ศึกษาโลกลี้ลับ 27

Mysteryworld report 27

 

 

 

 

  

 

อากาสานัญจายตนะ เนวะสัญญานาสัญญายตนะฌาน

ในสวนสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

 

 

ตอนที่ 27 เริ่มวันที่ 26 ก.ค.2564

 

26 ก.ค. 2564,วันจันทร์,  เริ่มลงวิหารสวดมนตร์ ....ตามที่ จภ.ท่านขอให้พาพระเณรสวดมนต์ด้วย เพื่อให้ญาติโยมสบายใจว่ามีพระทำวัตรทำหน้าที่อยู่   และเริ่มสมาธิพบขั้นตอนใหม่ และเริ่มศึกษาอีกรอบใหม่.....บนพื้นฐาน อันสูงส่งแล้ว....อะไรจะเกิดขึ้น .......?

-----

27ก.ค.2564,วันอังคาร   เช้าเดินจงกรม  ให้พระผู้ใหญ่พาสวดมนตร์เช้าไป เราเดินจงกรมไปตลอด  เริ่มเดินทบทวนสภาพร่างกายก่อน  

-----

28 ก.ค.2564 วัน พุธ,   ทำวัตรเย็น   นั่งสมาธิไปตลอด 1 ชั่วโมง 30 นาที  16.30 - 18.00 น. ถวายวันเกิดในหลวง ร.10

พบสิ่งใหม่ 

ดังได้บันทึกไว้ดังนี้  

16.30 น. : นั่งสมาธิตั้งแต่เร่ิมสวดมนต์เย็น ทำวัตรพระ 16.30 -18.00 น.  1.30 ชม.ืไม่กระดุกกระดิกเลย  ท่าพนมมือประกบกันได้ตลอด เดินลมปราณยังไม่ค่อยได้ดี  ดนตรีสวรรค์ก็ยังไม่ค่อยเต็มเสียงชัดแจ้ง   แต่สมาธิเข้าระดับ พยายามตรวจสอบ ภาวะเบาตัว ภาวะไร้ตัวตน

คิดว่า ภาวะอย่างนี้ น่าทำให้ตัวเบาและเลื่อนองค์ขึ้นได้   นี่แหละน่ามีการศึกษาต่อจากสมาธิของเราที่มาระดับยอดเยี่ยมแล้วและผ่านไป ๆจนช่วงท้ายจึงได้เห็นสิ่งที่ประหลาดไม่เคยเห็นมาก่อน

โดยมองจากบนลงไป  เห็นเหล่าเทพเทวดามาชุมนุม  รายล้อมเป็นวงกลมขนาดใหญ่และแน่น  ล้วนเทวดาเทพสวมมงกุฏ อย่างในหนังอินเดียเลย  มาชุมนุมกันหนาแน่น เรียงติดกันไปเป็นวงกลมขนาดใหญ่  ไม่ทราบว่ามาชุมนุมกันทำไม 

เราคล้ายอยู่บนเมฆมองลงไปเห็นและเฝ้ามองอยู่นานเลยคล้ายตรงกลางวงนั้นมีอะไรสักอย่างแต่ไม่แน่ชัด  แต่คล้ายกับว่ามาแสดงความยินดีอะไรสักอย่างนั้นแหละ

นึกว่ามาพบพระพุทธเจ้าละมั้งแต่พวกเขาไม่ได้มองขึ้นมาเห็นเรา 

และบัดนี้ก็ยังไม่ได้ลงไปพบพวกเขา  

ก็ออกจากนั้นไปก่อน

แปลว่า เอาละ เราเข้าแดนสวรรค์ได้แล้วซี...?

นี่แหละบทศึกษาต่อไปในวันพรุ่งนี้  จะต่อเรื่องนี้ไปรู้แจ้งความจริงละ.

 

สัมผัสถึงความเบา : : ทำให้แขน - มือ ที่พนมกันไม่หนัก และสัมผัสถึงความไม่มีตัวตนของแขน-มือพนมนั้น  ทำให้ไม่รู้สึกหนักหรือยาก  พนมมือเหมือนไม่ได้พนมมือหว่างหน้าอก   ถึงครบ 1 ชม.ครึ่ง ยังไม่รู้สึก

 

สภาวะที่ปวดขา   วานนี้   หายไปหมด

เอาละ  เรามาสู่งานอีกขั้นหนึ่งของสมาธิแล้ว

การเหาะได้ น่ามาจากตัวเบา   เรามาสู่งานอีกขั้นหนึ่งจริงๆ งานทางสมาธิแล้ว

การเหาะได้ น่ามาจากตัวเบา และไร้ตัวตน ใช่ไหม?  เมื่อตัวเบา เราก็ยกตัวเลื่อนขึ้นบนอากาศได้ไหม?   เอาละ  ทดลองต่อไป....

ให้รู้แจ้งถึงเรื่องปาฏิหาริย์

----- 

29 ก.ค.2564,วันพฤหัสฯ 

06.30-08.30   เดินจงกรมตั้งแต่  06.30 น. - 8.30 น.  2 ชม. ไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อย  เหมือนคราวฝึกเดินจงคกรมที่สนามภาค10 ปีนู้นเลย   ตรวจทานและยืนยันหลักการเดินจงกรมที่เคยผ่านการฝึกมาอย่างเด็ดขาดแล้ว    มายกระดับใหม่  อะไรจะเกิดขึ้น ?

 

เรากำลังจะฟื้นคืนสภาพเดิมและยกระดับไปอีีกครั้งแล้ว    นี่เป็นการพบสิ่งใหม่

16.30 - 17.45 น.   1 ชม. 15 นาที  อยู่ในสมาธิ  เรียกได้ว่า สมาธิระดับไม่มีตัวตน  ตัวตนจะเบา  ไม่รู้สึกหนักเลย กับมือที่พนมที่หน้าอก เบา   และเรียกอีกว่าระดับ ว่างเปล่า  ....  เป็นเรื่องสมาธิโดยตรง.....แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นจากการเข้าสมาธิระดับนี้   ภาพนิมิตร เกิดขึ้น   เรียกได้ว่าภาพนิมิตร  ภาพที่เกิดขึ้นเป็นภาพเทพเจ้าทั้งหลายนับไม่ถ้วนชุมนุมกันอยู่  แบบเมื่อวานนี้นั่นเอง  พยายามเพ่งมองว่าเทพเจ้ามาทำอะไรกัน  ก็ยังไม่พบคำตอบ   แต่แล้วภาพก็เปลี่ยนไป  เห็นการชุมนุมอยู่รอบๆ ฝั่งทะเล ใหญ่   คล้ายคอยดูอะไรจะมาให้เทพเทวามาคอยต้อนรับ  อะไรล่ะ?   พอความคิดนี้เกิดขึ้นก็มีคำถามว่า  คอยต้อนรับอะไรล่ะ?    สิ่งนั้นย่อมสำคัญยิ่งใหญ่พอกับพระพุทธเจ้าเลยละ   คิดไปแบบนี้   แล้วจริงไหม?  แล้วที่พวกเทวดาต้องการ  หากพบพระพุทธเจ้า  เขาก็ย่อมต้องการคำสอนของพระองค์ ใช่ไหมล่ะ? .....ใช่เลย   และคำสอนนั้น ที่จะสอนเทพเทวดานั้น คือคำสอนอะไรล่ะ ? 

นั้นเป็นคำถามที่ย้อนเข้ามาสู่เราเอง   แต่ขณะนั้นเทพเทวาทั้งหลาย  ยังไม่ได้พบผู้ที่รอคอย?   เช่นนี้หรือเปล่า?

และที่เรามาได้พบนี้ เสมือนเราเห็นพวกเขา  ฝ่ายเดียว   พวกเขาไม่ได้เห็นเรา ....เรามองเห็นจากเบื้องสูงลิบลับ  จนเห็นตัวเล็ก ๆ ทั้งนั้นเบียดเสียดยัดเยียดกันไปตามขอบฝั่งทะเลใหญ่ใสสะอาดนั้น  

และสิ่งที่เห็น ก็คือ คล้ายมีเสียงจากข้างบน   เทพเทวาทั้งหลายพากันแหงนมองขึ้นหาเสียงนั้นกันแบบพะวักพะวงลักลั่นเพราะไม่ทราบทิศที่มาของเสียง 

 

เอาละ   เอาไว้ดูต่อ    วันนี้เอาแค่นี้  และลองวางแผนว่า  พรุ่งนี้   หากเราลงไปหาเทพเทวาเหล่านั้น  จะเป็นอย่างไร ?  และหากจะสอนธรรมะแด่พวกเขาจะสอนธรรมะอะไร ?.....แต่เราเองมีอยู่แล้วจะทบทวนก่อน  

 

เอาละ   สภาพร่างกายสมบูรณ์มาก   เหมือนคราวที่ไปฝึก21 วันที่ภาค10ปีนั้น ไปถึงวันแรกเหมือนจะไปไม่รอด และคิดจะออกไปเลยเพราะไปไม่รอดจริงๆ ต้องคอยล้มนอนพักผ่อน เหมือนคนแก่ ๆ ขี้โรคคนหนึ่งเลยละ    แต่แล้ว กลับฟื้นคืนได้ สู่สภาพที่ทรงพลังเสมอภาคอันใช้บุกเบิกไปได้ตามทางแห่งธรรมะโดยเฉพาะ   คราวนี้ก็เหมือนกัน และไปสู่ระดับสูงไปอีก  เรื่อง สมาธิเบาตัว  สมาธิตัวเบา   หรือสมาธิไม่มีตัวตน นั่นเองที่เราได้มาพบครั้งใหม่นี้   และนั่นแหละเหาะได้ละ...แต่เคล็ดลับนั้นคืออะไร?  นี่แหละจะเกินวิสัยเราไปหรือไม่?  

 

และเรายังจะเรียกเอาเสียงทิพย์มาเพิ่มเติมได้ต่อไปอีก  เสียงทิพย์ก็จะเพิ่มพูนต่อไปพร้อมกันสู่ระดับ 10,000 เอาละ ตลอดพรรษานี้ 90 วัน เอาละ  90 วันแห่งการฝึกฝนสำหรับโลกทั้งโลก

 -----

30 ก.ค. 2564,วันศุกร  

05.30-07.00 น   เช้าเดินจงกรม .

16.30 -18.00 เย็นนั่งสมาธิ

เสียงทิพย์ เข้าระดับแล้ว  ขณะนี้ได้ระดับ D; 3000 - L;20   บันทึกไว้

D;3000 - L;20  

 

ทฤษฎีเสียงทิพย์ก็คือ   ขึ้นถึงระดับ D;50,000 เมื่อใด   หายตัวได้ มาตรงเรื่อง สมาธิตัวเบา  ที่เราเพิ่งค้นพบ คราวใหม่นี้  ทำให้เหาะได้  ทั้งเสียงทิพย์และสมาธิตัวเบา น่าสนับสนุนกันได้ หรือไปด้วยกันได้  แต่เสียงทิพย์ดูเหมือนจะไปได้ไกลกว่า ชัดเจนกว่า 

 

 

 

 เอาเรื่องเดิมมาดู:

 

@@@ 22 พ.ค.2550

สรุปเรื่องเสียงทิพย์

1.   เสียงทิพย์คือ ฌาน เป็นประเภทเฉพาะตัวของบุคคล    

2.   มีระดับที่วัดได้เป็นหน่วย  ระดับ 1,000 ต่อ 1 หน่วย  ขึ้นไป

3.   มีนิยาม ระดับที่วัดได้ของเสียงทิพย์

4.   ระดับสูงสุดที่ได้พบ ตามที่บันทึกข้อมูลได้ คือระดับ 30,000 ต่อ 60 หน่วย         

ณ ระดับนี้เสียงทิพย์มีความไพเราะและโหมห่ออารมณ์จิตใจให้โปร่งเบาไร้น้ำหนัก   มีเจตสิกที่รับรู้สภาพอันนี้ และนำทางความปรารถนาไปได้ดั่งใจปรารถนา

สมมติฐานขั้นต่อไป

1       เมื่อเสียงทิพย์พัฒนาไปถึงระดับ 50,000 ต่อ 1-100 หน่วย  ตัวจะโปร่ง หรือหายตัวได้

2       เมื่อเสียงทิพย์พัฒนาไปถึงระดับ 100,000 ต่อ 1-100 หน่วย อะไรก็    เกิดขึ้นได้

3       เสียงทิพย์อาจพัฒนาไปได้ไม่จำกัด  อาจจะถึงระดับ  1,000,000 ต่อ 1-100 หน่วย  #####

 

 

เราจะทำอย่างไร?

 

เริ่มต้นทบทวนทุกสิ่งทุกอย่าง  หมายถึงพื้นฐานทุกระดับต้องแน่นและพร้อม   ต้องทบทวนแล้วตั้งใจพัฒนาส่วนของเสียงทิพย์โดยตรงต่อไป  ก็จะก้าวหน้าเร็วแน่ ๆ  และต้องถึงระดับ 50,000 โดยอัตโนมัติแน่ ๆ

เมื่อมาสู่ระดับใหม่ของสมาธิ  น่าจะก้าวหน้าเรื่องเสียงทิพย์ไปได้ด้วย

แต่ในขณะนี้เราได้วางงานด้านการเ(ยแพร่ธรรมะมรรคผลนิพพาน ระดับสูงสุด คืออรหัตตมรรค-ผลไปแล้ว  จัดการแผนงานเผยแพร่ระดับโลกไว้แล้ว  เรื่อง Buddhism To The Newworld ERA   งานใหญ่ที่เกี่ยวกับเรื่องมรรคผล ระดับ อรหันต์แล้ว   โดยแปลเป็นภาษาโลก44 ภาษาไปเลย

ไปดูเรื่องเก่า ที่บันทึกเอาไว้อีกตอนหนึ่ง

 

@@@มาตรฐานแห่งเสียงทิพย์ หรือ

A standard of  Divine Concert

ช่วงเวลาที่ผ่านมาหลายวันนี้ ไม่ได้มีการปฏิบัติอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากการทำวัตรประจำ เวลาส่วนมากที่สุดเป็นเวลาพบปะญาติโยม ๆ มาตลอดวัน และระยะหลัง ๆ นี้ยังมีญาติโยมมาเวลาเย็น ๆ เป็นเวลาเลิกงานแล้ว ข้าพเจ้าจึงถูกจำกัดเวลาไปโดยอัตโนมัติ.

 

กระนั้นแผนการของข้าพเจ้าก็คือ ให้การปฏิบัติธรรมเป็นไปในขณะที่พบญาติโยมอยู่นั่นเอง หรือการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน  งานประจำวัน  ซึ่งข้าพเจ้าได้ถูกบังคับให้ปฏิบัติในแนวนี้มาแต่เด็ก ๆ จนเกือบจะตลอดชีวิตแล้ว

 

และแม้การปฏิบัติวิชา 5 ประการนั้นข้าพเจ้าก็ให้เป็นไปในขณะปฏิบัติงาน  ฉะนั้นญาติโยมจะไม่เห็นว่าขณะที่ข้าพเจ้าปฏิการะญาติโยมอยู่  หรือแม้ทำการบริหารงานมวลชนผ่านเวบไซต์อยู่นั้น ข้าพเจ้าอยู่ในการปฏิบัติธรรมไปด้วย  นั่นคือ  สมาธิ  วิปัสสนา  และฌาน  เป็นสิ่งที่ทำไปได้พร้อมกัน

 

 

ฉะนั้น  เสียงทิพย์จึงบรรเลงอยู่ในขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ในหน้าที่การงานปกติ  ปรากฎว่า  ตั้งแต่วันนั้นแล้ว เสียงทิพย์ไม่เคยละไปจากข้าพเจ้าในทุกเวลามา ซึ่งนี่เป็นช่องทางโอกาสของข้าพเจ้าที่จะอาจพัฒนาไปได้ แม้ว่าระดับของเสียงยังไม่ก้าวหน้าไปเท่านั้น  เป็นระดับที่ค่า L อยู่ต่ำที่สุด คือระดับ L;10 U. ซึ่งหมายถึงเสียงนั้นมีความดังค่อยไปหน่อยเท่านั้นเอง   ส่วนระดับ D; นั้นเป็นที่น่าพอใจ แม้ว่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐาน  คือ D;5,000-6,000 U  ระดับมาตรฐาน คือเสียงทิพย์ ดนตรีของเทพเจ้า Divine Concerts  หรือ  Musics of Gods นั้นอยู่ที่ระดับ  D;10,000 L;10-100U.@@@###

 

31 ก.ค.2564,วันเสาร์

 

05.20น. ออกบิณฑบาต วันแรก ออกประตู แม่ศรีธ.ไปถึง ธ. กรุงไทยด้วย (ไปตรวจเงินเข้า=?) ได้อาหารมากมายถือติดมือมาด้วย

05.50 น.แม่เรไรโทร.มาบอกมีเรื่องน่าตกใจ  โทร.มาหลายครั้ง พ่อไม่อยู่(ไปบิณฑบาต) ว่า ลูกสาวเขาจะกินยาตาย  เป็นเวลาที่แม่เรไรจะออกไปข้างนอก จะไปธุระข้างนอก จะไปหายายก่อน  ออกไปแล้วคิดเฉลียวใจ ย้อนกลับมา เข้าไปในห้อง ได้กลิ่นยาคลุ้งไปหมด รีบผลักประตูเข้าไป พบกำลังยกแก้วยาจะกิน  รีบเข้าไปยึดไว้ ...เป็นยาพิษ เขาจะฆ่าตัวตายอีกครั้ง   หากแม่เรไรไม่เฉลียวกลับมาว่าจะกลับมาตอนสาย ๆ  มาก็คงพบศพเขาพอดี  เขาไม่แสดงอาการเครียดหรือโกรธใครเลยยิ้มแย้มแจ่มใส  แต่ซ่อนแผนร้ายเอาไว้  ว่าอยู่ที่พ่อจะบอกเขา ๆ จึงฟัง    ก็โทร.ไป  ดูเหมือนเขาไม่รู้สึกว่าได้ทำอะไรให้ใครตกใจ   ว่าได้ข่าวแม่เรไรบอกไป   อย่าทำอย่างนี้อีก  น้อยจะต้องอยู่กับพ่อ  เพื่อเผยแผ่ทำงานของระพุทธเจ้าร่วมกัน  ให้เด่นดังมีชื่อเสียงไปทั่วโลก อย่างที่น้อยเคยพูดไว้  เราสองคนต้องทำงานของพระพุทธเจ้าด้วยกัน  ส่วนอะไร ๆ  ที่ยังไม่ได้ดัใจนั้นเป็นการทดสอบของบารมี   ขอให้เอาชนะให้ได้  อย่าทำเหมือนแม่ แม่เป็นกะหรี่ตัวไม่เอาก็ดีแล้ว   แต่ยังจะทำเหมือนแม่ในเรื่องคิดฆ่าตัวตายตลอดนี้ไม่ดี  ถือว่ายังไปไม่พ้นอย่างแม่ ต้องเอาให้พ้นทั้ง2 อย่างๆที่น้อยพูดไว้   เอาละนะ มาเข้าใจว่าพ่อน่ะรักน้อยไม่มีวันทอดทิ้งน้อยเลย ถึงน้อยจะไม่ได้ทำงาน  พ่อก็จะเลี้ยงดูไปตลอด  จะหาเงินทองค่าใช้จ่ายให้หมดไม่ต้องตกใจ  ขอให้พ้นระยะโควิดนี้ไปก่อนแล้วจะได้ร่วมกันทำงานพระพุทธเจ้าให้ระบือไปทั่วโลก อย่างที่น้อยพูดไว้นั่นเอง  เอาละเข้าใจแล้ว  มาสาบาญให้พ๋อทราบเถอะว่าจะไม่ทำการไม่คิดทำอีก  สัญญานะสัญญา  เขาสัญญาค่อย ๆ  ............

06.30-07.50น.- 09.30 น. เดินจงกรมในวิหาร ด้านหลังหลวงพ่อโต  แล้วออกมาต่อข้างนอก วันนี้เดินได้ทั้งหมดทุกท่าแล้ว ตั้งแต่ ท่าที่ 1  ถึงท่าที 5 เวลาเดินทั้งหมด  ไม่หยุดเลย  ตั้งแต่  06.30-09.30    3 ชั่วโมงเต็ม ๆ   นี่แหละสุดยอด ชมตัวเอง

16.30-18.10 น.  1 ชั่วโมง 40 นาที พนมมือนั่งสมาธิ ตั้งใจทำแบบพนมมือเหนือหน้าอก เพื่อแสดงระดับไร้ตัวตน  สมาธิเบา  ซึ่งยากจะมีใครในแผ่นดินทำได้   มีครั้งหนึ่ง ไอ มีเสลดออกมาหยุดเปิดแมสก์ เช็ดปากแล้วนั่งพนมมืออต่อไป......ไปร่วมชั่วโมงแล้ว   ภาพที่ติดตามก็ไม่เห็นมีขึ้น   ก็ได้ทบทวนเรื่องอื่นไป และพยายามรักษาระดับแห่งสมาธิเอาไว้  คือ  ระดับเบาตัว  ไร้ตัวตน  รักษาเอาไว้ .....และแน่ใจว่าไปได้ดตลอดคืน

 

....แต่แล้วพอจะออกจากสมาธินั้นเอง  กระชับมือทั้งสองตรวจสอบมือและนิ้วนั้นเอง  กลับพบนิมิตร  นิมิตรที่ต่อเนื่องมาจากวานนี้ วันก่อนนี้ เรื่องเดียวกัน  คือ  เรื่องที่เห็นเทพเจ้าผู้สวมมงกฎ  ยอดยาวสลอน   ซึ่งวันแรกเห็นเรียงแถวเป็นวงกลมยืนกันแน่นขนัด   เห็นก็ไม่เข้าใจความหมาย    วันที่ 2 เห็นคล้ายว่า พากันรออะไร รอต้อนรับอะไร สงสัยอยู่  คิดในใจว่าต้อนรับคนสำคัญระดับพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ล่ะซี   และคิดว่าหากเป็นเรา ๆ ก็คงต้องเทศน์ให้เทพเจ้าฟังธรรมของพระพุทธเจ้า......แต่ก็ยังไม่เห็นเรื่องราวต่อไปอีก     และวันนี้เอง  ตลอดเวลาเข้าสมาธิมา 1 ชั่วโมงแล้ว  ก็ยังไม่เห็นนิมิตรต่อเรื่องราวเกิดขึ้น  ยังไม่เห็นหมู่เทพเจ้าเลย  เห็นอยู่ตอนหนึ่งเหมือนกัน   แต่เห็นผ่าน ๆ   คล้ายสายตาพาดไปในแนวมงกุฎที่เทพสวมใส่กัน  สวยงามมาก  เห็นผ่านๆเท่านั้น  แบบเห็นปลายแหลมของมงกุฎเรียงกันเป็นแนวเป็นแถวยาว ก็คิดว่าคงไม่เห็นอีกสำหรับวันนี้ 

 

แต่แล้ว ตอนที่เตรียมจะออกจากสมาธิ 10 นาทีสุดท้ายนั้นเอง พอพนมมือปรับฝ่ามือเข้าแน่น ก็เห็นหมู่เทพเทวดาทั้งหลายในระยะประชิดเลย เห็นหน้าตาชัดเจนล้วนรอยยิ้ม คล้ายมาถึงต่อหน้าเทพเทวดา  เดินไปต่อหน้าเทพเทวดาทั้งหลายเห็นภาพอันน่าชื่นชมที่เทพเทวาทั้งหลายมีแต่ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสหัวยิ้มกันคอยรับเรานั้นเอง   เดินไปช่วงกลางต่อหน้าเทพผู้ใหญ่   อาการเราเป็นอาการเหมือนพนมมือในท่าสมาธินั้นเดินเข้าไป  พวกเทพเทวาทั้งหลายต่างก็พากันพนมมือขึ้น  พากันยิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคน ๆ   เหมือนอย่างว่าคุ้นเคยกันดีมาก่อนด้วยซ้ำ   มีอาการกริยาเหมือนแบบมิตรที่รักกันมาก่อน ไม่ได้พูดอะไรกันเลยมีแต่ยิ้มแบบสุดซึ้งตรึงใจไมตรีจิตจริงๆ แล้วพวกเขาก็แหวกทางให้เข้าไปข้างในเปิดทางออก  ซึ่งยังไม่ทันเห็นว่าขาจะให้ไปตรงไหน แต่เขาเตรียมต้อนรับเตรียมบัลลังก์ให้นั่ง  เห็น มีเบื้องหลังพนักนั้นเป็นภาพพระศิวะเต้นรำอยู่  นั่นแหละพวกเขาจะพาไปนั่ง และจะถามไถ่กันแบบมิตรเลย ไม่ใช่แบบครูบาอาจารย์หรอก...

 

.เราก็คิดว่าอย่าเพิ่งเลย  เอาไว้ต่อตอนต่อไปดีกว่า...คิดอย่างนั้นก็ออกจากสมาธิมา...ไม่ทราบเหมือนกันว่า การออกจากสมาธิมานั้น หมายความว่าหายไปจากหมู่เทพเทวาหรือเปล่า และทำให้พวกเขารอหรือเปล่า   หรืออย่างไรกันแน่ก็คอยดูต่อไป  ......เตรียมเรื่องจะเทศน์ให้เทพเทวามวลมิตรสหายนี้ฟังในวันต่อไป.......การได้พบวันนี้ บอกถึงความรู้สึกว่าได้พบหมู่ผู้ดีผู้สูงส่งด้วยมิตรภาพ  และ  บัดนี้ดูเหมือนเราได้เทพเทวดาทั้งโลกสวรรค์เป็นมิตรแล้วซี  ?    อะไรจะดีขนาดนี้ ?   คล้าย ๆ ว่า   เราเคยเป็นเทพเทวานั้นละมั้ง   และ  ลงไปจุติในโลกเพื่อศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า    แล้วเพื่อนเทพนี้ก็คงตามมาตลอดจนสำเร็จก็คงได้ทราบความสำเร็จของเรา ก็พากันปรีดาปราโมทย์   ก็เลยขอเชิญมาสวรรค์ มาเทศน์ให้ฟัง   มาแสดงความยินดีด้วย  คงประมาณนั้น  เพราะดูเทพทุกองค์ต่างมีสีหน้ายินดีจริงๆ  แบบเต็ม ๆ  ไปเลย  แบบที่ว่าเป็ฯอะไไรที่ดูรื่นรมย์มีแต่ความปิติยินดีไร้มนทิ,ไปหมดในดวงหน้าสายตาและแม้รอยยิ้มแย้ม   น่าเป็นภาพหมู่ของเทพเทวาที่สุดซึ้งจริง ๆ แบบที่คิดกันว่าเพื่อนเราลงไปแสวงหาพระธรรมอันสูงสุดบัดนี้พบความสำเร็จแล้ว  น่าชื่นชมจริงๆ  นั่นน่าเป็นความคิดของปวงเทพนั้น    เอาละ คงมีเรื่องต่อไปอีก    และนี่แหละหมายความว่าเทพเทวาทั้งหลายคงจะมาช่วยงานเผยแผ่พุทธธรรมกันไปตาม ๆ กันละ     

แล้วก็ขอช่วยให้ลูกสาวหายป่วยเร็วๆ เถอะ ...

 

1 ส.ค.2564,วันอาทิตย์ วันพระ

06.30 - 09.00 น.  เดินจงกรม  2 ด้านวิหาร  ตะวันตกต่อไป ใต้  กะจะให้รอบมหาวิหาร เดินทั้งคืน ....... 

 ได้สัมผัสว่ามีเทพองค์หนึ่ง-2องค์สวมมงกุฏ เข้ามานั่งข้างทางพนมมือชมการเดินจงกรมของเรา 

วันนี้  เดินทะลุ 6 ระยะแล้ว  แบบสมบูรณ์

ยกส้นหนอ---ยกหนอ---ย่างหนอ---ลงหนอ---ถูกหนอ---กดหนอ---

-----

2 ส.ค.2564 วันอังคาร

07.00น. - 09.00 น.  เดินจงกรม  พบสภาพตัวเบา   การเดินแบบเบา  นั่นคือ   ไร้ตัวตน ที่ไปสัมพันธ์กับสมาธิแบบที่ได้พบใหม่ คือ  สมาธิไร้ตัวตน

 

17.00-18.00น.

D;10,000,U;30,

พนมมือนั่งสมาธิ 2 ชม.ไม่กระดุกกระดิก    ได้พบเสียงทิพย์เริ่มแต่เสียงโครมครามแตกหักในตอนแรก ๆ  ไปจนที่สุดก่อนออกสมาธิ 30 นาที เลยสู่ระดับของเสียงสวรรค์   หรือ  Divine Concert  โดยสมบูรณ์ นั่นคือ  ระดับ  D;10,000,U;30,  ยูยังต่ำอยู่แค่30 แต่ก็ขนาดนี้  นี่คือเสียงที่สุดแสนจะไพเราะ ที่เป็นกระแสเหนือเสียงใดใด  หากแต่สุดแสนจะละเอียดอ่อน  เป็นเสียงอันละเอียดอ่อน  มันมีลักษณะโครมครามมาแต่แรก แต่โครมครามแบบสุดแสนจะไพเราะ   แต่แล้วเสียงลงไปรวมกันอย่างละเอียดอ่อน มีแต่ความสละสลวยเลื่อนไหลไปอย่างห้าวหาญ  แข็งแกร่ง   เหนือเสียงใดใดทั้งสิ้น เหนือเสียงสวดมนต์  ไร้อะไรไปต้านทานได้  เป็นเสียงแห่งอำนาจและชัยชนะ  เหนือโลก  ที่สุดแสนจะไพเราะเพราะพริ้งแบบกินใจจนลืมโลก เกินบรรยาย   นั่นจึงสมควรแก่ชื่อว่าดนตรีเทพเจ้า  ดนตรีสวรรค์จริงๆ และเราก็มาถึงระดับ ดนตรีเทพเจ้าค่าอยู่ที่  D;10,000,U;30,  แม้ค่า  u;จะ30  หากถึง50-60 แล้ว มหาวิหารคงถล่ม   เอาละ เสียงอไร ดนตรีเทพเจ้า  สุด ๆ สุดบรรยายได้ถึงความไพเราะจริงๆ     และแน่ละ  ถึง D;50,000, เมื่อไร น่าเป็นไปได้ เรื่อง  หายตัวได้   เรื่องตัวเบา   น่ามีเหตุผลจริง ๆ  บันทึกเอาไว้  D;10,000,U;30,

 21.00น.

D;4,000,U;30,

-----

-----

-----

พุทธศาสนาสำหรับโลกยุคใหม่

Buddhism for newworld era

 

 

ศีล  สมาธิ  ปัญญา

ศีล เป็นเพียงพลังรักษาสภาวะสังคมให้เป็นปกติ ให้ผู้ประพฤติปฏิบัติปกติ ไม่ทะลักออกไปสู่ความวุ่นวาย เพราะยุคเก่ายุคเดิมทรงบัญญัติไว้อย่างละเอียดมาก เพื่อให้เหมาะกับคนยุคนั้น  แต่มายุคนี้ คนทั้งหลายจะมีศีลแบบใหม่  มีสมาธิแบบใหม่  เพื่อไม่ให้กีดกั้นการทะลุสู่ปัญญาอย่างรวดเร็ว    มีปัญญาอันประเสริฐแบบดั้งเดิมแบบที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบและส่งผลอย่างรวดเร็วเมื่อพลังปัญญาเริ่มเกิดก่อตัวขึ้นเต็มสภาวะวิสัย เมื่อพลังปัญญาเดินหรือออกอำนาจออกไป  นั่นคือสู่อริยมรรค อริยผลสูงสุดได้ทันใดได้เลย    และนี่แหละประเด็นสำคัญ ที่นำไปสู่ระบบธรรมะปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานแบบใหม่ให้สอดคล้องโลกยุคใหม่นี้ และเป็นแบบธรรมปฏิบัติแท้จริงของเสรีชน   นั่นก็คือ

1.  คนทั้งหลายไม่จำเป็นต้องไปพบมอบตัว ฝากตนเป็นลูกศิษย์แด่ครูบาอาจารย์ท่านเลย โดยปกติแต่เดิมมาที่ต้องทำเช่นนั้น แต่ยุคใหม่นี้ตัดส่วนนี้ออกไปเลย การที่ต้องมอบตัวมาฝากตน มากราบมาไหว้สักการะฝากตนเป็นศิษย์สาวกก่อน การศึกษาวิชาการอันสูงสุดล้ำเลิศนี้ไม่มีความจำเป็น สำหรับคนยุคนี้แล้ว  ท่านเพียงทำตนเป็นเสรีชนผู้ที่มีจิตฝักใฝ่อย่างแท้จริงที่จะศึกษาธรรมตามคำสอน เพื่อให้มีการพิศูจน์ด้วยตนเองแบบมีเหตุมีผลและตนเองนั้นได้รับผลดีเกิดขึ้นจากอิทธิพลของปัญญาตนเองแก่ตนเองนั้นเองเท่านั้น

2.   อาจารย์ผู้ที่จะสอนวิชา  ศีล สมาธิ  ปัญญา ให้แบบใหม่นั้น ไม่ปรารถนาจะมีลูกศิษย์  โดยเฉพาะลูกศิษย์ในแบบเดิมๆ  คือมากราบกรานไหว้ บูชา คารวะ แต่อย่างใดเลย เพราะการเป็นครู อาจารย์  เป็นศิษย์ สาวก  นั้น ไม่ได้ช่วยให้บรรลุอริยสัจธรรมแต่อย่างใด  เป็นความสำเร็จทางปัญญาล้วน ๆ อย่างแท้จริงเท่านั้น    ความสำเร็จทางปัญญานี้จะไม่เกี่ยวกับความเป็นอาจารย์หรือลูกศิษย์หรือแม้สาวกเลย  แต่เกี่ยวกับการปฏิบัติทางปัญญาให้ถูกต้องตามประเด็นการสอนทางปัญญาแบบใหม่ที่แนะนำให้เท่านั้นเอง แบบว่า  สัจธรรมแห่งการบรรลุมรรคผลนิพพานนั้น พระพุทธเจ้าเป็นเพียงผู้ชี้ทางให้เท่านั้น  ถ้าไม่เดินไปเอง ก็ไม่มีทางบรรลุเป้าหมาย    การที่ต้องเดินไปเอง  ตามทิศทางที่ท่านชี้ให้  นั่นแหละเป็นความสำคัญที่สุดสำหรับความสำเร็จธรรมของคนยุคนี้

3.  การทำความเข้าใจสัจธรรมเรื่อง ศีล  สมาธิ  และ ปัญญา  จะมีการอธิบายและปฏิบัติไปแบบใหม่   โดยเฉพาะแทบว่าจะไม่จำเป็นที่จะไปเน้นเรื่อง ศีล  และ สมาธิ กันอย่างหนัก อย่างเช่นที่มีการปฏิบัติกันมาในยุคหลัง มาอยู่ขณะนี้  ยุคนี้  จะมีการเน้นเรื่อง  ปัญญา ให้ประจักษ์ชัดว่า พลังปัญญา นั้นมีความเรี่ยวแรง กว่าพลัง สมาธิ มากมายนัก จนกระทั่งว่าเมื่อได้พบเข้าแล้ว  เราแทบไม่จำเป็นต้องไปอาศัยพลังสมาธิ หรือ  พลังศีลเลย  และนี่แหละประเด็นความเหมาะสมอย่างยิ่ง สำหรับการปฏิบัติธรรมเพื่อการบรรลุมรรคผล นิพพาน สำหรับคนยุคใหม่  และที่คนยุคใหม่จะสามารถปฏิบัติไปได้ด้วยตนเองแบบเสรีชน ผู้เคารพตนเอง  เคารพเรื่องเหตุ และ ผล  และแน่นอน  มีการบรรลุ  ในแบบตามลำดับ  สู่อริยบุคคลได้ตามลำดับเหมือนเดิม  เพียงแต่นี่จะเป็นการลัดถึงตำแหน่งอริยบุคคลสูงสุดคือ อรหันต์ เลยทีเดียว โดยไม่จำเป็นต้องผ่านลำดับต้น คือ  โสดาบันบุคคล  สกทาคามีบุคคล  อนาคามีบุคคล  มาเลยก็ได้  การลัดข้ามไปสู่ อรหัตมรรค อรหัตตผล นั้นจะเป็นผลขึ้นทันที เมื่อ  พลังปัญญาออกฤทธิแสดงผลขึ้น  

4.  เราต้องการอะไร?  ไม่ต้องการอะไร นอกจากต้องการให้วิชาอันสูงสุดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมที่เราได้พบแล้วนี้ จะได้ให้ประโยชน์อันสูงสุด สุดดีสุดประเสริฐแด่คนยุคนี้ โปรดทำการศึกษาเรื่องราวพื้นฐานทั่ว ๆ ไปก่อน จากเวบไซต์ของเรา   

และด้วยวิธีการนี้   คนทั้งโลกที่ล่าสุดมีสถิติประชากรโลก 7.6 พันล้านคน  ก็จะสามารถศึกษาธรรม บรรลุมรรคผลนิพพานได้ด้วยการศึกษาแบบใหม่นี้กันง่าย ๆ ทั้งโลก

-----
-----

Buddhism for the New World era

morality, concentration, wisdom

Precepts are just the power to maintain normal social conditions. for those who behave normally not spilling out into chaos because the old era, the old era, was very detailed To suit the people of that era, but in this era, people will have new precepts. new meditation so as not to prevent the rapid penetration of wisdom It possesses the original sublime wisdom discovered by the Lord Buddha and results in a rapid effect when the power of wisdom begins to form at its full potential. When the power of wisdom walks or goes out of power that is, to the Noble Path The highest results can be obtained immediately. And that's the point. leading to a new system of dharma practice for nirvana in accordance with this new world and it is the true Dharma practice of the free people, that is

1. People do not need to surrender themselves. Leave yourself as a student to your teacher. Usually, originally had to do so. But this new era cuts this out completely. having to surrender come to worship and pay respect to be a disciple first This supreme academic education is not necessary. For this generation You just act as a free person who has a true mindset to study the Dharma according to its teachings. In order to have a rational self-expression and one's self-rewarding effect only arises from the influence of one's own wisdom on one's own self.

2. Teachers who will teach the subjects of morality, concentration, and wisdom in a new way. not wishing to have disciples especially the students in the original way is to worship, worship, worship, revere Because being a teacher, a teacher, a disciple, a disciple does not help attaining the Noble Truth at all. It is purely intellectual achievement. This intellectual success has nothing to do with being a teacher or a disciple or even a disciple. but only about the practice of the intellectual in accordance with the point of the new intellectual teaching that has been suggested. The Buddha was only a guide. If you don't walk by yourself there is no way to achieve the goal having to walk by myself in the direction you pointed That is the most important thing for the success of the people of this era.

3. Understanding the truth about morality, concentration and wisdom will be explained and practiced in a new way. In particular, it is almost unnecessary to focus heavily on precepts and meditation, as has been practiced in the latter era, and in this era, there will be an emphasis on wisdom. Much stronger than the power of concentration until when I met him We hardly need to rely on the power of meditation or the power of precepts, and this is the point of great suitability. For the practice of dharma for the attainment of the path, nirvana for the new generation. and that the new generation will be able to operate on their own like free people self-respecting person Respect cause and effect and, of course, are achieved in a sequential fashion. to the noble person in the same order as before Only this will be a shortcut to the position of the highest noble person, the Arhat, without having to go through the first order, namely, Sotanaban Person, Sakdagami Person, Anagami Person. effect shows

4. What do we need? don't want anything In addition to wanting to give the highest subjects of the Lord Buddha, Samana Gotama, that we have already met. will give the greatest benefit The best of the best for the people of this era. Please do a general study of the basics first from our website.

and with this method All the people in the world who recently had a world population record of 7.6 billion people will be able to study the Dharma. The path of Nirvana can be attained with this new type of education easily accessible all over the world.

-----

 

-----