราสามารถค้นพบบุคคลแห่งปีได้ถึง 6 คนในปี 2544 นี้ แสดงว่า สังคมมีคนดีเพิ่มขึ้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดีต่อสังคมอย่างแน่นอน
บุคคลที่ 6 ศาสตราจารย์ สมพร เทพสิทธา
ว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ประจำปีพุทธศักราช 2544 โดยที่ทางหนังสือพิมพ์ดี ขอสงวนเหตุผล ไม่ขออธิบายเหตุผลประการใดใด แห่งการที่บุคคลทั้ง 6 ท่านนี้ ได้รับการพิจารณายกให้เป็นบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2544 นี้ เพราะท่านเหล่านี้ อยู่เหนือคำอธิบายใดใด จำเป็นที่เราต้องยกให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดีอยู่แล้ว โดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ วิธีการมองของเราก็เพียงมองว่า ท่านเหล่านี้เข้าสู่ครรลองธรรมชาติแล้วหรือยังเท่านั้นเอง เมื่อเข้าสู่ครรลองธรรมชาติแล้ว ก็ย่อมอยู่ในธรรมชาติเอง เป็นไปเองอยู่แล้ว สิ่งที่เราพอใจก็คือ การที่เราสามารถค้นพบบุคคลแห่งปีได้ถึง 6 คนในปี 2544 นี้ แสดงว่า สังคมมีคนดีเพิ่มขึ้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดีต่อสังคมอย่างแน่นอน
บุคคลที่ 7 ศาสตราจารย์ ระพี สาคริก
ว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ประจำปีพุทธศักราช 2544 โดยที่ทางหนังสือพิมพ์ดี ขอสงวนเหตุผล ไม่ขออธิบายเหตุผลประการใดใด แห่งการที่บุคคลทั้ง 6 ท่านนี้ ได้รับการพิจารณายกให้เป็นบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2544 นี้ เพราะท่านเหล่านี้ อยู่เหนือคำอธิบายใดใด จำเป็นที่เราต้องยกให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดีอยู่แล้ว โดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ วิธีการมองของเราก็เพียงมองว่า ท่านเหล่านี้เข้าสู่ครรลองธรรมชาติแล้วหรือยังเท่านั้นเอง เมื่อเข้าสู่ครรลองธรรมชาติแล้ว ก็ย่อมอยู่ในธรรมชาติเอง เป็นไปเองอยู่แล้ว สิ่งที่เราพอใจก็คือ การที่เราสามารถค้นพบบุคคลแห่งปีได้ถึง 6 คนในปี 2544 นี้ แสดงว่า สังคมมีคนดีเพิ่มขึ้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดีต่อสังคมอย่างแน่นอน
บุคคลที่ 8 ศาสตราจารย์ น.พ.ประสพ รัตนากร
ว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ประจำปีพุทธศักราช 2544 โดยที่ทางหนังสือพิมพ์ดี ขอสงวนเหตุผล ไม่ขออธิบายเหตุผลประการใดใด แห่งการที่บุคคลทั้ง 6 ท่านนี้ ได้รับการพิจารณายกให้เป็นบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2544 นี้ เพราะท่านเหล่านี้ อยู่เหนือคำอธิบายใดใด จำเป็นที่เราต้องยกให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดีอยู่แล้ว โดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ วิธีการมองของเราก็เพียงมองว่า ท่านเหล่านี้เข้าสู่ครรลองธรรมชาติแล้วหรือยังเท่านั้นเอง เมื่อเข้าสู่ครรลองธรรมชาติแล้ว ก็ย่อมอยู่ในธรรมชาติเอง เป็นไปเองอยู่แล้ว สิ่งที่เราพอใจก็คือ การที่เราสามารถค้นพบบุคคลแห่งปีได้ถึง 6 คนในปี 2544 นี้ แสดงว่า สังคมมีคนดีเพิ่มขึ้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดีต่อสังคมอย่างแน่นอน
บุคคลที่ 9 คุณพลอยไพลิน เจนเซ่น
ว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ประจำปีพุทธศักราช 2544 โดยที่ทางหนังสือพิมพ์ดี ขอสงวนเหตุผล ไม่ขออธิบายเหตุผลประการใดใด แห่งการที่บุคคลทั้ง 6 ท่านนี้ ได้รับการพิจารณายกให้เป็นบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2544 นี้ เพราะท่านเหล่านี้ อยู่เหนือคำอธิบายใดใด จำเป็นที่เราต้องยกให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดีอยู่แล้ว โดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ วิธีการมองของเราก็เพียงมองว่า ท่านเหล่านี้เข้าสู่ครรลองธรรมชาติแล้วหรือยังเท่านั้นเอง เมื่อเข้าสู่ครรลองธรรมชาติแล้ว ก็ย่อมอยู่ในธรรมชาติเอง เป็นไปเองอยู่แล้ว สิ่งที่เราพอใจก็คือ การที่เราสามารถค้นพบบุคคลแห่งปีได้ถึง 6 คนในปี 2544 นี้ แสดงว่า สังคมมีคนดีเพิ่มขึ้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดีต่อสังคมอย่างแน่นอน
บุคคลที่ 10 ศาสตราจารย์ ร.ต.อ. ดร.ปุรชัย เปี่ยมสมบูรณ์
ว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ประจำปีพุทธศักราช 2544 โดยที่ทางหนังสือพิมพ์ดี ขอสงวนเหตุผล ไม่ขออธิบายเหตุผลประการใดใด แห่งการที่บุคคลทั้ง 6 ท่านนี้ ได้รับการพิจารณายกให้เป็นบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2544 นี้ เพราะท่านเหล่านี้ อยู่เหนือคำอธิบายใดใด จำเป็นที่เราต้องยกให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดีอยู่แล้ว โดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ วิธีการมองของเราก็เพียงมองว่า ท่านเหล่านี้เข้าสู่ครรลองธรรมชาติแล้วหรือยังเท่านั้นเอง เมื่อเข้าสู่ครรลองธรรมชาติแล้ว ก็ย่อมอยู่ในธรรมชาติเอง เป็นไปเองอยู่แล้ว สิ่งที่เราพอใจก็คือ การที่เราสามารถค้นพบบุคคลแห่งปีได้ถึง 6 คนในปี 2544 นี้ แสดงว่า สังคมมีคนดีเพิ่มขึ้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดีต่อสังคมอย่างแน่นอน
เราจึงขอประกาศนามบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดีทั้ง6ท่านไว้ ณ ที่นี้
บทบรรณาธิการดีเล่มที่ 25
**************************************************************************************************************************************************************************************************
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2545
บุคคลที่ 11 แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต
ทรงธรรม ปัญญา สติธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์สูง เอาตัวรอดจากโลกอันลามก อุทิศตัวเองเพื่อการรับใช้พระพุทธศาสนา สามารถนำพระพุทธศาสนาไปสู่โลกสากลและเป็นผู้นำในโลกสากลได้ ทรงธรรมสัตบุรุษสูง มองกว้างและไกล รู้ความสัมพันธ์ทางโลก ทางธรรมอย่างละเอียดอ่อน สามารถเชื่อมธรรมเข้ากับโลกใหม่ ภาษาใหม่ของมนุษยชาติได้อย่างเป็น รูปธรรม มีทัศนวิสัย-วิสัยทัศน์ระดับเป็นหนึ่งในหมู่นักบวชหญิงทั่วโลก
บุคคลที่ 12 ทรงชัย รัตนสุบรรณ
โปรโมเตอร์มวยไทยผู้มีชื่อเสียงทั่วโลก หลังสุดเป็นโปรโมเตอร์มวยไทยเฉลิมพระเกียรติ ๕ ธันวามหาราช จิตนิ่งมากจนถึงขั้นสงบสงัด มีความเฉียบคมในการ วินิจฉัยชั้นเชิงการต่อสู้เชิงหมัดมวยอย่างแม่นยำ สามารถอ่านวินิจฉัยแผนการมวยของชนชาติต่างๆ ได้อย่างไม่ผิดพลาด มีอารมณ์เลือดนักสู้ไหลแรงและลึกซึ้งอยู่ภายใน สุขุมลุ่มลึกเชิงปัญญา และสมาธิจิตเป็นระดับสมาบัติ
นักเผชิญโชคชาวไทย ท่องไปได้สบายๆทั่วโลก มีหลักธรรมเป็นเครื่อง ดำเนินชีวิตมาโดยตลอด อุเบกขาธรรมมีมากจนเป็นอุปนิสัยเป็นธรรมชาติ สามารถอ่านรู้วิสัยและ สภาพอารมณ์จิตใจมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาและดำรงวิถีอนาคาริกอย่างสม่ำเสมอ มีความสุขในความทุกข์ มีความสบายในความยากลำบาก มีเกียรติในความต่ำต้อย มีความร่ำรวยในความพอเพียง
บุคคลที่ 14 พล.อ. สุรยุทธ จุลานนท์
ความสงบสงัดภายในแห่งจิตที่ลึกซึ้ง ปรากฏทางอิริยาบถ เรียบง่าย ไร้ยศศักดิ์ ไร้อำนาจ วางตนตามสบายเสมือนสามัญชน มีความเฉียบขาดรุนแรง เป็น ภาคส่วนควบคู่กับความละมุนละไมอ่อนโยนอันปรากฎภายนอก มีสองบุคลิกภาพที่ประสานสอด คล้องในเป้าหมายแห่งธรรมเดียวกันอย่างน่าสนใจยิ่ง ภาพการเดินป่า การปลีกวิเวกในแดนไกลที่ สงัดสงบ บอกไปถึงจินตนาการเหนือโลก และความหน่ายต่อโลกธรรม คือนิพพิทาญาณ
บุคคลที่ 15 สุดารัตน์ เกยุราพันธ์
ในฐานะ นักการเมือง และนักบริหารหลายกระทรวง และล่า สุดในฐานะ รมว.สาธารณสุข สามารถนำความหมายทางธรรมะมาสู่การบริหารได้ตรงแทบทุกเรื่องทุกโครงการ เส้นทางชีวิตและการงานการเมือง เต็มไปด้วยความขัดแย้งและอุปสรรค แต่สามารถบริหารได้นุ่มนวล มีอารมณ์จิตใจเยือกเย็น วางอารมณ์จิตใจเป็นกลาง นิ่งสม่ำเสมอ ทำงานด้วยความสุขมั่นในหลักการทางโลก เชื่อว่าถูกหลักการทางธรรม นั่นคือ อสาธุ สาธุนาชิเน : ธรรมะ ย่อมชนะ อธรรม มุ่งหมายต่อความสุขของผู้อื่น วางใจในธรรมะ ไม่สับสน เมื่อทำโครงการ ๓๐ บาททุกโรค รณรงค์หยุดสูบบุหรี่ หยุดยาเสพติด รับสนองโครงการตามพระดำริของทูลกระหม่อมฟ้าหญิง อุบลรัตน์ฯ To Be Number 1 โครงการเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพมวลชนขนาดใหญ่ ที่สะท้อนถึงความ เข้าใจอันลึกซึ้งในความสุขและความทุกข์ของประชาชน
บุคคลที่ 16 ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก
อดีตนางงามจักรวาล มีคุณค่าแห่งความงามสูงสุด ทั้ง โดยศาสนธรรมและจริยธรรม รักนวลสงวนตัว ดำรงคุณค่า มีชีวิตที่ทรงปัญญาฉลาด ทันเหตุการณ์ทันโลก ปรับตัวได้ดีตามสถานการณ์ทุกชนิด อยู่ในวงการอาชีพสากลระดับสูง (เคยจัดทำรายการ โทรทัศน์ต่างประเทศ ปรากฏทางจอแก้วของไทยอยู่ระยะหนึ่ง คือรายการ 60 MINUTE IN
THAILAND
ช่อง ๙,๑๑ มิย. ๒๕๔๒, ๒๑.๐๐ น. เจาะข่าวสาธุคุณมูน แม้แต่คนใน ครอบครัวก็ไม่ เชื่อว่าเป็นตัวแทนพระเจ้า แท้จริงเป็นนักบวชลวงโลก เป็นนักต้มตุ๋น ดูดีเล่มที่ ๑๘, กย.-ตค. ๒๕๔๒ หน้า ๓๕) เมื่อวัตถุนิยมตีคุณค่าออกมาเป็นเงิน จึงมีมูลค่ามหาศาลที่สุดเท่าที่มีในโลกนี้ ดำรงตน สง่างามด้วยคุณงามความดีของเบญจกัลยาณีโดยแท้ มีความกล้าหาญและมั่นใจยากจะมีสตรีใด เทียม สามารถจะเป็นมนุษย์สากลได้ในโลก มีความเป็นไทยและชาวพุทธ ในระดับที่เอาตัวรอดและดำรงความเป็นไทยได้อย่างสมบูรณ์
บุคคลที่ 17 ทักษิณ ชินวัตร
มีจิตใจกว้างใหญ่ไพศาลมาก ว่างเปล่า ภาพพบประชาชนชาว ประมงกลางลำน้ำมูลสะท้อนความหมายนี้ชัดเจนขึ้น เข้าใจความทุกข์ของประชาชนและประเทศ ชาติอย่างลึกซึ้ง เห็นได้จากการปลดหนี้ไอเอ็มเอฟ.จำนวนสุดท้าย ๑๔,๕๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐหรือ ๒๐๘,๐๐๐ ล้านบาท ตามคติพุทธธรรมว่า "อิณาทานํ ทุกขํ โลเก (การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก) บ่ง ถึงเกียรติภูมิ เอกราชและอิสรภาพทางการเศรษฐกิจของชาติ อันบอกไปถึงหลักธรรมแห่งการ ปลดปล่อยตนเองจากความเป็นทาส จิตใจที่รักเอกราช อิสรภาพโดยแท้จริง แนวการมองโลก ๒ ด้านคือด้านมืดกับด้านสว่าง มีความชัดเจนและเด็ดขาดด้วยจักษุแห่งธรรมที่แจ่มแจ้ง นโยบาย ปราบปรามยาเสพติดอย่างรุนแรง บ่งไปถึงการมองที่ชัดเจนแจ่มแจ้งในด้านมืดแห่งสัจธรรม และ เลือกการต่อสู้และเครื่องมือที่เหมาะพอกันกับด้านมืดแห่งสัจธรรมนั้น และอีกส่วนแห่งพฤติกรรม นั้น บ่งถึงเมตตาจิตและความเห็นอกเห็นใจ และความยุติธรรมอย่างลึกซึ้ง ในด้านสว่างแห่งสัจธรรมวาทะแห่งปีที่ฟังสง่างามเลิศหรูอย่างแท้จริง ที่สอดคล้องสัจธรรมว่าด้วยหลักกรรมใน พระพุทธศาสนา ก็คือ "ผู้ทำความดีย่อมได้รับรางวัล ผู้ทำความเลวย่อมถูกลงโทษ" และ มิใช่ เพียงวาทะ แต่ทำกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ให้ตรงเป็นเส้นเดียวกัน ปรากฏในงานปราบปรามยาบ้าขณะนี้
อุดมการณ์ที่แน่นอน เมตตาที่กว้างใหญ่ ทำงาน บริสุทธิ์ใจเพื่อ สตรี และเด็กๆ ด้วยความเสียสละ แม้ว่าเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับเด็กและสตรีที่เป็นเหยื่อ และมีไม่น้อยที่เด็กและสตรีเหล่านั้นกลายเป็นเหยื่อด้วยความโง่เขลาของตนเอง ที่น่าเมินเสียให้รับผลกรรม อันโง่เขลาของตนเอง ก็ปฏิบัติไปได้อย่างไม่รังเกียจ เสมอต้นเสมอปลาย อันบ่งบอกถึงธรรมปฏิบัติเป็น อัปมัญญา ไม่เลือกสรรในการกระทำความดีต่อผู้ใด ไม่รู้ความสิ้นสุดของงานแห่งความดี ไม่อาจจะประมาณได้ว่างานการแห่งความดีจะมากจะน้อยเพียงใด แต่ใจก็อธิษฐานปฏิบัติอย่างเสมอหน้า ฝ่าฟันไปไม่มีกำหนด และมีความสุขความพอใจในความเป็นตัวของตัวเอง และโดยธรรมะ แห่งความปล่อยวางและ อุเบกขา
บุคคลที่ 19 โจนัส แอนเดอร์สัน
ชีวิตอนาคาริกผู้มีความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่โลภ พอใจใช้ชีวิตเรียบง่าย มีความสุขเพราะการไม่ยึดมั่นถือมั่น มีความอ่อนโยนละมุนละไมในจิตใจมาก เป็นส่วนหนึ่ง แห่งศิลป์ของเขา การฟ้อนแบบฉบับอีสานดูซื่อตรง สุจริต ดูเก้งก้าง ร้องเพลงภาษาลิ้นไพเราะทั้งไทยกลางและไทยอีสาน แต่ไพเราะด้วยความจริงใจในความหมายแห่งท่าทีและถ้อยคำภาษา ทำให้ภาพออกมาดีเป็นคุณธรรม มีความตรงปราศจากเสี้ยนหนามในจิตใจ ฉลาดในการแสวงหา ประโยชน์โดยชอบธรรมให้แก่ตัวเอง สำเนียงเพลงที่ร้องบ่งบอกถึงความเข้าใจในมนุษย์อย่างลึกซึ้ง และพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่นตามพระบรมศาสโนวาทที่ว่า พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ มีความสุขและพอใจในการรับใช้สิ่งที่ถูกต้องโดยสม่ำเสมอเป็นปกติวัตรส่วนตน
บุคคลที่ 20 ดร.เสรี วงศ์มณฑา
ความรอบรู้กว้างขวางทุกเรื่องราวของมนุษย์ ทุกสาขาวิทยาการ ยุคใหม่ เป็นทางแห่งความเข้าใจไปถึงความรู้สึกนึกคิด หรือนามธรรมอันเป็นพื้นฐานทางรูปธรรม ของวัฒนธรรมสาขาต่างๆอย่างลึกซึ้งถึงธรรมชาติ ไม่มีอคติในการวิเคราะห์ปัญหาใดใด ตรงไปตรงมาตามเหตุและผลทางวิชาการ อันบ่งถึงธัมมวิจยสัมโพชฌงค์อันละเอียดอ่อน ใจนิ่ง ไม่หวั่นไหว มีความเข้าใจความเป็นมนุษย์ลึกซึ้ง เป็นกัลยาณมิตรที่แท้จริงของคนทั้งหลาย
บุคคลที่ 21 เด๋อ ดอกสะเดา
ในขณะที่แวดล้อมชุลมุนวุ่นวายไปหมด เด๋อ ดอกสะเดา กลับนิ่งได้ สนิทอยู่ภายในและสติราบเรียบไม่มีขาดกระเสนกระสาย มีความสงบในท่ามกลางความวุ่นวาย และมีความสุขในท่ามกลางความขาดแคลน มองเขาจากงาน ที่ปรากฏผ่าน รายการต่าง ๆ ทางจอแก้ว เด๋อ ดอกสะเดาและชาวคณะ ไอทีวี และ เวทีไท ช่อง ๙ และท่ามกลางหมู่เพื่อน มิตร สหายที่ร่วมการงานร่วมทุกข์ร่วมสุขของเขา เห็นชีวิตที่ปราศจากวิตกหวาดหวั่น มีวิสัยทัศน์การ มองคนทั้งหลายที่เป็นธรรม และให้ความยุติธรรม ปราศจากอคติ วิถีชีวิตราบคาบ เดินไปอย่าง ไร้กังวลและทะเยอทะยานเกินตัว มองสัจธรรมแห่งชีวิตได้ถึงปลายสุด เข้าใจอนิจลักษณะแห่งโลกทั้งหลายได้ดีเยี่ยม ชีวิตมีความพอเพียงและความสุข
บุคคลที่ 22 สุนีย์ สินธุเดชะ
สามารถเชื่อมหลายวงการทั่วถึงด้วยใจอันว่างเปล่า ประสานความคิด ประสานอุดมการณ์ส่วนตัวไปได้อย่างสม่ำเสมอ คงเส้นคงวาในการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างของครู อาจารย์ผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ปรารถนาดีต่อลูกศิษย์ซึ่งสะท้อนถึงเมตตาธรรมโดยแท้จริง และเส้นทางนั้น กล้าหาญในการนำไปในทางที่ถูกต้องตามธรรมตามจริยาแห่งศาสนา มีความฉลาด สติปัญญา และความกล้าหาญ เอาตัวรอดได้จากทุกข์จากปัญหา มีความสุขความพอใจในผลงานเสมอ เนื่อง เพราะเข้าใจธรรมชาติแห่งทุกข์ อนิจจัง และ อนัตตา ในสรรพชีวิต สรรพธรรมสรรพสิ่ง และทั้งวางตนอยู่บนอุเบกขาญาณได้ จึงพ้นทุกข์พ้นปัญหา มีความร่าเริงและมองโลกใสสว่าง
บุคคลที่ 23 ดร.วิพรรธ์ เริงวิทยา
ทุกวันศุกร์ ก่อน ๐๗.๐๐ น. พบ ดร.วิป "เสริมปัญญากับดร.วิป" ดร.วิปไปเมืองจีนได้แนะนำชาวจีนว่า เป็นยุคหัวเลี้ยวหัวต่อของโลก จีนเป็นแม่บทวัฒนธรรม หาก เน้นวัฒนธรรมสุรุ่ยสุร่ายแบบอเมริกา ชีวิตจะไม่มีความสุข แต่ถ้าเน้นวัฒนธรรมเพียงพอ จะเพิ่ม ความสุข ดร.วิป เคยอาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษหลายปี เล่าว่าเมื่ออยู่อังกฤษคราววัยรุ่น ๆ ๓๐-๔๐ ปีมาแล้ว มีความสุข แต่ทุกวันนี้ มีแคชมากแต่กลับยากจน แนะว่า จีดีพี [GDP] นำความ ทุกข์ แต่จีเอนเอช [GNH] นำความสุขมาให้ ท่านพูดว่าจีเอนเอชมีอยู่ในเมืองไทยนี้มากที่สุด ท่านพูดถึงครูว่าครูสมัยนี้เป็นครูขี้เกียจ ออกข้อสอบมีช้อยส์ แต่ก่อนมีวิชาย่อความเรียงความ ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ แต่ครูสมัยนี้ขี้เกียจตรวจ จะทำก็ทำได้แต่ขี้เกียจ เรื่องหุ้น ท่านเสนอว่า อย่าซื้อหุ้นเป็นจำนวนมาก
บุคคลที่ 24 อำนวย สุวรรณคีรี
รายการพุทธิธรรมนำทาง ช่อง ๙ ทุกวันอาทิตย์ (ประมาณ ๐๖.๐๐ น.) ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน โดยคติและความเข้าใจเป็นอย่างดีว่า การงานคือการปฏิบัติธรรม และปฏิบัติโดยเทคนิค รู้เทคนิคชั้นลึกซึ้ง เห็นได้จากรายการพุทธิธรรมนำชีวิตที่เป็นเรื่อง สูงคือสมาธิ สามารถผสมผสานงานปฏิบัติธรรมได้หลายแบบ มีความตรงและนุ่มนวลในการปฏิบัติ และความสม่ำเสมอ ได้เหตุผลในเชิงปฏิบัติมาก งานการสอนสมาธิได้รับการมองว่า เป็นสิ่งที่ เหมาะสมแก่คนยุคใหม่อย่างไร เป็นวิทยาศาสตร์ทางมรรคผลอย่างไร
บุคคลที่ 25 สมัคร สุนทรเวช
มีความตรงมานานโดยสม่ำเสมอ และสามารถเอาความตรงไปในวิถีทางที่ยากลำบากคือการเมืองทั้งในระดับชาติและระดับมหานครท้องถิ่นคือกรุงเทพมหานคร เอาตัวรอดมาอย่างสง่างาม มีความดีที่น่าเลื่อมใส แม้ระยะหลังที่สุดที่บริหารจัดการในฐานะผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร ก็แสดงออกซึ่งความตรงไปตรงมาตามธรรมคือ อุชุปฏิปันโน (มี ๔ อย่างคือ สุปฏิปนฺโน ปฏิบัติดี, อุชุปฏิปนฺโน ปฏิบัติตรง, ญายปฏิปนฺโน ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเครื่องออกจากทุกข์แล้ว และ สามีจิปฏิปนฺโน ปฏิบัติสมบูรณ์เพียงพอ ทำเหตุแห่งความดีให้พร้อมแล้ว) ตาม หลักพระพุทธศาสนา อันเป็นหลักความประพฤติที่ยากที่คนจะปฏิบัติได้อย่างแท้จริงสม่ำเสมอ ชีวิตมีวิถีทางเข้ม ประกอบด้วยสติปัญญาความอดทนอย่างสูง และมีความสุข รู้ธรรมแห่งการ ปล่อยวาง ความไม่ยึดมั่นถือมั่น วางแผนชีวิตก็เป็นไปตามธรรมเอาเป้าหมายพระธรรมไว้ภายหน้า
บุคคลที่ 26 พ.อ. นพ.พงศักดิ์ ตั้งคณา
พ.อ. นพ.พงศักดิ์ ตั้งคณา เล่านิทาน ๓ เรื่องๆที่ 1 เรื่องบริษัทค้าโลงเอาโลงไปส่งในเวลากลางคืน ขณะรถปิ๊กอัพวิ่งไปเกิดฝนตก คนขนโลงก็เปิดฝาโลง เข้าไปนอนหลบฝนข้างในโลง พอปิดฝาโลงไว้แล้วก็หลับไป ไปได้ระยะหนึ่งก็มีคนโบกรถขอไปด้วย4 คนพากันนั่งขนาบสองข้างของโลง ไม่นานคนขนโลงตื่นขึ้นก็จะออกจากโลงมาข้างนอกกำลังเอื้อมมือดันฝาโลงออกมา คน ๔ คนที่โดยสารมาด้วยก็เห็นพร้อมๆกัน เป็นมือโผล่ออกมานึกว่ามือศพ คิดว่าคนตายกำลังจะฟื้นขึ้นมาเป็นผีหลอก ต่างก็ไม่รอช้าลืมไปว่ารถกำลังวิ่งไปด้วยความเร็วสูง พากันกระโดดรถออกไปตามๆกัน ไม่ทราบว่าเป็นหรือตายหายไปกับความมืด รถวกกลับมาอีกที ขายโลงได้อีก ๔ โลง นิทานเรื่องที่ ๒ มีคนป่วยคนหนึ่งอยู่เตียงข้างๆขอบหน้าต่าง ทุกเช้าเขาจะ เล่าเรื่องให้คนป่วยที่อยู่รอบๆตัวฟัง ว่าเขาเห็นนกสีขาวงดงามบินมา พวกมันผ่านมาเป็นฝูงๆ ฝูง แล้วฝูงเล่ามากมายเต็มท้องฟ้า บางวันเขาก็เล่าว่าเขาเห็นดอกไม้กำลังบานสะพรั่งไปหมดที่ขอบ สระไกลๆ มีสีต่างๆเช่น สีแดง ฟ้า ชมพู เขียว ขาว สีหมอกและอินทนิล เขายังเล่าว่า เห็นเมฆ ก้อนใหญ่ๆเลื่อนลอยมาและยิ้มให้เขา จะมารับเขาไปท่องเที่ยวแดนไกลๆ แล้วเมื่อเขาตายลง คน ไข้คนหนึ่งมาทีหลัง ก็อยากเห็นวิวสวยงามที่เขาเล่าให้ฟังจึงขอไปนอนที่ๆเขานอน แต่เขาก็ไม่เห็น อะไรสวยๆงามๆเหล่านั้นเลย คุณหมอจึงบอกเขาว่า คนๆนั้นเป็นคนตาบอด สิ่งที่เขาเล่านั้น เขาไม่ได้มองเห็นด้วยตา แต่เป็นจินตนาการของเขา ฟังจบคนไข้คนนั้นก็สะอื้นแรงๆ เขานึกในใจว่า โอแม้จะตาบอดเขาก็ยังมีน้ำใจที่ยิ่งใหญ่เพราะเขามีความปรารถนาเพียงอย่างเดียวคือให้ผู้อื่นมีความสุข นิทานเรื่องที่ ๓ มีเด็กชายอายุ ๑๐ ขวบคนหนึ่งไปโรงเรียน แม่ของเขาป่วยอยู่โรงพยาบาล หลายวันแล้ว วันหนึ่งมีคนแก่ใจดีมอบดอกกุหลาบดอกใหญ่สีขาวให้เขาดอกหนึ่ง เขามีความสุขมาก คิด ว่าดอกไม้แสนสวยน่ารักเหลือเกิน จะรีบเอาไปให้แม่ๆเห็นก็คงจะชอบเช่นเดียวกันและอาจทำให้แม่หายป่วย ก็รีบกลับบ้าน พอเดินมาถึงกลางทาง มีรถยนต์คันหนึ่งที่ขับโดยคนเมาก็แหกทางเข้า มาชนเด็กชายถึงแก่ชีวิต เพื่อนเขาคนหนึ่งรู้ข่าวทีหลัง ก็ไปเยี่ยมที่หลุมฝังศพ พบว่าที่หลุมฝังศพมีดอกกุหลาบสีขาวดอกนั้นวางอยู่ เพื่อนเขาก็ร้องไห้ เพื่อนเขาเอ่ยขึ้นว่า คนเมาอย่าขับรถเลย สงสารคนดีบริสุทธิ์อย่างเพื่อนของเราบ้างเถิด
หนังสือพิมพ์ดี จึงมีความยินดีขอบันทึก แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต, ทรงชัย รัตนสุบรรณ, วีระ นุตยกุล, พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์, สุดารัตน์ เกยุราพันธ์, ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก, ทักษิณ ชินวัตร, ปวีณา หงสกุล, โจนัส แอนเดอสัน, เสรี วงศ์มณฑา, เด๋อ ดอกสะเดา, สุนีย์ สินธุเดชะ, ดร. วิพรรธ์ เริงวิทยา, อำนวย สุวรรณคีรี, สมัคร สุนทรเวช และ พ.อ. นพ.พงศักดิ์ ตั้งคณา ว่าเป็นบุคคลแห่งปีพุทธศักราช ๒๕๔๕ ของหนังสือพิมพ์ดี ไว้ ณ ที่นี้
บทบรรณาธิการดีเล่มที่ 28
**************************************************************************************************************************************************************************************************
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2546
บุคคลที่ 27 ดร.นันทสาร สีสลับ
รองอธิการบดี(รักษาการณ์อธิการบดี)มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งโลก
เป็นผู้มีหลักการพระพุทธศาสนธรรมในพระพุทธศาสนาสำหรับนำการปฏิบัติงานในองค์การ หรือสถาบันอยู่ตลอดชีวิตเอาหลักการหลักธรรมเป็นประจำวิถีชีวิตส่วนตนอีกด้วย จนกล่าวได้ว่าเป็นตัวหลักการเอง หลักการพุทธอยู่ในตัวเองโดยธรรมชาติตลอดเวลา ดร.นันทสาร สีสลับ เป็นผู้ทำคุณประโยชน์แด่พระพุทธศาสนาอย่างมหาศาลมากมาย โดยได้อุทิศมาตั้งแต่เด็ก มีวิถีชีวิตไปตามสัญชาตญาณนักเผยแผ่สร้างสรรค์ทางระบบพระพุทธศาสนา เป็นชีวิตอัตโนมัติ ได้ทำงานสำคัญระดับโลกพระพุทธศาสนามาอย่างเงียบ ทำงานเบื้องหลังองค์พระปฏิมา
นักร้องเพลงพระพุทธศาสนา
เป็นการขับร้องด้วยจิตวิญญาณที่บูชาพระพุทธศาสนาที่แท้จริง เพลงที่มีความไพเราะทั้งสิ้น เพื่อความงามแห่งพระพุทธศาสนาแสดงการขับร้องตามหลักธรรม ที่นำจิตใจไปสู่ความเย็นสงบและได้รับรสของความสงบแห่งจิตใจเป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพนุ่มนวลแฝงความมั่นใจ ไม่คลอนแคลน มีความเย็นแห่งความกรุณา ที่ผายแผ่ออกไปในน้ำเสียงที่ขับร้อง
บุคคลที่ 29 ร.อ.ประยงค์ สุวรรณบุปผา
ตอบคำถามปัญหาธรรมะในพระพุทธศาสนาทุกปัญหา ทั้งระดับปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ผ่านเวบไซท์ขององค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกเป็น ประจำวันมีนัยแห่งปัญหาระดับโลกธรรมและโลกุตตรธรรมอย่างละเอียด สามารถอ้างอิงหลักฐาน ที่มาที่ไปได้ชัดเจน กระจ่าง จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นแหล่งค้นหาธรรมได้ทุกระดับ และท้าทายความสงสัยในธรรมะของพระพุทธศาสนาทุกประการของคนสมัยใหม่และสมัยเก่า
บุคคลที่ 30 ศาสตราจารย์รังสรรค์ แสงสุข
อธิการบดี ม.รามคำแหง
มีความมั่นใจในวิชาการ มั่นใจในงาน ที่เสียสละและการริเริ่มที่ดี ท่านไปโฆษณาที่อเมริกา ชักชวนคนไทยและคนอเมริกันที่อเมริกาให้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยระบบทางไกลและสื่อการเรียนสมัยใหม่ ว่ามีการจัดระบบการเรียนทางสื่อที่ดีที่สุดของมหาวิทยาลัยโลก เคยให้คำแนะนำนักศึกษาสาว ๆ ว่า ควรแต่งกายให้ เรียบร้อยอย่าทำให้คนอื่นปวดหัว และ เสียสมาธิ
บุคคลที่ 31 สนธิ ลิ้มทองกุล
นักหนังสือพิมพ์ และการสื่อสารมวลชนที่มีชื่อเสียง
มีบุคลิกภาพมั่นคง มีจุดยืน รายการเมืองไทยสุดสัปดาห์ของช่อง 9 บ่งถึงอิสรภาพในวิชาการ จุดยืนอันเป็นอิสระ ปราศจากอคติ 4 บ่งถึงความเข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิต เข้าใจสัจธรรมการข่าว และหนังสือพิมพ์ เป็นหนึ่งในวงการนั้น เขาพูดว่า ไม่กลัวตำรวจ ในเรื่องการฟ้องร้องหมิ่นประมาท เพราะมันเป็นของธรรมดาในชีวิตนักหนังสือพิมพ์ เขาหมายความว่าทุกข์สุขเป็นเรื่องธรรมดาใน โลก เมื่อพบเผชิญอะไรก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่น่าแคร์อะไรแล้ว
บุคคลที่ 32 ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช
ส.ว.ขอนแก่น
ฉลาดในการอิงหลักธรรม มีจิตมั่นคง ตรงตามพรหมวิหาร 4 มีความคล่องแคล่วตามหลักสัปปุริสธรรม 7 มีจิตถาวรในการสนับสนุนฝ่ายธรรมะพยายามดำรงธรรมะในจิตใจเอาธรรมะไปประสานเรื่องราวการปฏิบัติในชีวิตประจำวันทุกเรื่องมีความกล้าหาญ มีตปะธรรมหนักแน่นน่าเกรงขามปฏิบัติดีมีความมั่นใจบุคลิกภาพดีและวางตัวได้สมดุลย์ มีหลักการดำรงชีวิตที่ดีมีชีวิตครอบครัวที่น่าเลื่อมใสเป็นแบบอย่าง
บุคคลที่ 33 จักรภพ เพ็ญแข
เขาประกาศตัวเขาว่าเป็นชาวพุทธผู้หนึ่ง "ผมในฐานะเป็นชาวพุทธผู้หนึ่ง" ออกมาค่อนข้างดัง และแฝงความหมายอันลึกซึ้ง และโลกคงได้ยินเสียงเขาเมื่อพูด ในรายการโทรทัศน์ ว่าด้วยเรื่องราวการต่างประเทศเป็นผู้ที่มีความคิดอ่านดีและมีผลงานทางมันสมองที่บ่งถึงปฏิกริยาแห่งอิทัปปัจจยาการตลอดสาย มีความปลอดโปร่ง ร่าเริงและมีมนุษยสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนมีความรักในอิสรภาพและเคารพในความเป็นมนุษย์ของคนทั้งหลาย
บุคคลที่ 34 ถั่วแระ เชิญยิ้ม
ทำงานเสียสละด้วยจิตสำนึกอันสูงส่ง ในการเชียรกีฬาไทยไปทั่วโลกเป็นผู้มีความเปล่าเปลี่ยว วิเวก แม้อยู่ในท่ามกลางเสียงอันอื้ออึงของการแข่งกีฬา อันน่าตื่นเต้นชีวิตมาถึงความปลงได้อย่างสนิท เขาได้ค้นหาตัวเอง และชีวิต มองว่าชีวิตควรเป็นไปตามใจที่ ปรารถนาและค้นหาว่าใจปรารถนาอะไรแน่ และตั้งใจค้นไปจนกว่าจะพบ ว่าตัวเองคืออะไรปรารถนาอะไร และเขาเริ่มจะเข้าใจตัวเองไปเรื่อย ๆ นั่นหมายถึง ความเข้าใจชีวิตไปเรื่อย ๆเพิ่มความสุขสงบแก่ชีวิตไปเรื่อย ๆ
บุคคลที่ 35 พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
ท่านรักษาความสงบและลดอัตตาตัวตน คบหากับคนได้ทั่วโลกโดยอิสระ ไม่เลือกชั้นวรรณะ ชาติ และศาสนา และดำรงบุคลิกภาพของสุภาพบุรุษ เป็นแบบของผู้ดีชาวไทย ชาวพุทธได้สม่ำเสมอ มีอำนาจจิตอันละมุนแกร่งกล้า จิตอยู่ในภวังค์แห่งความเหนื่อยหน่าย มีนิพพิทาญาณ มีวิราคะธรรม ผลงานล่าสุดคือรักษาการณ์ ความสงบของประเทศไทยระหว่างมีการประชุมเอเปค ซึ่งบอกถึงวิถีทางภายในของท่าน
บุคคลที่ 36 วัน มูหะมัดนอร์ มะทา
มีวิสัยทัศน์เป็นสากล เป็นกันเองกับคนทั้งหลาย ไม่ถือ เนื้อถือตัว ไม่มีความเก็บกด รักสันติและสันติภาพในจิตใจลึกซึ้ง มีความเปล่าเปลี่ยวในอารมณ์ ความรู้สึกและมั่นคงต่อธรรมะ คือความจริงใจและความเป็นจริง ไม่มีความสงสัยในพระเจ้า มุ่ง สร้างประโยชน์โดยสันติวิธี มีความเป็นผู้นำการปฏิวัติสูง เป็นมุสลิมที่มองตรงความจริงตามกฎ แห่งธรรมชาติ มีผลงานทางการปกครองภาคใต้ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
บุคคลที่ 37 ภราดร ศรีชาพันธ์
นักกีฬาไทย ผู้ตระเวรไปทั่วโลก สู้สิบทิศ ด้วยใจคอกล้าหาญ และสุภาพเด็ดเดี่ยว ขณะนี้ได้เกรดเป็นมือเทนนิสมือที่ 11 ของโลก คุณธรรมบุคคล แห่งปี ที่เห็นสม่ำเสมอมาก็คือ คุณธรรมนักกีฬาที่แท้จริง รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย และหมายถึงเกมส์แห่งชีวิตเกมรักของเขาด้วย กรณีเขากับนักร้องสาวไทยอัจริยะ อมิตตา ทาทา ยัง คนนั้น ที่ จบลงด้วยดอกกุหลาบสีขาว วางที่สนามกีฬา เมื่อได้ชัยชนะ ก็ด้วยฝีมือที่ฝึกปรืออย่างเต็มที่ มี หลักการตามวิทยาศาสตร์การกีฬา น่าเป็นแบบอย่างนักกีฬาทั้งโลก
บุคคลที่ 38 แทมมารีน ธนะสุกาญจน์
นักกีฬาไทย ผู้ตระเวณไปทั่วโลก สู้สิบทิศ มีความสันโดษในจิตใจมาก มีหลายทัวนาเมนท์ที่แทมมารีน ท่องเที่ยวไปเพียงคนเดียว ไม่มีแม้เพื่อนและ โคช แบบวีรสตรี เหมือนนกที่บินไปโดยอิสระในน่านฟ้ากว้างใหญ่ สู้กับตนเอง อย่างโดดเดี่ยว และเอาชนะได้ มีความสุขความพอใจ มีพลังความกล้าหาญจากความเห็นแจ้งในอริยสัจ คือความเป็นธรรมดา
อนาคาริกะ ผู้มีชีวิตอยู่เพื่อการศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ เขามิได้แสวงหาสิ่งใด นอกจากความรู้แจ้งในเรื่องมนุษย์ มีวิธียังสังขาร หรือชีพอยู่อย่างฉลาดในวิถีทางที่สูงส่งสะอาด ที่ไม่ดูแคลนอารยธรรมของมนุษย์มีเสียงดนตรีประหลาดในดวงใจเป็นคู่ชีวิต
บุคคลที่ 40 ไตรภพ ลิมประพัทธ์
บุคลิกภาพมั่นคง คงเส้นคงวาในจุดยืนของตนเอง มีความคิดจิตใจสูง มีความคล่องตัวอย่างสุภาพ ชีวิตมีเกียรติ์ สง่างาม มีจุดยืนบน วิหารธรรม มีธรรมะเป็นยุทธศาสตร์แห่งชีวิต และมีความเฉลียว ฉลาดพอที่จะใช้กลยุทธหลายหลาก มียุทธวิธีหลายหลาก มีความคิดอ่านหลายหลาก งานประจำวันของเขาบอกให้รู้ว่ามีความเข้าใจโลกในธรรมะ และธรรมะในโลก
บุคคลที่ 41 สรยุทธ สุทัศนะจินดา
เอานักเรียนมาเถียงกันเรื่อง เพิ่ม จีพีเอ ในรายการของเขา ช่อง 9 เมื่อ 22 ธ.ค. 46 ทำให้เห็นความคิดอ่านของเด็ก และซึ้งใจในวาทะของเด็กที่ว่า "สิ่งของไม่มีความรู้สึก คนมีความรู้สึก" ดูเขามีความพอใจกับการเห็นเด็กโต้วาทีกัน เขามองว่าเป็นวิธีการ ลับและเพิ่มพูนสติปัญญาอย่างดีมาก สรยุทธ สุทัศนะจินดา เข้าไปศึกษาอย่างค่อนข้างใกล้ชิดกับปัญหาความสุขความทุกข์ของประชาชนกลุ่มต่าง ๆ เขามองปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคมค่อนข้างสูง ค่อนข้างสำคัญ หลังสุด เขาพยายามทำความเข้าใจอย่างจริง ๆ จัง ๆ ว่า อะไรเป็นความเป็นธรรมกรณีการตายของนายห้างทอง ธรรมวัฒนะ และ ปัญหานักศึกษาธรรมศาสตร์ถูกลูกหลงจากการไล่ตีกันของนักเรียนเกเรสองกลุ่ม เขาพยายามแสวงหาว่า อะไรคือความเป็นธรรมในกรณี เช่นนี้ นับว่ามีธรรมะประจำใจในระดับสูง มีธรรมะเป็นจุดยืนที่แน่นอน
บุคคลที่ 42 อุทัย พิมพ์ใจชน
ประธานรัฐสภา
ท่านพูดในรายการรัฐสภาของประชาชนเมื่อ 2 ม.ค. 2547 ว่า ระบอบการปกครอง กับ ความดีความเลว เป็นคนละเรื่อง ท่านเกรง ชาวไทยจะเข้าใจผิด ในเรื่องทางโลก และในเรื่องทางธรรม ท่านอธิบายว่า ระบอบเผด็จการก็ได้สร้างผลงานดี ๆ ไว้เยอะ อย่ามองว่าระบอบเผด็จการแล้วเลว ไปหมด แต่ต้องมองหาว่าระบอบทำอะไรเป็นผลดี ระบอบทำอะไรเป็นผลเลวออกมา ดูจุดอ่อนของระบอบแล้วพูดจุดอ่อนนั้น หรือ อย่าไปเข้าใจว่าระบอบประชาธิปไตย จะดีไปหมด ระบอบประชาธิปไตยสร้างผลงานเลว ๆ ก็มี สร้างความดีไว้เยอะ ๆ ก็มี ต้องมองว่าระบอบประชาธิปไตยสร้างความดีอย่างไร สร้างความเลวอย่างไร แล้วพยายามแก้ที่จุดอ่อน ต้องแยกให้ออก ระหว่างคุณภาพของระบอบ กับคุณธรรม ของระบอบ คติที่ท่านแนะให้เข้าใจระบอบประชาธิปไตยและวิธีปฏิบัติก็คือ พรรคเลือกคนประชาชนเลือกพรรค ซึ่งบอกให้ทราบว่าท่านเข้าใจธรรมะในองค์รวมและรอบด้านอย่างไร
บุคคลที่ 43 นพ. สุรพงษ์ อำพันวงษ์
ความเป็นบุคคลแห่งปี เห็นได้จากรอยยิ้มที่สม่ำเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลง ตลอดที่ทำรายการ ปัญหาชีวิตและสุขภาพ ของช่อง 9 มาหลายปี จนถึงปัญหา"ความหวานกับโรคฟันผุ" หลายปีติดต่อกันมาถึงวันนี้ ชีวิตมีจุดหมายปลายทางที่ลงตัว ไม่ดิ้นรนไปตามกระแส บอกถึงอุเบกขา ความเยือกเย็นแห่งธรรมะในจิตใจ ไม่คลอนแคลนมีพรหมวิหารธรรมยั่งยืนในจิตใจ
บุคคลที่ 44 รศ.พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร
ดูจากงาน ในรายการปัญหาชีวิตและสุขภาพ ของช่อง 9 พบ ความกระตือรือร้น โดยกริยาอาการแสดงออกบ่งถึงความใจอ่อน ใจเย็น ที่เอาใจใส่ในทุกข์สุขของ ประชาชน อย่างเอื้ออาทรลึกซึ้ง โดยความเป็นธรรมชาติ มีธรรมะอยู่ในกริยาอาการและมีความสุขความพอใจในงานช่วยให้คนทั้งหลายพ้นทุกข์ ชีวิตมีการอุทิศเพื่อเอื้อประโยชน์แด่ คนทั้งหลายโดยไม่คิดค่าตอบแทนใดใด มีความเบิกบานและมองไกลถึงฝั่ง ตั้งอุเบกขาได้มั่นคง
หนังสือพิมพ์ดี จึงขอประกาศบุคคลดังกล่าวคือ ดร.นันทสาร สีสลับ ดาวใจ ไพจิตร ร.อ.ประยงค์ สุวรรณบุปผา ศ.รังสรรค์ แสงสุข สนธิ ลิ้มทองกุล ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช จักรภพ เพ็ญแข ถั่วแระ เชิญยิ้ม พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ วัน มูหะมัดนอร์ มะทา ภราดร ศรีชาพันธ์ แทมมารีน ธนะสุกาญจน์ ทอดด์ ทองดี ไตรภพ ลิมประพัทธ์ สรยุทธ สุทัศนะจินดา อุทัย พิมพ์ใจชน น.พ.สุรพงศ์ อำพันวงษ์ ผศ.พ.ญ.ประสบศรี อึ้งถาวร ว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ประจำปีพุทธศักราช 2546 และหนังสือพิมพ์ดีมี ความพอใจที่ได้ค้นพบคนดีในสังคมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และปีนี้มีถึง 18 ท่าน และขออำนวยพรให้ท่านทั้งหลายดำรงคุณงามความดีและเป็นที่พึ่งของประชาชนตลอดไป
บทบรรณาธิการดีเล่มที่ 30
**************************************************************************************************************************************************************************************************
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2547
บุคคลที่ 45 กรุง ศรีวิลัย
ดาราภาพยนต์ไทย มีผลงานการแสดงสม่ำเสมอ เมื่อวัยหนุ่มอยู่ รับบทเป็น พระเอกของภาพยนต์ไทยนับไม่ถ้วน ปัจจุบัน เลยวัยหนุ่มไปมากแล้ว ก็ยังคงรับงานแสดงอย่างซื่อสัตย์ ในงานอาชีพของการแสดงอย่างดียิ่ง โดยไม่เกี่ยงงอน ว่าจะเป็นละครตัวอะไรก็ได้ ไม่เกี่ยง วิถีชีวิตของ กรุง ศรีวิลัย บ่งถึงศักดิ์ศรีความเป็นนักแสดงอาชีพตลอดชีพ มีความซื่อตรงต่อวิชาชีพ เขามีทัศนะส่วนตัวว่า การแสดงเป็น เพียงการสวมบทบาทสมมติเท่านั้น ขอแต่ทำบทบาทของตนในแต่ละบทบาทให้สมบูรณ์ ไม่มีอัตตาว่าจะต้องเป็นพระเอกตลอดไปเท่านั้น หรือจำกัดตัวเองว่าต้องเป็นนั่นเป็นนี่ มีความเพียงพอ เข้าใจในสิ่งสมมติ แสดงถึงความฉลาดมีปัญญา ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งสมมติ เป็นเหตุที่จำกัดตัวเองก่อทุกข์แก่ตัวเอง เขาเคยให้ทัศนะในเชิงไม่ เห็นด้วยและค่อนข้างจะต่อต้าน ต่อการแสดงเปลือย ๆ โป๊ะ ๆ ของดาราภาพยนต์ด้วยกัน ว่า ไม่สมควร ที่จริง เขามองไปถึงการเอาเปรียบกันในวงการอาชีพนักแสดง ฝ่ายที่พยายามเอาเปรียบ โดยละเมิดกฎศีลธรรมจริยา ของศาสนา และสังคมนั้น น่ารังเกียจ ไม่น่าที่สังคมจะให้ ความนิยมสนับสนุน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมขึ้นมานั่นเอง และกรุง ก็ยึดในอุดมการณ์ไม่ เคยแสดงโป๊ะ เปลือย ๆ เช่นนั้น ไม่คิดเอารัดเอาเปรียบทาง การแสดง นับว่าเป็นหนึ่งของผู้มีอุดมการณ์แห่งจิตใจที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง
รอบรู้เชิงศิลปะการวาด โดยสามารถอธิบายนามธรรมในภาพวาดทั้งหลายเหล่านั้น ได้ทุกระดับ ในสากลโลก และล่าสุดแสดงผลงาน ไตรสูรย์ ของตนเองที่ล้ำเลิศด้วยความหมายแห่งนามธรรมในภาพวาดอย่างอลังการ ที่สมควรเป็นสมบัติทางพระศาสนาและทางโลกได้พอกันทีเดียว ระยะหลังมาแล้ว ฉายแววความพอใจในตัวเอง คือวิถีชีวิตของคน ๆ หนึ่ง ถึงจุดสูงสุดของความพอใจตนเอง นับถือตนเอง อย่างสูงสุด ด้วยเชื่อว่าตนเองแหละเป็นผู้ดีที่สมบูรณ์ ดังปรากฏในคำอธิบายตัวเขาเองตอนหนึ่งว่า "ระดับผม นี่ไม่มีหลักเกณฑ์แล้วล่ะ คือผมลอยไปแล้วน่ะ แต่ว่าถ้าเผื่อคนถามหลักเกณฑ์ ก็ยัง สามารถบอกได้ เพราะว่า หลักเกณฑ์มันต้องเป็นครูเล็ก ๆ อย่างที่สุธี (สุธี คุณาวิชยานนท์ ผู้ร่วมสนทนา)บอก ไม่ใช่ขนาดผม ผมนี่ใช้กำลังภายใน ดูรู้ แล้วเอาจิตเข้าไปสัมผัส รู้แล้วว่างานนี้มันยังไม่ถึงความรู้สึกมันไม่ส่งกระแสจิตมา พลังมันไม่สะเทือนสะท้านแม่เหล็ก พลังมันไม่ถึงเรา แต่ถ้าเผื่อมีคนมาถามก็ต้องบอกว่า เนี่ยนะกรรมการเขาก็ต้องมี 6 อย่าง เช่นConception, Emotion, Expression, Harmony, Individual, Technique แล้วก็มี Meaning มี Symbol อะไรต่ออะไร ซึ่งน่าเบื่อ...น่าเบื่อ เอาไว้ให้นกแก้ว หรือหมาที่มัดไว้ข้างถนนดีกว่า เพราะว่า เนื่องจากผมไม่ใช่เป็นครูแบบสุธี แต่ไอ้ตำรับตำราผมจำไว้ตั้งแต่ผมอยู่ ป.2 แล้ว เอาตีนพูดก็ได้(หัวเราะ)" เป็นคำพูดที่น่าฟังมากที่แฝงนัยความหมายอันลึกซึ้ง ยากที่คนจะเข้าใจได้
บุคคลที่ 47 ยายไฮ ขันจันทา
กิ่ง อ.นาตาล จ. อุบลราชธานี เมื่อทางการสร้างเขื่อนขึ้นมา ที่ดินของยาย จำนวน 61 ไร่ได้หายไปในน้ำ จมน้ำอยู่เป็นเวลา 27 ปี ไม่ได้ทำนา ยายไฮได้ต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมกลับ มาจนสำเร็จ เพราะมีคนชอบธรรม เช่นท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และสื่อมวลชนที่รักความเป็นธรรม เช่นรายการถึงลูกถึงคน ของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา เห็นได้ว่า แท้จริงยายไฮใช้วิธีการของนักต่อสู้ด้วยจิตของ ธรรมะล้วน ๆ เมื่อถูกเอาเปรียบ โดยชั้นแรกยายต้องต่อสู้กับตัวเองอย่างหนัก นั่นคือ การต่อสู้กับความอ่อนล้า ท้อถอยของจิตใจตนเอง เพื่อสร้างใจตนเองให้เดินหน้าต่อสู้ แม้เพียงคนเดียวก็ยืนหยัด ยายประสบชัยชนะ ตนเองแล้วก็ก้าวไปสู่แผนงานชั้นที่ 2 นั่นคือมุ่งหมายเพียงเพื่อค้นหาคนดีที่มีจิตใจรักความเป็นธรรมในสังคม ยายถามตนเองว่า โลกสิ้นไปแล้วหรือซึ่งคนทรงธรรม โลกนี้ยังมีคนที่รักความเป็นธรรมอยู่อีกหรือไม่ ถ้ามีอยู่เขาจะต้องเห็นใจเรา ผู้ที่ต่อสู้เพียงเพื่อให้ธรรมะพอใจ ชั้นที่ 3 พบผู้นำของประเทศเพื่อยืนยันว่า สังคมต้องเป็นธรรม ชั้นที่ 4 อุทิศตนต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม ในสังคมต่อไป เห็นได้จากแสดงเจตนารมณ์ร่วมในโครงการนกเพื่อสันติภาพของสามจังหวัดภาคใต้ ในรายการถึงลูกถึงคนของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา แท้จริง ยายไฮ ไม่หวัง ได้รับชัยชนะตามแผนทุกขั้นตอน ไม่หวังผลไว้แต่เดิม โดยวางจิตอุเบกขา ชนะหรือแพ้ ไม่กังวล ยายได้ที่นา คืน ได้การยกย่องสนับสนุน จากคนในสังคม แต่สิ่งที่ยายพอใจคือ เห็นความเป็นธรรม ความยุติธรรมยังมีอยู่ในสังคม และมีคนที่เชื่อถือบูชาในคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ในโลกนี้ นั่นเป็นสิ่งที่ยายไฮปรารถนาไว้เดิม เพียง เพื่อได้เห็นความเป็นธรรม เพียงเพื่อเห็นคนที่รักความเป็นธรรม ยายก็พอใจแล้ว และนี่คือการสะท้อนการต่อสู้ แบบนักธรรมะผู้ยิ่งใหญ่ด้วยการต่อสู้กับตนเองเป็นประถม จนชนะทุกสิ่งทุกอย่าง
บุคคลที่ 48 เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
ผู้สร้าง วัดร่องขุน เป็นบุคคลที่ทรงคุณค่า สร้างสิ่งที่ทรงคุณค่าแก่โลก เป็นบุคคลิกภาพหนึ่งที่แม้ในตัวเองก็มีค่าอยู่ในตัวเองอย่างเอกอุแล้ว และ ทั้งยังผลิตสร้างล้วนแต่ สิ่งที่ทรง คุณค่า มาตลอดชีวิต และปัจจุบันก็ใช้ชีวิตอย่างแวดล้อมด้วยความมีคุณค่า วัดร่องขุน ที่ถูกสร้างมา 7 ปีแล้ว จวนเสร็จสมบูรณ์ในขณะนี้ บ่งถึงประสิทธิภาพแห่งชีวิต เป็นชีวิตที่ยิ่งใหญ่หาผู้ใดเปรียบปานได้ยากในสากลโลก แห่งโลกานุวัตร และมุ่งหมายทิศทางแห่งโลกุตระหรือธรรมานุวัตรอันเลิศลอยต่อไป
บุคคลที่ 49 สุทธิชัย หยุ่น
รอบรู้ในการสื่อสารมวลชน ฉลาดและมีปัญญาเท่าทันเหตุการณ์ ทั้งเชิงธุรกิจ และเทคนิกรอบด้านของงานอาชีพ มีวิถีทางของอาชีพของตนเป็นธรรมชาติที่สบาย ๆ มาตลอด ชีวิตช่วงหลังมานี้ บ่งถึงความลงตัว สมดุลในบุคลิกภาพ ที่พิเศษ น่าสนใจ ล่าสุด เขาแสดงความสะเทือนใจอย่างลึกซึ้ง ต่อกรณีนางมากาเรต ฮัสซัน ที่ถูกผู้ก่อการร้ายในอีรัคจับไปเป็นตัวประกัน เพื่อต่อรอง ให้กองทัพอังกฤษถอนตัวจากอิรัค แต่อังกฤษไม่ยอม เธอถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด เพราะฆ่าแล้วแยกอวัยวะออกไปเป็นชิ้น ๆ น่าอนาถ สุทธิชัยหยุ่น สะท้อนอารมณ์ส่วนลึกซึ้งออกมาว่า ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง ทั้ง ๆ ที่เธอทำประโยชน์ให้แก่ประชาชนชาวอิรัคเพราะมีสามีเป็นชาวอิรัค และเป็นผู้อำนวยการองค์การกุศล คือประธานองค์การแคร์ของอิรัค ซึ่งเป็นองค์การกุศลที่ช่วยเหลือคนยากไร้ในอิรัค มาถึง 3 ปีแล้ว แต่ผู้ก่อการร้ายก็ไร้เหตุผลจริง ๆ สุทธิชัย หยุ่น ว่า "ทำไมต้อง โหดเหี้ยมทารุณกับเธอขนาดนี้" แต่ในขณะเดียวกัน แสดงถึงอารมณ์เป็นกลางสม่ำเสมอ ดำรงตนเสมอต้นเสมอปลาย คืออุเบกขาอันเป็นคุณสมบัติของการข่าว นักการสื่อสารมวลชน หรือ Journalist ที่ทรงคุณภาพ ความ สามารถ ปราศจาก ความลำเอียง และทรงความเป็นธรรมต่อสังคม
บุคคลที่ 50 มนตรี สินทวิชัย
ครูยุ่น เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก ส.ว.สมุทรสาคร รอบรู้เรื่องเด็กไทยและ สตรีไทยรอบด้านทีเดียว มีมุมมองทั้งด้านดีและด้านร้าย ทั่วถึงเกี่ยวกับปัญหาเด็กและเยาวชน และ มองรอบ ด้าน มองรอบตัว กว้างขวางและในเชิงลึก เป็นบุคคลที่รอบรู้ในเรื่องเด็กและสังคมเด็กระดับลึกซึ้งละเอียดอ่อน โดยเข้าใจถึงอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของเด็กอย่างลึกซึ้ง และสร้างสรรค์ขึ้นเป็นอุดมการณ์ส่วนตัวในงานเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน ได้น่าไว้วางใจ ในกริยานั้น บ่งถึงความเมตตา และความห่วงใยอย่างจริงใจ มีความห่วงใย ความระวังกริ่งเกรง และมีความรับผิดชอบ การปรากฏตัวของครูยุ่นทุกครั้ง ไม่ว่าที่ไหน รวมทั้งการปรากฏตัวบนจอแก้ว เป็นการเห็นที่สร้างความหวังและความสบายใจแก่เด็ก ๆ และแก่สังคม เสมอมา การได้เห็นเขา คล้ายบท สมณานญฺจทสฺสนํ ในมงคล 38 ประการ แห่งมงคลสูตร บทเต็มว่าดังนี้ ขนฺตี จ โสวจสฺสตา สมณานญฺจทสฺสนํ กาเลน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ ฯ ความอดทนก็ดี ความสงบเสงี่ยมใจเย็นก็ดี การเห็นสมณะ ก็ดี การฟังธรรมตามกาล ก็ดี เป็นมงคลอันสูงสุด
บุคคลที่ 51 บรรหาร ศิลปอาชา
อดีตนายกรัฐมนตรี รายการสะเก็ดข่าวของช่อง 7 รายงานเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2547 นี้เอง ว่าสวนดอกทานตะวันในจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ท่านบรรหาร เอาแบบมาจากจังหวัดสระบุรี เมื่อสามปีก่อน และนำมาดำเนินการให้สร้างสวนทานตะวันขนาดใหญ่ขึ้นในจังหวัดสุพรรณบุรีของ ท่าน บัดนี้ถึงเวลาออกดอกสะพรั่งทั่วทั้งไร่แล้ว คณะกรรมการบริหารสวนทานตะวันจังหวัดสุพรรณบุรี จึงได้เชิญท่านไปเปิดงานวันดอกทานตะวันบาน ท่านก็ปลาบปลื้มใจและเดินทางไป แต่พบว่างานเงียบเหงา ไม่มีแม้กระทั่งดนตรีสักชิ้น ธงสักผืน มีคนไปร่วมงานไม่กี่คน คณะกรรมการก็ดูเหมือนไร้ความรู้สึก ขาดการต้อนรับที่สมเกียรติ์ ไม่สมกับเป็นคนใหญ่คนโตของเมืองสุพรรณและประเทศชาติ ท่านก็บ่นอุบอิบแล้วพอได้เวลาเปิดป้ายท่านถาม ว่าป้ายอยู่ไหน ก็ไปเปิดป้าย แต่ที่ยืนกดปุ่มเปิดป้าย เขาทำ ให้หันหน้าออกมา หันหลังให้ป้าย ท่านบรรหารก็มองไม่เห็นป้าย ท่านกดปุ่มแล้วไม่ทราบว่าผ้าคลุมป้ายเปิดออกหรือเปล่า เปิดออกไปถึงไหนแล้ว ท่านก็ถามว่าป้ายเปิดออกแล้วหรือยัง กรรมการก็คอยบอก ท่านต้องถามแล้วถามอีกเพราะป้ายก็ติด ๆ ไม่เลื่อนไป ไม่ลื่นไหลเลย เป็นนาน ป้ายจึงเปิดออกเต็ม ท่านไม่พอใจก็หัวเสีย หน้ามุ่ย บ่นไปด้วย สีหน้าบ่งบอกความยุ่งยากใจ หลังจากนั้นคณะกรรมการบริหารสวนทานตะวันยังมีรายการพาท่านเดินชมสวนดอกทานตะวันที่สวยงามและอื่น ๆ อีกหลายรายการ ก็เชิญท่าน เดินชมสวน ท่านหัวเสียอยู่แล้ว และคงคิดวุ่นวายอยู่กับเรื่องการเมืองอยู่ด้วย ก็ บอกตัดทันทีว่า ไม่เอา ๆ แล้ว จะกลับละ แล้วท่านก็เดินไปขึ้นรถ บอกคนขับรถว่า กลับบ้าน ท่านก็เดินทางไป เราเห็นว่า ได้ แสดงถึงความเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี อย่างค่อนข้างเด่นชัด และเป็นการค้นพบบุคคลแห่งปี 2547 อีกท่านหนึ่ง
บุคคลที่ 52 พ.ญ. คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์
เมื่อ 26 ธ.ค.2547 ได้เกิดแผ่นดินไหว ที่ชายฝั่งทะเล อันดามัน ใกล้ ๆ เมืองอาเจะ และหมู่เกาะนิโคบา ของประเทศอินโดนีเซีย เดิมประมาณว่าได้ 8.9 ริกเตอร์ ต่อมาสถาบันอเมริกาวัดได้ 9 ริกเตอร์ ทำให้รอยเลื่อนของแผ่นดินใต้น้ำบริเวณนั้นแยกตัวแผ่นหนึ่งมุดต่ำลงไป อีกแผ่นหนึ่งเลื่อนสูงขึ้นมา เป็นเหตุให้เกิดคลื่นทสึนามิ และคลื่นทสึนามิกระทบอินโดเนเซียซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดก่อน จึงแผ่ เป็นวงกว้างไปถึงมาเลเซีย ไทย พม่า ลังกา อินเดีย มาลดีฟ และแผ่ไปถึงเคนยา เทนซาเนีย โซมาเลีย ชายฝั่งอาฟริกา เป็นเหตุให้คนตายกว่า 150,000 คน สูญหายอีกนับหมื่นคน บาดเจ็บประมาณมิได้ และทรัพย์สิน บ้านเรือนถูกกวาดไปกับคลื่นที่ซัดฝั่งจนสูญหายเหลือแต่ร่องรอยแผนผังที่ตั้งของบ้านเรือน นานาชาตินับแต่ญี่ปุ่นอังกฤษ ออสเตรเลีย อเมริกา สวีเดน ได้ร่วมมือให้ความช่วยเหลือ สำหรับประเทศไทย มีผู้เสียชีวิต 5,305 คนสูญหายอีกจำนวนหลายพันคน รีสอร์ต ที่พักชายทะเลพังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง ระนอง สตูล เสียหาย ระบบการสื่อสารและสาธารณูปการล่มทั้งหมด ในขณะเกิดเหตุ มีเสียงเรียกร้องจากบุคคลหลายสถาบัน ต้องการความสามารถของ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ในเชิงการพิสูจน์และจัดการในแง่นิติเวชวิทยา เพื่อการพิสูจน์ศพและการ จัดการเกี่ยวกับศพ และรัฐบาลได้มอบหมายในฐานะรองผู้อำนวยการสถาบันนิติเวชวิทยา คุณหญิงแพทย์หญิง พรทิพย์ ได้ลงไปปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดที่เกิดเหตุอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย และเห็นสีหน้าดวงตาบ่งบอกความพอใจกับงานที่ได้ช่วยเหลือผู้ประสบพิบัติภัยทางธรณีวิทยานี้ แสดงถึง ขันติธรรมและจาคธรรมที่สูงส่งเป็นมาตรฐานต่อเนื่องสม่ำเสมอ เป็นบุคคลที่หาได้ยาก คุณหญิงพรทิพย์ แสดงธรรมะแห่งความอดทน และความพอใจในการช่วยเหลือผู้อื่น มีฉันทะ วิริยะ มีจิตตะ และวิมังสา เป็นตัวอย่างของผู้ทรงอิทธิบาทธรรมอย่างเข้มข้น กอปรด้วย ปัญญามองเห็นความเป็นอนิจจังของสังขารและสรรพสิ่ง ว่าสิ่งทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นแล้วเสื่อมไปเป็นธรรมดา เช่นนี้
บุคคลที่ 53 กิตติ สิงหาปัด
แห่งไอทีวี รายการฮอทนิวส์ รวมความถึงบทบาทของการช่วยเหลือผู้ประสบ ภัยพิบัติจากทสึนามิ ทำหน้าที่ของนักข่าวได้อย่างสมบุกสมบันและสมบูรณ์ ไม่คำนึงความยากลำบากหรือ อันตรายใดใด มีความพร้อมที่จะเสนอมวลชนด้วยข่าวสารที่ชัดเจนถูกต้อง การลงไปปักหลักเจาะลึกข่าวความ ทุกข์สุข พิบัติภัยของพี่น้องชาวใต้ เป็นความพอใจโดยสุจริตของกิตติ สิงหาปัด และการเคลื่อนหน่วยศูนย์ข่าว ไปเรื่อย ๆ ตามสถานการณ์ ก็เป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้น ผู้ที่กล้าหาญและมั่นคงย่อมเป็นที่พึ่งและสร้างความอบอุ่นใจและความหวังอันเจิดจ้าขึ้นมาในท่ามกลางความมืดมิด เป็นกำลังใจอันพลุ่งโพลงแด่คนอื่น กิตติ สิงหาปัดแสดงออกซึ่งความเข้าใจวิถีทางแห่งความเป็นปุถุชน มนุษยชาติทั้งหลาย ว่ามีความทุกข์มีความสุข หรือ สุก ๆ ดิบ ๆ เป็นธรรมดา เช่นนี้ วิถีทางที่จะเอาชนะความทุกข์ได้นิรันดร ก็โดยการรู้เท่าทันความเป็นธรรมดา เช่นนี้ และประกอบความพากเพียรเพื่อมุ่งหมายความรู้ ปัญญาให้รอบรู้ปวงสังขารมากยิ่งขึ้นไปจนแจ้งจบ
บุคคลที่ 54 ธงชัย แมคอินไตย
ความเป็นบุคคลสากลของเขา มีความเป็นไทยและเป็นผู้ทรงคุณธรรม แนบแน่นในหลักการพระศาสนาคือ กตัญญูกตเวทิตา ทำให้เป็นแบบอย่างที่น่าชื่นชม เมื่อแสดงออกและการกระทำ ตามหลักธรรมข้อนี้ต่อมารดาผู้บังเกิดเกล้าของเขา การบวชอุทิศตนเพื่อกตัญญูกตเวทิตาธรรมนี้ เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม เป็นแบบอย่าง ด้านวิชาชีพ เป็นผู้สามารถดำรงบุคลิกภาพที่สูงส่งทางความเฉลียวฉลาด ทันคน ทันกาล ทัน สังคมทุกชนิด บ่งถึงสติปัญญา คุณธรรมแห่งความดีเพียบพร้อมในสำนึกอันสูงส่ง มีจินตนปัญญาสูงสามารถมองสาระสัจธรรมแห่งความบันเทิงทุกชนิด โดยชั้นเชิงแห่งวิชาชีพในสากลโลกได้ทะลุปรุโปร่ง มีผลงานที่สม่ำเสมอ สะท้อนถึงสุขภาพที่ดีสบาย ๆ ทั้งทางกายและจิต และความเอื้ออาทรต่อประชาชนผู้นิยมชมชอบผลงานของตน และมีอุดมการณ์อันซื่อสัตย์ มีเชาวน์ปัญญาไกลและสูงส่ง เหมือนนกใหญ่ที่บินสูงและบินไกลไปทั่วทุกหนทุก แห่งด้วยความอิสระเสรีอย่างไม่รู้สึกสะดุ้งหวาดหวั่นจิตใจ เป็น หนึ่งใน น่านฟ้า และเป็นดาราที่เฉิดฉายไม่มีวันดับแสง ด้วยแรงแห่งคุณธรรม คือความจริงใจและความรักที่ให้แด่ คนทั้งหลายทั้งแผ่นดิน
บุคคลที่ 55 วันชัย สอนสิริ
ทนายความ ผู้ใช้วิชาชีพกฎหมายมานาน เมื่อมาปรากฏตัวทางจอแก้ว ได้ สะท้อนให้เห็นอุดมการณ์ของความเป็นนักกฎหมาย และการต่อสู้เพื่อความชอบธรรมของสังคมมานาน ได้ต่อสู้ เพื่อดำรงอุดมการณ์ทางกฎหมาย ที่ดำรงความเป็นธรรมในสังคมให้เกิดมีขึ้น เป็นผู้มีอารมณ์แน่นอนในสำนึกการเป็นนักสู้ ไม่มีสิ่งใดทำให้หวาดหวั่นในหัวใจ มีความเป็นสากลในการต่อสู้ ในความวิตกและเปล่าเปลี่ยว ได้ทำ ให้รู้คุณค่าของความเป็น กัลยาณมิตร และเพื่อนมนุษย์ รู้คุณค่าความสูงส่งแห่งอุดมการณ์ ปฏิญญาณด้วยสุจริตด้วยศรัทธาและความเต็มใจแล้ว ได้มีผู้เข้าใจร่วมในอุดมการณ์ ทำให้เกิดความหวังอันบรรเจิดจ้าไม่รู้เหือดหมดสิ้น ทำชีวิตและลมปราณให้เข้มแข็งแกร่ง ทำให้ชีวิตมีความสุข และร่ำรวยด้วยอริยทรัพย์ ความรู้ที่ให้แก่ประชาชน มีคุณค่าไม่น้อยไปกว่าคำสอนในมหาวิทยาลัย และมิได้คิดหวังค่าตอบแทนเป็นคุณค่าทางเงินตรา แต่ให้ ด้วยใจ เพื่อประโยชน์ของความรอบรู้รอบด้านทำให้ยกระดับภูมิปัญญาของมวลชนขึ้นมาสู่วุฒิภาวะพึ่งตนเองด้วยปัญญา ตนเองได้ เพื่อที่สังคมอยู่กันด้วยสำนึกอันสูงส่งแห่งความเป็นธรรม เป็นผู้มีบุคลิกภาพผสมระหว่างความเย็นฉ่ำกับความอบอุ่นพอประมาณ เป็นสมดุลแห่งชีวิตที่ต่อสู้ และความหวังไปตลอดกาลนาน
บุคคลที่ 56 ประมาณ เลืองวัฒนะวนิช
ทนายความ ผู้ใช้วิชาชีพกฎหมายมานาน เมื่อมาปรากฏตัวทาง จอแก้ว ได้สะท้อนให้เห็นอุดมการณ์ของความเป็นนักกฎหมาย และการต่อสู้เพื่อความชอบธรรมของสังคมมานานได้ต่อสู้เพื่อดำรงอุดมการณ์ทางกฎหมาย ที่ดำรงความเป็นธรรมในสังคมให้เกิดมีขึ้น เป็นผู้มีอารมณ์แน่นอนใน สำนึกการเป็นนักสู้ ไม่มีสิ่งใดทำให้หวาดหวั่นในหัวใจ มีความเป็นสากลในการต่อสู้ ในความวิตกและเปล่าเปลี่ยว ได้ทำให้รู้คุณค่าของความเป็น กัลยาณมิตร และเพื่อนมนุษย์ รู้คุณค่าความสูงส่งแห่งอุดมการณ์ ปฏิญญาณ ด้วยสุจริตด้วยศรัทธาและความเต็มใจแล้ว ได้มีผู้เข้าใจร่วมสู้ร่วมเสริมในอุดมการณ์ ทำให้เกิดความหวังอัน บรรเจิดจ้าไม่รู้เหือดหมดสิ้น ทำชีวิตและลมปราณให้เข้มแข็งแกร่ง ทำให้ชีวิตมีความสุข และร่ำรวยด้วยอริยทรัพย์ความรู้ที่ให้แก่ประชาชน มีคุณค่าไม่น้อยไปกว่าคำสอนในมหาวิทยาลัย และมิได้คิดหวังค่าตอบแทนเป็นคุณค่า ทางเงินตรา แต่ให้ด้วยใจเพื่อประโยชน์ของความรอบรู้รอบด้าน ทำให้ยกระดับภูมิปัญญาของมวลชนขึ้นมาสู่ วุฒิภาวะพึ่งตนเอง ด้วยปัญญาตนเองได้ เพื่อที่สังคมอยู่กันด้วยสำนึกอันสูงส่งแห่งความเป็นธรรม เป็นผู้มี บุคลิกภาพผสมระหว่างความร้อนแรงเกรี้ยวกราด กับความเย็นพอประมาณ เป็นสมดุลแห่งชีวิตที่ต่อสู้และความหวังไปตลอดกาลนาน
หนังสือพิมพ์ดี จึงขอประกาศนามต่อไปนี้คือ กรุง ศรีวิลัย, ถวัล ดัชนี, ยายไฮ ขันจันทา, เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์, สุทธิชัย หยุ่น, มนตรี สินทวิชัย, บรรหาร ศิลปอาชา, แพทย์หญิง คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์, กิตติ สิงหาปัด, ธงชัย แมคอินไตย, วันชัย สอนสิริ, ประมาณ เลืองวัฒนะวนิช ว่า เป็นบุคคลแห่งปี ประจำปีพุทธศักราช 2547 ของหนังสือพิมพ์ดี และเราขอเรียนให้ทราบว่า เราหนังสือพิมพ์ดี เป็นแต่เพียงผู้เห็นความดีของท่านและต้องการจารจารึกไว้ให้คู่กับหนังสือพิมพ์ดีไปตลอดกาล ขอจงประสบความสุข ความเจริญ มุ่งมั่นสร้างประโยชน์แด่สาธารณชนและประเทศชาติสืบต่อไปตลอดกาลนานเทอญ
บทบรรณาธิการดีเล่มที่ 33
**************************************************************************************************************************************************************************************************
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2548
บุคคลที่ 57 ภัทราวดี มีชูธน
เป็นผู้เข้าใจและเข้าถึงสัจธรรมแห่งชีวิตที่แฝงความหมายแห่งสัจธรรมไว้ในศิลปะการแสดง รอบด้านอย่างลึกซึ้ง ละครเวทีของภัทราวดี มีชูธน จึงเป็นงานการสร้างละครธรรมะเพื่อสอนคน ให้รู้ว่าชีวิตเหมือนละครนั่นเอง เธอจึงเข้าใจโลก และรู้โลกว่าเป็นเพียงสิ่งสมมติ การปฏิบัติธรรมะคือการแสดงบทของตนแสดงบทที่ตนรับมอบหมาย(สมมติให้)ให้ดีที่สุด เมื่อได้รับบทกระยาจก ก็จงแสดงให้สมเป็นกระยาจก เมื่อได้รับบทเศรษฐี แสดงบทเศรษฐีให้สมบูรณ์ เมื่อเป็นพ่อจงเป็นพ่อที่สมบูรณ์ เมื่อเป็นเมีย จงเป็นเมียที่สมบูรณ์ เมื่อได้รับบทใดใด ก็ทำบทนั้น ๆ ให้ดี ให้สมบทบาท ตามที่เขาสมมติให้นั้น ดังนี้ ๆ เรียกว่าปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่เหตุแล้ว กล่าวคือ เหตุที่ได้เกิดมาเป็นเพียงปุถุชน คนธรรมดาทั้งหลาย (มิได้เกิดมาพร้อมกับความเป็นเสขบุคคลในทัศนะของพระพุทธศาสนา) จึงเป็นบุคคลที่เพียบพร้อมด้วยภูมิปัญญาสูงสุด ทั้งทางโลกและทางธรรม ที่หายากยิ่งในยุคนี้
บุคคลที่ 58 ปู่เย็น แก้วมณี
ปู่เย็น ผู้เอาเรือเป็นบ้าน แห่งแม่น้ำเพชรบุรี เขาเอาชีวิตเข้าไปรู้สึกสัมผัสกับความเงียบเหงาและโดดเดี่ยว เพื่อการศึกษาชีวิตด้านจิตวิญญาณตามคำสอนของพระพุทธเจ้า และรู้สัจธรรมว่า ในที่สุดคนทั้งหลาย ไม่ว่าชั้นวรรณะใด เศรษฐีหรือกระยาจก เทวดา หรือมหากษัตริย์ ก็จะมาสู่จุดนี้คือทุกคนต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่หวงแหนของตนไปและเป็นทุกข์เพราะเหตุนั้น เขาจึงปลงใจในการต่อสู้เพื่อเอาชนะทุกข์อย่างจริงจัง เขาคิดว่าเวลาที่เหลือในชีวิต จะต้องเป็นไปอย่างไรจึงจะเป็นประโยชน์ที่สุด เพื่อการเรียนรู้สิ่งนี้ และเอาชนะสิ่งนี้ และแบบอย่างวิถีชีวิตของเขานั่นเอง คือวิธีที่เขานำมาต่อสู้เพื่อเอาชนะ สิ่งที่เขาเห็นว่ากำลังจะกลืนกินเขาอยู่แล้วนายเย็น แก้วมณี 274/4 ถนนมาตยาวงศ์ ต.ท่าราบ อ.เมือง จ.เพชรบุรี อ้างว่าตนมีอายุ 106 ปี ไม่ใช่ 86 ปีตามที่ปรากฏในทะเบียนราษฎร์ เขาให้สัมภาษณ์ว่า “หอยไม่มีมือ ไม่มีตีน มีแต่ปาก ยังไม่อดตายเลย แล้วคนที่มีมือมีตีนจะอดตายได้อย่างไร” ชีวิตที่พอเพียง เสพสุข มีทิฏฐิ มั่นในสัจจะ และกตัญญู พึ่งตนเองอย่างมีศักดิ์ศรี เป็นผู้ทระนง หมายถึง อยู่อย่างมีเกียรติ์ มีอิสรภาพ มีความเป็นเอกราชที่พึ่งพาตนเองได้อย่างสมบูรณ์ นั่นหมายถึงชีวิตที่เข้าถึงสัจธรรมแห่งชีวิต จึงมิระย่อต่อเหตุการณ์ใดใดที่จะอุบัติขึ้นต่อชีวิต เขาได้อยู่อย่างไม่ประมาท เตรียมพร้อมทุกอย่าง เป็นผู้เตรียมพร้อมทุกอย่างเพื่อการพบ ผจญวิถีทางแห่งชีวิต และแม้ที่สุดความเป็นอนิจจังแห่งชีวิตก็ตาม ความเป็นทุกข์ของชีวิตก็ตาม และแม้ความเป็นอนัตธรรมแห่งชีวิตก็ตาม เขาได้เตรียมที่จะเผชิญแล้ว และด้วยศักดิ์ศรี ด้วยอิสรเสรี ของส่วนตนของตนเองโดยแท้จริง จึงเป็นบุคคลผู้ทระนง ที่ยืนหยัดบนโลกนี้อย่างสง่างามยิ่ง ภายใต้ความรู้สิ่งที่พระพุทธศาสนาสอนว่า กฎแห่งไตรลักษณ์ นั่นเอง
บุคคลที่ 59 รัฐภูมิ อยู่พร้อม
1500 ไมล์ทะเลของลูกผู้กตัญญูของแม่เชื้อน ชีวิตของเขาที่มีพลังสองอย่างที่ผสมผสานอยู่อย่างคุระอุรุนแรงภายใน คือทั้งพลังเย็นและพลังร้อน ที่กรุ่นระอุ และเขารู้ถึงพลังนั้น รู้ในคุณและโทษแห่งพลัง และเขาฉลาด มีปัญญาพอ ที่จะไม่ปล่อยให้พลังร้ายทำลายตัวเขาเองและครอบครัวที่เขารับผิดชอบ เขาจึงหาทางที่จะปลดปล่อยพลังร้ายนั้น ด้วยสันติวิธี เขาสร้างตำนานให้ตัวเขาเอง ด้วยการเดินทางไปกับเรือคายัค เลียบฝั่งทะเลอันดามัน เป็นเวลา 500 วัน ได้ระยะทางกว่า 1,500 ไมล์ มีคำบรรยายอธิบายตัวเขาว่า “จากความแค้นสู่การอภัย จากพายแรกจนเป็นล้านพาย จากใบหน้าเกลี้ยงเกลาจนหนวดเครายาวรุงรัง กลายเป็นการเดินทางที่เหลือเชื่อ และไม่มีใครคิดว่าเขาจะรอดชีวิตกลับมา” “ติดตามการเอาชนะจิตใจตัวเอง เอาชนะความกลัว ด้วยแรงศรัทธาและมุ่งมั่นให้มีชีวิตรอดในวินาทีคับขัน ผ่านไปทีละวัน จนครบหนึ่งพันห้าร้อยไมล์”รัฐภูมิ อยู่พร้อม เป็นมนุษย์ผู้ค้นพบทางออกของกิเลส คือความแค้นที่ระอุไม่มีมอดไหม้หมดลง เขามองเห็นอันตรายนี้ด้วยตนเอง จึงดำเนินการปลดปล่อยพลังร้ายนี้ออกมา โดยวิถีทางนี้ ผลงานของเขา หมายถึงวิถีธรรม คือธุดงค์ชนิดหนึ่งในพระพุทธศาสนานั่นเอง โดยการพาตัวเองไปสู่การต่อสู้ที่ยากลำบากอย่างแสนสาหัส ภายใต้กติกา ที่ชอบธรรม ที่เขากำหนดขึ้นเองอย่างเป็นธรรม นั่นคือให้ความยุติธรรมแก่การต่อสู้ ทั้งทางกายและจิตใจโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน และนั่นคือวิถีทางของความเป็นบุตรกตัญญู ด้วยเหตุที่ทำทุกอย่าง
เพื่อแม่ผู้ล่วงลับไปก่อน อย่างถูกวิถีทาง โดยวิถีทางที่ถูกต้องและเป็นธรรม และเป็นประโยชน์ แน่ละ เขาคือแบบอย่างของผู้เห็นภัยแห่งวัฏฏสงสาร เขาได้พยายามปลดปล่อยสิ่งที่เป็นภัยนั้นออกไปอย่างช้าๆ เป็นขั้นตอนและเขาได้ชัยชนะแล้วอย่างน่าภาคภูมิใจ เป็นตัวอย่างอันดีเยี่ยมในการต่อสู้ของปุถุชนผู้ดิ้นรนทั้งหลาย
บุคคลที่ 60 นายดาบตำรวจวิชัย สุริยุทธ
ผู้อุทิศชีวิตให้การปลูกต้นไม้ ปลูกต้นไม้นับพันนับหมื่นต้นที่จังหวัดศรีสะเกษ มองประชาชนที่กว้างใหญ่ไพศาลว่า เดือดร้อนลำบากทุกทาง หากเพียงพวกเขามีผักขี้เหล็กมาเป็นอาหาร พวกเขาก็จะมีความสุขขึ้นมากมาย นายดาบตำรวจคนนี้ ดต.วิชัย สุริยุทธ ผบ.หมู่งานปราบปราม สภ.อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ ปลูกต้นไม้กว่า 2 ล้านต้น เมื่อ 18 ปีที่ผ่านมา ร่วมมือกับหน่วยอนุรักษ์ธรรมชาติทั้งประเทศปลูกกว่า 21 ล้านต้นแต่สิ่งที่แสดงจิตใจของเขาก็คือ เขาปลูกต้นขี้เหล็กเป็นจำนวนมาก เพราะขี้เหล็กมีใบและดอกดกและเป็นอาหารหลักของประชาชน อิสาน เขาเลี้ยงอาหารคนยากคนจนทั้งหลายทั้งจังหวัดและทั้งประเทศ เพราะขี้เหล็กไม่ต้องซื้อแล้ว เขาปลูกต้นตาล เพื่อประชาชนเอาไปทำไม้กวาด ได้อย่างไม่ต้องลงทุนเลย เขาทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปากท้องของประชาชนจำนวนมหาศาล ปลูกต้นอะไร ๆ ก็เพื่อให้เป็นประโยชน์เพื่อกินเพื่อใช้ของประชาชน ผู้ยากไร้จะไม่อดหยาก นั่นคือความเข้าใจเห็นอกเห็นใจในทุกข์และสุขของผู้อื่นอย่างลึกซึ้งมีความเมตตากรุณาอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษย์ และยอมตนลงไปรับใช้ เพื่อให้มนุษย์ผู้เสมือนมีความเป็นพี่เป็นน้อง ได้ประโยชน์ มีความเป็นภราดรภาพสูง เขาจึงแสดงจิตใจอันเข้มแข็งเป็นเสมือนเทพเจ้าพ่อพระของคนยากคนจนทั้งปวงทั่วโลก
บุคคลที่ 61 ชนินทร์ ชมะโชติ
เขามีแนวความคิดอันเป็นวิทยาศาสตร์การศาสนา เขาต้องการรู้เรื่องราวของพระพุทธเจ้า อย่างที่พระองค์เป็นมนุษย์คนหนึ่ง และแท้จริงเขาเชื่อว่าพระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เขามิได้เคยเชื่อถือเรื่องเทพเจ้า พระเจ้าหรือเทวดาเลย เขาอยากรู้ว่า มนุษย์คนหนึ่งนี้ มีความยิ่งใหญ่เกินกว่ามนุษย์ธรรมดา และเกินกว่าเทพเจ้าในโลกสวรรค์อย่างไร ทรงชนะเทพเจ้าอย่างไร จึงได้สมญาว่า พระพุทธเจ้า ผู้เป็น สตฺถาเทวมนุสฺสานํ เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อตั้งบริษัท พาโนรามา เวิลไวด์ (Panorama Worldwide) จึงได้โอกาสสร้างสารคดีเชิงงานการวิจัยประวัติศาสตร์และแนวโน้มของพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย ที่พร้อมด้วยแนวคิด สมมติฐานการวิจัย และการพิศูจน์ความจริงของพระพุทธศาสนาในอดีต อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน และปลุกกระตุ้นสำนึกอันลึกซึ้งของชาวพุทธทั่วโลก ให้ลุกขึ้นมาพร้อมความหวังอันยิ่งใหญ่ ว่าศาสนาของพระพุทธเจ้ากำลังจะกลับมารุ่งเรืองในชมพูทวีป บ่กำเนิดของศาสนาพุทธเองอีกครั้งหนึ่งชนินทร์ ชมะโชติ ปรากฏในสารคดี ตามรอยพระพุทธเจ้า ว่าเป็นผู้อำนวยการผลิต และเป็นข้อพิศูจน์ที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง จนเป็นผลงานศึกษา วิจัยที่น่าเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง แล้วในฐานะที่เป็นเจ้าของ ผู้สร้างบริษัทพาโนรามาเวิลไวด์ ได้จัดการเผยแผ่เรื่องราวนี้ ในรูปดีวีดี วีซีดี ที่โด่งดังในประเทศไทยผ่านช่อง 9 อส.มท.มาแล้ว ในรอบปีพุทธศักราช 2548 นับว่าเป็นสารคดีที่มีคุณค่ายิ่งใหญ่มหาศาล เป็นผู้ทำคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่แด่พระพุทธศาสนาอย่างยากที่จะมีใครทำได้เท่าเทียม นับว่าเป็นสารคดีที่สมควรแก่ชื่อ สารคดีแห่งศตวรรษโดยแท้จริงและโดยผลงานนั้น แสดงความหมายว่า เขาคือสาวกของพระพุทธเจ้า นับเนื่องในแนวหน้าผู้ที่บุกเบิกและนำศาสนาพุธไปปรากฏแด่ประชามหาชนทั่วโลกโดยเทกนิกการเผยแผ่ล้ำยุคทันสมัยอย่างยิ่ง
บุคคลที่ 62 ลักษณา จีระจันทร์
เธอเป็นวีรสตรีแห่งธรรมในยุคนี้ สตรีที่ปรากฏในสารคดี ตามรอยพระพุทธเจ้า ผู้เดินทางสู่พุทธภูมิ พร้อมทีมงานทำสารคดีเรื่องยิ่งใหญ่นี้ และแท้จริงคือการศึกษา วิจัย พิศูจน์ ความมีความเป็นอยู่อย่างไรของพระพุทธศาสนาแต่ดั้งเดิมมาจนถึงปัจจุบันนี้ในดินแดนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า เธอตามไปเผชิญเหตุการณ์และบุคคลทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของพระพุทธเจ้า อย่างกล้าหาญ และได้เข้าร่วมพิธีสาบาญตนเป็นชาวพุทธ ของสานุศิษย์ ดร.อัมเบกก้า ร่วม 50ล้านคนในอินเดียยุคใหม่ และที่สุด เผชิญกับ มหันต์ เข้าถึงรังของพวกมหันต์ และเปิดปาก หัวหน้ามหันต์ ให้เจรจาอกมาจนได้ และแม้จนพบสกุลศากยวงศ์ และสกุลบาบวน ผู้เริ่มอพยพสกุลวงศ์ที่มั่นในพระพุทธเจ้ากลับคืนสู่อินเดีย ภาพที่เห็น แสดงความยินดีอย่างยิ่งใหญ่ ที่ได้พบว่ามีสกุลศากยวงศ์ คือวงศ์ของพระพุทธเจ้า พระบรมศาสดาของโลก และเธอตามต่อไป จนพบญาติกลุ่มใหญ่ของสกุลบาบวน ผู้อพยพจากเนปาลเข้าไปสืบพระพุทธศาสนาในอินเดีย ภาพที่เห็นนั่งกับคนสกุลนี้ เป็นภาพความลึกซึ้งทางจิตใจอันดื่มด่ำกับการที่ได้พบกัน และรู้จักกันว่าเป็นชาวพุทธ ผู้เดินตามรอยบาทของพระพุทธเจ้า และปฏิญญาณร่วมกันที่จะช่วยจรรโลงคำสอนอันมีค่าขององค์พระบรมศาสดาแห่งโลกต่อไปตราบนิรันดร์กาลเธอจึงเป็นวีรสตรี ผู้กล้าหาญ และภาพของเธอจะตรึงตาตรึงใจคนทั้งหลายไปตราบนิรันดร
พบอารียา มีนยี ในรายการ โลกอิสลาม ช่อง 9 ทุกวันศุกร 04.30-06.00 น.เธอมีบุคลิกเด่นเป็นสากลของคนไทย ภาพเธอสะท้อนหญิงในวรรณคดีไทย ที่คนไทยรู้จักดีในวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน คือพิมพ์ พิลาไลย เมื่อไปไร่ฝ้าย พิมพ์พิลาไลยก็คลุมหัวคลุมหน้าแบบนี้ และเธอเหมือนโซไรด้า ในวรรณกรรมไทยแปลเรียบเรียงเรื่อง โซไรด้า นางพญาแห่งทะเลทราย อารียา มีนยี มีบุคลิกภาพของความเชื่อมต่อ ความสมานฉันท์ที่ละเอียดเยือกเย็น มีมนุษยสัมพันธ์สูง มีเหตุผลความนึกคิดเฉพาะตนเป็นอิสระ และ เป็นสากล และมีธรรมของสัตบุรุษ เธอออกรายการโลกอิสลามทุกวันศุกร์ มาเป็นเวลานานนับ10 ปีแล้ว สามารถดำรงความสม่ำเสมอแห่งบุคลิกภาพได้คงตัว ไม่หวั่นไหว ได้ฉายองค์ประกอบหลายหลากเป็นรูปธรรมแห่งธรรมะอิสลาม บ่งตัวแทนความหมายว่าแท้จริงหญิงชาวมุสลิมไทยสามารถเป็นผู้นำ ที่น่ารักและทันสมัยทันงานทันการอาชีพในโลกและมีน้ำจิตน้ำใจอันยิ่งใหญ่ มีความเป็นภราดรภาพที่มั่นคงยั่งยืนต่อเพื่อนพี่น้องไทยและเพื่อนมนุษย์โลก
บุคคลที่ 64 กุลนัดดา ปัจฉิมสวัสดิ์ (นีน่า)
สตรีทั้งสี่แห่งรายการ ผู้หญิงถึงผู้หญิง ช่อง 3 ที่ต่อสู้เชิดชูคุณธรรมในสังคม ที่ร่วมกันระหว่างอุดมการณ์สาธารณะและอุดมการณ์ส่วนตัวที่สร้างสรรค์สังคมในส่วนของคุณธรรมสตรี มาอย่างฉลาด ร่าเริงและมุ่งหมายสู่อุดมการณ์ อย่างไม่ท้อถอย แต่ความเป็นบุคคลแห่งปีเห็นจาก กุลนัดดา ปัจฉิมสวัสดิ์ เวลา ทา ข้างมีกลุ่มผมสีดำปกรก ๆ ดูดีมาก ๆ เมื่อแวดล้อมด้วยเพื่อน ๆ ที่แย้มยิ้ม เสมือนหนึ่งจิตใจได้หลุดพ้น บ่งถึงรสนิยมชื่นมื่นที่ลงตัว สมดุลของเธอ และบุคลิกภาพแห่งมนุษยสัมพันธ์ ศิลปะ และสตรีนักทำงานที่สมบูรณ์พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมจนถึงที่สุด
บุคคลที่ 65 พิมลวรรณ ศุภยางค์ (ปุ้ย)
สตรีทั้งสี่แห่งรายการ ผู้หญิงถึงผู้หญิง ช่อง 3 ที่ต่อสู้เชิดชูคุณธรรมในสังคม ที่ร่วมกันระหว่างอุดมการณ์สาธารณะและอุดมการณ์ส่วนตัวที่สร้างสรรค์สังคมในส่วนของคุณธรรมสตรี มาอย่างฉลาด ร่าเริงและมุ่งหมายสู่อุดมการณ์ อย่างไม่ท้อถอย แต่ความเป็นบุคคลแห่งปีเห็นจาก พิมลวรรณ ศุภยางค์ เธอซ่อนความกังวลใจ ทำให้ดูปริวิตก แต่กลับแสดงถึงความรับผิดชอบ ต่อสำนึกรับผิดชอบ ซึ่งรวมถึงรูปธรรมและทั้งนามธรรมอันสูงส่งและความมั่นใจทวีขึ้น ว่าวิถีชีวิตจักต้องเป็นเช่นนี้เอง นั่นคือ วิถีทางแห่งประโยชน์ที่แท้จริงของชีวิต และความเติบโตแห่งคุณธรรมในภาคมโนธรรมอันล้ำลึก อันเป็นกระแสธารที่เรี่ยวแรงแข็งแกร่งและพร้อมสู้ต่อไปในวิถีทางความเป็นธรรมจนถึงที่สุด
บุคคลที่ 66 มีสุข แจ้งมีสุข (ไก่ )
สตรีทั้งสี่แห่งรายการ ผู้หญิงถึงผู้หญิง ช่อง 3 ที่ต่อสู้เชิดชูคุณธรรมในสังคม ที่ร่วมกันระหว่างอุดมการณ์สาธารณะและอุดมการณ์ส่วนตัวที่สร้างสรรค์สังคมในส่วนของคุณธรรมสตรี มาอย่างฉลาด ร่าเริงและมุ่งหมายสู่อุดมการณ์ อย่างไม่ท้อถอย แต่ความเป็นบุคคลแห่งปีเห็นจาก ภาพเหมือนนกสวยงามที่ร่าเริงนิรทุกข์ ที่ดูเฉิดฉิน และบินไป บินไป แต่แล้ว ยิ่งไกลก็เสมือนว้าเหว่และเปล่าเปลี่ยว เพราะบินไปสู่ความเดี่ยวโดด และมืดสลัวลงไปดุจสายัณหกาล แต่ด้วยความอดทน ฉลาด มีภูมิสติ ภูมิปัญญารักษาตัว ความใฝ่ในการศึกษาในศาสตร์ทั้งหลาย มีธงชัยคือธรรมะ แล้วก็มีริ้วของแสงสว่างปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าข้างหน้า นั่นคือแสงแห่งคุณธรรม เธอบินตรงไปสู่แสงสว่างนั้น อย่างมั่นใจแล้วทีเดียว นั่นหมายถึงจิตวิญญาณที่เที่ยงตรงและมุ่งตรงไปสู่สัจธรรมแห่งชีวิต ที่ซึ่งนำไปสู่ความหมายอย่างเดียวกับชื่อ ของเธอ ว่า มีสุข แจ้งมีสุข
บุคคลที่ 67 พัชรศรี เบญจมาศ (กาละแม)
สตรีทั้งสี่แห่งรายการ ผู้หญิงถึงผู้หญิง ช่อง 3 ที่ต่อสู้เชิดชูคุณธรรมในสังคม ที่ร่วมกันระหว่างอุดมการณ์สาธารณะและอุดมการณ์ส่วนตัวที่สร้างสรรค์สังคมในส่วนของคุณธรรมสตรี มาอย่างฉลาด ร่าเริงและมุ่งหมายสู่อุดมการณ์ อย่างไม่ท้อถอย แต่ความเป็นบุคคลแห่งปีเห็นจาก ความใฝ่กระตือรือร้นพยายามทำความฝันให้เป็นจริง และเมื่ออยู่ในความจริงปัจจุบันเธอมองความฝันอันบรรเจิดจ้าในอนาคต มีความเท่าทัน และวิสัยทัศน์ไกล รอบคอบสุขุม และเข้มคม บรรเจิดจ้า มีวิจารณญาณละเอียดอ่อนฉับไว แล้วเห็นการเป็น วีรสตรีแห่งยุค หมายถึงความเสียสละ อย่างไร อะไรบ้าง และชีวิตอันยาวนาน จะให้ดูดุจว่าสั้นลงไปอย่างไร และนั่นคือเป้าหมายแห่งความสุขที่พ้นไปจากทุกข์นิรันดร
บุคคลที่ 68 ชูชาติ งามการ
เขาต่อสู้อย่างไม่ถอย ในเรื่องราวที่เขาเห็นว่าไม่ถูกต้อง และเรื่องราวที่เขาต่อสู้นั้น เป็นเรื่องราวของภูมิปัญญาของสังคมและผลได้ผลเสียของสังคม ไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนตัวใดของเขาเลย จิตวิญญาณของเขาเป็นลักษณะของวีรบุรุษของมวลชน เขาต่อสู้กับความเชื่อที่เหลวไหล จนกล้าท้าทายว่า “ถ้าใครเก่งไสยศาสตร์จริง ช่วยเสกตาปูเข้าท้องผมที” และปรากฎว่าไม่มีผู้ใดกล้าจริงจนอาจเสกตาปูเข้าท้องของ ชูชาติ งามการได้และยืนยันคำประกาศของเขาว่าเป็นสัจธรรม และนั่นหมายความรวมถึงว่า ในวงการไสยศาสตร์ เขาย่อมเป็นหนึ่ง เมื่อเขาแนะนำตัวเขาเองว่า เขาเป็นนักศึกษาไสยศาสตร์ จนรู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องของไสยศาสตร์เขาได้ศึกษาเรื่องการทรงเจ้าเข้าผีโดยเฉพาะและผ่านการพิศูจน์ วิจัย เมื่อเอาตัวเองไปฝังอยู่กับความเป็นคนทรงเสียเอง เพราะครั้งหนึ่งเคยเป็นหนึ่งในนักทรงเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ทำงานการทรงเจ้ามามาก กระทั่งได้พิศูจน์จนรู้ความจริงเกี่ยวกับคนทรง และเห็นว่าเป็นขบวนการหลอกลวงประชาชนที่มีขนาดใหญ่มาก และนั่นหมายความว่าเขาพอใจอุทิศตนเองเป็นปราการ เป็นทำนบอันยิ่งใหญ่และมั่นคงมหิมาในการต่อต้านความเชื่ออันเหลวไหลอย่างเป็นสากล แต่ในความลึกซึ้ง ความหมายของชูชาติ งามการ ก็คือ ความรู้แจ้ง ที่เหนือกว่าความรู้แจ้ง นั่นคือการปฏิเสธ ที่แท้จริงหมายถึง ไม่ใช่การปฏิเสธ แต่เป็นภูมิปัญญาในเชิง ยุทธศาสตร์และยุทธศิลปอันเยี่ยมยอด ในวงการของเขาเอง
บุคคลที่ 69 อังคาร กัลยาณพงศ์
เป็นกวี มีชื่อเสียงโด่งดังหมู่นักปราชญ์ย่อมสรรเสริญ และประชาชนชื่นชมในบทกวีของเขา เป็นทั้งศิลปินและเป็นสถาปนิก ที่มีฝีมือสูงส่งด้วยงานศิลป์และเจตนารมณ์แห่งศิลป์และเจตนารมณ์ที่จะให้ปรากฏในบวรพุทธศาสนาชั่วนิรันดร แต่สิ่งที่เขาสมควรแก่ความยกย่องคือ ความคิดของเขาเอง เพราะเขาคิดว่าเขาเก่ง เขาจึงเก่ง เช่นครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่า เขาเป็นคนมีบุญและมีวาจาอันศักดิ์สิทธิ์สามารถสาปแช่งใครให้เป็นให้ตายก็ได้ และก็ได้ปรากฏว่าวาจาของเขาศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ มีคนตายเพราะคำสาปแช่งของเขาจนมีพยานอ้างถึงอย่างตื่นตกใจ และเขาก็ยังคงคิดเช่นนั้น และยังคงเก่งอยู่เช่นนั้น อันเป็นเหตุให้เขาเป็นนักสู้ของชีวิต ในเมื่อเขาจำเป็นต้องสู้ เป็นนักแสวงหา และนักบุกเบิกแห่งอุดมการณ์ นักสนองและใฝ่แสวงหาตัวเอง และบัดนี้ เขาได้ผ่านขั้นตอนนั้นไปแล้ว และมาสู่ความเป็นธรรมชาติ อันยิ่งใหญ่และนิรันดร
บุคคลที่ 70 มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ
ผอ.อสมท. ในฐานะ ผอ.อสมท. ผู้บริหารช่อง 9 เห็นแนวคิดในการให้ในเชิงธรรมะวิชาการอันแท้จริงที่บริสุทธิ์ ที่มีแนวคิดทันสมัย มีความวินิจฉัยแน่นอน มั่นใจ ไม่คำนึงกระแสใดที่ไม่ชอบธรรม ไม่คำนึงกระแสบันเทิงสตรี ความสวยความงาม เซกส์ ละครน้ำเน่า และเกมส์ และแม้กระแสกีฬา แม้จะเป็นตัวดึงดูดเงินและเรตติ้งอยู่ในโทรทัศน์ช่องอื่น ๆ เมื่อตั้งใจทำประโยชน์แด่สังคมการเรียนรู้ สนับสนุนรายการดี ๆ มีคุณค่าต่อสังคมและเป็นที่นิยม ทั้ง ๆ ที่เป็นเชิงวิชาการการเรียนรู้อย่างสูง และความเป็นธรรมของสังคม (มีรายการ สมัครดุสิตคิดตามวัน กบนอกกะลา คนค้นคน หลุมดำ คุณพระช่วย ถึงลูกถึงคน เวลาโลก ภาษาเศรษฐกิจ ฯลฯ )มีสารคดีแดนสนธยา รวมทั้ง สารคดีพิเศษสุดเช่น ตามรอยพระพุทธเจ้า แม้กระทั่งโฆษณาดี ๆ เช่น “ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนี้” ตรงกับ สพฺทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ การให้ธรรมชนะการให้ทั้งปวง แต่ความเป็นบุคคลแห่งปีเห็นจาก เมื่อถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยขึ้นเพียงข้ามวันข้ามคืน (เพราะเหตุที่ได้เป็น ผอ.อสมท.) เขากลับเก็บท่าทีพฤติกรรมเป็นเงียบกริบ ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้เลย และเงียบเชียบเยียบเย็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว เขาคิดว่าคำนินทาเป็นเสมือนสายลมที่พัดผ่านไปเท่านั้นเอง หามีคุณค่าแก่การจะใส่ใจใส่ไม่ เขาคิดว่า คนเราต่างก็มีหน้าที่ทำต่างกันไปจะมามัวตำหนิกันไปทำไมทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เอาตัวรอดของตนก่อนเถิด หน้าที่ใครหน้าที่มันทำให้ดี ตรงหลักนักปราชญ์อังกฤษว่า Mind your ownself หรือศาสนาพุทธว่า กมฺมุนาวตฺตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม อันเป็นแนวนักปราชญ์ที่ลึกซึ้งสมควรเป็นแบบอย่างแห่งยุคปัจจุบัน
บุคคลที่ 71 ดุสิต ศิริวรรณ
เช้านี้ที่เมืองไทย ช่อง 5 การต่อสู้มีหลักการ รู้และระวังทีหนีทีไล่อย่างรอบคอบ มีความรอบรู้เชิงกฎหมายและการบริหารรอบตัวลึกซึ้ง เข้าใจสังคม เข้าใจสัจธรรมของสังคม และมีวิธีการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว และยืนอยู่บนความเป็นธรรมมีความสัมผัสไว ในเรื่องความเป็นธรรมของสังคม และผลประโยชน์ของประเทศชาติ ถือหลักอุเบกขาเป็นสรณะ ไม่คำนึงคนอื่นจะวิพากษ์ตนเองอย่างไร เพราะเชื่อว่า ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม เห็นสัจธรรมของความเป็นมนุษย์ คือ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เห็นความเป็นปุถุชน วินิจฉัยสังคมอย่างปุถุชน เขากล่าวคำว่า “วุฒิภาวะของบุคคลย่อมแตกต่างกัน ความคิดเห็นจึงแตกต่างกัน เราต้องแผ่เมตตา” นั่นคือ เบื้องลึกแห่งจิตใจ ได้พึ่งพาหลักธรรม แห่งความเข้าอกเข้าใจเพื่อนมนุษย์โลก เป็นยุทธศาสตร์และยุทธวิธีการต่อสู้ของตนเองเสมอ อันเป็นทางแห่งความมั่นใจของชีวิตที่สร้างสรรค์ซักฟอกสังคมให้บริสุทธิ์สะอาดอันเป็นแนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ตลอดกาลนาน
บุคคลที่ 72 อภิรักษ์ โกษะโยธิน
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้ที่มีจิตใจนิ่ง สงบสงัดมาก แม้กระทั่งอยู่ระหว่างการขัดแย้ง การต่อสู้อันวุ่นวาย หรืออยู่ในสถานะที่เป็นรองอย่างมากมายในการต่อสู้ เขาก็สามารถทำใจให้นิ่งสงบสงัดได้ ไม่หวั่นไหว นับเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งทีเดียว หลังสุด เมื่อ 1 ธ.ค. 2548 จัดโครงการ เสื้อเหลืองแห่งความจงรักภักดี ดวงใจล้านดวง ลงชื่อล้านคนในบัญชีปณิธานเดินตามทฤษฎีเศรษฐกิจแบบพอเพียงของในหลวงครบรอบ 60 ปีครองราชย์ ขึ้นที่ท้องสนามหลวง เดินตามเศรษฐกิจแบบพอเพียงของในหลวงในฐานะนักการเมืองของประชาชน เขาเน้นรูปธรรมในการดำเนินชีวิตประจำวัน ให้ใช้จ่ายเงินอย่างประหยัด ให้ทำบัญชีทุก ๆ คน เป็นบัญชีรายรับและรายจ่ายของบุคคลและครัวเรือน ก็จะส่งเสริมความพอ ประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ยากจน ไม่ลำบาก เขาแก้ปัญหาเกี่ยวกับความเป็นธรรมของประชาชนได้อย่างมีเหตุผล มีความเห็นอกเห็นใจภายในเหตุและผลที่ชอบธรรม และมีความพอใจในวิถีทางอันเป็นไปตามธรรมชาติ แห่งเหตุและผลของปัญหานั้น ๆ จึงเผยความสุขุม ความเป็นผู้ใหญ่พร้อมวุฒิภาวะ และจิตที่มีอุเบกขา ปราศจากนิวรณ์ อันลุ่มเย็นและมีความสุข
บุคคลที่ 73 บรรจง โซ๊ะมณี
พบบรรจง โซ๊ะมณีที่ รายการทีวีมุสลิม ช่อง 5 เวลา 0430 น. วันศุกร 9 ธ.ค. 2548 เขามีความรู้และคุณธรรมสมควรเป็นอาจารย์ใหญ่ของชาวมุสลิมไทย ล่าสุดเขาพูดถึงปัญหาสังคม ว่าสังคมเละเทะมาก และเป็นสัญญาณว่าวันสิ้นโลกกำลังใกล้เข้ามา เขายืนยันว่า วันสิ้นโลกจะมาถึงอย่างแน่นอนและมนุษย์ควรระลึกวันสิ้นโลก ขณะนี้มีโรคเอดส์ โรคมะเร็งและไข้หวัดนก ที่เป็นสัญญาณแห่งวันสิ้นโลก ท่านวิเคราะห์เรื่องปัญหาสังคมไทยปัจจุบันว่า มีกามราคะจัด แม้การเสพก็เสพอย่างไม่มีความละอาย อย่างสกปรก จนเห็นคนคู่เสพกามกันอยู่ในที่สาธารณะทั่วไป และกำลังจะลามมาถึงรถเมล์แล้ว คนหน้าด้านขึ้นไปทุกวัน ๆ ขณะเห็นพวกเขาเสพกามกันคนอย่างเรา ๆ ก็ไม่กล้ามอง กลัวพวกเขาจะยักคิ้วให้และเชิญชวนว่า มาเสพกับเราไหม ท่านว่าอย่าได้สะสมวัตถุเลย อย่ากอบโกยโกงเลย เพราะเอาไปด้วยไม่ได้ อีกหน่อยก็ถึงวันสิ้นโลกอย่างแน่นอนและอัลเลาะห์จะทรงตัดสินคนโกง คนกอบโกยอย่างสาสม แนวความคิดของ บรรจง โซ๊ะมณีนี้ ตรงกับแนวคิดทางพระพุทธศาสนาอย่างน่าสนใจ นั่นคือหลัก กามสุขัลลิกานุโยค อันเป็นเนื้อหาสำคัญของปฐมเทศนาของพระบรมศาสดา กล่าวคือ ธัมมจักกัปวัตนสูตร น่ายินดีที่ได้พบว่า สามัญสำนึกที่ดี ย่อมตรงสอดคล้องหลักธรรมสากลแห่งมนุษยชาติเสมอ และย่อมสร้างสรรค์ประโยชน์อย่างสูงสุดแด่มนุษยชาติ โดยเมตตาจิตที่กว้างขวางไร้ขอบเขตและการกักกันแห่งพรมแดน
บุคคลที่ 74 วิลลี่ แมคอินทอช
ภาพที่เห็น เขาเป็นคนมีความรับผิดชอบและมีความรักและความห่วงใยที่สม่ำเสมอต่อ น้องสาวคนสวย ผู้มีสายเลือดเดียวกัน แหม่ม-แคทริยา แมคอินทอช ที่แสดงคุณสมบัติของความเป็นมนุษย์จิตใจสูงส่งของเขาและเมื่อมาอยู่ในบทบาทนี้ดูเขามั่นคง ยิ่งใหญ่ และให้ความรู้สึกที่อบอุ่น ปลอดภัย และมั่นคงแก่ชีวิต จิตใจอ่อนโยน ร่าเริง ในธรรมชาติ มีความเป็นคนไทยที่สากลที่สามารถท่องเที่ยวไปได้อย่างอิสรเสรีในโลกมนุษย์ ไม่จำกัดดินแดน ไม่จำกัดเชื้อชาติ ไม่จำกัดถิ่นฐานวัฒนธรรม เขาไปได้หมด หลังสุด 12 ธ.ค. 48เห็นเขาไปมุดทะเล ดูฉลามขาวนักล่าแมวน้ำที่ดุร้ายถึงทะเลเย็นขั้วโลกพร้อมน้องสาว ผู้ที่เขารักและห่วงใยเสมอ ด้วยความสามารถเชิงมนุษยสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนโยน เบิกบาน และเขายังมีมนุษยสัมพันธ์อันดีกับธรรมชาติและหมู่สรรพสัตว์ และพืชทั้งหลาย มีความรู้และความเข้าใจดีในธรรมชาติของพืชและสัตว์หลากหลายชนิด ด้วยเหตุของจิตใจพื้นฐานที่มีคุณธรรมแห่งความเป็นมนุษย์ และมองมนุษย์สากลแห่งชาติพันธ์ว่าเป็นพี่น้อง นั่นคือ ความมีภราดรภาพอันสูงส่งในจิตใจของเขา
บุคคลที่ 75 ศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ จิระ หงส์ลดารมณ์
เราหยุดแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด พบ ศ.ดร.จิระ หงส์ลดารมณ์ ช่อง ลานธรรม TBC ทีบีซี
(Thai Buddhist Chanel) 18 ธ.ค. 2548 มีบุคลิกภาพที่เยือกเย็นมาก พูดช้า เคลื่อนไหวก็ช้า แม้กระทั่งเวลายิ้มก็ยิ้มช้า แต่เมื่อยิ้มแล้วดูเบิกบาน สว่างไสว มีความถ่อมตนมาก คำนำหน้าท่านคือ ศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ ที่บ่งถึงวิชาการและความหนักแน่นแม่นยำในทฤษฎีแห่งวิชาการของท่าน แต่ท่านมักกล่าวเสมอว่า วันนี้ ผมได้ความรู้มากมาย. กับผู้ใดก็ตามที่มาร่วมรายการด้วยกัน ดูบุคลิกภาพเหมือนอิ่มด้วยความเย็น ที่ถอนสมุฏเหตุได้โดยสิ้นเชิงแล้ว ศ.ดร.จิระ หงส์ลดารมณ์ แสดงจิตใจที่ยิ่งใหญ่ เหมือนขุนเขา ไม่หวั่นไหวไปตามกระแสโลก ในขณะที่โลกไปเร็วเร่งแข่งกับเวลา เร่งรุดไปตามลมร้อนแห่งผลประโยชน์ แห่งวิถีทางการทำมาหากิน ที่จำต้องเร่ง เร็ว และร้อนขึ้นเรื่อย ๆ แต่ ศ.ดร.จิระ หงส์ลดารมณ์ กลับแสดงความหมายแห่งการหยุด ที่ค่อนข้างตรงกับพระพุทธองค์ตรัสต่อองคุลีมาลย์ว่า เราหยุดแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด ฉะนั้น ท่านจึงแสดงความหมายแห่งความสันโดษ และความพอเพียง และความพอดี และมีความพอใจ มีฌาน คืออารมณ์อันลึกซึ้งที่มั่นไม่หวั่นไหวแล้ว ดุจถอนมูลเหตุแห่งอกุศลมูลทั้ง 3 ประการ คือโลภะ ก็ดี โทสะก็ดี และโมหะก็ดีไปได้เสร็จกระทั่งราก เหง้า แห่งกิเลสทั้งหลาย ชีวิตจึงเยือกเย็น ช้า สบาย ๆ มีความเยือกเย็น มีความสุขเต็มเปี่ยม และไร้กังกล นับเป็นชีวิตแบบอย่างที่หาดูได้ยากในโลกยุคใหม่นี้
บุคคลที่ 76 ประธานาธิบดียอร์จ ดับเบิลยู บุช
President George W. Bush
เขาปล่อยไก่งวง ชื่อ แมชแมลโลว์ กับเพื่อนของมันอีกหนึ่งตัว ในขณะที่ชาวคริสต์อเมริกันพากันเชือดไก่งวงถึง 4.5 ล้านตัวฉลองในวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgivingday) เมื่อ 24 พ.ย. 2548 บุชมองในฐานะเสรีชนว่า ไก่งวงก็มีสิทธิ์ในชีวิตของมันไม่น้อยไปกว่ามนุษย์ มันรักและหวงชีวิตของมัน และมันก็กลัวความตายเช่นเดียวกับมนุษย์ เห็นภาพเขามองเจ้าแมชแมลโลว์อย่างกับเพื่อนรักของเขาทีเดียว ด้วยเหตุนี้เขาจึงคิดว่ามนุษย์ไม่มีสิทธิ์โดยสิ้นเชิงที่จะนำมันมาฆ่าด้วยเหตุผลเพียงว่า เพื่อการเซ่นสังเวย หรือบูชายัญแด่พระเจ้ายะโฮวาห์ เท่านั้น เพราะแท้ที่จริง พระเจ้าไร้ตัวตน และมิได้มีบุญคุณอันใดเลยแด่มนุษย์ มนุษย์หลงเชื่อไปเองต่างหาก นับว่ายอร์จ ดับเบิลยู บุช เป็นผู้มีพฤติกรรมทวนกระแสคริสต์อเมริกัน อันเป็นการทวนกระแสโลกอนารยธรรมและป่าเถื่อน เขาคงได้ดูการ์ตูนพระพุทธเจ้า ตอนพระพุทธเจ้าเสด็จไปปลดปล่อยฝูงโคจำนวนนับร้อยตัวให้พ้นจากการเชือดสังเวยของพวกพรามณ์ฮินดู และทรงโปรดพวกพรามณ์เหล่านั้นให้รู้สัจธรรมแห่งชีวิตและละเลิกพิธีกรรมบูชายัญเซ่นสังเวยพระเจ้า เช่นที่ชาวคริสต์อเมริกัน พากันกระทำกับไก่งวงจำนวนมหาศาลในยุคนี้ บุชจึงสมควรได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีจิตใจสูงส่งประเสริฐ มีความรักในชีวิต เทิดทูนสัจธรรมว่าด้วยความเป็นมนุษย์อย่างสูง มีเสรีและภราดรภาพ สมควรเป็นผู้นำมนุษย์ผู้มีจิตใจสูงเยี่ยงนี้โดยแท้จริง เราจึงมีความเต็มใจและภาคภูมิใจที่ได้ยกย่องเขาไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เราจึงขอยกย่องบุคคลดังกล่าวมานี้ ได้แก่ ภัทราวดี มีชูธน ปู่เย็น แก้วมณี รัฐภูมิ อยู่พร้อม ดต.วิชัย สุริยุทธ ชนินทร์ ชมะโชติ ลักษณา จีระจันทร์ อารียา มีนยี กุลนัดดา ปัจฉิมสวัสดิ์ พิมลวรรณ ศุภยางค์ มีสุขแจ้งมีสุข พัชรศรี เบญจมาศ ชูชาติ งามการ อังคาร กัลป์ยาณพงศ์ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ดุสิต ศิริวรรณ อภิรักษ์ โกษะโยธิน บรรจง โซ๊ะมณี วิลลี่ แมคอินทอช ศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ จิระ หงส์ลดารมณ์ ประธานาธิบดียอร์ช ดับเบิลยู บุช ว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ประจำปีพุทธศักราช 2548 และหวังว่าท่านเหล่านี้จักดำเนินไปตามครรลองของท่าน ๆ ด้วยดีตลอดกาลนาน ประสบความสำเร็จเป็นมรรคเป็นผลทุกคนทุกท่านเทอญ
บทบรรณาธิการดีเล่มที่ 35
**************************************************************************************************************************************************************************************************
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2549
บุคคลที่ 77 นิรุตติ ศิริจรรยา
เขายังคงเด่นในสารคดีแห่งศตวรรษเรื่องตามรอยพระพุทธเจ้า สร้างโดย ชนินทร์ ชมะโชติ และ ลักษณา จีระจันทร์ เขาประกาศนำเรื่องทุกเรื่องด้วยถ้อยคำหนักแน่น ชัดเจน ในความหมายของความสำคัญของพระพุทธศาสนาที่ฟื้นขึ้นมาในอินเดีย บอกถึงอารมณ์ความรู้สึกที่เข้าถึงสัจธรรมว่าด้วย วิชชา และอวิชชา สัทธรรม และอสัทธรรม โลกและโลกุตตระ พระเจ้ากับมรรคผลนิพพาน อันมีลักษณะเด็ดขาดเด็ดเดี่ยวภายในจิตใจ และรู้ซึ้งไปถึงแก่นธรรมในพระพุทธศาสนา
บุคคลที่ 78 ฐิตินันท์ รัตนสุคนธ์
ผู้ให้เสียงบรรยายในสารคดีแห่งศตวรรษ เรื่องตามรอยพระพุทธเจ้า สร้างโดย ชนินทร์ ชมะโชติ และ ลักษณา จีระจันทร์ ค่อนข้างจะเก็บตัว ไม่ปรากฏ แต่มีสิ่งที่สะท้อนออกมา เสียงที่สะท้อนความชำนาญทางภาษาที่ประกอบด้วยกระแสเสียงแห่งความศรัทธาเลื่อมในในพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องที่สะท้อนสภาวะภายในที่ลี้ลับลึกซึ้ง ในความเป็นไปแห่งเรื่องราวแต่ละบทแต่ละตอนของสารคดีตามรอยพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนา ทำให้การรับฟังซึ้งไปกับความศรัทธานั้น อย่างลึกซึ้ง ไม่รู้ลืม เป็นเสียงที่นำสิ่งวิเศษที่อยู่ไกลมาสู่ผู้ที่อยู่ใกล้ ๆ จากความลี้ลับลึกซึ้งมาสู่ความสว่างไสว ให้แจ่มแจ้งด้วยอานุภาพแห่งธรรมที่ปลอบประโลมใจคนทั้งหลายทั้งปวง
บุคคลที่ 79 แม่ชีไพเราะ ทิพยทัศน์(สิริวรุณ หรือ ดร.ไพเราะ ทิพยทัศน์)
แห่งอาศรมมาตา ต.ภูหลวง อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา อุทิศตนเพื่อการศึกษาวิจัยหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ศึกษาผลงานของท่านพุทธทาสภิกขุ แล้วเสนอเรียบเรียง ทำอรรถาธิบายได้อย่างลึกซึ้ง ง่ายแก่ความเข้าใจและเผยแนวธรรมแนวใหม่ ๆ ออกมาตามลำดับ ๆ เล่มสุดท้ายที่ลึกซึ้งก็คือ กาลามสูตรสิบ น่าศึกษา เป็นคติธรรมแห่งโลกยุคใหม่โดยแท้จริง
บุคคลที่ 80 แม่ชีศรีวรรณ กันทาสุวรรณ
แห่งศูนย์ศึกษาและปฏิบัติแก่นพุทธศาสนา 2/6 ซอยราษฎรเจริญ ถนนบัวหลวง ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เขียนบทศึกษาและวิเคราะห์หลักพระพุทธธรรมเชิงวิทยาศาสตร์ออกมาหลายเล่มเชิงวิทยาศาสตร์ ท้ายสุด ปาฏิหาริย์แห่งการเจ็บป่วย บอกการรักษาความเจ็บไข้ ด้วยสมาธิ และ วิธีธรรมชาติ เอากรณีตัวเองเป็นตัวอย่าง การปฏิญญาณตน อยู่ในฐานะแม่ชีผู้ถืออุโบสถศีล ย่อมยากลำบาก
บุคคลที่ 81 พัชรา กอปรทศธรรม
ทำงานในวงการศึกษามาตลอด 20-30 ปีนี้ มีประสบการณ์ชีวิตที่เลวร้ายแต่ฝ่ามาได้ด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรม แล้วมองสังคม การเรียน การศึกษาโดยมีหลักธรรมเป็นมาตรฐาน เสนอบทวิเคราะห์การเฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้วพร้อมให้ข้อวินิจฉัยทางปัญญาตามหลักธรรมมาโดยตลอด เขียนบทความลงเวบไซท์ พบงานของพัชรา กอปรทศธรรมใน http//www.newworldbelieve.net และเผยแผ่บทความที่ต่อต้านวัฒนธรรมทรามลงในเอกสารแจกจ่ายในวงการศึกษาโดยตลอดมา สุดท้ายคือทำหนังสือชื่อ พุทธธรรมเพื่อทางดับทุกข์ แสงสว่างนำทางผู้ที่กำลังเจ็บป่วยทางจิต พัชรา กอปรทศธรรม มีจิตใจเป็นนักเผยแผ่โดยธรรมชาติ โดยธรรมที่พร้อมด้วยความเสียสละและสุจริตใจต่อประชาชนโดยแท้จริง
บุคคลที่ 82 ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์
รู้โลกรอบด้าน ผจญชีวิตและเอาตัวรอดในต่างถิ่นต่างแดน ใฝ่ในชีวิตที่ท่องเที่ยวไปคบหาสมาคมกับคนทุกลัทธินิกายศาสนา ด้วยจิตวิญญาณนักศึกษา ที่ใฝ่เรียนรู้เชิงการศาสนา วัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์ ที่เขาถือว่าเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรม ร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่ในเกาะแห่งโลกนี้ มีประสบการณ์เหลือล้นจากการเดินทางไปทั่วโลก อย่างนักท่องเที่ยวศึกษาหาความรู้และความดีงาม โดยได้มีโอกาสเดินทางไปสู่ประเทศต่าง ๆ ถึงกว่า 67 ประเทศ และสรรเสริญหลักธรรมที่เป็นวิทยาศาสตร์ เขามองลึกซึ้งไปถึงจิตวิญญาณ หรือนามธรรมอันเป็นสากลและมองอย่างปราศจากอคติปราศจากแนวคิดอย่างชนชั้น มีความเป็นภราดรภาพ เสมอภาค และ ประชาธิปไตย เห็นได้จากคำกล่าวว่า จิตวิญญาณของคนเก็บขยะเป็นจิตวิญญาณที่สูงส่ง สะท้อนถึงสาระและอสาระแห่งชีวิตนี้ นั่นคือรูปก็ดี นามก็ดี มีความสัมพันธ์กันแต่นามธรรมย่อมเป็นส่วนบริหารที่เป็นผู้นำไปเสมอ นามธรรมจึงต้องถูกฝึกฝนและฝึกปรือให้ดี นี่คือสาระแห่งชีวิต
บุคคลที่ 83 ยืนยง โอภากุล
เจ้าของกิจการระดับนานาชาติ คาราบาวแดง ทุกวันนี้เขายังคงร้องเพลง สามัคคีประเทศไทย อยู่ เพลงที่ดังสุด ๆ ของเขา 1 ใน 3 ก็คือ สมภารเซ้งโบสถ์ ที่บอกความหมายเชิงการปฏิวัติระบบสงฆ์ ที่แฉความจริงเบื้องหลังระบบสงฆ์ปัจจุบัน และเขากล้าหาญที่นำมาขับร้องอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะ ถูกกฎหมายชอบธรรมมันก็จริงแต่สิ่งที่ไม่เหลือคือความศรัทธา เขามีความเป็นอิสระ ร่าเริงและความเป็นตัวของตัวเองสูง มีความรักชาติ และ รักความเป็นธรรม และมองโลกตรงตามความเป็นจริง ในแง่ที่ว่า มองตน และมองโลก ให้สัมพันธ์กัน รักกัน เรากับโลก มองโลกโดยความเป็นธรรมชาติ และอยู่กับโลกโดยอยู่กับธรรมชาติ ให้สอดคล้องครรลองแห่งธรรมชาติ
บุคคลที่ 84 โฉมฉาย อรุณฉาน (นิตยา อรุณวงศ์)
รายการเสียงสวรรค์เมื่อวันวาน ช่อง 11 เป็นทายาทสืบสานศิลปะการขับร้องของ สุนทราภรณ์ ได้อย่างหมดจดบรรจง ในบทเพลงที่หวานซึ้งที่แฝงแนวคติวัฒนธรรมอันดีงามแบบไทย เช่นบทเพลง สมมติว่าเขารัก ถ้าเธอจะรักฉันก็จะรอ คอยหามาหาย รอคนรัก วิมานบ้านนา หนาวนี้เมื่อปีก่อน เป็นต้น ภาพที่เห็นจากจอแก้ว สะท้อนความมีชีวิตชีวา ความอุตสาหะ ความมีฉันทะในงานประจำที่ทำอยู่ ความพยายาม ความอุทิศและความเสียสละที่ไม่เคยเห็นแววร่องรอยแห่งความท้อถอยความเหน็ดเหนื่อย เต็มไปด้วยน้ำจิตน้ำใจใฝ่ในความปลอบประโลมจิตใจผู้ได้พบกับความสิ้นหวังและความทุกข์ ให้ฟื้นคืนสู่ควมมีสติ เสียงเพลงที่ขับร้องจึงบอกไปถึงความละมัยในธรรมะ แห่งหัวใจคนใฝ่ในธรรมะอย่างลึกซึ้ง
บุคคลที่ 85 พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน หน.คมช./ผบ.ทบ.
มีความเป็นทหารอาชีพ มีฝีมือ รู้ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่แพรวพราว มีอารมณ์จิตใจเยือกเย็น มั่นคง ปราศจากความหวาดสะดุ้ง มีบุคคลิกภาพเฉียบอาจข่มขวัญข้าศึกศัตรู ผู้ก่อการร้ายได้ มีความเป็นภราดรภาพ เกลื่อนสีหน้า แววตาได้สนิท ที่บ่งบอกถึงอารมณ์ฌานคือ ปิติ ปัสสัทธิ ระดับหนึ่ง มีความเข้าใจหลักการแห่งศาสนาสากล พึ่งตน นิยมความสามารถของตน ทำตนให้เป็นสุขโดยอุเบกขาธรรมารมณ์ได้เป็นปกติ
บุคคลที่ 86 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส
เมื่อเป็นจเรตำรวจอยู่ เผยภาพที่ดี ซื่อตรง บริสุทธิ์ กล้าสู้กล้าทำงานตรงไปตรงมาโดยเฉพาะงานปราบปรามผู้มีอิทธิพลและแหล่งอบายมุข บัดนี้มาเป็น รก.ผบ.ตร ท่านบอกว่าท่านพร้อมที่จะทำหน้าที่ทันที ท่านรู้อะไรหมดในวงการตำรวจ ท่านไม่จำเป็นต้องศึกษางานก่อน เพราะท่านศึกษาไว้หมดแล้ว ท่านทำได้ทันที ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ยากจะกล่าวสำหรับคนอื่น ๆ จึงแสดงถึงพลังความบริสุทธิ์ใจ และกรรมดีของท่านทำให้เกิดความกล้าหาญในการที่จะทำความดี มุ่งมั่นในการสร้างสมความดีงามตลอดไป นี่เป็นความกล้าหาญที่เป็นแบบอย่างของคนดี คนบริสุทธิ์ ซื่อตรง ไม่เกรงกลัวหวาดหวั่นต่อคนทุจริตคิดมิชอบและผู้มีอิทธิพลในทางเลวร้ายทั้งหลาย ทำให้สังคมประเทศชาติ และคนดี ๆ ทั้งหลายมีความหวังในอนาคต
บุคคลที่ 87 นฤมล ศิริวัฒน์
สตรีที่ทำงานเบื้องหน้าเบื้องหลังวงการกีฬาหญิงไทยอยู่อย่างขวักไขว่จริงจังในวันนี้ ขณะเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลหญิงไทย และกีฬาหญิงอีกหลายประเภท ได้เห็นความเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว เข้มแข็ง โดยไม่เหน็ดเหนื่อย ทำงานไม่เหน็ดเหนื่อย เนิ่นนาน ปีแล้วปีเล่า คงเห็นบุคลิกภาพอันลงตัวสม่ำเสมอ นับเป็นหญิงเก่งที่จิตใจเหนียวแน่นในอุดมการณ์ มีความฉลาด มีปัญญา พร้อมด้วยความทรหดอนทนในการต่อสู้ ที่บ่งถึงวิถีทางที่ปฏิบัติทางธรรมในจิตใจ มีหลัก สัจจะ ทม ขันติ จาคะ พร้อมอยู่ในคน ๆ เดียว ที่ควรแก่ความรักความศรัทธาของประชาชนและวงการกีฬาตลอดไป
บุคคลที่ 88 สินจัย เปล่งพานิช
ภาพที่ปรากฏในโฆษณาทางโทรทัศน์ ออกมาดี ที่สะท้อนชีวิตจริงของตน มีความรักและมีชีวิตชีวาของครอบครัว พ่อ แม่ ลูก ชีวิตมีความสุข และมีความมั่นคง มีความสดชื่นรื่นเริงในวิถีทางที่ถูกต้อง วาทะที่เป็นสัจธรรมว่า งานก็มีความสำคัญพอ ๆ กับครอบครัว ดังวาทะว่า "นกว่าครอบครัวต้องมาก่อนค่ะ แต่ถ้าไม่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง นกก็จะเลือกทั้งสองอย่างเพราะว่าทั้งสองอย่างมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ความจริงงานก็มีส่วนทำให้ชีวิตสมบูรณ์ในหลายๆด้านนะ และการทำงานทำให้เรารู้สึกมีคุณค่า นอกเหนือจากหน้าที่ในบทบาทหรือหน้าที่ของครอบครัว เพราะไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะลูก หรือฐานะแม่ หรือในฐานะใด ๆ ก็ตาม ครอบครัวคือพื้นฐานของสังคม กำหนดความเป็นไปของโลก ต่อให้เราอยู่กับคนหมู่มากอย่างไร ครอบครัวก็เป็นที่ที่ปลอดภัยมากที่สุด ที่สำคัญครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตค่ะ" นั่นบ่งถึงความเมตตา ความเป็นภรรยา และความเป็นแม่ที่เยือกเย็นและบริสุทธิ์ และชีวิตที่อยู่ในวิถีแห่งธรรมอันลึกซึ้ง
บุคคลที่ 89 สายสวรรค์ ขยันยิ่ง
จิตใจอ่อน เย็น แต่สุขุม และเบิกบาน เป็นสตรีนักสู้ ในวงการสื่อสารมวลชน ที่สู้อย่างสุภาพ สุจริต และเป็นธรรม เป็นหนึ่งในผู้ให้กำเนิด ชื่อ TITV และมีรายการล่าสุด คืนนี้กับสายสวรรค์ ที่สรรมาแต่เรื่องราวที่เกี่ยวกับชะตากรรมของมนุษย์ที่จะต้องเป็นไปตามกรรม เรื่องราวของผู้ที่สร้างผลกรรมและผลกรรมของเขา ดำรงชีวิตสมถะโดดเดี่ยว แต่เด็ดขาด มั่นใจ แฝงภูมิปัญญาชัดเจนในเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง และทำงานมีความสุข
บุคคลที่ 90 ชูชาติ เทศก์สีแดง
พบชูชาติ เทศก์สีแดง ในรายงานข่าวช่อง 11 เขาอยู่ทำงานนี้มานานแล้ว จนเข้าวัยหนุ่มใหญ่มาก แต่เขาก็ทำหน้าที่รายงานข่าวไปเรื่อย ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เรียบราบสนิท ไร้ความรู้สึกรัก รู้สึกชัง เราได้พบสิ่งที่ดีก็คือ ความเยือกเย็น เหมือนแม่น้ำใหญ่ ที่ไหลเอื่อย ๆ เสมือนได้รู้แจ้งสัจธรรมแห่งชีวิตแห่งความเป็นธรรมดา และกล่าวว่า เราพบสัจธรรมว่าด้วย ทุกขํ อนิจฺจํ อนตฺตา แล้ว และบัดนี้เราหยุดแล้ว มีความสุขด้วยความพอดี ด้วยความพอเพียง ยืนยันได้ว่าหลักการแห่งความสันโดษของชีวิตนั้นได้พบแล้ว มีความสบาย มีความสุขจริง
นักกีฬาเทนนิส ชาวไทยอันดับโลกดีที่สุดอยู่ที่อันดับ 77 เคยชนะฮวน คาร์ลอส เฟอร์เรโร อดีตมืออันดับ 1 ของโลก ในออสเตรเลียนโอเพน ล่าสุดชนะเลิศเทนนิสชายเดี่ยว เอเซียนเกมส์ 2549 ที่เมืองโดฮา ประเทศการ์ตาร์ เขามีสติอยู่กับพระรัตนตรัย ตลอดเวลาที่มีการแข่งขัน เขาประกาศตัวว่าเขาเป็นชาวพุทธ ผู้นับถือพระพุทธเจ้า ปรากฏจากสร้อยคอที่มีพระพุทธรูปเครื่องรางคล้องคออยู่ตลอดเวลาที่มีการแข่งขัน และมีความเป็นนักกีฬา ซื่อตรงต่อกฎกติกาของการกีฬา มีวินัยอย่างธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า
บุคคลที่ 92 โทนี แบลร์ (แอนโธนี ชาร์ลส์ ลินตัน โทนี แบลร์ : Anthony Charles Lynton Tony Blair)
นายกรัฐมนตรีอังกฤษ หัวหน้าพรรคแรงงาน ผู้นำนโยบายไร้ชนชั้นในมนุษย์เสรี ผู้ชนะพรรคอนุรักษ์นิยมอังกฤษ คือพรรคหัวเก่า ระบอบเก่า ระบบเจ้าขุนมูลนาย หรือระบบขุนนางอังกฤษเดิม ในการเลือกตั้งถึง 3 สมัยติดต่อกัน เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้ประกาศต่อหน้ากลุ่มผู้สนับสนุนเขาที่เมืองเซดจ์ฟิลด์ ว่าจะวางมือจากการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ โดยกำหนดไว้ชัดเจนว่า จะลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 27 มิถุนายน 2550 เมื่ออยู่ในตำแหน่งมาครบ 10 ปี และยังมีวาระเหลืออยู่อีกถึง 2 ปี จะมอบให้เพื่อน นายกอร์ดอน บราวน์ รัฐมนตรีคลัง เป็นนายกรัฐมนตรีแทน ซึ่งแสดงถึงจิตใจที่รักความเป็นธรรมและไม่หวงแหน ไม่หลงยึดถือดีในอำนาจที่ได้จากการสมมติ นอกจากนี้หลังเหตุการณ์ 11 ก.ย. 2547 คือการถล่มเวิร์ลเทรดเซนเตอร์ ของจอมโจรบินลาดิน เขาได้ตั้งใจแน่วแน่ขึ้น ในการร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาต่อต้านขบวนการก่อการร้ายโลก สิ่งที่เราพอใจและยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปีคือวาทะของเขาที่ว่า การต่อสู้ทำสงครามกวาดล้างผู้ก่อการร้ายนั้นมันผิดตรงไหน มันไม่คุ้มการลงทุนตรงไหน คล้ายจะให้ข้อคิดเชิงสัจธรรมว่า การก่อการร้ายนั้นก็คือการก่อการร้าย ย่อมตรงกันข้ามกับการก่อการดี การก่อการร้ายย่อมไม่มีคุณประโยชน์อะไรต่อความสงบสันติสุขของโลกมนุษย์ ที่จำเป็นอยู่เองที่ชาวโลกต้องร่วมมือขจัดออกไปให้หมดสิ้น เราเห็นว่า แบลร์ กล่าวสัจธรรมว่าด้วยมรรคผล ในพระพุทธศาสนา ในประเด็นที่ว่าด้วยความบริสุทธิ์แห่งญาณและปัญญา คือวิมุตติ นั้นมีศัตรูคือกิเลส กาม และตัณหา จะอยู่ร่วมกันไม่ได้ นักธรรมในศาสนาพุทธจะต้องขจัดกิเลส กาม ตัณหา ให้เกลี้ยงหมดจด จึงบรรลุมรรคผลนิพพาน เสมือนโลกต้องร่วมกันขจัดปัญหาการก่อการร้ายให้เกลี้ยงโลก จึงจะนำสันติภาพ สันติสุขมาสู่โลกได้ นอกจากนั้นแบลร์ยังแสดงถึงความเป็นลูกผู้ชายนักสู้ ที่มั่นใจในอุดมการณ์ อย่างเต็มตัว เขาไม่ยอมสะดุ้งกับคำกล่าวเชิงดูแคลนว่า ตลอดเวลาที่อยู่ในตำแหน่งเขาใช้นโยบายตามก้นอเมริกาไปทุกอย่างในเรื่องการต่างประเทศ แม้กระทั่งคำพูดทุกถ้อยคำเขาก็คล้อยตามไปกับประธานาธิบดียอร์ช ดับเบิลยู บุช แห่งอเมริกาแทบทุกถ้อยคำ เขาไม่สะเทือนต่ออสัจธรรม แห่งการดูแคลน เขามั่นใจในการกระทำสิ่งที่ถูก ให้การกระทำสิ่งที่ถูกต้องพิศูจน์ตัวเอง และพร้อมที่จะร่วมมือกับบุคคลผู้กระทำสิ่งที่ถูกต้องโดยความหมายถึงความร่วมมือและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความถูกต้องแล้วย่อมพบความสันติสุขด้วยกัน และนี่น่ายกย่องเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดีอย่างแน่นอน
เราจึงขอประกาศนาม นิรุตติ ศิริจรรยา ฐิตินันท์ รัตนสุคนธ์ แม่ชีไพเราะ ทิพยทัศน์ แม่ชีศรีวรรณ กันทาสุวรรณ พัชรา กอปรทศธรรม ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ ยืนยง โอภากุล โฉมฉาย อรุณฉาน พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวส นฤมล ศิริวัฒน์ สินจัย เปล่งพานิช สายสวรรค์ ขยันยิ่ง ชูชาติ เทศก์สีแดง ดนัย อุดมโชค โทนี แบลร์ ว่าเป็นบุคคลแห่งปีพุทธศักราช 2549 ของหนังสือพิมพ์ดี ไว้ ณ ที่นี้
บทบรรณาธิการดีเล่มที่ 38
**************************************************************************************************************************************************************************************************
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2550
บุคคลที่ 93 อ่อง ซาน ซู จี ผู้นำฝ่ายค้านแห่ง สหภาพพม่า (Union of Myanmar)
อ่อง ซาน ซู จี มีบุคลิกภาพที่บ่งบอกไปถึงสติปัญญา ตะปะ และความทรหดอดทนอย่างเยี่ยมยอด ในการรอคอย จังหวะที่เหมาะสม อุปมาเหมือนเสือที่รอคอยเหยื่อให้เข้ามาใกล้ ๆ ในระยะที่พอดีกับการออกไล่ล่า มีความเยือกเย็นและความศรัทธาในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ปลงและปล่อยวาง เย็นจนเห็นนิพพาน คือเย็นไปตลอดกาล เรามั่นใจว่า อ่องซาน ซูจี จะสามารถทรงความเยือกเย็นไปได้ตลอดกาล โดยเห็นจากเหตุการณ์ในระยะหลังในเมียนม่าร์ ที่มีการเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่าช่วงเดือน ก.ย. มาถึงสิ้นปี 2550 นี้ แน่ละเธอได้แสดงตนเป็นชาวพุทธผู้ลึกซึ้งให้ปรากฏไปทั่วโลกโดยตลอดมาจนถึงบัดนี้ และแม้สงฆ์ในพม่าส่วนใหญ่ก็มีความเชื่อความเลื่อมใสและเห็นคุณค่าในตัวเธอจนกล้าออกมาสนับสนุนร่วมขบวนการประชาธิปไตยด้วย ทั้งนี้โดยความหมายแห่งญาติธรรม หรือเลือดเนื้อเชื้อไขแห่งธรรม หรือบุตรีแห่งธรรมผู้สง่างาม และกล้าหาญนั่นเอง
บุคคลที่ 94 พล.ต.ต. นภดล เผือกโสมณ
แผ่นดินเดือดที่นราธิวาส ได้เกิดวีรบุรษขึ้นคนแล้วคนเล่า และนี่คือ 1 ในวีรบุรุษเหล่านั้น พล.ต.ต.นภดล เผือกโสมณ เดิมมียศ พ.ต.อ. มีภริยาและลูกสาว เป็นครอบครัวพ่อ แม่ ลูก รวม 3 คน ที่มีความรักและความสุข แต่หัวหน้าครอบครัวต้องเผชิญชะตากรรมร้ายแรงในสามจังหวัดภาคใต้ ระหว่างวันที่ 5-11 พ.ค.2550 มีแต่ข่าวร้าย ๆ จากสามจังหวัดภาคใต้ ที่กระทบกระเทือนจิตใจคนไทยมากที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือ พ.ต.อ.นภดล เผือกโสมณ รอง ผบก.ภ.จ.นราธิวาสเหยียบกับระเบิดของคนร้าย แขนขาขาดและบาดเจ็บแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็รอดได้อย่างประหลาด ด้วยอานุภาพแห่งความดี ความบริสุทธิ์ใจและความจงรักภักดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เขาประกาศสู้ไม่ถอย ว่าหากไม่ตาย แม้พิการก็จะขอลงมาต่อสู้ที่สามจังหวัดภาคใต้ต่อไป อันเป็นสิ่งที่สะท้อนความกล้าหาญและจิตใจธรรมะว่ามาจากความสัจจริงที่ว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรม เป็นไปไม่ได้ที่อธรรมจะชนะธรรมะ (อสาธุ สาธุนา ชิเน) และนี่คือแบบอย่างแห่งความกล้าหาญของนักรบ สำหรับประชาชนไทยทั้งชาติ และสำหรับเพื่อน ๆ นักรบทั้งหลายที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในแดนใต้อันตรายขณะนี้
บุคคลที่ 95 คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์
อธิบายเรื่องแนวคิดการปฏิรูประบบราชการอย่างมีเหตุผลสำหรับความเป็นมนุษย์และสังคมมนุษย์ ยุคประชาธิปไตยที่สอดคล้องหลักธรรมวินัยของพุทธศาสนา นั่นคือหลักการว่าด้วยงานกับความเป็นธรรม บำเหน็จควรได้ด้วยผลงานจริง ๆ นั่นหมายถึงตำแหน่งที่คู่ควรกับงาน ไม่ใช่ชั้นยศ จึงจะสอดคล้องหลักธรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ท่านได้อธิบายเรื่อง ร่างพรบ.ใหม่เกี่ยวกับการจัดระบบราชการพลเรือนใหม่ ที่ให้เลิกระบบซี หรือระบบชนชั้นในระบบราชการ แต่ให้มีระบบตำแหน่งแทน คำอธิบายมีว่า ระบบชั้นหรือซี บกพร่องในความยุติธรรมว่าด้วยงาน โดยหลักการยุติธรรมแล้ว คนทำงานต้องได้รับการตอบแทนที่สมกับงาน แต่ระบบซี คนที่อยู่ในระดับซีสูง ๆ บางคน ไม่มีความรู้ในงานเลย ทำงานไม่เป็นเลยก็มี ก็เป็นอยู่ในระบบราชการไทยขณะนี้ (มาเป็นหัวหน้าของเขาได้โดยที่ไม่มีความรู้ในงานที่ตนเองดูแลอยู่เลยก็มี) งานเป็นเหตุผลของการอยู่ในตำแหน่ง ไม่ใช่ซี อย่างในปัจจุบันนี้ ซึ่งสร้างความไม่เป็นธรรมให้เกิดขึ้นในวงการราชการ ดูเป็นเหตุผลเดียวกับแนวคิดการที่ต้องปฏิรูปการศาสนา การคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบันนี้ อันเป็นแนวคิดที่สอดคล้องหลักพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพราะระบบซี แท้จริงคือระบบชนชั้น ที่ไม่อยู่บนเหตุผลที่ชอบธรรม นั่นเอง เราเห็นว่า คุณหญิงท่านมีวิสัยทัศน์ในเรื่องนี้อย่างแจ่มแจ้งที่แทงทะลุปรุโปร่งไปถึงวงการสงฆ์ไทยได้อย่างแจ่มแจ้ง (คือระบบชนชั้น หรือ ชั้นยศในวงการสงฆ์ไทย เปิดโอกาสให้สงฆ์ที่ไม่มีมรรคไม่มีผลแม้ระดับต้น ๆแห่งมรรคผล หรือแม้ระดับศีลสามัญตา และทิฏฐิสามัญตา แต่สามารถขึ้นไปอยู่ในชนชั้นที่สูงสุดของวงการสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าได้ เป็นต้น)
บุคคลที่ 96 ปรัชญา ปิ่นแก้ว
ภาพยนตร์ได้ระดับมาตรฐานสากล มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีฝีมือนับแต่หนังแอ๊กชั่นเรื่อง องค์บาก และต้มยำกุ้ง ที่เขาทำให้ชื่อเสียงของนักแสดงไทยคือ จาพนม โด่งดังไปทั่วโลก ปรัชญา ปิ่นแก้ว เป็นผู้ที่เก็บความซู่ซ่าได้ดี เพราะความถ่อมตน เหตุผลในการสร้างภาพยนตร์ของเขาดีมาก หมายถึงมุมมองที่เป็นสัจธรรมและเป็นวิทยาศาสตร์ ในหนังใหม่ของเขาคือ ช๊อกโกแลต เขาแสดงทัศนะแห่งความมีเหตุมีผลว่า ผู้หญิงที่สู้ผู้ชายได้ มันก็ต้องทำให้เชื่อให้ได้ อย่างจีจ้าตัวเล็กๆแขนเล็กๆ ขาเล็กๆจะต้องทำยังไง ถ้าเกิดเห็นผู้หญิงคนหนึ่งสู้ผู้ชายได้เป็นสิบๆคน ต้องเหลือเชื่อแน่ๆ ว่าเขาทำได้ยังไง แต่ถ้าเขาเป็นเด็กพิเศษละซึ่งในความเป็นตรรกของภาพยนตร์ มันก็ต้องมีความน่าเชื่อถือของตรงนี้ใส่เข้าไปด้วย (เขาจึงกำหนดให้จีจ้า ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ มีความพิเศษที่ ความเป็นออทิสติก) แล้วให้เวลากับการฝึกซ้อมทั้งในส่วนของการแสดงเองและแอ็คชั่นของตัวละครตัวนี้ให้ทุกรายละเอียดทั้งหมดมาอยู่ที่ตัวจีจ้าให้มากที่สุด ในระหว่างที่ไม่มีถ่าย มันก็คือเวลาของการฝึกซ้อมของจีจ้าที่จะต้องทำให้ตัวเองเป็นเด็กออทิสติกให้ได้ ในส่วนของทักษะทางด้านการต่อสู้ ซึ่งฉากการต่อสู้ที่ถูกออกแบบมาในแต่ละฉาก จะต้องมีการถูกฝึกซ้อมตามลำดับ ตามกำหนดที่เราวางเอาไว้ ตามเหตุผลดังนี้จึงถือว่าปรัชญา ปิ่นแก้ว เป็นนักสร้างที่ประสบความสำเร็จแบบโลดโผน ยิ่งใหญ่ และหนึ่งในความหมายของเขาก็คือ ทำอะไรคำนึงถึงเหตุและผล ต้องมีเหตุมีผล เป็นวิทยาศาสตร์ และเป็นพุทธ (คืออยู่ที่เหตุผล ความสามารถ การฝึกซ้อม ไม่ใช่ต้องอ้อนวอนบวงสรวงให้พระภูมิ เจ้าที่ ผีสาง เทวดามาช่วยทำ เพราะ สิ่งเหล่านั้นแท้จริงช่วยอะไรไม่ได้เลย)
บุคคลที่ 97 ครูนวลน้อย ทิมกุล
ครูนวลน้อย ทิมกุล เป็นประชาชนคนจน ๆ คนหนึ่งของประเทศไทย ที่ไม่ได้มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีเด่นมั่นคงพิเศษกว่าคนธรรมดา ๆ คนหนึ่งแต่อย่างใด แต่เป็นครูผู้มีจิตวิญญาณครูอยู่เต็มเปี่ยม สามารถอุทิศตนเพื่อการให้ โดยให้ความรู้การศึกษา อาหาร ที่อยู่ที่พักพิง และความอบอุ่นที่ปลอบประโลมใจ แก่เด็กอนาถาที่เร่ร่อน ครัวแตก และไม่มีบ้านอยู่ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 ถึง ปัจจุบันเป็นเวลา 28 ปีเข้าแล้ว เด็ก ๆ ที่ครูนวลน้อยได้ให้ความช่วยเหลือมาล้วนเป็นเด็กที่มีปัญหาทุก ๆ ด้าน นับแต่อยู่ในครอบครัวที่มีฐานะยากจน เด็กที่พ่อแม่ต้องโทษจำคุก เด็กเร่ร่อน และเด็กที่ไม่มีโอกาสทางการศึกษาโดยนิตินัย เท่าเทียมกับเด็กอื่นๆ ปัจจุบันมีเด็กในความดูแลของ "บ้านครูน้อย" จำนวน 128 คน มีทั้งหญิงและชาย ระหว่างอายุ 6-18 ปี ในจำนวนนี้มีเด็กที่กำลังเรียนในสถานศึกษาต่างๆ 98 คน นอกนั้นเป็นเด็กเล็ก หรือเด็กพิการซ้ำซ้อน หลายคนในจำนวนนี้กลับไปพักที่บ้านของตนในเวลากลางคืน แต่ก็ยังมีเด็กอีกจำนวนไม่น้อย ที่พักอาศัยที่ "บ้านครูน้อย" และที่บ้านเช่า ซึ่งครูน้อยรับภาระค่าเช่าบ้าน เพื่อให้เด็กๆ ได้มีที่นอนอย่างปลอดภัย ประเด็นของครูน้อยที่เราเห็นก็คือ ครูน้อยไม่คิดว่าการมีประกาศนียบัตรครู เป็นเรื่องสำคัญที่ปิดกั้นความเป็นครู สิ่งที่ทำให้คนเป็นครูที่ดีไม่ได้อยู่ที่ประกาศนียบัตร์ หรือปริญญาที่รับรองให้ ถึงไม่มีประกาศนียบัตรหรือปริญญาก็เป็นครูที่ดีได้ แม้ครูผู้ยิ่งใหญ่ของโลก คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงเป็น สตฺถา เทวมนุสฺสานํ คือทรงเป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ก็มิได้มีใครออกใบประกาศนียบัตรให้พระองค์ เพื่อการทรงงานที่เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย กว่าจะมาถึงวันนี้ ครูนวลน้อย ได้ต่อสู้มาอย่างหนักหน่วง เพื่อการเริ่มต้นงานการศึกษาของชีวิตระดับแรกเริ่มของชีวิต เป็นผู้มองไกลไปถึงอนาคตของเด็ก ๆ ที่จะดีหรือเลวร้าย เพราะขาดการศึกษา หากปราศจากปัญญา ขาดวิสัยทัศน์ ขาดเมตตา และความเสียสละแล้วก็คงจะไปได้ไม่มาถึงเวลานี้ ที่มีความสุขความพอใจกับงานการช่วยเหลือเด็ก ๆ ผู้ยากไร้ ด้อยโอกาสในการเรียน จึงสมควรแก่ฐานะ บุคคลแห่งปี พ.ศ.2550 ของหนังสือพิมพ์ดีทุกประการ
บุคคลที่ 98 ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย รัฐบาลสมัคร 1
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง พูดติดปาก และมักจะออกวาทะเสมอว่า ผมเป็นชาวพุทธ เขาบอกอย่างเปิดเผยว่า อยากเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย และเขาก็ได้เป็นสมใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมในความสำเร็จของเขา แต่ประเด็นสำคัญของความเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดีก็คือ เขาเป็นรัฐมนตรีคนเดียว ที่ไม่ปรากฏภาพการบวงสรวง หรือการน้อมศีรษะบูชาสิ่งที่ไร้สาระสำคัญ เช่นพระภูมิเจ้าที่ ผี สาง เทวดา เทพเจ้า ทางจอแก้วในเวลาที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ ๆ ไม่เห็นเขาจุดธูปจุดเทียนน้อมไหว้สิ่งที่ไม่มีตัวตน ในศาลเล็ก ๆ หรือศาลใหญ่ ๆ ก็ตาม ที่ชาวบ้าน ๆ เรียกกันว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (เช่นจตุคามรามเทพ เป็นต้น) เราเห็นว่า นี่คือความมีศักดิ์ศรีแห่งมนุษย์ ความมีมนุษยธรรม ความมั่นใจในธรรมะของความเป็นมนุษย์ และบอกถึงความเป็นธรรม เนื่องจากปราศจากอคติ4 คือ ฉันทาคติ เพราะความรัก โทสาคติ เพราะความชัง โมหาคติ เพราะความหลงหรือความไม่รู้(โง่) และภยาคติ เพราะความกลัว เมื่อเขาไม่เกรงกลัวแม้เทพเจ้าแล้วก็เป็นอันมั่นใจได้ว่าจะมีความเป็นธรรมหรือความเป็นกลางต่อประชาชนอย่างแน่นอน และ สมควรที่จะได้รับการยกย่องเป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ.2550 ของหนังสือพิมพ์ดี
บุคคลที่ 99 พิชัย วาศนาส่ง
พิชัย วาศนาส่ง เป็นผู้เชี่ยวชาญผู้รู้ในศาสตร์และศิลป์สาขาต่าง ๆ เช่นดนตรีสถาปนิกนักเขียน นักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ เป็นผู้มีชื่อเสียงจากการจัดรายการโทรทัศน์ ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี เป็นผู้ที่รักภาษาไทย และใช้ภาษาไทยได้ถูกต้อง ได้ปริญญานิเทศศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยปัจจุบัน มีผลงานการเขียนบทความให้กับนิตยสารต่วย'ตูนพลอยแกมเพชร และคอลัมน์ "ข้างครัว" ในนิตยสารสารคดี บอกเล่าเรื่องราว ประวัติความเป็นมาของอาหารนานาชาติ ฯลฯ ซึ่งเป้นสิ่งชี้บอกความรอบรู้ของเขา และในการประชุมรัฐสภาหนแรกของปีพุทธศักราช 2551 ในฐานะสมาชิกรัฐสภา พิชัย วาศนาส่งลุกขึ้นอธิบายประเด็นโลกร้อน โดยอธิบายอย่างครอบคลุมองค์รวมทั้งหมดของปัญหา และสามารถแสดงเหตุผล อย่างเป็นเหตุผลที่สอดคล้องหลักอิทัปปัจจยาการ ในพระพุทธศาสนา เป็นอย่างดี จนสามารถจินตนาการตามไปได้จนเป็นภาพอย่างแจ่มแจ้ง เราจึงยกให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ประจำปี 2550 คนสำคัญที่ควรยกย่องอีกท่านหนึ่ง
บุคคลที่ 100 อนันต์ บัวสุวรรณ นายกสมาคมปลอดภัยไว้ก่อน
ทำงานด้วยความเสียสละ มีความสม่ำเสมอ มั่นคงในกิจวัตร แม้เมื่อมาเองไม่ได้ ก็มีตัวแทนมาออกรายการ ที่เห็นบ่อยก็คือ ดร.พร้อมพิไล บัวสุวรรณ ซึ่งเป็นส่วนของงานที่เต็มไปด้วยความเสียสละนี้ ดำเนินรายการเพื่อสาธารณประโยชน์โดยบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง สัจธรรมในงานนี้ก็คือการเตือนมวลชนมหาศาลให้ระลึกถึงมาตรการป้องกันไว้ดีกว่า คือ ปลอดภัยไว้ก่อน ทางช่อง 9 เป็นประจำทุกวันเสาร์ ท่านมีวาทะที่น่าเลื่อมใสว่า ถ้าสังคมเราคิดเพียงคำว่า “เรื่องของมึง ไม่ใช่เรื่องของกู” หรือ “เรื่องของกู ไม่ใช่เรื่องของมึง” แล้ว สังคมก็ขาดความสมานฉันท์ ขาดความอุทิศ ขาดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว เป็นสามัคคีธรรม แต่ถ้าเมื่อไรเราพูดว่า “เรื่องของเรา” แล้ว นั่นแหละสามัคคีธรรมย่อมเกิดขึ่นในสังคมที่รักของเราได้ นี่คือหลักการว่าด้วยสามัคคีธรรมจริง ๆ เราจึงมอบความเป็นบุคคลแห่งปีให้อีกท่านหนึ่งด้วยความยินดียิ่ง
บุคคลที่ 101 อิริค จี. จอห์น( Eric G. John ) เอกอัคราชทูตสหรัฐอเมริกาแห่งประเทศไทย
ในวันครบรอบสัมพันธไมตรี ที่สถาปนาทางการทูตระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา ครบ 175 ปี (วันที่ 20 มีนาคม 2376 (ค.ศ.1833-2008) ได้แสดงวาทะว่า สัมพันธไมตรีไทย อเมริกา เป็นสัมพันธไมตรีที่ยาวนานที่สุดระหว่างสองประเทศนี้ ขณะนี้ประเทศไทยเดินทางมาถูกต้องถูกทางแล้ว เพราะได้กลับมาเป็นประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง และนับแต่บัดนี้ไป สหรัฐอเมริกาจะคืนสิทธิ์ต่าง ๆ ให้ประเทศไทยเหมือนเดิม โดยคืนสิทธิที่ถูกอายัดกลับคืนไปในระหว่างไทยถูกปกครองด้วยระบอบเผด็จการของพล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน แต่ที่น่าชื่นชมของเราก็คือการประกอบพิธีปลูกต้นไม้ที่ระลึกคือ พิธี Tree Planting Ceremony in Honor of 175 Years of U.S.-Thai Friendship: Thursday, March 20, 11:00am at Jatujak Park เปิดสวนอนุสรณ์ 175 ปีเพื่อเป็นเกียรติยศแด่วันครบสัมพันธไมตรีสหรัฐ-ไทย 175 ปี วันที่ 20 มีนาคม 2551ที่สวนจตุจักร [ plant 175 trees in the new U.S.-Thai garden honoring the long and enduring friendship between our two countries] โดยปลูกต้นไม้จำนวน 175 ต้น ร่วมกับนายกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวช, ผู้แทนรัฐบาลไทย,ผู้แทน กรุงเทพมหานครและแขกพิเศษจำนวนหนึ่ง จากเวลานั้นแล้ว ท่านเอกอัครราชทูต อีริค จี. จอห์น นี้ ยังได้เดินทางไปพร้อมภริยา (Mrs. Erick G. John) ไปทำบุญสังฆทาน ที่วัดปทุมวนาราม ตามข่าวเห็นท่านเอกอัครราชทูต ทำหน้าที่เป็นศรัทธาธิบดี คือเป็นประธานเจ้าภาพ และทำหน้าที่ของท่าน คือ เริ่มด้วยการบูชาพระรัตนตรัย เห็นท่านคุกเข่าลง ณ แท่นกราบ และจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ที่โต๊ะหมู่บูชา ด้วยท่าทางของผู้ศรัทธาจริง ๆ และพระสงฆ์เถรานุเถรที่มารับสังฆทาน จำนวนร่วม 10 รูปก็ล้วนมีอาการสงบและชื่นชมท่านเอกอัครราชทูตท่านนี้ เราเห็นว่า ตั้งแต่สหรัฐอเมริกามีสัมพันธไมตรีกับประเทศไทยมา ไม่เคยเห็นภาพที่แสดงออกถึงความเข้าใจในประเพณีของชาวพุทธ และร่วมในประเพณีชาวพุทธ ว่าด้วยการทำบุญสังฆทาน อันเป็นระบบประเพณีแบบชาวพุทธพื้นบ้านทั่ว ๆ ไป นิยมทำกันมาเป็นเวลาช้านานนี้ โดยศรัทธาแห่งใจตนเอง เหตุที่ความศรัทธา ด้วยศาสนาพุทธมิได้มีการบังคับชาวพุทธหรือมนุษย์ผู้ใดให้ทำบุญในพระพุทธศาสนา เราจึงเห็นว่า นี่เป็นการลดตนเองลงมา ยอมรับในสัจธรรมของการให้ ( ทานํ ) ซึ่งหมายถึงความเข้าใจสัจธรรมแห่งความเป็นมนุษย์ผู้มีจิตใจที่เคารพผู้อื่น เคารพในความคิดเห็นของผู้อื่น และ เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันระหว่างมนุษย์ด้วยกัน นั่นเอง นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่เราเต็มใจยินดียกย่องท่านเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย อิริค จี จอห์น ท่านนี้ โดยขอยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ประจำ ปีพุทธศักราช 2550
เราจึงขอประกาศนาม อ่องซาน ซูจี พล.ต.ต. นภดล เผือกโสมณ คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ปรัชญา ปิ่นแก้ว ครูนวลน้อย ทิมกุล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง พิชัย วาศนาส่ง อนันต์ บัวสุวรรณ อิริค จี. จอห์น( Eric G. John ) ว่าเป็นบุคคลแห่งปีพุทธศักราช 2550 ของหนังสือพิมพ์ดี ไว้ ณ ที่นี้
บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 40
9 เม.ย. 2551
**************************************************************************************************************************************************************************************************
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2551
บุคคลที่ 102 วีระ มุสิกพงศ์
วีระ มุสิกพงศ์ นักต่อสู้ ที่มีอดีตมากมาย หลากประสบการณ์ สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนับแต่ช่วงปลายปี 2551 เป็นต้นมา ที่ควรนับว่าเป็นปรากฎการณ์แปลกพิเศษที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในประเทศไทยก็คือ ปรากฎการณ์สีแดง และครั้งล่าสุดมี แดงทั้งแผ่นดิน เพื่อประชาธิปไตย นั้น เป็นฝีมือของเขา และสหายร่วมงานอีก 2 คือ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ จตุพร พรหมพันธ์ ที่ได้รับฉายาจากฝ่ายตรงข้ามเขาว่า 3 เกลอหัวเกรียน การพูดของเขาบนเวทีต่าง ๆ ได้บ่งบอกไปถึงชีวิตและอุดมการณ์ของเขา เราได้พบว่าเขามีความนิ่งสงบสงัด และความเย็นเยือกแห่งภาคภายใน เพราะเหตุที่มีประสบการณ์มาก ชีวิตได้เก็บเกี่ยวเรื่องราวของชีวิต สังคม ชาติ บ้านเมือง และสัจธรรมมามากพอเอาตัวเองรอดในโลกที่อันตรายได้อย่างสบาย ๆ ในท่ามกลางความผันผวนปั่นป่วนและไร้ระเบียบวินัย
ในช่วงเวลาปัจจุบันนี้ เราได้พบว่า วีระ มุสิกพงศ์ ดูเหมือนว่าเขาอยู่ข้างเดียวกับโชคชะตา มีโชคชะตาเป็นเพื่อน พร้อมนิพพิทาญาณคือความหน่ายในโลกสงสาร แม้ว่าโดยแท้จริงเป็นเพราะความมีจุดยืนของชีวิตที่ถูกต้อง นั่นคือ สัจธรรม โดยวาทะพระพุทธภาษิตว่า สจฺจํเว อมตา วาจา : วาจาจริงเป็นสิ่งไม่ตาย และวันนี้อุดมการณ์ของชีวิตได้แฝงไว้ในรายการ ความจริงวันนี้ ก็เป็นสิ่งที่เป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อความสำเร็จในชีวิตของเขา เพื่ออุดมการณ์ประชาธิปไตยที่กว้างใหญ่ ภาพอนาคตข้างหน้าก็ดูชัดเจน มีมาตรฐานความเข้าใจในระดับแห่งศาสนธรรมค่อนข้างสูง ที่มีเส้นแบ่งที่แตกต่างระหว่างวิชชาและอวิชชา พร้อมวิสัยทัศน์อันกว้างไกล รอบด้าน ที่ครอบคลุมทุกศาสตร์ทุกสถานการณ์
ระยะหลังมานี้เขาเก่งกล้าหาญพอที่จะวิพากษ์สันติอโศก และนายรัก รักพงษ์แห่งสันติอโศก ในยุคที่หลงผิดในความเป็นศาสดา ซึ่งนี่เป็นการเปิดทางสู่ความจริงอีกทางหนึ่ง ทางแห่งโลกเร้นลับ หรือ โลกุตตรภูมิ นั่นคือการเปิดทางภูมิปัญญาไปสู่ระดับธรรมชาติ อันเป็นธรรมดา ที่ปราศจากการยึดมั่นถือมั่น คือความหลุดพ้น ที่พ้นไปจากกาลเวลา ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต และทั้ง ไม่มีปัจจุบัน
บุคคลที่ 103 ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เขาได้รับการจารึกประวัติชีวิตตอนต้น ๆ ไว้ว่า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์พีทีวี อดีตรองโฆษกพรรคไทยรักไทย ในปี พ.ศ. 2551 นายณัฐวุฒิได้เป็นหนึ่งในพิธีกรรายการความจริงวันนี้ ทาง NBT โดยร่วมกับนายวีระ มุสิกพงศ์ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ แต่เมื่อรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้มอบหมายให้นายณัฐวุฒิ เข้าดำรงตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายก่อแก้ว พิกุลทอง จึงได้เป็นพิธีกรแทนนายณัฐวุฒิ ประวัติ นายณัฐวุฒิ มีชื่อเล่นว่า “เต้น” เกิดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2518 ที่อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช จบการศึกษาระดับประถม ที่โรงเรียนวัดพระมหาธาตุ เมื่อปี พ.ศ. 2530 ระดับมัธยม ที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช เมื่อปี พ.ศ. 2536 สร้างชื่อเสียงด้วยการเป็นนักโต้วาทีของโรงเรียน จนได้เป็นแชมป์ รายการโต้คารมมัธยมศึกษา ทางช่อง 3
เรื่องราวในระยะหลังของบุคคลผู้นี้ เป็นเรื่องที่น่าประทับใจ น่าเลื่อมใส ศรัทธา เขาได้พบกับความอกหักติดต่อกันไปตามรัฐบาลที่ถูกโค่นล้มอย่างไม่เป็นธรรม อย่างน้อยก็ 2 รัฐบาลมาแล้ว ทั้ง ๆ ที่เขาได้ทุ่มทุกอย่างเพื่อปกป้องรัฐบาลของเขาอย่างสุดฤทธิ์ น่าจะเป็นภาวะที่สุดทนของปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำร้ายและปิดกั้นทางเดินของเขาเหล่านี้ มิอาจสะกัดกั้นเขาได้ เขายังคงเดินหน้าต่อไปด้วยมาดของนักสู้ ในดวงตาของเขายังคงสดใส มีประกายแห่งความปิติชื่นมื่นเสมอ ไม่เคยปรากฏรอยที่ขุ่นมัว เศร้าโศก และสิ้นหวัง และริมฝีปากเขาก็ยังมีรอยยิ้มแย้มและอารมณ์ขันดุจไม่รู้จักความเศร้าโศกเสียใจในชีวิต เรามองว่าเป้นบุคลิกภาพที่สะท้อนความสามารถ เป็นคนที่เก่งจริง กล้าหาญจริง พร้อมทั้งสุขภาพทั้งทางกายและทางใจสมบูรณ์ ทั้งเป็นนักสู้ผู้เฉลียวฉลาด มีไหวพริบ และความเท่าทันคนเท่าทันสถานการณ์ เขามีบุคลิกภาพที่เชาวน์ปัญญาแล่นเร็ว สามารถเอี้ยวพลิกตัวหลบหรือใช้เป็นยุทธวิธีในสนามรบแห่งปัญญาได้คล่องแคล่ว และที่สำคัญคือจุดยืนที่อยู่บนความจริงวันนี้ ซึ่งย่อมเป็นต้นทางนำไปสู่สัจธรรมอันเป็นโลกุตตระ อันเป็นอมตะนิรันดร์กาลต่อไป
บุคคลที่ 104 จตุพร พรหมพันธ์
จตุพร พรหมพันธ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบสัดส่วน พรรคเพื่อไทย มีประวัติช่วงหลัง ๆ มานี้ว่า จตุพร พรหมพันธ์ ได้เข้าร่วมเป็น 1 ใน 8 แกนนำกลุ่ม นปก. ที่เคลื่อนไหวต่อต้าน คมช. เคยเข้าสังกัดกับพรรคพลังประชาชน พร้อมกับลงรับสมัคร ส.ส. ในระบบสัดส่วนลำดับที่ 4 ของโซน 6 ที่ประกอบด้วยพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ต่อมาในปี พ.ศ. 2551 นายจตุพรเป็นหนึ่งในพิธีกรรายการ ความจริงวันนี้ ทางเอ็นบีที โดยร่วมกับ นายวีระ มุสิกพงศ์ และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ภาพที่เห็นเขาเป็นคนที่มีน้ำหนัก เป็นนักสู้ที่พร้อมทั้งอาวุธทางปัญญาและการกระทำ เขาเป็นคนที่ใช่มีเพียงมีวาทะ หากแต่มีวาทะพร้อมสติที่ควบคู่ไปกับการกระทำ ที่รู้ภาษาการพูดจาดี ที่หวังผลต่อความเป็นธรรมอย่างไร อันเป็นลักษณะของจินตนาการที่พรั่งพรู ออกมาดบทบาทที่มั่นคงกล้าพบกล้าเผชิญความจริงและคนจริง แน่ละเขากล้าสู้กับสิ่งที่ไม่เป็นธรรมในแผ่นดิน ทั้งในระบบและนอกระบบอย่างไม่ระย่อ ในขณะเดียวกันมีบุคลิกของนักสู้ผู้เยือกเย็น สุขุม อารมณ์ดี
ในระยะหลังได้เห็นอารมณ์ขันของจตุพร พรหมพันธ์ แม้ในประเด็นปัญหาการเมืองที่เกรี้ยวกราด ดุดัน แฝงอันตราย แต่เขามองเป็นเรื่องที่น่าขบขัน ทำให้สะท้อนถึงจิตใจอันกว้างใหญ่และจริงใจของเขา ที่บ่งถึงความเป็นมิตรก็เป็นมิตรอย่างยิ่งใหญ่ และพร้อมที่จะเป็นมิตรกับทุกคน ที่พร้อมจะมาสู่อุดมการณ์เดียวกัน เมื่อเป็นศัตรูก็อย่าหวังว่าจะอยู่ร่วมหรือเดินไปเป็นคู่ขนาน แต่ต้องตายจากกันไปข้างหนึ่งชนิดที่ร่วมแผ่นดินกันหาได้ไม่ อันสอดคล้องทฤษฎีสัจธรรม 2 ด้าน คือสัจธรรมขาว และสัจธรรมดำ อันเป็นปรมัตถสัจจะสูงสุดสำหรับปัญญาชนหรือเหล่านักปราชญ์ ผู้รู้ทั้งหลาย มุ่งศึกษาเพื่อการบรรลุแจ้งสัจธรรมอันสมบูรณ์ อันแท้จริงที่ปราศจากความลำเอียงในการมองเหตุการณ์ใดหนึ่ง
เมื่อเร็ว ๆ นี้จตุพร พรหมพันธ์ได้บัญญัติวันที่ 14 ก.พ. ว่าเป็นวันแห่งความรักประชาธิปไตย ซึ่งฟังเป็นหลักการที่ดีมากสำหรับประเทศและวัฒนธรรมไทย น่าจะมีการก้าวหน้าไปตามวัฒนธรรมใหม่นี้ดีกว่าการก้าวไปตามวัฒนธรรมกาม คือ วาเลนไทน์ อันเป็นวัฒนธรรมต่างชาติต่างศาสนาจากเรา นี่ก็เป็นเรื่องของความน่าชื่นชมอีกเรื่องหนึ่ง สำหรับบุคคลผู้สมควรยกย่องว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี
บุคคลที่ 105 ก่อแก้ว พิกุลทอง
ก่อแก้ว พิกุลทอง เกิดเมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2508 ที่ อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา เป็นบุตรของ นายตี่-นางซิ่น พิกุลทอง จบการศึกษามัธยมปลายจาก โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย เคยสอบได้ที่ 1 ของภาคใต้ ในการสอบแข่งขันของสมาคมคณิตศาสตร์แห่งประเทศไทย ทั้งประเภทบุคคลและประเภททีม เมื่อปี 2526 จบปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (เกียรตินิยม) เมื่อ พ.ศ. 2531 จบปริญญาโท MBA International Program จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (เกียรตินิยม) เมื่อ พ.ศ. 2542 ได้รับเลือกให้เป็นประธานนักศึกษาปริญญาโท ในปี 2541 เคยทำงานที่ บริษัท น้ำมันคาลเท็กซ์(ไทย)จำกัดระหว่างปี2531-2536 ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ
ภาพที่ปรากฏในปัจจุบัน เมื่อมองบทบาทของบุคคลผู้นี้ พบการต่อสู้ที่ออกมาจากดวงใจของนักสู้ ผู้มีความสุขในการต่อสู้เพื่อมวลชน เมื่อปรากฏต่อหน้ามวลชน มาดของเขากล้าหาญ เฉียบขาด บ่งถึงความรักในสัจธรรม การกล่าววาทะมีความแหลมคม ที่สะท้อนความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจการเงินและการพานิช รวมทั้งการเมืองเอง อย่างไม่หยุดรั้งรีรอ เพราะทุกอย่างออกมาจากสัจธรรมภายในดวงจิต ดวงจิตที่รักความเป็นธรรม ที่มีปกติเกลียดชังอธรรมอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อวาทะที่ออกมาจากดวงจิตที่ซาบซึ้งในสัจธรรมเต็มเปี่ยมแล้ว ภาพของเขาก็ดูดี ครั้นเมื่อมาอยู่บนโต๊ะเสวนาเดียวกับ สามเกลอหัวเกรียน แห่งรายการความจริงวันนี้ ( วีระ มุสิกพงศ์ ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ จตุพร พรหมพันธุ์ ) รวมเป็น 4 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค ซึ่งน่าจะได้รับการจารจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกหน้าหนึ่ง
บุคคคลที่ 106 ใจ อึ๊งภากรณ์
ใจ อึ๊งภากรณ์ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี บันทึกประวัติช่วงหลังของใจ อึ๊งภากรณ์ เอาไว้ว่า ภายหลังการรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 และคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ใจประกาศไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร และยกเลิกรัฐธรรมนูญ และเป็นแกนนำนักศึกษามหาวิทยาลัยจัดชุมนุมประท้วง และสวมชุดดำ รวมทั้งให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า นายกฯ ที่ได้รับการแต่งตั้ง เป็นนายกรัฐมนตรีทหาร ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ถือว่าเป็นนายกรัฐมนตรีเถื่อน จนถูกแจ้งความจับในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
เรามองว่า อาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์ ทายาทผู้รับมรดกธรรมจาก ศ.ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในฐานะบุตรชาย ภาพที่เห็นเขาได้ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์สังคมมาอย่างกระปรกกระเปี้ย จนดูประหนึ่งว่าเขาคงอดใจวางมือหลบหน้าหนีสังคมที่อธรรมนี้ เอาตัวรอดไปเสียคนเดียวไปนานแล้ว แต่แล้ว ในขณะที่มีความสับสนทางการเมือง อะไรเป็นอะไรของลัทธิทางการเมือง ใจ อึ๊งภากรณ์ ก็โผล่ออกมายืนยันอุดมการณ์ คือความเป็นธรรมในแผ่นดิน จึงได้เห็น บทบาท จุดยืนของใจ อึ๊งภากรณ์ที่แน่วแน่ไม่แปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์หรือกระแสสังคมและการเมือง ปรากฏว่ากล้าออกมายืนยันอุดมการณ์ประชาธิปไตย อย่างตรงไปตรงมา น่าเลื่อมใส เขาแสดงหลักวิชา และตรงตามหลักวิชา ไม่มีความลำเอียงไปตามกระแส หรือแม้กระทั่งบุคคลใดบุคคลหนึ่ง นั่นคือจิตใจของนักวิชาการที่แท้จริง
ในวันนี้ ใจ อึ๊งภากรณ์ ได้พิศูจน์แล้วว่าเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์ต่ออุดมการณ์อย่างแน่วแน่ อย่างเป็นตัวตนที่แท้จริงของนักต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมและเพื่อประชาธิปไตยโดยแท้จริงคนหนึ่ง และเรามองไปถึงแก่นธรรม คือความเป็นธรรมชาติอันสุจริตแห่งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ที่ซ่อนแฝงอยู่ล้ำลึกภายในภาคภายในของนักสู้ท่านผู้นี้
บุคคลที่ 107 ปัญญา นิรันดร์กุล
ปัญญา นิรันดร์กุล วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี บันทึกไว้ว่า ปัญญา นิรันดร์กุล มีชื่อเล่นว่า “ตา” เกิดเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2497 (อายุ 54 ปี) ในครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีน มารดาชื่อ นางอำพัน นิรันดร์กุล แม่ดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2546
ปัญญาได้รับพระราชทานปริญญาสถาปัตยกรรมศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมรสกับ นางวาสนา นิรันดร์กุล มีบุตร-ธิดารวม 4 คน คือ น้ำตาล-ปานวาด (เกิด: พ.ศ. 2527) , น้ำหอม-ปานตา (เกิด พ.ศ. 2530) , น้ำทอง-ปานฝัน (เกิด: พ.ศ. 2531) และ น้ำมนต์-ปรวัธน์ (เกิด: พ.ศ. 2537)
ปัจจุบัน ปัญญา นิรันดร์กุล เป็นพิธีกร และนักแสดงชาวไทย หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง และดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) (อังกฤษ: WorkPoint Entertainment Co., Ltd.) ปัญญามีบ้านพักอยู่ภายในหมู่บ้านเมืองเอก ย่านรังสิต ใกล้กับ สตูดิโอเวิร์คพอยท์ ที่ทำการใหม่ของ บมจ.เวิร์คพอยท์ฯ มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสตูดิโอถ่ายทำรายการโทรทัศน์ และละครโทรทัศน์ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย
ดูรายการต่าง ๆ โดยปัญญา นิรันดร์กุล เป็นพิธีกร ทางช่อง 7 สี แล้ว พบว่า เขาเป็นคนที่มีความจริงใจ ที่มุ่งหมายสร้างงานเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อคนทั้งหลาย แบ่งปันและเอื้อเฟื้อซึ่งผลประโยชน์ที่ทำมาหาได้ร่วมกันอย่างเป็นธรรม อย่างมีน้ำใจเอื้ออารีตามเหตุผล เรามองว่านี่คือความเป็นมนุษย์ และบ่งถึงจิตใจที่เมตตา เข้าใจคนอื่น มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น ในขณะเดียวกันกับที่มีความสนใจในธรรมะ ที่ได้คำนึง 2 ด้าน แห่งธรรมะ มีแนวทางวิจัยธรรมะที่มุ่งหมายถึงสาระแห่งธรรมะกับชีวิต-สังคม ซึ่งตรงกับพุทธองค์ระบุว่า พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ คือปฏิบัติธรรมไปเพื่อความมุ่งหมาย 2 อย่าง คือ เพื่อให้ได้ประประโยชน์ และ เพื่อให้ได้ความสุข การมองธรรมะ 2 ด้านเป็นทางของความริเริ่ม ปัญญา นิรันดร์กุล จึงสามารถมองธุรกิจโดยธรรมะไปได้ไกล สามารถสร้างตนสร้างงานจนขณะนี้เป็นเจ้าของบริษัทธุรกิจบันเทิงที่ก้าวหน้า ทันยุคทันสมัย เด่นดังเป็นประโยชน์และความสุขในสังคมได้ และเนื่องจาก เป็นเจ้าของบุคลิกภาพที่สอดคล้องบุคคลในระบอบประชาธิปไตย นั่นคือการมีความเคารพในมนุษย์ เห็นค่าของความเป็นมนุษย์ในบุคคลอื่น จึงสมควรยกย่องเขาเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี
บุคคลที่ 108 แอน ทองประสม
แอน ทองประสม ล่าสุดเธอให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง เกี่ยวกับชีวิตคู่ของเธอ ว่า “รอให้หนุ่มเอมาขอ” “จริง ๆ อายุมันก็ได้แล้วล่ะ จังหวะมันก็ได้แล้ว แต่ว่าบังเอิญยังไม่ได้คุย จะจบงานยังไง ชีวิตคู่ยังไง ก็ขอทำงาน ปีนี้รับละครตั้ง 3 เรื่อง ยังไม่มีเวลาแม้แต่จะกลับบ้าน แอนว่าแต่งไปจะเลิกกันซะเปล่า ๆ กลัวไง เดี๋ยวเคลียร์อะไรให้ลงตัวก่อนแล้วค่อยว่ากัน แล้วก็ยังดูด้วยว่าเค้ายังอยากแต่งกับแอนอยู่หรือเปล่า” ฝ่ายชายอยากแต่งอยู่ใช่มั้ย? “เค้าก็ไม่ได้ปฏิเสธ แววตาก็ดูไม่ได้ เบื่อแอนหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็รอถามเค้าเองอีกรอบหนึ่ง แต่ตัวเองก็ไม่ได้ไปมองใคร ก็รอดูแต่งไม่แต่งก็ว่ากัน”
ปีที่แล้วแอนพูดเหมือนยังไม่คิดเรื่องนี้ แต่ปีนี้เริ่มคิดแล้ว “แอนก็เริ่มคิดบ้าง มันเหมือนคนเราจะใช้ชีวิตเหมือนขอนไม้ลอยน้ำไปเรื่อย ๆ ไม่วางแผนก็ไม่ใช่ ก็มองว่าเมื่อไหร่ดีนะ ไม่ใช่ไม่มองเลย” เป็นเพราะหลายคู่แต่งไปเยอะหรือเปล่า เลยเริ่มมอง “ไม่ใช่ค่ะ อันนั้นทำให้คนมาถามเราเยอะมากกว่า มันเหมือนเรียงลำดับไหล่ คนนั้นคนนี้แต่งไปแล้ว คนเลยมาเพ่งเล็งเรา แต่แอนดูความพร้อมของตัวเองและตัวเค้ามากกว่า” ปีนี้ยังไม่มีสิทธิ์ลุ้นใช่ไหม? “ปีนี้ไม่ได้แต่งแน่ ปีหน้าค่อยมาถามใหม่ละกัน เพราะว่าเรื่องแบบนี้มันตอบยาก แต่ละปีความรู้สึกมันไม่เหมือนกัน”
เรามองว่าชีวิตของ แอน ทองประสม เป็นชีวิตที่สมบูรณ์ มีความสำเร็จ ความสุข และความรอด เราเห็นว่าเธอพบสิ่งที่สมบูรณ์นี้ ด้วยความมีสติดี รู้พิจารณา ยั้งคิด และที่สำคัญมีความเฉลียวฉลาดโดยธรรมชาติ และบรรลุปัญญาว่าด้วยสัจธรรมแห่งชีวิต มั่นใจรอบรู้วิถีทางดำเนินชีวิตยุคใหม่ไปอย่างไร อนาคตเป็นอย่างไร และด้วยความเป็นเช่นนี้ มีตัวตนเช่นนี้ เป็นความสุขของชีวิตดีแล้ว และดวงตาสว่างแจ่มใส รู้แจ้งสัจธรรมแห่งชีวิต น่าเป็นชีวิตตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่งที่หายากอยู่ทีเดียว
บุคคลที่ 109 ศุภรัตน์ นาคบุญนำ
นางสาวศุภรัตน์ นาคบุญนำ สตรีกล้าแกร่งอดีตผู้สมัครส.ส.แบบแบ่งเขต กทม เขต 8 เบอร์ 17 เกิด 24 พฤษภาคม 2511 ประวัติการศึกษา- มัธยมศึกษาตอนต้น ร.ร.สตรีวัดระฆัง - ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) วิทยาเขตบพิตรพิมุขจักรวรรดิ (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์) - ปริญญาตรี วารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน (เกียรตินิยม) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์- ปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตร์ หลักสูตรการจัดการภาครัฐและเอกชน (MPPM) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
ประวัติการทำงาน - ผู้สื่อข่าวและผู้ประกาศข่าววิทยุ “ข่าวด่วน พล.1” ทางสถานีวิทยุกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ บริษัท สหศีนิมา จำกัด ในสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์- ผู้สื่อข่าวและผู้ประกาศข่าว สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7- ผู้ดำเนินรายการวิทยุ อาทิ รายการ “ร่วมด้วยช่วยกัน” - พิธีกรรายการโทรทัศน์ อาทิ รายการ “พบผู้แทน”
เมื่อมองบทบาทของ ศุภรัตน์ นาคบุญนำ พบว่าเธอมีบุคลิกภาพที่มั่นใจ และเผยให้เห็นสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์ กระนั้นแม้ในมาดที่ดูละมุนนิ่มนวล และหวานอย่างสตรีคนหนึ่ง แต่ก็ซ่อนแฝงจิตใจที่เข้มบ่งถึงความเอาจริง และความเป็นนักสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อประชาชน ที่เดินหน้าไม่มีวันถอยหลังหลบลี้หนีข้าศึก และความเปลี่ยวเปล่าแห่งชีวิตอันลึกล้ำภายในดวงจิต ดูดั่งว่าเป็นทวารชีวิตที่ยังเป็นความลับที่จักเปิดทางไปสู่ความหมายอันยิ่งใหญ่ของสัจธรรมต่อไป
บุคคลที่ 110 กนิษฐ์ สารสิน
กนิษฐ์ สารสิน ประวัติย่อ : กนิษฐ์ สารสิน เป็นลูกชายคนสุดท้องของ พล.ต.อ.เภา และ คุณหญิงถวิกา สารสิน สมรสแล้วกับ อมรา สารสิน มีบุตรชาย 2 คน ชื่อเล่น : เป๊ะ วันเกิด : 01/01/2512 อายุ 39 ปี การศึกษา จบปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเครื่องกล จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, จบปริญญาโทสาขา MBA จาก BostonUniversity ผลงานที่ผ่านมา กรรมการผู้จัดการบริษัท ผลิตอุปกรณ์ก่อสร้าง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่าย กระเบื้องยาง Dynoflex พิธีกร รายการ 4 ต่อ 4 แฟมิลี่เกม แก๊งชะนีกับอีแอบ(2006) พิธีกร รายการถ้าคุณแน่อย่าแพ้ ป.4
ภาพที่เห็นในระยะหลังนี้ก็คือเจ้าของรายการ ถ้าคุณแน่อย่าแพ้เด็กประถม ช่อง 3 ซึ่งเป็นบทบาทที่เราให้คะแนนความเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี แทบทั้งหมด เพราะเป็นการแฝงแนวคิดที่ดี ที่น่าเตือนสติคนไทย และการศึกษาในระบบการศึกษาไทยปัจจุบันว่า แท้จริงแล้ว คนเราแม้เติบโตไปแล้ว ก็ใช่ว่าเก่งเกินคนป.4 หรือผู้ที่ได้ประกาศนียบัตรเพียง ป.4 ที่สะท้อนความจริงชนิดหนึ่งในสังคมไทยยุคประชาธิปไตยผันผวนนี้ ถึงแม้ในความจริงจะยังไม่ชัดเจน แต่ก็มีร่องรอยให้เห็นว่า ผลของระบบการศึกษาไทย แม้ถึงระดับสูงสุดในสาขาวิชาบางสาขา กลับไม่แสดงออกถึงภูมิปัญญาที่สอดคล้องความจริงของประเทศไทย ก็มีอยู่มากมาย จนที่ทำความเสียหายให้แก่ระบบการเมืองระบอบประชาธิปไตยที่ชาติและประชาชนไทยส่วนรวมประสงค์ ก็มีอยู่อย่างไม่น่าเชื่อ ผู้จัดรายการนี้ ย่อมมีความรับผิดชอบและรู้ดีในความเป็นจริง จึงแสดงออกถึงจิตใจที่กล้าหาญพอที่จะชี้สัจธรรมเกี่ยวกับการศึกษาในระบบการศึกษาไทยให้เห็นชัดเจนขึ้น และนั่นหมายถึงการที่ต้องเผชิญกระแสอันเชี่ยวกรากของค่านิยมอวิชชาที่ต่อต้าน ขัดขวางอุดมการณ์การศึกษาอันสูงส่ง ในสังคมการศึกษาไทยอย่างรุนแรงและยากลำบากจะฝ่าฟันข้ามพ้น ด้วยธรรมะ คือด้วยเมตตา และอุเบกขา ในจิตใจ ทำให้การต่อสู้กลายเป็นความสุขความพอใจของชีวิตไปได้ นั่นคือคนมีธรรมะเป็นวิสัยทัศน์
บุคคลที่ 111 น.พ. เหวง โตจิราการ
วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี บันทึกว่า นายแพทย์เหวง โตจิราการ แกนนำสมาพันธ์ประชาธิปไตย สำเร็จการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, ยุค 14 ตุลา พ.ศ. 2516 เคยหนีเข้าป่าในยุค "ขวาพิฆาตซ้าย" 6 ตุลา พ.ศ. 2519 มีชื่อจัดตั้งว่า "สหายเข้ม" และมีสายสัมพันธ์อันดีกับกับ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตเลขาฯ นายกรัฐมนตรี ในฐานะเป็นศิษย์ผู้พี่ นพ.เหวงกลับมามีบทบาทในเวทีการเมืองภาคประชาชนอีกครั้ง ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 จากการเป็นแกนนำสมาพันธ์ประชาธิปไตย ร่วมกับ นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ และครูประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ, เคยร่วมกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ในการเคลื่อนไหวต่อต้าน พล.อ. สุจินดา คราประยูร พ.ศ. 2535 เมื่อ พ.ศ. 2549 เคยขึ้นเวทีต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นผู้ร่วมคัดค้านรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และเคยขึ้นเวทีขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ
ต่อมาหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 น.พ.เหวง ได้ทำการประท้วงต่อต้านคณะทหาร ซึ่งได้ทำการยกเลิกรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2540 และได้เป็น 1 ใน 8 แกนนำของแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการซึ่งมีคนใกล้ชิดของอดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นแกนนำ อาทิ เช่น นายวีระ มุสิกพงศ์(อดีตรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทยและเป็นอดีตผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) และ นายจักรภพ เพ็ญแข (อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ประกาศข่าวและผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอยู่ในขณะนี้) เป็นต้น
ในวันนี้เราเห็นว่า แนวคิดและวิสัยทัศน์ของ น.พ.เหวง โตจิราการเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม ความรู้ความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยของเขาค่อนข้างสอดคล้องทฤษฎีความเป็นมนุษย์ โดยธรรมในพระพุทธศาสนา นั่นหมายถึงพื้นฐานแห่งความพัฒนาการของมนุษยชาติ ไปสู่ทางพ้นทุกข์ที่แท้จริง และ ที่เดินไปบนความเป็นธรรมของมวลหมู่มนุษยชาติในองค์รวม เขาพูดถึงความรักในมนุษยชาติ ว่านั่นเป็นความรักที่สูงสุดและ ความเป็นมนุษย์เป็นสมบัติของมนุษย์ทุกคน ที่ต้องมีความเท่าเทียมกัน และอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน เมื่อไม่มีความเป็นมนุษย์ก็ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย นั่นหมายถึงวิถีทางแห่งปัญญาธรรม ได้บรรลุสู่ความสว่างไสว และเจริญไปตราบกาลนานภายหน้า
วิสา คัญธัพ ชื่อที่โด่งดังเป็นที่รู้จักมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2516 ชื่อของเขามีสำเนียงไพเราะที่สะท้อนไปถึงความสุนทรีย์อันกว้างใหญ่ลุ่มเย็นภายในจิตใจของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่คู่กันไปกับขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของคนหนุ่มคนสาวที่เลื่องชื่อ ที่ต่อสู้กับเผด็จการทหาร อมาตยาธิปไตยยุคนั้น
แล้วกาลเวลาก็ได้ผ่านไป ๆ และผ่านมาถึงปีนี้ กาลเวลานั้นก็ได้พิศูจน์คนหนุ่มคนสาวยุคนั้นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ว่ามี 2 พวก คือพวกที่ทรยศ กับพวกที่ซื่อสัตย์ต่ออุดมการณ์ 14 ตุลาคม 2516 สมตามสัจธรรมว่า ระยะทางพิศูจน์ม้า กาลเวลาพิศูจน์คน มีคนในยุคนั้นมากมายหลายคนได้ทรยศต่ออุดมการณ์ประชาธิปไตย เพราะความเห็นแก่ตัว โลภ และเขลา ด้วยโมหะ ละทิ้งอุดมการณ์แห่งความชอบธรรมไปเป็นทาสแห่งความโลภ โกรธ และหลง อันเป็นสัญญาณที่บอกไปว่า สังคมไทยวันนี้ คนมีแต่วาทะ โดยไร้จิตใจที่ซื่อสัตย์ต่อวาทะนั้น
แล้วเมื่อเสียงที่ก้องขึ้นในมวลหมู่ประชาชน พบว่าเป็นเสียงของคน ๆ หนึ่ง คือวิสา คัญธัพ : กวีศรีประชา เขายังคงซื่อสัตย์ต่ออุดมการณ์ เมื่อ 35 ปีที่ผ่านมาแล้วอย่างเหนียวแน่น และนั่นเป็นสิ่งที่สะท้อนว่าเขาเป็นคนจริง มีเสรีจริง เพราะมิได้ตกอยู่ใต้อำนาจของโลภะ โทสะ โมหะ สะท้อนถึงความเป็นมนุษย์ที่เป็นคนจริง และดวงใจของเขาถูกถ่ายทอดออกมาเป็นบทกวี
แน่นอนเขาเป็นกวี และเป็นกวีประชาธิปไตย ที่มีความไพเราะและความหมายที่คมเฉียบ ที่ให้รักประชาธิปไตย รักสัจจะจริงใจ รักสิทธิเสรียิ่งชีวิต และ รักความเป็นธรรม นอกจากนี้ยังมีบทเพลงของเขา ซึ่งบอกถึงความรักชาติ และรักความเป็นธรรมในแผ่นดิน รักมวลชน และรักประชาชนในระบอบประชาธิปไตย รักยิ่งกว่าตนเอง เช่นนี้คือวิถีทางแห่งความดีงาม แห่งเสรีภาพและความหลุดพ้น
บุคคลที่ 113 จาตุรนต์ ฉายแสง
จาตุรนต์ ฉายแสง วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี บันทึกไว้ว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง (1 มกราคม พ.ศ. 2499 — ) อดีตรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ปัจจุบันนายจาตุรนต์ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นระยะเวลา 5 ปี เนื่องจากคดียุบพรรคพรรคไทยรักไทย เคยได้รับการคัดเลือกจากนิตยสารเอเชียวีคให้เป็น 1 ใน 20 ผู้นำชาติเอเชียที่มีบทบาทโดดเด่นในศตวรรษที่ 20 พร้อมกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนปัจจุบัน ในทัศนะของเราเห็นว่าเขาเป็นคนมีความรู้ มีสติ และปัญญา มีความเยือกเย็น มีความรู้รอบตัวหลายสาขาวิชาการ สิ่งที่เราชื่นชมเขาก็คือ ความเยือกเย็น เขาเย็นจนไม่มีอายที่คุร้อนกรุ่น นั่นหมายถึงการรักษาอารมณ์จิตใจในระดับสมถกรรมฐานได้ดีโดยสงบอย่างเป็นธรรมชาติ และแน่นอนเขาได้พบทางแห่งความรอดและความสุขที่เป็นอมตะ และกำลังพัฒนาไปสู่อารมณ์ชั้นภูมิปัญญา คือวิปัสสนาญาณ และเจริญธรรมแห่งอริยมรรคอริยผลอันสูงสุดในลำดับต่อไป
บุคคลที่ 114 อดิศร เพียงเกษ
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีบันทึกประวัติที่น่าสนใจไว้ว่า อดิศร เพียงเกษ เกิดเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2495 ชื่อเล่น ตุ๊ ลูกชาย ทองปักษ์ เพียงเกษ อดีต ส.ส.ขอนแก่น ภายหลังจบการศึกษาระดับต้นในบ้านเกิด จังหวัดมหาสารคาม แล้วย้ายเข้าเมืองกรุง โดยเป็นศิษย์มัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ นักเรียนเก่าเทพศิรินทร์ รุ่น 10-12 เลขประจำตัวนักเรียน ท.ศ.11260 แล้วเข้าอุดมศึกษาโดยจบการศึกษานิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, พุทธศาสตรมหาบัณฑิต (พระพุทธศาสนา) จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ปริญญาเอก Ph.D.,D.Litt. จากมหาวิทยาลัยมคธ ประเทศอินเดีย, ประกาศนียบัตรชั้นสูง หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง (ปปร.1) จากสถาบันพระปกเกล้า ปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ศิลปศาสตรดุษฏีบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยราชภัฎเลย
มาถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ได้เข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในฐานะแนวร่วม พร้อมครอบครัวทั้งหมด อาศัยอยู่ในประเทศประชาธิปไตยประชาชนลาว มีชื่อจัดตั้งว่าสหายศรชัย และ สหายสอง ชีวิตส่วนตัว สมรสกับ ดร.เยาวนิตย์ เพียงเกษ (สกุลเดิม พินสำริด) ชื่อจัดตั้งคือสหายการะเกด ปัจจุบันเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น สาขารัฐศาสตร์ และมีบุตรนอกสมรสจำนวน 3 คน กับ น.ส.นภาพร รักษ์สัจจะ เจ้าหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร
อดิศร เพียงเกษ เริ่มเล่นการเมือง พ.ศ. 2526 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดขอนแก่น สังกัดพรรคมวลชน เมื่อปี พ.ศ. 2531 และต่อมาได้ย้ายมาอยู่พรรคพลังธรรรม พรรคนำไทย และพรรคไทยรักไทย ตามลำดับ ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีดังนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการเมื่อพ.ศ. 2535 เป็นส.ส.สังกัดพรรคพลังธรรม ชนะการเลือกตั้งแบบยกทีมในเขต 1 จังหวัดขอนแก่น ในการเลือกตั้ง 35/2, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (11 มีนาคม 2548), รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (2 สิงหาคม 2548)
ในทัศนะของเรา เห็นว่า อดิศร เพียงเกษ นับว่าเป็นคนดีและคนเก่งของอีสานได้คนหนึ่งทีเดียว และที่ได้คะแนนจากเราก็คือเขาเป็น บุคคลผู้แสดงออกถึงอุปนิสัยแห่งอีสาน ผูกพันอย่างลุ่มหลงกับดนตรี เช่นแคนอีสาน อย่างลึกซึ้ง เขาเป็นสายเลือดอีสานที่กล้าแสดงตนอย่างเปิดเผยแต่ไหนแต่ไรมาว่า เขาคืออีสาน นั่นคือความมีกตัญญุตาธรรมความมีอุเบกขาธรรม คือการมองโดยความเป็นกลาง สุจริตต่อความเที่ยงธรรม และดำรงตนเป็นกลางตามความสัจจริง เสียงที่เกิดจากการบรรเลงเดี่ยวแคนอิสาณบอกไปถึงคุณลักษณะของอีสานก็คือ ซื่อและกตัญญู แต่ อดิศร เพียงเกษ ได้แสดงถึงปัญญาที่รู้เท่าทันเหตุการณ์และสถานการณ์ต่าง ๆ รอบด้านไปอีก อันเป็นส่วนเพิ่มเติมไปจากความเป็นอีสาน และยังแสดงถึงคุณธรรม คือความสะเทือนใจและอ่อนไหวในประเด็นแห่งคุณธรรมและจริยธรรมอย่างสูง นั้นหมายถึงความอ่อนโยน มีเมตตาต่อแผ่นดินกำเนิดและมาตุภูมิอย่างแนบแน่น ย่อมเป็นเอกบุรุษผู้นำในแผ่นดิน อีกผู้หนึ่ง
บุคคลที่ 115 สุนัย จุลพงศ์ธร
ข้อเท็จจริงที่น่าชื่นชมสำหรับ สุนัย จุลพงศ์ธรในวันนี้ นั่นก็คือ เขายังคงเป็นคนของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มตัว เขายังคงอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร เป็นสมัยที่นับไม่ถ้วน เท่าที่เห็นมีสภาผู้แทนราษฎรสมัยใดใด ก็ไม่เคยว่างไปจากสุนัย จุลพงศ์ธร คนนี้ การที่เป็นดาวเด่นแห่งสภาของราษฎรในระบอบประชาธิปไตย นอกจากบอกไปถึงความรักของประชาชนแล้ว ยังบอกไปถึงความเก่งของเขา ที่เอาตัวรอดไปจากอมิตรหรือศัตรูทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตย โดยภูมิปัญญา วิสัยทัศน์ และเชาวน์อันคล่องแคล่วลื่นไหลหลบหลีกศัตรู อย่างไม่หวั่นหวาด การต่อสู้ของเขาก็ยังคงเด่นอยู่ในสภา มาตลอด
ตราบเวลาล่วงมาบัดนี้ ได้เห็นสุนัย จุลพงศ์ธร ในอีกบทบาทหนึ่ง เขาได้เพิ่มภาระการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไปอีกเวทีหนึ่ง คือ นอกเวทีรัฐสภาแห่งระบอบประชาธิปไตย อันวิ่น ๆ ของยุค คมช.นี้ มาสู่เวที ประชาชนโดยตรง คือ ห้องเรียนประชาธิปไตย ของ ดี สเตชั่น และแน่นอน บทบาทของเขาก็โดดเด่นบนเวทีนี้ เพราะเขาได้นำเอาประสบการณ์ที่ได้มาชั่วชีวิต ออกมาอธิบายให้เป็นแง่คิดสำหรับประชาชนในระบอบประชาธิปไตย เพื่อประชามหาชนผู้รักประชาธิปไตยใช้ประโยชน์ เป็นการแก้ปัญหาและการต่อสู้ที่เป็นการนอกระบอบสภาที่เขาคุ้นเคยมา เขามีภูมิปัญญาที่จะทำให้ประชาธิปไตยที่ประชาชนควรเรียนรู้ไปอย่างลึกซึ้งอย่างใด อย่างน่าติดตามไปอย่างยิ่งและไม่น่าผิดหวังในบทบาทของเขา และนั่นคือการสะท้อนจากคนผู้มีความเป็นมนุษย์อันสมบูรณ์ในระบอบประชาธิปไตยคนหนึ่งในยุคนี้ และความหมายก็คือ การมองคนเช่นคน นั่นเป็นความหมายของความเป็นมนุษย์ และนี่คือบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี
บุคคลที่ 116 ปองพล อดิเรกสาร
ปองพล อดิเรกสาร มีบันทึกของสารานุกรมเสรีฉบับนั้นว่า ปองพล อดิเรกสาร หันมาเขียนนิยายหลังสอบตกการเลือกตั้ง พ.ศ. 2535 [2] โดยนิยายส่วนมากเป็นภาษาอังกฤษ ตัวเอกเป็นชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย เน้นการผสมระหว่างประวัติศาสตร์และงานข่าวกรอง มีนิยายภาษาอังกฤษ ดังต่อไปนี้ ตราบจนสิ้นกรรม (Until The Karma Ends), โจรสลัดแห่งเกาะตะรุเตา (The Pirates of Tarutao), พิษหอยมรณะ (The King Kong Effect), แม่โขง (Mekong) นิยายภาษาไทย ที่สนุก ๆ ก็มี พ่อ และ คามีเลี่ยนแมน นอกจากนี้ยังได้เขียนบทความทางวิชาการ และอื่น ๆ เช่น เกษตรนำการเมือง, ภาพชีวิต 60 ปี ปองพล อดิเรกสาร, อัตชีวประวัติ บันทึกการเดินทางสุดหล้าฟ้าเขียว กาลาปากอส มาดากัสการ์
เรามอง ปองพล อดิเรกสาร จากบทบาทในระยะปัจจุบันนี้ว่า เขาเป็นนักประพันธ์ผู้มีจินตนาการแห่งความเป็นธรรม คือเหตุผลแห่งความสมดุลตามธรรมชาติ และเขามีจุดยืนอยู่ บนความสมดุลแห่งธรรมชาตินั้น ล่าสุดเขาออกมายืนยันเรื่องปราสาทเขาพระวิหารให้ความเป็นธรรมโดยประกันว่า สมัคร สุนทรเวช และนภดล ปัทมะ เป็นผู้รักษาแผ่นดิน ไม่ใช่ผู้ทำให้แผ่นดินไทยเสียไปตามที่พรรคการเมืองพรรคหนึ่งกล่าวหาโจมตีมาตลอด เขาว่ามันมีหลักฐานการประชุมทำสัญญากันแน่นอนอยู่ ดูเอกสารนั้นสิ การเมืองไทยฝ่ายอธรรมเองทำให้สับสนวุ่นวายไปหมด การที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ นั่นบ่งไปถึง ความรักในความเป็นธรรม อันเป็นธรรมะข้อสำคัญเพื่อการรักษาแผ่นดิน และความจริงใจสุจริตของปองพล อดิเรกสาร ผู้ที่กล้ายืนยันสัจธรรมเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมขึ้นในแผ่นดินยุคนี้
บุคคลที่ 117 มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีบันทึกไว้ว่า นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบสัดส่วน พรรคเพื่อไทย และอดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา
นายมานิตย์ เกิดวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2481 จบการศึกษาปริญญาตรี นิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ วุฒิเนติบัณฑิตไทย เคยดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา และผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ต่อมาในกรณีวิกฤตตุลาการในปี พ.ศ. 2535 นายมานิตย์ถูกปลดจากตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ภายหลังได้รับการอภัยโทษ และกลับเข้ารับราชการ หลังจากเกษียณอายุแล้ว ยังดำรงตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาพิเศษ และที่ปรึกษากฎหมายพรรคไทยรักไทย
ในปี พ.ศ. 2549 นายมานิตย์ ได้มีบทบาทในการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของศาล ในคดีของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุด พล.อ.วาสนา เพิ่มลาภ และในปี พ.ศ. 2550 นายมานิตย์ได้วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตุลาการรัฐธรรมนูญ ในการตัดสินคดียุบพรรคไทยรักไทย หลังจากนั้น นายมานิตย์ ได้เข้าเป็นแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เพื่อต่อต้านการรัฐประหารของ คปค. ประวัติการทำงานอดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม
สิ่งที่คนทั้งหลายได้เห็นจากบทบาทของ มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ในระยะหลังมานี้ที่โดดเด่นก็คือการที่ เขาประกาศก้องสู่มวลชนมหาศาลผู้มาชุมนุมแสดงสปิริตที่รักประชาธิปไตยและยืนยันความถูกต้องเป็นธรรมในแผ่นดิน หมู่ชนเสื้อแดง สนามราชมังคลาสถานนับแสนคน ว่า รัฐธรรมนูญ กฎหมายต้องมีประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนาม ไม่ใช่ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่ตั้งขึ้นโดย คมช. อันเป็นบุคลิกภาพแห่งความกล้าหาญตามหลักธรรมคือ เวสารัชชกรณธรรม 5 ประการคือ ศรัทธา ศีล พาหุสัจจะ วิริยารัมฺภะ และ ปัญญา เราเห็นว่าในธรรมะหมวดนี้ทั้ง 5 ประการมีครบในตัวมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ และนี่คือความเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี วันนี้
บุคคลที่ 118 ดร.วิบูลย์ แช่มชื่น
ดร.วิบูลย์ แช่มชื่น เคยก่อตั้งโครงการเพื่อการศึกษาชื่อว่า โครงการการศึกษาเพื่อสันติภาพ (GEP) ก่อตั้งและดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 โดย ดร.วิบูลย์ แช่มชื่น อดีตนักเรียนเก่า, อาสาสมัคร AFS และสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดกาฬสินธุ์ ปี พ.ศ. 2544 และอาจารย์สายสุนีย์ ทองรอง(แช่มชื่น) อดีตครูและอาสาสมัคร AFS และ ครูโรงเรียนสตรีราชนูทิศ อุดรธานี และโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนและผู้สนใจมีโอกาสเรียนรู้ภาษาและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศอันจะก่อให้เกิดองค์ความรู้หลากหลายพร้อมประสบการณ์อันมีค่ายิ่งต่อเยาวชนซึ่งถือเป็นทรัพยากรมนุษย์อันมีค่ายิ่งของประเทศ จากประสบการณ์ของผู้ก่อตั้ง การเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน เป็นอาสาสมัครและการดำเนินโครงการมาเป็นเวลานานย่อมมีความสามารถ ความชำนาญ ที่จะให้คำปรึกษา แนะนำ และดูแลเยาวชนได้เป็นอย่างดี
ดร. วิบูลย์ แช่มชื่น เป็นผู้มีการศึกษาดีที่น่าสนใจ ในแง่ของการศึกษาที่หลายหลาก เป็นบ่อเกิดของความรอบรู้ เพราะได้ผ่านการศึกษาจากสถาบันการศึกษาต่างประเทศหลายสถาบัน นับแต่ มหาวิทยาลัยฮิโรชิม่าประเทศญี่ปุ่น (ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น), มหาวิทยาลัยปัญจาบ ประเทศอินเดีย (ทุนรัฐบาล), วิทยาลัยวิชาการศึกษามหาสารคาม (มหาวิทยาลัยมหาสารคาม) (ทุนรัฐบาล), วิทยาลัยครูมหาสารคาม (มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม), นักเรียนเก่า AFS วิกิพีเดียบันทึกต่อว่าเขามีประสบการณ์หลายด้านนับแต่เป็น อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดกาฬสินธุ์, อดีตผู้เข้าร่วมโครงการสภาอเมริกัน ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี, อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยวิชาการศึกษา ประสานมิตร, อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร, อดีตรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี, อดีตประธานกรรมการ AFS เขตอุดรธานี – เลย, หนองคาย, สกลนคร, ขอนแก่น, อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดมหาสารคาม, อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยขอนแก่น, นักเรียนเก่า AFS
จากภาพที่เห็นในระยะปัจจุบันนี้ พบการเคลื่อนไหวในบทบาทในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของ ดร.วิบูลย์ มีวิสัยทัศน์ มองกรอบความคิดเหตุผลกว้างขวางครอบคลุมองค์รวมได้ดี และชัดเจน โดยบุคลิกภาพสะท้อนให้เห็นอารมณ์จิตใจ ความเปล่าเปลี่ยวในดวงจิตที่รักในความสันโดษ จิตใจมีความหน่าย คลายจางไปจากโลกอันไร้สาระ แต่ดร.วิบูลย์ก็ยังคงอยู่กับโลกและต่อสู้เพื่อโลกได้มีความเป็นธรรม โดยสำนึกว่า ภาระในการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในแผ่นดินนั้นเป็นมาตรการการแก้ไขความวุ่นวายไม่สงบในแผ่นดินที่ถูกตรงจุดโดยแท้จริง เพื่อโลกเอง เพื่อประโยชน์ ด้วยความรู้ ความดี และด้วยความเป็นธรรม เรามองว่าสังคมย่อมได้ประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่
บุคคลที่ 119 สุวัฒน์ กลิ่นเกสร
สุวัฒน์ กลิ่นเกสร เราหมายถึง น้าติง สุดยอดนักพากษ์มวยปล้ำเมืองไทยคนนั้น เขาพากษ์มวยปล้ำอเมริกันได้ดีมาก ๆ โดยความหมายที่ว่าเขาเข้าใจแบบวิถีชีวิตอเมริกัน ที่เป็นประชาชนแห่งเสรีชนประชาธิปไตย ผู้มีความรับผิดชอบสูง อย่างเป็นสายเลือดอเมริกัน นั่นหมายความรวมไปถึงความเข้าใจเรื่องราวประชาธิปไตยในกีฬามวยปล้ำอเมริกันเป็นอย่างดี ในความหมายที่ว่า มวยปล้ำอเมริกัน ที่มีกติกาในรูปของกติกา และมีกติกาในรูปของความไร้กติกาโดยที่ขึ้นอยู่กับนักมวยอเมริกันมีจิตสำนึกอย่างสูงเองในความรับผิดชอบต่อตัวเอง และต่อสถาบัน มีความเป็นธรรม โดยจิตใจเป็นธรรมอันเป้นธรรมดาธรรมชาติ มีความเคารพตนเอง เคารพผู้ชม และความเคารพสถาบันเป็นอย่างสูง จึงทำให้ศึกมวยปล้ำอเมริกัน น่าดูน่าชื่นชมและน่าเลื่อมใสอย่างยิ่ง
ล่าสุดที่เป็นผลงานการพากษ์อย่างถึงใจถึงสัจธรรมเรื่องมวยปล้ำ ปรากฏทางจอแก้ว ก็คือการปล้ำของ ฮ็อง โฮแกน ผู้มีพลังพิเศษสำรองภายในเป็นชั้น ๆ จนสามารถพิชิตตำแหน่งแชมเปี้ยนโลกมวยปล้ำและครองเข็มขัดไว้ยาวนานที่สุดคนหนึ่ง นอกจากนั้นยังมีการท้าทาย โดยโฮแกนได้มีโอกาสวัดฝีมือกับนักมวยปล้ำที่ยิ่งใหญ่ในยุคนั้นทุกคนไปตามลำดับ ล่าสุดที่เป็นศึกยิ่งใหญ่ หลังความยิ่งใหญ่ในการปล้ำระหว่าง โฮแกน กับ พอลด็อฟ นักมวยโหดจอมพิฆาต อีกคนหนึ่งในยุคนั้น
แล้วก็มาถึงจุดสุดยอดเมื่อพบกับ อังเดร เดอะ ใยแอนท์ ( Andre The Giant ) ในปี คศ. 1987 ( พ.ศ. 2530 ) อังเดร เป็นนักมวยปล้ำที่มีขนาดร่างกายใหญ่ที่สุดในยุคนั้น มีน้ำหนักถึง 500 ปอนด์ สูง 7.5 ฟุต ในขณะที่ฮ็อง โฮแกน สูงเพียง 6 ฟุต เมื่อมายืนปะทะกันเหมือนเด็กกับผู้ใหญ่ และ อังเดรนั้นสมชื่อคือ ยักษ์ใหญ่โดยแท้จริง แต่ อังเดรนี้แหละที่ฮ็อง โฮแกนอยากพบมากที่สุด เขาให้สัมภาษณ์ว่านักมวยปล้ำที่เขาอยากพบมากที่สุดก็คือ ยักษ์ อังเดร เดอะไยแอนท์ ผู้เหี้ยมโหดผู้นี้ แล้วการต่อสู้ก็แทบช็อคคนดู เมื่ออังเดร เดอะไยแอนท์จับฮ็อง โฮแกน โยนไปโยนมาเหมือนผู้ใหญ่จับเด็ก ๆ แต่แล้ว ด้วยพลังสำรองที่ซ่อนเร้น ฮ้อง โฮแกนสามารถทำให้ยักษ์ใหญ่ อังเดร เดอะ ไยแอนท์ หลับลงได้ในที่สุด เป็นแชมป์ประวัติศาสตร์โลกที่น่าทึ่งมากในประวัติศาสตร์มวยปล้ำอเมริกัน และทั้งหมดนี้เป็นผลจากการพากษ์ ของ สุวัฒน์ กลิ่นเกสร การพากษ์มวยที่สะท้อนเอาภาคภายในอันน่าชื่นชมของชาวมวยปล้ำอเมริกันยุคนี้
บุคคลที่ 120 Angelina Jolie (แองเจลิน่า โจลี่)
เราทราบประวัติของ แองเจลิน่า โจลี จาก ประวัติ อัลบั้มดารา ของ http://www.nangdee.com เธอเป็นดาราภาพยนตร์ฮอลลีวู๊ด มีชื่ออื่นอีก 3 ชื่อคือ แองจี้, บันนี่ กับ เยลลี่บีน วันเกิด : 04/06/1975 ที่เกิด : ลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย United States ส่วนสูง : 173
แองเจลิน่า โจลี่ จบการศึกษาจากมัธยมที่ Beverly Hills High School จากนั้นไป Lee Strasberg Theater Institute และมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เป็นนักศึกษาภาคค่ำสาขาภาพยนตร์ เป็นลูกสาวของพ่อแม่ดาราใหญ่ จอน วอยต์ กับ มาร์เชลีน เบอร์ทรานด์ ซึ่งหย่ากันตั้งแต่เธอแบเบาะ ครอบครัวแตกแยกผลักดันให้โจลี่มีปัญหา วัยเด็กเธอมีแต่พี่ชาย เจมส์ เฮเวน วอยต์ สายสัมพันธ์พี่น้องสนิทแนบแน่น ปัจจุบันเขาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์ของคลินท์ อีสต์วู้ดเรื่อง “The Changeling” ,ภาพยนตร์ของทิเมอร์ เบคแมมเบทอฟเรื่อง “Wanted”
ในวันที่ 27 สิงหาคม ปี 2544 (2001) เธอได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตสันถวไมตรีองค์กรข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ (UNHCR) และยอมรับหน้าที่ในการดำเนินการเพื่อคุ้มครองผู้อพยพในทวีปทั้งห้า
สิ่งที่เราให้คะแนนเธอนั้น มาจากข่าวทั่วไปในประเทศไทย สื่อไทยนี่เอง เกี่ยวกับข่าว โรฮิงญา ผู้อพยพชาวพม่า (ที่เป็นมุสลิมชนส่วนน้อยในพม่า) ผู้พลัดถิ่น จำนวนประมาณ 1,000 คน ในปลายปี 2551 ซึ่งเมื่อสาวสาเหตุที่แท้จริงแล้ว ก็น่าจะมาจากต้นตอที่ประเทศพม่าเอง คือระบอบเผด็จการทหารพม่า นั่นคือการปกครองที่มิอยู่ในระบอบประชาธิปไตย อันเป็นลัทธิของมนุษย์ ที่ทุกคนแชร์อำนาจการปกครองประเทศด้วยกันคนละ 1 เสียง ผู้มีความเท่าเทียมกันและมีความเสมอภาค และเป็นเจ้าของแผ่นดินร่วมกัน และแองเจลิน่า โจลี่ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็น ที่แกมเป็นข้อเสนอแนะว่ารัฐบาลไทยควรจะรับโรฮิงญาอพยพเอาไว้ โดยมองในแง่ความเป็นมนุษย์ ผู้มีสิทธิอันสมบูรณ์ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปตราบอายุไข เธอมองว่าการที่ประเทศไทยขับไล่หรือเอาโรฮิงญาอพยพ 1,000 คนนั้นไปปล่อยให้เคว้งคว้างกลางทะเล จนเสียชีวิตเป็นก่ายเป็นกองถึงร่วม 500 ศพนั้น เป็นการไร้มนุษยธรรมเกินไป
เรามิได้มองว่าความคิด ข้อเสนอของเธอเป็นสิ่งผิดหรือถูก แต่เรามองที่จินตนาการของเธอว่าเป็นจินตนาการพุทธ ที่สอดคล้องแนวคิดของชาวพุทธโดยทั่วไป ที่ตั้งอยู่บนความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะเห็นสัจธรรมว่ามนุษย์ด้วยกันต่างก็เป็นทุกข์ ชาวพุทธจึงมีเมตตา และรู้จักธรรมปฏิบัติทางสังคม การเมืองระบอบประชาธิปไตยเบื้องต้น นั่นคือ รู้จักเอาใจเขาไปใส่ใจเรา และนั่นคือความเข้าใจในทุกข์และสุขของคนอื่นเสมอเหมือนกับเรา ความเคารพในสิทธิของผู้อื่นเท่า ๆ กับความเคารพในสิทธิของเรา อันเป็นหลักการของประชาธิปไตยขั้นพื้นฐาน เรามองว่าเธอมีความใจอ่อน ที่สะเทือนใจในการที่เห็นคน ผู้มีชีวิตเหมือนคนทั้งหลาย ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างกับไม่ใช่มนุษย์ ทั้งจากรัฐบาลพม่าเอง และบัดนั้นจากรัฐบาลไทย ซึ่งทั้งสองรัฐบาลต่างก็มีชาวพุทธเป็นประชาชนแทบทั้งหมดที่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นวิถีความคิดและจิตใจของชาวพุทธโดยแท้จริง แม้ว่าเธออาจจะไม่ได้เรียนรู้พุทธธรรมจากพระคัมภีร์พุทธ แต่เรียนรู้จากธรรมชาติ และจากข้อสรุปประสบการณ์ในเรื่องราวของมนุษย์ เราจึงเห็นสมควรยกย่อง ในน้ำใจที่สะท้อนความเป็นพุทธโดยธรรมชาติที่แท้จริง และมองว่าเธอเป็นบุคคลสำคัญเป็นตัวแทนแนวคิดของพระพุทธศาสนา ควรแก่ความเป็นบุคคลแห่งปี ของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2551
หนังสือพิมพ์ดี จึงขอยกย่องบุคคลต่อไปนี้คือ วีระ มุสิกพงศ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธ์ ก่อแก้ว พิกุลทอง ใจ อึ้งภากรณ์ ปัญญา นิรันดร์กุล แอน ทองประสม ศุภรัตน์ นาคบุญนำ กนิษฐ์ สารสิน เหวง โตจิราการ วิสา คัญธัพ จาตุรนต์ ฉายแสง อดิศร เพียงเกษ สุนัย จุลพงศ์ธร ปองพล อดิเรกสาร มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ดร.วิบูลย์ แช่มชื่น สุวัฒน์ กลิ่นเกสร Angellina Jolie (แองเจลิน่า โจลี่) ว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ปี พุทธศักราช 2551 และหวังว่าจักประสบความสุขความเจริญในธรรมะ-ประชาธิปไตยยิ่ง ๆ ขึ้นไป ตลอดกาลนาน
โปรดติดตามหนังสือพิมพ์ดี ต่อไป บรรณาธิการ 19 ก.พ. 2552
**************************************************************************************************************************************************************************************************
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2552
บุคคลที่ 121 นายบารัก โอบามา (Barack Obama)
นายบารัก โอบามา (Barack Obama) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 44 แห่งพรรคเดโมแครต โดยชนะการเลือกตั้ง 4 พ.ย.2008(พ.ศ. 2551) มีอดีตประธานาธิบดี ยอร์ช ดับเบิ้ลยู บุช แห่งพรรครีปับลิก เป็นคู่แข่งสำคัญ ทำให้โอบามา เป็นคนแอฟริกันอเมริกันคนแรก ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา จากประวัติชีวิตวัยเด็กของเขา ซึ่งวิกิพีเดีย ระบุไว้ว่า โอบามา เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1961(พ.ศ.2504) ที่เมืองโฮโนลูลู รัฐฮาวาย เป็นบุตรของนายบารัก โอบามา ซีเนียร์ ชาวจังหวัดเซียยา ประเทศเคนยา และนางแอนน์ ดันแฮม ชาวเมืองวิชิทอ รัฐแคนซัส ซึ่งแม่ของเขามีเชื้อสายวงศ์ตระกูลมาจากอังกฤษ ไอร์แลนด์ และเยอรมนี แต่เขาทั้งสองได้แยกกันอยู่เมื่อโอบามาอายุได้เพียง 2 ปีและหลังจากนั้นก็หย่าขาดจากกันในเวลาต่อมา เดิมนับถือศาสนาอิสลาม แล้วเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์
เราเห็นว่า บารัก โอบามา มีเชื้อสายมาจากประเทศเคนยา เป็นอาฟริกันดำ แต่ได้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในประเทศที่มีประชาธิปไตยสมบูรณ์ เรามองว่าเป็นบุคคลแห่งระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นตัวอย่างของตัวแทนบุคคลในระบอบประชาธิปไตยของโลกที่แท้จริงด้วย การที่มีกำเนิดเป็นประชาชนผิวดำ เป็นคนเลือดผสม ระหว่างอาฟริกันบวกอเมริกัน แต่สามารถประสบความสำเร็จอย่างไม่เคยมีมาก่อนในการเมืองอเมริกา นั้นเพราะความเป็นประชาธิปไตยของประชาชนอเมริกัน และประเทศอเมริกา และบารัก โอบามาได้ต่อสู้บนเส้นทางการเมืองอเมริกามาด้วยสำนึกของประชาชนสมบูรณ์แห่งระบอบประชาธิปไตย เราหมายความรวมถึงถึงเหตุผลทางจิตวิทยา ด้านความไร้ปมด้อยทางผิวสี เผ่าพันธุ์ ของความเป็นประชาชนแห่งประเทศประชาธิปไตยตัวอย่างของโลก นั่นคือมีสิทธิ์อย่างมนุษย์สมบูรณ์ที่จะปกครองตนเองและเอื้อมตนไปสู่ความเป็นนักการเมืองในระดับสูงสุดโดยทางประชาชน ทำให้บารัก โอบามา ได้โอกาสในการต่อสู้ทางการเมืองอย่างเท่าเทียมกับประชาชนคนอื่น ๆ และสามารถประสบความสำเร็จอันไม่จำกัด นั่นคือจากการเป็นวุฒิสมาชิกแห่งมลรัฐอิลลินอยส์ ไปถึงสูงสุดของตำแหน่งการปกครอง ในระบอบของประชาชน เพื่อประชาชน และโดยประชาชน ของอเมริกา ได้เป็นประธานาธิบดีบารัก โอบามา
และด้วยเหตุนี้ บารัก โอบามา จึงได้ทำให้ประชาธิปไตยในอเมริกาได้รับการอธิบายถึงการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ชัดเจนยิ่งขึ้น ล่าสุด เดือน มิ.ย. นี้ บารัก โอบามา ได้ปลด พล.อ. สแตนลีย์ แม๊คคริสตัล (McChristal) ออกจากตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารภาคอาฟกานิสถาน ฐานแสดงความเห็นและวิพากษ์วิจารณ์การทหารที่ขัดแย้งนโยบายการบริหารของพรรคดีโมแครต ที่ได้แถลงต่อประชาชนอเมริกันไว้ก่อนแล้ว เหตุผลก็คือ ประชาชนเขาอนุมัตินโยบายไว้แล้ว ทหารมีหน้าที่ปฏิบัติตาม จะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม แต่นายพลแมคคริสตัล ก็แสดงสปิริตทหารอเมริกา ยอมรับคำสั่งแต่โดยดี เป็นตัวอย่างให้แด่ทหารในประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายโดยเฉพาะประเทศไทย ที่มีกรณีทหารขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา ที่สั่งโดยถูกต้องตามกฎหมาย และทั้งปฏิบัติตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จนเป็นเหตุให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยล้าหลังตลอดมา จนถึงเกิดเรื่องราวทหารปราบปรามประชาชนมือเปล่า เดือน พ.ค. 2553 บารัก โอบามา จึงสะท้อนว่าอเมริกาจะต้องปกครองโดยตัวแทนของประชาชนโดยสมบูรณ์ มีอำนาจตามที่ประชาชนมอบหมายอย่างสมบูรณ์ และทหารหรือกองกำลังคนที่เข้มแข็งที่สุดของประเทศมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล ที่ได้เสนอต่อประชาชนเอาไว้แล้ว เป็นสถานะที่สืบเนื่องมาในประเทศสหรัฐอเมริกาถึง 234 ปีแล้ว นี่เป็นตัวอย่างอันดีของทหารอเมริกัน และประธานาธิบดีอเมริกันอีกกรณีหนึ่ง
มีสิ่งที่เราขอยกขึ้นเป็นกรณีพิเศษก็คือ บารัก โอบามา แสดงถึงความเป็นเสรีชนอย่างสมบูรณ์ เพราะโดยเชื้อชาติบรรพบุรุษของเขานั้นเป็นเชื้อสายอิสลาม ต่อมาจึงได้เปลี่ยนศาสนามาเป็นคริสต์ และคริสต์ที่เขาเลือกเป็น โปรเตสแตนท์ มิใช่คริสต์ดั้งเดิมคือ คาทอลิก โปรเตสแตนท์ เป็นคริสต์นิกายใหม่ที่ต่อต้านคริสต์นิกายดั้งเดิม โดยพฤติกรรมการเปลี่ยนศาสนาของเขา เห็นได้ทั้งสองกรณีว่า เขามั่นใจในความเป็นเสรีชนอย่างยิ่ง และมีความเป็นมนุษย์อย่างเต็มตัว เพราะศาสนาอิสลามนั้นถือว่าการเปลี่ยนศาสนาเป็นการทรยศ เป็นมุนาฟิกส์โดยแท้จริง และการทรยศต่อพระเจ้าเป็นเรื่องความเป็นความตายถึง 2 ระดับ คือโลกนี้และโลกหน้า โลกนี้ก็ต้องโดนสาปแช่ง และโลกหน้าก็ต้องไปรับการพิพากษา พระคัมภีร์ระบุว่าผู้ทรยศย่อมมีโทษสถานเดียวคือ ความตายในนรกเพลิง แต่บารัก โอบามา ก็มิได้มองถ้อยคำที่ข่มขู่ด้วยเหตุผลส่วนนั้น สะท้อนว่าเขาเป็นมนุษย์ที่มีมันสมองคิดเหตุผลเองได้ และเชื่อตนเองมากกว่าคนอื่น หรือพระเจ้า ในกรณีที่ 2 เขามานับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแต้นท์ ซึ่งเป็นนิกายที่ต่อต้านนิกายหลักดั้งเดิมคือ คาทอลิก จนกลายเป็นสงครามศาสนาระหว่างนิกายทางฝ่ายคริสต์เนิ่นนานมา และยังคงมีอยู่ในบางพื้นที่ของโลกมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ด้วยเหตุผลทำนองเดียวกันนั่นคือ เขาเป็นเสรีชน ที่คิดเอง ใช้มันสมองเองได้ ไม่เชื่อตามพระคัมภีร์เลยทีเดียว และพระคัมภีร์ศาสนานั้นแท้จริงก็คือหนังสือเล่มหนึ่งที่มีคนเขียนขึ้น และคนผู้นั้นก็เขียนขึ้นนั้นเขียนด้วยภูมิปัญญาของคน ๆ หนึ่ง ด้วยจินตนาการของโลกยุคดั้งเดิมเท่านั้นเอง และคนยุคใหม่ เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกเชื่อถือในเรื่องที่ควรเชื่อถือ และไม่เชื่อถือในเรื่องที่ไม่ควรเชื่อถือ อันเป็นสิทธิเฉพาะตัวของเสรีชนคนยุคใหม่ นี่คือประธานาธิบดีบารัก โอบามา เนื่องด้วยความเป็นเสรีชนโดยสมบูรณ์ดั่งนี้ จึงสมควรที่จะยกย่องบารัก โอบามา ไว้ ณ ทำเนียบบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี
บุคคลที่ 122. นางกลอเรีย มาคาปากาล อาร์โรโย (Gloria Macapagal-Arroyo)
อดีตประธานาธิบดีอาร์โรโยรับใช้ประชาชนมานาน 9 ปีในช่วงที่เธอพ้นจากตำแหน่ง เธอเชื่อว่าขณะนี้ประเทศฟิลิปปินส์มีความเจริญและแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมช่วงที่เธอเข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ นางอาร์โรโยจะพ้นวาระผู้นำประเทศในวันที่ 30 มิถุนายนนี้และจะทำหน้าที่สมาชิกวุฒิสภาต่อไป
"กลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย-Gloria Macapagal-Arroyo" ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คนที่ 14 เกิด 5 เมษายน พ.ศ.2490 บุตรีของ Diosdado Macapagal ประธานาธิบดีคนที่ 9 (พ.ศ.2504-2508) สมรสกับนาย Jose Miguel Tuason Arroyo ทนายความและนักธุรกิจ มีบุตร 3 คน
สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ ได้รับคัดเลือกไปเทกคอร์สที่มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ สหรัฐอเมริกา 2 ปี กลับมาจบปริญญาตรีคณะพาณิชยศาสตร์ วิทยาลัยอัสสัมชัญ ปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย Ateneo de Manila ปริญญาเอกมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส
เริ่มชีวิตนักการเมือง ปี 2535 เป็นวุฒิสมาชิกสมัยแรก และพ.ศ.2538 สมัยที่ 2 ได้รับคะแนนเสียงสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 16 ล้านเสียง ตามด้วยตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและสวัสดิการ สมัยประธานาธิบดีเอสตราดา (พ.ศ.2541-2544) และเป็นรองประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ทำสถิติอีกครั้งเมื่อได้รับเลือกตั้งเป็นรองประธานาธิบดีด้วยคะแนนเสียงสูงในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี
20 มกราคม 2544 สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 14 ของฟิลิปปินส์ ประกาศวาระแห่งชาติ มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้ระบบราชการ ลดอาชญากรรม เพิ่มภาษี พัฒนาการเติบโตทางเศรษฐกิจ และต่อต้านการก่อการร้าย ต่อมา 30 มิถุนายน 2547 รับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 หลังชนะการเลือกตั้งท่ามกลางเสียงครหาว่าไม่โปร่งใสจากการใช้เงินรณรงค์หาเสียงและการใช้อิทธิพลในตำแหน่งแทรกแซงกระบวนการเลือกตั้ง”
สิ่งที่เรายกย่องก็คือ ในสมัยที่เธอดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่ เธอเป็นผู้ที่กล้ากล่าวความจริง ซึ่งเป็นการยกย่องผู้นำของประเทศเพื่อนบ้านเอเชียผู้หนึ่งผู้มีความสามารถเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลก คือ อดีตนายกรัฐมนตรีไทย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นเจ้าลัทธิทางเศรษฐกิจโลกยุคใหม่สุด คือ ทักษิโณมิค (Thaksinomics) นั่นเป็นสมัยที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีประเทศไทยอยู่ มีหลักฐานว่า “ทักษิโณมิค (อังกฤษ: Thaksinomics) เป็นคำเรียกนโยบายเศรษฐกิจในสมัยที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยผู้ที่ใช้คำนี้ครั้งแรกคือ นางกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย ประธานาธิบดีแห่งฟิลิปปินส์ ในสุนทรพจน์งานประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก เมื่อ พ.ศ. 2546 โดยหนึ่งในผู้ที่สนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจดังกล่าวที่โดดเด่นที่สุด คือ แดเนียล เลียน นักเศรษฐศาสตร์ของมอร์แกน สแตนลีย์
ดร. สุวินัย ภรณวลัย ได้กล่าวว่า ทักษิโณมิคเป็นประดิษฐกรรมของ พ.ต.ท. ทักษิณ โดยเป็นความคิดของนักกลยุทธ์เชิงสมัยนิยม เพื่อจัดการทางกลยุทธ์ การรวบรวมองค์ความรู้ เพื่อบรรลุเป้าหมายทั้งส่วนตัวและส่วนร่วม ซึ่งดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้ไปสู่เป้าหมาย และอาจมีการใช้ความรุนแรง เพื่อให้เขาเป็นผู้ชนะ”
ภายหลัง ดร.ทักษิณ สิ้นอำนาจไป ด้วยการถูกกลุ่มทหารและพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ร่วมหัวกับภาคเอกชนผู้สูญเสียผลประโยชน์จากการปกครองยุคทักษิณ ก่อการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 เธอก็ยังยืนยันสิ่งที่เธอพูด นั่นคือ ในการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศอาเซียน(Asian Summit) ที่พัทยา ประเทศไทย ในเดือน เมษายน 2552 ซึ่งมีผู้นำอาเซียนมาร่วมพิธีเปิดการประชุมเพียง 5 ประเทศรวมทั้งประเทศเจ้าภาพไทยด้วย (ไม่มาประชุมถึง 4 ประเทศ รวมทั้งประเทศเพื่อบ้านใกล้ชิดคือ กัมพูชาด้วย) เธอได้สวมชุดสีแดงเข้าร่วมในการประชุม และในพิธีปิดการประชุม ซึ่งเรามองถึงเจตนารมณ์ของผู้นำฟิลิปปินส์ว่า ยืนยันประเทศไทยควรก้าวไปในการเมืองของระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น และนั่นหมายถึงก้าวไปตามวิถีทางทักษิโณมิค ซึ่งตรงนี้จะแสดงถึงภูมิปัญญาของผู้นำต่างประเทศ แม้ในประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม ที่มีระบอบเผด็จการในศาสนาอย่างเข้มแข็งด้วยเทวสิทธิ์ ก็ยังมองเห็นทางออกของการปกครองนานาชาติว่า ประชาธิปไตยเป็นระบอบที่เป็นธรรม และเป็นสุข เพราะประชาธิปไตยมีหลักการจัดการสังคมอย่างสมานฉันท์ อย่างสันติได้ โดยไร้ความรุนแรง ที่โลกควรร่วมมือกันสร้างขึ้นให้จงได้ การที่เธอได้พ้นไปจากตำแหน่งประธานาธิบดีไปใน 30 มิ.ย. 2553 นั้น เป็นการเป็นไปอย่างถูกต้องตามครรลองประชาธิปไตย เรามองว่า อาร์โรโย เป็นผู้นำชาติฟิลิปปินส์ ผู้มีความสามารถ ดำรงอุดมการณ์ส่วนรวมและส่วนตัวไว้ได้ตลอดยุคสมัยของเธอ สมควร เป็นรัฐบุรุษ โดยแท้จริง เนื่องด้วยความกล้าหาญที่กล่าวความจริง และยืนยันความจริงให้ปรากฎอย่างชัดเจน จึงสมควรยกย่องเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ปีพุทธศักราช 2552
บุคคลที่ 123 พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก
เกิด 2 มิถุนายน พ.ศ. 2494
ที่เกิด อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
เสียชีวิต 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 (อายุ 58 ปี)
ที่เสียชีวิต โรงพยาบาลวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพ
งาน-อาชีพ ทหารไทย
ผู้ทรงคุณวุฒิกองท้พบก
คู่สมรส นาวาเอก (พิเศษ) หญิง จันทรา สวัสดิผล
บุตร นางสาวกิตติยา สวัสดิผล
นางสาวขัตติยา สวัสดิผล
เด็กชายนักรบ สวัสดิผล
การศึกษา ปริญญาเอก สาขาบริหารรัฐกิจ University of Northern Philippines
เว็บไซต์ http://www.sae-dang.net/
เขาต่อสู้อย่างเปิดเผยในท่ามกลางศัตรู และท่ามกลางความอันตรายจากความเสี่ยงต่อชีวิตทุกขณะ และในที่สุดเขาก็โดนเข้าจริง ๆ จากความเปิดเผยและความเสี่ยงนั้น เราเชื่อว่าเขาเข้าใจสถานการณ์ได้ดีทะลุปรุโปร่งของอันตรายจากความเสี่ยงนั้น แต่การที่เขายังคงออกมาปฏิบัติการเสี่ยงอย่างไม่หวาดหวั่นนั้น คือจิตใจของนักรบผู้มีความเป็นนักสู้ที่รับผิดชอบต่อพันธกิจ และนั่นหมายถึงนักรบผู้ได้บรรลุสติปัญญาแตกฉานในสัจธรรมของชีวิต อย่างแท้จริง เขาต่อสู้อย่างไม่รู้อนาคตตัวเอง แต่เขาก็ต่อสู้ไปอย่างไม่ท้อถอย สม่ำเสมอในกริยาและพฤติกรรมที่เสมอต้นเสมอปลาย แล้วการตายของเขาก็เกิดขึ้น จากฝ่ายที่เป็นทหารแต่ในคราบ ด้วยการใช้วิธีการไม่เหมาะสม ไม่ละอายกับความเป็นทหาร นั่นคือลอบยิง ให้สไนเปอร์ลอบยิงด้วยอาวุธติดเครื่องเล็งทันสมัยที่สุดของเทกโนโลยีของการลอบฆ่า คงเป็นปืนที่ทันสมัยกว่าปืนติดเครื่องเล็งแบบเดียวกับที่เห็นในข่าวของโทรทัศอัลจาชีรา วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 นั่นคือภาพกองทหารทั้งกองของฝ่ายรัฐบาล(โดย ศอฉ.) ที่ซุ่มอยู่บนตึกสูง ใช้ปืนติดกล้องเล็งเลือกยิงลงไปยังประชาชนมือเปล่าข้างล่าง และเห็นภาพประชาชนล้มลงกองอยู่กลางถนนหนทางเป็นศพโดยไม่รู้ตัว(คนที่ตายในการสลายการชุมนุมราชประสงค์ครั้งนั้น 90 ศพ ล้วนเป็นประชาชนมือเปล่า ๆ ทั้งสิ้น พอที่จะกล่าวว่านี่คือฝีมือของคนเลวในคราบของทหาร) เราให้คะแนนพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล เพราะความที่เขาได้แสดงถึงความเป็นทหารที่แท้จริง เพราะการปฏิบัติการที่สะท้อนถึงอีกฝ่ายหนึ่ง เราไม่ได้ให้คะแนนเพราะเขาอยู่ฝ่ายใด หรือด้วยวิธีการปฏิบัติอย่างไร แต่เป็นคะแนนแห่งคุณธรรม ความที่เขาได้สร้างมาตรการที่เปรียบเทียบกัน ที่สะท้อนไปถึงทหารขี้ขลาดที่ลอบยิงประชาชนมือเปล่า และพวกเขาตายไปโดยไม่รู้ตัว โดยฝีมือทหารเลวแห่งกองทัพไทย ที่ใช้อาวุธลอบฆ่าเพื่อนทหารด้วยกันเอง และทั้งที่เลวไปกว่าคือลอบฆ่าประชาชนมือเปล่า ๆ ตายเป็นใบไม้ร่วง และทหารที่ลอบยิงลอบฆ่าประชาชนด้วยอาวุธสงคราม อย่างไร้เหตุผลอย่างยิ่ง ในเขตอภัยทาน วัดปทุมวนาราม จำนวน 6 ศพ นั้น ไม่อาจจะบรรยายได้ว่าขนาดไหน นี่คือความยกย่องของเราหนังสือพิมพ์ดี ที่ให้ไว้แด่บุคคลผู้สมควรเป็นวีระบุรุษของประชาชนอย่างแท้จริง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล
จึงขอจารึกคุณความดีบุคคลต่อไปนี้ บารัก โอบามา (Barack Obama) กลอเรีย มาคาปากาล อาร์โรโย (Gloria Macapagal-Arroyo) พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี(อินเทอเนต) ประจำปีพุทธศักราช 2552 ขอแสดงความชื่นชมและยกย่องเกียรติคุณโดยทัศนะของเราไว้ ณ โอกาสนี้
ต่อไปนี้ก็ขอได้โปรดติดตามอ่านเรื่องราว ที่เราคัดสรรมาจากบทวิเคราะห์จำนวนมากมายในเวบไซต์ของเรา ขอได้ติดตามอ่านเรื่องราวที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ อีกมากมายใน เวบไซต์ของเราทั้ง 2 เวบไซต์ คือ https://www.newworldbelieve.net
http://www.newworldbelieve.com
บรรณาธิการ 2 ส.ค. 2553
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2553
บุคคลที่ 124 นาง พวงแก้ว สาตรปรุง ทายาท พล.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา
พวงแก้ว สาตรปรุง เป็นธิดาคนที่ 5 ในจำนวน 6 คน เกิดปี 2485 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 10 ปี ปัจจุบันอายุ 68 ปี สุขภาพยังแข็งแรง พวงแก้ว สาตรปรุง เป็นธิดาคนที่ 5 ในจำนวน 6 คน ของ พล.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)
พล.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เป็นหัวหน้าคณะราษฎรทำการเปลี่ยนแปลงการปก ครองจากระบอบสมบูรณายาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475
พระยาพหลฯ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 (ต่อจากพระยามโนปกรณ์นิติธาดา) รวม 5 สมัย ตั้งแต่ 21 มิถุนายน 2476 ถึงกันยายน 2481 รวม 5 ปี 5 เดือน 21 วัน ถึงแก่อนิจกรรมปี 2490 ขณะอายุ 60 ปี
จากข้อมูลของ
มติชนออนไลน์ วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 14:51:23 ทำให้เราได้ทราบว่ายังคงมีทายาทของ พล.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา มีชีวิตอยู่ในวันนี้ ก็คือ พวงแก้ว สาตรปรุง เป็นธิดาคนที่ 5 ในจำนวน 6 คน ของ พล.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) หัวหน้าคณะราษฎร์ ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475
มีคำถามสำคัญ ดังนี้
1. คำถาม ภูมิใจไหมที่พ่อเป็นหัวหน้าคณะราษฎรก่อการเปลี่ยนแปลง 2475 ?
คำตอบ ภูมิใจสิคะ คุณพ่อทำเพื่อประชาชน เพื่อประเทศ คุณพ่อเสียสละอย่างสูงเลย เป็นสิ่งที่มีความสุขที่สุดเลย ไม่มีสุขใดจะเหมือนด้วย ที่เกิดมาเป็นลูกของคุณพ่อ คุณพ่อเป็นผู้ที่เสียสละอย่างสูงสุด มีจิตใจที่บริสุทธิ์ ไม่มีกิเลส ไม่มีความต้องการส่วนตัว มีอย่างเดียวคือ ทำอย่างไรประเทศจะพัฒนาไปได้ นั่นละ จุดมุ่งหมายของคุณพ่อ สูงสุดอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ต้องการอะไรเลย ไม่เคยเอาทรัพย์สินของประเทศมาเป็นของตัวเลย สักนิดเดียวก็ไม่มี
2. คำถาม คิดอย่างไรกับสภาพบ้านเมืองที่เกิดวิกฤตความขัดแย้ง แตกแยกมา 5 ปี ตั้งแต่ยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549
คำตอบ มันเป็นความเห็นแก่ตัวของพวกชนชั้นขุนนาง เป็นพวกเห็นแก่ตัว จะยึดแต่อำนาจไว้กับตัว ไม่แผ่อำนาจลงมาให้ราษฎร มันเริ่มมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2490 ตั้งแต่โน่นแล้วที่ จอมพลผิน ชุณหะวัณ ปฏิวัติ ไม่ใช่เพิ่งเกิด คนพวกนี้เป็นพวกเห็นแก่ตัว รัฐบาลเขาจะผิด เขาจะถูกอะไร เขามีศาลยุติธรรมอยู่ตั้ง 3 ศาล ก็ฟ้องไป ให้ว่าไปตามระบบของมัน ฟ้องเขาไปสิ เขาผิดอะไร ไม่ใช่มาตัดสินเองด้วยอำนาจของตัว เสร็จแล้วพอตัวมีอำนาจ ตัวโกงกินประเทศชาติ ประเทศชาติมันก็เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาทุกคนก็คิดว่า แหม พอพวกนี้คนโกงประเทศ อุ๊ย... ต้องยึดอำนาจแล้ว ต้องทำรัฐประหารแล้ว มันเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง ไปใส่ร้ายเขา ไปเอามาตรา 112 (ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ความผิดฐานดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ฯลฯ) ไปใส่ร้ายเขา มันไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ถ้าคนขาดศีลธรรม ก็เป็นอย่างนี้แหละ
3. คำถาม ลูกสาวผู้ก่อการกับ"เสื้อแดง"
คำตอบ นางพวงแก้วบอกเมื่อถูกถามว่า ชอบสีไหน "ป้าเหรอ ชอบสีแดง... "(คนเสื้อแดง) เขาเป็นคนชั้นล่างน่ะ แล้วมีมากด้วย แล้วยังไม่ได้พัฒนา ป้าสงสารเขา เขาพัฒนาได้น้อยเพราะพวกมีอำนาจมัวแต่กินโกงประเทศกัน ไม่เอาเงินไปพัฒนาเขาให้มากกว่านี้ เขาถึงได้ต้องตื่นตัวขึ้นมาเมื่อท่านทักษิณเข้ามา เพราะเขารู้ว่า อ๋อ ประชาธิปไตยกินได้อย่างนี้นี่เอง เขาก็ตื่นตัวขึ้นมา เขาก็อยากจะอยู่แบบคนอื่นเหมือนกัน เขาก็เป็นคนเหมือนกับเรา มันของธรรมดา อกเขาอกเรา"
"ป้าก็ไม่เคยไปเข้าร่วมชุมนุมกับเขา แต่จะติดตามดูทางทีวีที่บ้านอยู่ตลอด ดูไปจนถึงตี 4 ตอนเห็นทหารฆ่าประชาชน ก็รู้ สงสัย เอ๊ะ เขาฆ่าได้ยังไง ฆ่าได้แม้กระทั่งพระสงฆ์"
"ตอนที่ทหารยิงประชาชน ป้าส่งจิตระลึกไปถึงคุณพ่อ อยากให้คุณพ่อมาช่วยจัง ทำไมคุณพ่อไม่มาช่วยประชาชน ไม่รู้ดวงวิญญาณท่านไปถึงไหนแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าตายแล้ว ดวงวิญญาณไปที่ไหน ดังนั้น ประชาชนต้องช่วยตัวเอง"
ป้าพวงแก้วเสนอให้ไพร่กับอำมาตย์มารวมกัน เพราะต่างก็เป็นคนเหมือนกัน จะมามัวแบ่งแยกทำไม
"ไพร่กับอำมาตย์ไม่ใช่คนเหรอ ก็คนเหมือนกัน เราเลือกที่เกิดได้หรือเปล่า เราเลือกไม่ได้ ถือว่าเขาเป็นชนชั้นเดียวกันสิ เมตตากับเขาสิ อย่าไปให้เขาคิดว่า เขาต่ำต้อยเป็นไพร่ ท่านทำไม่ถูกหรอก ที่ให้เขาคิดอย่างนั้น แสดงว่าตัวท่านน่ะผิด ผิดอะไรต้องดู ต้องสำรวจตัวเองว่าผิดอะไร เขาถึงคิดว่า เขาต่ำต้อยอย่างนั้น คนเรามันเกิดมามันก็เหมือนกันทุกคน น่ะ มาทางเดียวกัน แล้วก็ไปทางเดียวกันด้วย เวลาไปแม้แต่ตัวเองยังเอาไปไม่ได้เลย ซี่โครงยังอยู่ เอาไปไม่ได้ ไปแต่วิญญาณเท่านั้น"
"ทำไมไม่คิดถึงตอนนั้นล่ะ แล้วต้องเป็นอย่างนี้ทุกคน พระพุทธองค์ท่านสั่งสอนมาดีแล้ว ทำไมไม่ทำตามล่ะ..."
ประเด็นสำคัญที่เรายกย่อง พวงแก้ว สาตรปรุง ก็คือ ในเมื่อเวลานี้เป็นเวลาของ ประชาธิปไตย มาถึงแล้ว เราก็ได้พบว่ามีผู้ที่ต่อสู้มาก่อน ตั้งแต่เริ่มแรกยุคการเปลี่ยนแปลง อย่างโดดเดี่ยวเงียบเชียบ เพราะ นี่คือทายาทของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่ยิ่งใหญ่กว่าบุคคลใดใดทั้งสิ้นแห่งยุคประชาธิปไตยไทย เพราะ พวงแก้ว สาตรปรุง ได้ต่อสู้มาตั้งแต่คลอดออกจากครรภ์มารดา (กำเนิดปี พ.ศ.2485 ขณะที่บิดา เป็นนายกรัฐมนตรีในระบอบประชาธิปไตยอยู่ ก่อนจะเสียชีวิตในปี พ.ศ.2490) มาจนถึงขณะนี้ เมื่อมีอายุถึง 68 ปีแล้ว และยังคงจะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกต่อไป ตราบสิ้นชีพ จึงน่าจะได้เป็นบุคคลแรกที่สุดที่ได้อุทิศชีวิตทั้งชีวิตเพื่อประชาธิปไตยไทยจริง ๆ เนื่องจากไม่มีใครเลยที่ได้ต่อสู้มาอย่างเนิ่นนานเท่านี้ และต่อสู้อย่างมีชีวิตอยู่ ต่อสู้เพื่อมีชีวิต ไม่ใช่ต่อสู้เพื่อตนตายเสีย เพราะได้ต่อสู้มาตั้งแต่เกิดมาเป็นธิดาของนักปฏิวัติประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย พล.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ฉะนั้น เธอจึงเป็นผู้ที่ยืนหยัดเพื่อประชาธิปไตยมาท่ามกลางฝูงอมาตย์ ที่แข็งแกร่ง ในยุคที่อมาตย์มีความน่าสะพึงกลัวที่สุด แล้วผ่านมา ๆ การต่อสู้ของเธอ พร้อมกับความเอาตัวเองให้มีชีวิตอยู่ ผ่านมา ๆ ก็หาละวางมือในการต่อสู้ไม่ ตราบมาบรรจบพบกระแสอันหลายหลากแห่งเสื้อแดงเข้า และเป็นยุคที่อมาตย์ ทายาทอสูรเริ่มอ่อนแรง เราจึงได้เห็นความปิติยินดีของเธอ เผยออกมาว่าเธอคือสปิริตของประชาธิปไตยโดยแท้จริง และเธอคือประชาธิปไตยไทยที่แท้จริง และเธอคือ สติปัญญา ที่ต่อสู้แบบสู้เพื่อมีชีวิตเสรีชน มีชีวิตเพื่อต่อสู้ด้วยสติปัญญาเพื่อประชาธิปไตยโดยแท้จริง เราจึงขอยกย่อง พวงแก้ว สาตรปรุง ว่าเป็นบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2553 ของหนังสือพิมพ์ดี ต่อไป และหวังว่า จักเป็นตัวอย่างของการต่อสู้เพื่อโลก เพื่อประชาธิปไตยอันแท้จริงต่อไป
บรรณาธิการ 27 เม.ย. 2554 13.00 น.
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดีพุทธศักราช 2554
บุคคลที่ 125 ธิดา ถาวรเศรษฐ์
ธิดา ถาวรเศรษฐ์ มีประวัติการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของประชาชนมาก่อน ที่จะมีการเคลื่อนไหวของ นปช. ระยะฟักตัว ไปจนถึงระยะเติบใหญ่เป็นแดงทั้งแผ่นดินเสียอีก แต่ส่วนที่น่าสนใจเริ่มตั้งแต่เกิดขบวนการ นปช.แดงทั้งแผ่นดินระยะนี้ การที่มีส่วนในการต่อสู้ร่วมกับ นปช. ซึ่งบอกความหมายตัวเองตรงตามชื่อที่ว่า แนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ คำว่า ต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แม้จะไม่บอกถึงประชาธิปไตยโดยตรง แต่พฤติกรรมนี้ค่อนข้างให้หลักประกันที่น่าอบอุ่นใจพอสมควรในแง่ที่ว่า ย่อมหมายถึงการต่อสู้ของเสรีชนอันเป็นแนวคิดพื้นฐานของประชาธิปไตยอยู่แล้ว ก็ย่อมนำไปสู่ประชาธิปไตยอยู่เอง เพราะย่อมจะนำความคิดประชาชนไปสู่เส้นทางอีกทางหนึ่งที่ตรงข้ามเผด็จการ นั่นคือ ประชาธิปไตย ครั้นเมื่อเกิดแดงทั้งแผ่นดิน จนต่างชาติให้ความสนใจและเรียกขบวนการนี้ว่า The Red Shirt โดยมีความหมายถึงประชาธิปไตยโดยตรง ก็ได้เกิดประเด็นสำคัญที่ต้องมองดู ในแง่ที่ว่า นปช.จะนำประชาชนไปสู่ประชาธิปไตยอย่างถูกต้องตรงไปสู่อุดมการณ์ที่แท้จริงหรือไม่ อย่างไร เห็นคำตอบทุกอย่างเมื่อ ขบวนการเชิร์ตแดง ได้เริ่มจัดตั้ง ร.ร.นปช. ขึ้นอบรมหลักสูตรประชาธิปไตย เรามองประเด็น ร.ร.นปช.เป็นประเด็นสำคัญอย่างยิ่ง เพราะนี่คือการย้ำอุดมการณ์ ที่จะต้องถูกต้องตามหลักการปกครองที่ประชาชนปรารถนา นั่นคือ ประชาธิปไตย หากงานระดับนี้ผิดพลาดไป นั่นหมายถึงการนำประชาชนไปนอกเป้าหมายและอาจหลงทิศหลงทางประชาธิปไตยไปเลย อาจารย์ธิดา ได้แสดงบทบาทมาตั้งแต่คราวนั้น ในฐานะอาจารย์ของโรงเรียน นปช.เพื่อประชาธิปไตย คำถามก็คือ ร.ร.นปช.ได้ประสบผลสำเร็จในการยัดเยียดอุดมการณ์ประชาธิปไตยได้ตรงเป้าหมายหรือไม่ ซึ่งก็เป็นคำถามเดียวกันกับอีกคำถามหนึ่งที่สำคัญก็คือ ธิดา ถาวรเศรษฐ์ มีความตรงต่อหลักการประชาธิปไตยเพียงใด ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญสืบมาถึงปัจจุบันนี้ และคำตอบที่ได้ เป็นที่น่าพอใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อธิดา ถาวรเศรษฐ์ ได้ก้าวขึ้นสู่ฐานะแกนนำ ระดับสูงสุดของ นปช คนเสื้อแดงอย่างเต็มภาคภูมิ(เป็น ประธาน นปช.แดงทั้งแผ่นดินคนที่ 2 ต่อจาก วีระ มุสิกพงษ์) และคำตอบตั้งแต่ต้น มาจนถึงบัดนี้ ที่ธิดา ถาวรเศรษฐ์ มาเป็นประธาน นปช.เต็มตัว นั้นก็ได้พบว่าคือ มีความตรงสู่เป้าหมายอย่างไม่คลาดเคลื่อนเบี่ยงเบน นั่นคือตรงสู่ประชาธิปไตย ทำให้ความมุ่งมั่นของนปช.ตรงไปสู่ทิศทางที่ต้องทำคนทุกฝ่าย ทุกภาคส่วน ของประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตย อันแสดงความมั่นใจ รอบรู้ในหลักทฤษฎี ทั้งยุทธศาสตร์ และยุทธวิธีที่จะนำหมู่ มวลชน คนทั้งแผ่นดินตรงไปสู่ประชาธิปไตย นั่นคือแนวคิดสำคัญที่ว่าประชาธิปไตยหมายถึงประชาชนทั้งประเทศ ประเทศไทยทั้งประเทศจะต้องเป้นประชาธิปไตย พี่น้องไทยทั้งประเทศจะต้องเป็นประชาธิปไตย คนไทยต้องตรงไปสู่เป้าหมายนี้ด้วยกันทั้งหมด จะต้องรู้หลักการและวิถีทางประชาธิปไตยอย่างถูกต้อง สิ่งนี้ปรากฏเป็นรูปธรรม โดยการเปิดหมู่บ้านคนเสื้อแดง ทางอีสาน ทางเหนือ มาตามลำดับ จนล่าสุด ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ได้เปิดหมู่บ้านแดงทั้งแผ่นดิน เพื่อประชาธิปไตย 14 หมู่บ้าน จังหวัดนราธิวาส เป็นที่เรียบร้อย และเป็นเหตุให้เชื่อว่าประชาชนในส่วนของภาคใต้ ที่ยังไม่เข้าใจประชาธิปไตย ก็จะเริ่มตาสว่าง และแดงใต้นับวันจะขยายออกไป ซึ่งความหมายนี้ ก็คือ ความหมายที่ว่า ประเทศไทยทั้งประเทศจะต้องเป็นประชาธิปไตย พี่น้องไทยทั้งประเทศจะต้องเป็นประชาธิปไตย คนไทยต้องตรงไปสู่เป้าหมายนี้ด้วยกันทั้งหมด นั่นคือ ประชาธิปไตยที่แท้จริง ตรงสู่เป้าหมายการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร์ เมื่อ 24 มิถุนายน 2475 และนี่คือภาระหน้าที่ที่หนักหน่วงของธิดา ถาวรเศรษฐ์ ที่ยืนยัน ยืนหยัดในอุดมการณ์อย่างมั่นคง เฉลียวฉลาด มีเหตุผล การต่อสู้มีเหตุผลและยังทำความเข้าใจสถานการณ์การต่อสู้ได้ค่อนข้างรอบคอบ หมายถึง กาลเทศะ เหตุ ผล บุคคล เวลา อย่างไร ทำได้อย่างสุขุมแต่กร้าวแกร่งมั่นคง สมเป็นผู้นำแดงทั้งแผ่นดินเพื่อประชาธิปไตย สมควรยกย่องธิดา ถาวรเศรษฐ์ เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2554 ไว้ณโอกาสนี้
บุคคลที่ 126 ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล
หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล มีชื่อเล่นว่า “ปลื้ม” แต่นิยมเรียกโดยทั่วไปว่า "คุณปลื้ม" หรือ "หม่อมปลื้ม" เกิดวันที่ 10 กันยายนพ.ศ. 2519 เป็นบุตรชายของหม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุลอดีตรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลชั่วคราว หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ชีวิตครอบครัว หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์สมรสกับณัฐรดา อภิธนานนท์ หรือ "แจ็กเกอรีน" หรือ "แจ็กกี้" นักแสดงสาวลูกครึ่งไทย-แคนาดา ในวันที่ 7 ตุลาคมพ.ศ. 2553 ณ ห้องสกุณตลาบอลรูม
โรงแรมเพนนินซูล่า (จากวิกิพีเดีย)
ความคิดของ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือ หม่อมปลื้มนั้น ค่อนข้างมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงทางความคิดเดิม ที่คุ้นเคยต่อวัฒนธรรมและอยู่ในภาวะวัฒนธรรมซับบอร์ดิเนทมาแต่ดั้งเดิมในสังคมไทย นั่นคือความคิดเรื่อง การหลุดพ้นไปจากกรอบความคิดเดิม ๆ ในลักษณะเดียวกับความคิดกบนอกกะลานั่นเอง แต่ม.ล.ปลื้มได้นิยามไปไกลมาก อย่างกว้างขวางไม่จำกัดที่ว่า ความคิดอิสระ.... “ว๊อยส์ทีวีในความคิดของผมคืออิสระทางความคิดในแบบที่ไม่มีกรอบ”..... ไร้ข้อจำกัดทุกประการ ตามที่ปรากฏใน วอยส์ทีวี สถานีข่าวปลุกความคิด เขาเป็นประชาชนผู้เป็นแบบอย่างแห่งความคิดประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์เลยทีเดียว ซึ่งตรงนี้เราหมายความถึง ความเป็นคนของเขา ที่เป็นได้อย่างสมบูรณ์
การเป็นนักประชาธิปไตยและยืนหยัดการต่อสู้ทางความคิด ในแนวทางของประชาธิปไตย เพื่อไปสู่ระบบของประชาธิปไตยให้ได้ การยืนยันหลักการของมนุษย์สังคมที่จะต้องเป็นประชาธิปไตย นั้นเป็นที่ปรากฏชัดเจน และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจริง นอกเหนือไปจากการให้ทัศนะต่อเหตุการณ์บ้านเมืองที่สอดคล้องหลักการประชาธิปไตย เป็นอย่างดีมาก จนเป็นเสาเอกของประชาธิปไตยไทยได้ เราสามารถเรียกได้ว่าเขาเป็นเสาเอกของประชาธิปไตยไทยได้เลยทีเดียว ซึ่งความคิดเหล่านี้ ทางม.ล.ปลื้ม ได้พูด ถ่ายทอดผ่านรายการ Wakeup Thailand และ Daily Dose ของ Voice TV. เป็นประจำวัน
แต่สิ่งที่เรายกย่องและมีความหมายพิเศษนั้นก็คือ มีการตัดสินใจ หรือ decision making ในทุกเรื่องราวที่เขาพูดถึง นั่นคือมีการสรุปที่ชี้แนวทางเดินให้อย่างชัดเจน ว่าจะเดินไปทางใด ทิศใด ด้วยความมั่นใจอย่างมีเหตุผล และเราเห็นว่าเขามีหลักการอยู่บนเหตุผลของความเป็นมนุษย์ เราคิดว่ามีคะแนนพิเศษสำหรับ ม.ล.ณัฐกร นั่นคือ แท้จริง เขามีเชื้อพระวงศ์ ในระดับ หม่อมหลวง แต่กระนั้นเรากลับไม่ได้พบความหมายนี้ในตัวตนของ ม.ล.ณัฐกร เลย เราได้พบสิ่งที่เราได้พบ คือความเป็นสามัญชนโดยแท้จริง กระนั้นก็ยังแฝงไว้ด้วยความหยิ่งแห่งภูมิปัญญาและความเป็นธรรมในชีวิต แม้กระทั่งชีวิตครอบครัวและความรัก ที่แสดงถึงการมีธรรมะของเขา การแสดงออกว่าเป็นสามัญชนนั้นมีความตรงและจริง ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน เขาทำให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญคนหนึ่งจริง ๆ สมควรยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2554
จิตรา คชเดช อีกหนึ่งหญิงนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย อดีตประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ ที่ร่วมกับเพื่อนกว่าสองพันต่อสู้กับการเลิกจ้างสมาชิกสหภาพแรงงานไทรอัมพ์สองพันคนในปี 2552 จนมารวมตัวกันตั้งชุดชั้นใน Try Arm แข่งกับแบรนด์ Triumph ที่พวกเธอเคยผลิต
เธอเป็นกรรกรหญิงนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และอยู่ท่ามกลางห่ากระสุนและแก๊สน้ำตาที่ระดมยิงใส่คนเสื้อแดงเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 ปัจจุบันเธอเป็นที่รู้จักดีในฐานะคนชูป้าย "ดีแต่พูด" ให้กับนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อวันสตรีสากล 8 มีนาคม 2554 ปัจจุบันนี้ป้ายนี้ถูกยกชูไล่อภิสิทธิ์ในทุกที่ที่เขาไปหาเสียง
จิตรา คชเดช เธอเป็นนักต่อสู้อย่างไร นั่นเป็นประเด็นของความสนใจของเรา
พบจากรายงานของสื่อไทยเราว่า จิตรา คชเดช เป็นเพียงสาวโรงงานธรรมดา ๆ เหมือนสาวโรงงานทั่ว ๆ ไปเท่านั้นเอง แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือฝีมือและความคิดอันก้าวหน้า คิดเพื่อสังคมทั้งหมด และอุดมการณ์แห่งความเป็นธรรม คิดในเรื่องความเสมอภาค และภราดรภาพของมนุษย์ มนุษย์จะต้องยอมรับในความเสมอกัน สังคมจึงจะเกิดความสุขและเป็นธรรมขึ้นได้ หากไม่เช่นนั้น คนเราจำเป็นต้องสู้ ด้วยความคิดที่ก้าวหน้านี้ เธอจึงได้รับเลือกเป็นประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ อินเตอร์เนชั่นแนล แห่งประเทศไทย ในปี พ.ศ.2549
จิตราเริ่มงานต่อสู้จากกรณี นายโชติศักดิ์ อ่อนสูง ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จากการไม่ยืนตรงแสดงความเคารพในโรงภาพยนตร์ในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อหาเงินมาต่อสู้คดี ผลก็คือถูกบริษัทเลิกจ้าง เธอต่อสู้ว่าการใส่เสื้อเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ขณะที่ใส่เสื้อนั้น เป็นตอนกลางคืนที่ไม่ใช่เวลางาน และไม่ได้บอกชื่อบริษัท บอกเพียงว่า เป็นประธานสหภาพฯ เนื่องจากประธานสหภาพฯ มีสถานะเป็นนิติบุคคลอยู่แล้ว
แล้วบริษัทยังเลิกจ้างคนงานอีกร่วม 2000 คนด้วยกัน จึงมีการต่อสู้รวมตัวขึ้น เรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคนงานที่ถูกเลิกจ้าง โดยได้รวมตัวกันไปร้องเรียนนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีโดยผลของการรัฐประหารขณะนั้น แต่แล้วแทนที่รัฐบาลจะช่วยเหลือ กลับทำการจับกุมในข้อหามั่วสุม เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2552 ปัจจุบันคดียังอยู่ในชั้นศาล
ต่อมาในวันที่ 8 มีนาคม 2554 วันสตรีสากล จิตรา คชเดช ได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรพูดเรื่อง 100 ปี วันสตรีสากล ร่วมกับผู้หญิงจากหลากหลายอาชีพ และทราบว่านายกรัฐมนตรีจะมาร่วมขึ้นเวทีด้วย จึงเตรียมข้อมูลบางอย่างจะไปบอกกับท่านแต่ปรากฏว่านายกฯ มาถึงหลังจากนั้นจึงไม่ได้สื่อสารกัน เมื่อท่านขึ้นพูดบนเวทีจึงใช้วิธีเขียนข้อความลงบนกระดาษแล้วชูให้เห็น ทั้งข้อความ "มือใครเปื้อนเลือด" "เหรอ" และ "ดีแต่พูด" หลังจากนั้นการ์ดของนายกฯ ก็เข้ามาปรามและพยายามแย่งป้ายไป ขณะที่นายกฯ ก็พูดเพียงไม่นานแล้วรีบเดินทางกลับ
นสพ.ข่าวสด วันที่ 15 มิ.ย.2554 ได้ไปขอสัมภาษณ์.....ว่าทำไมถึงเป็น "ดีแต่พูด"
จิตรา อธิบายว่า ตอนที่เธอและเพื่อนคนงานถูกเลิกจ้าง บริษัทมอบจักรเย็บผ้าให้ 400 ตัว ผ่านกระทรวงแรง งาน ซึ่งขณะนั้นรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ดูแลอยู่ แต่คนงานกลับได้รับจักรเย็บผ้าเพียง 250 ตัวเท่านั้น ส่วนที่เหลือ กลับไปอยู่กับมูลนิธิของรัฐมนตรีผู้นี้ เมื่อทวงถามก็ไม่มีความคืบหน้า ทั้งๆ ที่นายกฯ รู้เรื่องนี้อยู่เต็มอก
นอกจากนี้ ก่อนรับตำแหน่งนายกรัฐ มนตรี นายอภิสิทธิ์เคยแถลงนโยบายเร่ง ด่วนว่า จะชะลอการเลิกจ้างที่เกิดจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ หรือถ้าสุดวิสัยจริงๆ ก็จะมีโครงการต้นกล้าอาชีพรองรับคนกลุ่มนี้ จิตราเล่าถึงข้อเท็จจริงว่า
"รัฐบาลไม่ได้ชะลอการถูก เลิกจ้างของเราเลย กลับไปส่งเสริมการลงทุนให้บริษัทที่เป็นนายจ้างเราเสียอีก ส่วนโครงการต้นกล้าอาชีพก็ไม่ได้ตอบสนองความต้องการของคนงานเหมือนกัน คนงานเย็บผ้าที่ถูกเลิกจ้างคุณต้องต่อยอดความสามารถเดิมที่เขามี แต่นี่กลับไปแนะนำให้เขาชงกาแฟ ซึ่งคนจะขายกาแฟได้ต้องมีเงินอย่างน้อย 5 หมื่นบาท ส่วนที่แนะนำให้เป็นหมอนวดแผนไทย การนวดแผนไทยถ้าจะมีรายได้ดี ก็ต้องคล้ายๆ กับขายบริการไปด้วย นั่นหมายความว่ารัฐบาลไม่ได้ตอบโจทย์อะไรเลย"
นอกจากนี้ ยังมีโครงการเรียนฟรีที่จิตราเห็นว่าไม่ได้ฟรีจริงอย่างที่พูด หรือปัญหาชายแดนภาคใต้ที่บอกว่าจะแก้ไขได้ 99 วัน ผ่านไป 2 ปีก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ซ้ำยังรุนแรงขึ้นอีก ที่ใกล้ตัวที่สุดคือเรื่องค่าแรงขั้นต่ำที่สัญญาไว้ว่าจะเพิ่มให้เป็นวันละ 250 บาท ผู้เกี่ยวข้องก็นิ่งเฉยในช่วงแรก และเพิ่งจะเพิ่มให้ช่วงใกล้ยุบสภา แต่ก็ยังได้รับแค่ 215 บาท ไม่ใช่ 250 บาทตามที่สัญญา
"แต่สิ่งที่ เลวร้ายที่สุดทางการเมือง คือกรณีสลายการชุมนุม รัฐบาลไม่แสดงความรับผิดชอบอะไร และไม่สามารถสืบได้ด้วยว่าใครเป็นคนฆ่าประชาชน"
"เรา ถือว่าการกระทำของเราเป็นประชา ธิปไตยและสันติ ไม่ได้ละเมิดสิทธิ์ใคร คนที่เป็นบุคคลสาธารณะ คนที่ก้าวเข้ามาเป็นนักการเมือง ใช้ภาษีประชาชน บุคคลเหล่านี้ต้องได้รับการวิพากษ์วิจารณ์และตรวจสอบได้ เมื่อไหร่ที่ตรวจสอบไม่ได้ก็เท่ากับเผด็จการ และคนที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ต้องว่ากันด้วยเรื่องระบบโครงสร้างการทำงานมากกว่า วิพากษ์วิจารณ์เรื่องส่วนตัว หรือครอบครัวเขา ขอบเขตของเราอยู่ตรงนี้"
ถาม ถึงแรงงานกับการเลือกตั้งที่กำลังจะ มาถึง จิตราสะท้อนว่า ปัญหาขณะนี้คือคนงานไม่สามารถเลือกตั้งส.ส.ในพื้นที่ที่ทำงานอยู่ได้ เพราะส่วนใหญ่เป็นคนต่างจังหวัด ส.ส.ในพื้นที่เองก็รู้ว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่ฐานเสียงของเขา เพราะฉะนั้น นโยบายเกี่ยวกับกลุ่มคนงานในพื้นที่จึงไม่มี นั่นยิ่งทำให้อำนาจต่อรองของพวกเขาลดน้อยลงไปอีก
"สิ่งที่เราอยาก เห็นคือสวัสดิการของคนที่อยู่ในโรงงาน เราต้องการมีเงินส่งให้พ่อแม่ที่อยู่ต่างจังหวัด ต้องการให้ลูกได้เรียนฟรีจริงๆ ต้องการเรื่องที่อยู่อาศัย เพราะส่วนใหญ่ย้ายถิ่นมาจากชนบท ต้องมาเช่าบ้านอยู่ ส่วนค่าแรงขั้นต่ำไม่ใช่ปัจจัยหลัก เพราะต่อให้ปรับค่าแรงขั้นต่ำ แต่ค่าครองชีพยังสูงทุกวันมันก็อยู่ไม่ได้
สิ่งที่รัฐจะต้องควบคุม คือราคาสินค้าอุปโภคบริโภค นอกจากนี้ ยังต้องสนับสนุนการมีสหภาพแรงงาน จะได้เรียกร้องค่าจ้างและสวัสดิการต่างๆ จากนายจ้างได้โดยตรง วิธีนี้จะแก้ปัญหาได้ดีกว่า"
เราเห็นว่าจิตรา คชเดช เป็นนักสู้โดยสัญชาตญาณของความรักในความเป็นธรรมและรักในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มีประเด็นสำคัญในบทบาทของสาวโรงงานผู้นี้อยู่ถึง 3 ประการ
1. การรักในความเป็นธรรม รักในสัจจะ และรักคนผู้มีความสัจจะ หมายถึงรักในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อันเป้นพื้นฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย แนวคิดเช่นนี้แหละเป็นที่ต้องการส่งเสริมให้เติบโต ขยายออกไปเพื่อประชาธิปไตย
2. บทบาทการรวมกลุ่มคนงาน การก่อตั้งสหภาพแรงงานที่จิตรากับเพื่อนดำเนินการอยู่ขณะนี้ เป็นแนวทาง ๆ การเมืองประชาธิปไตยอีกแนวหนึ่งที่มีอนาคต คล้าย ๆ กับการก่อตั้งและต่อสู้ของพรรคกรรมกรในประเทศอังกฤษ ที่ต่อสู้กับพรรคการเมืองแนวอนุรักษ์นิยม มานานหลายสิบปี กว่าจะประสบความสำเร็จในสมัยนายโทนี แบล เป้นหัวหน้าพรรคกรรมกร ได้เป้นนายกรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษ การพัฒนาแนวทางพรรคการเมือง จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพัฒนาไปบนแนวคิดหลักการของประชาธิปไตย เมื่อพรรคการเมืองพัฒนาไปบนหลักการของระบอบประชาธิปไตยแล้ว จึงจะเกิดประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ขึ้น ซึ่งบัดนี้ มีความเป้นไปได้สูงที่จะมีการพัฒนาพรรคการเมืองขึ้นจากพื้นฐานประชาชนชาวรากหญ้า คือคนผู้ใช้แรงงานใน รง.อุตสาหกรรมไทยในขณะนี้ ในแนวทางเดียวกับพรรคกรรมกรของอังกฤษ ซึ่งน่าเชื่อว่าหากมีการพัฒนาไปตั้งแต่บัดนี้ ก็จะมีผลให้เกิดพรรคการเมืองที่ดำเนินไปบนหลักการประชาธิปไตย และต่อสู้ไปตามลำดับ ๆ ขยายแนวคิดและนโยบายของพรรคออกไปตามลำดับ ๆ ในที่สุดก็จะค่อยประสบความสำเร็จ ไปจนถึงระดับสูงสุดได้ แต่สิ่งที่ดีก็คือ มีฝ่ายค้านรัฐบาลไทยปัจจุบัน ที่เป้นประชาธิปไตย หรือดำเนินงานฝ่ายค้านไปโดยหลักการประชาธิปไตย ไม่ใช่ฝ่ายค้านที่ดำเนินไปโดยหลักการเผด็จการระบอบขุนนาง+ทหารแบบเก่าๆตามที่เป้นอยู่ขณะนี้ ก็จะเป็ฯการพัฒนาประชาธิปไตยไทยไปสู่ความสมบูรณ์ของระบอบประชาธิปไตย ได้
3. การต่อสู้ที่ไม่มีวันจบลงง่าย ๆ และเนิ่นนานไปในอนาคตที่ไม่อาจจะคาดการณ์ได้ แต่การต่อสู้ก็ต้องก้าวเดินต่อไป ซึ่งหมายถึงชีวิตที่ดิ้นรนและกร้าวแกร่งมีความหมายพร้อมทุกอย่าง นับแต่การต่อสู้เพื่อปากท้อง ความพอกินพอใช้ ความอยู่ดีกินดี ตลอดทั้งการศึกษา และการเศรษฐกิจที่จะต้องยกระดับขึ้นไปสู่สถานะความเสมอภาคโดยรวม ของชนชั้นกรรมาชีพ และยังหมายถึงนามธรรมคือการต่อสู้เพื่อยกระดับความเป็นมนุษย์ให้สูงขึ้นสู่ระดับที่ทัดเทียมกับมาตรฐานสากล มีระดับสามัญแห่งชนชั้นของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจะต้องเดินต่อไปอย่างยาวนานในอนาคตที่ไม่อาจคาดคะเนได้
เราจึงยกย่องสปิริตอันนี้ ด้วยการยกย่อง จิตรา คชเดช เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2554
บุคคลที่ 128 ฮิลลารี รอดแฮม คลินตั้น :Hillary Rodham Clinton
ในระยะที่เธอเดินทางมาในหน้าที่ของ รมว.ต่างประเทศหรือ Secretary of State ไปพม่าและได้โอบกอดให้กำลังใจแด่นางอ่องซาน ซูจี ผู้นำประชาธิปไตย ซึ่งอยู่ในฐานะฝ่ายค้านในระบอบเผด็จการทหารในพม่า ซึ่งบทบาททางการต่างประเทศของเธอได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญขึ้นในพม่า เป็นเหตุให้คณะทหารพม่ายอมรับแนวทางการบริหารจัดการประเทศพม่า ในแนวทางประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง และเปิดโอกาสให้นางอ่องซานซูจี ได้เข้าสภา เป็นผู้นำฝ่ายค้าน ที่ได้รับโอกาสอย่างสำคัญในการบริหารประเทศพม่า นั่นย่อมเป็นผลงานการเดินทางมาเยือนพม่าในระยะหลังนี้ ของ ฮิลลารี รอดแฮม คลินตั้น นั่นอย่างแน่นอน มีคำชมเชย ยกย่อง มาดามคลินตั้นในเฟสบุ๊ค FaceBook.com Phayap Panyatharo ที่ดูจะใกล้ความจริงมาก ดังนี้
Phayap Panyatharo
November 16, 2011 near Bangkok
Mrs. Hillary Rodham Clinton, U.S. Secretary of State in Thailand 16 - 17 November 2011, saying USA. promotes freedom, protects haman right and democracy in Thailand.
Phayap Panyatharo นางฮิลลารี รอดแฮม คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา อยู่ในประเทศไทยระหว่างวันที่ 16-17 พ.ย.2554 ได้รับรองว่า สหรัฐอเมริกาสนับสนุนเสรีภาพ และปกป้องสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย November 16, 2011 at 7:44pm
She's in green.
Mrs.Clinton in my eye, she's a wonderful woman of hard work who has been working hard since her husband Mr.Bill Clinton fought for the 42nd president of America in year 1993[2536] and that was a hard work as the first lady of the United States of America and a wife of a president. After Clinton’s period she herself had to fight with Barak Obama, while Obama won both the competitions in 2008, but Obama the new president need her ability to carry on an important affair, that brings her to the US. Secretary of State while the Middle East and all the world have gone into crisises. That is why I say Mrs. Clinton has to carry out a heavy burden without any rest. And in the future, is she going to compete for a new president of America? Ofcourse yes. But there is a work that I see, Mrs. Clinton has been firm to carry on the task of promoting world democracy all her life. So there has been no time for this iron lady to rest. It's wonderful.
เธออยู่ในสีเขียว
นางคลินตัน ในสายตาของผม เธอเป็นผู้หญิงมหัศจรรย์คนหนึ่งที่ทำงานหนักมาก่อนตั้งแต่สามีของเธอนายบิล คลินตัน ได้ต่อสู้เพื่อขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 42 ในปี 1993(2536) นั่นคืองานหนักในฐานะสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกา และในฐานะภริยาของประธานาธิบดีคนหนึ่ง ภายหลังช่วงเวลาของคลินตั้น เธอเองก็ได้ต่อสู้กับนายบารัค โอบามา ซึ่งนายบารัค โอบามา ชนะทั้งสองครั้ง ในปี 2008(2551) แต่แล้วโอบามา ประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกาก็จำเป็นต้องพึ่งพาความสามารถของเธอ เพื่อทำงานระดับสำคัญยิ่ง นั่นคือต้นเหตุที่นำเธอมาสู่ตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ของสหรัฐอเมริกา ในขณะที่สถานการณ์ตะวันออกกลางและทั่วโลกเข้าสู่วิกฤตต่าง ๆ มากขึ้น นั่นคือเหตุผลที่ผมพูดว่ามิสคลินตันได้แบกภาระการงานที่หนักมาโดยปราศจากการได้พักผ่อนแม้เล็ก ๆ น้อย ๆ และในอนาคตอันใกล้นี้ เธอจะลงแข่งขันเพื่อตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่แห่งสหรัฐอเมริกาหรือไม่? แน่นอน ใช่ แต่กระนั้นก็ยังมีงานอีกชิ้นหนึ่งที่ผมเห็นว่ามิสคลินตันมีความมั่นคงมาตลอดก็คืองานขับเคลื่อนประชาธิปไตยโลก ที่เธอจะต้องทำไปตลอดชีวิตของเธอ เพราะฉะนั้น จะไม่มีเวลาสำหรับสตรีเหล็กคนนี้ได้พักผ่อนเลย นี่คือความมหัศจรรย์......
เราค่อนข้างจะเห็นด้วยอย่างยิ่ง ที่ว่าเธอทำงานหนักจริง ๆ และไม่เคยว่างเว้นจากงานหนักที่สำคัญ ๆ ทั้งสิ้น โดยไม่มีเวลาได้พักผ่อนเลย และยังมีข้อเท็จจริงที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่เราเห็นด้วยอย่างยิ่ง นั่นคือบทสุดท้ายที่ว่า Mrs. Clinton has been firm to carry on the task of promoting world democracy all her life. So there has been no time for this iron lady to rest. It's wonderful. นั่นคือ ความมุ่งมั่นในการแบกขนงานเผยแผ่ประชาธิปไตยไปตลอดชีวิต จนแทบว่าทั้งชีวิตจะไม่มีเวลาพักผ่อนเลย และนั่นสมสมญาว่า สตรีเหล็ก น่ามหัศจรรย์โดยแท้จริง
แต่นี่ไม่ใช่เนื้อหาอันเป็นสาระหลักที่เรายกย่องเธอให้เป็นบุคคลแห่งปีของเรา แต่เรามองเหตุผลที่ว่า การทำงานเพื่องาน แม้ทำงานหนัก ชนิดหามรุ่งหามค่ำ แทบไม่มีเวลาได้พักผ่อนเลยปานนี้แล้ว แต่เราก็ได้เห็นบุคลิกภาพที่เยือกเย็น สม่ำเสมอ เสมอต้นเสมอปลายของเธอ ความอ่อนรา หรือความท้อถอย ไม่เคยปรากฏในดวงตาของสตรีเหล็กผู้นี้ บ่งบอกถึงความรับผิดชอบในภาระหน้าที่การงานอย่างสมบูรณ์ ที่สำคัญ นี่คือการแบกขนภาระหน้าที่การงานอันหนักไปพร้อมกับการเสวยความสุข ความพอใจในภาระนั้นด้วย ซึ่งเรามองว่า นี่คือจิตใจที่เป็นธรรม มีธรรมะ ตามหลักธรรมอนัตตาในพระพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์ จึงมีความพอใจ มีความสุข และสามารถต่อสู้กับปัญหาและเผชิญได้ทุก ๆ สถานการณ์ เราหมายความว่า เธอทำงานเพื่องานอย่างแท้จริง โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดใด ถึงจะทำงานหนักไปโดยไม่ได้หวังว่าจะได้อะไรตอบแทนมากไปกว่าตำแหน่งที่เธอเป็นเธอได้เธอมีอยู่ เธอจะได้เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาหรือไม่ นั่นดูเหมือนว่าจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นแรงผลักดันในการทำงานของเธอเท่าไร เพราะแรงผลักดันของเธอจริง ๆ นั้นคือธรรมะความไม่ยึดมั่นถือมั่น การเคารพตนเอง ความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ต่อนโยบายที่รับปากไว้แด่ประชาชนสหรัฐอเมริกา นี่คือสปิริตซึ่งตรงกับหลักการในพระพุทธศาสนา ที่ว่าด้วยการทำความดีโดยบริสุทธิ์ ซึ่งเราได้เห็นแล้วว่า Hilary Rodham Clinton ได้ประสบผลสำเร็จอย่างน่าชื่นชมเป็นแบบอย่างแด่คนทั้งหลายในโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกประชาธิปไตย และเราขอยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปีพุทธศักราช 2554 ของหนังสือพิมพ์ดี และประกาศเกียรติคุณลงไว้ ณ ที่นี้ สืบไปชั่วกาลนาน
หนังสือพิมพ์ดี จึงขอประกาศบุคคลทั้ง 4 ท่านนี้ ได้แก่ ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล จิตรา คชเดช ฮิลลารี รอดแฮม คลินตัน [Hillary Rodham Clinton] ว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2554
ต่อจากนี้ โปรดติดตามอ่านสาระสำคัญอีก 4 หัวข้อ ของดี(อินเทอเนต) เล่มที่ 47 ต่อไป
บรรณาธิการ 13 มิ.ย. 2555 21.59 น.
**************************************************************************************************************************************************************************************************
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2555
บุคคลที่ 129 น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีผู้มีอายุน้อยที่สุดของการเมืองโลก เพราะวันที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีอายุเพียง 44 ปี 1 เดือน เท่านั้นเอง มีบุคลิกภาพที่เด่นดังมาตั้งแต่เริ่มเปิดตัวเป็นนักการเมืองในวันแรกแล้ว โดยทางพรรคเพื่อไทยมอบความไว้วางใจให้เป็นผู้แทนพรรคลงชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 26 ซึ่งก็ได้ผ่านการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ไปด้วยคะแนนท่วมท้น ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย สิ่งที่เราได้เห็นในวาระต่อไปก็คือต่างประเทศได้ชื่นชมและให้การสนับสนุนด้านกำลังใจแด่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อย่างมาก ดังจะพบว่าได้มีบุคคลสำคัญต่างประเทศเข้าเยี่ยมเยียนโดยตลอดมา และล่าสุดรวมทั้ง อดีตรมว.ต่างประเทศสหรัฐอเมริกา นางฮิลลารี คลินตั้น และทั้งประธานาธิบดีบารัค โอบามา ด้วย สิ่งที่ได้เห็นในวาระแรกของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็คือ เป็นคนที่ทุ่มเทให้กับงานอย่างไม่ทอดทิ้ง มีวิสัยทัศน์กว้างขวางและเป็นผู้ที่คำนึงอย่างละเอียดรอบคอบในด้านที่เป้ฯโทษและด้านที่จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน บริหารอย่างรอบคอบ รู้เหตุผลของการบริหารงานชัดเจน โดยเห็นจากการบริหารน้ำท่วมใหญ่ประเทศไทยปี 2554 นั้นเอง ซึ่งเปรียบเสมือนเหตุการณ์ที่มาทดสอบนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย และได้ผ่านการทดสอบไปอย่างสบาย อย่างไรก็ตามสิ่งที่ได้เห็นจาก น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้นก็ยังไม่ใช่ประเด็นโดยตรงสำหรับความนิยมของ นสพ.ดี แต่ในกรณีวิสัยทัศน์การมองประชาชนเห็นได้จากเมื่อนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์เดินทางไปกัมพูชา และดำเนินการแก้ไขให้นางราตรี พัฒนาไพบูลย์ อดีตผู้ร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพธม.ก่อกวนปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาและถูกจับตัวไปพร้อมนายพณิช วิกฤตเศรษฐ สส.ปชป. และนาย วีระ สมความคิด[ข้อหาบุกรุกดินแดนเขมร] เป็นผลให้นายวีระ และนางราตรี ถูกพิพากษาจากศาลกัมพูชาให้ติดคุก นายกรัฐมนตรีได้มองถึงความจำเป็นที่ต้องช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศ จึงดำเนินการทางการทูต จนนางราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ได้รับการปลดปล่อยจากคุกกัมพูชา และเดินทางสู่แผ่นดินแม่ เมื่อวันที่ 2 ก.พ.2556 เวลา 21.35 น.ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเรามองว่า เป็นลักษณะของผู้นำการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่ดำรงอุดมการณ์ของประชาธิปไตยไว้อย่างถูกต้อง ตรงความหมายของการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน โดยนัยะความหมายของประชาชนนี้ หมายถึงคนไทยทุกคนในประเทศนี้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่ถืออุดมการณ์แตกต่างออกไป หรือเป็นฝ่ายค้าน ที่มีนโยบายการบริหารแตกต่างไปอีกด้านหนึ่งก็ตาม นี่คือความหมายของความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและประชาชนในระบอบประชาธิปไตย เป็นความหมายของหลักการ Majority rule Minority right นั่นเอง อันเป็นความดีของระบอบประชาธิปไตย ที่ประเทศไทยปรารถนาจากคุณค่าที่สูงส่งนี้ และเราได้เป็นแบบอย่างจากนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่านี่คือประชาธิปไตย เราจึงขอยกย่องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นบุคคลแห่งปีของ น.ส.พ.ดี พุทธศักราช 2555 ณ โอกาสนี้
บุคคลที่ 130 พ.ต.พุทธินารถ พหลพลพยุหเสนา
พ.ต.พุทธนารถ พหลพลพยุหเสนา เป็นลูกชายคนที่ 4 ของ พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา กับท่านผู้หญิงบุญหลง มีน้องสาวผู้ยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้อีก 1 คน คือคุณพวงแก้ว สารตปรุง ซึ่งนสพ.ดีได้ยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปีพุทธศักราช 2553 ไปแล้ว โดยนัยะความหมายอย่างเดียวกัน และเราชื่นชม พ.ต. พ.ต.พุทธินารถ ผู้มีคติว่าเป็นลูกผู้เสียสละเช่นเดียวกับคุณพ่อ ผู้มีความเสียสละอย่างยิ่งใหญ่ เพราะถ้าทำงานไม่สำเร็จ ก็ต้องตายเจ็ดชั่วโคตร พร้อมทั้งผู้ก่อการก็ต้องตายแบบเดียวกัน ซึ่งถือเป็นความเสียสละอย่างยิ่งอย่างยากที่จะมีผู้เสียสละได้เท่าเทียม ฉะนั้นจะทำอะไรต้องไม่ทำให้พ่อและแม่เสื่อมเสียเกียรติ จะทำอะไรที่ไม่ดีไม่ได้ ตัวเราเป็นอะไรก็ช่าง แต่จะทำให้เสียหายพ่อ แม่ไม่ได้ นับตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ พ.ต.พุทธนารถ ได้สืบสานมรดกบิดา นั่นคือการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไทย และได้กลายเป็นนักต่อสู้ผู้สละชีวิตเพื่ออุดมการณ์ มาตลอดชีวิต อันยาวนานตั้งแต่เกิดมาเป็นบุตรชายของนักปฏิวัติระบอบเก่าล้าหลังมาสู่ระบอบทันสมัยก้าวหน้า อันเป็นอารยธรรมใหม่ของมนุษยชาติ ตราบปัจจุบัน และอาจจะกล่าวได้เลยว่าชีวิตที่เหลืออยู่ของ พ.ต.พุทธนารถ ได้อุทิศให้แด่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจนหมดสิ้นแล้ว
ในเรื่องการต่อสู้ มีกรณีกบฏบวรเดช ซึ่งคือขบวนการหัวเก่าที่พยายามจะนำนาวาประเทศถอยหลังเข้าคลอง ซึ่งเราเห็นว่าน่าเป็นอุทาหรณ์สำหรับคนหัวเก่าอย่างพรรคประชาธิปัตย์ หรือแนวคิดอย่างนักโฆษณาชวนเชื่อเรื่องราชาธิปไตย ซึ่งพ.ต.พุทธนารถได้เล่าเอาไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้
“กบฏบวรเดช เรื่องข้อเท็จจริงหรือที่เป็นหลักฐานนั้นทราบจากคำบอกเล่าว่าทางฝ่ายพระองค์เจ้าบวรเดช นำทหารต่างจังหวัดล้อมกทม. ยึดสนามบิน โปรยใบปลิว ให้รัฐบาลยอมแพ้ พ่อก็ปรึกษากับจอมพลป. ให้จอมพลป.ตอบโต้ฝ่ายบวรเดช ซึ่งปืนใหญ่สมัยนั้นมีในกทม.อย่างเดียว จอมพลป.ก็สั่งให้ปืนใหญ่ตั้งที่บางซื่อ ตั้งยันกันที่คลองบางเขน รัฐบาลระดมยิงไปที่คลองบางเขน กระสุนปืนใหญ๋ทำให้ฝ่ายบวรเดชล้มตายมาก เมื่อถอยร่นไป รัฐบาลก็นำกำลังบรรทุกรถไฟตามตี จนถูก "ตอร์ปิโดบก" ฝ่ายบวรเดชใช้หัวรถจักรติดเครื่องเปิดไอน้ำ ให้หัวรถจักรเข้าชนกับรถไฟทหารตกราง ฝ่ายรัฐบาลเมื่อกู้รถไฟได้ก็ตามตีไป ฝ่ายกบฏก็ตั้งรับที่อยุธยา ถอยไปที่สระบุรี แม่ทัพฝ่ายบวรเดชตายในที่รบ ฝ่ายรัฐบาลก็ตายในที่รบเช่นกัน ฝ่ายกบฏแตกถอยไป พระองค์เจ้าบวรเดช ก็ขึ้นเครื่องบินหนีไปลงที่ไซง่อน เหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่ทุกท่านทราบในตอนต่อมา ว่าฝ่ายกบฏแพ้ไป”
เราหมายถึง การต่อสู้ของ พ.ต.พุทธนารถ พลพยุหเสนา ได้ผ่านอุปสรรคศัตรูมา ในระดับถ้าพลาดแล้วก็หัวขาดมาตลอด แต่รอดมาได้จนปัจจุบันนี้ การเอาชีวิตรอดได้ และสามารถดำรงอุดมการอันสูงสุดของชีวิตมาได้ ถือเป็นการต่อสู้ที่ประกอบด้วยธรรม ได้ชัยชนะด้วยธรรมะ จึงขอยกย่องพ.ต.พุทธนารถ ว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ปีพุทธศักราช 2555
บุคคลที่ 131 บัวขาว ป.ประมุข
วันนี้ บัวขาว ป.ประมุข ชื่อจริง สมบัติ บัญชาเมฆ เกิดวันที่ 8 พฤษภาคม 2525 เกิดที่จังหวัดสุรินทร์ วันนี้อายุ 30 ปี ยังมีเวลาสำหรับการสร้างคุณค่าบนสังเวียนนักสู้โดยตรงอีกหลาย ๆ ปี ไปข้างหน้า ส่วนสูง 1.74 ม.(5 ฟุต 9 นิ้ว) น้ำหนัก 69.5กก.(153 ปอนด์) รุ่น เฟเธอเวท ในปี 2554 ใน พ.ศ. 2554 บัวขาวได้เข้าร่วมแข่งขันในรายการไทยไฟท์ ที่ประเทศไทย ในรุ่น 70 กิโลกรัม ซึ่งได้เป็นแชมป์ของการแข่งขันครั้งนี้ บัวขาวเข้าแข่งขันไทยไฟต์อีกครั้งในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี โดยครั้งนี้ได้พบกับ เมาโร เซียรา
ซึ่งเป็นนักมวยไทย
ชาวอิตาลี
และบัวขาวเป็นฝ่ายชนะน็อค เราให้คะแนนที่เขาเป็นนักมวยไทยคนเดียวคนแรกที่ทำให้โลกกีฬามวยกระเดื่อง และแสดงฤทธิเดชของมวยไทยได้อย่างจะแจ้ง เริ่มจากการสร้างกีฬามวยไทย K 1 ขึ้นมา เปิดโอกาศให้นักมวยอย่างบัวขาว ผู้พร้อมสรรพด้วยวิทยาการมวยไทยทุกอาวุธครบสมบูรณ์ ได้แผลงฤทธิ์กับนักมวยต่างประเทศ ทุกสาขามวย นับแต่มวยคาราเต้ อย่างฮาราดะของญี่ปุ่น มวยจีนกำลังภายใน ไม่ว่ากังฟู หรือมวยเส้าหลิน และเขาแสดงให้เห็นว่ามวยไทยเป็นอย่างไร แต่การชกมวย เค 1 นี้ ได้ตัดอาวุธมวยไทยที่สุดร้ายกาจออกไปถึง 2 อาวุธคือ ศอก และการโน้มคอตีเข่า เขาเห็นว่าเป็นอาวุธที่อันตรายเกินไป เช่นอาวุธศอกนี้ ได้เลือด แน่ ๆ แต่กระนั้นอาวุธที่เหลือ มีเท้า แทงเข่า หมัด ก็เพียงพอที่จะปราบมวยต่างประเทศ สิ่งที่เราให้คะแนนบัวขาว ป.ประมุขนั้นก็คือ เขาเป็นนักมวยไทยที่มองมวยไทยก้าวหน้าไปกว่าเดิม เขาได้พิศูจน์ว่ามาตรฐานใหม่ของการชกแบบมวยไทยนั้นถูกต้อง เราหมายถึงแผนการชกและเชิงรุกของมวยไทยซึ่งบัวขาว ป.ประมุขได้ทำให้ปรากฏชัดเจนและประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ซึ่งนั่นหมายถึงการฝึกตัวมาอย่างสาหัสฉกรรจ์ ซึ่งเป็นแนวทางการฝึกแบบวิทยาศาสตร์ ทุกวันนี้ในการชกแต่ละไฟต์ของบัวขาว ป.ประมุข มิได้ทำให้แฟนมวยผิดหวังเลยแม้แต่ครั้งเดียว เช่นการชกกับ อับดุลเลาะห์ มาเบล[Abdallah Mabel] ที่บ่งบอกถึงแนวคิดใหม่ของชั้นเชิงรุกของมวยไทย ที่ถูกใจ สะใจแฟนมวยไทยทั้งประเทศ เขาชกได้อย่างดุเดือดและมีแผนการชก มีแนวการฝึก และการชกแต่ละครั้งได้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทโดยได้ทำการฝึกซ้อม เตรียมแผนการชกมาอย่างดีเสมอ บัวขาวไฟต์ล่าสุดชกที่เวทีสนามหลวง เฉลิมพระเกียรติ์ เมื่อ 16 ธันวาคม 2555 คู่ต่อสู้เป็นนักชกต่างชาติฝีมือร้ายกาจอีกคนหนึ่ง คือวิตาลี เฮอกู [Buakaw P.Pramuk vs Vitaly Hurkou] รุ่น 70 กก. จุดไคลแมกซ์อยู่ที่วิตาลีเตะ บัวขาวจับขาได้ดันเข้าเชือก แล้วกระโดดเข่าแทงทรวงอกเต็มหน่วง วิตาลีแทบกระอักเลือด ไฟต์นี้บัวขาวชนะคะแนน ได้รางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน จึงขอยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปีของเรา ณ โอกาสนี้
บุคคลที่ 132 ก้าวไกล แก่นนรสิงห์
ก้าวไกล แก่นนรสิงห์ ชื่อจริงคือ อาทิตย์ ดำขำ เกิดเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2526 ที่จังหวัดขอนแก่น ส่วนสูง 1.80 ม (5ฟุต 11 นิ้ว) น้ำหนัก 175 ปอนด์(79 กก.) รุ่น เวลเตอเวท (ซูเปอร์เวลเตอเวทมวยไทย) มีคำนิยมสั้น ๆ ดังนี้ นักมวยไทย แชมป์โลก K-1 ซึ่งสิ่งที่สร้างชื่อให้เขาดังไปทั่วโลกก็คือ เขาเป็นนักมวยไทย ที่อายุน้อย เพียง 21 ปี และถือว่าตัวเล็กที่สุดในรุ่น แต่กล้าไปชกในรุ่นไม่จำกัดน้ำหนัก ซึ่งทุกคนล้วนตัวใหญ่กว่า ก้าวไกล หลายเท่า และเขายังสามารถคว้าเข็มขัด แชมป์โลกมวย K-1 มาได้อย่างเต็มภาคภูมิ ถือว่าเป็นสุดยอดนักมวยไทย แชมป์โลก ที่โด่งดังไปทั่วโลก เขาเป็นนักมวยที่สายตาดีมาก หลบหลีก หมัดและเตะของคู่ต่อสู้เก่ง ที่เห็นเขาหลบการเตะจนเกือบหงายนั้น ไม่ใช่เขาสู้ไม่ได้ แต่เป็นการแสดงทักษะในการหลบหลีกที่ดีเยี่ยม เพราะถ้าไม่หลบ และไปแลกกับตัวใหญ่กว่า ขนาดนั้น ไม่มีเหลือแน่นอน ฝีมือเยี่ยมมากครับ เราเห็นว่า เขาชกกับยักษ์ทั้งนั้นเลย แต่ด้วยอาวุธมวยไทย เขาได้ทำให้โลกได้รู้จักว่ามวยไทยเป็นอย่างไร และมวยชาวพุทธ ที่เขาขึ้นป้ายไว้นั้น มีป้ายเล็ก ๆขึ้นที่กรอบว่า Buddhist เป็นอย่างไร เขาปราบมวยยักษ์เป็นว่าเล่น ที่สุดยอดคือไฟต์ระหว่างก้าวไกล แก่นนรสิงห์ น้ำหนัก 79 กก. ชกกับ ไมตี้ โม [Mighty Mo Les.] นักมวยหมัดหนัก น้ำหนัก 132 กก. เพิ่งขึ้นยกแรกเท่านั้นเอง ก้าวไกลแลกด้วยการเตะก้านคอ ทีเดียว เท่านั้น มวยยักษ์อย่าง โม ก็ลงไปดิ้นกลางสนามมวย เรามองเพียงภาพเดียว ไฟต์เดียวนี้ก็ เพียงพอแล้ว ที่จะยกย่องว่า ก้าวไกล แก่นนรสิงห์ ได้สร้างวีรกรรมพอแก่เหรียญกล้าหาญของทหารในสงครามเลยทีเดียว จึงขอยกย่องก้าวไกล แก่นนรสิงห์ เป็นบุคคลแห่งปี 2555 ของหนังสือพิมพ์ดี
บุคคลที่ 133 พะเยาว์ อัคฮาด
พะเยาว์ อัคฮาด แม่ผู้ต่อสู้โดยสัญชาตญาณของความเป็นแม่ ผู้รักลูก และรักความเป็นธรรม โดยต้องการให้มีผู้รับผิดชอบในเรื่องราวต้นเหตุของความตายของลูกสาวของเธอ กมนเกด อัคฮาด ผู้ดำเนินชีวิตมาได้ 25 ปีกับอีก 1 เดือน ก็จบชีวิตลง ในขณะที่ทำหน้าที่พยาบาลอาสา ช่วยเหลือคนเจ็บ ป่วย ในการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยของคนเสื้อแดง ผู้ตายในขณะปฏิบัติหน้าที่ในชุดคลุมสัญลักษณ์หน่วยแพทย์ และตายในวัดปทุมวนาราม อันเป็นเขตอภัยทาน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในพระพุทธศาสนา พร้อมกับเพือนร่วมอุดมการณ์อีก5รวมเป็น 6 ศพในวัดปทุมวนาราม แม่คนนี้เห็นว่าใครก็ตามที่ยิงปืนเข้าไปสังหารชีวิต 6 ชีวิตในวัดปทุมวนารามเมื่อเย็นวันที่ 19 พ.ค. 2553 แสดงถึงจิตใจอันเหี้ยมโหดผิดมนุษย์ซึ่งมีเจตนาโดยตรงในการสังหารคร่าชีวิตคนให้ได้ นั่นเป็นสิ่งที่ไร้เหตุผลป่าเถื่อนอย่างยิ่ง ที่สมควรนำตัวมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมให้จงได้ นี่คือจิตใจของแม่ผู้รักความยุติธรรม
พะเยาว์ อัคฮาด พูดถึงลูกสาวของเธอ กมนเกด อัคฮาด ว่า เกดเป็นคนโวยวาย โผงผาง อารมณ์ดี ปากร้าย พูดจาตรงๆ แต่ใครๆ ก็รัก เพื่อนเพียบ สมัยช่วยแม่ขายของที่ตลาดใครก็รู้จักเกดกันทั้งบาง วันไหนไม่ไป น้องๆ นุ่งๆ แถวนั้นเป็นอันหมดสนุก น้องชายของเกดบอกว่า เสียงหัวเราะของเธอได้ยินไกลลั่นทุ่ง ไม่ต้องเห็นตัวก็รู้ว่าเกดมาแล้ว อันที่จริงแม้ใครไม่เคยได้เห็นเกดตอนมีชีวิต ถ้าได้คุยกับแม่ของเกดก็พอเดาได้ว่าอารมณ์ลุยๆ ห้าวๆ นั้นเธอได้มาจากใคร ก็โบราณเขาว่าดูนางให้ดูแม่ นั่นแหละพะเยาว์ อัคฮาด ผู้ถือคติอย่างเหนียวแน่นว่า อสาธุ สาธุนา ชิเน ธรรมะย่อมชนะอธรรมเสมอ
เธอกำลังฝันไปกับความใฝ่ฝันของลูกสาวนั่นก็คือกมนเกดต้องการไปสอบเป็นผู้ช่วยพยาบาลในกองทัพบก และประกาศเจตนาแน่วแน่กับแม่ว่า “ถ้าสอบได้ หนูจะลงใต้”
แม่เล่าว่า หลังจากไปร่วมกับอาสาสมัครอื่นๆ คอยปฐมพยาบาลกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างเต็มตัว เกดก็ไม่ค่อยรับโทรศัพท์ที่บ้านเพราะกลัวโดนตามตัวกลับกระทั่งวันที่เธอเสียชีวิต เธอรับโทรศัพท์แม่ก่อนเสียชีวิตไม่กี่ชั่วโมง มันเป็นเสียงสุดท้ายที่ผู้เป็นแม่ได้ยินขณะทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ เธอถูกยิงขณะทำหน้าที่นั้น ในชุดคลุมสัญลักษณ์หน่วยแพทย์ หมอบอกเพียงว่า เธอโดนยิง 2 นัดกระสุนทำลายสมอง ขณะที่เพื่อนๆ ที่ไปรับศพเธอคาดว่ามีมากกว่าสองนัด มันเหี้ยมโหดจริง ๆ น้องชายคนกลางเล่าว่า หลังรู้ข่าวบ้านทั้งบ้านมีแต่เสียงร้องไห้ระงม ไม่มีใครได้สติ กระทั่งแม่เริ่มยอมรับสภาพได้ และเริ่มต้นจัดแจงทุกสิ่งทุกอย่างเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อลูกสาว ขณะที่พ่อยังคงไม่กินข้าวกินปลา น้องชายคนเล็กดูคลิปครอบครัวเก่าๆ แล้วร้องไห้ทั้งคื
พะเยาว์ อัคฮาด ได้ต่อสู้เพื่อนำความเป็นธรรมมาสู่ลูกสาว ผู้ไม่มีความผิดของเธอ ทุกวิถีทาง อย่างเป็นรูปธรรมอุกอาจในการต่อสู้เพื่อชนะ เธอฉลาด มีความรอบรู้พอที่จะประมวลหลักฐานการฆาตกรรมครั้งนี้ด้วยตนเองและยืนยันกับตนเองว่า ทหารฆ่าลูกสาวของเธอ และจะต้องดำเนินคดีไปจนถึงที่สุด จนแม้กระทั่งต้องแสวงหาความยุติธรรมจากวงการยุติธรรมทั่วโลกด้วย ดังจะเห็นว่าเธอได้เดินทางไปถึงกรุงเฮก ที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อหารือแนวทางการฟ้องร้องผู้เกี่ยวข้อง และผู้สั่งการสลายการชุมนุมในปี 2553 ซึ่งเป็นเหตุให้มีวาทะโต้เถียงกับทหารใหญ่ คือพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ที่ออกมาตำหนิการไปศาลโลกของเธอเป็นเรื่องไม่เหมาะสม และได้เห็นว่า พะเยาว์ อัคฮาด มีจิตใจนักสู้เพื่อความเป็นธรรมขนาดไหน ดังจะเห็นแม้การต่อสู้ทางไสยศาสตร์ เธอก็เอามาใช้ เพื่อให้ได้ชัยชนะมาสู่ฝ่ายที่รักความเป็นธรรมให้ได้
ผลทางคดีจะเป็นอย่างไรก็ตาม มาวันนี้ เราได้เห็นแล้วว่า พะเยาว์ อัคฮาด มีเลือดการต่อสู้อันเข้มข้นสำหรับความยุติธรรม และเป็นการต่อสู้ไปโดยสัญชาติญาณ คือระบบธรรมชาติ 2 อย่าง คือความเป็นแม่ และ ผู้รักความยุติธรรม และซึ่งเป็นแนวทางการต่อสู้ของประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยอัตโนมัติ เราไม่เคยได้พบแม่คนใดได้ต่อสู้เพื่อลูกสาว และเพื่อความเป้นธรรมได้เข้มข้นถึงพริกถึงขิง ในแบบยอมตายถวายชีวิตอย่างไม่เสียดาย เหมือนแม่คนนี้ คนที่ชื่อพะเยาว์ อัคฮาด จึงขอยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2555 ของหนังสือพิมพ์ดี
บุคคลที่ 134 คณิน บุญสุวรรณ
ในช่วงเวลาหลายปีมาแล้ว หลังการปฏิรูปการเมือง 19 ก.ย.2549 คณิน บุญสุวรรณ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) ได้พูดถึงประชาธิปไตยและแนวทางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาโดยตลอด อย่างมีเหตุผล ฉะนั้นจึงมีแนวทางที่ต้านทางรัฐประหารและเผด็จการอมาตย์มาโดยตลอด ในระยะหลังทีสุด มีประเด็นต่าง ๆ ที่ล้วนพุ่งตรงสู่เป้าหมายทางการเปลี่ยนแปลงจากระบอบเผด็จการไทยสู่ประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ โดยมีช่องเอเชียอัพเดท ถ่ายทอดในรายการ ประชาธิปไตยที่ปลายอุโมงค์ หัวข้อเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ทยอยออกมาติดต่อกันตามลำดับ ที่นับว่าคม ตรงเป้าก็มี เช่น พอใกล้ถึงฝั่งก็หยุดเสียดื้อ ๆ ลายแทงรัฐประหาร ได้เวลาถอดถอนตุลาการรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
กรณีศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคแรก พร้อมกับมีคำสั่งให้รัฐสภาชะลอการลงมติในวาระสามของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราช อาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย ล่าสุด" คณิน บุญสุวรรณ" อดีตส.ส.ร.ปี 40 นำกลุ่มอดีตส.ส.ร.ปี 40 ประมาณ 20 คน ออกจดหมายเปิดผนึกต่อต้านการดำเนินการดังกล่าวของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะถือเป็นการล้มล้างบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเสียเอง ถึงขั้นบัญญัติรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่โดยพลการ ไม่ว่าผลการตัดสินจะเป็นอย่างไรย่อมก่อให้เกิดความเสียหายทั้งขึ้นทั้งล่อง
งานนี้ "คณิน" ย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเท่ากับว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว และจากนี้ไปไม่ว่า ครม. ส.ส. ส.ว. หรือแม้แต่ประชาชนที่มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 คน ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวแตะต้อง หรือแม้แต่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกต่อไป
และเท่ากับว่านอกจากศาลรัฐธรรมนูญจะมีอำนาจตีความแล้ว ยังมีอำนาจในการควบคุมรัฐสภา ควบคุม ครม.และควบคุมประชาชนอีกด้วย ซึ่งจะเป็นชนวนนำไปสู่ความขัดแย้งและเกิดวิกฤติครั้งร้ายแรงที่สุด จนมิอาจพยากรณ์ได้ว่าสุดท้ายจะเกิดหายนะต่อบ้านเมืองอย่างไร
เมื่อสถาบันนโยบายศึกษา โดยการสนับสนุนจากมูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ ได้จัดการสัมมนาเรื่อง “ขอดเกร็ดรัฐธรรมนูญไทย” ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2548 เวลา 13.30-17.00 น. ที่โรงแรมโฟร์ซีซันส์ ถ.ราชดำริ กรุงเทพฯ มีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิร่วมอภิปรายบนเวที 5 ท่าน คือ ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ประธานสถาบันนโยบายศึกษา คุณชุมพล ศิลปอาชา ส.ว. กรุงเทพฯ คุณคณิน บุญสุวรรณ อดีต สสร. คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ปรึกษา บมจ.แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป และดำเนินการอภิปรายโดย คุณคำนูณ สิทธิสมาน บรรณาธิการอาวุโส หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ในงานนี้มีนักวิชาการ นิสิต-นักศึกษา ประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมงานจำนวน 102 คน
(จากซ้าย) คุณสนธิ ลิ้มทองกุล คุณชุมพลศิลปอาชา ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช คุณคำนูณ สิทธิสมาน และคุณคณิน บุญสุวรรณ
“ขอดเกล็ดรัฐธรรมนูญไทย” ครั้งนี้ มีประเด็นจากวิทยากรที่มาร่วมอภิปรายแลกเปลี่ยนประเด็นและสาระไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง คุณคณิน บุญสุวรรณ คุณคณิน บุญสุวรรณ แสดงให้เห็นถึงเจตจำนงของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันว่า เป็นรัฐธรรมนูญที่ประชาชนให้ความคาดหวังให้มาปฏิรูปทางการเมืองเพื่อออกจากวงจรเดิมๆ แต่ในขณะนี้ความหวังดูจะเลือนรางเต็มทนจนเป็นที่มาของคำพูดอย่าง รัฐธรรมนูญตายแล้ว
ในฐานะที่เป็นคนร่างรัฐธรรมนูญ คุณคณิน เลือกใช้รัฐธรรมนูญในการปฏิรูปทางการเมือง โดยวางแนวทางหลักไว้ 3 ประการ คือ
การปฏิรูปกระบวนการเข้าสู่อำนาจ
การปฏิรูปกระบวนการทำงานและการใช้อำนาจ
การปฏิรูปกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
แล้วคุณคณิน ก็สรุปว่า ทั้ง 3 แนวทางล้มเหลวหมดในปัจจุบัน เพราะสาเหตุที่สำคัญอย่าง
1. พฤติกรรมการใช้อำนาจของนักการเมือง
2. มีการตีความกฎหมายเข้าข้างตัวเองและเอาเปรียบผู้อื่น
3. กระบวนการสรรหา องค์ประกอบ กระบวนการทำงานขององค์กรอิสระ ยังยึดติดกับทฤษฎีอำนาจนิยมและผลประโยชน์ของพวกพ้อง
4. รัฐสภากลายเป็นเป็ดง่อย (lameduck) กล่าวคือ รัฐสภาไม่สามารถทำหน้าที่สมกับบทบาทที่เป็นตัวแทนของประชาชนได้
5. การซื้อเสียงและทุจริตยังมีอยู่ทั่วไป
6. ฝ่ายบริหารและรัฐสภา จงใจ ไม่ตรากฎหมายขึ้นมารองรับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญให้ครบถ้วน
7. กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญหลายฉบับขัดแย้งและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
8. ผู้มีอำนาจรัฐฉวยโอกาสดำเนินคดีฟ้องร้องต่อประชาชน สื่อมวลชน และฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบ ซึ่งประเด็นนี้ คุณคณิน ชี้ว่า เป็นการใช้สิทธิซ้อนสิทธิอย่างไม่สมควร
9. องค์กรของรัฐไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ
10. ข้อบกพร่องและช่องโหว่ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีมาแต่ต้น
เราเห็นว่าประชาธิปไตยไทยและประเทศไทยตกเป็นหนี้อย่างมากมายต่อบุรุษผู้นี้ เราเชื่อว่าประเทศไทยโชคดีที่มี คุณิน บุลสุวรรณ ความชัดเจนอย่างปราศจากความสงสัยนั่นก็คือการต่อสู้ของเขาเป็นธรรมชาติและเป็นเสรีชน เราจึงขอยกย่องคณิน บุลสุวรรณว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ปีพุทธศักราช 2555
บุคคลที่ 135 น.ท.ธรรมนูญ วรรณา ร.น.
ชื่อเสียงของธรรมนูญ วรรณา กับเพื่อนทหารหาญของเขา ได้ปรากฏในสื่อมวลชนสมกับวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ที่พวกเขาได้สร้างไว้ในคืนวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2556 ซึ่งเรามองว่าเป็นจุดเปลี่ยนของสถานการณ์ใต้ เพราะฝ่ายทหารไทยชนะในเชิงยุทธศาสตร์และยุทธวิธีทางทหาร เป็นเหตุให้ศัตรูคู่ต่อสู้ยุบตัวลงไปโดยพลันทันที ทบทวนเหตุการณ์ในคืนวันที่ 13 ก.พ.2555 นั้นก็คือโจรใต้ได้ระดมพลประมาณ 100 คนบุกค่าย ปล.ฉก.32 ซึ่งมี น.ท.ธรรมนูญ วรรณา ร.น. เป็นผู้บังคับบัญชา โดยพวกก่อการร้ายมุสลิม มุ่งหมายฆ่าทิ้งทหารไทยทั้งค่าย แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร เพราะทางค่าย ฉก.32 ได้การข่าวกรองทันเวลาและเตรียมรับมืออย่างดี เป็นการรู้เขารู้เรา จึงสามารถต้านการบุกของฝ่ายที่มีพลรบเหนือกว่าได้ และยังสังหารมุสลิมก่อการร้ายไปถึง 19 ศพ เราได้รายงานไว้ในเฟสบุ๊ค ดังต่อไปนี้
Phayap Panyatharo There ! a fire battle in Narathivas about 01.30 - 03.00 on Feb. 13 , 2013[2556] before the dawn and 14-19 muslim militants killed, 14 people died around the fences, 5 died in the forest nearby that makes 19 deads, while next time they found 2 injured in a hospital. About 60 Thai marines who fought for their lifes, for their brave heart, for their military tactics within their military base32, Bacho district of Narathiwat. Their commander is Commander Thammanoon Wanna who le...d the fight of the winners. I praise them. The 100 fully armed islamic militants came in the night, you know, they meant to kill them all. The muslim warriors have been thought since its origin to kill them all. Thai soldiers know well the kill'em all of muslim culture. So they changed it, not to be killed all but to kill them all. Eventhough 14-19 out of all of them were killed, not all for there left a number ran away in the dark forest. All Thai soldiers saved. Thai medias have kept on reporting the event since the first firing. While I’m posting, all newspapers in Thailand publish a giant headline. But I waited to get a sharp photo about the meaning of Islam killng and reveanging culture. But I can not find the photo and get this one[from The Daily News newspaper] instead.
Phayap Panyatharo ดูเอาสิเห็นไหม ! เปิดฉากการยิงสู้รบกันแล้ว ที่จังหวัดนราธิวาส เมื่อเวลาประมาณ 01.30 ถึง 03.00 น.ก่อนรุ่งอรุณ วันพุธที่ 13 ก.พ.2556[2013] และผู้ก่อการร้ายมุสลิม 14-19 คน ถูกนาวิกโยธินไทยฆ่าตายไป 14 คนตายรอบ ๆ รั้ว อีก 5 คนไปตายในป่าใกล้ ๆ นั่นเอง รวมเป็น 19 ในเวลาต่อมาก็ตามพบพวกบาดเจ็บอีก 2 ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง นาวิกโยธินไทย 60 นายได้ร่วมกันต่อสู้ครั้งนี้ เพื่อชีวิตของพวกเขาเอง เพื่อแสดงจิตใจที่กล้าหาญ เพื่อยุทธวิธีจะได้พิศูจน์ ได้ตั้งรับอยู่ภายในฐานทัพของเขาเอง ฐานที่ 32 อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ผู้บัญชาการหน่วยนี้คือ น.ท.ธรรมนูญ วรรณา ผู้นำการต่อสู้ไปสู่ชัยชนะซึ่งข้าพเจ้าขอยกย่อง พวกก่อการร้ายอิสลามมีจำนวนประมาณ 100 คน ติดอาวุธครบมือ มาล้อมรอบฐานทัพเวลากลางคืน คุณก็รู้ดี มาแบบนี้พวกเขามุ่งหมายที่จะฆ่าทิ้งให้หมดทั้งฐานทัพเลย นักรบมุสลิมมีคตินี้มาแต่ดั้งเดิมแล้ว จึงมีวัฒนธรรมการรบในแบบฆ่ามันให้หมดของมุสลิม ดังนั้นทหารไทยจึงเปลี่ยนเสีย โดยเปลี่ยนจากการถูกฆ่า ไปเป็นฆ่ามันทิ้งให้หมดแทน ถึงแม้ว่าจะได้ฆ่าพวกก่อการร้ายนี้ไปเสีย 14-19 คน ไม่ได้ฆ่าเสียทั้งหมดเพราะมีพวกหนึ่งกลัวตาย วิ่งหนีไปในป่าที่มืดตื๋อเอาตัวรอดไป ขณะที่ทหารไทยปลอดภัยทุกชีวิต สื่อในประเทศไทยทุกแห่งได้ติดตามรายงานเหตุการณ์นี้มาตั้งแต่เริ่มยิงกันแล้ว ขณะที่ข้าพเจ้าโพสต์เรื่องนี้อยู่หนังสือพิมพ์ทุกฉบับในประเทศไทยได้ตีพิมพ์และพาดหัวข่าวขนาดยักษ์ไปตาม ๆ กันแล้ว แต่ข้าพเจ้าได้คอยที่จะได้ภาพที่คมชัดเกี่ยวกับวัฒนธรรมการฆ่าและการแก้แค้นของมุสลิม แต่ก็หาไม่ได้ จึงได้ภาพนี้แทน(ภาพข่าวเดลินิวส์ 14 ก.พ.2556)
Phayap Panyatharo ก๊อปปี้มา :ความในใจ นย....."ตอนสามทุ่มยี่สิบ พวกมันคลานศอกเข้ามาข้างหลังฐานมาส่องดูพวกเราก่อน เพื่อตรวจสอบว่า พวกผมรู้ตัวหรือเปล่า แต่พวกผมใจเย็นเพราะส่องกล้องดู มันมาแค่ ๘ คน ก็ปล่อย พวกผมรออย่างใจเย็น แต่ในใจก็คิดว่าเดี๋ยวมันมาแน่ แล้วราวๆตีหนึ่งนิดๆ เสียงรถปิคอัพ มอเตอร์ไซค์ มา มันย่ามใจมาก กะจะปิดประตูตีแมวเลยเข้ามาทั้งด้านหน้าด้านหลัง....ผมยอมรับว่า ผมไม่เคยเจอพวกมันแบบนี้ตอนที่เห็นมันกระโดดลงจากรถ เชื่อมั้ย ในใจผมบอกกับตัวเองว่า เฮ้ย พวกมันมาจริงๆพวกมันมีตัวตนจริงๆ มันเป็นคนไทย แต่มันคิดแค้นแบบนี้ แนวคิดแบบนี้ มันจริงโว้ยขนผมลุกซู่เลย ไม่ใช่กลัว แต่พวกผม พร้อมมานานหลายวัน พร้อมมากขนลุกเพราะเศร้าใจว่า ไอ้เงาดำๆที่มันถือปืนกำลังจะวิ่งเข้ามานั่น มันคนไทยแต่กลายเป็นโจรใต้ไปแล้ว ไม่มีใครอยากทำหรอกครับ แต่มันจำเป็นเมื่อมันเปิดฉากเข้าโจมตี ยิงเข้าใส่ทุกทาง พวกผมทั้ง นย.และนสร.ก็เต็มที่ครับเพราะตอนนั้น ก็ไม่รู้ว่า พวกเราจะต้องเจ็บตาย จะพลาดหรือเปล่า เวลานั้นไม่ว่าฝ่ายมัน หรือฝ่ายเรา มีหนึ่งชีวิต เท่ากันครับ มีสิทธิ์เจ็บตาย เท่ากันมีสิทธิ์ที่จะถูกมันจับ มัดมือมันเท้า แบบที่มันเตรียม เชือก ลวดมาพร้อมที่จะถูกมันยิงซ้ำ เมื่อเจ็บ พร้อมที่จะถูกมันเผาทั้งเป็นคาฐานเพราะมันเตรียมอุปกรณ์วางเพลิงมา ถังแก๊ส กะย่างสดพวกเราทั้งเป็นแต่เพราะพวกผมวางแผน เตรียมตัวรับมาดี มั่นใจว่าเราดูแลฐานและอาวุธปืนได้มั่นใจว่า เราจะทำให้ชาวบ้านมั่นใจในทหารมากขึ้น เพราะในเมื่อเขาอุตส่าห์เสี่ยงตายกระซิบข่าวพวกเราก่อน จนเตรียมตัวได้ เราก็ต้องดูแลพวกเขา แม้ว่าจากนี้ การแก้แค้นจะรออยู่เบื้องหน้าก็ตาม เมื่ออยู่ที่นี่แล้ว พวกผม นย.ก็พร้อมครับ ชีวิตแลกชีวิตหากชีวิตพวกผมจะทำให้ ชายแดนใต้สงบ คนไทยพุทธ มุสลิม ผู้บริสุทธิ์ ปลอดภัยพวกผมพร้อม เพราะพวกผมเป็นนาวิกโยธิน พวกผมเป็นทหารเรือ ที่สำคัญ พวกผมเป็นทหารไทยที่จะไม่ให้ใครมาดูหมื่นเกียรติศักดิ์ศรี และต้องรักษาฐาน รักษาแผ่นดินไทยไม่ใช่ปล่อยให้พวกมันทำอะไรก็ได้ ทำให้ชาวบ้านอยู่ในความกลัว ผมเสียใจที่ต้องทำเสียใจที่พวกนั้นต้องตาย แต่ให้นึกถึงเวลาที่พวกมันทำกับทหารเรา ไม่ว่าจะทบ.หรือนย.ที่ตายไป สิบคนแล้ว เมื่อเร็วๆนี้...นี่มันเข้ามาโจมตีฐานเราเอง ท้งเครื่องแบบทั้งอาวุธครบมือ พวกผมไม่มีทางเลือกอื่นครับ... ขอให้เข้าใจพวกผม เถิดครับขอแค่ความเข้าใจและกำลังใจ เท่านั้นจริงๆ ไม่อย่างนั้นศพที่นอนตายหลังปะทะอาจเป็นพวกผม หรือวันใดวันหนึ่ง ก็อาจเป็นพวกผมอีก"....นาวิกโยธิน ๓๒
เรามองว่าพวกเขาเป็นวีรบุรุษ การที่เรายกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ปีพุทธศักราช 2555 นั้น ความหมายของเราก็คือการมอบเหรียญกล้าหาญให้เขาและพวกเขาทั้งหมดพวกเขาคือ วีรบุรุษจากค่าย ปล.ฉก. 32 บ้านยือลอ ม.3 ต.ปะนาเระเหนือ อ.บาเจาะนราธิวาส ผู้ได้ประกอบวีรกรรมสุดยอดในคืนวันที่ 13 ก.พ.2556 นั่นเอง พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เราขอติดเหรียญกล้าหาญให้ น.ท.ธรรมนูญ วรรณา ร.น. ในฐานะบุคคลแห่งปีพุทธศักราช 2555 ของหนังสือพิมพ์ดี
หนังสือพิมพ์ดี จึงขอประกาศบุคคลทั้ง 5 ท่านนี้ ได้แก่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ.ต.พุทธินารถ พหลพลพยุหเสนา บัวขาว ป.ประมุข ก้าวไกล แก่นนรสิงห์ พะเยาว์ อัคฮาด คณิน บุลสุวรรณ น.ท.ธรรมนูญ วรรณา ร.น. ว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2555 ขอจงประสบความสุขความเจริญในวีรกรรมนี้ตลอดกาลนานเทอญ
ต่อจากนี้ โปรดติดตามอ่านสาระสำคัญเรื่องต่าง ๆ ในนสพ.ดี(อินเทอเนต) เล่มที่ 48 ต่อไป
บรรณาธิการ 16 มี.ค. 2556 21.59 น.
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2556
บุคคลที่ 136 ศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน
สิ่งที่ท่านต่อสู้นั้นคือ กฎหมายเพื่อประชาธิปไตย กฎหมายเก่าที่ไม่เป็นไปเพื่อประชาชน โดยประชาชน และของประชาชน จะต้องถูกชำระไป เราได้บันทึกถึง ศ.ดร.อุกฤษ มงคลนาวินไว้ใน หน้ารวมกลุ่มเว็บบอร์ด > บันทึกวีรกรรมหลายหลากของเสรีชนยุคที่ต่อสู้อย่างเข้มเพื่อประชาธิปไตย 2557 > ศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน...
ศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน เสาหลักของกฎหมายไทย ท่านประกาศว่าต้องปฏิรูปกฎหมายไทยทั้งหมดเสียใหม่ ผู้ประกาศตนเป็น รัฏฐาธิปัตย์ .....ถึงมาออกตัวทีหลังว่าทำเล่น ๆ ...แต่องค์ประกอบความผิดครบถ้วนแล้ว เป็นความผิดสำเร็จแล้ว แล้วแต่ฝ่ายกม.บ้านเมืองจะจัดการต่อไป การใช้ทฤษฎีสมคบคิดกันทำลายล้างระบอบและรัฐบาลประชาธิปไตย จะทำได้อย่างไร เพราะไม่มีกฎหมายช่องไหนอาจจะทำได้ แม้กระทั่งพยายามจะใช้มาตรา 7 ก็ไม่อาจจะทำได้ คุณจะอ้างกฎหมายมาตราไหน จะผ่านวุฒิสภา ก็ยาก ไม่มีช่อง จะดื้อด้านไปได้อย่างไร และท่านยังกล่าวคำนิยมคคนเสื้อแดงว่า คนเสื้อแดงเป็นคนตรงไปตรงมามาก ชอบ ผู้ตั้งกระทู้ สุไหงปาดี ชินะกุล :: วันที่ลงประกาศ 2014-04-12 09:04:59
ความเห็นที่ 1 (3389886)
# อุกฤษแนะกรณีสอยนายกฯหากปชช.ไม่เห็นด้วยล่า 2 หมื่นชื่อถอดศาลรธน.ตามม.164.........DNN 8 พ.ค.2557 10:47:00 ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2014-05-08 20:30:10
เราเห็นว่า ท่านศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน ได้ประกาศสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ เพื่อที่จะรองรับการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยไทย นั่นคือ ท่านประกาศว่าต้องปฏิรูปกฎหมายไทยทั้งหมดเสียใหม่ เรามองว่าในระยะปัจจุบันนี้ มีอันตรายจากการตีความกฎหมายไทยอย่างน่ากลัวมาก ฝ่ายเผด็จการเมื่อได้อำนาจ ย่อมตีความกฎหมายไปให้โทษอย่างร้ายแรงต่อฝ่ายประชาธิปไตยโดยไร้เหตุผล แต่ก็ย่อมเป็นไปตามธรรมชาติของระบอบเผด็จการที่จะเป็นไปเช่นนั้น ตีความกฎหมายไปเช่นนั้น และครั้นฝ่ายประชาธิปไตยได้อำนาจเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย ย่อมตีความกฎหมายในแบบเดียวกันกับเผด็จการนั่นแหละ โดยตีความให้โทษฝ่ายเผด็จการไปอย่างเต็มตัวเช่นเดียวกัน แต่ต่างกันที่เหตุผลและเจตนาของการตีความเท่านั้น ฉะนั้น ไม่มีทางอื่นที่สังคมไทยจะทำอะไรเกี่ยวกับการปฏิรูปกฎหมายไทยทั้งหมดเสียใหม่โดยแนวคิดท่าน ศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน นี้ คือ จะต้องปฏิรูปกฎหมายไทยทั้งหมดเสียใหม่ โดยดูกฎหมายเผด็จการ ที่รับใช้เผด็จการอันยาวนานมาแล้วในประเทศไทยนี้ แล้วปฏิรูปให้เป็นแนวคิดของระบอบที่ก้าวหน้า คือประชาธิปไตยเสียทั้งหมด ก็จะเป็นเหตุของความก้าวหน้าครั้งใหญ่ครั้งสำคัญของระบอบประชาธิปไตยไทยได้ นั่นเป็นสิ่งที่หนังสือพิมพ์ดีเห็นควรยกย่องท่านศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน ให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2556
บุคคลที่ 137 โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
Robert Amsterdam ทนายเสื้อแดง
เขายืนยันว่า จะไม่มีการให้อภัย ในระบบกฎหมายเพื่อประชาธิปไตย กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นจะต้องได้รับการพิจารณาตัดสินโดยขบวนการกฎหมายประชาธิปไตย เพื่อดำรงหลักการปกครองให้ตรงไปตรงมา จึงจะเป็นการยุติธรรม โดยหลักแห่งความยุติธรรม เป็นธรรมตามการประกอบกรรมของบุคคล สำหรับเหตุผลที่เรายกย่อง โรเบิด อัมสเตอร์ดัม เป็นบุคคลแห่งปีของเรานั้น ได้มีการบันทึกไว้แล้วโดยประยุกต์ นามเสพเป็นผู้บันทึกในเวบบอร์อดของเรา ซึ่งเราเห็นด้วยกับเหตุผลของประยุกต์ นามเสพ ดังนี้
หน้ารวมกลุ่มเว็บบอร์ด > บันทึกวีรกรรมหลายหลากของเสรีชนยุคที่ต่อสู้อย่างเข้มเพื่อประชาธิปไตย 2557 > Robert Amsterdam ทนายเสื้อแดง Robert Amsterdam ทนายเสื้อแดง อัมสเตอร์ดัม ให้ไทยรับศาลไอซีซี
ทนายเสื้อแดง โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ยังคงทำหน้าที่ ....บอกว่า ถ้ารับอำนาจศาลไอซีซี ไทยจะเอาคดีใดขึ้นก็ได้ สำหรับคดีอภิสิทธิ์-สุเทพ ก็ขึ้นได้ ถึงเวลาที่รัฐบาลจะประกาศชัดเจน รับอำนาจศาล ศาลในประเทศทำอะไรไม่ได้ ก็มีศาลต่างประเทศ รัฐบาลกำลังถามไปว่ารัฐบาลรักษาการณ์รับรองได้หรือไม่ ? ทางศาลยังไม่ตอบมา รออยู่ ผู้ตั้งกระทู้ ประยุกต์ นามเสพ :: วันที่ลงประกาศ 2014-04-14 00:02:10
[1]
ความเห็นที่ 1 (3390142)
เขาเป็นคนมีแนวคิดวิทยาศาสตร์ คนทำผิดต้องได้รับการลงโทษ ไม่มีการอภัย เขาคัดค้านการอภัยโทษ นี่คือยอดทนายความระบอบประชาธิปไตย แนวคิดประชาธิปไตย ในขณะเดียวกันที่คนไทยโลเล ไร้เหตุผล คิดจะช่วยงูเห่า โดยอ้างว่าเพื่อเมตตาธรรม ... นั่นคือความคิดไม่เป็นวิทยาศาสตร์ และไม่ตรงกับหลักกรรมในพระพุทธศาสนา ที่ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำผิดต้องได้รับการลงโทษ ทำดีได้รางวัลเสมอ ผู้แสดงความคิดเห็น ประยุกต์ นามเสพย์ วันที่ตอบ 2014-05-14 21:00:17
สิ่งที่เราให้คะแนนแด่โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม นั้นคือภาคความคิดของเขา ที่มีความมั่นคงในสัจธรรมของความยุติธรรม นั่นคือคนทำถูกจะต้องได้รับรางวัล คนทำผิดจะต้องได้รับการลงโทษ ตรงหลักการปกครองในพุทธศาสนาว่า นิคฺคณฺเห นิคฺหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ : พึงข่มบุคคลควรข่ม พึงชมบุคคลควรชม นั่นเองแหละเป็นความยุติธรรมในโลก และซึ่งแท้จริงเป็นหลักกรรมในพระพุทธศาสนา แต่สังคมไทยมักโลเล เป็นสังคมสับสนในธรรมะ เมื่อจะลงโทษคนผิด สังคมไทยกลับนึกถึงความเมตตา ไปกันคนละเรื่องไปนู้น อย่างนี้เป็นต้น (ฝากับตัวไม่ตรงกัน) เราคิดว่า อัมสเตอร์ดัม ได้มีความเข้าใจสังคมโลเลของชาวพุทธไทยเช่นนี้ เขาจึงยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า กรณีเข่นฆ่าประชาชน 92 ศพ เดือน เมษายน-พฤษภาคม 2553 นั้น ไม่มีวันจะให้อภัยได้ ถ้าศาลภายในประเทศทำอะไรไม่ได้ เขาก็จะต้องนำสู่ศาลสากล เช่น ไอซีซี ให้ได้ เป็นต้น นั้นแหละหลักความยุติธรรมสากล และวิธีให้คนเลวเข็ดหลาบ เราจึงเห็นควรยกย่อง โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม เป็นบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2556 ไว้ ณ ที่นี้
บุคคลที่ 138 พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย
นายทหาร นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผู้สืบสานงานปฏิรูปประชาธิปไตย ตามแบบ พ.อ.พระยาพหล พลพยุหเสนา ยุคปฐมสร้างประชาธิปไตย พ.ศ.2475 และท่านผู้นี้ได้ประกาศบนเวทีประชาธิปไตย ถนนอักษะไว้ว่า ขอตายเป็นศพสุดท้าย เพื่อประชาธิปไตยไทยเจริญรุดหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง โดยสถาวร ผดุงศิษย์ ได้จารึกเอาไว้ในหน้ารวมกลุ่มเว็บบอร์ด > บันทึกวีรกรรมหลายหลากของเสรีชนยุคที่ต่อสู้อย่างเข้มเพื่อประชาธิปไตย 2557 >ว่า พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย ประกาศ..พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย ประกาศขอตายศพสุดท้ายของเสื้อแดง บนเวทีอักษะ วันนี้(18 พ.ค.2557) จะขอสู้ร่วมกับชาวเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย ตายกีคน ๆ แดงไม่ระย่อ ขอสู้จนตัวตายเป็นศพสุดท้าย รายงานว่า สันติบาลตรวจสอบแล้ว แดงมาชุมนุม วานนี้(17 พ.ค.2557) 4แสน 2 หมื่น วันนี้(18 พ.ค.2557) 4 แสน 8 หมื่นคน
ผู้ตั้งกระทู้ สถาพร ผดุงสิทธิ์ :: วันที่ลงประกาศ 2014-05-18 19:42:40 และ ณ วันที่เราบันทึกนี้(21 ต.ค.2557) พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย ได้ก้าวล่วงไปแล้ว มีรายงานข่าวว่า พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย ได้เดินทางไปต่างประเทศ ตั้งแต่ช่วงเวลาต้น ๆ ของทหารยึดอำนาจรัฐบาลประชาธิปไตยในไทย แล้วท่านได้ล้มป่วยลงด้วยโรคปอดติดเชื้อ จนที่สุดถึงแก่ชีวิตลงในต่างประเทศ คือ ฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 6 ต.ค.2557 เวลา 22.00 น. อายุ 65 ปี ทางญาติ(รวมทั้งเสื้อแดงไทย)ได้นำศพกลับมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและได้นำศพสวดบำเพ็ญกุศลศพ ณ วัดบางไผ่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เป็นเวลาหลายวันก่อนจัดมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ โดยมีอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นประธานในพระราชพิธีฌาปนกิจศพ เรามีความเห็นว่า ความหวังไม่น่าจะเกินจริงเมื่อ พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย กล่าวเอาไว้แล้วว่า ขอเป็นศพสุดท้าย ซึ่งหมายความว่าเมื่อถึงวาระที่ท่านตายลงไปแล้ว ต่อไปข้างหน้าประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตย แล้วไม่มีเผด็จการทหารโง่เง่าเข้ามาแทรกแซงอีก ต่อไปประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตย และเดินการเมืองโดยการเมืองโดยกระบวนการประชาธิปไตยล้วน ๆ ประชาธิปไตยไทยเจริญอย่างได้มาตรฐานประชาธิปไตยต้นแบบที่แท้จริงเยี่ยงประเทศที่เจริญทั้งหลายซีกโลกอเมริกา และตะวันตก เราเห็นว่าปณิธานอันนี้ของ พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก สมควรยกย่องท่านเป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ.2556 ของนสพ.ดี(อินเทอเนต)
บุคคลที่ 139 นายกมล ดวงผาสุก หรือ ไม้หนึ่ง ก. กุณฑี
กวีเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย เพราะเหตุที่เขาเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผู้ทำงานศิลปะ เขาเคลื่อนไหว ด้วยการเขียน อ่าน บทกวี อันเพียบด้วยสาระและคำแหลมคม ปราศรัยบนเวทีและบทสัมภาษณ์ ที่สร้างสรรค์ประชาธิปไตยไปกับคนเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย อย่างไม่เคยหยุดหย่อนและย่อท้อต่ออุปสรรคและศัตรูหมู่อมิตรที่จ้องมองอยู่รอบกาย จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต ที่ถูกมือมืดเผด็จการยิงสังหารเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2557 ณ บริเวณลานจอดรถ หน้าร้านอาหารครกไม้ไทยลาว ย่านลาดปลาเค้า 24 ลาดพร้าว กทม. เรามองว่า ไม้หนึ่งก.กุณฑี นี้เป็นคนธรรมดา ๆ คนหนึ่งเหมือนคนทั้งหลาย นี่เอง แต่เมื่อมีสำนึกของประชาธิปไตยคือมีคำว่า Liberty Equality Fraternity ในจิตใจแล้ว เขาก็ไม่ใช่เพียงคนธรรมดา ๆ แต่เป็นผู้นำคนผู้มีอิสรภาพอันยิ่งใหญ่ และรู้ซึ้งในคุณค่าของประชาธิปไตย จนกระทั่งมองว่าแม้ชีวิตก็สละเพื่อประชาธิปไตยได้ นี่คือคุณค่าอันสำคัญล้ำเลิศที่เรามองเห็นจากเขา และเห็นสมควรยกย่อง นายกมล ดวงผาสุก หรือ ไม้หนึ่ง ก.กุณฑี ว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ปีพุทธศักราช 2556
เราจึงขอยกย่องว่า ศ.ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม [Robert Amsterdam] พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย กมล ดวงผาสุก หรือ ไม้หนึ่ง ก.กุณฑี เป็นบุคคลแห่งปีพุทธศักราช 2556 ของหนังสือพิมพ์ดี หวังว่าเกียรติอันสูงส่งของท่านเหล่านี้จักขจรขจายไปทั่วโลกและสถิตสถาวรไปชั่วนิรันดร์กาล
บรรณาธิการ 15 ต.ค.2557
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2557
บุคคลที่ 140 นายโจโก วิโดโดประธานาธิบดี คนที่ 7 ของอินโดนีเซีย
โจโก วิโดโด
นาย โจโก วิโดโด [Joko Widodo] เขาเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอินโดนีเซียมาแต่ต้น โดยร่วมในอุดมการณ์ ปัญจสีละ (Pancasila) มาอย่างแนบแน่น ตั้งแต่อินโดนีเซียเป็นเอกราชมา โดยที่ปรากฏว่า อุดมการณ์ปัญจสีละนี้ เป็นอุดมการณ์ของการเมืองระบอบประชาธิปไตยสากล ที่กลายมาเป็นอุดมการณ์ของประชาชาติอินโดนีเซียยุคประชาธิปไตย มาเป็นเวลาไม่นานนัก เริ่ม พ.ศ. 2547 ซูการ์โน เป็นประนาธิบดีคนที่ 1 ของอินโดนีเซีย ซึ่งแสดงถึงการเริ่มออกเดินทางการเมืองที่ทันสมัยของอินโดนีเซียไประยะหนึ่งที่น่าชื่นชมแล้ว ครั้นเผด็จการทหาร คือพล.อ.สุฮาร์โต ที่ครองอำนาจอย่างโง่เขลาอยู่ 31 ปี โดยทำประเทศเป็นหนี้และยากจนลงไปตามลำดับ(แบบนายพลเนวินแห่งเมียนมาเลย) ถูกมวลชนไล่ออกไป ระบอบปัญจสีละของอินโดนีเซียก็กลับมาใหม่ และเหตุที่น่าชื่นชมก็ปรากฏจากนายโจโก วิโดโด นี้เอง สิ่งที่เราชื่นชมก็คือ เขาได้ตั้งพรรคการเมืองของเขา ชื่อว่า.....พรรคต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย [Indonesian Democratic Party of Struggle ซึ่งมีตัวย่อว่า PDI-P] ซึ่งบ่งบอกถึงแนวทางอุดมการณ์ทางการเมืองของเขา เสมือนการประกาศตัวของศิษย์-สาวกประชาธิปไตยโดยตรง และในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2557 พรรคต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของโจโก วิโดโด ได้ประกาศนโยบายของพรรคออกไปอย่างน่าชื่นชม ในนัยยะที่ว่า พรรคการเมือง ในระบอบประชาธิปไตยนั้นเอง ที่จะบ่งบอกไปถึงงานของประเทศ ภายหลังที่ประชาชนมอบความไว้วางใจให้ และนายโจโก วิโดโด ก็ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอินโดนีเซีย ให้เป็นผู้นำรัฐบาลของประเทศ เป็นประธานาธิบดีคนที่ 7 มีหน้าที่ที่ซื่อสัตย์ตามนโยบายที่ประกาศแด่ประชาชนในช่วงขณะมีการรณรงค์การเลือกตั้ง
เขามีนโยบายที่ชัดเจนเรื่องการช่วยเหลือคนยากจน ให้อินโดนีเซียไม่มีคนยากคนจนอีกต่อไป ทั้งนโยบายประกันสุขภาพที่ขยายความครอบคลุมในการรักษาโรคมากขึ้น รวมถึงเรื่องการศึกษาที่มุ่งยกมาตรฐานพื้นฐานของประชาชนอินโดนีเซีย และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จนเกิดเป็นกระแสคลั่งไคล้ เรียกร้องให้เขามาเป็นผู้นำประเทศ จนกระทั่ง โจโกวี ได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอินโดนีเซียของพรรค PDI-P ในที่สุด
การประกาศนโยบายของ โจโก วิโดโด หรือ โจโกวี [Jokowi] ดังกล่าวนั้น เรามองว่าเป็นการมองไปถึงการรากฐานของระบอบประชาธิปไตย ประชาธิปไตยใหม่ที่จะก้าวหน้าไปได้นั้น นักการเมืองต้องมองถึงการสร้างพื้นฐาน การทุ่มเทการลงทุนอันยิ่งใหญ่มหาศาลเพื่อยกระดับพื้นฐานประชาชนชั้นรากหญ้า ให้สูงขึ้น อย่างที่ต้องเป็นนโยบายรวมของพรรคการเมืองของประเทศที่เริ่มต้นสร้างประชาธิปไตยของทุกประเทศ และ โจโก วิโดโด ได้เดินไปตามหลักการนี้เลย(คล้ายอย่างมากเลยกับนโยบายของพรรคไทยรักไทย ของอดีตนรม.ไทยทักษิณ ชินวัตร) และที่สำคัญยังแฝงรอยความหมายทางศาสนธรรมอย่างลึกซึ้ง นั่นคือความเมตตา ที่คิดสร้างสรรค์สิ่งที่ล้วนแต่เป็นการให้แด่ประชาชนชั้นรากหญ้า อันเป็นคนส่วนใหญ่ ส่วนมากที่สุดของประเทศ(ที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ที่สุดของประเทศ) และครั้นได้รับความไว้วางใจจากประชาชนแล้ว ก็ได้ประกาศย้ำไปอีกถึงนโยบายที่กล้าหาญ มุ่งมั่น คือเขาประกาศวันที่ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งจะเห็นว่า เขาพูดด้วยภาษาประชาธิปไตย และจริยธรรมของประชาธิปไตย ได้อย่างยอดเยี่ยม ว่า………
<<< ชัยชนะครั้งนี้เป็นชัยชนะของชาวอินโดนีเซียทั้งมวล เราหวังว่าชัยชนะครั้งนี้จะปูทางไปสู่ ความเป็นประเทศอินโดนีเซียที่มีเกียรติภูมิทางการเมือง อินโดนีเซียที่พึ่งพาตนเองได้ทางเศรษฐกิจ และอินโดนีเซียที่มีบุคลิกภาพทางวัฒนธรรมเป็นอัตลักษณ์” … “นี่เป็นเวลาแห่งการประสานรอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างกัน ขอจงได้ลืมเรื่องที่ว่าใครได้ที่หนึ่ง-ที่สอง; ขอเราจงกลับมาสู่อินโดนีเซียที่มีความสามัคคีสมานฉันท์กัน …ขอให้เรามาสามัคคีกัน ทำงานร่วมกัน พัฒนาอินโดนีเซียให้เป็นแกนกลางของประชาชาติแห่งการค้าขายทางทะเล และเป็นศูนย์กลางอารยธรรมของโลก”>>>
<<< “This victory is the victory of all people of Indonesia. We hope it will pave the way
to create a politically dignified Indonesia, with economic self-sufficiency and cultural personality,” … ““This is the time to mend broken relationships. Forget about number one or number two; let’s return to a united Indonesia,…Let’s work together to develop Indonesia into a global maritime axis, a global civilization hub.” >>>
(เขาแปลจากภาษาชะวา เป็นภาษาอังกฤษ แล้วแปลอังกฤษต่อมาเป็นภาษาไทย นะครับ)
ฟังซิครับ เขาเชื่อมั่นได้อย่างไรจึงกล้าพูดอย่างนั้น ???? กล้าพูดว่า
<<< to develop Indonesia into a global maritime axis, a global civilization hub.”>>>
<<< พัฒนาอินโดนีเซียให้เป็นแกนกลางของประชาชาติแห่งการค้าขายทางทะเล
และเป็นศูนย์กลางอารยธรรมของโลก”>>>
นั้นเอง เป็นสาระสำคัญ ที่ชนะคะแนนบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2557
เราจึงขอยกย่องว่า นายโจโก วิโดโด เป็นบุคคลแห่งปีพุทธศักราช 2557 ของหนังสือพิมพ์ดี หวังว่าเกียรติอันสูงส่งของท่านผู้นี้จักขจรขจายไปทั่วโลกและสถิตสถาวรไปชั่วนิรันดร์กาล
บรรณาธิการ 5 ม.ค.2559
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2558
บุคคลที่ 141 Dr. B.K. Modi ดร.บี.เค. มูดี
มหาเศรษฐี มูดี ผู้สร้างภาพยนตร์ พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก โดยทุ่มทุนลงไปกว่า 1000 ล้านบาท Dr. B.K. Modi (ดร. บี.เค.มูดี) ได้อุทิศชีวิตทั้งชีวิต ทำการศึกษาวิจัยพุทธศาสนา และพุทธประวัติรอบด้าน ทั้งในทางการเมือง และสังคมยุคนั้นอย่างละเอียดรอบคอบ จนได้ข้อสรุปออกมาอย่างมีเหตุมีผล สมตามความเป็นจริง โดยแนววิทยาศาสตร์ ทำให้พุทธศาสนาเหมาะสำหรับโลกยุคใหม่อย่างแท้จริง ผู้สร้าง กาพยนต์ ซีรรี่ย์ยาว 45 ตอน ฉายครั้งแรกในอินเดีย ปี 2013(พ.ศ. 2556)จากนั้นเข้ามาลังกา ไทย ถึงบัดนี้
BUDDHA THE GREAT LEADER OF THE WORLD, because HE leads away from devils, away from all wars, away from all sins to happiness. THE REAL HAPPINES FROM INSIDE OF the MIND, the one's mine.
พระพุทธเจ้า ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ของโลก เพราะพระองค์ทรงนำไป ให้ห่างจากมารทั้งหลาย ห่างจากสงครามทุกรูปแบบ ให้ห่างจากบาปทั้งสิ้นทั้งปวง และทรงนำไปสู่ ความสุข ความสุขที่แท้จริง จากภายในของดวงจิตของมนุษย์ จากดวงจิตของตนเอง
วันนี้เป็นภาพยนตร์ที่ดีสำหรับโลกทั้งโลก ตามคำแนะนำที่ว่า
Today The world should see. All races all the people should see. Asia should see. Europe should see. America should see. Africa should see. All Thai people should see.. a latest film from India BUDDHA KING OF KINGS [พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก] I myself see and see and see and still see...
.วันนี้ โลกทั้งโลก ควรจะต้องดู ชนทุกเผ่าพันธ์ควรจะต้องดู เอเซียควรจะต้องดู ยุโรปควรจะต้องดู อเมริกาควรจะต้องดู อาฟริกาควรจะต้องดู คนไทยทุกคนควรจะต้องดู ภาพยนต์อินเดียเรื่อง พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก หรือ ภาษาอังกฤษว่า จอมกษัตริย์แห่งมวลกษัตริย์ทั้งปวง ข้าพเจ้าเองดู แล้วก็ดู แล้วก็ดู แล้วก็ยังดู
ฟังคนไทยวิจารณ์กันใหญ่ เรื่อง พระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก ว่าเรื่องราวไม่เหมือนที่เล่าเรียนมา ผมก็มองแบบนั้น แต่ผมชอบแบบที่ โมดี เขาวิจัยมา เช่นเรื่องพระยานาค 7 หัวในคัมภีร์ไทย ไม่มีหรอกครับ มีงูเห่านั่นแหละถูกแล้ว แต่เรื่องการศึกษาสมาธิ ฌานไปถึง 8 ขั้น ตามอุทกดาบส นั้น ดีมากครับ ผมเชื่อเลย เพราะผมก็ศึกษามา เรื่องนางอัมราปาลี ในเรื่อง คือผู้หญิงอินเดียคนหนึ่งที่เก่งมาก เก่งในการแสดงเป็นหญิงที่เก่งในความงาม และเป็นดาราที่เยี่ยมจริง ๆ ในด้านการเต้นรำ ขับร้อง ที่รู้สัจธรรมทางกามารมณ์ และที่ใฝ่ในหลักการหลุดพ้น ครับ อยากเห็นตัวจริง ๆ สด ๆ ของทั้ง 3 คน และอยากจะให้ โมดี มาเยี่ยมไทยบ้าง ที่จริงโมดีนี่ เหมือนอย่างพระองค์หนึ่งเลยละ มีความหวังกับเขามากเลยว่า เขาจะเป็นคนที่บุกเบิกพุทธศาสนา อย่างที่เขามองอยู่นี่แหละ ที่ตรงกับใจผมมาก ๆ เลย ไปให้ทั่วโลก โดยเฉพาะอินเดียเอง เหมือนที่เริ่มไว้ดีที่เมือง นาคปุระ
ผมว่าต่อไปอีกหน่อย ว่า ด้วยเรื่องตำหรับตำราเมืองไทย นี่แหละ ผมเคยคิดว่าควรเอาไปเผาทิ้งเสียให้หมด พอมาเห็น พุทธมหาศาสดาโลก ของ โมดี ก็เลยบอกเลยว่าคิดถูก เอาไปเผาทิ้งเสียให้หมด .....หมายความว่าอย่างนี้ละมัง ที่เรียนมาเรียนสิ่งที่โง่ ๆ มาทั้งนั้น
แล้วได้มาพบ มูดี ผู้สร้าง พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก มูดี เขาไม่ได้บอกว่า เวลากุมารน้อยกำเนิดออกมา ก็เป็นธรรมดา เหมือนมนุษย์ทั้งหลาย ทรงเป็นมนุษย์ และ เป็นอย่างมนุษย์ เพียงแต่เมื่อทรงเติบโตขึ้นมา เริ่มแต่เป็นเยาวชนตัวน้อย ทรงกอปรด้วยดวงจิต ที่สะเทือนไปกับชีวิตที่เป็นทุกข์ ทรงเข้าไปรับรู้ในความทุกข์ของชีวิตทุกชนิด นับแต่ทรงพบอันดับแรกตลอดไป จนถึงชีวิตมนุษย์ทั้งหลาย จึงทรงไม่เห็นด้วยกับการสงคราม ทำไมจะต้องฆ่ากันตายนับหมื่นชีวิต ทรงถามอย่างนี้ และนี่คือเจ้าชายน้อยผู้มาพร้อมกับมหาเมตตา มหากรุณา ภายในดวงจิตของพระองค์
หลักการนี้ ใช้ได้กับพวกเราด้วยนะ พวกเราที่เป็น ชาวพุทธ โดยทำอะไร อย่าหวังได้ซึ่งสักการ ชื่อเสียง อย่าทำอะไรดี ๆ ที่เกิดภาพดี ๆ แต่ทำไปโดยใจอันโลภ โดยหวังได้ดิบได้ดี ทำด้วยใจคิดไม่ถูกธรรม ผิดทั้งนั้น ผิดทางทั้งนั้น และเมื่อผิดทาง ก็ไม่ถึงมรรคถึงผล นั่นเอง
การทุ่มเทชีวิตของ ดร.โมดี นี้ ทุ่มเทให้กับการศึกษาวิจัย ในประเด็นว่า พุทธ เป็นวิทยาศาสตร์ และเขาได้ทำสำเร็จออกมาอย่างน่าชื่นชมยินดี ที่ปรากฎในภาพยนต์ เรื่อง พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก นี้เอง ในขั้นงานศึกษาวิจัยเอง แล้ว ยังนำมาเผยแผ่อย่างสุดชีวิตจิตใจ เปรียบปานอัครสาวกยุคองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเห็นสมควรอย่างไม่ลังเลประการใดเลย ที่จะขอยกย่องเขาเป็น บุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2558 ของหนังสือพิมพ์ดี และขอให้ มูดี ได้จำเริญไปไกล ในการเผยแผ่พระพุทฅธศาสนาไปในโลกยิ่ง ๆ ขึ้น
บุคคลที่ 142 ฮิมานซู โซนี่ [Himanshu Soni]
ฮิมานชู โซนี่ แสดงเป็น พุทธะ ในหนังเรื่อง พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก มีความเหมาะสมในบทบาทมาก แทบว่า เขาเองเป็นพระพุทธเจ้า มีคำกล่าวชมไว้ ซึ่งเราเห็นด้วย จนยกให้คะแนนเป็นบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2558
I was so glad to see him; Himanshu Soni in a Thai TV today, June 22, 2016[25059] that my eyes felt a water coming out without a feeling. And I took these photoes from the TV. I ever read Hindustan Times, 11October 2013[2556] wording that "Himanshu Soni is the new Buddha." There are other papers abroad said the alike word.I myself still find out the wrong or the mistaken act of the actor as Buddha; The Greatest Prophet of the world but I still see no mistakes. He acts well as if he was the real Buddha. I know from him today that he has to keep in his mind 9 emotions[9 levels of smadhi or SHANSMAPATTI] to act as Budha's several behaviours depending on several situations and the peoples. Yes I agree with him but I still have the question in my mind. Is Himanshu Soni the real new Buddha as the papers said ? And who is who between Himanshu Soni and Dr. Modi the builder of the great film : Buddha;The King of kings. Who is the real new Buddha? Or the both ? OK ! We have to proof it. The real Buddha who enlighten, he teach according to his kind heart to bring the people of the whole world across the ocean of troubles to the land of pure happiness.
ข้าพเจ้าได้บังเกิดความยินดีมากที่ได้เห็นเขา ฮิมานชู โซนี่ ในทีวีไทยช่องหนึ่งวันนี้ วันที่ 22 มิถุนายน 2559 จนมีเม็ดน้ำตาออกมาจากดวงตาทั้งสองของข้าพเจ้าอย่างไม่รู้ตัว และข้าพเจ้าได้ถ่ายภาพที่ปรากฎนี้แล้วจากทีวีช่องนั้นไว้หลายภาพ ข้าพเจ้าเองเคยอ่านพบจากหนังสือพิมพ์ ฮินดูสถานไทม์ วันที่ 11 ตุลาคม 25556 มีถ้อยคำว่า "ฮิมมานชู โซนี่ นั้นคือพระพุทธเจ้าองค์ใหม่" ยังมีหนังสือพิมพ์ต่างประเทศอีกหลายฉบับที่กล่าวถ้อยคำทำนองเดียวกัน ข้าพเจ้าเอง ก็ยังคงค้นหาอยู่ ซึ่งสิ่งที่นักแสดงบกพร่องหรือข้อที่ผิดพลาดของเขา จากการแสดงเป็นพระพุทธเจ้า มหาศาสดาของโลก แต่ข้าพเจ้าเองก็ยังไม่พบสิ่งที่บกพร่องหรือผิดพลาดดังกล่าว่นั้น เขาแสดงได้ดีมากจนปานหนึ่งว่าเขาเป็นพระพุทธเจ้าตัวจริง ข้าพเจ้าได้รู้จากเขาในวันนี้เองว่า เขาได้เตรียมอารมณ์ของนักแสดงเอาไว้ถึง 9 อารมณ์(ในทางธรรมปฏิบัติหมายถึงสมาธิหรือฌานสมาบัติ 9 ระดับ) สำหรับแสดงเป็นพระพุทธเจ้า ที่ทรงประพฤติไปให้สนอดคล้องสถานการณ์ต่าง ๆ และประชาชน คนต่าง ๆ ถูกละ ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับเขา แต่กระนั้นข้าพเจ้ายังคงมีคำถามต่อไปในใจข้าพเจ้า ฮิมานชู โซนี่ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่อย่างที่หนังสือพิมพ์ต่างประเทศกล่าวไว้ จริงหรือ ? และ ใครเป็นใคร ระหว่างฮิมานชู โซนี่ กับ ดร.โมดี ผู้สร้างภาพยนต์ยิ่งใหญ่ พระพุทธเจ้า กษัตริย์ผู้ทรงเดชานุภาพเหนือกษัตริย์ทั้งปวง ใครคือพระพุทธเจ้าตัวจริง ? หรือ ทั้งสองคน ? ก็คิดว่ารอดูสิ่งที่จะพิศูจน์ต่อไป นั่นคือ พุทธะ เมื่อรู้แล้ว จะสอนมนุษย์ทั้งโลก ด้วยจิตกรุณาของพระองค์ ให้ข้ามพ้นมหาสมุทรแห่งทุกข์ทั้งสิ้น ไปสู่แผ่นดินที่มีแต่ความสุขอันบริสุทธิ์เท่านั้น
และล่าสุด เราได้ทราบว่า ฮิมานชู บินมาเพื่อเข้ากราบพระบรมศพในหลวงในพระบรมมหาราชวัง และปลีกเวลาให้แฟนคลับได้เข้าพบและเลี้ยงอาหาร พวกเรามีความสุขมาก ๆ ค่ะ 23 พ.ย.2559
นี้เอง คือเหตุผล ที่เรายกย่อง ฮิมาน ชู โซนี่ เป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ.2558 ของหนังสือพิมพ์ดี และยังมีความหวังในแง่ที่ว่า โดยความเข้าใจในวิสัยของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็คงจะไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปในอินเดีย คงจะมีการช่วยนำพุทธศาสนากลับมาสู่อินเดียครั้งใหญ่ มโหฬารอีกครั้งหนึ่ง
บุคคลที่ 143 ประธานาธิบดีโชเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส แห่งสาธารณรัฐแองโกลา
ผู้นำแองโกลา.......... ผู้ประกาศเลิกศาสนาอิสลาม ในประเทศแองโกลา ผู้สร้างประวัติศาสตร์เป็นชาติแรกในโลกที่สั่งแบน “ศาสนาอิสลาม” ระบุไม่เหมาะกับสังคม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 กันยายน 2558 09:32 น. (แก้ไขล่าสุด 4 กันยายน 2558 14:33 น.) ดังต่อไปนี้
เอเจนซีส์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - “แองโกลา” อดีตดินแดนอาณานิคมของโปรตุเกสในทวีปแอฟริกา สร้างประวัติศาสตร์เป็นดินแดนแห่งแรกของโลกที่ประกาศแบน “ศาสนาอิสลาม” อย่างเป็นทางการ ระบุเป็นศาสนาที่มีหลักความเชื่อและการปฏิบัติขัดแย้งต่อค่านิยมของผู้คนในสังคมแองโกลาอย่างสิ้นเชิง
รายงานข่าวล่าสุดยืนยันว่า แองโกลาได้กลายเป็นประเทศแรกของโลกที่ประกาศแบนศาสนาอิสลามอย่างเป็นทางการ โดยประธานาธิบดีโชเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส ผู้นำแองโกลา ออกมายืนยันที่กรุงลูอันดา เมืองหลวงของประเทศว่า “จุดจบของศาสนาอิสลาม” ในแองโกลาได้มาถึงแล้ว
ตามคำสั่งแบนศาสนาอิสลามของรัฐบาลแองโกลานั้นระบุว่า มัสยิดทุกแห่งที่มีอยู่ในแองโกลาจะต้องถูกปิดแบบไม่มีกำหนด และห้ามชาวมุสลิมในแองโกลาที่มีจำนวนประมาณ 80,000-90,000 คนรวมตัวกันจัดกิจกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนาในทุกรูปแบบในที่สาธารณะ
ด้านแหล่งข่าวในรัฐบาลแองโกลาเปิดเผยว่า การตัดสินใจแบนศาสนาอิสลามแบบถาวรในครั้งนี้ ของรัฐบาลประธานาธิบดี โชเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส มีขึ้นบนพื้นฐานที่ว่า หลักความเชื่อและค่านิยมหลายประการของศาสนาอิสลามไม่สอดคล้องกับค่านิยมของผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมแองโกลาที่มีประชากรมากกว่า 15.9 ล้านคนเป็นชาวคริสต์
ทั้งนี้ ข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยของแองโกลาและกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า ในขณะนี้จำนวนผู้นับถือศาสนาอิสลามในแองโกลานั้นมีอยู่ไม่ถึง 90,000 คน และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประชากรที่อพยพเข้ามาใหม่จากประเทศในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก รวมถึงกลุ่มประชากรเชื้อสายเลบานอนที่เข้ามาตั้งรกรากในแองโกลา
ซึ่งนี่เป็นประเด็นแห่ง การนำ โลก ไปสู่วิถีทางใหม่แห่งความเชื่อ ซึ่งได้ค่อย ๆ เป็นมาตามลำดับยุคใหม่นี้แล้ว และวันนี้ เมื่อท่านประธานาธิบดีโซเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส แห่งประเทศแองโกลา ได้แสดงออกถึงความเด็ดขาดแห่งสัจธรรม เช่นนี้ จึงสมควรยกย่องเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2558
บุคคลที่ 124 นางยุวดี ธัญญศิริ
ยุวดี ธัญญศิริ เป็นนักข่าวด้านการเมืองมาตลอดชีวิต เข้าออกทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา และ วงการราชการมาอย่างสนิท และรอบรู้ เรื่องราวของการเมือง อย่างดี ไม่ว่าเผด็จการทหาร คอมมิวนิสต์ และ ประชาธิปไตย
คำพูดของเธอ ตามภาพข้างต้นนั้น เพียงพอที่เราจะยกย่องเธอ ให้เป็นบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2558 ของหนังสือพิมพ์ดี
คำพูดที่ว่านั้น เกิดจากสำนึกแห่ง ประชาธิปไตยโดยแท้จริง เราจึงยินดีในทัศนะที่ชอบธรรมของเธอ นั่นคือคำพูดที่ว่า
ทรราชย์ ยังรับฟังมากกว่าประยุทธ์ นายกฯคนนี้ทำอะไรไม่ฉลาด ต้องรู้จักผห่อนหนักผ่อนเบาบ้างอย่าลืมว่านายกรัฐมนตรีนั้น มีหน้าที่ดูแลปัญหาให้กับประชาชน ต้องเข้าใจประชาชน ไม่ใช่ให้ประชาชนมาเข้าใจตัวเอง เราว่าเผด็จการในอดีต สมัยจอมพลถนอม จอมพลประภาส ไม่มีปัญหากับนักข่าวเหมือนคุณประยุทธ ผู้นำเผด็จการเมื่อก่อน ยังพร้อมที่จะรับฟัง ทำข่าวง่ายกว่ายุคนี้เยอะ
ยุวดี ธัญญศิริ
16 ตุลาคม 2557
นักข่าวอาวุโส หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์
และซึ่งเป็นประเด็นของ ประชาธิปไตยเลยทีเดียว เราจึงยกย่องให้ ยุวดี ธัญญศิริ เป็นบุคคลแห่งปีของ หนังสือพิมพ์ดี ปี พ.ศ. 2558
เราจึงขอยกย่อง ดร.มูดี, ฮิมานชู โซนี่ ประธานาธิบดีโชเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส ผู้นำแองโกลา และนักข่าวหญิงไทย ยุวดี ธัญญศิริ เป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ.2558 ของหนังสือพิมพ์ดี และหวังว่าท่านจะได้จำเริญงอกงามต่อไปทางปัญญา ยิ่งขึ้น ตลอดกาลนานอนาคต
บรรณาธิการ 25 พฤศจิกายน 2559 01.03 น.
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2559
บุคคลที่ 145 เขาทราย กาแลกซี่ [Khoasai Galaxy]
เขาทราย กาแลกซี [Khoasai Galaxy] ชื่อจริงเขาคือ สุระ แสนคำ เขาเป็นนักมวยไทย ที่ชกมวยสากล ได้เป็นแชมเปี้ยนโลกครั้งแรก ด้วยการชกชนะ ยูเซปิโอ เอสปีนัล นักชกชาวโดมินิกัน ณ เวทีมวยราชดำเนิน กรุงเทพฯ ได้ครองแชมป์มวยโลกรุ่นจูเนียร์แบนตั้มเวทเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2527. แล้วจากนั้นเป็นต้นมา เขาได้ชกป้องกันตำแหน่งแชมเปี้ยนโลกของเขากับยอดนักสู้ทั่วโลก ถึง 19 คน 19 ครั้ง และปรากฎว่า เขามีฝีมือสุดยอด ที่เอาชนะผู้ท้าชิงทั้ง 19 คน ได้อย่างใสสะอาด โดยสามารถชนะด้วยการน็อค 16 ครั้ง ชนะคะแนนเพียง 3 ครั้งเท่านั้นเอง สามารถรักษาตำแหน่งแชมป์ไว้ได้ทุกครั้ง ตลอด 19 การชกป้องกันแชมป์นั้น และก่อนการชกครั้งที่ 19 เขาได้ประกาศล่วงหน้าว่าจะเป็นการชกครั้งสุดท้ายของเขา โดยจะแขวนนวม ออกจากอาชีพนักชกไป ครั้นผ่านการชกครั้งสุดท้าย ที่ป้องกันแชมป์กับ อาร์มันโด คัสโตร ชาวเม็กซิโก ที่สนามหัสดิน กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2534 เขาก็สามารถเอาชนะคู่ชกได้อีก ในแบบที่น่าตื่นเต้น เขาโดนชกถึงนับ ในยกต้น แต่เขาแก้คืนด้วยการให้คู่ชกถูกนับ...และเขาก็เกือบเอาชนะโดยการน๊อคไปในยกท้ายๆ แต่คู่ชกทนทายาท จึงชนะโดยเก็บคะแนนได้ชัยชนะในที่สุด
นี่คือสถิติการชกที่น่าชื่นชมยินดี คือ มีการชกกับ 20 นักชก จากมุมต่าง ๆ ของโลก คนที่มีเชื้อชาติต่าง ๆ ทั่วโลก 20 คน เขาชนะทั้งหมด 20 คน เมื่อได้เป็นแชมเปี้ยนมวยโลกแล้วได้ทำการป้องกันตำแหน่งแชมป์ 19 ครั้ง ชนะน็อค 16 ครั้ง ชนะคะแนนเพียง 3 ครั้ง มีนักมวยที่ไม่เคยแพ้แบบน็อคเลย มาโดนเขาทราบน็อคเป็นครั้งแรก ถึง 12 คน มี 2 คน มาแพ้คะแนนแก่เขาทรายเป็นครั้งแรก
เขาก็ประกาศแขวนนวม จึงทำให้เขาทราย กาแลกซี เป็นแชมเปี้ยนโลก รุ่น จูเนียร์แบนตั้มเวทของไทย ที่ไม่เคยเสียตำแหน่งแชมเปี้ยนโลกของเขา ให้ใครเลย ซึ่งเป็นปรากฎการณ์แห่งประวัติศาสตร์ชาติไทยเราเลยก็ว่าได้ ซึ่งได้บ่งบอกสิ่งที่ควรค่าแก่การยกย่องนับถือในตัวเขา 4 อย่างสำคัญ ๆคือ
1. เขามีจิตใจเป็นนักสู้ที่แกล้วกล้า อาจหาญ ไม่ระย่อหวาดหวั่นมนุษหน้าไหนเลยทั้งโลก เขากล้าต่อสู้ ต่อกรอย่างไม่หลบหลีกหนีหน้าไปเลย และด้วยจิตใจนี้ ทำให้ปรากฎซึ่งการเป็นนักสู้ นักรบ ที่การรุกรบของเขาเป็นที่น่าชื่นชม ไม่ใช่เฉพาะชาวไทย แต่ของคนทั้งโลกผู้รักกีฬาการต่อสู้ทุกชนิด
2. บอกถึงฝีมือของนักมวยที่สุดยอด ของโลกจริง ๆ การที่สามารถป้องกันตำแหน่งได้ถึง 19 ครั้ง ตลอดเวลาที่ครองตำแหน่งแชมป์อยู่ 7 ปี 2เดือน 30 วัน(2,628 วัน) นั้น แสดงถึงโลกทั้งโลกพ่ายราบคาบแก่เขาทราย กาแลกซีไปทั้งโลกเลยทีเดียว
3. บ่งบอกถึงความมีวินัยของนักสู้ ซึ่งรวมถึงการดำเนินชีวิตโดยปกติของเขาว่า เขาได้สำนึกในหน้าที่ของ นักมวยแชมเปี้ยนโลกไทย ที่ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ชีวิตที่ดี มีระเบียบวินัยที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการชัยชนะตลอดชีวิตนักมวยแชมเปี้ยนโลก และนั่นเองเป็นเหตุให้เขาสามารถป้องกันตำแหน่งได้ทั้ง 19 การชก และจบลงด้วยการแขวนนวม ตามเหตุผลอย่างอิสรภาพของเขาเอง ที่น่าชื่นชมในอุดมการวิถีชีวิตของเขา ที่น่าเป็นแบบอย๋างแก่นักสู้ทั้งหลาย ในเรื่องของชัยชนะนั้นเกิดขึ้นเนื่องจากการมีวินัยอันดีอยู่ส่วนหนึ่งโดยแท้จริง
4. การครองชีพของเขาทราย กาแลกซี นับแต่วิถีทางเศรษฐกิจ การทำมาหากินหลังออกจากอาชีพนักมวย ผู้แขวนนวมแล้ว ก็ปรากฎว่าเขาได้ดำเนินไปอย่างมนุษย์ชนคนไทยคนหนึ่ง และซึ่งในฐานะผู้สร้างชื่อเสียงและประวัติศาสตร์แด่ชาติไทยเรา แต่กลับไม่ปรากฎว่า รัฐบาลไทยรัฐบาลไหนได้ให้ความสนใจในด้านเศรษฐกิจ และการยกย่องนักชกประวัติศาสตร์ผู้แขวนนวมคนนี้ มีปัญหาในการงานอาชีพอะไร เขาก็เอามาเล่ามากล่าว และเสนอการแก้ไขปัญหา อย่างเดียวกับคนไทยยุคประชาธิปไตย ยุคเสรีภาพ นี่ก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมในบทบาทของเขาไปอีกเรื่องหนึ่ง
หนังสือพิมพ์ดี จึงมองว่า เขาทราย กาแลกซี เป็นบุคคลมีค่าควรแก่การยกย่องเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี จึงขอยกย่อง เชิดชูศักดิ์ศรี เขาทราย กาแลกซี่ หรือ นาย สุระ แสนคำ เป็นบุคคลแห่งปีพุทธศักราช 2559
บุคคลที่ 146 นางสาว จูเลีย ไอลีน กิลลาร์ต [ Julia Eileen Gillard]
อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งออสเตรเลีย ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 24 มิ.ย. 2553 - 27 มิ.ย. 2556
วาทะของท่านนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียท่านนี้ ขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เป็นวาทะที่เป็นแบบอย่างแก่วงการการเมืองยุคเสรีชน ประชาธิปไตย อย่างแท้จริง ในประเด็นปัญหาผู้อพยพมุสลิม ที่อพยพมาสู่ประเทศออสเตรเลียซึ่งมีวัฒนธรรมและมีกฎหมายของประชาชนเขาปกครองประเทศ แล้ว มุสลิมอพยพมาสู่ประพเทศเขา มาหลบลี้หนีภัย อาศัยแผ่นดินผู้อื่นอยู่ ได้ชีวิตปลอดภัยจากพวกมุสลิมก่อการร้ายพวกเดียวกันนั้น ได้อาหารเลี้ยงชีวิต ไม่ตาย แต่กลับขอให้พวกที่มีบุญคุณต่อตน ที่ตนไปอาศัยเขาอยู่ให้เขาไปนับถือศาสนาอิสลาม ไปใช้วัฒนธรรมอิสลาม และยกเว้นให้มุสลิมเป็นพิเศษ ไม่ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศเขาที่เขาปฏิบัติมาอย่างไร ๆ มาตั้งแต่เกิดประเทศออสเตรเลีย แต่ให้ปฏิบัติตามสิ่งที่เป็นกฎหมายสูงสุดของมุสลิม คือ คัมภีร์อัลกุรอาน วาทะของเธอที่ปฏิเสธพวกมุสลิมอกตัญญูเหล่านั้น จึงเป็นวาทะแห่งความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ และเป็นวาทะบนพื้นฐานสัจธรรมว่าด้วยชีวิตมนุษย์ ชีวิตประชาชนยุคใหม่ ที่เป็นเสรีชน ในการเมืองระบอบประชาชน ประชาธิปไตย ดังปรากฎดังนี้
นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย จูเลีย กิลลาด กล่าวว่า มุสลิมที่กำลังเรียกร้องกฎหมายอิสลาม หรือ ชะรีอะห์ ได้ถูกขอให้ออกจากประเทศออสเตรเลียภายในวันพุธ เพราะว่าออสเตรเลียมองมุสลิมบ้าคลั่งเป็นผู้ก่อการร้าย สุเหร่าทุกแห่งจะให้ความร่วมมือกับเราในการค้นหามุสลิมกลุ่มนี้ มุสลิมที่อพยพจากประเทศอื่นเข้ามาอาศัยในประเทศออสเตรเลียจะต้องปรับเปลี่ยนตนเองให้เข้ากับประเทศของเราและไม่คาดหวังที่จะเปลี่ยนเราให้เป็นอย่างเขา ถ้าหากทำไม่ได้ เรายินดีเชิญให้ออกจากประเทศของเรา
มีคนออสเตรเลียจำนวนมากที่เป็นกังวลว่าเราอาจกำลังดูหมิ่นศาสนา... แต่ดิฉันขอให้ความมั่นใจกับประชาชนของประเทศออสเตรเลียว่าสิ่งที่ดิฉันดำเนินการอยู่นี้เพื่อสิ่งที่ดีขึ้นสำหรับประเทศและประชาชน
เราพูดภาษาอังกฤษที่นี่ไม่ใช่ภาษาอาราบิค ดังนั้นถ้าท่านต้องการอาศัยอยู่ในประเทศของเรา ท่านต้องเรียนรู้ที่จะพูดภาษาอังกฤษ
ในประเทศออสเตรเลีย เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าและเราเชื่อในพระเจ้า. เราจึงเชื่อและติดตามคำสอนของพระคริสต์และไม่มีศาสนาอื่น. นั่นเป็นสาเหตุที่ท่านจะเห็นภาพของพระเจ้าและหนังสือพระคัมภีร์ในทุกสถานที่
ถ้าท่านมีความรู้สึกขัดแย้งกับสิ่งเหล่านี้ ท่านมีอิสระในการออกจากประเทศออสเตรเลีย ไปยังประเทศอื่นใดในโลกนี้
ออสเตรเลียคือประเทศของเรา เป็นดินแดนของเรา และนี่คือวัฒนธรรมของเรา เราจะไม่ติดตามศาสนาของท่าน. แต่เราเคารพในความรู้สึกของท่าน ดังนั้นถ้าท่านจะอ่านคัมภีร์โกหล่านหรือละหมาด กรุณาอย่าสร้างมลพิษทางเสียงโดยการใช้ลำโพงอ่านเสียงดัง. กรุณาอย่าอ่านคัมภีร์โกหร่านหรือทำละหมาดในโรงเรียนของเรา. ในสำนักงาน หรือในสถานที่สาธารณะ
ท่านสามารถทำได้เงียบๆในบ้านของท่านหรือในสุเหร่าซึ่งจะไม่ทำความไม่สะดวกสบายให้กับเรา
ถ้าท่านมีประเด็นอะไรกับธงชาติของเราหรือการเคารพธงชาติของเรา หรือศาสนาของเรา หรือวิถีชีวิตของเรา. ขอกรุณาออกจากประเทศออเตรเลียได้ตลอดเวลาและไม่ต้องกลับมาอีก
นายกรัฐมนตรี
จูเลีย กิลลาด
ซึ่งสิ่งที่ท่านนายกรัฐมนตรี จูเลีย กิลลาต แห่งออสเตรเลียขอจากพวกมุสลิมในออสเตรเลีย มีอยู่ 7 ข้อคือ
1. มุสลิมที่กำลังเรียกร้องกฎหมายอิสลาม หรือ ชะรีอะห์ ได้ถูกขอให้ออกจากประเทศออสเตรเลียภายในวันพุธ เพราะว่าออสเตรเลียมองมุสลิมบ้าคลั่งเป็นผู้ก่อการร้าย
2. สุเหร่าทุกแห่งจะให้ความร่วมมือกับเราในการค้นหามุสลิมกลุ่มนี้
3. มุสลิมที่อพยพจากประเทศอื่นเข้ามาอาศัยในประเทศออสเตรเลียจะต้องปรับเปลี่ยนตนเองให้เข้ากับประเทศของเราและไม่คาดหวังที่จะเปลี่ยนเราให้เป็นอย่างเขา ถ้าหากทำไม่ได้ เรายินดีเชิญให้ออกจากประเทศของเรา
4. เราพูดภาษาอังกฤษที่นี่ไม่ใช่ภาษาอาราบิค ดังนั้นถ้าท่านต้องการอาศัยอยู่ในประเทศของเรา ท่านต้องเรียนรู้ที่จะพูดภาษาอังกฤษ
5. ถ้าท่านจะอ่านคัมภีร์โกหล่านหรือละหมาด กรุณาอย่าสร้างมลพิษทางเสียงโดยการใช้ลำโพงอ่านเสียงดัง.
6. กรุณาอย่าอ่านคัมภีร์โกหร่านหรือทำละหมาดในโรงเรียนของเรา. ในสำนักงาน หรือในสถานที่สาธารณะ ท่านสามารถทำได้เงียบๆในบ้านของท่านหรือในสุเหร่าซึ่งจะไม่ทำความไม่สะดวกสบายให้กับเรา
7. ถ้าท่านมีประเด็นอะไรกับธงชาติของเราหรือการเคารพธงชาติของเรา หรือศาสนาของเรา หรือวิถีชีวิตของเรา. ขอกรุณาออกจากประเทศออเตรเลียได้ตลอดเวลาและไม่ต้องกลับมาอีก
นี่คือสิ่งที่เรามองว่า นายกรัฐมนตรี กิลลาด ได้กระทำไปในสิ่งที่เป็นธรรม ด้านการศาสนาสากล น่าเป็นแบบอย่างและแนวปฏิบัติของประเทศทั้งหลายในโลกยุคเสรีชน การเมืองประชาธิปไตย ต่อไป จึงขอยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปี ของหนังสือพิมพ์ ดี พ.ศ. 2559
บุคคลที่ 147 วลาดีมีร์ วลาดีมีโรวิช ปูติน [Vladimir Vladimirovich Putinr]
ประธานาธิบดี รัสเซีย คนที่ 4 และคนปัจจุบันของรัสเซีย
วลาดีมีร์ ปูติน ในฐานะผู้นำประเทศรัสเซีย ได้เจอปัญหาผู้อพยพลี้ภัยมุสลิม เช่นเดียวกันกับประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศ เช่นฝรั่งเศส ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา ประเทศตะวันตก และประเทศอื่นอีกหลายประเทศ และวาทะที่ท่านประธานาธิบดีปูตินกล่าวออกมาสั้น ๆ แต่บ่งบอกความหมายที่ชัดเจน เป็นธรรม ดังในภาพที่ประกอบนี้ออกมาสั้น ๆ แต่ก็พอที่เราจะเห็นได้ว่า ท่านวลาดีมีร์ ปูตินนั้นมีความเด็ดขาดอย่างไร ต่อสิ่งที่ไม่เป็นธรรมในประเด็นมุสลิมอพยพ ในประเทศรัสเซีย ภาพด้านล่างนี้ เป็นการแสดงออกของคนไทยคนหนึ่งทางเฟสบุ๊คของเขา ซึ่งเราเห็นด้วยกับเขาและได้นำมาเป็นเหตุผลของการยกย่อง วลาดีมีร์ ปูติน ขึ้นเป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ.2559 ของหนังสือดี ดังนี้
ซึ่งจะเห็นว่าคำพูดของปูติน มีว่าสั้น ๆ ดังนี้ ....... ถ้าอยากทำมาหากินในรัสเซียต้องพูดภาษารัสเซีย ต้องเคารพกฎหมาย เคารพประเพณีวัฒนธรรมของรัสเซีย ถ้าชอบกฎอิสลามหรืออยากใช้ชีวิตตามวิถีอิสลาม ให้ไปอยู่ประเทศที่เป็นอิสลามด้วยกัน เพราะเราเห็นการฆาตกรรมในยุโรปเกิดจากพวกมุสลิม เราจะไม่ให้สิทธิใด ๆ .....
ซึ่งจะเห็นว่า ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้ขอจากพวกมุสลิมในรัสเซีย คล้าย ๆ กันกับ จูเลีย กิลลาด แห่งออสเตรเลีย เพียงแต่วาทะของปูตินสั้น ห้วนและเด็ดขาด ดังนี้
1. ถ้าอยากทำมาหากินในรัสเซียต้องพูดภาษารัสเซีย
2. ต้องเคารพกฎหมาย เคารพประเพณีวัฒนธรรมของรัสเซีย
3. ถ้าชอบกฎอิสลามหรืออยากใช้ชีวิตตามวิถีอิสลาม ให้ไปอยู่ประเทศที่เป็นอิสลามด้วยกัน
นอกจากนี้ วาทะสำคัญประโยคหนึ่งของปูตินก็คือวาทะแห่งความเป็นจริง ที่หลายประเทศในโลกเริ่มจะยอมรับ นั่นคือ "เพราะเราเห็นการฆาตกรรมในยุโรปเกิดจากพวกมุสลิม เราจะไม่ให้สิทธิใด ๆ "
ซึ่งนั่นหมายความอย่างชัดเจนถึงเรื่องการก่อการร้าย ไม่ว่าจากกลุ่มก่อการร้ายใดมาก่อน นับแต่พวก ตาลีบัน [TALIBAN] ในอาฟกานิสถาน พวกอัลชาบับ [Al-Shabaab] ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศโซมาเลีย, โดยเฉพาะพวกที่ทางเอเซีย-ไทย-มาเลเซียรู้ดีคือ อัลกออิดะห์ [al-Qa'ida] ตราบมาถึง พวก ISIS [Islamic State of Iraq and Syria] ซึ่งล้วนเป็นพวกสุดโต่ง ที่ถือการฆ่า-การสงครามเป็นวิถีทางแห่งอิสลามทั้งสิ้น และนั่นคือความจริงที่ ปูตินได้พูดออกมา คำว่า "เพราะเราเห็นการฆาตกรรมในยุโรปเกิดจากพวกมุสลิม"
ซึ่งเรามองว่า นั่นเป็นการตัดสินใจที่เป็นธรรม เพราะประเทศต่าง ๆ มีกฎหมายของประเทศของตน เป็นกฎหมายสูงสุด สำหรับประเทศและ ประชาชนประเทศนั้น แต่ศาสนาอิสลาม ไม่ยอมรับกฎหมายของประเทศใดใดในโลกนี้ โดยได้สั่งสอนคนที่นับถือศาสนาอิสลาม หรือมุสลิมทั่วโลกว่า กฎหมายสูงสุดของมนุษย์ทั้งโลก ที่มนุษย์ทั้งโลกต้องถือปฏิบัติตาม คือ คัมภีร์อัลกุรอาน ของศาสนาอิสลาม โดยอ้างเหตุผล(แบบที่เข้าใจผิดกันไปหมด)ว่าเพราะเป็นคำสั่งของพระเจ้าลงมาให้มนุษย์ทั้งโลกเชื่อฟังปฏิบัติตาม โดยที่คนทั้งโลกจะต้องรำลึกถึงบุญคุณของพระเจ้าอัลเลาะห์ ที่ทรงสร้างโลกใบนี้ แล้วทรงสร้างมนุษย์คนแรก ที่กลายเป็นชาติพันฅธ์มนุษย์ทั้งโลกให้อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งแท้จริง ตามที่โลกได้ค่อยเรียนรู้ไปตามลำดับว่าคัมภีร์นี้เป็นสิ่งที่หลอกลวงมนุษย์(โดยเฉพาะหลอกลวงชาวมุสลิมเอง) มาตลอดแล้ว จนกระทั่งหลายส่วนของมนุษย์โลก แม้ประเทศอิสลามหลายประเทศก็ได้ปฏิเสธคัมภีร์เล่มนี้ไปแล้ว การที่ปูติน ได้ออกมากล่าวคำเด็ดขาดลงไปในเรื่องกฎหมายของประเทศนั้น จึงน่าเป็นการให้ความรู้อย่างแรงแก่มุสลิมทั้งโลก ที่ควรจะได้ย้อนกลับไปดูอย่างรอบคอบ ว่า คัมภีร์อัลกุรอาน ที่ นบีมุฮำมัด เขียนออกมาที่อ้างว่าเป็นคำสั่งพระเจ้าอัลเลาะห์ ที่โลกทั้งโลกจะต้องเชื่อฟังนั้น เป็นสิ่งที่หลอกลวง น่าเชื่อถือหรือไม่เพียงไร มีเหตุผลสำหรับคนยุคใหม่ ที่มีการเมืองใหม่เป็นประชาธิปไตย ในลักษณะของมนุษย์ ที่มีเสรีภาพ มีความคิดของตนเองตามหลักเหตุและผล ไม่ใช่ทาสของพระเจ้าอย่างที่มุสลิมทั่วโลก ที่เรียกตัวเองว่าเป็น มุอ์มิน เป็นอยู่ขณะนี้ อีกต่อไป และที่เป็นยุควิทยาศาสตร์อย่างเต็มตัวอยู่ทุกวันนี้ หรือไม่ ?
และการที่ท่านวลาดีมีร์ ปูติน ได้ออกมาปฏิเสธคำขอของมุสลิม และได้กล่าวถ้อยคำที่เป็นความจริง เป็นการการเตือนสติแด่คนทั้งหลายให้ระวังความคิดแบบอิสลาม เรามองว่าเขากระทำไปด้วยความเป็นธรรม ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลายในโลกนี้ จึงสมควรยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ. 2559 ของหนังสือพิมพ์ดี
บุคคลที่ 148 โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ [Donald John Trump]
ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คนที่ 45 ของ สหรัฐอเมริกา
โดนัล จอห์น ทรัมป์ [Donald John Trump] ชนะการเลือกตั้ง วันที่ 8 พ.ย. 2559(เวลาไทยวันที่ 9 พ.ย.2559) ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา คนที่ 45 ถึงปัจจุบัน
สิ่งที่โลกได้เห็นจาก โดนัลด์ ทรัมป์ วันแรก ๆ ที่ชนะการเลือกตั้งนั้น มีที่น่าสนใจอยู่ 2 ประการ คือ
1. เขาสั่งให้ทหารสหรัฐเตรียมทำสงครามโลกครั้งที่ 3 และ
2. เขาประกาศไม่รับผู้อพยพมุสลิมจาก 7 ประเทศ มี อิหร่าน [Iran], อิรัค [Iraq], ลิเบีย [Libya], โซมาเลีย [Somalia], ซูดาน [Sudan], ซีเรีย [Syria], and เยเมน[Yemen].โดยเหตุผลที่ว่า เพื่อป้องกันประเทศจากผู้ก่อการร้ายต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศสหรัฐอเมริกา [Protecting the Nation From Foreign Terrorist Entry Into the United States]
ที่เตรียมเข้าสหรัฐมาในสมัย บารัค โอบามา
เรื่อง 2 เรื่องนี้ เราวิเคราะห์ว่า ทรัมป์ มีความเข้าใจยุทธศาสตร์ของ ศาสนาอิสลามดีมาก และในการพิจารณาตั้งบุคคลแห่งปี พ.ศ.2559 นี้ เราจะได้นำบทวิเคราะห์ประเด็นทั้ง 2 เรื่องนี้ ของกลุ่มไลน์ การศึกษาไร้พรมแดน ที่มี ดร.นันทสาร สีสลับ เป็นผู้ประสานงานกลุ่ม สมาชิก ที่เต็มไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่าง ๆ ของประเทศไทย ต่อไปนี้ มีเหตุผลสมควรที่เราจะขอยกย่อง ท่านประธานาธิบดี โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ขึ้นเป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ. 2559 ของหนังสือพิมพ์ดี ดังต่อไปนี้ .....
19:55 พยับ ปัญญาธโร ทรัมป์ให้ทหารสหรัฐเตรียมทำสงครามโลกครั้งที่ 3 ผมเพิ่งเขียนลงไปในเฟสบุ๊ค ครับ ดังนี้ครับ ภาพได้มาจากเวบต่างประเทศ
19:57 พยับ ปัญญาธโร Phayap Panyatharo
Phayap Panyatharo If worldwar 3 begins I would like to see China and Russia in the same side with USA. That is the way useful for the world when the war end.
ถ้าสงครามโลกครั้งที่ 3 เริ่มต้นขึ้น ข้าพเจ้าอยากจะให้จีน และรัสเซีย อยู่ข้างเดียวกันกับสหรัฐอเมริกา นั่นแหละวิถีทางที่จะเกิดประโยชน์แก่โลก เมื่อสงครามเสร็จสิ้นลง
ถูกใจ • ตอบกลับ • 2 นาที
Phayap Panyatharo Thanks for the one accept my idea.
ขอบคุณสำหรับท่านที่เห็นด้วยกับความคิดของผม
20:01 พยับ ปัญญาธโร กลุ่มของเราคิดอย่างไรครับ คงไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะครับ นักเขียน นักวิเคราะห์ต่างประเทศเขาว่า อาจเกิดสงคราม อเมริกากับ อิรัค ขึ้นก่อน
23:10 Decha เห็นด้วยอย่างยิ่ง ผมก็อยากให้จีนกับรัสเซียอยู่ข้างเดียวกับสหรัฐครับ และคิดว่าไทยก็คงจะอยู่ด้วยแน่
2017.02.07 วันอังคาร
07:34 Nantasarn Seesalab บทบาทของมหาอำนาจโลก 5 ประเทศ สหรัฐ รัสเซีย จีน สหราชอาณาจักร และ ฝรั่งเศสมีความสำคัญยิ่งในการเสริมสร้างสันติภาพของโลก เพราะมีเสียง วีโต้ ในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ เช่น กรณีเกาหลีเหนือ ออกมาแสดงแสนยานุภาพของตนดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ก็เพราะจีนหนุนหลังอยู่ แม้สหประชาชาติจะ sanctions ไปแล้วแต่ไม่ได้ผลเท่าที่ควร เพราะถ้าจะใช้มาตรการเด็ดขาด จีนก็ใช้อำนาจ วีโต้ จึงไม่เกิดผล ทำให้บักฮำน้อย คิมจองอุน เย้ยฟ้าท้าสหรัฐ แม้ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ Jame Mattit ที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ มอบหมายให้ไปเจรจาและบำรุงขวัญเกาหลีใต้และญี่ปุ่น เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ก็คงไม่ได้ผลเท่าที่ควรเพราะจีนยังหนุนเกาหลีเหนืออยู่ เห็นด้วยกับท่าน Payap Temchai สนับสนุนให้ 3 อภิมหาอำนาจจับมือกันในการป้องกันไม่ให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ( World War 3) ขณะนี้ คนอเมริกันกำลังกังวลใจเรื่องนโบบายต่างประเทศของนายทรัมป์มากขึ้นตามลำดับโดยเฉพาะจะไปจับมือกับ Putin แห่งรัสเซีย เพราะ Putin เป็นเซียนการเมืองระดับโลกที่ชาวรัสเซียไว้ใจ และพันธมิตรที่แยกออกมาจากสหภาพโซเวียตสนับสนุน เช่น รัสเซียมามีบทบาทในการแก้วิกฤตซีเรียและตะวันออกกลางในขณะนี้แม้จะมาทีหลัง จนสหรัฐต้องถอย และทรัมป์จะจับมือก้บ Putin แก้วิกฤตต่อ ชาวอเมริกันและนักวิเคราะห์การเมืองสหรัฐ กังวลว่า ทรัมป์อาจเสียท่า Putin หากไม่สามารถได้รัฐมนตรีต่างประเทศมือเซียนมาช่วยอีกแรงหนึ่ง แม้นายทรัมป์จะเลือกนาย Tillerson เศรษฐีธุรกิจน้ำมัน มาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ก็ตาม เพราะพื้นเพของเขามีความสัมพันธ์เชิงธุรกิจกับ Putin มาแล้วในอดีต จึงจะมองโลกเชิงธุรกิจมากกว่ากลยุทธ์ทางการเมืองโลก
ขณะนี้ นโยบายต่างประเทศของทรัมป์ที่ห้ามชาวมุสลิมจาก 7 ประเทศเข้าสหรัฐเป็นเวลา 120 วัน กำลังพ่นพิษ เกิดโกลาหลคนมุสลิมจาก 7 ประทศ ซีเรีย อิหร่าน อีรัค เยเมน ลิเบีย ซูดาน โซมาเลีย ที่มีวีซ่าถูกต้องเข้าสหรัฐไมได้ ติดอยู่สนามบินเป็นจำนวนพันๆ
07:54 Nantasarn Seesalab เกิดการเดินขบวนต่อต้านทั่ว สหรัฐ ในที่สุด ศาลกลางสหรัฐ(Ferderal Judge) ได้ตัดสินยับยั้งนโยบายดังกล่าว ทำให้ชาวมุสลิมจาก 7 ประเทศที่มีวีซ่าและกรีนการ์ดถูกต้อง เดินทางเข้าสหรัฐได้ตามปกกติ แม้นายทรัมป์จะให้กระทรวงยุติธรรม ยื่นคำร้องคัดค้าน แต่ศาลไม่รับคำร้องดังกล่าว จึงทำให้คนอเมริกันมีความเชื่อมั่นในประธานาธิบดีทรัมป์ลดลงตามลำดับ จึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะสหรัฐ รัสเซีย และจีน เป็นอภิมหาอำนาจของโลก สงครามจะเกิดหรือไม่เกิด ย่อมขึ้นอยู่ที่บทบาทของ 3 อภิมหาอำนาจเป็นสำคัญ ขออภัยที่เสนอมายืดยาว
08:39 พัชรา กอปรทศธรรม ไม่เป็นไรค่ะสมาชิกกลุ่มนี้เขาต้องการอาหารสมองอยู่แล้ว
08:52 พยับ ปัญญาธโร ท่าน ดร.นันทสาร ท่านกว้างขวาง ละเอียดอยู่แล้วในเรื่องราวของต่างประเทศ และสากล ก็น่าคิดว่า ทรัมป์ คงจะได้รับการต่อต้านจากประชาชนอเมริกันส่วนหนึ่งอยู่แล้ว แม้กระทั่งเรื่องการเมืองอเมริกันเอง ทรัมป์ก็ใช่ว่าจะไร้ขวากหนาม อเมริกันจำนวนหนึ่งเลยที่ไม่พอใจผลการเลือกตั้งคราวที่แล้ว ......
แต่เรื่องที่น่าคิดจาก ทรัมป์ มีอยู่ 2 เรื่องครับ
1. เรื่องมุสลิมอพยพจาก 7 ประเทศ และมีรายการอพยพเข้าสหรัฐมาแต่ยุคโอบามา ทรัมป์ประกาศก่อนเลือกตั้งว่าจะไม่รับ และเขาได้รับเลือกตั้ง นั้นมองได้ว่าประชาชนอเมริกาเห็นด้วยทรัมป์ในเรื่องนี้....... ขณะนี้ นโยบายต่างประเทศของทรัมป์ที่ห้ามชาวมุสลิมจาก 7 ประเทศเข้าสหรัฐเป็นเวลา 120 วัน กำลังพ่นพิษ เกิดโกลาหลคนมุสลิมจาก 7 ประทศ ซีเรีย อีหร่าน........
08:59 พยับ ปัญญาธโร ประเด็นของเรื่องนี้ ก็คือ ประเด็นศาสนาอิสลามโดยตรงเลย . และน่าติดตามต่อไป ว่า ทรัมป์ จะทำอย่างไร ...... แต่มาบัดนี้ ก็คงจะพอมองเห็นว่า อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา กับ ทรัมป์ มีความเห็นตรงกัน ค่อนข้างตรงกัน ในประเด็นศาสนาอิสลาม .....โอบามาประกาศอย่างเด็ดขาดว่า ไอสิส ISIS ที่เปิดตัวในนามมุสลิมนักรบใหม่ ขึ้นในซีเรีย ติดอิรัค นั้นแหละครับ ...จะต้องถูกล้างไปให้หมดโลก .........เขาบอกว่า ไม่ใช่ล้างศาสนาอิสลาม แต่ล้างพวกที่เข้าใจผิดในศาสนาอิสลาม ...นั่นเป็นคำแก้ตัวของโอบามา ..... ซึ่งทรัมป์ มองเห็นอยู่อย่างนี้อยู่แล้ว เมื่อเขาสั่งในที่ประชุม ให้ทหารสหรัฐเตรียมทำสงครามโลก นั่นแหละ เดินตามแนวคิดของโอบามาไปเลย ผมจึงขอสนับสนุนว่าให้เอารัสเซีย และจีน มาเข้าข้างเดียวกันให้ได้ จึงจะสามารถกวาดล้างพวก ไอสิส ไปได้ และเพื่อการสร้างแนวคิดใหม่ขึ้นในมุสลิมโลก
10 พยับ ปัญญาธโร 2. กรณีอิสลามอพพยพจาก 7 ประเทศ แท้จริงเป็นแผนบ่อนทำลายสหรัฐอเมริกาโดยตรงของแนวคิดอิสลาม ที่คิดว่า สหรัฐอเมริกา นี่แหละศัตรูใหญ่ของโลก(อ้างว่าของโลก แต่แท้จริง ของอิสลามพวกเดียว)...... มีข่าวล่าสุดนะครับ ออกมาวันสองวันนี้เอง ที่ประชุมประเทศมุสลิม พูดกันอย่างเป็นข้อตกลงร่วมกันเลย ว่า มุสลิม ทาสของอัลเลาะห์วันนี้จะต้องฆ่าคน 3 พวกให้หมดโลก คือ อิสราเอล ชาวคริสต์ และ กาฟีร์ใหญ่ อเมริกันเป็นต้น..... นั่นแหละที่แสดงความหมายว่า พวกเขายังคงมองพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ว่าเป็นคำสั่งของพระเจ้าอยู่ และมุสลิมต้องทำตามคำสั่งของพระเจ้า...........ซึ่งในเรื่องนี้ ดังที่ผมเคยเอามาพูดแล้ว ว่าในพระคัมภีร์เขา มีปัจฉิมนิเทศเอาไว้ว่า ...คน 3 พวกนี้ มุสลิมต้องไม่ให้อภัยอย่างเด็ดขาด คือ นัสรอนี ยะวาฮู และ กาฟีร์ ทั้งโลก ....ต้องฆ่าตายให้หมด..........ก็ไอสิส นี่แหละครับ ที่ถือว่าตัวเองเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า พยายามทำอยู่ .... และแน่นอน มีแผนหลายหลาก หลายชั้น รวมทั้งแผนอพยพคนมุสลิม 7 ประเทศ เข้าสหรัฐ นี้ด้วย .....ฉะนั้น ในการมองของผม จึงมองว่า ทรัมป์ ตามทันแผนมุสลิมค่อนข้างดี(ดีกว่าโอบามาอีก เพราะโอบามาเพิ่งมารู้เอาเมื่อเกิด ไอสิส นี่เอง รู้ทีหลังทรัมป์เสียอีก)
09:13 พยับ ปัญญาธโร 3 คิดว่า ทรัมป์ ต้องชิงเริ่มก่อน ตามหลักยุทธศาสตร์สากล ใครเริ่มรบก่อน ย่อมชนะ นั่นเองครับ จึงน่าติดตามและน่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว ครับ เดี่ยวผมจะมีข้อมูลมาให้ครับ ที่ว่าพวกประเทศมุสลิมประชุมกันแล้วออกคำสั่งให้ฆ่า นัสรอนี(ชาวคริสต์) ยะวาฮู(อิสราเอล) และ กาฟีร์(คนที่ไม่นับถือศาสนาอิสลาม รวมทั้งพุทธไทย พุทธจีนด้วย) ให้หมดโลก
09:21 พยับ ปัญญาธโร ซึ่ง ก็มีความหมายไปถึง สงครามโลกครั้งที่ 3 โดยตรง หากพวกนักรบจิฮัดส์อิสลามชนะสงครามโลกครั้งที่ 3 แน่นอน เขาไม่ไว้ชีวิตคน 3 ประเภทนั้น นั่นคือ พวกเราชาวพุทธ ในฐานะเป็นกาฟีร์ พวกนอกศาสนาอิสลามด้วย พวกคริสต์ ด้วย และพวกยิว อิสราเอลด้วย........ จึงเป็นเรื่องน่าติดตามและน่าวางแผนกันอย่างจริงจัง (เราก็ต้องวางแผนนะครับ) เพื่อต้อนรับสถานการณ์สงครามโลกครั้งที่ 3
09:22 พยับ ปัญญาธโร และในฐานะกลุ่มการศึกษาไร้พรมแดน เราก็ควรมีการศึกษาแล้วเอามา บอกกันนะครับ
09:35 พยับ ปัญญาธโร อีหม่ามระดับสูงซาอุฯ เรียกร้องให้ฆ่าชีอะห์ ยิว และคริสเตียน ขณะนำละหมาดที่มัสยิดหะรอมโดย เอบีนิวส์ทูเดย์
09:37 พยับ ปัญญาธโร วีดีโอ
09:38 พยับ ปัญญาธโร จากช่องข่าวสปุตนิก – คลิปวิดีโอชิ้นใหม่เผย อีหม่ามระดับสูงของซาอุดิอาระเบีย ขอพร(ดุอา) เรียกร้องให้ฆ่าชีอะห์ ยิว และคริสเตียน ในระหว่างการละหมาดที่มัสยิดหะรอม มัสยิดอัลหะรอม ถูกรู้จักในฐานะมัสยิดสำคัญแห่งเมืองเมกกะห์ เป็นที่ตั้งของอาคารกะบะห์อันศักดิ์สิทธิ์ของมวลมุสลิมที่เวลาละหมาดจะต้องผินหน้าไปทิศทางดังกล่าว
โดยระหว่างการละหมาดที่มัสยิดหะรอมซึ่งถูกถ่ายทอดสดผ่านทางช่องอัลกอหิเราะห์วันนาซ สถานโทรทัศน์ของอียิปต์ อิหม่ามนำละหมาดคนหนึ่งของซาอุฯ ได้กล่าวขอพร (ดุอา) ในภาษาอาหรับ มีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า
“โอ้อัลเลาะห์ โปรดประทานชัยชนะและเพิ่มขีดความสามารถให้กับพี่น้องมุสลิมของเรา (ญิฮาดิสต์) ในเยเมน ในชาม (ซีเรีย) และอิรัก และในทุกที่ โอ้พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก” และเน้นย้ำถึงสองครั้งว่า “โอัอัลเลาะห์โปรดช่วยให้พวกเขามีชัยชนะเหนือพวกรอฟีเดาะห์ (มุสลิมชีอะห์) ที่ไม่มีพระเจ้า”
จากนั้นจึงกล่าวต่อว่า “โอัอัลเลาะห์โปรดช่วยให้พวกเขามีชัยชนะเหนือชาวยิวผู้ทรยศ และชาวคริสต์ผู้มุ่งร้าย และบรรดามุนาฟิก (ผู้กลับกลอก) ที่ไม่น่าเชื่อถือ”
“โอัอัลเลาะห์โปรดช่วยให้พวกเขามีชัยชนะ และช่วยเหลือพวกเขา และประทานพละกำลังแก่พวกเขา”
09:40 พยับ ปัญญาธโร รูปภาพ
09:42 พยับ ปัญญาธโร รูปภาพ
09:43 พยับ ปัญญาธโร .....บน นี่แหละ หน้าตาผู้นำอิสลาม แม้ยุคนี้เวลานี้ ในใจเขามีแต่คำว่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า พวกกาฟีร์ ยะวาฮู นัสรอนี ให้หมด และภาพ 2 ภาพ นั้นแหละที่ประกอบข่าว ครับ
00 พยับ ปัญญาธโร ส่วนในประเด็นของ สหราชอาณาจักร หรือ อังกฤษ นะครับ ก็มีประวัติศาสตร์เลย อังกฤษย่อมชนะเสมอ ก็คอยดู เขาคงไม่ทิ้งกัน อังกฤษ กับ อเมริกา ไปด้วยกันเสมอ แต่ ฝรั่งเศส มักจะมีนั่นมีนี่หน่อย แต่แล้ว ก็ไปข้างเดียวกับ ฝ่ายที่ชนะ ครับ
10:02 พยับ ปัญญาธโร 3 ประเทศนี้เขาไปด้วยกันจนได้แหละ แต่ จีน และ รัสเซีย นั้น ต้องพูดกันหน่อยครับ และต้องเริ่มแต่บัดนี้เลย เอามาเข้าข้างเราให้ได้
10:08 พยับ ปัญญาธโร ส่วนไทยเรา ระวังมาเลเซียครับ และขณะนี้ นายมหาเธ โมฮัมมัด มันก็ยังไม่ตาย ระวังคน ๆ นี้ก็แล้วกัน แต่ไทย มาเลเซีย เรื่องเล็กนะครับ ทหารเตรียมไว้ให้พร้อม เป็นโอกาสของไทยจริง ๆ แล้ว มีเรื่อง โดยเฉพาะสงครามโลกขึ้น บุกข้ามเขตไปยึดมาเลเซียเลย ไม่ต่างจากเขมรหรอกครับ ทำกับเขมรได้ ก็ทำกับ มาเลเซียได้ อย่าลืมสิ เราเคยปกครองเขามาก่อนแล้ว เป็นเมืองขึ้นของเรา มาก่อน ๆ ฮอลันดา อังกฤษ จะเข้ามา ทหาร-ไทยต้องแนบ นิ่ง กับสหรัฐ-อังกฤษครับ ก็จะชนะทุกการรบ
ฉะนั้น เราจึงเห็นด้วยกับบทเสวนาของกลุ่มการศึกษาไร้พรมแดน โดยเฉพาะกรณีเกี่ยวกับบทบาทของท่านประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ท่านจอห์น ทรัมป์ ผู้นี้ ที่เราเห็นว่าท่านมองการศาสนาอิสลาม ในแง่ยุทธศาสตร์ของอิสลาม ได้ถูกต้อง ตามที่บทวิเคระห์มีว่า
1. ประเด็นของเรื่องนี้ ก็คือ ประเด็นศาสนาอิสลามโดยตรงเลย . และน่าติดตามต่อไป ว่า ทรัมป์ จะทำอย่างไร ...... แต่มาบัดนี้ ก็คงจะพอมองเห็นว่า อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา กับ ทรัมป์ มีความเห็นตรงกัน ค่อนข้างตรงกัน ในประเด็นศาสนาอิสลาม .....โอบามาประกาศอย่างเด็ดขาดว่า ไอสิส ISIS ที่เปิดตัวในนามมุสลิมนักรบใหม่ ขึ้นในซีเรีย ติดอิรัค นั้นแหละครับ ...จะต้องถูกล้างไปให้หมดโลก .........เขาบอกว่า ไม่ใช่ล้างศาสนาอิสลาม แต่ล้างพวกที่เข้าใจผิดในศาสนาอิสลาม ...นั่นเป็นคำแก้ตัวของโอบามา ..... ซึ่งทรัมป์ มองเห็นอยู่อย่างนี้อยู่แล้ว เมื่อเขาสั่งในที่ประชุม ให้ทหารสหรัฐเตรียมทำสงครามโลก นั่นแหละ เดินตามแนวคิดของโอบามาไปเลย ผมจึงขอสนับสนุนว่าให้เอารัสเซีย และจีน มาเข้าข้างเดียวกันให้ได้ จึงจะสามารถกวาดล้างพวก ไอสิส ไปได้ และเพื่อการสร้างแนวคิดใหม่ขึ้นในมุสลิมโลก
2. กรณีอิสลามอพพยพจาก 7 ประเทศ แท้จริงเป็นแผนบ่อนทำลายสหรัฐอเมริกาโดยตรงของแนวคิดอิสลาม ที่คิดว่า สหรัฐอเมริกา นี่แหละศัตรูใหญ่ของโลก(อ้างว่าของโลก แต่แท้จริง ของอิสลามพวกเดียว)...... มีข่าวล่าสุดนะครับ ออกมาวันสองวันนี้เอง ที่ประชุมประเทศมุสลิม พูดกันอย่างเป็นข้อตกลงร่วมกันเลย ว่า มุสลิม ทาสของอัลเลาะห์วันนี้จะต้องฆ่าคน 3 พวกให้หมดโลก คือ อิสราเอล ชาวคริสต์ และ กาฟีร์ใหญ่ อเมริกันเป็นต้น..... นั่นแหละที่แสดงความหมายว่า พวกเขายังคงมองพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ว่าเป็นคำสั่งของพระเจ้าอยู่ และมุสลิมต้องทำตามคำสั่งของพระเจ้า...........ซึ่งในเรื่องนี้ ดังที่ผมเคยเอามาพูดแล้ว ว่าในพระคัมภีร์เขา มีปัจฉิมนิเทศเอาไว้ว่า ...คน 3 พวกนี้ มุสลิมต้องไม่ให้อภัยอย่างเด็ดขาด คือ นัสรอนี ยะวาฮู และ กาฟีร์ ทั้งโลก ....ต้องฆ่าตายให้หมด..........ก็ไอสิส นี่แหละครับ ที่ถือว่าตัวเองเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า พยายามทำอยู่ .... และแน่นอน มีแผนหลายหลาก หลายชั้น รวมทั้งแผนอพยพคนมุสลิม 7 ประเทศ เข้าสหรัฐ นี้ด้วย .....ฉะนั้น ในการมองของผม จึงมองว่า ทรัมป์ ตามทันแผนมุสลิมค่อนข้างดี(ดีกว่าโอบามาอีก เพราะโอบามาเพิ่งมารู้เอาเมื่อเกิด ไอสิส นี่เอง รู้ทีหลังทรัมป์เสียอีก) คิดว่า ทรัมป์ ต้องชิงเริ่มก่อน ตามหลักยุทธศาสตร์สากล ใครเริ่มรบก่อน ย่อมชนะ นั่นเองครับ จึงน่าติดตามและน่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว ครับ เดี่ยวผมจะมีข้อมูลมาให้ครับ ที่ว่าพวกประเทศมุสลิมประชุมกันแล้วออกคำสั่งให้ฆ่า นัสรอนี(ชาวคริสต์) ยะวาฮู(อิสราเอล) และ กาฟีร์(คนที่ไม่นับถือศาสนาอิสลาม รวมทั้งพุทธไทย พุทธจีนด้วย) ให้หมดโลก
ซึ่ง ก็มีความหมายไปถึง สงครามโลกครั้งที่ 3 โดยตรง หากพวกนักรบจิฮัดส์อิสลามชนะสงครามโลกครั้งที่ 3 แน่นอน เขาไม่ไว้ชีวิตคน 3 ประเภทนั้น คิดว่า ทรัมป์ ต้องชิงเริ่มก่อน ตามหลักยุทธศาสตร์สากล ใครเริ่มรบก่อน ย่อมชนะ นั่นเองครับ จึงน่าติดตามและน่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว ครับ เดี่ยวผมจะมีข้อมูลมาให้ครับ ที่ว่าพวกประเทศมุสลิมประชุมกันแล้วออกคำสั่งให้ฆ่า นัสรอนี(ชาวคริสต์) ยะวาฮู(อิสราเอล) และ กาฟีร์(คนที่ไม่นับถือศาสนาอิสลาม รวมทั้งพุทธไทย พุทธจีนด้วย) ให้หมดโลก
ฉะนั้น เมื่อเราได้มองว่า ท่านประธานาธิบดี โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ ได้มองประเด็นตรงกับปัญหา ยุทธศาสตร์ของอิสลาม เช่นนี้ ก็เป็นที่น่าชื่นชมยินดี และขอยกย่อง ท่านประธานาธิบดี โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ ขึ้นเป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ. 2559 ของหนังสือพิมพ์ ดี ในวันนี้
บุคคลที่ 149 นายกนก จันทร์ขจร
เรามีความยินดีที่ได้พบผลงานการเขียนหนังสือของบุคคลผู้นี้ คือหนังสือที่มีชื่อว่า "คู่มือ ธรรมเพื่อชีวิต" พิมพ์เผยแพร่เป็นธรรมทาน โดยพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เรียบเรียงโดย นายกนก จันทร์ขจร ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 เป็นหนังสือที่แพร่หลายในโรงเรียนมัธยมศึกษา ใช้เป็นคู่มือการอบรมนักเรียน เราได้พบว่า ท่านผู้เรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ ได้ทำไปด้วยความรู้ ความเข้าใจในพุทธศษสนาและพุทธประเพณีอย่างถูกต้องเยี่ยมยอด น่าศรัทธาเลื่อมใสในความรู้ ความเข้าใจของท่าน และแต่ละเรื่องที่ท่านเขียนออกมา นับแต่เรื่อง 9 คำสอนของพ่อ, บทสวดมนต์ไหว้พระพร้อมคำแปล, การกราบพระรัตนตรัย, การบูชาพระด้วยดอกไม้ธูปเทียน, การสวดมนต์ไหว้พระประจำวัน, การพัฒนาคุณภาพชีวิตและธรรมะเพื่อชีวิต, พิธีสงฆ์ที่ชาวพุทธควรรู้, วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา, องค์ประกอบการปฏิบัติสำคัญของกรรมฐาน, ตถตา ความเป็นเช่นนั้น, คำถวายพิธีต่าง ๆ และจบลงด้วย หลักเกณฑ์และการสอบแข่งขันตอบปัญหา นับว่าเป็นเรื่องที่อธิบาย บอกกล่าว สั่งสอน ที่ถูกต้อง มีแง่คิดแง่ปฏิบัติที่ลึกซึ้งในทางธรรมะชั้นลึกไปด้วย จึงเห็นว่าเป็นหนังสือที่ดี ที่ควรเอาไปสั่งสอน เผยแพร่ต่อไป ไม่เฉพาะเด็กนักเรียน เยาวชน แม้นักศึกษา และ ประชาชนคนทั้งหลาย รวมทั้งพิธีกรทางพิธีกรรมต่าง ๆ ทางพุทธศาสนาเรา ก็สามารถเอาแนวปฏิบัติจากหนังสือเล่มนี้ไปใช้ได้
และมีสิ่งที่น่าประทับใจก็คือ ท่านผู้นี้ มีประวัติที่ดียอดเยี่ยมมาก ๆ ปรากฎในคำ แนะนำผู้เรียบเรียง ท้ายเล่ม ดังนี้
นายกนก จันทร์ขจร
วุฒิ ต.อ.2, ป.ป., พ.ม., วท.บ., ค.บ., ค.ม. Cert. in I.S. ลูกเสือ L.T.
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.ม. (2531) ป.ช. (2535)
อดีต อจญ.ตากวิทยาคม, ผดุงปัญญา, ระยองมิตรอุปถัมภ์, สตรีระยอง"บุญศิริบำเพ็ญ", อาจารย์ใหญ่โรงเรียนระยองวิทยาคม, ผอ.มักกะสันพิทยา, นวมินทราชูทิศ กรุงเทพฯ, ผอ.ทวีธาภิเศก, ทวีธาภิเศก 2, วิทยากรผู้ให้การอบรมผู้บริหารระดับสูง13 ปี, ประธานชุมนุมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย, อุปนายกสมาคมนักดาราศาสตร์ไทย, ประธานจัดการแสดงและฝึกซ้อมดนตรีไทยมัธยมศึกษา, กรรมการคุรุสภากทม., กรรมการสอบสวนฯ, กรรมการสหกรณ์ครู 3 สมัย, ประธานกลุ่มโรงเรียน 2 สมัย, ผู้ตรวจราชการกรมสามัญศึกษา คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรฯ กรมวิชาการ กรรมการตรวจสอบคุณภาพโรงเรียนเอกชน กรรมการประเมินโรงเรียนของ สมศ. ประธานสภาวัฒนธรรม กรรมการประเมินโรงเรียนกทม. อ.ก.ค.วิสามัญฯ วินัยและจริยธรรม ก.ค., อ.ก.ค.วิสามัญฯ ประเมินบุคคลระดับ 9 กระทรวงศึกษาธิการ 10 ปี
เกียรติคุณดีเด่น ปริญญาตรี 3.50, ปริญญาโท 3.88 ทั้งตรี โท ได้คะแนนสูงที่สุดในรุ่น Cert. In High School Study Program U.S.A.} Cert In I.S. RECSAM., ผู้ชำนาญสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ ส.ส.ว.ท., โล่ครู"จริยศึกษาดีเด่น"จากกระทรวงศึกษาธิการ โล่ผู้มีผลงานดีเด่นทางวิชาการและการบริหารจากจุฬาฯ, ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาดีเด่นจากส.บ.ม.ท., โล่"ผู้บริหารสถานศึกษาดีเด่น" จากคุรุสภากทม. วุฒิบัตร"หัวหน้าผู้ให้การฝึกอบรมผู้กำกับลูกเสือ L.T. "ผู้ทรงคุณวุฒิผู้มีผลงานดีเด่นด้านวิชาภาษาไทย 2535, เหรียญลูกเสือสดุดีชั้น 1 , เหรียญกาชาดสดุดีชั้น 2, โล่"พ่อตัวอย่างแห่งชาติ พ.ศ.2532", โล่"ศิษย์เก่าดีเด่นสถาบันราชภับ้านสมเด็จเจ้าพระยา", โล่เชิดชูเกียรติ์ "ผู้ปฏิบัติงานที่มีผลงานดีเด่นของกรมสามัญศึกษา พ.ศ.2537", โล่ "ครอบครัวประชาธิปไตย"พ.ศ.2540 ได้บริจาคเงินตั้งกองทุนสงเคราะห์นักเรียนให้โรงเรียนต่าง ๆ รวมประมาณ 1,100,000 บาท ทั้งนี้ไม่นับเงินมูลนิธิฯอีกประมาณ 3,000,000 บาท โล่อาสาสมัครดีเด่นแห่งชาติประจำปี 2550
ศึกษาดูงาน ประเทศสหรัฐอเมริกา 6 ครั้ง, จีน 6 ครั้ง, ฮ่องกง - เกาหลี 4 ครั้ง, ออสเตรเลีย 2 ครั้ง, อินเดีย 3 ครั้ง, นิวซีแลนด์ 2 ครั้ง, ฝรั่งเศส, อังกฤษ, เยอรัมน, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, สิงคโปร์ 5 ครั้ง, พม่า, ลาว, ใต้หวัน, เวียดนาม, สวีเดน, นอรเวย์, ฟินแลนด์, ลิเบีย
ปัจจุบัน เลขาธิการพุทธสมาคมฯ และสาราณียกรวารสารพุทธธรรม, นายกสมาคมผู้ปกำครองและครูโรงเรียนมักกะสันพิทยา, ประธานกรรมการบริการและสารสนเทศ สภาสังคมสงเคราะห์ฯ, กรมการ ศ.อ.ส.กทม., ประธานกรรมการสถานศึกษาฯกรรมการโรงพิมพ์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ประธานมูลนิธิฯเป็นวิทยากรบรรยายอบรมเยาวชนต่อต้านยาเสพติด การพัฒนาคุณภาพชีวิตครูนักเรียน
สิ่งที่เราเห็นว่ามีคุณค่าก็คือ การที่นายกนก จันทร์ขจร พิจารณาเลือกเอาธรรมะในพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมประเพณีพุทธทั่วไป ตลอดทั้งหลักพิธีกรรมในพุทธศาสนพิธี มากล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้ พร้อมคำอธิบายที่ชัดเจนแจ่มแจ้งไว้ นั้น น่าเป็นแบบอย่างเป็นมาตรฐาน ที่เชื่อถือได้ สำหรับชาวพุทธทั้งหลาย และส่วนที่เป็นศาสนพิธี ก็ถือว่าครบถ้วนสมบูรณ์ น่าเป็นแบบอย่าง จึงขอยกย่อง นายกนก จันทร์ขจร ให้เป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ.2559 ของหนังสือพิมพ์ดี
หนังสือพิมพ์ดี จึงขอยกย่องบุคคลทั้ง 5 เขาทราย กาแล๊กซี [Koasai Kolacksy] จูเลีย ไอลีน กิลลาต[Julia Guillat] วลาดีมีร์ วลาดีมีโรวิช ปูติน [Vladimir Vladimirovich Putinr] โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ [Donald John Trump] กนก จันทร์ขจร เป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ. 2559 และหวังว่าบุคคลแห่งปี พ.ศ.2559 จะได้ดำเนินวิถีทางชีวิตและการงานของตน ที่ตนเกี่ยวข้องไปในทางที่ดีก้าวหน้าไปสู่ความสำเร็จ ตามความมุ่งหมายของตนต่อไปตลอดกาลนานอนาคต
บรรณาธิการ 3 กรกฎาคม 2560, 10.23 น.
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2560
บุคคลที่ 150 นายราม ณัฐ โกวินทร์ [Ram Nath Kovind] ประธานาธิบดี คนที่ 14 ของ สาธารณรัฐอินเดีย
ราม ณัฐ โกวินทร์ มีประวัติ ตามที่ บีบีซี ไทย และสถานีข่าวการเมืองสากล รายงานไว้ว่า ราม ณัฐ โกวินทร์ อายุ 71 ปี เขาได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 14 ของ สาธารณรัฐอินเดีย โดยที่พรรคชาตินิยมฮินดู ภารติยะ ชนะตะ [Bharatiya Janata Party] หรือบีเจพี ของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ประกาศส่ง ราม ณัฐ โกวินทร์ เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ และเขาชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ จากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกสภาแต่ละรัฐรวมเกือบ 4,900 คนทั่วประเทศ ลงคะแนนเมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2560 เขาชนะอย่างขาดลอย และได้เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 25 ก.ค.2560 ทำให้เขาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ของอินเดีย ที่อยู่ในสถานะสังคมในวรรณะต่ำสุดของอินเดีย โดย เป็น นักการเมือง "จัณฑาล" คนที่ 2 ในประวัติศาสตร์อินเดียที่ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี โดยที่มีประธานาธิบดี จัณฑาล คนแรกของอินเดียคือ นาย เค.อาร์. นารายานัณ ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอินเดียที่เป็นคนชนชั้นจัณฑาลคนแรก ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ 5 ปีระหว่าง ค.ศ. 1997-2002 [พ.ศ.2540-2545]
หนังสือพิมพ์ New York Times รายงานประวัติที่ต้อยต่ำของเขาไว้ น่าสนใจ ดังต่อไปนี้ (เราให้สีที่คำมีความหมายต่ำทรามที่สุด)
The New York Times: A Dalit was elected India’s 14th president on Thursday, a rare achievement for a member of a community once known as “untouchables” and one of the most deprived groups in India. Ram Nath Kovind, 71, an understated politician from Prime Minister Narendra Modi’s governing Bharatiya Janata Party, was selected as his party’s candidate for the largely ceremonial position in an effort to secure the Dalit vote in future elections. That is a critical step in the expansion of the party, known as BJP.
หลังจากที่ชนะเลือกตั้ง นายราม ณัฐ โควินทร์ ได้ประกอบพิธีรับตำแหน่งแล้วได้เดินทางไปสักการะสถานที่น่านับถือหลายแห่ง เช่น อนุสาวรีย์มหาตม คานธี ถนนเนลสัน เมนเดลา เมือง Djibouti และได้ไปบูชาสถานที่ตรัสรู้ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา รัฐพิหาร ซึ่งได้มีพระเถระจากนิกายต่างๆ ในพระพุทธศาสนาร่วมเจริญชัยมงคลคาถา ในจำนวนนี้มีสมเด็จพระอัครมหาสังฆราชาธิบดีเทพวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช ประเทศกัมพูชารวมอยู่ด้วย
ในด้านการเมือง โกวินทร์เป็นสมาชิกกลุ่มชาตินิยมฮินดูขวาจัด หรือ อาร์เอสเอส (Rashatriya Swayasevak Sangh) ซึ่งเป็นแบบอย่างทางอุดมการณ์ให้พรรคบีเจพี ที่เป็นรัฐบาลอยู่ขณะนี้ โดยมีนายนเรนทรา โมดี[Narendra Modi] เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในขณะนี้ ในอดีต เขาทำงานเป็นทนายและเป็นสมาชิกวุฒิสภา 2 สมัยด้วยกัน เขายังเคยเป็นโฆษกของพรรค และเป็นผู้นำองค์กรชนชั้นจัณฑาลในพรรคบีเจพีด้วย
สิ่งที่น่าสนใจในเรื่องของคน จัณฑาล ของอินเดียคนนี้ ปรากฏจากการให้สัมภาษณ์ของนาย ซันเจ ปาสวาน ผู้นำชนชั้นจัณฑาลอาวุโสในพรรคบีเจพี กล่าวว่า
โกวินทร์มีส่วนช่วยสำคัญในการสร้างสิ่งก่อสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์หลายที่แก่ บี.อาร์. อัมเบดการ์ [คนชั้นจัณฑาล ที่ได้ปฏิญญาณตนเป็นพุทธสาวก ละจากฮินดู อย่างเด็ดขาดเมื่อ ปี พ.ศ. 2549 แล้วยังความศรัทธาอย่างมากมายแด่คนอินเดีย ที่เมืองนาคปุระ ผู้นำการเคลื่อนไหวเพื่อชนชั้นจัณฑาลคนดังผู้ถูกขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งรัฐธรรมนูญอินเดีย] เขายังเป็นคนทำให้เกิดการเปลี่ยนชื่อ "กระทรวงสวัสดิการสังคม" ให้กลายเป็น "กระทรวงความยุติธรรมทางสังคมและการเพิ่มขีดความสามารถ" ซึ่งเป็นชื่อที่บ่งบอกถึงการทำงานของกระทรวงที่แท้จริง เขาทำงานหลาย ๆ อย่างเพื่อชนชั้นจัณฑาล
ซึ่งการที่นายโกวินทร์ มีส่วนให้การสนับสนุนงานในอุดมการณ์ของ ดร. บี อาร์ อัมเบดการ์ นี้แล้วก็ทำให้เห็นได้ว่า นายโกวินทร์ ที่ ในฐานะทางศาสนาพรหมณ์-ฮินดู เขาเกิดในตระกูลของชนชั้นที่ต่ำ จนหลุดไปจากความเป็นมนุษย์ เพราะโดยปกติในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นั้น ได้แบ่งคนออกเป็นระดับชนชั้นอยู่แล้วถึง 4 ระดับตระกูลมนุษย์ มีสูงสุด มีต่ำสุด แล้วยังมีระดับที่เรียกว่า จัณฑาล ที่มิใช่มนุษย์ มิใช่คน เป็นระดับล่างสุด มีคน หรือ ตำแหน่งของคน 4 ระดับเท่านั้น ที่กำหนดโดยครูอาจารย์ศาสนาพรหมณ์-ฮินดู รู้จักกันไปทั่วโลกว่า วรรณะ ว่ามี 4 วรรณะ 4 ชั้นของวรรณะนั้น คือ
-วรรณะที่ 1 วรรณะพราหมณ์ กำหนดให้เป็นชนชั้นพรหม ผู้ได้ฐานะที่ทรงเกียรติยศสูงสุด เหนือมนุษย์ใดใดเสมือนตัวแทนเทพเจ้าทั้ง3องค์ของอินเดีย มีอำนาจหน้าที่ออกคำสั่งในฐานะเทพเจ้าให้คนทั้งหลาย นับแต่กษัตริย์ลงมา ปฏิบัติศาสนพิธีด้วยประการต่าง ๆ ตามแต่พราหมณ์จะสั่งหรือพาทำไป โดยอ้างอำนาจ เทพเจ้าทั้ง 3 คือ พรหม, อิศวร, นารายณ์ แม้ชนชั้นกษัตริย์ ในเรื่องศาสนพิธีแล้ว กษัตริย์ ก็ยังต้องฟังคำสั่งพราหมณ์นี้,
-วรรณะที่ 2 ชั้นกษัตริย์ เป็นชนชั้นผู้ปกครอง ทรงอำนาจบารมีเด็ดขาดดุจเจ้าชีวิตคน เดิมมาจากสถานะของนักรบ ผู้นำทัพปกป้องแผ่นดิน ปกป้องประชาชนจากผู้รุกราน จากศัตรู ทำให้ได้ชื่อว่า กษัตริย์ของประชาชนทั้งปวง โดยประชาชนหวังเป็นที่พึ่ง
-วรรณะที่ 3 แพศ ชนชั้นกลาง ซึ่งจะมีมีอาชีพทางการค้าขายกันเป็นส่วนมากเป็นพวก ทำมาหากินด้วยการเดินทางขนสินค้าไปขายยังดินแดนต่าง ๆ เอาสินค้าจากแดนต่าง ๆ เข้ามา ทำการแลกเปลี่ยนสินค้า ธุรกิจ การเศรษฐกิจของสังคม และ
-วรรณะที่ 4 ที่ต่ำสุดแห่งความเป็นคนตามหลักศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คือ วรรณะศูทร ซึ่งเป็นกลุ่มชนจำนวนมากที่สุดของแผ่นดิน ซึ่งถูกบัญญัติให้ ไร้อำนาจวาสนาใดใด มีหน้าที่อย่างเดียวคือการฟังคำสั่ง และการรับใช้ ศูทร์ ชนชั้นล่างสุดได้แก่ชนชั้นชาวนา ชาวไร่ ชาวประมง และชนชั้นที่ใช้แรงงาน เป็นกรรมกร ที่มีจำนวนมาก มหาศาลที่สุดของประเทศ แต่กลับถูกบัญญัติให้เป็นกลุ่มคนที่มีฐานะเยี่ยงทาส หรือเสมือนทาสของแผ่นดิน ที่ไร้เกียรติ์ ไร้อำนาจ วาสนาใดใดไปอย่างสิ้นเชิงโดยการกำหนดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู อย่างไร้เหตุผล
แต่กระนั้นชนชั้นที่ 4 ชนชั้นในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นี้ ก็ยังไม่ใช่ชนชั้นต่ำสุด มีชนชั้นต่ำกว่านั้นไปอีก ซึ่งพราหมณ์-ฮินดูเป็นผู้กำหนดอย่างไร้เหตุผลของความเป็นมนุษย์ไปอีก โดยที่กำหนดว่า ในเมื่อเกิดกระทำผิดข้อบัญญัติของศาสนา ในเรื่องการสมรส โดยที่มีข้อบัญญัติเด็ดขาด ให้ชาวฮินดูในวรรณะทั้ง 4 สมรสกันเฉพาะชนชั้นในวรรณะเดียวกันเท่านั้น หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือ ห้ามอย่างเด็ดขาด เรื่องความรักต่างวรรณะ หากมีคนต่างชั้นวรรณะสมรสกันแล้ว จะถือว่าเป็นความผิดที่ต่ำช้าสามานย์มาก จนทางศาสนาฮินดูจะต้องลงโทษ ประณามอย่างหนัก โดยมีบทบัญญัติพิเศษ ที่กำหนดให้ให้ลูกที่เกิดมาจากการสมรสต่างวรรณะนี้ เป็นชนอีกชั้นหนึ่ง ที่มีฐานะเท่ากับคนบาป เป็นคนบาปทันทีที่เกิดมาในโลกของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยให้ชื่อว่า จัณฑาล หรือ ภาษาอังกฤษจะเห็นความหมายชัดกว่าคือคำว่า The Untouchable ซึ่งเราได้ทราบจากประวัติของท่าน มหาตม คานธี มาว่า ท่านได้นำการต่อสู้มาตลอดเพื่อปกป้องยกระดับ คนจัณฑาล นี้ตลอดชีวิตท่าน เพราะแท้จริงแล้ว จัณฑาล เป็นสถานะที่ต่ำกว่า ความเป็นคน ที่ชนชั้นจัณฑาล จะต้องยอมรับฐานะนั้นอย่างปฏิเสธไม่ได้ นั่นคือก้มหน้าก้มตารับฐานะตนเองโดยเป็นฐานะที่ ไม่ใช่คน นั่นเอง และในเมื่อเป็นชนชั้นคนบาปที่คนทั้งหลายที่ถูกกำหนดให้มีวรรณะสูงกว่า จะไปคบหาสมาคม แม้การเดินผ่านไปถูกต้องตัวตนคนบาปนี้เข้าแล้ว ก็จะกลายเป็นบาปไปด้วยทันที จึงไม่สามารถจะคบหาสมาคมกับหมู่ชนคนไหนไหนได้ นอกจากหมู่คนบาปด้วยกัน ในยุคองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น ชนจัณฑาล เวลาออกจากบ้านที่อาศัย เดินไปตามถนน หรือ ที่ดิน นา ป่า ไร่ก็ตาม จะต้องเอาแผงกวาดดิน ที่ทำด้วยหางนกยูง หรือขนห่าน หรือแผงไม้ไผ่ที่ทำแบบไม้กวาด มาผูกเอวเดิน เพื่อว่าเมื่อเดินไปรอยของเท้าจะได้ถูกแผงหางนกยูงกวาดลบออก เพราะคนอินเดียให้ตราบาปแด่จัณฑาลไว้ ว่า แม้เหยียบไปดินแดนไหน รอยเท้าก็จะฝากตราบาปลงไว้บนแผ่นดินนั้น จะต้องทำการลบตราบาปจากรอยเท้าคนบาป คนจัณทาล ออกไปให้เกลี้ยงแผ่นดินตลอดเวลา จึงได้ทำแผงหางนกยูงแขวนเอวไปตลอดเวลาที่ออกจากที่พักอาศัย นอกจากนี้ เขาจะไม่ให้คนจัณฑาลนี้ เดินเงยหน้า ห้ามสบตา ห้ามคุยกับคนอื่น ให้อยู่ หรือไปไหนได้เฉพาะแต่พวกเดียวกัน ในสมัยที่ ดร.บี.อาร์.อัมเบดการ์ ซึ่งเป็นคนในตระกูลจัณฑาล ผู้ซึ่งได้เป็นประธานร่างรัฐธรรมนูญอินเดียยุคพ้นจากนาย เจ้าเมืองขึ้น อังกฤษมาเป็นเอกราช ประชาธิปไตย เริ่มเป็นประชาธิปไตย นั้น ดร.อัมเบดการ์ เป็น จัณฑาล เหมือนกัน เวลาไปเรียนหนังสือ เขาไม่ให้นั่งเก้าอี้เหมือนเด็กคนอื่น แต่ให้นั่งกับพื้น ให้ก้มหน้าเรียนหนังสือ ไม่ให้สบตา หรือ มองดูเด็กคนอื่น กินอาหารร่วมกับคนอื่นไม่ได้ ในยุคคานธี ก็เหมือนกัน คานธีเคยถูกหิ้วลงมาจากรถไฟ ฐานที่เป็นคนชั้นต่ำ ที่เขาไม่ให้ขี่รถไฟร่วมกับเขาได้ วรรณะทั้ง 4 นี้ จึงผิดหลักการของความเป็นมนุษย์ และนั่นคือผิดหลักการของพระพุทธเจ้า จึงทรงให้เลิกเสีย โดยหลักธรรมว่า กมฺมุนา วตฺตตี โลโก คนในโลกดีหรือชั่วย่อมเป็นไปตามกรรมหรือการกระทำของตนเอง และหลักการของพระพุทธศาสนาของพุทธองค์ นั้น การบรรลุธรรมสูงสุดระดับพ้นทุกข์ สู่ภาวะอรหันตบุคคลนั้ สำเร็จด้วย เสรีภาพ ส่วนตัวทั้งสิ้น ไม่อาจสำเร็จจากการบังคับด้วยปากกระบอกปืน คนเราดีหรือชั่ว เพราะกรรม ไม่ใช่สกุล หรือ ชั้นวรรณะ
ฉะนั้น การที่ประชาชนอินเดีย (โดยผู้แทนราษฎรอินเดีย จำนวน 4,900 คนทั่วประเทศ) ได้เลือกตั้ง ประธานาธิบดี จากคนชั้น จัณฑาล เป็นคนที่ 2 เป็นประธานาธิบดีของเขา จึงให้ความหมายในเชิงหลักธรรมพุทธ โดยให้นัยยะความหมายที่น่าหวัง น่าชื่นชมยินดีกับนายราม ณัฐ โกวินทร์ ว่าจะส่งเสริมธรรมะที่ดี และเมื่อเขาไปร่วมในอุดมการณ์ของ ดร.อัมเบดการ์ ซึ่งเป็นนักปฏิวัติอินเดีย ทั้งเชิงการเมือง(เขาเป็นประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอินเดียยุคสาธารณรัฐ ประชาธิปไตย เขียนรัฐธรรมนูญอินเดียไว้ ให้เลิกชนชั้น โดยเหตุผลว่า เพราะการกำหนดของพรามหณ์-ฮินดูให้มีชนชั้นเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรมแก่มนุษย์ และไม่ถูกหลักการเมืองของประชาชน แต่ในทางประเพณี ความเชื่อทางศาสนาชาวอินเดีย เรื่องพระเจ้าสูงสุดผู้ทรงอำนาจศักดิ์สิทธิ์เหนือคนทั้งหลายมีมานาน จึงยังไม่อาจจะเลิกได้ง่าย ๆ เหมือนยุคอเมริกา ยุคต้น ๆ ที่มีการค้าทาส นั้นเอง แต่อเมริกาไม่ยอมให้มีการลดฐานะมนุษย์ลงไปเป็นทาสเช่นนั้น สปิริตของเสรีชนในอเมริกามีสูงส่งมาก เมื่อพูดกันไม่สำเร็จ จึงเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น เพื่อเลิกทาส และฝ่ายเสรีประชาธิปไตย อเมริกา ชนะ ทาสจึงหมดไปจากอเมริกาได้ไวในทันทีที่เสร็จสงครามก็ว่าได้ เพราะฝ่ายที่ชนะสงครามสั่งให้ฝ่ายที่แพ้สงครามเลิกทาส หากไม่เลิก ก็เอาไปสังหารหมด ฝ่ายที่แพ้สงครามก็จำต้องยอมทันที แต่อินเดียช้า เพราะไม่มีใครกล้าทำจริงเหมือนอเมริกา ไม่มีใครฉลาดทรงปัญญามองเห็นสิ่งที่ผิด ว่าผิด อธรรม ว่า อธรรม เมื่อมีชนชั้นจัณฑาล ได้เป็นประธานาธิบดีมา เป็นคนที่ 2 บัดนี้ จึงน่ามีความหมายที่ดีขึ้น และน่ามีการก้าวไปอีกก้าวใหญ่ เชิงศาสนา และวัฒนธรรม ที่เมืองนาคปุระที่เป็นแบบอย่างคนอินเดียยุคใหม่ จึงน่ามีความหวังว่า Sri Ram Nath Kovind (ท่านศรีรามนาถโกวินด์) ประธานาธิบดีอินเดีย คนล่าสุดคนที่ 14 นี้ จักได้มุ่งเดินหน้านำอุดมการณ์ศาสนาพุทธขึ้นในอินเดีย และนำเดินตาม หลัง ดร. บี. อาร์. อัมเบดการ์ จัณฑาล ผู้ประกาศสัจธรรม 22 ข้อ ผู้กล้าหาญทางพุทธธรรมจนกล้าประกาศตรงไปตรงมาว่า จะไม่บูชาพระพรหม พระศิวะ พระวิษณุ นารายณ์ ต่อไป จะเลิกนับถือศาสนาฮินดู ที่ทำให้สังคมเลวทราม แบ่งชั้นวรรณะ เชื่อในศาสนาพุทธเท่านั้นที่เป็นศาสนาที่แท้จริง ฯลฯ นับแต่ ผู้ปฏิรูปฮินดูมาเป็นพุทธ จากที่ไม่มีคนพุทธเลย มาบัดนี้ มีคนพุทธร่วมกว่า 11 ล้านคนเข้าแล้ว และโดยการวิวัฒนาการทุกด้านในอินเดียแรงขึ้น กำลังมีการปลุกให้ชนชั้นต่ำสุด คือ แพศ ศูทร และ จัณฑาล ซึ่งเป็นประชาชนคนจำนวนมหาศาล หมู่มากที่สุดใน สาธารณรัฐอินเดีย (เฉพาะชนชั้นบาปจัณฑาลในอินเดียมีการสำรวจล่าสุดพบว่ามีจัณฑาลอยู่ในอินเดียถึงกว่า 200 ล้านคน) ที่โดยระบบการเมืองใหม่ ที่เจ้าประเทศราชอินเดีย คือ จักรภพอังกฤษ ให้อินเดียนำมาใช้ คือประชาธิปไตย ประชาชนทุกคนมีอำนาจ 1 คน 1 เสียงอำนาจปกครองประเทศนั้น กำลังถูกปลุกขึ้นมาด้วย ระบบการเมืองยุคใหม่ ยุค ประชาธิปไตย ที่คน ประชาชน พลเมือง ทุกคน ชาย หญิง ไม่มี เพศ ไม่มีชั้นวรรณะ(หมายความว่า วรรณะทั้ง 5 วรรณะ ในอินเดีย ตามคำสั่งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู อย่างไม่ยุติธรรม อย่าง อธรรม นั้น จะต้องเลิกไปเสียทันที รวมถึงเลิกการนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูทั้งอินเดียไปด้วย มิฉะนั้นประชาธิปไตยอินเดีย และ สาธารณรัฐอินเดียจะก้าวเดินไปไม่ได้เลย)) แต่ทุกคนมีอำนาจปกครองเท่ากันหมดคนละ 1 เสียง ในอุดมการณ์ของ คือ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ [Liberty, Equality, Fraternity] ความเป็นพี่น้องเดียวกัน อันเป็นหลักการขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลักการที่นำไปสู่มรรค ผล นิพพาน ได้ โดยเริ่มที่เมือง นาคปุระ และ นครมุมใบ และ ท่านศรีรามนาถโกวินด์ กล่าวคำเดียวกับ ดร. บี.อาร.อัมเบดการ์ ที่ว่า "ข้าพเจ้าเกิดมาจากตระกูลที่นับถือศาสนาฮินดู แต่ข้าพเจ้าจะขอตายในฐานะพุทธศาสนิกชน” สำนักข่าวฮินดูสถาน ไทมส์ ยังรายงานเน้นไปอีกถึงความเชื่อ ความคิดทางศาสนาของท่านประธานาธิบดี ราม นาถ โกวินทร์ ว่า โกวินทร์ยังได้กล่าวว่า ศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์เป็น'สิ่งแปลกปลอมในประเทศอินเดีย ซึ่งนั่น แสดงถึงการมองศาสนาได้ชอบธรรมแล้ว เพราะแท้ที่จริง ศาสนาในโลกนี้ มีเพียงศาสนาเดียวเท่านั้น อย่างอื่น ไม่ใช่ศาสนา อย่างที่ บี.อาร์. อัมเบดการ์ ระบุไว้ในคำปฏิญญาณข้อที่ 20 แล้วว่า พุทธศาสนาเท่านั้นเป็นศาสนาที่แท้จริง
และในเมื่อปีนี้ ได้มีการรวมตัวของชาวพุทธ ชาวอินเดียเพื่อปฏิญญาณตนเป็นชาวพุทธ แน่นขึ้น ตามที่มีข่าวมา
เมื่อ 26ธค.2560 ชาวอินเดียหลายหมื่นคน ทำพิธีเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนา ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ที่เมืองนาคปุระและนครมุมไบ แคว้นมหาราษฎร์ เป็นการปฏิณาณตนแบบ ดร..บี.อาร์.อัมเบดการ์ เป็นต้นแบบมีดังนี้
๑.ข้าพเจ้าจะไม่บูชาพระพรหม พระศิวะ พระวิษณุต่อไป
๒.ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่าพระราม พระกฤษณะ เป็นพระเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่เคารพต่อไป
๓.ข้าพเจ้าจะไม่เคารพบูชาเทวดาทั้งหลายของศาสนาฮินดูต่อไป
๔.ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อลัทธิอวตารต่อไป
๕.ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าคืออวตารของพระวิษณุ การเชื่อเช่นนั้น คือคนบ้า
๖.ข้าพเจ้าจะไม่ทำพิธีสารท และบิณฑบาตแบบฮินดูต่อไป
๗.ข้าพเจ้าจะไม่ทำสิ่งที่ขัดต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า
๘.ข้าพเจ้าจะไม่เชิญพราหมณ์มาทำพิธีทุกอย่างไป
๙.ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้มีศักดิ์ศรีและฐานะเสมอกัน
๑๐.ข้าพเจ้าจะต่อสู้เพื่อความมีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน
๑๑.ข้าพเจ้าจะปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ โดยครบถ้วน
๑๒.ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ โดยครบถ้วน
๑๓.ข้าพเจ้าจะแผ่เมตตาแก่มนุษย์และสัตว์ทุกจำพวก
๑๔.ข้าพเจ้าจะไม่ลักขโมยคนอื่น
๑๕.ข้าพเจ้าจะไม่ประพฤติผิดในกาม
๑๖.ข้าพเจ้าจะไม่พูดปด
๑๗.ข้าพเจ้าจะไม่ดื่มสุรา
๑๘.ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญตนในทาน ศีล ภาวนา
๑๙.ข้าพเจ้าจะเลิกนับถือศาสนาฮินดู ที่ทำให้สังคมเลวทราม แบ่งชั้นวรรณะ
๒๐.ข้าพเจ้าเชื่อว่าพุทธศาสนาเท่านั้นที่เป็นศาสนาที่แท้จริง
๒๑.ข้าพเจ้าเชื่อว่าการที่ข้าพเจ้าหันมานับถือพระพุทธศาสนานั้นเป็นการเกิดใหม่ที่แท้จริง
๒๒.ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตน ตามคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด
หลังจากปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะแล้ว ท่านกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเกิดมาจากตระกูลที่นับถือศาสนาฮินดู แต่ข้าพเจ้าจะขอตายในฐานะพุทธศาสนิกชน https://youtu.be/YMJFe66sGHw
เราเห็นว่า ศรีราม ณัฐ โกวินทร์ ประธานาธิบดี คนที่ 14 ของ สาธารณรัฐอินเดีย คงจะกล่าวถ้อยคำเดียวกันกับ ดร.อัมเบดการ์ ในที่สุดที่ว่า "ข้าพเจ้าเกิดมาจากตระกูลที่นับถือศาสนาฮินดู แต่ข้าพเจ้าจะขอตายในฐานะพุทธศาสนิกชน” เราจึงขอยกย่องว่า เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ประจำปี พุทธศักราช 2560 ขอให้ท่านได้เป็นชาวพุทธที่ดีต่อไป และยึดมั่นในคำปฏิญญาณ 22 ข้อข้างต้น
บุคคลที่ 151 นายสิทธิชัย ศิษย์สองพี่น้อง
(Sitthichai Sitsongpeenong)
สิทธิชัย ศิษย์สองพี่น้อง มีความโด่งดังในฐานะนักมวยไทยผู้ที่มีฝีมือเชิงมวยไทยอย่างสมบูรณ์ ครบเครื่องอาวุธมวยไทยอย่างแท้จริง ในการจัดมวยไทย เคหนึ่ง 71 กก. ที่จีน วันที่ 4 พฤศจิกายน 2560 นี้เอง สิทธิชัยพบ อี้หลง ซึ่งเป็นนักมวยกังฟู ซุเปอรสตาร์จีน ซึ่งเป็นที่นิยมของคนจีนอย่างสูงสุดในประวัติมวยจีนกำลังภายในแบบกังฟู และซึ่งเอาชนะนักมวยไทย อย่าง บัวขาว มาแล้ว ในการพบกันบนเวทีกับสิทธิชัย ศิษย์สองพี่น้องในวันนี้ สิทธิชัย เตะอี้หลง นักมวยกังฟูสลบคาเท้า การชกที่เมืองจีน สิ่งที่เราให้คะแนนนักมวยไทยคนนี้ มีเหตุผลหลายประการ
ประการแรกก็คือ เขามีเจตนาในการที่จะแก้แค้นแทนมวยไทย ในลักษณะ ยกย่อง เชิดชูศักดิ์ศรีมวยไทย หรือ ศิลปะมวยไทย ที่เขาเองมองโดยหลักการต่อสู้ทางหมัดมวยว่า ไม่มีทางที่จะแพ้กังฟู อย่างเช่น อี้หลง นี้เลย ซึ่งโดยปกติแล้ว การมวยไทยนี้ จะเห็นเองอยู่แล้ว(โดยการวิจัยเชิงอาวุธและศิลปมวย)ว่า ศิลปะมวยไทย ไม่อาจจะแพ้มวยจีนกังฟู แบบที่ อี้หลง ที่ใช้มาแบบหนังจีนกำลังภายในเลย และเมื่อสิทธิชัย ศิษย์สองพี่น้อง จะต้องมาสู้กับมวยกังฟูเช่นนี้ เขาก็ได้มองเห็นช่องโหว่ ของกังฟู อี้หลง มองเห็นแนวทิศทางของอาวุธกังฟู ทุกหมัด ทุกอาวุธ จากกังฟู ว่าจะสามารถหลบโดยศิลปะมวยไทยได้ทุกหมัด ทุกอาวุธของกังฟู และสามารถจะแทรกเข้าประชิดวางอาวุธมวยไทยลงสู่จุดอันตรายของฝ่ายคู่ต่อสู้ได้ และเขาก็ทำได้ตามแผนและตามประสบการณ์นักสู้มวยไทยครบเครื่องของเขา ดังจะเห็นว่า อีหลง ไม่สามารถใช้อาวุธกังฟูของเขาทำอะไรสิทธิชัยได้เลย เริ่มตั้งแต่เริ่มยก 1 ที่มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่อี้หลงถีบสิทธิชัยกระเด็นไปขอบเชือก แล้วเขาก็ออกวิ่งเข้าหากะจะถล่มทะลวงรุกอย่างเฉียบขาด แบบกังฟูหนังจีนกำลังภายในที่หลอกลวงคนดูมาตลอด แต่แล้ว สิ่งที่เขาเจอกลับเป็นลำเท้าทั้งลำของสิทธิชัย สวนเข้าที่ปลายคางและแก้ม อย่างเต็มแบบเท้ามวยไทยเลยทีเดียว ซึ่งแท้จริง เท้าใบนั้น ไม่ตาย ก็เลี้ยงไม่โตอยู่แล้ว อี้หลงน่าจะไปตั้งแต่เท้าลำนั้นแล้ว ล้มลงไปกลิ้งทั้งตัว แต่ไม่อยู่ ลุกขึ้นยืนได้ และออกรอยยิ้มเยาะมวยไทยเสียอีก ซึ่งนี่คือ สิ่งที่คนจีนเชื่อในตัวเขา ว่ามีพลังแบบพลังกำลังภายใน ไม่มีใครจะคว่ำ หรือ น๊อค เขาได้ แต่นั่นแหละ ในหลักการมวยไทย มวยไทย จะค่อยลดพลังของคู่ต่อสู้ลงไปทีละน้อย ๆ และสิทธิชัย ใช้หลักยุทธศาสตร์นี้ ทำให้อี้หลง ค่อยอ่อนลงไป ตั้งแต่ต้นยกที่ 1 ด้วยฝ่าเท้าหนักฝ่าแรกนี่เอง และที่เห็น ๆ จากนี้ไป อี้หลงชกสะเปะสะปะไปเหมือนที่คนไทยว่า มวยวัด จริง ๆ เขาไม่รู้แม้กระทั่งการตั้งการ์ด และเมื่อไม่มีการตั้งการ์ด ไม่มีการฝึกศิลป์ด้านนี้โดยที่ไม่ระวังยุทธศาสตร์ว่าด้วย รู้เขา รู้เราเลย ไม่รู้เรื่องฝ่าเท้ามวยไทยเลย จึงเปิดคอและแก้ม ให้สิทธิชัยใช้โจมตีมาตลอดเวลา ซ้ำเข้าที่คาง คอ ติดต่อกันไปได้ถึง 5 ครั้ง แต่ก็ แสดงความทนทานแบบพลังกำลังภายในหนังจีน แบบที่ว่าโง่ แต่อวดดี จนถูกเตะไป 5 ครั้ง ซ้ำเข้าไป ครั้งที่ 5 จึงทนไม่ไหว สลบคาเท้ามวยไทยไปเลย (ศิลปการสู้มวยไทยนั้นค่อยลดพลังคู่ต่อสู้ลงไปเรื่อย ๆ ๆเสมอไป แม้ไม่อาจจะน๊อคทันที ก็ลดพลังลงไปเรื่อย ๆ จนที่สุด คู่ต่อสู้ที่สิ้นพลัง ก็จะเหมือนกระสอบทรายให้มวยไทยทำฝ่ายเดียว)อ่อนระทวยลงไปแบบสิ้นฤทธิ์กังฟูไปเต็มที่ไปเลย แต่แท้จริง น่าไม่ถึงยก 2 ด้วยซ้ำ น่าไปตั้งแต่โดนฝ่าเท้าแรก ยก 1 นั้นเลย และ ปลายยกก่อนระฆังช่วย ก็โดนสิทธิชัยถีบช่องท้องเต็มที่ ล้มลงแบบไม่อยากลุกด้วยซ้ำ ก็แทบว่าจะไปไม่ไหวแล้ว ระฆังช่วยพอดี จึงรอดไปถึงยกที่ 2 และขณะเดียวกัน สิทธิชัยส่งอาวุธเข้าช่องว่างของมวยกังฟูได้อย่างหนักหน่วงอันตรายทุกหมัด ทุกเข่าทุกเท้า ของเขา อย่างมั่นใจ แม้กระทั่งยังได้ออกมาดมวยไทย เชิงโน้มคอตีเข่าซ้ำไป 2 ครั้ง ให้คนจีนดูอีก ถึง 2 ครั้ง(ให้รู้ว่ามวยไทยเต็ม ๆ คู่ต่อสู้อาจสลบคาเข่า แบบกอดคอตีเข่าซ้ำได้อย่างไร) แม้ว่าครั้งแรกกรรมการห้ามมวยจะเตือนก็ตาม สิทธิชัยอยากให้คนจีนเห็น (เพราะเขาไม่ให้ใช้แม่มวยไทยหลายอย่างที่อันตราย ๆ โดยเฉพาะเขาห้ามศอก ห้ามกอดคอตีเข่าซ้ำ โดยใช้กติกา kikboxing ที่ลดอาวุธมวยไทยอันตรายไป ดังกล่าว ) ก็ทำให้ดูอีกเป็นครั้งที่ 2 จนที่สุด หลังจากใช้เท้าเน้นเข้าไป 5 ครั้ง ติดต่อกัน ที่ต้นคอและใบหน้า จุดเดียวกัน อี้หลงก็สิ้นกำลังภายในลง พิสูจน์ว่า กำลังภายในนั้น ก็เป็นเพียงกำลังภายในในหนังจีนกำลังภายใน ที่เป็นเพียงการแสดงหลอกคนดูหนัง มวย เป็นเรื่องศิลปะการต่อสู้ที่เป็นรูปธรรมเห็นชัดจากมวยไทยครั้งนี้ เหตุผลประการที่ 2. เขามีแผนที่จะน๊อคมวยกังฟูคนนี้ด้วยเท้า และเขาก็ทำได้ โดยกระหน่ำเท้าเข้าใส่ปลายคาง และต้นคอของอี้หลงไปตลอดยกแรกจนเกือบจะน๊อคได้ตั้งแต่ปลายยกแรกอยู่แล้ว พอต่อยกที่ 2 ไม่กี่อึดใจ ก็วาดเท้าเข้าปลายคางอี้หลงติดต่อกัน เข้าครั้งที่ 5 สลบลงคาเท้า ตามแผน และยกที่สอง จึงสำเร็จ เป็นเหตุให้อี้หลง โดนเท้าซ้ำเข้าไปติดต่อกันถึง 5 เท้า หมัดและเข่าซ้ำเข้าไปอีกไม่หยุดหย่อน และทำให้ความทนทานอย่างกังฟู กำลังภายในต้องหดหายลงไปและทนทานไม่ได้ โดยโดนเท้าสุดท้ายอย่างแรง สลบคาเท้านักมวยไทยไปเลย กังฟู อี้หลง ที่มีความมั่นใจจากหลักกังฟูแบบเพ้อเจ้อในหนังจีนกำลังภายในนั่นเอง คือฝึกตนให้ได้อย่างในหนัง ซึ่งเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น ไม่ใช่หลักนักสู้อะไรเลยเมื่อมาพบมวยไทย จึงแท้จริงเหมือนเด็กกับผู้ใหญ่ ดังที่เห็นมาแล้วจากการชกกับ สุดสาครแต่สุดสาครก็ไม่สามารถน๊อคยี่หลงลงได้ ชนะคะแนนไปใสสะอาดอยู่ อี้หลงจึงมีอย่างเดียวคือความทนทาน ที่ได้ฝึกมาให้ทนและทานได้ และความทนทานนี้ก็ได้รับการนับถือจากคนจีน ที่เชื่อเรื่องกำลังภายในว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ทนทานต่อพลังหมัด เท้าได้ตลอดและคนจีนก็มองว่า ความทนทานนี้แหละเป็นตัวตัดสินให้ชนะ ไม่ว่าจะโดนหมัดโดนเข่า โดนเท้า ขนาดไหน หากทนทานได้ ไม่แสดงออกถึงความอันตราย เขาก็นิยมยกให้ว่าเป็นประเด็นสำคัญของการต่อสู้ เป็นประเด็นแห่งการตัดสินให้ชนะของมวยกังฟูไปเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น ในการชกกับบัวขาว ครั้งที่2 ที่อี้หลงขอแก้มือที่เมืองจีน แม้จะโดนทั้งเข่า ศอก หมัด เท้า ทกอาวุธมวยไทยจากยอดมวยไทยอย่างบัวขาว บัวขาวไม่สามารถน๊อคอี้หลงได้ และเห็นได้ว่า บัวขาว ลดพลังที่กระทำลงไปถึง20% โดยเหตุผลส่วนตัวของบัวขาว คือมองว่าอี้หลงเป็นพระ ก็เลยไม่กล้าทำแรงกับพระ เอาบุญไป บัวขาวคิดเช่นนั้นตั้งแต่พบอี้หลงครั้งแรกแล้ว ดังจะเห็นว่า พอได้รับการประกาศว่าบัวขาวชนะ เขาก็ขอลดตัวลงกราบอี้หลง...อย่างที่เขาไม่น่าจะคิดเช่นนั้นเพราะจริง นี่ไม่ใช่พระแต่อย่างไร เป็นเพียงนักฝึกวรยุทธแบบตำนานกำลังภายในหนังจีน ที่มีชื่อวัดว่า วัดเส้าหลินเท่านั้น)ก็เลยถูกตัดสินให้แพ้ไป ทั้ง ๆ ที่ตลอด 3 ยก บัวขาวประเคนเข้าให้ทุกอาวุธมวยไทย บอบช้ำไป เพียงแต่ศิลปะที่บัวขาวใช้ไปทุกรูปแบบ แต่ล้มอี้หลง กำลังภายในไม่ได้ นั้นบอกถึงชัยชนะอย่างอี้หลง กังฟูกำลังภายใน ความสามารถทนได้ จึงบอกถึงวิชากำลังภายในของอี้หลงสูงส่ง กรรมการจีน จึงให้ชนะบัวขาวไทยไปได้ แบบที่คน นักวิจารณ์ทั้งหลาย บอกว่าเป็นการโกงมวยอย่างไม่น่าละอายใจเลย และยังขัดสายตาคนชมทั้งโลก ที่คนทั้งโลก เขาไม่ได้มองกังฟูกำลังภายในว่าเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์เกินหลักวิชามวยไปได้อย่างไร และนี่เองเป็นเหตุให้มีการเรียกร้องศักดิ์ศรีมวยไทยกลับมา และนั้นแหละอยู่ในแผนการของ สิทธิชัย ศิษย์สองพี่น้องอย่างแรง (แม้ว่าจะมีธุรกิจมวยครั้งนี้มหาศาล สิทธิชัยชนะได้ 100,000 เหรียญสหรัฐ 3.4 ล้านบาทไทย) โดยแผนน็อคมวยจีนคนนี้ด้วยอาวุมวยไทยให้ได้ และแผนเขาก็บรรลุผลสำเร็จไปตามลำดับ เริ่มแต่ยกแรก แม้กระทั่งเท้าแรกที่เข้าปลายคางต้นยก นั้นก็แทบทำให้อี้หลงสลบไปแล้ว แต่นั้นแหละพลังกำลังภายในของอี้หลง คนบวชวัดเส้าหลิน แล้ว สิทธิชัยก็ทำสำเร็จ นั่นคือ ทำลายวิชากำลังภายในของกังฟู สลบลงคาเท้าอาวุธมวยไทยลงได้ โดนในจังหวะบวก คอเขาเอียงลงมารับเท้าพอดี เป็นแรงบวกเข้าไป สลบคาเท้า ลงนอนไร้สติ นับ 6 จึงฟื้น พยายามลุกยืนขึ้นมาแต่ล้มลงไปอีก ในอ้อมแขนของกรรมการตัดสิน....แท้จริง หากทนต่อไปได้ถึงยกที่ 3 ก็น่าจะเห็นชัดเจนลงไปเลยว่า มวยกังฟูอี้หลงนี้ จะเป็นกระสอบทรายอย่างชัด ๆ ที่ทนได้ด้วยกำลังภายใน กว่าจะโดนสลบคาเท้าในปลายยกที่ 3 (แทนยกที่ 2) พิศูจน์ถึงมวยไทยสะท้านภิภพ จริง ๆ ชนะมวยทุกสกุลมวยโลกลงอย่างราบคาบจริง ๆ เราจึงพอใจยกคะแนนบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2560 แด่นักมวยไทยคนนี้ สิทธิชัย ศิษย์สองพี่น้อง และหวังว่าโดยความยังหนุ่ม อายุเพียง 26 ปีของเขา จะเดินหน้าพิศูจน์ฝีเท้า ฝีมือมวยไทย สะท้านพิภพ ต่อไปอีกนาน
บุคคลที่ 152 พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา [General Prayuth Chan - ocha, Thailand Prime Minister 29th.]นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 29
ผลงานที่ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 29 นั้น มีหลายประการที่น่าชื่นชมยินดี แต่สิ่งที่หนังสือพิมพ์ดีเห็นสมควรแก่การยกย่อง เทิดทูน ให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2560 นั้น ก็เนื่องจากผลงานการพระพุทธศาสนา เราเห็นว่า ความเป็นนายทหาร ระดับผู้บัญชาการทหารสูงสุด คือระดับผู้บัญชาการ โดยที่ได้อยู่ในวิสัยทหารไทยมาตลอด นับแต่เข้าโรงเรียนนายทหาร จปร. มาถึงระดับผู้บัญชาการกองทัพ โดยอยู่ในวิสัยทหารไทยมาตลอดชีวิต สะท้อนถึงอุดมการณ์อันสูงส่งของทหารไทยสืบต่อมาไม่เบี่ยงเบน นั่นคือคำว่า ชาติ ศาสนา(พุทธ) และพระมหากษัตริย์ อยู่ในจิตใจของคนที่เป็นทหารไทยมานานนับพันปีแล้ว ในยุคที่ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา เข้ารับภาระกิจการบริหารราชการแผ่นดินไทย ได้พิศูจน์ผลงานของท่านครบทั้ง 3 สถาบัน คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ดังปรากฎว่าชาติไทย ได้ประสบภาวะปั่นป่วน วุ่นวาย จนแทบเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในยุคนี้ ก็สงบลงได้ ไม่ลุกลามไปใหญ่โต ก็เนื่องด้วยขณะนั้น มีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คสช. นำโดย พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา พาทหารรักษาแผ่นดินอยู่ ในด้านศาสนานั้น เรามองว่า กรณีศาสนาหลายกรณี ทั้งศาสนาอื่น และศาสนาพุทธไทยเราเอง ที่ได้รับการจัดการระงับยับยั้งสิ่งที่จะเป็นภัยต่อศาสนาพุทธไทยเอง สำหรับศาสนาพุทธไทยนั้นก็มีกรณีธรรมกาย ที่เป็นกรณีที่มีความละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง ที่ยากที่จะมีสายตาปัญญาชนมองเห็นอันตรายอันลึกซึ้งนั้นแม้กระทั่งสมเด็จพระญาณสังวรณ์ สมเด็จพระสังฆราช ในฐานะประมุขสงฆ์ตามพระธรรมวินัย จะทรงปฏิบัติหน้าที่ของท่าน ตามธรรมตามวินัย ได้ทรงตัดสินว่า ธัมมชโย เป็นปาราชิก แต่พระองค์กลับถูกละเมิด ดูแคลน เพราะหมู่สงฆ์ใต้การปกครอง ไม่เคารพในคำตัดสินโดยธรรมโดยวินัยนั้น แสดงอาการตอบโต้ใส่ร้ายพระองค์เสียอีก เท่ากับไม่เคารพธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ธรรมกาย เหิมเกริมไปกว่าเดิมอีก แต่การที่รัฐบาลประยุทธ สามารถดำเนินการระงับยับยั้ง นั้นแสดงถึงสติปัญญา และความกล้าหาญทางจริยธรรมอย่างสูงส่ง จึงสามารถจัดการปัญหาธรรมกายลงได้ ทำให้ระบบงานพุทธพาณิชย์ของธรรมกาย ที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารที่ประกอบด้วยการโฆษณาชวนเชื่อไปอย่างสุด ๆ เพื่อแสวงหาเงินตราและพณิชยการอย่างโลก ๆ ในระดับมโหฬาร ยิ่งใหญ่ ทรงพลัง อำนาจ ที่ยังไปมีส่วนกับการเมืองระบบเบี่ยงเบนไปนอกทางอันตรายเบื้องหลังอย่างลึกซึ้งไปอีก อันนำระบบสงฆ์ไทยเบี่ยงเบนไปนอกทางปกติของความเป็นสงฆ์สาวก นอกทางมรรคผลนิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สามารถจัดการระงับยับยั้งธรรมกายพาณิชย์ลงไป และนำวิถีทางพุทธธรรมกลับมา เข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้อง นี่นับเป็นบทบาทอันน่าชื่นชมยินดีของพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในด้านการศาสนา และที่เด่นชัดเจนในบทบาทผลงาน พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คนที่ 29 ไปอีกก็คือ ผลงานด้าน พระมหากษัตริย์ รวมเป็น ชาติ, ศาสนา, พระมหากษัตริย์ อย่างครบสมบูรณ์ ซึ่งในด้านพระมหากษัตริย์นั้น ก็คือส่วนที่เกี่ยวกับการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 นั้นเอง ซึ่งรัฐบาลประยุทธ อยู่ในฐานะผู้รับผิดชอบอย่างเต็มที่ และได้ปรากฎว่ารัฐบาลได้บริหาร จัดการงานพระบรมศพ ตั้งแต่ต้นจนจบลงไปอย่างสมบูรณ์ ที่ปรากฎผลงานที่ดีออกไปทั้งโลก โดยที่สุดในการถวายพระเพลิงพระบรมศพ วันที่ 26 ตุลาคม พุทธศักราช 2560 นั้น ได้มีกษัตริย์ทั่วโลก ทุกส่วนของทวีปต่าง ๆ เสด็จมาร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพอย่างคับคั่ง และงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ เสร็จสิ้นลงอย่างดี มีพระเกียรติยศแผ่ฟุ้งขจรไปทั่วโลก ทั้ง 3 ผลงานของพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 29 ด้านสถาบันสูงสุด ชาติ ศาสนา(พุทธ) และ พระมหากษัตริย์ ปรากฎว่าเห็นเด่นชัด สมควรที่หนังสือพิมพ์ดี จะได้ยกย่องเทิดทูนให้เป็นบุคคลแห่งปีพุทธศักราช 2560 ของหนังสือพิมพ์ดีต่อไป จึงขอยกย่องท่านพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 29 ไว้ ณ ที่นี้
บรรณาธิการ 20 ม.ค. 2561
**************************************************************************************************************************************************************************************************
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2561
บุคคลที่ 153 ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น
(ศรีสะเกษ ส.รุ่งวีระ Sisaket Sor Rungvira) แชมเปี้ยนโลกมวยรุ่น World Super Flyweight........สภามวยโลก WBC เป็นชาวศรีสะเกษ ได้แชมป์สมัยแรก โดยเอาชนะ TKO โยดะ ซาโตะ เจ้าของแชมป์โลกจากญี่ปุ่น ในยกที่ 8. และทำการป้องกันแชมป์เป็นผลสำเร็จ 3 ครั้ง จึงเสียแชมป์ให้ คาร์ลอส ที่ เมกซิโก โดยเกิดแตกยก 8 เพราะหัวชนกันโดยไม่เจตนา แล้วมาได้แชมป์คืนอีกครั้งหนึ่ง ในการชกวันที่ 18 มีนาคม 2560 โดยได้แชมป์คืนจาก โรมัน กอนซาเลซในการชกที่สหรัฐอเมริกา การที่ ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น สามารถครองแชมป์ได้กลับคืนมาเป็นครั้งที่ 2 คว้าแชมป์มวยโลกยิ่งใหญ่ 115 ปอนด์ ชนะสะใจที่สหรัฐฯ ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น ชนะ โรมัน กอนซาเลซ, แชมป์ไร้พ่าย 46 ไฟต์ นั้นถือเป็นประวัติการณ์ของแชมป์โลกคนหนึ่งของไทย ผู้ที่มีพลังทางกายและจิตใจที่ไม่ยอมท้อถอย สามารถติดตามชิงตำแหน่งแชมป์โลกคืนมาได้สำเร็จอย่างน่าชื่นชม
ล่าสุด เดือน ตุลาคม 2561 เขาได้ชกป้องกันแชมป์โลกครั้งล่าสุดกับ Iran Diaz ซุเปอร์สตาร์จากเมกซิโก 12 ยก ชนะแทบทุกยกก็ว่าได้ รวมแล้ว ศรีสะเกษชนะเป็นเอกฉันท์ การชกของศรีสะเกษ บ่งบอกถึงจิตใจนักสู้โดยแท้จริง และเนื่องจากวงการมวยสากลนี้ มวยไทยก็ได้ปรากฎมีชื่อเสียงไปทั่วโลกโดยได้ครองแชมป์มวยโลกรุ่นต่าง ๆ มาตามลำดับ ไม่เคยขาด ทำให้ประเทศไทยมีชื่อเสียงในวงการมวยสากลและมวยไทย ศิลปะมวยไปไปทั้งโลก เพราะในสมัยนี้ ก็ได้ปรากฎว่า มวยไทย ศิลปะมวยไทย ได้แพร่หลายไปเป็นที่ตื่นตะลึงและเลื่อมใสเป็นที่ต้องการฝึก ร่ำเรียนศิลปมวยไทยของคนทั่วโลก มีการจัดตั้งเวทีสอนมวยไทย โดยครูมวยไทยในต่างประเทศขึ้นมาตามลำดับ ๆ ในขณะเดียวกัน ศรีสะเกษ ส.โปรโมชั่น ก็ได้แชมป์ มวยสากลมาอย่างเด็ดขาด เสริมสร้างศิลปมวยในประเทศไทยให้เด่นดังไปอีก นี่แหละเหตุผลที่เรายกให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ปี 2560 จึงสมควรยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 2561 และหวังว่า ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น จะครองตำแหน่งได้ยาวนานเป็นประวัติการณ์ต่อไป
บุคคลที่ 154 นายจิรพันธ์ เพชรขาว
ที่คนรู้จักว่า หมอปลา มือปราบสัมภเวสี ในทีวี ไทยรัฐช่อง 032
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการไสยศาสตร์ ซึ่งในประเทศไทยยุคนี้ การไสยศาสตร์ได้แผ่ออกไปโดยสื่อมวลชนอินเทอเนตอย่างค่อนข้างกว้างขวาง สิ่งที่น่าสังเกตที่เห็นได้จากวงการสื่อทั่วไปก็คือ มีการโฆษณาอ้างอิงอภินิหาริย์เทพเจ้า ต่างๆ มากขึ้น อย่างไม่สอดคล้องหลักสัจธรรมทางวิทยาศาสตร์ ที่พิสูจน์ทดลองได้ อย่างมากมายหลายรูปแบบ โดยเฉพาะไสยศาสตร์ที่ไปเกี่ยวกับเรื่องเจ้า การเข้าทรง การทำนายโดยไม่อิงบนหลักการพยากรณ์ที่มีเหตุผล ทำให้ความเชื่อที่งมงายไร้เหตุผลนี้เข้าครอบความคิดของคนผู้ปัญญาอ่อนครอบสังคมมากขึ้น แล้วไปมีเบื้องหลังเกี่ยวกับการหวังผลประโยชน์อย่างซ่อนเร้น ยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้ เช่นมีการทำนายเรื่องร้าย ๆ จนบังเกิดผลทางจิตใจแด่ผู้รับทำนาย แล้วมีการเสนอการรักษาพยาบาลแบบไสยศาสตร์ แล้วครั้นกลับเพิ่มผลร้ายไปกว่าเดิม ก็ต้องหาค่าทำพิธีกรรมมาให้หมอไสยศาสตร์มากขึ้นไปอีก เสียทรัพย์สินเงินทองให้พวกเจ้าเข้าทรงพวกหมอผี หมอไสยศาสตร์มากขึ้น พวกที่เผยแผ่อิทธิฤทธิของเทพเจ้า เช่นเทพในพราหมณ์-ฮินดู เป็นต้น ก็อวดอ้างอภินิหาริย์เทพเจ้าเกินความเป็นจริง...เช่นอ้างว่าหากมาบูชาเทพองค์นี้แล้ว จะได้ลาภผลอย่างรวดเร็ว ไม่ล่าช้า หรือแท้จริงเป็นการกระทำไปอย่างเอาความเชื่อเป็นหลัก อย่างที่เอาพื้นฐานความเชื่องมงายของคนโง่เขลาเบาปัญญาเป็นหลักการ ไร้ความจริงโดยสิ้นเชิง มีเพียงความเชื่อที่ไร้สติงมงายเอามาครอบสังคมให้คนทั้งหลายหลงลืมสติตามไปด้วย เช่นในการอ้างเทพเจ้า ที่โดยปกติก็จักบันดาลอะไรให้ได้อย่างง่ายอยู่แล้ว กลับไม่ทันใจ ยิ่งไปอ้างว่าต้องมาบูชาเทพเจ้าองค์นี้ เรียกว่าเทพทันใจ ซึ่งเป็นการหลอกลวงไปมากกว่าเดิมอีก โดยหลอกลวงว่าเทพทันใจนี้แหละบันดาลโชคได้จริงและไม่ล่าช้าเลย เป็นต้น (ซึ่งหมอผีเช่นนี้แหละที่ได้นำเอาไสยศาสตร์ของตนไปเกี่ยวด้วยกับพระบารมีของพระพุทธเจ้า ดึงพระพุทธเจ้าให้ตกต่ำลงมาอย่างโง่เขลา ตามหลักการฮินดู ที่อ้างพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตารองค์ที่ 9 ของเขา จึงมีอภินิหารย์ช่วยบันดาลให้ได้โชคลาภ เงินทอง หรือแม้ร่ำรวยจากการเล่นการพะนันได้อย่างมากมายมหาศาล ซึ่งเป็นการกระทำไปอย่างไม่เข้าใจหลักการของชีวิต และหลักการมรรคผลนิพพานตามหลักการของพระพุทธเจ้านั่นเอง) .
..สำหรับการณีของนายจิรพันธ์ เพชรขาว หรือที่ได้ชื่อว่า มือปราบสัมภเวสี นั้น สิ่งที่เราได้ยกเขาเป็นบุคคลแห่งปี เนื่องจากวิถีทางไสยศาสตร์ของเขานั้น เป็นวิถีทางที่ตรงกันข้ามกับวิถีเจ้า เข้าทรงหมอผี หมอเทพเจ้า หลวงปู่ หลวงพ่อ หรือวิญญาณเก่าแก่ ที่ได้บรรยายมาแล้วนั้น โดยมีข้อเท็จจริงที่มีเหตุการณ์ เกิดจากประชาชนที่ได้รับผลคือถูกครอบด้วยความเชื่อความคิดแบบนั้นจากด้านไสยศาสตร์เช่นนี้ ถูกครอบจากความเชื่อที่งมงายเช่นนี้ แล้วส่งผลไปสู่ปัญหาสุขภาพ ทั้งสุขภาพทางกายและทางใจไปอย่างแปลกประหลาด รวมทั้งผลจากโรคเฉพาะ ซึ่งโดยมากเป็นผลจากโรคที่การแพทย์ยังค้นไม่พบ รักษาไม่หายสนิท ผู้ป่วยก็ได้ไปขอรับการรักษาทางไสยศาสตร์ จากพวกทรงเจ้า พวกเข้าทรง แล้วการไสยศาสตร์แบบคนทรง ที่ทรงเจ้าพ่อ เจ้าปู่ เจ้าเขาบอกให้ทำพิธีไสยศาสตร์อย่างนั้นอย่างนี้ ต้องการสิ่งของวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้มารักษามาทำพิธี ให้จ่ายเงินเท่านั้นเท่านี้ ..แต่ก็ไม่หาย เป็นเหตุให้เสียทรัพย์สินเงินทองแบบไม่รู้จบและยังป่วยไข้แบบแปลกประหลาดต่อไปอีก ที่แพทย์พยาบาลตามหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่แก้ไม่ได้ คนที่มีปัญหาเหล่านี้จึงได้มีทางออกจากการช่วยเหลือของ หมอปลา และหมอปลาได้ทำการช่วยเหลือเป็นผลสำเร็จ ช่วยชีวิตประชาชน ช่วยประชาชนผู้ได้รับความเจ็บไข้ได้ป่วยทางกายและจิตวิญญาณคนแล้วคนเล่า มีเหตุผลตามหลักการทางไสยศาสตร์ มีความจริงใจได้ผลดี จนทางไทยรัฐได้ตั้งฉายาให้ว่า มือปราบสัมภเวสี อันมีผลมาจากการไสยศาสตร์จากพวกทรงเจ้า เข้าทรง พวกหมอผี รวมทั้งพวกที่ถือลัทธิ ศาสนาผี เจ้า เทพเจ้า เทวดา ต่าง ๆ ยอมพลีกายและจิตวิญญาณตนเองเป็นร่างทรงให้ ที่หวังลาภผลประโยชน์จากการใช้ไสยศาสตร์เวทมนต์ฝ่ายผี เจ้าเทพ เทวดาฝ่ายพราหมณ์ ฮินดู ทำร้ายให้บาดเจ็บแล้วได้โอกาสขายของ ใช้เวทมนต์รักษา แต่ก็ไม่จริงใจรักษา โดยเลี้ยงไข้ไปเรื่อย ๆ เพื่อตนเองได้ประโยชน์ไปเรื่อย ๆ (ซึ่งความจริงคนทรง ร่างทรงเหล่านี้ ก็เกิดมาจากการที่ตนเองนั้นเองถูกครอบด้วยความเชื่อ ที่ว่ามีวิญญาณเทพเจ้า เจ้าปู่ เจ้าเขา เจ้าที่ เจ้าทาง มาอยู่กับตน...โดยเกิดความระยอบหวั่นเกรง และกลัวในอำนาจของเทพเจ้าเหล่านี้ ขึ้นมาเองแล้วตนเองศรัทธาเลื่อมใสถึงขนาดมอบกายมอบใจให้เป็นทาส เป็นขี้ข้า ผู้สามารถรับคำสั่งไปทำได้ทุกประการ แม้กระทั่งให้ฆ่าลูกตนเอง เอาเลือดไปบูชาเจ้า ก็เคยมีมาแล้ว ซึ่งนี้เองเป็นสิ่งที่เป็นเพียงความคิดเพ้อเจ้อของตนเอง หามีความจริงไม่ ...บทบาทของคนทรง ร่างทรงจึงมาจากการอยากได้ชื่อเสียง อยากให้ปรากฎอำนาจของตนออกไปให้คนทั้งหลายได้รับรู้และพากันมาบูชา...แต่แล้ว เนื่องจากไม่ใช่ความจริง คนทรงจึงไปได้ไม่นาน ดังแล้วก็เสื่อมลง เสื่อมลงไป ก็กลายเป็นคนอนาถา ที่น่าอนาถ น่าสงสารในสภาพที่ต่ำต้อยด้อยค่าอย่างไม่ใช่มนุษย์ในคราวที่สิ้นสภาพคนทรงไปแล้ว นั่นเพราะผลที่เกิดจากเพียงความเชื่อ คิดเอาเอง หลงไปเอง ฝันไปเองเท่านั้น การทรงจึงเป็นเรื่องของคนผู้ใฝ่ต่ำและโง่งมงายอย่างแท้จริง เพราะที่สุดแล้วชีวิตทั้งชีวิตก็จะตกต่ำและความเป็นคนก็จะหมดสิ้นไปจนไม่อาจจะมาอยู่กับสังคมมนุษย์ ๆ ได้ ต้องหลบ เก็บตัวอยู่ในโลกของตนเองไปอย่างลำบากอดสู่ใจไปตลอดชีวิต) ...แต่แล้วเมื่อมาพบหมอปลา หมอปลาก็ทำการรักษาให้หายได้
...สิ่งที่เราเห็นว่าหมอปลา มีคุณค่าแก่บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ก็คือ มีการต่อสู้ในทางไสยศาสตร์ ระหว่างหมอผี คนทรงเจ้า เข้าทรง คนในลัทธิศาสนาผี เจ้า ศาสนางู นาค ศาสนาเทพเทวา พราหมณ์ฮินดู พวกเทพทันใจ เทพช้างสามหัว ที่ส่งของมาทำร้ายประชาชน กับ หมอปลา ซึ่งได้พบความจริงว่า พวกหมอผี พวกศาสนาผี เจ้า เทพ เทวดา พราหมณ์ฮินดู นั้น ใช้วิชาไสยศาสตร์มาทำร้ายประชาชน โดยใช้เวทย์มนต์ คาถา วิชาทางศาสนาผีศาสนาเจ้า ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู มาทำร้ายประชาชน แต่แล้วสำหรับหมอปลา ผู้ใช้วิชาช่วยเหลือประชาชน ชนะพวกหมอผี มาได้ทุกรายนั้น หมอปลาได้ใช้เวทย์มนต์ไสยศาสตร์ทางพุทธเป็นหลักการต่อสู้หมู่มารอธรรมของเขา ในการประกอบพิธีรักษาเยียวยาคนเจ็บไข้คนพิการทางมันสมอง กายและวิญญาณ หรือคนที่ถูกครอบด้วยความเชื่ออันงมงาย ทำให้พิการทางมันสมอง พิการทางความเชื่อ ไปสู่ความไร้สติ ไปสู่ความงมงาย จนชนะ เอาชนะเรื่องร้ายต่าง ๆ ที่เกิดกับประชาชนอันเป็นผลมาจากไสยศาสตร์หมอผี เทพเจ้าเข้าทรงดังกล่าว ซึ่งแสดงถึงเวทย์มนต์ที่นักไสยศาสตร์นำไปใช้นั้น เวทมนต์พุทธ ชนะเวทมนต์ศาสนาผี ศาสนาเจ้า ศาสนาพราหม ฮินดู ...กล่าวคือมีข้อเท็จจริง ว่า พวกหมอผี ใช้คาถาอาคม ที่ไม่ได้มาจากพุทธะ แต่มาจากเทพเจ้า อิศวร นารายณ์ พิฆเณศร เทพทันใจ ฯลฯ (พวกเจ้าเข้าทรง หมอผี ผีปอบ ผีต่างๆล้วนใช้คาถาเทพฮินดูทั้งสิ้น คาถาที่มีมาแต่ดั้งเดิมในพระคัมภีรพระเวทของพรามณ์ฮินดูนั่นเอง) ส่วนหมอปลาใช้ไสยศาสตร์เวทมนต์ที่มาจากพุทธะ ดังจะเห็นทุกครั้งคราวที่หมอปลาเริ่มต้นการใช้วิชาของเขาด้วยคาถาว่า นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ (ขอนอบน้อมแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง) เสมอไป และตัวเวทยมนต์ที่ใช้ก็เป็นบาลีพุทธมนต์ล้วน ๆ ซึ่งหมายความว่าเขาได้เป็นศิษย์พุทธะ และฝากตัวกับพุทธะ ตลอดเวลาต่อสู้กับพวกหมอผี หมอไสยศาสตร์เทพ เจ้า พวกเข้าทรงทั้งหลาย และแม้ตัวคาถาอาคมเองนั้น แท้จริงก็เอามาจากพุทธวาทะ หรือพุทธมนต์ทั้งสิ้น ชัยชนะของเขา จึงบอกความจริงว่า เวทย์มนต์ ที่มาจากพุทธะ หรือ พุทธศาสนา ซึ่งแท้จริงก็คือบาลีเวทมนต์พุทธแท้ ๆ นั้นเอง ที่พิศูจน์ออกมาจากหมอปลาว่า ไม่อาจจะมีไสยศาสตร์เวทมนต์ที่มาจากหมอผี ศาสนาผี ศาสนาเจ้า พราห์มฮินดูเอาชนะได้ นั่นเอง
หมอปลาจึงเป็นผู้ที่ได้พิศูจน์ถึงชัยชนะของเวทมนต์ที่มาจากพุทธะ ที่แสดงว่าพุทธะเป็นฝ่ายชนะมารเสมอไป พวกเทพเจ้าทั้งหลาย มาร ผี ปีศาจ พระเจ้าหัวช้าง3งวงสามหัว นาค 7 - 9 เศียร ทั้งหลาย ไม่อาจจะต้านทานพระพุทธเวทได้ นั่นเอง อนึ่ง ในการทำงานช่วยเหลือของหมอปลา ๆ ก็ได้พยายามบอกให้รู้ให้เข้าใจในเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้น ว่าไม่มีเจ้าปู่ เจ้าเขา ไม่มีอำนาจเทพเจ้า อำนาจใดใด เนื่องมาจากความเชื่ออันงมงายแท้ ๆ ทำให้เกิดเรื่องร้ายขึ้นได้(ดังเช่นมีการฆ่าโดยเกิดจากความคิดงมงายว่ามีเทพเจ้าสั่งการลงมาให้ฆ่า แม้กระทั่งฆ่าลูกของตนก็เคยมีมาแล้วในสังคมคนเชื่อเจ้า สังคมคนทรง ร่างทรง) เพียงแต่จิตใจเข้มแข็งไม่เชื่อ และใช้สติปัญญาตรึกตรองดูตามเหตุตามผลแบบธรรมชาติเท่านั้นเอง ก็รอดพ้นจากปัญหาการถูกครอบทางไสยศาสตร์ได้และสังคมเจริญทางสติปัญญาไปได้ ไม่ถูกครอบด้วยความเชื่ออันงมงายล้าหลัง ที่ถ่วงความเจริญของสังคมลงไปจากเรื่องไร้สาระแท้ ๆ ดังจะเห็นว่าหมอปลา ได้ออกแรงแสดงการทำลายศาลเจ้า ทำลายจอมปลวกอภินิหาริ์ย์ต่าง ๆ ให้ดู รวมทั้งไปค้นหาของดี ของอาถรรพ์ ของที่เจ้าให้มาบูชา ติดต่อเทพเจ้า ที่คนป่วยรับเอามาจากเจ้าปู่ เจ้าพ่อ คนทรงเจ้า หรือร่างทรง ออกมาทำลายเสียหมดทุก ๆ รายไป ว่านั่นแหละตัวปัญหาความเชื่อ ที่มาครอบเอาได้เพราะเพียงความเชื่อ นอกนั้นหมอปลากระทำไปด้วยประสงค์ช่วยเหลือคนที่ถูกกระทำอย่างโง่เขลา ก็เห็นได้ว่ามิได้เป็นธุรกิจ มิได้มีการเรียกร้องค่าตอบแทนสินไหมอะไร เหมือนพวกเจ้าเข้าทรงพวกนั้น อันบอกถึงจิตใจเมตตาช่วยคนเดือดร้อนให้พ้นทุกข์ และการดำเนินวิถีไปทางธรรมมรรคผลนิพพานของพระพุทธเจ้า และในเมื่อเป็นเช่นนี้ คือย่อมกลายเป็นฝ่ายตรงข้าพวกไสยศาสตรเจ้า ทรง เทพงู เทพช้าง เทพทันใจ ฯลฯ แน่นอน เขาย่อมมีศัตรูเป็นจำนวนมาก โดยพวกที่ถูกเปิดเผยความจริงโดยหมอปลาเป็นผู้เปิดเผยนั่นเอง ย่อมเป็นศัตรูของเขาโดยอัตโนมัติ ปรากฏเป็นข่าวมาโดยตลอด แต่นั่นแหละผู้ทรงธรรมผู้ที่ไม่โลภ ผู้ที่มีจิตคิดเมตตาคนผู้เดือดร้อนและตนมีวิชาช่วยได้ ย่อมชนะเสมอไป หมอปลา หรือ นายจิรพันธ์ เพชรขาว จึงเป็นบุคคลที่มีคุณค่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 2561 อย่างแท้จริง
บุคคลที่ 155 ROBERT SPENCER
ผู้เขียนเรื่อง The Truth about Muhammad
เขาเขียนลงในคลิป บีบีซี ว่าดังนี้
เปิดโปงอัปรีย์พาล อภิบาลคุณธรรม
12 มีนาคม ·
ความจริงของอิสฺสะลาม
ศาสะนาอิสฺสะลามนั้นแท้จริงไม่ได้เป็นศาสะนาที่มุ่งหวังประโยชน์ในสัมปรายภพ หากแต่เป็นลัทธิมอมเมาเพื่อประโยชน์แก่การปกครอง การปกครองของผู้ปกครองประเทศทั่วๆ ไปมักใช้หลักกฎหมายและขู่ด้วยอาญาซึ่งสัมผัสได้ แต่อิสฺสะลามนั้นคือการปกครองด้วยกฎและการครอบงำทางจิตใจ นบีมูฮัมหมัดนั้นอ้างสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถเห็นได้ว่าเป็นผู้สร้างโลก มีนามว่าอัลเลาห์ และเป็นผู้ออกคำสั่งในอัลกุรอานซึ่งแท้จริงเขียนโดยนบีฯเอง โดยนบีฯอ้างว่าอ้สเลาะน์นั้น สั่งให้ฆ่าและให้ลงโทษผู้ไม่ปฏิบัติตาม เช่น ให้ฆ่าผู้ออกจากศาสะนาอิสฺสะลาม ให้ฆ่าหรือให้ข่มขี่หรือให้เก็บส่วยจากผู้ไม่ยอมเข้ารับอิสฺสะลาม เป็นต้น ซึ่งถ้าเราสังเกตดีๆ จะเห็นว่า คำสอนเหล่านี้ไม่น่าจะเป็นคำสอนของสิ่งที่เรียกว่าศาสนา แต่ควรจะเรียกว่ากฎข้อบังคับของกองกำลังทหารมากกว่า หลายประเทศชื่นชอบการปกครองจิตใจด้วยวิธีอย่างนี้ เพราะมันง่ายที่จะปกครองประชาชน ประชาชนไม่กล้าหือ สังเกตได้จากหลายๆ ประเทศที่มีการปกครองแบบอิสฺสะลามเต็มรูปแบบมักเป็นการปกครองแบบเผด็จการถาวร หรือไม่ก็เป็นระบอบสุลต่าน ทั้งๆ ที่ประเทศทั่วไปที่มีศาสะนาอื่นเป็นศาสะนาประจำชาตินั้นเลิกใช้ระบอบเผด็จการหรือระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปนานแล้ว
ชาวมฺสฺลิมอ้างว่าศาสะนาอิสฺสะลามเป็นศาสะนาแห่งสันติ แต่มักจะไม่พูดให้สุดว่า สันตินั้น เกิดจากคนทุกคนพื้นที่นั้นๆ ต้องเป็นอิสฺสะลาม และมีการปกครองตามกฎของศาสะนาอิสฺสะลาม(ที่เรียกว่า ชารีอะฮ์) ศาสะนาอิสฺสะลามจึงมักมีการพยายามจะเข้าไปแทรกแซงเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมและศาสะนาของประเทศนั้นๆ ให้เป็นไปตามแบบอิสฺสะลาม แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อทุกคนในโลกนี้ควรจะมีสิทธิเสรีในนับถือศาสะนาต่างๆ ตามบรรพบุรุษและตามความเชื่อของตน และควรจะมีสิทธิ์ที่จะหวงแหนวัฒนธรรมอันเป็นมรดกชาติของตน ซึ่งแม้แต่มฺสฺลิมด้วยกันเองบางคนก็ไม่เคร่งตามคัมภีร์ของอิสฺสะลาม จึงไม่แปลกใจที่เรามักจะเห็นหลายๆ ประเทศทั่วโลกที่มีอิสฺสะลามเป็นประชากรจำนวนมาก มักจะเต็มไปด้วยความไม่สงบ มักมีการจัดตั้งกลุ่มติดอาวุธ มีการก่อการร้าย อยู่ตลอดเวลา แต่ที่น่าแปลกใจคือ ฝรั่งในคลิปนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประเทศไทย แต่ก็พูดถึงอันตรายของอิสฺสะลาม ในการที่พยายามจะกดขี่ผู้นับถือศาสะนาอื่น ในการที่พยายามจะทำอิสฺสะลามให้เหมือนเป็นอภิสิทธิ์ชน และในการพยายามจะกำจัดชนต่างศาสะนาที่ไม่ยอมเข้ารับอิสฺสะลาม ซึ่งมันก็ตรงกันกับที่ประเทศไทยก็ประสบอยู่ในหลายๆ ที่.
ขอให้ทุกๆ ท่านดูคลิปนี้ แล้วลองวิเคราะห์เทียบเคียงกับเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศไทยและในข่าวในประเทศต่างๆ ทั่วโลก แล้วทุกท่านจะทราบว่า ฝรั่งสองคนในคลิป พูดจริงหรือไม่
@เปิดโปงอัปรีย์พาล อภิบาลคุณธรรม
เขาคือ โรเบิรต สเปนเซอร์ (Robert Spencer)คนซ้ายมือในภาพนี้ ผู้เขียนหนังสือเรื่องล่าสุดของเขาคือ The Truth about Muhammad ความจริงเกี่ยวกับมุฮัมมัด โดยเขียนลงใน The Newyork Times และปรากฏว่าแป็นหนังสือที่ขายดีมาก ฐานะของเขาคือ Islam Expert (ผู้เชี่ยวชาญเรื่องศาสนาอิสลาม) ผู้ที่ได้ติดตามเรื่องราวของนักรบศักดิ์สิทธิ์ หรือ จิฮัดส์ ของอิสลาม(ซึ่งหมายถึงนักรบผู้ขึ้นตรงต่อพระเจ้าอัลเลาะห์ รับคำสั่งจากอัลเลาะห์...ผ่านนบีมุฮัมมัดโดยตรงและแน่นอนนักรบพวกนี้ถวายชีวิต มอบชีวิตแด่อัลเลาะห์อย่างไม่มีข้อสงสัยใดใด ในคำสั่งทุกประการ และนักรบศักดิ์สิทธินี้ได้เป็นแนวหัวหอกแห่งอิสลามในปัจจุบัน ในนามของ ไอสิส ISIS ผู้ที่โดยหลักการของศาสนาอิสลาม ตามพระคัมภีร์อัล กุรอาน สามารถกระทำการรบ เข่นฆ่าศัตรู ผู้ที่ได้ชื่อว่าทรยศต่อพระเจ้าอัลเลาะห์ของเขาใดใดได้อย่างไม่เป็นบาปกรรมใดเลย) มาตลอด จนได้รู้เรื่องของอิสลามดีว่าแท้จริงเป็นอย่างไร และซึ่งเขาได้นำมาเปิดเผยในหนังสือเล่มนี้ และตามภาพนี้ เป็นภาพที่ BBC.ได้เชิญเขาไปสัมภาษณ์ ถามถึงเรื่องราวที่เขาเขียนออกมา เปิดเผยความจริงของ นบีมุฮำมัดแห่งศาสนาอิสลาม ซึ่งโรเบิร์ต สเปนเซอร์ ระบุว่า มุฮำมัดเป็นคนรุนแรงใฝ่ในอำนาจเหมือนนายทัพนายกองผู้ใฝ่ขยายอำนาจของตนไปแบบโลกาภิวัตน์ นั่นเอง ไม่ใช่ศาสนาหรือ ศาสดาอะไรเลย เรื่องที่มุฮำมัดเขียนออกมา คือพระคัมภีร์อัลกูรอาน นั้น มิได้มีลักษณะเป็นคัมภีรศาสนา แต่เป็นอุบายในการรบเท่านั้นเอง มีจุดมุ่งหมายหลอกลวง หลอกใช้คนเข้ามาร่วมรบทำสงครามกับเขา โดยอ้างเอาพระเจ้าเป็นผู้ออกคำสั่งมา และการจะทำอะไรไปให้ตรงความประสงค์ของตน ก็อ้างเอาพระเจ้า ว่าที่เขาวางแผนอะไรไปคิดทำอะไรล้วนมาจากคำสั่งพระเจ้า อ้างอำนาจพระเจ้ามาหลอกลวงประชาชนเท่านั้น และผู้ที่ถูกหลอกลวงก็คือ มุสลิมทั้งโลกนั่นเอง
โดยสรุป หนังสือถูกตีพิมพ์เป็นเล่มลงวันที่ 15 ก.ย. 2549 ปรากฏว่ารัฐบาลประเทศปากีสถาน สั่งยึดหนังสือทุกเล่ม และแบนหนังสือเขา ใน 3เดือนต่อมานั่นเอง โดยหาว่าเป็นวัตถุต้องห้าม คือวันที่ 20 ธ.ค. 2549 ตามข่าวที่รายงานว่า
The government of Pakistan confiscated all copies of the book and banned it on 20 December 2006 citing "objectionable material" as the cause.[4] Spencer responded that the book does not assert anything that is not readily verifiable in the sunni sources he provides.[5]
แล้วต่อมา มีนักเขียน วิจารณ์หนัก กล่าวหาว่าสเปนเซอร์ ตั้งใจให้เกิดความเข้าใจผิดเอาข้อมูลมาอย่างละเอียดเพื่อเพาะให้คนเกลียดชังอิสลาม ดังเช่น Deepika Bains กับ Azizza Ahmed ที่มีข่าวการวิจารณ์ว่า
Two academics from Berkeley, Deepika Bains and Aziza Ahmed, strongly criticized the book, pointing out structural problems, as well as "deep substantive flaws", such as unfounded assertions and conclude that: "With its lack of analysis, absence of historical context, and gaps in information. Robert Spencer's The Truth About Muhammad accomplishes Spencer's goal of vilifying Muslims and misinforming readers about Islam." Furthermore, "Spencer frames his book partly as a testament to the importance of the freedom of speech.' However, Robert Spencer exercises his right to free speech free from responsibility, choosing instead to inspire hatred and encourage intolerance."[6]
นักวิชาการ 2 คนจาก Berkeley คือ Deepika Bains กับ Aziza Ahmed วิจารณ์หนังสือเล่มนี้อย่างแรงโดยชี้ว่าขาดพื้นฐานความเข้าใจ พอ ๆ กับผิดพลาดอย่างลึกซึ้งในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอิสลาม ข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือของอิสลาม และสรุปว่า มีการบกพร่องของงานเขียน งานวิจารณ์ ขาดตกบกพร่องในฐานะทางประวัติศาสตร์และเรื่องข้อมูลข่าวสารสำคัญเกี่ยวกับอิสลาม กล่าวว่า สเปนเซอร์ เพียงแต่มีความมุ่งหมายที่จะให้เกิดการดูหมิ่นดูแคลนมุสลิม และมุ่งหมายบอกเรื่องที่ผิด ๆของอิสลามให้ผู้อ่านเข้าใจผิดในอิสลาม ให้เกิดความเกลียดชังในอิสลาม นี่เป็นประสงค์อันสูงสุดของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้
David Thompson wrote in The Guardian that: "Robert Spencer provides a detailed and timely riposte to common misconceptions, outlining the mismatch between belief and historical reality and documenting the ways in which Muhammad's own deeds and purported revelations are used verbatim to mandate intolerance, xenophobia and homicidal 'martyrdom'." Concluding with "Denial, as they say, is not just a river in Egypt."[7]
David Thompson วิเคราะห์ไว้ใน The Guardian ว่า ทำนองเดียวกันกับนักวิชาการจากเบอร์เลย์ ว่า โรเบิร์ต สเปนเซอร์ หารายละเอียดมามากมายเพื่อให้ได้ความสมบูรณ์ทางความเชื่อ ความเข้าใจที่ผิดพลาดต่ออิสลาม เป็นต้นว่าเรื่องความเชื่อกับความจริงทางประวัติศาสตร์และชี้ให้เห็นว่า วิธีที่มุฮำมัดดำเนินการกระทำไปและเปิดเผยให้เห็นสิ่งที่มุฮำมัดได้กระทำไปผิดๆ
ส่วนนักวิจารณ์อีกฝ่ายหนึ่ง ที่เห็นด้วยอย่างมากกับสเปนเซอร์ มี 2 คน คือ Amndrew C. McCarthy กับ Bruce Thornton
Andrew C. McCarthy wrote in National Review that this book is important and that everybody should read it: "Robert Spencer graphically illustrates the depth of our folly in thinking — or, rather, blithely assuming — otherwise. An alarming book, and a necessary one."[9]
โดยที่ Amndrew C. McCarthy เขียนลง National Review ว่าเป็นหนังสือที่มีความสำคัญที่ทุกคนควรจะได้อ่าน และแล้วจะได้พบว่าโรเบิรต สเปนเซอร์ ให้ทำให้พวกเราเองเห็นว่ามีการนึกคิดอย่างที่โง่เขลาในเรื่องอิสลาม อย่างลึกซึ้ง โดยไปเข้าใจว่าอิสลามเป็นหรือมิฉะนั้น หากไม่เช่นนั้นก็เป็นการให้สิ่งสมมติที่เบิกบานแก่เรา เป็นหนังสือที่เตือนภัยและมีความจำเป็นที่ต้องมีหนังสือเช่นนี้
Bruce Thornton wrote about this book: "Spencer's new book continues this important service of arming us with the facts we need in order to understand an enemy who wants nothing from us other than our conversion, death, or subjection. ... Unless we heed people like Robert Spencer, it seems that only another graphic example of jihadist violence within our borders has a chance of teaching us the history of the enemy."[10]
ว่า หนังสือของสเปนเซอร์เล่มใหม่นี้ ได้ให้การรับใช้ที่สำคัญในเรื่องการติดอาวุธทางปัญญาให้เรา โดยให้เราเข้าใจศัตรูของเราผู้ซึ่งไม่หวังอะไรตอบแทนจากเรา มากไปกว่าการสนทนากับเรา ความตายของเรา หรือการตั้งหัวเรื่องขึ้นมาให้ติดตามกันไป หากไม่มีคนอย่างสเปนเซอร์ เสียแล้วดูเหมือนว่า พวกนักรบศักดิ์สิทธิ์ จิฮัดส์ ทางขอบชายแดนเราจะมีโอกาศสอนเรามากขึ้นในเรื่องประวัติศาสตร์ศัตรูของเรา
สิ่งที่เราหนังสือพิมพ์ดี ได้ยกย่อง Robert Spencer เป็นบุคคลแห่งปี ก็เนื่องมาจาก การเขียนหนังสือเล่มนี้ The Truth about Muhammad เป็นการแทงทะลุเข้าไปสู่ความเป็นจริงเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม และ มุฮัมมัด ศาสดา ผู้ประกาศศาสนาอิสลาม โดยเรียกตนเองว่า นะบี (ผู้ที่สื่อสารกับพระเจ้าอัลเลาะห์ได้) คนนี้ ที่โลกควรจะต้องรู้และได้เห็นภัย คือความไม่ถูกต้องของคำสอนของ มุฮัมมัด ซึ่งทำให้โลกส่วนหนึ่งเกิดสงคราม เกิดการต่อสู้ เกิดความรุนแรงมาโดยตลอดตั้งแต่มีการเคลื่อนไหวในนามพระเจ้าอัลเลาะห์ในโลกนี้ ตามคำสอนนั้นจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันนี้ในซีเรียที่มีการตายเพิ่มไปเรื่อย ๆ ที่ 4 ปีหลังสุดตั้งแต่เกิด ไอสิสขึ้น มีการตายไปถึงสองแสนห้าหมื่นคน คนอพยพซึ่งล้วนเป็นมุสลิมนั้นเอง 11 ล้านคนไปแล้ว ดังที่กลายเป็นปัญหาของประเทศต่าง ๆ อยู่ทั่วโลก ตามข่าว :
More than 250,000 Syrians have lost their lives in four-and-a-half years of armed conflict, which began with anti-government protests before escalating into a full-scale civil war. More than 11 million others have been forced from their homes as forces loyal to President Bashar al-Assad and those opposed to his rule battle each other - as well as jihadist militants from so-called Islamic State. This is the story of the civil war so far, in eight short chapters.
เมื่อมีการติดตามศึกษาอิสลามไปมาก ๆ ขึ้น อย่างเช่น Robert Spencer ก็ย่อมจะไปเน้นย้ำถึงสิ่งที่เป็นความจริงเกี่ยวกับอิสลามและโลกได้รู้ความจริงนั้น อย่างถูกต้อง เราจึงขอประกาศ Robert Spencer เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2561
บุคคลที่ 156 วรรรญา วรรณพงษ์
วรรรญา นามพงษ์ เด็กหญิงอายุ 11 ขวบ เกิดวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2550 นักเรียนชั้น ป.6 ร.ร.สุวิทย์เสรีนุสรณ์ เขตประเวศ์ กทม. ได้เข้าแข่งขันใน 1 st FAI DRONE RACING CHAMPIONSHIPS 20้18 ระหว่างวันที่ 1- 4 พฤศจิกายน 2561 ณ เมืองเซิ่นเจิ้น มณฑลกวางตง สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้แชมป์เหรียญทองประเภทบุคคลหญิง กลายเป็นแชมป์บินโดรนที่อายุน้อยที่สุดในโลก คว้าเงินรางวัล 8000 ดอลลาร์หรือ 254,000 บาท โดยก่อนหน้านี้ น้องมิลค์ได้เข้าร่วมการแข่งขันโดรน เรซซิง โอเพ่น(2018 China Drone Racing open)จัดขึ้น ณ นครเซิ่นเจิ้น เช่นเดียวกัน วันที่ 13 พฤษภาคม 2561 เธอคว้าแชมป์มาครอง โดยสามารถเอาชนะผู้เข้าแข่งขันจากทั่วโลกมากว่า 70 คน ในขณะที่เข้าแข่งขันชิงแชมป์โดรนเรซซิง 1-4พ.ย.2561 ที่รับรองโดย FAI นั้นเธอพบคู่แข่งสำคัญเพียง 3 คนคือ จากเกาหลีใต้ ใต้หวัน และ สหรัฐอเมริกา และเธอเป็นผู้ชนะเป็นแชมป์เหรียญทองประเภทบุคคลหญิง ส่วนแชมป์โลกประเภทชายคือ รูดี้ บราวนิง วัย 15 ปี จากออสเตรเลีย ที่ชนะคู่แข่ง 129 คนจาก 34 ประเทศทั่วโลก
การฝึกเล่นโดรนของเธอมีมาแต่อายุ 8 ขวบ มีบิดาคือนายอาวุธ วรรณพงษ์ เป็นผู้ฝึกให้ และเป็นครูโดยตรง ที่ได้ติดตามลูกศิษย์ไปอยู่ใกล้ชิดตลอดการแข่งขัน และคว้าชัยชนะมาได้โดยตลอด และทั้งหลังชัยชนะที่เมืองเซิ่นเจิ้น มณฑลกว่างตง สาธารณรัฐประชาชนจีนจีนแล้ว ต่อมาไม่นานคือวันที่ 9-11 พ.ย.2561 วรรรญา ยังได้เข้าแข่งขันชิงแชมป์นานาชาติที่ฮ่องกงอีก โดยคว้าแชมป์โดรนรุ่น International Challenge โดยการเชิญนักบินฝีมือดีเยี่ยมจาก 9 ประเทศเข้าร่วมแข่งขัน งาน ALISPORTS WESG Hongkong Exports Festival 2018 International Drone Racing Challenge 9-11 พ.ย.2561 และได้ชัยชนะเป็นแชมป์นานาชาติของฮ่องกงอีกด้วย กลายเป็นแชมป์ 2 เวทีในปีเดียวกัน
ฉะนั้น ด้วยความสามารถของเด็กไทยวัยประถมอายุเพียง 11 ปี เมื่อเป็นแชมป์โดรนโลก พร้อม ๆกันถึง 2 เวที ก็ยังได้ชื่อเสียงไปอีกว่าแชมป์ผู้อายุน้อยที่สุดในโลกอีกด้วย ฉะนั้นจึงถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่ดีเด่นยิ่งยอดของเด็กไทย เลยที่ว่าเด็กไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก อนึ่ง มีอีก 2 อย่างสำหรับการให้คะแนนบุคคลแห่งปี หนึ่ง เธอพูดภาษาอังกฤษได้เก่ง ฟังคำตอบของเธอ คำถามของนักข่าวต่างประเทศก่อนออกไปว่า I'm very happy and thank you all sponsors ฟังน่ารักมากเลย และ สอง เธอไม่ยิ้ม เป็นคนไทย เด็กไทยที่ไม่ยิ้ม ซึ่งเรามองว่าเป็นคนเอาจริง ถ้ายิ้มก็จะมักเล่นไม่เอาจริง และที่จริง นี่คือสมาธิที่นิ่งแน่วแน่มากเลย ขณะที่เธอแข่งขันอยู่นั้น ระดับสมาธิของเด็กน้อยอายุ 11 คนนี้คงเข้าถึง อุปจาระสมาธิ ไปเลยละ จึงสมควรกับตำแหน่งบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2561 และหวังว่าเธอจะต้องสร้างสรรค์กีฬาโดรนของเธอไปอย่างน่าประทับใจคนทั้งโลกต่อไป
บุคคลที่ 157 ประธานาธิบดีสโลวาเกีย
ผู้ประกาศคว่ำศาสนาอิสลาม ตามคลิปที่แผ่ไปทั่วโลก ดังนี้คือ “ไม่มีที่อยู่ให้อิสลามในประเทศนี้”
โดยมีข้อสรุปออกมาใต้ภาพนี้ว่า
“ไม่มีที่อยู่ให้อิสลามในประเทศนี้”
......... ผู้ประกาศอย่างสั้น ๆ ว่า “ไม่มีที่อยู่ให้อิสลามในประเทศนี้” ผู้สร้างประวัติศาสตร์อีกท่านหนึ่งในฐานะประธานาธิบดีประเทศใหญ่ ที่ต้านศาสนาอิสลาม เรามองว่า คนที่ประกาศออกมาเช่นนี้ อย่างเด็ดขาดเช่นนี้ นั้น ย่อมเป็นบุคคลใดก็ตาม ผู้ที่ได้เข้าใจ ได้รู้แจ้งเรื่องศาสนาอิสลามอย่างแท้จริง ว่าไม่ใช่ศาสนาแต่อย่างไร คำสอนของอิสลาม เป็นคำสอนที่ผิดหลักการแห่งศาสนจริยธรรม และหลักการมนุษยธรรมมานานร่วม 1500 ปีแล้ว เพราะมาพร้อมกับความรุนแรงและสงคราม ตามลำดับ ๆ ถึงปัจจุบันนี้ คำสอนในคัมภีร์อิสลามจึง เป็นเพียงเล่ห์กลอุบายของการหลอกประชาชนไปรบไปสร้างประโยชน์ให้ผู้นำอิสลามเท่านั้น ประชาชนทั้งปวง หรือ มุสลิมทั้งหลาย ล้วนเป็นทาสที่ใบ้เบื้อ ที่ถูกหลอกอย่างไร้เมตตาจากผู้ปกครองขององค์การศาสนาอิสลามทั้งสิ้น เช่นเดียวกับผู้นำประเทศหลายประเทศที่เริ่มเข้าใจบทบาทที่ไม่ชอบธรรมขององค์การอิสลาม หรือศาสนาอิสลาม ตามที่ปรากฏมาระยะปัจจุบันนี้ เริ่มแต่ ……
………ประธานาธิบดี โชเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส แห่งแองโกลา ประกาศคำสั่งแบนศาสนาอิสลาม เป็นประเทศแรกของโลก แองโกลาได้กลายเป็นประเทศแรกของโลกที่ประกาศแบนศาสนาอิสลามอย่างเป็นทางการ โดยประธานาธิบดีโชเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส ผู้นำแองโกลา ออกมายืนยันที่กรุงลูอันดา เมืองหลวงของประเทศว่า “จุดจบของศาสนาอิสลาม” ในแองโกลาได้มาถึงแล้ว ......ตามรายงานข่าว เดือนกันยายน พ.ศ. 2558 ..
...........จากนี้ก็มีรายงาน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย จูเลีย กิลลาด กล่าวว่า มุสลิมที่กำลังเรียกร้องกฎหมายอิสลาม หรือ ชะรีอะห์ ได้ถูกขอให้ออกจากประเทศออสเตรเลียภายในวันพุธ เพราะว่าออสเตรเลียมองมุสลิมบ้าคลั่งเป็นผู้ก่อการร้าย สุเหร่าทุกแห่งจะให้ความร่วมมือกับเราในการค้นหามุสลิมกลุ่มนี้ มุสลิมที่อพยพจากประเทศอื่นเข้ามาอาศัยในประเทศออสเตรเลียจะต้องปรับเปลี่ยนตนเองให้เข้ากับประเทศของเราและไม่คาดหวังที่จะเปลี่ยนเราให้เป็นอย่างเขา ถ้าหากทำไม่ได้ เรายินดีเชิญให้ออกจากประเทศของเรา มีคนออสเตรเลียจำนวนมากที่เป็นกังวลว่าเราอาจกำลังดูหมิ่นศาสนา... แต่ดิฉันขอให้ความมั่นใจกับประชาชนของประเทศออสเตรเลียว่าสิ่งที่ดิฉันดำเนินการอยู่นี้เพื่อสิ่งที่ดีขึ้นสำหรับประเทศและประชาชน…
....…จากนั้นก็มาถึง วลาดีมีร์ ปูติน ในฐานะผู้นำประเทศรัสเซียมหาอำนาจ ได้เจอปัญหาผู้อพยพลี้ภัยมุสลิม เช่นเดียวกันกับประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศ เช่นฝรั่งเศส ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา ประเทศตะวันตก และประเทศอื่นอีกหลายประเทศ และวาทะที่ท่านประธานาธิบดีปูตินกล่าวออกมาสั้น ๆ แต่บ่งบอกความหมายที่ชัดเจน เป็นธรรม ดังในภาพที่ประกอบนี้ออกมาสั้น ๆ ที่ว่า......"ถ้าอยากทำมาหากินอยู่ในรัสเซีย ต้องเคารพกฎหมายเคารพวัฒนธรรมของรัสเซีย ถ้าชอบกฎอิสลามหรือ อยากใช้ชีวิตตามวิถีอิสลาม ให้ไปอยู่ประเทศที่เป็นอิสลามด้วยกัน เพราะเราเห็นการฆาตกรรมในยุโรปเกิดจากพวกมุสลิม เราจะไม่ให้สิทธิใดใด" แต่ก็พอที่เราจะเห็นได้ว่า ท่านวลาดีมีร์ ปูตินนั้นมีความเด็ดขาดอย่างไร ต่อสิ่งที่ไม่เป็นธรรมในประเด็นมุสลิมอพยพ ในประเทศรัสเซีย และประเด็นคำสอนของอิสลามที่สอนให้มุสลิมสาวกกระด้างกระเดื่องอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณที่คำสอนระบุว่าเป็นกาฟิร์
........ แล้วมาถึงจอห์น ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนปัจจุบัน พอเข้ารับตำแหน่ง เขาก็ประกาศให้ทหารสหรัฐเตรียมทำสงครามโลกครั้งที่ 3 ทันที และประกาศไม่รับผู้อพยพมุสลิมจาก 7 ประเทศ มี อิหร่าน [Iran], อิรัค [Iraq], ลิเบีย [Libya], โซมาเลีย [Somalia], ซูดาน [Sudan], ซีเรีย [Syria], and เยเมน[Yemen].โดยเหตุผลที่ว่า เพื่อป้องกันประเทศจากผู้ก่อการร้ายต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศสหรัฐอเมริกา [Protecting the Nation From Foreign Terrorist Entry Into the United States]
....….แล้วมาถึงประธานาธิบดีสโลวาเกีย ที่ประกาศอย่างเด็ดขาดสั้น ๆ ว่า “ไม่มีที่อยู่ให้อิสลามในประเทศนี้” ซึ่งเป็นสิ่งที่หนังสือพิมพ์ดี มีความพอใจยกย่องให้ท่านประธานาธิบดีสโลวาเกียเป็นบุคคลแห่งปีพุทธศักราช 2561
ฉะนั้น ในหนังสือพิมพ์ดีเล่มนี้ เราจึงขอยกย่อง ศรีสะเกษ โปรโมชั่น แชมป์โลก WBC รุ่น 115 ปอนด์, หมอปลา จิรพันธ์ เพชรขาว มือปราบสัมภเวสี, วรรรญา วรรณพงษ์ แชมป์โดรนโลกอายุ 11 ปี ,โรเบิรต สเป็นเซอร์, ประธานาธิบดีสโลวาเกีย , เป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ.2561 ของหนังสือพิมพ์ดี และหวังว่าท่านจะได้จำเริญงอกงามต่อไปทางปัญญา ยิ่งขึ้น ตลอดกาลนานอนาคต
และได้โปรดติดตาม ดี เล่มที่ 54 ต่อไป
บรรณาธิการ 15 ธ.ค. 2561
บุคคลแห่งปี ของหนังสือพิมพ์ดีพุทธศักราช 2562
บุคคลที่ 158 Theresa Mary May (เทรีซ่า แมรี เมย์)
อดีต นรม.สหราชอาณาจักร หน.พรรค conservative party (อนุรักษ์นิยม) ระหว่างพ.ศ. 2559 – 2562
เมย์เข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร หลังประชาชนอังกฤษทำประชามติยืนยันเจตจำนงว่าต้องการให้สหราชอาณาจักรแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปเป็นเหตุให้นายเดวิด คาเมรอน นากยกรัฐมนตรีขณะนั้นลาออกจากตำแหน่ง ทำให้ภารกิจของเธอตั้งแต่ก้าวขึ้สู่ตำแหน่งคือการผลักดันการแยกตัวนี้ให้สำเร็จ
ตลอดการดำรงตำแหน่งมีการผลักดันเรื่องนี้เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 3 ครั้งและล้มเหลวมาตลอด
เมย์ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีคนแรกที่ต้องออกจากตำแหน่งด้วยประเด็นความสัมพันธ์กับยุโรป ก่อนหน้านี้มากาเร็ต แทชเชอร์ จอห์น เมเจอร์ และเดวิด คาเมรอนก็ลาออกด้วยประเด็นเดียวกัน
เทรีซา เมย์วางแผนจะลาออกจากตำแหน่งภายในวันที่ 7 มิถุนายน หลังกำหนดการพบประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐอเมริกา และร่วมพิธีรำลึกวันยกพลขึ้นบก และจะเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการจนกระทั่งพรรคอนุรักษ์นิยมเลือกผู้นำคนใหม่ได้
โพลล์สาธารณะและผู้รับพนันถูกกฎหมายในประเทศเชื่อว่าหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมคนใหม่ซึ่งจะกลายมาเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนต่อไปคือ บอริส จอห์นสัน ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีมหานครลอนดอน โดยในครั้งนั้นดึงคะแนนเสียงจากผู้สนับสนุนพรรคแรงงานได้เป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ อดีตรัฐมนตรี แอนเดรีย ลีดซอมที่เพิ่งลาออกจากคณะรัฐมนตรีของเมย์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็กล่าวว่ากำลังพิจารณาสมครเข้ารับตำแหน่งแทนหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน
ในปี2561 เมย์ ได้ออกหนังสือเชิญชวนคนทั้งโลก ให้ร่วมกันฉลองสมโภชน์วันวิสาขบูชา ด้วยข้อความต่อไปนี้
ข้าพเจ้ามีความประสงค์อำนวยพรให้ท่านและสังคมของท่านทั้งหลาย ได้พบกับความสุขในวันวิสาขบูชา ที่ฉลองวันประสูติ วันตรัสรู้ และ วันนิพพาน ของพระพุทธเจ้า วันวิสาขบูชาเตือนเราให้รำลึกถึงความสำคัญของ การให้ ของจริยธรรม และ การกระทำความดี การปฏิบัติธรรมที่เป็นสิ่งที่โลกปัจจุบันนี้ต้องการมาก
ประเทศสหราชอาณาจักร เป็นดินแดนที่มั่งมีกว่าที่อื่น ด้วยเป็นผลมาจากที่มีสมาคมชาวพุทธหลายสมาคม พระพุทธศาสนาสอน ความชำนาญสำคัญ ๆ หลายอย่าง เช่น เรื่องจิตใจที่อิ่มเต็ม พอ ๆ กับสอนเรื่อง ความสำคัญของ ความเชื่อมั่นในตัวเอง มันสืบต่อให้เราระลึกความสำคัญของสิ่งแวดล้อม และความจำเป็นที่เราต้องรักษามันเอาไว้ เพื่ออนุชนรุ่นหลัง ที่จะตามเรามา
ขอให้พวกเราทุก ๆ คน ได้ร่วมฉลองวันวิสาขบูชานี้ ทั้งที่อยู่ในสหราชอาณาจักร และ อยู่ต่างประเทศ ถือเอาโอกาสนี้ ทบทวน ทำการปฏิญาณที่จะเดินวิถีชีวิตไปในวิถีทางที่ประเสริฐสูงส่ง ทำการพัฒนาจิตใจ ฝึกหัดให้เกิดความเมตตาและความรัก และ นำเอาความสันติภาพและความสมานสามัคคีมาสู่มนุษยชาติ
การที่ท่านนายกรัฐมนตรี เทรีซ่า แมรี่ เมย์ ได้มองเห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนาอย่างถูกหลักสัจธรรมของพระพุทธศาสนา ดังจะเห็นว่าท่านได้กล่าวถึงธรรมะ ว่าด้วย ทาน หรือ giving, จริยธรรม virtue, และการกระทำความดี การประพฤติปฏิบัติความดีทุกอย่าง good deeds-all practices, บอกถึงการที่ท่านได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนามาอย่างเข้าใจดี จนอดที่จะเผยแผ่ไปให้คนทั้งหลายทำตามบ้างนั้นเอง ในเรื่องส่วนตัวหรือด้านธรรมะภายใน ท่านยกย่องเรื่อง ชีวิตที่ประเสริฐสูงส่ง ความรักด้วยเมตตาจิต ให้คนเราพัฒนาจิตใจ ธรรมะเหล่านี้เท่านั้นจัก นำสันติภาพมาสู่มนุษยชาติได้ คือ ประโยคสุดท้าย ที่ว่า ขอให้พวกเราทุก ๆ คน ทั้งที่อยู่ในสหราชอาณาจักร และ อยู่ต่างประเทศ ได้ร่วมฉลองวันวิสาขบูชานี้ ถือเอาโอกาสนี้ ทบทวน ทำการปฏิญาณที่จะเดินวิถีชีวิตไปในวิถีทางที่ประเสริฐสูงส่ง ทำการพัฒนาจิตใจ ฝึกหัดให้เกิดความเมตตาและความรัก และ นำเอาสันติภาพและความสมานสามัคคีมาสู่มนุษยชาติ ซึ่งเรามองเห็นว่า ท่านนายกรัฐมนตรีเทรีซ่า แมรี เมย์ ท่านมองธรรมะในพระพุทธศาสนาสูงส่งประเสริฐ และการปฏิบัติธรรม นั้นเองเป็นหลักสามัคคีธรรม หลักสันติภาพของโลก ที่ยุคนี้ยิ่งมีความต้องการอย่างจำเป็นยิ่งขึ้น ๆ ไปอีก ดังประโยคสุดท้ายที่ท่านกล่าวไว้อย่างน่าชื่นชมว่า May everyone celebrating VISAK, both here and abroad, use the opportunity to reiterate their determination to lead noble lives, to develop their minds, to practice loving kindness, and to bring peace and harmony to humanity.
ซึ่งในข้อความนั้นบอกไปถึง ความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา และเห็นว่าหลักสันติภาพที่พระพุทธศาสนาสอนเป็นหลักการสำคัญนั้น สมควรที่โลกทั้งโลกจะได้นำไปร่วมปฏิบัติ ในฐานะที่เธอเป็นผู้นำของประเทศมหาอาณาจักร ที่เคยปกครองโลก จนกลายเป็นดินแดนที่ตะวันไม่ตกดินมาแล้ว จึงเห็นว่า ป็นการแสดงบทบาทการนำโลกทั้งโลก ในการให้ความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ความคิดของเธอในทางที่จะส่งเสริมพระพุทธศาสนาจึงออกมาเนื่องจากวันวิสาขบูชา 2561 วันที่ 29 เมษายน 2561 มาถึง ซึ่งเป็นวันที่องค์การสหประาชาติยกย่องให้เป็นวันสำคัญของโลก เธอจึงออกหนังสือชวนเชิญคนทั้งโลกให้ร่วมกันฉลองวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นการนำ ในการให้ความสำคัญแด่พระพุทธศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ และมีผลต่อมา เนื่องด้วย ปี2562 นายกรัฐมนตรีแคนาดา นายจัสติน ทรูโด ได้ออกหนังสือเช่นเดียวกันนี้ ยกย่องพระพุทธศาสนาและเชิญชวนผู้คนในโลกให้ฉลองวันวิสาขบูชาเช่นเดียวกัน การที่เห็นธรรมะในพระพุทธศาสนาในเชิงเหตุ ผล ทางวิทยาศาสตร์นั้น คือบุคคลผู้รู้ธรรมะที่แท้จริงในพระพุทธศาสนา ซึ่งย่อมมีฐานะทางภูมิปัญญาระดับสูงสุดของศาสนาพุทธ เราจึงขอยกย่ เราจึงมีความพอใจยกตำแหน่งบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2562 ของ หนังสือพิมพ์ดีให้ ขอให้ท่านได้จำเริญด้วยพุทธธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปสู่แดนมรรคผลนิพพานของพระพุทธเจ้า และหวังว่าเธอจะดำเนินการทางธรรมะที่เธอรู้นี้โปรดแด่คนในโลกสืบไป
บุคคลที่ 159 Justin Pierre James Trudeau จัสติน พิเอร์ เจมส์ ทรูโด
นายกรัฐมนตรีหนุ่มน้อย แคนาดา นายกรัฐมนตรีรูปหล่อที่สุด
จัสติน พีเอร์ เจมส์ ทรูโด (อังกฤษ: Justin Pierre James Trudeau, เกิดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2514) เป็นนักการเมืองชาวแคนาดา นายกรัฐมนตรีแคนาดาคนที่ 23 และคนปัจจุบัน ตลอดจนเป็นหัวหน้าพรรคเสรีนิยม เขาเป็นนายกรัฐมนตรีแคนาดาที่อายุน้อยที่สุดเป็นอันดับสองรองจากโจ คลาร์ก (Joe Clark) และบุตรคนโตของอดีตนายกรัฐมนตรี พีเอร์ ทรูโด เป็นบุตรคนแรกของอดีตนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่ง เขาทำให้ตระกูลทรูโดสามารถกลับมาสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับแคนาดาได้อีกครั้งหนึ่ง
ทรูโดเกิดในออตตาวาและเข้าศึกษาที่ Collège Jean-de-Brébeuf เขาสำเร็จปริญญาตรีในสาขาวรรณคดีภาษาอังกฤษจากมหาวิทยาลัยแม็กกิลในปี พ.ศ. 2537 และครุศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบียในปี พ.ศ. 2542 เขาได้รับความสนใจจากสาธารณะอย่างสูงในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2543 เมื่อเขากล่าวบทยกย่องในรัฐพิธีศพของบิดาเขา หลังสำเร็จการศึกษา เขาทำงานเป็นครูในแวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย แล้วศึกษาวิศวกรรมศาสตร์และเริ่มปริญญาโทสาขาภูมิศาสตร์สิ่งแวดล้อม เขาใช้ชื่อเสียงของเขาสนับสนุนอุดมการณ์ต่าง ๆ และแสดงในภาพยนตร์ชุดสั้นทางโทรทัศน์เรื่อง เดอะเกรตวอร์ ในปี พ.ศ. 2550
หลังเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้นหลังบิดาเสียชีวิต ทรูโดได้รับเลือกตั้งในการเลือกตั้งสหพันธรัฐปี พ.ศ. 2551 เพื่อเป็นสมาชิกสภาสามัญชนของเขตปาปีโน (Papineau) ในสภาสามัญชน ในปี พ.ศ. 2552 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีเงา (critic) ในด้านเยาวชนและพหุวัฒนธรรมนิยมของพรรคเสรีนิยม และในปีต่อมาเป็นรัฐมนตรีเงาด้านความเป็นพลเมืองและการเข้าเมือง ในปี พ.ศ. 2554 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีเงาด้านมัธยมศึกษาและเยาวชนและกีฬาสมัครเล่น ทรูโดเป็นหัวหน้าพรรคเสรีนิยมในเดือนเมษายน พ.ศ. 2556 และนำพรรคสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งสหพันธรัฐปี พ.ศ. 2558 คว้าที่นั่งสำหรับพรรคเสรีนิยมเพิ่มขึ้นจาก 36 เป็น 184 ที่นั่ง เป็นกรณีที่พรรคได้ที่นั่งเพิ่มมากที่สุดในการเลือกตั้งแคนาดา
เรายกย่องเขาเป็นยบุคคลแห่งปี ก็โดยที่ จัสติน พิเอร์ เจมส์ ทรูโด ได้ศึกษาให้ความศรัทธาเลื่อมใสในหลักธรรมะของพระพุทธศษสนา แล้วเห็นด้วยกับองค์การสหประชาชาติ ที่ยกย่องวันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญของโลก ของมนุษย์ทั้งโลก ฉะนั้นการที่เขาได้ออกหนังสือมาทางสื่อมวลชน โดยได้ยกย่องพระพุทธศาสนาอย่างน่าชื่นชมยินดี และได้ชวนเชิญคนทั้งโลกให้ร่วมกันฉลองวันวิสาขบูชา วันที่ 18 พ.ค. 2562 ซึ่งเป็นวันสำคัญของพระพุทธศาสนา ที่ทางองค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้เป็นวันสำคัญของโลก ตามหนังสือ เอกสารเผยแผ่ที่เขาเสนอออกมาภาพข้างล่างนี้ ซึ่งมีข้อความสำคัญยกย่องพระพุทธศาสนาว่าเป็นวันแห่งสันติภาพ ทีโลกเรามีความประสงค์ร่วมกันทั้งโลกอยู่แล้ว ซึ่งแสดงถึงความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างซาบซึ้งตรึงใจในลักษณะเอกชนโดยตรงด้วย โปรดดูเอกสารที่เขาออกมาสู่มวลชนโลก
เพื่อนรักทั้งหลาย – ข้าพเจ้ามีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้เผยแผ่ความยินดีที่อบอุ่นที่สุดมายังทุก ๆ คนทุก ๆ ท่าน ที่มีส่วนร่วมกันในการฉลองวันวิสาขบูชา และมรดก ณ เมืองอ๊อตตาวาฮอลแห่งนี้ วันวิสาขบูชา เป็นวันที่เราฉลอง วันประสูติ ตรัสรู้ และ การจากไปของ เจ้าชายสิทธัตถะ โคตมะ ผู้ที่ก่อสร้างพระพุทธศาสนาขึ้นมา ซึ่งเป็นข่าวสารแห่งแห่งความสันติสงบ และความสมานฉันท์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างมนุษย์ทั้งปวง สามารถเป็นที่ยอมรับของศาสนาทั้งหลายได้
เดือนแห่งมรดกตกทอดของเอเชียมานี้ได้ให้ชาวคานาดา เพื่อการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับมรดกเอเซียน – คานาเดียนนี้ และฉลองสำหรับการเพิ่มพูนในความดีให้แก่ประเทศของเรา
ข้าพเจ้ามุ่งหมายจะขอบใจ แด่องค์การที่ได้ก่อเกิดการประสานงานร่วมมือกันให้เกิดความสำคัญขึ้นระหว่างโอกาสนี้ทั้งสองประเทศ เสมือนหนึ่งว่าเป็นความรำลึกถึงที่สุดประเสริฐ ที่นำไปสู่พลังอันสูงส่งของชาติเรา
ได้โประรับคำอวยพรที่ดีที่สุดของข้าพเจ้าสำหรับการร่วมฉลองวเพื่อรำลึกถึงความสำคัญของวันนี้
ด้วยสุจริตใจ
ลงนาม...........
The Rt.Hon. Justin P.J. Trudeau , P.C. M.P.
Prime Minister of Canada
เช่นท่านนายกรัฐมนตรีหญิงอังกฤษ เทรีซ่า แมรี่ เมย์ ที่ท่านผู้นี้แหละเริ่มออกหนังสือในนามนายกรัฐมนตรีประเทศใหญ่ สหราชอาณาจักรชวนเชิญคนในโลก ให้ฉลองวันวิสาขบูชา ปี 2561 ก่อน แล้วมาปีนี้ทรูโด ก็ทำตาม ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกับ บุคคลระดับโลกคนอื่น ๆ ที่เริ่มหันมามองและรู้จักความดี ความประเสริฐของศาสนาพุทธกันแล้ว สำหรับทรูโดเราเห็นว่าในเรื่องพระพุทธศาสนานี้ ทรูโด น่าจะได้มีความสัมพันธ์กันอย่างดีกับท่านอดีต นรม.อังกฤษ คือท่านหญิง เทรีซาร์ แมรรี่ เมย์ โดยเห็นจากการที่แคนาดานี้ ถึงอย่างไรก็นับถือสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เป็นกษัตริย์ประจำชาติ จึงน่าจะเห็นได้ว่าในเรื่องสันติภาพของโลก จึงมีแนวคิดตรงกันกับ แมรี เมย์ ในเรื่องธรรมะของพระพุทธศาสนา และการออกเอกสารเผยแผ่ออกมาก็เห็นได้ว่าทำตามกันออกมา ออกหนังสือชักวนคนทั้งโลกให้ฉลองวันสำคัญ ตามหลักธรรมสำคัญของพระพุทธศาสนา ที่ทรูโดมองถึงหลักการแห่งสันติภาพ ซึ่งทำให้ความเข้าใจในศาสนาวิทยาศาสตคร์คือพุทธศาสนาเผยแผ่ออกไปทั่วโลกยุคนี้ จึงสมควรยกย่อง จัสติน ทรูโดเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ปี พ.ศ.2562 และหวังว่าท่านจะได้นำความคิดความเลื่อมใสศรัทธาในหลักธรรมพระพุทธศาสนาเผยแผ่ต่อไป เพื่อประโยชน์แห่งสันติภาพของมวลมนุษย์โลกตามที่ท่านพูดถึงอย่างจริงจังต่อไป
บุคคลที่ 160 Catriona Elisa Magmayon Gray, Miss Universe 2018
แคทรีโอนา เอลิซา มักนายอน เกรย์ สาวจาก the Philippines
แคทรีโอนา เอลิซา มักนายอน เกรย์ (ฟิลิปีโน: Catriona Elisa Magnayon Gray; เกิด 6 มกราคม พ.ศ. 2537) เป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์, นักร้อง, นางแบบ, นักแสดงละครเวที และนางงามชาวฟิลิปปินส์เชื้อสายออสเตรเลีย เธอได้รับตำแหน่ง นางงามจักรวาล 2018 ที่จัดขึ้น ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย และเธอเป็น นางงามจักรวาล คนที่สี่ของฟิลิปปินส์
คำวิจารณ์ นางงามจักรวาล แคทรีโอนา เกรย์ ชาวฟิลิปปินส์คนนี้ไว้ พอที่เราจะพิจารณาให้เป็นบุคคลสำคัญของเราแล้ว ดังต่อไปนี้
" พอดีพบ ทีวีช่อง 036 พีพีทีวี ถ่ายทอดประกวดมิสยูนิเวอร์ส 2018, 10 สาวงาม(จาก94 สาวงาม) คนสุดท้าย ปรากฎว่ามีไทยอยู่ด้วย แล้วไปรอบ 5 คนสุดท้าย, ไทยตกไป, แล้วไปรอบ 3 คนสุดท้าย มี 1. ฟิลิปปินส์ 2. South Africa (อาฟริกาใต้) และ 3. เวเนซูเอลา ...ขณะนี้เวลา 09.50 น. ให้ 3 คนสุดท้ายโชว์ครั้งสุดท้าย เขาให้เดินโชว์ ขณะนี้ดูอยู่ อีกเดี๋ยวเดียวก็รู้ผล สาวงามประเทศใดจะได้เป็น มิสยูนิเวอส ปี 2018 ......เอาละ ผลออกมาแล้ว 09.57 น. อันดับ 3 เวเนซูเอลา อันดับ 2 อาฟริกาใต้ อันดับ 1 มิสสยูนิเวอส ฟิลิปปินส์ Catriona Gray
ความจริง ว่าจะพูดรายงานท่านสมาชิกกลุ่ม เรื่องตกค้างอยู่เรื่องหนึ่ง แต่พอดีพบเรื่องประกวดมิสสยูนิเวอร์ส พอดี ก็เลยออกข่าวให้สมาชิกได้ทราบ ได้รู้ผลพอดีเลย มิสยูนิเวอรส ปี 2018 เป็นสาวงามฟิลิปปินส์ พิธีกร 2 สาวช่อง 036 วิจารณ์ต่อว่า สาวไทยก็สวยมาก ได้ 1 ใน 10 ส่วนฟิลิปปินส์นั้น ว่าน่าเก็งแต่แรกแล้ว ดูเด่น และสมจริง ๆ เวียดนาม ก็สวย ได้ 1 ใน 5
ไทยเราดูเหมือนว่างจากตำแหน่งมิสยูนิเวอร์สมานานหลายปีเลยทีเดียว อาภัสรา หงสกลุล ได้เป็นนางงามจักรวาล มาร่วม 50 ปีแล้ว ปีต่อมานั่นเองไทยก็ได้ซ้อนไปอีก เป็น 2 ปี ต่อกันเลย เป็นนางงามไทยได้เป็นมิสยูนิเวอร์ส ซ้อนกัน 2 คน .... เธอคนที่ 2 นี้ก็คือ ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก นางงามจักรวาล(Miss Universe) คนที่ 2 ของไทย.... .....นั่นคือเรื่องนางงามจักรวาลสาวไทย และจนบัดนี้ยังไม่ปรากฎว่ามีสาวไทยได้ถึงนางงามจักรวาลอีกเลย แต่ฟิลิปปินส์ ได้นางงามจักรวาล เป็นคนที่ 4 แล้ว เพราะอะไร? น่าคิดมาก
มีข้อสังเกตต่อไปอีกเรื่องการจัดประกวดนางงามจักรวาลแต่ละปี ๆ มา ซึ่งทางคณะกรรมการกองประกวด เขาคัดผู้หญิงสวยมาอย่างไร 94 คน เหลือ 10 คน เหลือ 5 คน และ 3 คนสุดท้าย เราได้ทราบข้อคิดเห็นของเธอจากการให้ตอบคำถาม และเห็นได้ พอสรุปได้ไม่ผิดเลยว่า สาวงามที่ผ่านระดับความงามมาทั้งหลายนี้ ล้วนแต่เป็น เสรีชน .......
และประเทศฟิลิปปินส์ เคย เป็นประเทศมุสลิม สาวงามจักรวาลฟิลิปปินส์คนนี้ เป็นมุสลิมหรือเปล่า ? เป็นมุสลิมคนที่4 ที่ได้ตำแหน่งนางงามจักรวาล? ฟังจากคำพูด ที่ตอบคำถามของเธอ ที่ว่า มนิลาเต็มไปด้วยความอดหยาก ยากจน เธอเป็นคนรักเด็ก เธอ หากได้ตำแหน่งแล้วก็จะใช้ตำแหน่งนี้ต่อสู้แก้ปัญหาเหล่านี้...... คือ หญิงมุสลิม ที่ในประเทศมุสลิมแท้ ๆ เช่นอิรัค อิหร่าน ตะวันออกกลางการเปิดหน้า นุ่งกางเกงกระโปรงชะเวิบชะวาบ แม้กระทั่ง การออกสังคม การไปสังคม ท่องเที่ยว เปิดเผยความงาม อล่างฉ่าง อย่างนี้ เป็นข้อต้องห้ามอย่างเคร่งครัด ดังเราได้พบข่าว ในประเทศนั้น ทำการลงโทษผู้หญิงมุสลิมที่ขับรถออกไปนอกบ้าน ที่ไม่คลุมหน้า และ ยังมีการต่อสู้ ให้นักเรียน เช่นฝรั่งเศส และไทย เป็นต้น ให้หญิงมุสลิมสวมผ้าคลุม...โดยเหตุผลว่าการที่หญิงไม่คลุมหน้าผิดกฎอิสลาม ต้องมีโทษ นั้น ....แต่เมื่อมีนางงามจักรวาล ที่แสดงออกซึ่งความเป็นเสรีชน และ หญิงยุคใหม่เช่นนี้ องค์การอิสลามจะทำอย่างไร จะคิดว่าเธอทำผิดกฎอิสลามหรือ ? และประเด็นคือ ผิดอย่างไร ? และนี่แหละ เมื่อหญิงมุสลิมคนหนึ่งออกท่าทางมาเป็น เสรีชน อย่างเต็มที่เช่นนี้ จึงได้ชนะใจคณะกรรมการการประกวดมิสยูนิเวอส ......เราเองพอมองเห็นว่า ประเทศฟิลิปปินส์นั้น ได้พัฒนาการอิสลามมาระดับหนึ่งแล้ว ควรที่จะพํฒนาไปไกลกว่าเดิม ด้วยการทิ้งกฎที่ล้าหลังและที่ไม่ชอบธรรมของศาสนาอิสลามไปเสียเถอะ และน่าจะมีนางงามจักรวาลคนใหม่ของฟิลิปปินส์นี้แหละเป็นหัวหอกด้านการเปลี่ยนแปลงฝ่ายหญิงมุสลิมต่อไป
ด้วยเหตุผลที่ว่าด้วยเสรีชน นางงามจักรวาลของฟิลิปปินส์ที่มีมาแล้ว 3 นางงามจักรวาล รวมกับคนล่าสุดนี้คือ แคทรีโอนา เกรย์ รวม 4 คน จึงดูประดุจว่าเป็นหัวหอกแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างแรง สำหรับสังคมอิสลามฟิลิปปินส์ เช่นนี้แหละ เราจึงขอยกย่อง ว่า แคทรีโอนา เกรย์ สาวงามจักรวาลฟิลิปปินส์คนนี้ เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดีปี 2562 หวังว่าเธอจะได้ทำหน้าที่ตามบทบาทของเธอต่อไป เพื่อสังคมอิสลามได้เดินไปอย่างทันสมัยทันยุคเสรีชน ต่อไป
บุคคลที่ 161 แสนชัย พี.เค. แสนชัย มวยไทยยิม
[Saenchai P.K. Saenchai Muaythai Gym]
นักมวยไทย ชาวจังหวัดมหาสารคาม ไปเผยแผ่วิชามวยไทยไปทั่วโลก จนวันนี้ เขามีอายุเข้า 37 ปีแล้ว แต่ก็ยังคงแสดงฤทธิมวยไทย เอาชนะนักมวยต่างประเทศได้ตลอด
สิ่งที่เขาชกนั้น บอกไปถึง ศิลปะ วิชามวยไทยอย่างสูงสุด และด้วยความเข้าใจและความชำนาญในศิลป วิชามวยไทยนี้เอง ทำให้เขาเอาชนะมวย Thai Fight ได้ทั่วโลก ซึ่งมีข้อพิศูจน์จาก ขนาดรูปร่างของแสนชัยนั้น แม้ตนเป็นคนไทยก็มีรูปร่างเตี้ยต่ำ เล็กไปกว่าคนไทยทั่วไป หากแต่สุขภาพดียอดเยี่ยม ทำน้ำหนักได้พอ แต่เมื่อไปต่างประเทศ โดยเฉพาะตะวันตก อเมริกา ล้วนแต่ได้พบคนตัวโตใหญ่กว่าล้วนคนฝรั่ง ตัวใหญ่ ตัวสูงกว่าเขาทั้งสิ้น แต่การที่เขาเอาชนะได้ ในแบบที่ว่า แต่ละครั้งนั้นเหมือนครูมวยชกกับลูกศิษย์อะไรประมาณนั้น นั่นแหละมันบอกถึงการชกด้วยศิลปะ วิชามวยไทยที่เขารอบรู้ฉลาดปราดเปรื่องอย่างแท้จริง จนเวลาเข้าเผชิญหน้าคู่ต่อสู้ เขาจะสามารถมองออกไปหมดถึงแผนการชกของคู่ต่อสู้ และแผนของเขาเองว่าจะรุก ประชิด ติดตัวข้าศึก และเอาชนะด้วยหมัด ด้วยอาวุธอะไร และ อย่างไร อย่างไม่ผิดพลาดเลย
ลองไปดูการชกล่าสุดๆ แสนชัย VS Stephen Meleady Irand,Muay Thai Fight, 6 ก.ค. 2562 3 ยก ยก 1 คนตัวเตี้ยกว่าปล้ำคนตัวสูงพลิกล้ม 1 ครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง แก้ไม่ตก, ยก 2 ถีบล้ม ต่อยล้ม, ยก 3 ใช้หมัด ผสมไปกับเล่ห์กลการชกที่ฉลาด Stephen โดนทั้งหมัด เข่า ศอกไปไม่ไหว กรรมการเข้าขวาง จับหยุดชก คนชมวิจารณ์ Amiz hasseyni ว่า Saenchai is 39 still has super technique to defeat even much younger opponents. He has talent for fight moves. แสนชัยอายุ 39 แล้ว ยังมีเทกนิกสูงสุด ไปสร้างความพ่ายแพ้ให้แด่คู่ต่อสู้ผู้ที่เยากว่ามากได้ เขามีความคล่องตัวสูงในการเคลื่อนตัวไปยังเป้าหมายเพื่อใช้อาวุธ ให้ตรงเข้าเป้าจุดตายของข้าศึก Saita Cry ว่า ปรมาจารย์มวยไทย สุดยอด มีคนชมว่าเขาเป็นโคตรมวยเลยละ
ไปดูอีกรอบเขาชกกับ Chadd Collins นักชกออสเตรเลีย สนามยะลา ไทยเรา เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2560 ยก 1 เตะล้ม ถีบล้ม ยก 2 แสนชัยโดนบ้าง ยก 3 ทั้งหมัด ทั้งเข่า ทั้งแข้ง ชนะคะแนนไปอย่างน่าดูน่าชมของคนดู สมกับคำว่า ยอดมวยสยามเลยละ
แล้วอีกคู่หนึ่ง แสนชัยพบ Massaro Glunder ชกในอังกฤษ ณ สนาม the Macron Stadium เมือง Bolton ในวันที่ 10 ตุลาคม 2558 ชกแบบมวยไทย 5 ยก พบคนตัวโตกว่าเช่นเคย ยก 1 ปกติ ยก 2 ปล้ำ ล้ม แล้วปล้ำอีก ฝรั่งล้มอีก ตั้ง 3 ครั้ง3หน ยก 3 กอด เตะล้ม โดนหมัด โดนนศอก ยก 4 ปล้ำล้มตลอด ยก 5 ก็เห็นว่ามวยฝรั่งไปไม่ไหว แสนชัยชนะคะแนนไป นี่ก็คือการชกในต่างประเทศ ที่ดูจะไม่มีความหมายอะไรสำหรับแสนชัย โคตรมวยคนนี้ เพราะเขาไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับต่างประเทศ พอ ๆ กับชกในเมืองไทยเลย เขาได้สร้างชื่อเสียงขึ้นว่า มวยไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก
มาดูอีกครั้งหนึ่ง มวยรับถ้วยพระราชทาน Thai Fight Bangkok 2018 แสนชัย พี.เค. แสนชัยมวยไทยยิม VS เฮนริเก้ มูลเลอร์ Saenchai P.K. Saenchai Muay Thai Gym VS Henrique Muller 67 kg. ชิงถ้วยพระราชทาน ชกวันที่ 27 ม.ค.2561 ปรากฎว่าแสนชัยตั้งใจจะแสดงผลงานให้สุดยอด ทั้งนี้ก็เพราะ ได้พาเอาครอบครัว ลูก เมีย พ่อ แม่ บ้านเกิดมหาสารคาม มาชมการชกด้วย โดยประกาศว่าจะทำให้ดูสมใจเลยละ ปรากฎว่าเขาทำได้อย่างตั้งใจไว้ อย่างไม่ใช่เรื่องที่ต้องเสียง หรือลำบากใจอะไรเลย สมกับคนพากษ์มวยบอกว่าดูแสนชัยชกแล้วสบายใจ เพราะเขาชกเหมือนแสดงละครให้คนดูสบายใจ ไม่มีความเครียด อันเนื่องมาจากการแสดงของเขาด๊ไปหมดในบทของพระเอกนั่นเอง นั่นเป็นเพราะเขารอบรู้จริง ๆ ในชั้นเชิงมวยไทย และทั้งมองช่องโหว่จากคู่ต่อสู้ได้ทะลุปรุโปร่ง นั้นเอง เลย และไม่ผิดหวังที่คนดูของเขา ได้เห็นการน๊อคแบบพิเศษเลย ยก 1 บุกตลอด แต่นักมวยตัวโตอดทนดี ยก 2 เอามุลเลอร์มวยฝรั่งถึงนับ และยก 3 มากลาง ๆ ยกเท่านั้น แสนชัยยกเท้าขึ้น แล้วมีการตวัดแวบไปเข้าแก้มขวาของคู่ต่อสู้ ดูแล้วเหมือนไม่น่ามีพิษ ร้ายแรงอะไร แต่ผลออกดูช้า แต่แล้วเห็นคู่ต่อสู้ตาลอยไป แล้วค่อย ๆ ล้มลงไปหลังฟาดพื้น ไม่ยอมลุก นั่นแหละสุดยอดฝ่าเท้าเลยทีเดียว
เขาควรจะชื่อว่า โคตรมวยจริง ๆ จากการชกกับ ไอแซค ซานโตส เมื่อ 27 ก.ย. 2561 ที่เชียงราย เพรกาะเขาแทบว่าไม่ให้ไอแซค ทำอะไรได้เลย จริงอยู่ ไอแซคมีแผนบุกแน่นอน แต่ถูกแสนชัยสกัดแผนไว้หมด ที่คิดจะออกหมัดออกมา ออกเท้าออกมา หรือทำอะไรออกมา แสนชัยรู้ก่อนหมดแล้วสกัดก่อนทุกยุทธวิธีเลย ไอแซคจึงเหมือนเพียงคนขึ้นไปกำกำปั้นไว้เฉย ๆ ฝ่ายที่ทำเอา ทั้งเตะ ทั้งรุกประชิดศอก เข่า หมัด ถีบ ออกไปสกัดไว้หมด จนดูเหมือนว่าไอแซค ไม่เป้ฯมวย แสนชัยชกกับคนไม่เป็ฯมวย ซึ่งไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่ว่า ไอแซกมาชกกับโคตรมวยก็เลยตนเองเหมือนเด็กมวยไป
นี่แหละโคตรมวย ผู้ที่เผยแผ่มวยไทยไปทั่วโลก แบบนี้ จึงขอยกย่องเป็นบุคคลแห่งปีพุทธศักราช 2562 ของหนังสือพิมพ์ดี แม้แสนชัยจะอายุเข้า 39 แล้ว แต่เราหวังว่า ความเป็นผู้รู้ชั้นเชิงศิลปมวยไทยอย่างยากที่จะหาได้ในแผ่นดินยุคนี้ ขอให้สืบทอดต่อไปยาวนานชั่วชีวิต
บุคคลที่ 162 นายบุญมี สุระโคตร
วิสาหกิจชุมชน ศูนย์ข้าวชุมชนบ้านอุ่มแสงจังหวัดศรีสะเกษ สุดยอดข้าวไทย TOP THAI RICE
นายบุญมี สุระโคตร อายุ ๕๖ ปี การศึกษา มัธยมศึกษาตอนปลาย (กศน.)
ที่อยู่ ๑๕๕ บ้านอุ่มแสง หมู่ที่ ๗ ตำ บล ดู่ อำ เภอราษีไศล จังหวัด ศรีสะเกษ
โทรศัพท์ ๐๘๒-๓๖๘๕๑๕๑
เว็บไซต์ : www.kasedtip.com, www.facebook.com/kasedtipboonmeeorganicrice
นายบุญมี สุระโคตร เกิดมาในครอบครัวชาวนาที่อาภัพ พ่อเสียชีวิตต้งัแต่อยู่ในครรภ์แม่ได้๔ เดือน
การทำนาของนายบุญมี สุระโคตร เป็ นการท านาแบบอินทรีย์เริ่มจากลดการใช้ปุ๋ ยเคมีและสารเคมีมา
ต้งัแต่ปีพ.ศ. ๒๕๔๔ และได้น้อมน าเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใชด้ว้ยการลดรายจ่ายลดต้นทุนการ
ปลูกข้าวควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เริ่มจากการไม่เผาตอซังและไถกลบตอซังและหว่านพืชปุ๋ยสด
(ปอเทืองและถั่วพร้า มาตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๔๔) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ได้ทำปุ๋ยหมักอินทรีย์ชีวภาพใช้ในนาเพื่อ
เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน และได้สร้างเครือข่ายการรวมกลุ่มสมาชิกในหมู่บ้านและบ้านใกล้เคียง จำ นวน ๔๗ ราย
เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ ระดมทุนได้ ๖๐๘,๐๐๐ บาท เป็นทุนเริ่มต้นในการผลิตปุ๋ยอินทรียชีวภาพ
และนอกจากนื้ยังได้คิดค้นวิธีการทำอาหารเสริมพืชชนิดน้ าขึ้นมาใช้เองรวมถึงสกัดสารไล่แมลงด้วยพืช
สมุนไพรหลายชนิด ซึ่งสามารถป้องกันแมลงศัตรูพืชโดยเฉพาะเพลื้ยต่างๆ และเชื้อราในนาข้าวเป็นอย่างดี ซึ่ง
ได้นำเอาภูมิปัญญาชาวบ้านและหลักวิชาการจากนักวิชาการมาปรับใช้เป็นองค์ความรู้ในการทำนา โดยการปรับที่นาให้เสมอ เพื่อให้สามารถควบคุมปริมาณน้า ไดอย่างมีประสิทธิภาพพร้อมปลูกไม้ยืนต้น เช่น มะม่วง ยูคา และต้นตะกู รอบแปลงนาเพื่อให้เป็นปอดหายใจและอนุรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งในการใชปุ้ยอินทรีย์ ได้นำเอาแร่ธาตุที่ขาดมาเป็นส่วนผสมด้วย เช่น ภูไมค์ปูนมาร์ล และโดโลไมด์เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึนจนประสบความสำเร็จ
แนวคิดในการทำนา นายบุญมี สุระโคตร ยึดหลักการทำนาแบบอินทรีย์ ลดการใช้สารเคมีเพิ่มผลผลิตโดยการใช้ปุยอินทรีย์พืช ปุ๋ยสด ปุ๋ ยหมัก ไถกลบตอซังข้าวและนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นผลดีต่อสุขภาพของเกษตรกรและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ป็นแบบอย่างแก่ชุมชน และความเป็นอยู่ของเกษตรกรที่ดีขึ้นในปัจจุบนัและอนาคต
ผลงานและความส าเร็จของผลงาน
นายบุญมีสุระโคตร เข้าใจและมองถึงปัญหาการทา นาอย่างเป็นระบบ ทำ ให้เขาตดัสินใจขุดแหล่งน้ำสำรองในนาเพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตข้าวจากที่ทำนาได้เพียง ๑ ครั้งต่อปีทำให้เขาประสบความสำเร็จในการเพิ่มจำนวนครั้งในการทา นา ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถทำนาได้ถึงสองครั้ง ในหนึ่ง ปีโดยในฤดูท ำนาปกติ
จะทำนาในพื้นที่๒๒ ไร่และในฤดูแล้งสามารถทำนาได้สักครั้งในพื้นที่ ๕ ไร่จากเดิมที่สามารถทา ได้เพียงครั้งเดียว ต่อปีเพราะเป็นพื้นที่นอกเขตชลประทาน
โดยทำนาปีละ ๒ ครั้งคือทำนาปี ๒๒ ไร่ นาปรัง ๕ ไร่ ทำนา ๓ ประเภท คือ นาดำ นาหว่าน และนาโยน ใช้ข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ ๑๐๕ ผลผลิตนาดำ ๕๒๐ กก./ไร่ นาหว่าน ๕๐๐ กก./ไร่ และนาโยน ๕๔๐ กก./ไร่ ในปี ๒๕๕๓ มีรายได้ท้งัสิ้น ๑๔๔,๕๐๐ บาท ปี ๒๕๕๒ มีรายได้ ๑๓๙,๕๐๐ บาท และปี ๒๕๕๑ มีรายได้
๑๒๕,๖๐๐ บาท นอกจากน้นั ยังได้ผลิตปุ๋ ยอินทรีย์อัดเม็ด และแปรรูปผลผลิตข้าวขาวดอกมะลิ ๑๐๕ เป็ นข้าวกล้อง และข้าวกล้องออกจำหน่ายให้แก่สมาชิก
เกษตรกรในหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัด จนเป็นที่ยอมรับและติดตลาดในนามกลุ่มเกษตรกรเกษตรทิพย์ และข้าวตราลุงบุญมีนอกจากนี้ยังได้รับเชิญเป็น
วิทยากรบรรยายเรื่อง การผลิตข้าวอินทรีย์การผลิตข้าวคุณภาพการแปรรูปข้าวเพื่อการค้า ตามโรงเรียนและส่วนราชการต่างๆ จนเป็นที่ยอมรับความเป็นผู้นำและการเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมในด้านต่างๆ
นายบุญมี สุระโคตร มีตา แหน่งในด้านสังคมและผูน้ า ชุมชนมากมาย เช่น เป็นปราชญ์ชาวบ้านเรื่อง เกษตรอินทรีย์เป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนทอ้งถิ่น (ส.อ.บ.ต). ตำบลดู่ เป็นกรรมการโรงเรียนหวายคาวิทยา และโรงเรียนบ้านกระเดาอุ่มแสง เป็นประธานศูนย์ข้าวชุมชน ตำบลดู่ เป็นกรรมการกองทุนหมู่บ้านอุ่มแสง เป็นประธานกลุ่มออมทรัพยเพื่อ ์ การผลิต เป็นประธาน OTOP ระดับออำเภอราษีไศล เป็นรองประธาน OTOP เครือข่ายจังหวัดศรีสะเกษ และเป็นที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจงัหวดัศรีสะเกษ ด้านวิสาหกิจชุมชน เป็นประธานวิสาหกิจชุมชน เป็นอนุกรรมการวิสาหกิจชุมชนอำเภอราษีไศล
นอกจากนี้ยังได้อุทิศตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม โดยการเป็นวิทยากรประจำกลุ่มเกษตรทิพย์เพื่อ
ถ่ายทอดความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ให้นักเรียนนักศึกษาและประชาชนผู้สนใจทั้งในและนอกสถานที่
ผลงานของนายบุญมี สุรโคตร ดีมาตลอดทำให้รับรางวัลต่างๆมาตามลำดับดังปรากฎรางวัล หรือประกาศเกยีรติคุณที่ได้รับ ดังนี้
พ.ศ. ๒๕๕๔ ไดรับคดัเลือกให้เป็นเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติสาขาอาชีพทำนา ประจำ ปี๒๕๕๔
พ.ศ. ๒๕๕๕ บัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาสหวิทยาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น จากมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
พ.ศ. ๒๕๕๗ ได้รับเลือกให้เป็นปราชญ์เกษตร 72 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
-ไดรับรางวลัชนะเลิศหมอดินอาสาดีเด่นสาขาการปรับปรุงดิน ประจา ปี๒๕๕๗
พ.ศ. ๒๕๕๘ -ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 หมอดินอาสาดีเด่น กรมพัฒนาที่ดิน ประจำปี ๒๕๕๘
-ได้รับคัดเลือกเป็ น “ครอบครัวร่มเย็น เนื่องในโอกาสวันแห่งครอบครัว ประจำปี ๒๕๕๘
พ.ศ. ๒๕๖๐ -ได้รับรางวัลทูตวิทยาศาสตร์ด้านข้าว จากสถาบัน IRRI ประเทศฟิลิปปินส์
-ไดรับรางวัลครูภูมิปัญญาไทยรุ่นที่ 8 ด้านเกษตรกรรม
-ได้รับรางวัล พ่อดีเด่น แห่งชาติ
เรายังได้ข้อมูล เรื่องราวสำคัญ เด่นๆ ของนายบุญมี สุระโคตร จากเวบ
https://businesstoday.co เลิกใช้สารเคมี เพิ่มเติมประวัติความดีของเขามา ดังนี้
บุญมี สุระโคตร ได้รับยกย่องจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็น ปราชญ์เกษตรกร ประเภทข้าว แม้จะมีพื้นฐานการศึกษา ระดับมัธยมปลาย แต่มีความคุ้นเคยชินกับการเกษตรเป็นชีวิต สามารถทำการวิจัยการเกษตรออกมาเป็นผลดีตลอดมาได้
ความเชี่ยวชาญ ความชำนาญ และกิจกรรมทางการเกษตรที่ดำเนินการผลิตข้าวอินทรีย์หรือข้าวปลอดสารพิษ ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมนิล ข้าวหอมมะลิแดง ข้าวไรซ์เบอร์รี่ และข้าวเหนียวดำ โดย รวมกลุ่มเกษตรกรที่ปลูกข้าวโดยไม่ใช้สารเคมี ภายใต้ชื่อทางการค้า “ข้าวตราลุงบุญมี” ทำ ให้สามารถผลิตข้าวปลอดสารพิษได้ประมาณ 2,000 ตันต่อปี มีศักยภาพในการผลิตข้าวหอมมะลิ จำ นวน 600 ถึง 650 กิโลกรัมต่อไร่ และข้าวไรซ์เบอร์รี่ จำ นวน 1,200 กิโลกรัมต่อไร่ นอกจากนี้ ยังเป็นหมอดินที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตปุ๋ยหมัก อินทรีย์ที่มาจากใบยูคาลิปตัสและมูลไก่ไข่ รวมทั้งใช้สมุนไพรผลิต สารไล่แมลงและสารเร่งการเจริญเติบโตให้กับต้นข้าวด้วย
ทำได้ยังไง "ลุงบุญมี" ปลูกข้าวขายทั่วโลกปีละ100ล้าน "ไม่ใช้สารเคมี"
13 OCTOBER 2019
กระแสต่อต้านการใช้สารกำจัดศัตรูพืช”พาราคว็อต-ไกลโฟเซต-คลอร์ไพริฟอส” นับวันจะแรงขึ้นเรื่อยๆแต่จะได้ผลหรือไม่ในอีกไม่กี่วันก็จะรู้คงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เรื่องนี้เหมือนเรื่องง่ายๆเพราะรัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้องทุกพรรคต่างก็เห็นด้วยหมด แต่ วงในว่ากันว่าคนที่ต่อต้านจริงๆไม่ใช่มีแค่พวกนักธุรกิจ พ่อค้าที่หากินกับสารพิษ แต่เป็นคนที่เกี่ยวข้องและเป็นผู้ดูแลประชาชนกลายเป็นผู้เสียประโยชน์เสียเอง จึงเล่นใต้ดินยื้อไม่ให้มีการยกเลิก
การที่แรงต้านออกมาค่อนข้างแรงและชัดเจนก็เพราะกระแสคนรักสุขภาพมีความต้องการสินค้าเกษตรปลอดสารพิษมีมากขึ้นเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศประกอบกับกระแสความตื่นตัวของเกษตรกรก็หันมาปลุกพืชแนวทางเกษตรอินทรีย์มากขึ้นด้วย ที่หวาดวิตกว่าหากปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ต้นจะทุนจะเพิ่มผลผลิตจะไม่งามนั้นตอนนี้ในบ้านเรามีเกษตรกรไม่น้อยที่ประสบความสำเร็จในการทำนาข้าวปลูกผักแบบอินทรีย์ ชนิดที่ไม่ต้องพึ่งสารเคมีแม้แต่นิดเดียว
ที่ถือว่าเป็นต้นแบบของชาวนาที่ไม่ใช้สารเคมีและประสบความสำเร็จอย่างมากคือ”วิสาหกิจชุมชนศูนย์ข้าวชุมชนอุ่มแสง(เกษตรทิพย์)”ที่ทำนาข้าวอินทรีย์ แปลงใหญ่ 20,000 ไร่ รวมพันธมิตรในเครือข่ายราวๆา1แสนไร่น่าจะเป็นนาข้าวอินทรีย์แปลงใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วย
วิสาหกิจชุมชนแห่งนี้เริ่มก่อตั้งครั้งแรกในปี 47โดยมีผู้นำเป็นชาวบ้านธรรมดาๆที่ชื่อ “บุญมี สุระโคตร” ที่เริ่มสังเกตเห็นว่าการปลูกข้าวที่ใช้สารเคมีชาวนาเป็นหนี้เป็นสินมาล้นพ้นตัวแถมมีปัญหาเรื่องสุขภาพเจ็บไข้ได้ป่วยบ่อยๆ จึงคิดหาออกทางว่าจะทำยังไง
ในที่สุดคำตอบอยู่ที่การทำนาเกษตรอินทรีย์ จึงชักชวนคนที่มีอุดมการณ์คล้ายๆกันมาตอนแรกมีแค่47รายได้เงินลงขัน 6หมื่นกว่าบาทแต่ทุกวันนี้มีกว่า 1200ครอบครัวแล้วที่บอกว่าหากไม่ใช้สารเคมีต้นทุนจะเพิ่ม ผลผลิตไม่ดี นั้น ผมได้พูดคุยลุงบุญมี แกเล่าให้ฟังว่าการทำนาข้าวอินทรีย์ช่วย”ลดต้นทุนการผลิตข้าว”อย่างเห็นได้ชัด คนในหมู่บ้านก็มีสุขภาพดีขึ้น สิ่งแวดล้อมดีขึ้นผลผลิตข้าวก็งอกงามกว่าแต่ก่อนที่สำคัญข้าวสารอินทรีย์ขายได้ราคาดีกว่าข้าวสารที่ใช้สารเคมีตลาดต่างประเทศต้องการมากจนผลิตไม่ทัน แต่เกษตรกรต้องอดทนเมื่อทุกอย่างลงตัวคุมยิ่งกว่าคุ้ม
ลุงบุญมียังบอกอีกว่า หัวใจสำคัญจริงๆเกษตรกรจะต้องมีความรู้”เรื่องดิน” ว่าดินที่ทำอยู่นั้นมีแร่ธาตุหรือไม่ มีความอุดมสมบูรณ์แค่ไหน ถ้าไม่มีจะทดแทนอย่างไร หรือต้องมีความรู้เรื่อง”เมล็ดพันธุ”ทั้งสองอย่างนี้สัมพันธ์กัน
ทุกวันนี้ข้าวอินทรีย์ของอุ่มแสง ส่งขายต่างประเทศ 80% ตลาดใหญ่ที่สุดอยู่ที่สหรัฐและ ยุโรปส่วนเอเชีย มีบ้างเล็กน้อยแต่ความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆที่เหลืออีก20% ขายในประเทศ ในอนาคตลุงบุญมีบอกว่าจะขายในประเทศมากขึ้นเพราะอยากให้คนไทยบริโภคข้าวปลอดสารเคมีมากๆส่วนยอดขายเท่าไหร่นั้นลุงบุญมีไม่ได้บอกแต่แอบรู้มาว่าปีนี้ใกล้ๆ100ล้านบาทโดยที่ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางในเมืองไทย ทำให้ไม่ต้องถูกกดราคา
ลุงบุญมียังเล่าอีกว่า ส่งออกอินทรีย์ข้าวในนามชุมชนฯนั้น เป็น”เสน่ห์การตลาด”อย่างหนึ่งเพราะฝรั่งเขารู้ว่าหากซื้อข้าวไปบริโภคแล้วเงินถึงมือเกษตรกรแน่ๆทุกวันนี้ที่อุ่มแสงไม่ได้ส่งออกข้าวอย่างเดียวยังแปรรูปสินค้าที่ต่อยอดจากข้าวส่ออกมากมายหลายชนิด
ความฝันของลุงบุญมีบอกว่า อยากทำให้ศรีษะเกษบ้านเกิดเป็น”มหานครแห่งเกษตรอินทรีย์”และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเกษตรอินทรีย์ เกษตรบริการ รองรับลุกค้าต่างประเทศที่ทุกวันนี้อยากมาเยี่ยมคนที่ปลูกข้าวให้เขากิน
ครับคงอีกไม่นานเกินรอ
เราเห็นว่า คนอย่างลุงบุญมี สุระโคตร เป็นคนธรรมชาติจริง ๆ ในด้านการเกษตรกรรมซึ่งเป็นพื้นฐานการอาชีพมาแต่ดึกดำบรรพ มา ซึ่งต้นตระกูลเขาก็ทำมาแบบธรรมชาติตลอด จนถึงวันนี้ คนทั้งหลายรอบด้านลุงบุญมี ต่างใช้สารเคมีกันหมด แต่ลุงบุญมีก็ยังคงดำรงวิถีทางธรรมชาติต่อไป และมีการศึกษารอบรู้ อย่างนักการศึกษา นักวิจัยวิชาการเกษตรคนหนึ่ง และได้เห็นพิษภัยของ สารเคมี ในขณะเดียวกันได้ปรับปรุงวิถืทางการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ต่อไป รวมทั้งการปรับระบบธุรกิจให้ทันสมัยขึ้น จนสามารถรวมกลุ่มเกษตรอุ้มแสงได้ ได้ผลกำไรดีขึ้น อย่างที่ว่า คือ ปลูกข้าวขายทั่วโลก ได้กำไรปีละ 100 ล้านบาท และยังไม่เท่านั้น ลุงบุญมียังพยายามขยายวงการตลาดของท่านนี้ออกไปให้กว้างขวางไปอีกโดยเฉพาะตลาดอเมริกา และยุโรป ที่นิยมข้าวไร้สารเคมีของเขามากขึ้นไปเรื่อย ๆ และความใฝ่ฝันอันสูงสุดของเขาที่ว่า อยากให้ศรีสะเกษบ้านเกิดเป็น "มหานครแห่งเกษตรอินทรีย์" นั้น มองเห้ฯได้ว่าน่าจะไม่พ้นไปจากความพยายาม ความนำของท่านผู้นี้ เราจึงเห็นสมควรยกย่องให้นายบุญมี สุระโคตร เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ปี พ.ศ.2562 หวังว่ากิจการเกษตรอินทรีย์ของเขาจะเจริญก้าวหน้าตลอดไปตามที่ใฝ่ฝันไว้ในวันข้างหน้า
บุคคลที่ 163 นายศรีสุวรรณ จรรยา
นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและการเมือง ทำคดีมาแล้ว 4,000 เรื่อง
เราได้เรื่องราวเกี่ยวกับ ศรีสุวรรณจรรยา จาก คลิปนี้
เปิดอก “พี่ศรี(สุวรรณ) จรรยา” กับคำถาม “ร้องทุกวัน แล้วทำมาหากิน ...
https://mgronline.com › daily › detail
4 พ.ค. 2562 - สัมภาษณ์พิเศษ “ศรีสุวรรณ จรรยา” เปิดใจประเด็นร้อนๆ แง่มุมลับๆ ที่น้อยคนนักจะรู้ สุดเอกซ์คลูซีฟ!
คุณเคยไปที่หน้าเว็บนี้ 3 ครั้ง ไปครั้งล่าสุดเมื่อ 29/10/2019
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ช่วงชิงพื้นที่สื่อมีเรื่องร้องเรียนแทบไม่เว้นวัน สำหรับ “ศรีสุวรรณ จรรยา” นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและการเมือง ซึ่งช่วงหลังๆ มานี้สวมบทบาท “นักร้องเรียน” ชนิดที่ว่า “ร้องถี่ยิบ” จนเป็นเป้าโดนสาดคำถามสารพัด เป็นต้นว่า “ศรีสุวรรณ จรรยา คือใคร”, “ทำไมวันๆ เอาแต่ยื่นเรื่องร้องเรียนโน้นนี่”, “ทำงานทำการอะไรรับเงินใครมาหรือเปล่า” ฯลฯ
อาจจะพอทราบกันมาบ้างแล้วว่า “ศรีสุวรรณ จรรยา” ทำหน้าที่เป็นนักตรวจสอบเป็นปากเสียงให้กับประชาชน มานานกว่า 20 ปี ทำคดีและร้องเรียนเรื่องต่างๆ มาแล้ว 3,000 - 4,000 เรื่อง สัดส่วนความสำเร็จแม้ไม่เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถือว่าบรรลุเป้า อย่างน้อยๆ ประเด็นต่างๆ ได้ถูกขยายผลตรวจสอบ สร้างการรับรู้ตระหนักรู้แก่พี่น้องประชาชน
“ศรีสุวรรณ จรรยา” เติบโตในเส้นทาง NGO นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและการเมือง ชีวิตช่วงหนึ่งผันตัวลงสนามการเมืองแต่พ่ายแพ้ราบคาบ ช่วงปี 2550ก่อตั้ง “สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน” เพื่อเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม และในปี 2552 ก่อตั้ง “สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย” เพื่อเคลื่อนไหวทางด้านการเมือง เรียกว่า ประสบการณ์โชกโชนในคดีสิ่งแวดล้อม เป็นโต้โผใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลัง อาทิ คดีนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด, คดีบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ฯลฯ
สัมภาษณ์พิเศษฉบับนี้ “ศรีสุวรรณ จรรยา” จะมาเปิดใจในประเด็นร้อนๆ และแง่มุมลับๆ ที่น้อยคนนักจะรู้ สุดเอกซ์คลูซีฟ!
- ศรีสุวรรณ จรรยา เป็นใครมาจากไหน
ผมเป็นชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ แล้วก็มาทำงาน NGO รณรงค์ด้านสิ่งแวดล้ม อยู่กับ ดร.โจ - ดร.พิจิตต รัตนกุล (อดีตผู้ว่าฯ กทม.) ประมาณ 2535 - 2536เป็นต้นมา ทำงานด้านการรณรงค์กับมูลนิธิป้องกันควันพิษและพิทักษ์สิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่องหลายสิบปี ประกอบกับ ดร.โจ มีภารกิจด้านการเมืองลงสมัครผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ผมได้ช่วยหาเสียงซึ่งเป็นการซึมซับงานการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนตัวผมทำงานหลักเรื่องของการรณรงค์มลพิษด้านสิ่งแวดล้อม กระทั่ง มีโอกาสไปช่วยงานในสภาทนายความ ช่วยงานดำเนินคดีสิ่งแวดล้อมของสภาทนายความควบคู่กันมาโดยตลอด ต่อมา ผมได้แยกตัวออกมาตั้งสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ช่วงปี 2550 ร่วมมือกับเพื่อนๆ ที่เป็นทนายความ นักกฎหมาย ตั้งสมาคมขึ้น เพื่อทำหน้าที่ในการฟ้องร้องคดีให้กับชาวบ้านที่รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมหรือปัญหามลพิษจากทั่วประเทศ ก็ฟ้องคดีใหญ่ๆ มาเยอะแยะ อย่าง ฟ้องคดีมาบตาพุด ก็เป็นข่าวดังไปทั่วประเทศในตอนนั้น
หลังจากนั้นเป็นต้นมาผมเห็นว่าคดีที่ผมทำมานับพันคดีล้วนเกี่ยวข้องกับหน่วยงานภาครัฐและนักการเมืองทั้งสิ้น ก็เลยเห็นว่าถ้าเราไม่สามารถดำเนินการตรวจสอบหรือดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับนักการเมือง ในที่สุดก็จะเกิดปัญหาปลายท่อที่ต้องฟ้องร้องดำเนินคดีกัน ผมก็เลยตั้งสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ในปี 2552 เพื่อทำหน้าที่การติดตามตรวจสอบข้าราชการ นักการเมือง ปัญหาคอร์รัปชั่น ความไม่เป็นธรรมในสังคม
- จาก NGO สิ่งแวดล้อมผันตัวเป็น “นักร้องเรียน” ทำหน้าที่เป็นปากเสียงให้ประชาชน
การทำหน้าที่ของผมคือยื่นตรวจสอบความไม่เป็นธรรมในการใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง และช่วยประชาชนทั้งประเทศที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหามลพิษ จากความไม่เป็นธรรม ผมทำหน้าที่ของผมมาโดยตลอด ซึ่งหลังๆ มานี้ เนื่องจากการเคลื่อนไหวของผมเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนและพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะหลังจากที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาทำรัฐประหาร ผมเป็นที่เพ่งเล็งของผู้มีอำนาจ ถูกเชิญผมไปปรับทัศนคติหลายครั้ง รวมทั้ง โดยส่งทหารมาเยี่ยมเยียนที่บ้านเป็นสิบยี่สิบครั้ง
ผมเห็นว่าในยุคของการปฏิรูปสิ่งสำคัญคือเรื่องของการตรวจสอบ ซึ่งการตรวจสอบนักการเมืองถือเป็นลำดับต้นๆ เพราะนักการเมืองเป็นผู้ใช้อำนาจ และที่สำคัญคือเป็นผู้ที่จะต้องไปใช้เงินงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีประชาชน ฉะนั้น เราจะอยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้นักการเมืองที่มีอำนาจไปทำอะไรตามอำเภอใจคงไมได้ ดังนั้น เมื่อมีประเด็นอะไรไม่ถูกต้องไม่ชอบธรรม ผมก็จะใช้สิทธิในการออกแถลงการณ์บ้าง ในการไปยื่นตรวจสอบหน่วยงานองค์อิสระบ้าง เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมการสิทธิมนุษย์ชน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) รวมทั้ง ยื่นคำร้องต่อนายกฯ รัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล ผมได้ทำหน้าที่นี้มาโดยตลอดอย่างต่อเนื่องนับ 10 ปีครับ
- ทำมาหากินอะไรถึงมีทุนในการทำหน้าที่ร้องเรียนประเด็นต่างๆ อย่างต่อเนื่องนับร้อยพันเรื่อง
งานหลักผมทำคดีฟ้องร้องให้กับชาวบ้าน งานคดีทั้งหมดวันนี้ไม่ต่ำกว่า 4,000 คดีนะครับ แล้วงานคดีของผมส่วนใหญ่เป็นคดีสาธารณะมีผู้ร่วมฟ้องเยอะบางทีเป็นร้อยๆ คน ซึ่งผมจะไม่คิดค่าใช้จ่าย ใดๆ กับชาวบ้าน แต่ว่าชาวบ้านก็มีน้ำใจ ร่วมบริจาคให้คนละเล็กละน้อย รวมๆ กันแล้วตัวเลขเยอะเหมือนกัน ที่สำคัญผมทำให้ทุกคน ไม่เกี่ยงยากดีมีจนหรือรวยเศรษฐีพันล้าน ผมก็ทำให้หมดไม่คิดมูลค่า แต่เขาเห็นเรามีน้ำใจทำให้ก็เลยช่วยบริจาค ทำอย่างนี้มาโดยตลอดไม่ว่าจะในกรุงเทพฯ ปริมณฑล หรือต่างจังหวัด ชาวบ้านก็มักช่วยเหลือค่าใช้จ่ายมาโดยตลอด แล้วมันเป็นคดีเยอะมันก็หัวเฉลี่ยกันไป
สมมติ ชาวบ้านบริจาคคดีละ 10,000 บาท ผมทำมา 4,000 คดี เป็นเงินเท่าไหร่ก็คำนวณไป แต่ว่ามันยอดเงินบริจาคนั้นไม่ตายตัวไม่ได้อยู่ที่ 10,000 บาทเสมอไปนะครับ บางคดีเขาก็ให้มา 20,000 บาท 30,000 บาท 50,000 บาท บางคดีคนรวยหน่อยก็ให้เป็น 100,000 บาทนะครับ
มีคดีให้ทำตลอด เดือนหนึ่งคนร้องเรียนเข้ามาเกือบ 10 คดี วันๆ ก็วุ่นอยู่กับการเขียนคำฟ้อง คำให้การ คือการทำคดีกับร้องเรียนคนละส่วนกัน เรื่องทำคดีให้ชาวบ้านไม่มีอะไรเป็นเรื่องน่าหนักใจของ ถ้าผมช่วยได้ ผมก็ช่วยทุกคนอยู่แล้ว ไม่มีรังเกียจรังงอนใดๆ ทั้งสิ้น
นอกจากนั้น ผมเรียนมาหลายปริญญา ปริญญาตรี 3 ใบ ปริญญาโท 2 ใบ และปริญญาเอกอีก ในส่วนนี้ก็เอาความรู้ไปทำด้านงานรีเสิร์ชให้กับมหาวิทยาลัย สถาบันวิชาการต่างๆ รับทำเป็นโปรเจ็กต์ๆ เหล่านี้เป็นรายได้ให้พออยู่ได้ครับ
- พักหลังๆ มานี้ปรากฏตัวหน้าสื่อร้องเรียนประเด็นการเมืองบ่อย จนเกิดข้อครหาว่ารับงานมาบ้าง เอื้อประโยชน์กลุ่มการเมืองบ้าง ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่แล้วแต่จะคิดกันไป เพราะว่าเรื่องบางเรื่องถ้าร้องไปบางทีมันก็ได้ประโยชน์กับกลุ่มหนึ่ง อีกกลุ่มเสียประโยชน์ เหมือนกรณีร้องเรียนเรื่องนักการเมืองนั่นละครับ ฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์แต่อีกฝ่ายหนึ่งเฮเพราะได้ประโยชน์ ซึ่งฝ่ายหนึ่งก็จะค่อนแคะว่าผมถูกจ้างมาหรือไม่? เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มนั้นกลุ่มนี้หรือไม่? จริงๆ ผมก็ทำมาอย่างต่อเนื่อง ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง แทบจะทุกพรรคการเมืองผมยื่นตรวจสอบ
ตรงนี้เป็นเรื่องปกติที่ผมทำใจมาโดยตลอดอยู่แล้ว ไม่ได้ซีเรียส คิดแต่เพียงว่าเราทำหน้าที่ของเราให้มันถูกต้อง และคิดว่ามันน่าจะช่วยจรรโลงสังคมได้ภายใต้ความรู้ที่เรามี ทำงานด้วยความตั้งใจด้วยความมุ่งมั่นโดยไม่เป็นเพียงนักเลงหน้าคอมฯ นั่งวิจารณ์คนอื่นไปวันๆ โดยที่ตัวเองไม่ออกไปทำอะไรเลย ผมว่ามันไม่ใช่... ผมคิดว่าสิ่งไหนที่ถูกต้อง ต้องออกไปแอ็กชันด้วยตัวเอง ผมเป็นนักปฏิบัติ ซึ่งมันก็ทำให้คนรักคนชังเยอะ
-เรื่องการทำงานเพื่อสังคมทราบว่าได้รับอิทธิพลมาจากครอบครัว
พ่อมีอิทธิพลค่อนข้างสูงครับ เพราะผมเองเป็นคนต่างจังหวัด พ่อแม่เองก็ทำไร่ทำนา แต่พ่อเป็นคนชอบช่วยเหลือคน เวลามีใครเดือดร้อนไม่มีเงินทำไรทำนา หรือแม้แต่ไม่มีเงินบวชลูกบวชหลานแต่งลูกแต่งเมีย ก็มักจะมาหยิบยืมพ่อผมโดยตลอด พ่อผมก็ใจดีให้มาโดยตลอด แต่บางทีให้แล้วก็ไม่มาคืน พ่อผมก็ต้องใช้สิทธิทางศาลในการฟ้องร้องบังคับใช้หนี้ ผมก็ติดสอยห้อยตามพ่อไปขึ้นศาล อีกอย่างพ่อผมชอบติดตามข้อมูลข่าวสาร อ่านหนังสือพิมพ์ ฟังวิทยุ ดูทีวี ตลอดเวลาแล้วมาวิเคราะห์สังเคราะห์ชี้ประเด็นของนักการเมืองคนนั้นคนนี้ ผมก็ซึมซับสิ่งเหล่านี้มาโดยตลอด
ต้องเท้าความก่อนว่า ผมเรียนมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เพราะพ่อแม่ผมเป็นเกษตรกรทำไร่ทำนา ก็มีความคิดอยากจะเอาความรู้ทางเกษตรมาพัฒนาอาชีพของตระกูลของพ่อแม่ แต่เผอิญตอนเรียนผกผันได้กลายไปเป็นนายกองค์การนักศึกษา ผู้นำนักศึกษา และหัวรุนแรงพอสมควร นำนักศึกษาปิดถนนประท้วงขับไล่ผู้ว่าฯ 2 วัน 3 คืน เพราะเห็นความไม่ได้รับความเป็นธรรมของชาวบ้าน จากการละเลยปฏิบัติหน้าที่ของรัฐ พอเรียนจบออกมาก็เลยเข้ามาทำงานประเภทนี้ เห็นความไม่ถูกไม่ควรไม่ถูกต้องเราต้องออกมาเคลื่อนไหว รณรงค์ในรูปแบบของ NGO มีความรู้สึกว่าไม่อยากไปรับราชการใดๆ ทั้งสิ้น อยากทำหน้าที่ตรงนี้ เพราะตัวเองมีความรู้สึกไม่อยากไปเป็นลูกน้องใครไม่อยากเป็นขี้ข้าใคร อยากทำงานในลักษณะส่วนตัวมีความอิสระ
- เรื่องที่ยากลำบากในการทำงานเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและการเมือง
ไม่มีอะไรเป็นยากนะครับ แต่เรื่องปริวิตกเนื่องจากว่าการทำงานของตัวเองไปกระทบต่อผู้สูญเสียประโยชน์ค่อนข้างจะเยอะ ก็อาจจะถูกข่มขู่คุกคามบ้าง ข่มขู่ผ่านโทรศัพท์ คุกคามโดยสะกดรอยตามบ้าง ซึ่งก็ทำให้ตัวเองต้องระมัดระวัง จากที่เป็นคนไม่ซีเรียสกับเรื่องนี้ก็ต้องระวังตัวให้มากขึ้น ไปไหนมาไหนก็ต้องระวังระวัง ขาไปไปทางซ้าย ขากลับกลับทางขวา ระแวดระวังมากขึ้นทำให้ตัวเอง
- ความภูมิใจสูงสุดของผู้ชายชื่อ ศรีสุวรรณ จรรยา
ผมเกิดมาชาติหนึ่ง แล้วมีโอกาสได้เรียนสูงในระดับที่ในตำบลอำเภออาจะไม่มีใครเรียนมากเท่าผม ผมเป็นคนต่างจังหวัดเป็นคนบ้านนอก การมีโอกาสได้เรียนถึงระดับนี้เป็นที่น่าภูมิใจ เป็นหน้าเป็นตาของพี่น้องญาติตระกูล และการมาทำหน้าที่ตรงนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นงานสาธารณะงานเพื่อประโยชน์ของสังคมเป็นส่วนใหญ่ ช่วยเหลือคนที่ทุกข์ยากเดือดร้อนผู้คนทั้งแผ่นดิน แล้วงานคดีบางคดีก็ช่วยเหลือประเทศชาติ ช่วยหยุดยั้งการใช้อำนาจของหน่วยงานภาครัฐ หยุดการทุจริตคอร์รัปชั่นเยอะแยะมากมาย ทำให้สังคมและกฎหมายได้รับการเปลี่ยนแปลง มันก็เป็นความภาคภูมิใจที่เราสามารถช่วยเหลือคนที่ทุกข์ร้อน หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมมาตลอด 20 - 30 ปี ที่ผมทำงานตรงนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง และจะทำอย่างนี้ไปจนกว่าลมหายใจจะหมดไป
โดยสรุป เรื่องราวของ "ศรีสุวรรณ จรรยา" กว่า 20 ปีบนหน้าสื่อ ในฐานะนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและการเมือง ผู้ประสบความสำเร็จในฐานะเอ็นจีโอด้านสิ่งแวดล้อม มี 5 เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับชายคนนี้ ที่บีบีซีไทยรวบรวมมานำเสนอ
1. นายศรีสุวรรณ จรรยา เป็นชาว อ.วังทอง จ.พิษณุโลก จบการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนวังทองพิทยาคม และปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้รับแรงบันดาลใจในการช่วยเหลือคนจากบิดาที่มักไปขึ้นศาลช่วยชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน ทั้ง ๆ ที่จบเพียง ป.4
2. ความสนใจปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมของนายศรีสุวรรณ เกิดขึ้นระหว่างเรียนในมหาวิทยาลัยที่ได้มีโอกาสออกค่ายอาสาอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเรียนจบ จึงผันตัวไปเป็นเอ็นจีโอด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมกับเข้าไปช่วยสภาทนายความทำคดีสิ่งแวดล้อม ทำให้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีสิ่งแวดล้อมสำคัญ ๆ เช่น คดีโรงไฟฟ้าแม่เมาะ คดีสารตะกั่วห้วยคลิตี้
3. ชื่อของนายศรีสุวรรณมาปรากฎอยู่ในหน้าสื่อเป็นครั้งแรก เมื่อปี 2540 ในฐานะรองเลขาธิการมูลนิธิป้องกันควันพิษและพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ที่ก่อตั้งโดย นายพิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าฯ กทม. โดยคดีสิ่งแวดล้อมแรกที่ศาลปกครองมีคำตัดสิน เมื่อปี 2549 โดยศาลให้ ขสมก. แพ้คดีกรณีปล่อยให้รถเมล์เสื่อมสภาพวิ่งปล่อยควันพิษ ก็มาจากการฟ้องร้องโดยมูลนิธิป้องกันควันพิษฯ ที่มีนายศรีสุวรรณ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคนสำคัญ
4. ชีวิตการเมืองของนายศรีสุวรรณถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งในฐานะนายทะเบียนและรองหัวหน้าพรรครักษ์ถิ่นไทย ระหว่างปี 2545-2546 เมื่อลงสมัครเป็น ส.ว. กทม. ในปี 2557 ก็พ่ายการเลือกตั้งอีก
5. ปี 2550 นายศรีสุวรรณกับเพื่อนร่วมกันก่อตั้ง "สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน" ซึ่งถือเป็นองค์กรที่สร้างชื่อให้กับนายศรีสุวรรณ จากคดีสำคัญ ๆ อาทิ คดีนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และคดีบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท โดยเขามักใช้ชื่อองค์กรนี้เคลื่อนไหวประเด็นสิ่งแวดล้อม แต่ถ้าเป็นประเด็นการเมืองมักเคลื่อนไหวในนาม "สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย" ซึ่งก่อตั้งมาในปี 2552
เส้นทางการตรวจสอบรัฐบาล คสช. ของนายศรีสุวรรณ
ปี 2557
ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน ตรวจสอบกรณี สนช. เสนอชื่อแต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ เข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะ พล.อ.ประยุทธ์แต่งตั้ง สนช. มาเองทั้งหมด
ปี 2558
ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน ตรวจสอบ พล.อ.ประยุทธ์ และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กรณีแต่งตั้งเครือญาติเป็นสมาชิก สปท.
ปี 2559
ยื่น ป.ป.ช. ตรวจสอบกรณีบริษัทของบุตรชาย พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ได้งานจากกองทัพภาคที่ 3 ในระหว่างที่ พล.อ.ปรีชาเป็นแม่ทัพภาคที่ 3
ยื่น ป.ป.ช. ตรวจสอบ พล.อ.ปรีชา กรณีสร้างบ้านพักหลังใหม่ใน จ.พิษณุโลก โดยไม่แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. เข้าข่ายเป็นการยื่นบัญชีเท็จหรือไม่
ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน ตรวจสอบ พล.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. กรณีเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)
ยื่นศาลปกครอง เพิกถอนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP 2015) และให้ระงับการประมูลก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน
ปี 2560
ยื่นประธาน สนช. ตรวจสอบสมาชิก สนช. 7 คน กรณีขาดประชุมเกินกำหนด อาจมีปัญหาเรื่องสมาชิกภาพ
ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน ตรวจสอบ พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 กรณีให้สัมภาษณ์สนับสนุนทหารที่ยิงวิสามัญเยาวชนชาวลาหู่
ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน ตรวจสอบ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม และ พล.ท.วิชัย แซจอหอ แม่ทัพภาคที่ 2 กรณีปล่อยให้มีการตั้งกาสิโนบริเวณพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา
ล่าสุด ตั้งแต่ปี 2561 มาถึงปัจจุบัน เขามาสนใจทางการเมืองพรรคฝ่ายค้านมากขึ้น โดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่ เกี่ยวกับการเงิน บัญชีรายรับรายจ่าย รายได้ ของพรรคอนาคตใหม่ หลายเรื่อง และล่าสุด ยื่นฟ้อง นางพรรณิกา โฆษกพรรคอนาคตใหม่ เรื่อง บริจาคเงิน ให้พรรคอนาคตใหม่ โดยมีเหตุผลว่า นางช่อ มีเงินในบัญชีที่แสดงในบัญชีตามรัฐธรรมนูญ ราว 8 หมื่นบาท แต่ทำไมบริจาคเงินได้ถึง 1 ล้านบาท เกรงว่าจะเป็นเงินคนอื่น ไปเกี่ยวกับการฟอกเงิน หรือเป็นผิดตามกฎหมายพรรคการเมือง ตามรัฐธรรมนูญ 2560 จึงฟ้อง ให้ตรวจสอบ หากเป็นเงินคนอื่น เป็นของใคร ซึ่งมีโทษทางการเมืองตามกฎหมายพรรคการเมืองที่มีโทษถึงขั้นการยุบพรรคได้
เราเห็นว่า การที่ ศรีสุวรรณ จรรยา ได้ทำการต่อสู้เพื่อสังคมมาโดยตลอดไม่มีการวรรค เว้นเลยกว่า 20 ปีมา มีคดีที่ทำการฟ้องร้องไปแล้วกว่า 4000 คดีนั้น ได้บอกถึงความเป็นคนที่มีอุดมการณ์ ได้ตกเข้ามาสู่ชีวิตอุดมคติของตนเอง ที่เป็นไปตามครรลองของธรรมชาติ อย่างมีเหตุ และมีผล วิถีทางการงานเขาจึงตกอยู่ใต้ตัวแปรของ เหตุ ของ ผล มาตลอด เป็นสิ่งที่กำหนดพฤติกรรมของเขาตลอดไป อย่างไม่ว่างเว้น ฉะนั้นในเมื่อเข้าสู่วิถีทางธรรมชาติแบบที่พระพุทธศาสนาสอนไว้เรื่องความเป็นไปของชีวิต ย่อมเป็นไปอันเนื่องมาจากมีเหตุให้เป็น จึงไปบังเกิดผลขึ้นตามเหตุนั้น เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ ตามเรื่องเหตุ เรื่องผล แล้ว ก็จะเป็นสิ่งที่ดีต่อตนเอง ต่อคนอื่น และต่อสังคมที่ตนอยู่อาศัย ในแบบที่เป็นธรรมชาติ ไม่เกี่ยวกับว่ามีอามิสสินจ้างใดใด ไม่เกี่ยวกับ ลาภ ยศ สรรเสริญใดใด หรือโลกียธรรมใดใด ไม่เกี่ยวกับความเป็นมิตร หรือ ศัตรูกับใคร ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดมาผลักดัน มาก่อเกิดความเคลื่อนไหวของเขา นั้นแสดงถึงภาวะความเป็นไปเองตามกฎธรรมชาติ ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนานั้นเอง จึงขอยกย่อง ศรีสุวรรณ จรรยา เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2562 และหวังว่าจะได้ดำเนินวิถีชีวิตไปด้วยหลักการแห่งเหตุ และ ผล ไปจนถึงจุดสูงสุดถึงจุดหลักการสูงสุดของเรื่องเหตุ และ ผล ตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปตลอดกาลนานในชีวิตนี้
หนังสือพิมพ์ดี จึงขอยกย่องบุคคลทั้ง 6 ท่านดังกล่าวมา เป็นบุคคลสำคัญของเราในปีพุทธศักราช 2562 คือ นางเทรีซ่า แมรี่ เมย์ อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร, นายจัสติน พิเอร์ เจมส์ ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา, แคทรีโอนา เอลิซา มักนายอน เกรย์ นางงามจักรวาล 2561, โคตรมวยไทย แสนชัย พี.เค.แสนชัย มวยไทยยิม, นายบุญมี สุระโคตร , นายศรีสุวรรณ จรรยา, เราขออำนวยพรให้ท่านทั้ง 6 นี้ ได้ประกอบกรรมดีต่อไป และที่สุดถึง นำโลกทั้งหลายสู่แดนสงบ แดนแห่งสันติสมตามที่ท่านเองต้องการด้วยเทอญ
บรรณาธิการ
9 พ.ย.2562, 23.00 น.
**************************************************************************************************************************************************************************************************
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ. 2563
บุคคลที่ 164 ศาสตราจารย์ นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ
หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก
ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เราได้ทราบเรื่องราวของท่านผู้นี้มาจากข่าวไวรัสอู่ฮั่น โควิด-19 มา 2 ระยะ ระยะแรกท่านได้เข้าร่วมให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับ ไวรัสพันธ์ใหม่ ร่วมกับท่านผู้รู้อีก 4 ท่าน นพ.ยงท่านได้ให้ข้อคิดเห็น ความรู้ไว้แต่แรกเริ่มวันที่ 11ก.พ.2563 ซึ่งเป็นระยะที่ไวรัสแพร่ในเมืองจีน อู่ฮั่น และเริ่มตกมาสู่เมืองไทย ท่านได้ให้ความรู้ เตือนกันไว้แต่เร่ิมแรกที่ได้พบมหาภัยอันตรายเลยทีเดียว ดังนี้
ระยะที่ 1 วันที่ 11 ก.พ. 2563
ข่าวเด่น
จากงานเวทีจุฬาฯ เสวนา ครั้งที่ 23 เรื่อง “ตระหนัก ดีกว่า ตระหนก เรียนรู้ และป้องกัน โคโรนาไวรัส 2019” ซึ่งศูนย์สื่อสารองค์กร จุฬาฯ ร่วมกับศูนย์บริการสุขภาพแห่งจุฬาฯ จัดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 ณ ห้องประชุม ศ.กิตติคุณ ดวงเดือน พิศาลบุตร อาคารประชุมสุข อาชวอำรุง คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ วิทยากร 5 ท่านได้ให้ความรู้เกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และวิธีการป้องกันตนเองจากโรคนี้
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงสถานการณ์ปัจจุบันเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่ 2019 ว่า โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่มีระยะฟักตัวโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 3-7 วัน และมีความเป็นไปได้ที่จะสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้โดยที่ยังไม่แสดงอาการ ซึ่งจะทำให้การแพร่ระบาดเกิดขึ้นได้ง่ายและการคัดกรองทำได้ยากขึ้น ส่วนตัวเลขของผู้เสียชีวิต ยังไม่น่าจะเป็นตัวเลขที่แน่นอน เนื่องจากไม่สามารถทราบจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดได้อย่างแท้จริง ส่วนพาหะหรือสัตว์ต้นกำเนิดของเชื้อไวรัสชนิดนี้ จากที่เคยคาดการณ์ว่าเป็นค้างคาว ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีการตีพิมพ์ในวารสาร Nature ว่าพาหะที่แท้จริงอาจจะเป็นตัวนิ่ม (Pangolins) เนื่องจากพบเชื้อโคโรนาไวรัสที่มีพันธุกรรมที่คล้ายคลึงกับไวรัสอู่ฮั่นถึง 99% แต่ยังไม่ได้รับการยืนยัน สำหรับผู้เข้าข่ายต้องสงสัยในการติดเชื้อในปัจจุบัน ได้แก่ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศจีน ร่วมกับมีอาการป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ ปอดบวม และมีการยืนยันการตรวจพบจากห้องปฏิบัติการ ทั้งนี้กลุ่มเสี่ยงยังคงเป็นผู้สูงอายุและผู้ที่มีปัญหาทางสุขภาพ
ศ.นพ.ยง กล่าวว่า ปัจจุบันอัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยเริ่มลดลง เหลือเพียงประมาณ 3,000 คนต่อวัน นั่นหมายความว่าจีนเริ่มจะควบคุมสถานการณ์ได้ จากการใช้มาตรการที่เด็ดขาด เมื่อเทียบกับอัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยนอกมณฑลหูเป่ยที่ลดลงมากเช่นกัน จึงถือเป็นสัญญาณอันดี คาดการณ์แนวโน้มว่าอาจต้องใช้เวลาอีกเป็นปีจึงจะอยู่ในภาวะที่ควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จ เพราะยังไม่ถึงจุดสูงสุดของการระบาดที่แท้จริง จึงต้องใช้มาตรการการควบคุมการระบาดให้น้อยที่สุด โดยยืดเวลาการระบาดออกไปให้นานที่สุดเพื่อให้ระบบสาธารณสุขรองรับได้เสียก่อน
ระยะที่ 2 4 เม.ย. 2563 ท่านได้เริ่มงานวิจัย เมือก หรือภาษาวิชาการว่า พลัสมา โดยที่มีข่าวออกมาเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2563 ได้ขอร้องให้ผู้ติดเชื้อโควิด ที่รักษาหายแล้ว ไปบริจาคโลหิตเพื่อทำการวิจัยเรื่อง เมือก เพื่อนำไปสร้างวัคซีนป้องกันโรคไวรัสโควิด-19 อันจะเป็นการค้นพบ จากการวิจัยของคนไทยเราโดยตรง ดังปรากฏในข่าวดังนี้
“ 4เม.ย.63- หมอยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ได้โพสต์ในเฟซบุ๊คว่า
"โควิด-19 พลาสมาหรือน้ำเหลืองของผู้ที่หายจากโรคพลาสมาของผู้ป่วยที่หายจากโรค โควิด-19 จะมีประโยชน์อย่างมากในการใช้รักษาผู้ป่วย โควิด-19 ที่มีอาการมาก ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจากผู้ป่วย เปรียบเสมือนเป็น เซรุ่มใช้รักษาโรค ขณะนี้ทางศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติมีโครงการที่จะรับบริจาค พลาสมา จากผู้ที่หายจากโรค ผู้ที่หายจากโรคแล้ว ถ้ามาบริจาค พลาสมาจะถูกเก็บ ไว้ใช้เป็นยารักษาโรค โควิด-19 ผู้ที่จะมาบริจาคได้ จะต้องเป็นผู้ที่ได้ออกจากโรงพยาบาลหายแล้วมีร่างกายแข็งแรงแล้วอย่างน้อย 14 วัน ตรวจไม่พบเชื้อ โควิด-19 ที่ป้ายจากคอและในเลือด มีอายุระหว่าง17 ถึง 60 ปีและมีน้ำหนักเกิน 50 กิโลกรัม
ผมในฐานะเป็นที่ปรึกษาของศูนย์บริการโลหิต อยากให้ท่านได้เป็นฮีโร่ ในการทำประโยชน์ให้ต่อมวลมนุษย์ ในการช่วยชีวิตผู้ที่ป่วยหนัก โควิด-19 จึงอยากเชิญชวนผู้ที่หายจากโรคแล้วตามเงื่อนไขดังกล่าว มาบริจาคพลาสม่า โดยติดต่อได้ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย"
บทบาทของท่านตามข่าว 2ชิ้น 2 ระยะนี้เอง ทำให้วงการศึกษาและวิจัยทางแพทย์ศาสตร์ไทย และวงการสาธารณสุขไทย ตื่นตัวกันอย่างใหญ่ จนได้เห็นว่า การศึกษาวิจัยงานวิทยาศาสตร์ไทยมีความกระตือรือร้น มีความสามารถในเชิงงานวิจัยอย่างทัดเทียมกับวงการโลกสากลเลย เราจึงเห็นว่า เนื่องมาจากการกระตุ้น การเริ่มบทบาทการนำของ ศ.นพ.ยง ในการศึกษาติดตาม และวิจัยโรคไวรัสมาแต่ต้นนั่นเอง และบัดนี้มีความก้าวหน้าไปอย่างมาก เราจึงเห็นว่า ท่านเป็นบุคคลสำคัญของวงการศึกษาที่นำความรู้วิทยาการใหม่ อันได้มาจากความชาญฉลาดในงานการวิจัย ระดับชั้นนำของวงการศึกษาไทยเลยทีเดียว และเป็นผู้นำด้านงานการวิจัยในวงการศึกษาไทย อย่างน่าชื่นชมยินดี ซึ่งงานการศึกษาวิจัยนี้ ยังเป็ฯสิ่งที่ล้าหลังในวงการศึกษาไทยอย่างมากโดยเฉพาะในวงการสังคมศาสตร์ แทบยังไม่มีฝีมือปรากฎเลย อย่างน่าเสียดายแท้ ๆ จึงสมควรยกย่องให้ท่านรับตำแหน่งบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2563 ของหนังสือพิมพ์ดี หวังว่าผลงาน บทบาทของท่าน ศาสตราจารย์ ยง ภู่วัฒนา จะเป็นตัวอย่าง ผลักดันวงงานการวิจัยในวงการศึกษาไทย สถาบันงานวิจัยไทย ให้ตื่นตัวก้าวหน้าอย่างแรง จากสถานการณ์โควิด-19นี้ ท่านจะได้มุ่งมั่นสร้างงานการวิจัยไทยให้เป็นการนำก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง ได้พบความสำเร็จทันสถานการณ์โลกไปตลอดชั่วอนุชนไทย เป็นผลดีแก่วงการศึกษางานด้านการวิจัยต่อไปเทอญ
บุคคลที่ 165 นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน
โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.)ของรัฐบาลประยุทธ จันทร์โอชา
ท่านนายแพทย์ผู้นี้ ได้ปรากฏว่า นับแต่ได้เข้ามารับหน้าที่ โฆษกศบค. ก็ได้ทำหน้าที่ของท่านในฐานะหน้าที่ราชการหน้าที่หนึ่งด้วยความเรียบร้อยอย่างที่เป็นการสร้างความเข้าใจทันสถานกาณณ์ อย่างดียิ่ง จนกระทั่งการรายงานของท่านส่งผลดีมาตามลำดับ นั่นคือทำให้ความเข้าใจของประชาชนไทยเรื่อง โควิด-19 ในไทย ดีขึ้นมาตลอด เป็นผลให้เกิดความร่วมมือในโครงการ และแผนการต่างๆ ต่อปัญหาโควิด-19 ในไทยเรา เป็นไปอย่างเด็ดขาด จนกระทั่งวันนี้เอง ทั่วโลกมีคนติดไวรัสรวมถึง 10,302,867 คน เสียชีวิตไปแล้ว 505,518 ศพ แต่ไทยเรา เว้นว่างไปจากไวรัส โดยปรากฎว่าไทยไม่ปรากฎเชื้อแพร่ออกไปสถิติคนติดเชื้อวันละ0 คนเป็นเวลา 30 วันเข้าแล้ว รวมวันนี้ ไทยมีผู้ป่วย 3,171 คน เสียชีวิตไปเพียง 58 ศพ เท่านั้น สิ่งที่ได้บังเกิดความเข้าใจกันเป็นอย่างดีก็เนื่องมาจาก
ความสามารถในการนำเอาข้อมูลสำคัญที่ตรงประเด็นออกมาในรูปแบบภาพประกอบ ทั้งภาพสถิติ การรายงานตัวเลข ด้วยเส้นกราฟ ด้วยภาพ และด้วย แสงสี ต่างๆ ที่ทเห็นได้ว่าเกิดจากความพยายามที่จะให้คนไทยทั้งหลายเข้าใจได้โดยง่าย ในสิ่งที่จำเป็นก็ต้องเข้าใจนั่นเอง ที่ทำให้เกิดความเข้าใจง่าย แด่คนทั่วไปและบังเกิดความร่วมมือประสานงานกันในทางร่วมแก้ปัญหาโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญสำหรับนายแพทย์ท่านนี้ สำหรับการเป็นบุคคลบแห่งปีนั้นก็คือ ท่านเป็นบุคคลที่มองเห็นสัจธรรมว่าด้วยเหตุด้วยผล และตลอดเวลาที่มานั่งในตำแหน่งนี้ ท่านมีสิ่งเดียวที่เสนอออกไปนั่นคือความมีเหตุมีผล นั่นคือ การต่อสู้กับโควิด-19 นั้นต้องต่อสู้ไปตามหลักวิทยาการการแพทย์ศาสตร์ และสาธารณสุขศาสตร์ คนทั้งหลายต้องเคารพเหตุผลตามหลักธรรมชาติของความเป็นไปเป็นมาและ สถานะความเป็นความมีของไวรัสร้ายนี้ อย่างมีเหตุมีผล โดยที่สอดคล้องหรือที่เป็นไปในทางที่สอดคล้องวิทยาศาสตร์การการแพทย์ และสาธารณสุข อันเป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์ อย่างไม่คลาดออกไปจากหลักการวิทยาศาสตร์ การมีเหตุ และ ผล เลย
นั่นแหละสิ่งที่เราเห็นว่า มีความสำคัญสำหรับการยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปี ของนพ.ท่านนี้ ของ หนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2563 และนวทางป้องกัน นับแต่ การที่ต้องใช้หน้ากาก การต้องล้างมือบ่อย ๆ การที่ต้องรักษาระยะห่างของบุคคล เช่นนี้ มีเหตุมีผลอย่างไร นั้น ได้รับการอธิบายจากท่านนายแพทย์ผู้นี้ อย่างสม่ำเสมอ เสมือนหนึ่งว่า ในสังคมคนด้อยพัฒนาการทางวิทยาศาสตร์นั้น อาจจะทำให้หลักการเหตุผลด้อยไม่ได้รับความเชื่อถืออย่างเพียงพอก็ได้ เช่นแทนที่จะมองถึงเหตุผลทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ก็มองไปเป็นเรื่อง ผี ปีศาจ วิญญาณร้าย นางตะเคียน หรือแม้กระทั่งเทพเทวดาฮินดูเขาไปเช่นนั้น แล้วละเลยไปยอมรับอิทธิฤทธิ์ของเทพเทวดา ไปก็ได้ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องของความไร้เหตุไร้ผลโดยสิ้นเชิงซึ่งจะทำการแก้ปัญหาไม่ตรงเหตุตรงงผล ทำให้โควิดบานปลายไปได้ และปรากฏว่า สามารถนำประชาชนคนไทย ไปสู่การต่อสู้โควิด-19 ด้วยเหตุด้วยผลได้ โดยเฉพาะหลักการ 5-6 ประการ มี 1 สวมหน้ากาก 2.ล้างมือบ่อย 3.ระวังระยะห่าง 1-2 เมตรเสมอไป 4. มีช้อนส่วนตัวเวลากินอาหาร 5. ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับคนอื่น 6. ฝึกรักษาความสะอาดสิ่งของ เครื่องใช้ สถานที่ให้เป็นนิสัย และคำที่ฮิตที่ยอมรับกันว่า การ์ดอย่าตก นั้น ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก
ประเทศไทยได้รับการชื่นชมยินดีไปทั่วโลก แม้ญี่ปุ่นเอง โดยวารสารนิเคอิ ล่าสุด ก็ยังเอากรณีการต่อสู้ของไทยไปเป็นฐานแบบงานวิจัย และได้พบเหตุ พบ ผล ที่ทำไมไทยจึงเอาโควิดอยู่ ทำให้มองไปถึงต่างประเทศว่ามีความบกพร่องอย่างแรง เช่นทั่วโลกวันนี้ ยังคงแพร่ระบาดออกไป ทั่วโลกติดเชื้อกันวันเดียวถึง 4 หมื่นกว่าคน 4 แสนคนเสียชีวิตไปแล้ว เฉพาะคนติดเชื้อวันนี้ถึง ต่างประเทศ ที่ลามไปตายกันทั่วโลกติดเชื้อถึง 10 ล้าน ตายไป5 แสนคนแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมองดูด้วยความกระหยิ่ม การที่เราร่วมกันได้ดีด้วยเหตุที่ต่างเข้าใจเรื่องเหตุเรื่องผลนั่นเอง ฉะนั้น จึงถือว่า ท่านนายแพทย์ ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ทำหน้าที่ โฆษก ศบค. ทำหน้าที่ตรงนี้ได้อย่างน่าชื่นชม และนำไปสู่ความศรัทธา เห็นจริงเห็นจังของคนไทยทั้งประเทศ ในการที่เคารพในหลักการของเหตุและผล เคารพหลักวิถีชีวิตโดยเหตุโดยผล โดยวิถีทางวิทยาศาสตร์ ห่างไปจากความหลงงมงายทางเทพเทวาอสูรภูติพรายไปเสีย เราจึงขอยกย่อง ให้เป็นบุคคลแห่งปี ของ น.ส.พ..ดี พ.ศ.2563 ขอได้รับความเจริญก้าวหน้าไปตลอดกาลนานเทอญ
บุคคลที่ 166 นายกนก รัตนวงศ์สกุล
ผู้ประกาศข่าว เนชั่น ทีวี 22 เนชั่นคนข่าวเข้ม
กนก รัตน์วงศ์สกุล บ่งบอกถึงความเป็นนักการสื่อสารและนักวิจารณ์สังคม ผู้ตรงไปตรงมาตามความรู้สึกของเสรีชนของตนเอง และในช่วงเวลาที่ผ่านมาปีเศษ ๆนี้ เขาได้กล้าต่อสู้ทางการเมืองมาอย่างแรง ไม่หลบหลีก โดยที่มุ่งวิเคราะห์ในการเมืองที่ไม่ถูกต้อง โดยที่ใช่ว่าเขาไปสนับสนุนการเมืองฝ่ายใดก็หาไม่ หากแต่มุ่งหมายให้การเมืองที่ถูกต้องนั้นเดินไปตามระบบของมัน เพื่อการทำประโยชน์แก่ประชาชนทั้งประเทศ
ดังจะเห็นได้ว่า เขาได้ต่อสู้กับพรรคการเมืองพรรคหนึ่งอย่างค่อนข้างแรงโดยมองว่าเป็นพรรคการเมืองที่มีนโยบาย เป้าหมายทางการเมืองที่ยอมรับไม่ได้ เพราะมีร่องรอยของความทุจริตมุ่งล้มล้างระบอบเก่าแก่และแม้วัฒนธรรมเก่าแก่ของไทย กนก ได้ทำหน้าที่นักวิจารณ์เพื่อความชอบธรรมและถูกต้อง มาจนกระทั่งประสบชัยชนะ นั่นคือ ระงับยับยั้งการขยายตัว เติบโตไปของการเมืองฝ่ายที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมนั้นไปเสีย แต่สิ่งที่เรายกย่องกนก รัตน์วงศ์สกุล นั้น เป็นเรื่องของอุดมการณ์ ที่ตรงไปตรงมา อะไรที่เป็นสิ่งที่เรามองว่าเป็น เสรีชน ผู้ที่มีหอกอยู่ในมือ อุปมาเหมือนนักรบในสงครามสื่อ ผู้นักวิเคราะห์ วิจารณ์อย่างเขามองไปผิดอุดมการณ์ เขาก็บอกต่อต้าน พุ่งหอกออกไปทันทีไม่รอช้า โดยไม่คำนึงว่าจะไปถูกความคิดคนอื่น บุคคลอื่นใดอย่างไรบ้าง
และนี่เอง ทำให้เกิดศัตรูอย่างแรงก็มี อย่างเบา ๆ ก็มี โดยแสดงออกถึงวาทะที่ต่อต้านเขาทางสื่อสารมวลชนมาอย่างแรงอยู่ระยะหนึ่ง ซึ่งคนอย่างเขา มิได้ตกใจ แต่โดยรวมแล้ว ปรากฏว่า มีความถูกต้องถูกความนิยมของประชาชนมาตลอด นี่ที่จะซัดหอกออกไปทันทีเมื่อพบศัตรูผู้ร้าย และด้วยความที่มีอุดมการณ์นั้นเอง วิถีทางของเขา จึงถูกทางมาตลอด อันเรามองดูแล้วเป็นเป็นแบบอย่างนักสู้ทางสงครามสื่อมวลชนเลยทีเดียว จึงขอยกย่องเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ. 2563 และขอได้พบชัยชนะในสงครามสื่อตลอดไปในกาลนานเทอญ
บุคคลที่ 167 นายถนอม อ่อนเกตุพล
รายการถนอมจัดให้ รายการ NBT ร่วมใจสู้ภัย COVID-19 ของช่องทีวี NBT 002
บทบาทของเขา บอกถึงการประสานงานความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นธรรมมาตั้งแต่การต่อสู้กับไวรัสร้ายโควิด นับเป็นคนแห่งสถานการณ์ยุคเศรษฐกิจโควิดอย่างแท้จริง ที่สามารถประสานผลประโยชน์ของประชาชน ประเทศชาติ ทั้งการเมือง ทางเศรษฐกิจ นับแต่การทำมาหากินอย่างทันสมัย ทันสถานการณ์อย่างไรเขาจะไปประสาน เอาข้อมูลความรู้มาให้อย่างครบถ้วน สิ้นความกังวลสงสัย ในลักษณะที่เป็นระบบและทั้งตัวบุคคล เขาจะช่วยดำเนินการมาตลอด นับแต่ทำความเข้าใจในเรื่อง การเงินช่วยเหลือ มาตั้งแต่โครงการชิมชอปใช้ งบประมาณ ฅโครงการกู้ยืมต่าง ๆ ของชนชั้นอาชีพเกษตรกรรม มาถึงการช่วยเหลือของรัฐบาลระบบต่างๆ เช่นเงินคนพิการ เงินคนรายได้น้อย เงินอื่นๆ
แม้กระทั่ง เรื่องการพัฒนาการอาชีพ เช่นทำนาตามแบบพอเพียง ที่ไปเกี่ยวข้องกับเงินกู้ของรัฐบาลไปให้การช่วยเหลือการพัฒนาการอาชีพ ซึ่งเขาเองได้นำเสนอล้วนแต่โครงการที่สอดคล้องเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ร.9ของเรา ทั้งหลาย และยังมีโครงการใหม่ ๆ ที่ทันสมัย เช่น โครงการ โคกหนองนา 30-30-30-10 = 100 ในวงงเงินประมาณ 1-2 แสนบาท ...ซึ่งเขาเอาความรู้ที่ชัดเจนถูกต้อง แบบหายสงสัยจริง ๆ
และที่สำคัญถนอม อ่อนเกตุพล เขาเข้าไปประชิดติดตามถึงต้นตอปัญหา ไปดูให้เห็นจริง ข้อมูลจริง ช่วยแก้ปัญหาจริง อันเป็นลักษณะของ คนจริง คนที่ปรารถนาดีอย่างแท้จริงต่อคนยากคนไร้ คนมีปัญหา นั่นเอง นั่นเอง ตลอดมา
และในเรื่องการช่วยเหลือประชาชนนี้ เขาติดต่อไปถึงรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ธนาคาร สถาบันการเงินทุกสถาบันที่มาเกี่ยวข้อง ประสานงานไปถึง เจ้านายหัวหน้าโครงการทุกโครงการได้โดยตรงเลย แบบที่เอาของจริง เรื่องจริงมาชี้แจงกันเลย เช่นนี้ จนเขาเองก็ได้รับความช่วยเหลือ ประสานงานอย่างดีจากคนทุกชั้น ไปช่วยเหลือประชาชนผู้อยู่เบื้องล่าง ผู้ต่ำศักดิ์ ได้สำเร็จไปในระบบกลุ่มและบุคคลเฉพาะรายเป็นอย่างดี อย่างไรก็ดี บุคคลผู้นี้ ที่ได้รับการพิจารณาพิเศษจากเรา ก็คือ ความเป็นคนที่ประพฤติตนตามหลัก มัชฌิมาปฏิปทา หลักพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี เป็นแบบเป็นอย่างได้ดีมาก นั่นหมายถึง ความรู้สึกนึกคิดของคน ๆ นี้ มีความยึดมั่น ทำความรู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องของ เหตุ และ ผล หรือหลักการวิทยาศาสตร์ หาข้อมูลพวกนี้มาพิจารณาตัดสินใจ นั่นเอง และด้วยเหตุนี้ จึงดำรงตนเป็น เสรีชนได้เต็มตัว มีความเคารพตนเอง ที่วิเคราะห์วิจัยปัญหา มองปัญหาแบบมีเหตุมีผล ตามข้อมูลตามเหตุ ตามผล ได้รับการยอมรับ เป็นที่ศรัทธาของคนผู้ติดตามตลอด หากพบว่าปัญหาใด หรือ ใครไม่เป็นไปตามเหตุตามผล ก็ไม่ยอมรับไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เช่นนี้ จึงเป็นนักมิชฌิมาปฏิปทา อย่างแท้จริง และซึ่งจะเป็นหลักสำหรับประชาชนคนไทยทุกชั้นวรรณะ ที่จะร่วมมือกันพัฒนาตนเอง และพัฒนาประเทศชาติไปถูกทางถูกต้อง หรือหลักการบริหารงานธรรมาภิบาล นั่นเอง ยอมรับคนมีเหตุมีผล กล้าวิจารณ์ขับไล่คนร้ายคนไร้เหตุผลไปจากสังคมไทย นั่นเอง สมควรยกย่อง ถนอม อ่อนเกตุพล เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ. 2563 ขอให้ประสบความสำเร็จสามารถประสานงานทำประโยชน์แก่ประชาชนไทยต่อไปตลอดกาลนานเทอญ
บุคคลที่ 168 นายเจษฎา พลอยมอญ
ร้องเพลงคู่ เพลงพรุ่งนี้ยังมี กับสวรรยา รุ่งมณีพิพัฒน์
มีความไพเราะเสนาะในน้ำเสียงและลีลาของการขับร้องของนักร้องคู่นี้อย่างสุดซึ้งจริง ๆ ทั้งในความหมายของเนื้อเพลง และ ความหมายของความรู้สึก ที่สะท้อนถึงความจริง ที่น่าเศร้าโศรกใจตามเนื้อเพลง ที่สอดคล้อง ที่สะท้อนถึงความวิกฤตนั้นมาจากเรื่องไวรัสร้ายโควิด-19 ที่ทำลายโลกทั้งโลกอยู่ขณะนี้ นั่นเอง โดยเนื้อเพลงนั้นบอกว่า เส้นทางฝันที่มี วันนี้ต้องล่มสลายลงไปหมด หากแต่บทเพลงนั้นได้สะท้อนให้เห็นทางออกของการแก้ปัญหา ไม่ถึงสิ้นสุดความหวังลงไปตามเหตุการณ์ร้าย โดยที่เขายังมีคนรัก ดวงจิตนั้นพลันรำลึกถึงคนที่รัก แล้วจึงเกิดพลังจิตใจในการต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยว ไม่ท้อถอย แล้วเขาก็ยังมองถึงคนอื่น ผู้ที่ต้องประสบเหมือนอย่างเขา และด้วยเหตุแห่งจิตใจมีรัก จึงรอดได้ จึงได้สัจธรรมนี้ไปพยายามปลุกใจคนทั้งหลาย ให้เข้มแข็งขึ้นมาต่อสู้เหมือนอย่างเขา ซึ่งในกรณีนี้ มีสำนึกในดวงจิตความเป็นมนุษย์ ที่อ้างเอาความรัก โดยอาศัยบารมีอำนาจแห่งความรัก ความปรารถนาดี ความร่วมในความมีชีวิตของมนุษย์นั้น คือ มิตรภาพ มิตรจิตมิตรใจอันสูงสุด พร้อมความรักอันลึกซึ้ง ที่พร้อมต่อสู้ไปด้วยกัน จนกว่าจะพ้นวิกฤตขณะนี้ เปรียบเสมือนคืนแห่งความมืดมิดคืนนี้ ที่แสนทุกข์ทรมาน เพราะเส้นทางฝันที่มีวันนี้ล่มสลายลงทั้งหมด แต่ก็ยังมีคนรักที่ไม่ทอดทิ้ง มาอยู่เคียงข้าง โอบกอดให้กำลังใจ จับมือกันสู้ฝ่าฟันไปด้วยกัน รำลึกว่าหากพร้อมใจกันต่อสู้แล้ว นั้นแหละย่อมมีวันพรุ่งนี้ จงต่อสู้อย่าละวางพลังลงไปเลยนั้นแหละย่อมผ่านคืนร้ายนี้ไปสู่พรุ่งนี้ที่มีดวงอาทิตย์คอยพวกเราอยู่
เราจึงได้พบว่า นักร้องคู่นี้ เพลงพรุ่งนี้ยังมี เจษฎา พลอยมอญ กับ สวรรยา รุ่งมณีพิพัฒน์ สมควรแก่การเทอดทูนให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2563 ขอได้มีความสุขความเจริญในการงานอาชีพนักร้องนี้พร้อมทั้งความีชีวิตแสนสุขสมบูรณ์ตลอดไปนับกาลนานเทอญ
บุคคลที่ 169 นางสาวสวรรยา รุ่งมณีพิพัฒน์(มุก)
นักร้องหญิง คู่เพลง พรุ่งนี้ยังมี โดยร้องคู่กับ เจษฎา พลอยมอญ(ป๊อบ) นักร้องหญิงคู่เพลง พรุ่งนี้ยังมี วงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ โดยร้องคู่กับนักร้องชายเจษฎา พลอยมอญ (ป๊อบ)
มีความไพเราะเสนาะในน้ำเสียงและลีลาของการขับร้องของนักร้องคู่นี้อย่างสุดซึ้งจริง ๆ ทั้งในความหมายของเนื้อเพลง และ ความหมายของความรู้สึก ที่สะท้อนถึงความจริง ที่น่าเศร้าโศรกใจตามเนื้อเพลง ที่สอดคล้อง ที่สะท้อนถึงความวิกฤตนั้นมาจากเรื่องไวรัสร้ายโควิด-19 ที่ทำลายโลกทั้งโลกอยู่ขณะนี้ นั่นเอง โดยเนื้อเพลงนั้นบอกว่า เส้นทางฝันที่มี วันนี้ต้องล่มสลายลงไปหมด หากแต่บทเพลงนั้นได้สะท้อนให้เห็นทางออกของการแก้ปัญหา ไม่ถึงสิ้นสุดความหวังลงไปตามเหตุการณ์ร้าย โดยที่เขายังมีคนรัก ดวงจิตนั้นคิดถึงคนที่รัก แล้วจึงเกิดพลังจิตใจในการต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยว ไม่ท้อถอย แล้วเขาก็ยังมองถึงคนอื่น ผู้ที่ต้องประสบเหมือนอย่างเขา และด้วยเหตุแห่งจิตใจมีรัก จึงรอดได้ จึงได้สัจธรรมนี้ไปพยายามปลุกใจคนทั้งหลาย ให้เข้มแข็งขึ้นมาต่อสู้เหมือนอย่างเขา ซึ่งในกรณีนี้ มีสำนึกในดวงจิตความเป็นมนุษย์ ที่อ้างเอาความรัก โดยอาศัยบารมีอำนาจแห่งความรัก ความปรารถนาดี ความร่วมในความมีชีวิตของมนุษย์นั้น คือ มิตรภาพ มิตรจิตมิตรใจอันสูงสุด พร้อมความรักอันลึกซึ้ง ที่พร้อมต่อสู้ไปด้วยกัน จนกว่าจะพ้นวิกฤตขณะนี้ เปรียบเสมือนคืนแห่งความมืดมิดคืนนี้ ที่แสนทุกข์ทรมาน เพราะเส้นทางฝันที่มีวันนี้ล่มสลายลงทั้งหมด แต่ก็ยังมีคนรักที่ไม่ทอดทิ้ง มาอยู่เคียงข้าง โอบกอดให้กำลังใจ จับมือกันสู้ฝ่าฟันไปด้วยกัน รำลึกว่าหากพร้อมใจกันต่อสู้แล้ว นั้นแหละย่อมมีวันพรุ่งนี้ จงต่อสู้อย่าละวางพลังลงไปเลยนั้นแหละย่อมผ่านคืนร้ายนี้ไปสู่พรุ่งนี้ที่มีดวงอาทิตย์คอยพวกเราอยู่
เราจึงได้พบว่า นักร้องคู่นี้ เพลงพรุ่งนี้ยังมี สวรรยา รุ่งมณีพิพัฒน์ สมควรแก่การเทอดทูนให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2563 ขอได้มีความสุขความเจริญในการงานอาชีพนักร้องนี้พร้อมทั้งความีชีวิตแสนสุขสมบูรณ์ตลอดไปนับกาลนานเทอญ
เพลง พรุ่งนี้ยังมี
คำร้อง : จักรา เวียนวิวัฒน์
ดนตรี: วงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ PRD Band
ศิลปิน: – เจษฎา พลอบมอญ(ป๊อบ) - สวรรยา รุ่งมณีพิพัฒน์ (มุก)
เนื้อเพลง:
(ญ)ฉันรู้ว่าเธอกำลังเหนื่อยล้า
(ญ)ฉันรู้ว่าเธอกำลังปวดใจ
(ช)เส้นทางฝันที่มี วันนี้ต้องล่มสลาย
(ช)อย่าร้องไห้ไปเลยคนดี
(ญ)ฉันขออยู่เคียงข้างเธอได้ไหม
(ช)ฉันขอกอดเธอไว้ทุกนาที
(ญ)เพิ่มแรงใจให้กัน เติมฝันเพื่อวันพรุ่งนี้
(ญ)เพียงแค่เราจับมือกันสู้ฝ่าฟัน
(ช)พร่งนี้ยังมีแสงอาทิตย์ช่วยส่องทางให้เราก้าว
(ญ)จะทุกข์ยากแค่ไหนไม่ไหวหวั่น
(ช)พรุ่งนี้ยังมีหวังให้เรา สู้เพื่อสร้างความฝัน
(ช)คงไม่นานเราจะผ่านพ้นไปด้วยกัน
(