ReadyPlanet.com
dot
dot dot
bulletBUDDHISM TO THE NEW WORLD ERA
bullet1 Thai-ไทย
bullet2.English-อังกฤษ
bullet3.China-จีน
bullet4.Hindi-อินเดีย
bullet5.Russia-รัสเซีย
bullet6.Arab-อาหรับ
bullet7.Indonesia-อินโดนีเซีย
bullet8.Japan-ญี่ปุ่น
bullet9.Italy-อิตาลี
bullet10.France-ฝรั่งเศส
bullet11.Germany-เยอรมัน
bullet12.Africa-อาฟริกา
bullet13.Azerbaijan-อาเซอร์ไบจัน
bullet14.Bosnian-บอสเนีย
bullet15.Cambodia-เขมร
bullet16.Finland-ฟินแลนด์
bullet17.Greek-กรีก
bullet18.Hebrew-ฮีบรู
bullet19.Hungary-ฮังการี
bullet20.Iceland-ไอซ์แลนด์
bullet21.Ireland-ไอร์แลนด์
bullet22.Java-ชวา
bullet23.Korea-เกาหลี
bullet24.Latin-ละติน
bullet25.Loa-ลาว
bullet26.Finland-ฟินแลนด์
bullet27.Malaysia-มาเลย์
bullet28.Mongolia-มองโกเลีย
bullet29.Nepal-เนปาล
bullet30.Norway-นอรเวย์
bullet31.persian-เปอร์เซีย
bullet32.โปแลนด์-Poland
bullet33.Portugal- โปตุเกตุ
bullet34.Romania-โรมาเนีย
bullet35.Serbian-เซอร์เบีย
bullet36.Spain-สเปน
bullet37.Srilanga-สิงหล,ศรีลังกา
bullet38.Sweden-สวีเดน
bullet39.Tamil-ทมิฬ
bullet40.Turkey-ตุรกี
bullet41.Ukrain-ยูเครน
bullet42.Uzbekistan-อุสเบกิสถาน
bullet43.Vietnam-เวียดนาม
bullet44.Mynma-พม่า
bullet45.Galicia กาลิเซียน
bullet46.Kazakh คาซัค
bullet47.Kurdish เคิร์ด
bullet48. Croatian โครเอเซีย
bullet49.Czech เช็ก
bullet50.Samoa ซามัว
bullet51.Nederlands ดัตช์
bullet52 Turkmen เติร์กเมน
bullet53.PunJabi ปัญจาบ
bullet54.Hmong ม้ง
bullet55.Macedonian มาซิโดเนีย
bullet56.Malagasy มาลากาซี
bullet57.Latvian ลัตเวีย
bullet58.Lithuanian ลิทัวเนีย
bullet59.Wales เวลล์
bullet60.Sloveniana สโลวัค
bullet61.Sindhi สินธี
bullet62.Estonia เอสโทเนีย
bullet63. Hawaiian ฮาวาย
bullet64.Philippines ฟิลิปปินส์
bullet65.Gongni-กงกนี
bullet66.Guarani-กวารานี
bullet67.Kanada-กันนาดา
bullet68.Gaelic Scots-เกลิกสกอต
bullet69.Crio-คริโอ
bullet70.Corsica-คอร์สิกา
bullet71.คาตาลัน
bullet72.Kinya Rwanda-คินยารวันดา
bullet73.Kirkish-คีร์กิช
bullet74.Gujarat-คุชราด
bullet75.Quesua-เคซัว
bullet76.Kurdish Kurmansi)-เคิร์ด(กุรมันซี)
bullet77.Kosa-โคซา
bullet78.Georgia-จอร์เจีย
bullet79.Chinese(Simplified)-จีน(ตัวย่อ)
bullet80.Chicheva-ชิเชวา
bullet81.Sona-โซนา
bullet82.Tsonga-ซองกา
bullet83.Cebuano-ซีบัวโน
bullet84.Shunda-ชุนดา
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet86.Sesotho-เซโซโท
bullet87.NorthernSaizotho-ไซโซโทเหนือ
bullet88.Somali-โซมาลี
bullet89.History-ประวัติศาสตร์
bullet90.Divehi-ดิเวฮิ
bullet91.Denmark-เดนมาร์ก
bullet92.Dogry-โดกรี
bullet93.Telugu-เตลูกู
bullet94.bis-ทวิ
bullet95.Tajik-ทาจิก
bullet96.Tatar-ทาทาร์
bullet97.Tigrinya-ทีกรินยา
bullet98.Check-เชค
bullet99.Mambara-มัมบารา
bullet100.Bulgaria-บัลแกเรีย
bullet101.Basque-บาสก์
bullet102.Bengal-เบงกอล
bullet103.Belarus-เบลารุส
bullet104.Pashto-พาชตู
bullet105.Fritian-ฟริเชียน
bullet106.Bhojpuri-โภชปุรี
bullet107.Manipur(Manifuri)-มณีปุระ(มณิฟูรี)
bullet108.Maltese-มัลทีส
bullet109.Marathi-มาราฐี
bullet110.Malayalum-มาลายาลัม
bullet111.Micho-มิโช
bullet112.Maori-เมารี
bullet113.Maithili-ไมถิลี
bullet114.Yidsdish-ยิดดิช
bullet115.Euroba-ยูโรบา
bullet116.Lingala-ลิงกาลา
bullet118.Slovenia-สโลวีเนีย
bullet119.Swahili-สวาฮิลี
bullet120.Sanskrit-สันสกฤต
bullet121.history107-history107
bullet122.Amharic-อัมฮาริก
bullet123.Assam-อัสสัม
bullet124.Armenia-อาร์เมเนีย
bullet125.Igbo-อิกโบ
bullet126.History115-ประวัติ 115
bullet127.history117-ประวัติ117
bullet128.Ilogano-อีโลกาโน
bullet129.Eve-อีเว
bullet130.Uighur-อุยกูร์
bullet131.Uradu-อูรดู
bullet132.Esperanto-เอสเปอแรนโต
bullet133.Albania-แอลเบเนีย
bullet134.Odia(Oriya)-โอเดีย(โอริยา)
bullet135.Oromo-โอโรโม
bullet136.Omara-โอมารา
bullet137.Huasha-ฮัวซา
bullet138.Haitian Creole-เฮติครีโอล
bulletคำบูชาพระรัตนตรัย ทำวัตรแปล เช้า-เย็น
bulletChart Showing the Process
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2540 - 2566
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 1
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 2
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี บุคคลที่ 1 - 188 ปัจจุบัน
bulletหนังสือพิมพ์ดี
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 1
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 2
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 3
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 4
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 5
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 6
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 7
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 8
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 9
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 10
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 11
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 12
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 13
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 14
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 15
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 16
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 17
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 18
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 19
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 20
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 21
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 22
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 23
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 24
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 25
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 26
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 27
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 28
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 29
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 30
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 31
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 32
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 33
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 34
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 35
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 36
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 37
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 38
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 39
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 40
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 41
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 42
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 43
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 44
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 45
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 46
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 47
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 48
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 49
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 50
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 51
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 52
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 53
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 54
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 55
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที่ 56
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 57
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 58
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 59
bulletTo The World
bulletENGLISH
bulletUSA
bulletChina
bulletIndia
bullet Mynmar
bullet Cambodia
bullet Loas
bulletSri Lanka
bulletMalaysia
bulletKorea
bulletA Sharp Turn of Believes : Iresearch Iwrite Iread
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 1
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 2
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 3
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 4
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 5
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 6
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 7
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 8
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 9
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 10
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 11
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 12
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 13
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 14
bulletMystery Report 15
bulletMystery Report 16
bulletMystery Report 17
bulletMystery Report 18
bulletMystery Report 19
bulletMystery Report 20
bulletMystery Report 21
bulletMystery Report 22
bulletMystery Report 23
bulletMystery Report 24
bulletMystery World Report 25
bulletศึกษาโลกลี้ลับ 26
bulletเฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว วิเคราะห์ทุกปัญหาในโลกมนุษย์ด้วยสติปัญญาและเหตุผลวิทยาศาสตร์จากนสพ.ดี
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2536
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2537
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2538
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2539
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2540
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2541
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2542
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2543-2545
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2545-2549
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2549-2550
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2550-ส.ค.2551
bulletเฝ้าดูฯ ส.ค.-ก.ย.2551
bulletเฝ้าดูฯ ก.ย.2551- ธ.ค. 2551
bulletเฝ้าดูฯสำนวนพัชรา กอปรทศธรรม
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 16-27
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 29
bulletบทความใหม่ เม.ย.-พ.ค.2552
bulletพุทธธรรมเพื่อทางดับทุกข์
bulletทฤษฎีการดับทุกข์ทางจิต วิปัสสนากรรมฐานโดยการทำงาน(สำนวนปรับปรุงใหม่)
bulletประวัติพัชรา กอปรทศธรรม
bulletประวัติการต่อสู้เพื่อการดับทุกข์ ของพัชรา กอปรทศธรรม
bulletอัลบั้มรูป history
bulletนิทานธรรมะประยุกต์ มานุสสาสุระสงคราม 4 ภาค และอื่น ๆ
bulletอัลบั้มรูป ภาพในอดีตและชีวประวัติศาสตร์ที่สวยงาม
bulletจากเวบบอร์ด พูดกันไม่รู้เรื่อง ประชาธิปไตยล้าหลัง
bulletศาสนาสากล การวิเคราะห์ความหมาย
bulletปลอบใจ
dot
รวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์ แนวปฏิรูปคณะสงฆ์อยู่ในบทวิเคราะห์นี้แล้ว
dot
bulletรวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์
dot
สากลจักรวาล สากลศาสนา แนวคิดศาสนาสำหรับคนยุคใหม่ ผู้ก้าวผิดทางไปสู่สิ่งไร้สาระโดยไม่รู้ตัว
dot
bulletสากล...ศาสนา 1
bulletสากล...ศาสนา 2
bulletสากล...ศาสนา 3
bulletสากล...ศาสนา 4
bulletสากล...ศาสนา 5
bulletสากล...ศาสนา 6
bulletสากล...ศาสนา 7
bulletสากล...ศาสนา 9
bulletสากล...ศาสนา 8
bulletสากล...ศาสนา 10
bulletสากล...ศาสนา 11
bulletสากล...ศาสนา 12
bulletสากล...ศาสนา 13
bulletสากล...ศาสนา 14
bulletสากล...ศาสนา 16
dot
ส่วนข้อมูลสำคัญเพื่อการวิจัยการเมืองไทยยุค คมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
dot
bulletข้อมูลสำคัญยุคคมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่1/26ส.ค.2551
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่2/27ส.ค.2551
bulletใบปลิว อีเมล์ ในหลวงทรงร้องไห้
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 1
bulletในหลวงเพิ่งทราบข่าวฆ่าประชาชน10เมย.53ทรงร้องไห้
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
dot
รวมข่าวม็อบการเมืองสนธิ-จำลอง-ปชป.มิ.ย.51-เม.ย.52 นสพ.
dot
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 2
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 3
bulletรวมข่าวม็อบ30มิ.ย.51-23มี.ค.52
bulletเลือดศรีสะเกษบันทึกเรื่องราวรอบด้านเกี่ยวกับเขาพระวิหาร
bulletรายงานการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศไทยที่ล้มล้างรัฐบาลทักษิณ
bulletหนังสือพิมพ์ดี ของฟรีให้เปล่ามา20ปีแล้วทั้งเอกสารและอินเทอเนท
bulletหนังสือพิมพ์ดี ( อินเทอเนต ) เล่ม 1 - 44 - ล่าสุด
bulletหน้าที่เก็บไว้
bulletมูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร)
bulletวัดมหาพุทธาราม ศรีสะเกษ บันทึกเหตุการณ์
bulletสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดศรีสะเกษแห่งที่ 1
bulletเกี่ยวกับเวบไซต์ของเรา เราทำเพื่อปัญญาชนโดยแท้
bulletรวมกระทู้เด็ดจากกระดานถามตอบ
bulletคาถาอาคมไสยศาสตร์
bulletกวีนิพนธ์ใหม่
bulletศูนย์ปฏิญญาณละเลิกอบายมุข บัญชีที่ 1- 4


สงครามครั้งสุดท้าย

 สงครามครั้งสุดท้าย

โดย จักร สุธาธรรม

                               

                   ขณะนั้น ตะวันรอนลง จนแดดอ่อนเหลืองล้า ให้ความรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งผู้คนเกลื่อนกล่นที่มาเที่ยวชมบุญบ้องไฟ ก็ดูจะอ่อนล้าไปตามบรรยากาศแห่งแสงตะวันรอนนั้นด้วย นานๆจะได้ยินเสียงจุดบ้องไฟ และมันทะยานแผดเสียงขึ้นไปสู่ท้องฟ้าเบื้องบน ให้คนได้ส่งเสียงฮือฮาอื้นอึงกันสักครั้ง แต่ที่น่าฉงนใจของคนทั้งหลายขณะนั้นก็คือ ขบวนแห่เซิงขบวนนั้น ยังไม่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าตามไปกับขบวนอื่น ที่ต่างได้เลิกรากันไปแล้ว คงแห่ตระเวนไปรอบๆสนามหรือที่ถูกก็คือ ท้องทุ่งนากว้างใหญ่ ที่บางแห่งเจิ่งนองไปด้วยน้ำในต้อฤดูฝน ขบวนแห่เซิ้งขบวนนั้นมิได้มีท่าทีว่าอิดหนาระอาใจ หรือเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าลง เสียงขับนำบทกาพย์เซิ้ง กับเสียงประสานของหมู่ขับตาม ยังคงเจื้อยแจ้วไพเราะโสตของผู้ฟัง ประกอบด้วยท่าฟ้อนรำที่สละสลวย พร้อมเครื่องแต่งประดับที่กลมกลืนกับบรรยากาศบุญเช่นนี้ ในประเพณีของชาวอีสานอันคลาสสิคแท้แต่ดั้งเดิม เป็นที่ต้องตาต้องใจผู้ชม ที่แอบให้คะแนนนิยมอยู่ในใจชมเชยขบวนเซิ้งขบวนนั้น แม้ว่าใครๆก็อดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่า เป็นปรากฏการณ์ที่มิใช่ของธรรมดาเลย

                   “เจ้า ดี เจ ทอม” เสียงใครคนหนึ่งเอยขึ้น แก้ข้อสงสัยอยากรู้อยากเห็นของคนข้างเคียง

                   “มันเป็นคนบ้านโคกจานนี่เอง คนที่ร้ายกาจน่าขยะแขยงน่ารังเกียจที่สุด เป็นนักเลงใหญ่อยู่ในแถวถิ่นนี้ แต่วันนี้แปลกมาก ดูหมอสุภาพเรียบร้อยราวกับทิตย์สึกใหม่ สำนวนเซิ้งก็แปลก กลับเลือกเอาแต่บทที่ไพเราะเสนาะหู ไม่หยาบโลนเหมือนที่มันเคยประพฤติเคยทำมาแต่ก่อนตามนิสัยอันแท้จริงของมัน”

                   “ถูกละ คนนั้นแหละ มันมีพรรคพวกมากมาย แต่ละล้วนเกะกะเกเร เป็นอันธพาลดาวร้ายเหมือนๆมันทั้งนั้น”

                   “มีประวัติไม่ค่อยดีหรือ ?

                   “แทบทุกด้าน ในทางที่ชั่วเลวระยำอัปรีย์ แต่อาชีพที่แท้ของหมอคือ มือปืนรับจ้าง พูดถึงฝีมือแล้ว หมอดังในระดับอินเตอร์สยามทีเดียวละ”

                   “ชื่อ ดี เจ ทอม หรือ ? ยังกะฝรั่งแน่ะ”

                   “สมญานามเขาละ ชื่อจริง นายสุวรรณ โสภิดา ชอบรำวง เต้นรำ ดิสโก เหล้ายาทุกชนิด เป็นนักมวย นักเลง มือเร็ว ตีนเร็ว ชอบร้องเพลงลูกทุ่ง แต่งสำนวนเอง หยาบคายหน้าด้าน เจ้าสำราญแต่เหี้ยมโหด เขาเลยตั้งชื่อสมญาว่า ดีเจทอม ”

                   “คล้ายชื่อดาวร้ายจากภาพยนตร์ฝรั่งเรื่องหนึ่ง”

                   “ก็ยังงั้น แน่ะมาทางนี้แล้ว”

                   เจ้าคนที่ถูกเอ่ยชื่อ พร้อมลูกน้องบริวาร ขณะนั้นอยู่ในขบวนแห่เซิ้ง ตัวลูกพี่ใหญ่ นั่งเอ้เตอยู่บนหลังบ้องไฟ มีเสลี่ยง พร้อมขาหยั่ง สำหรับหามบ้องไฟอีกทีหนึ่ง เข้าสูตรสี่คนหามสามคนแห่ข้างหน้า สิบห้าคนแห่ตามหลัง เป็นทิวขบวนงามยาวเป็นงูเลื้อย

                   ไม่มีใคร ที่เข้าใจความคิดอ่านของมัน ดีเจทอม ที่กลับกลายการปรากฏตัวออกมาอย่างผิดธรรมดาตัวเองเช่นนี้ ตั้งแต่เช้าแล้ว ที่มันไดออกคำสั่งอันเฉียบขาด สำหรับงานบุญบ้องไฟในปีนี้ วันนี้ ที่โคกจาน ลูกน้องบริวารทุกตัวตน ต้องอยู่ในกรอบ ในแบบแผนอันเป็นประเพณีแห่เซิ้งของงานบุญประเพณีโดยเคร่งครัด ราวกับว่า มันต้องการอวดตัวมัน พร้อมคณะพรรคของมันอย่างเต็มที่ว่า มันก็เป็นหนึ่งเหมือนกัน ในด้านการแสดงออกให้ปรากฏซึ่งความสวยงามล้ำลึก แฝงไว้ด้วยความหมายอันดีงามแห่งศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่นแดนอีสานแห่งนี้

                   แต่ความจริงแล้ว มันรู้สึกสังหรณ์ภายในใจ ดุจมีลางบอกเหตุร้ายบางอย่างมา ตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ทำให้มันรู้สึกความสัมผัสอันเสียวสยองในอารมณ์ มีความวังเวงโดดเดี่ยวอย่างประหลาดมันรู้สึกคล้ายว่าตัวคนเดียว กลัวลูกน้องบริวารจะทอดทิ้งมันไปอย่างไรพิกล จึงถึงต้องออกปาก กำชับดุจคำสั่งอันเฉียบขาดให้ลูกน้องทุกคนอยู่ในแถว ในกรอบจนถึงนาทีสุดท้าย นาทีที่บ้องไฟถีบทะยานผ่านฟ้าขึ้นเบื้องบนไปนั่นแหละ

                   แต่ลูกน้องของมันทั้งสิ้น จักมีแม้แต่หนึ่งคนหรือ ที่ได้สัมผัสความรู้สึกผิดปกติของลูกพี่ของมัน ก็เปล่าเลย และยิ่งไม่มีสักคนที่จักรู้แม้ระแคะระคายว่า เวลาเย็นก่อนตะวันจะค่ำวันนี้ ดีเจทอม ลูกพี่ของพวกมัน ได้มีนัดหมาย ที่น่าจะมีความหมายอย่างสำคัญยิ่งสำหรับมันเอง และแม้พวกพ้องบริวารของมัน หากแต่ดูเหมือนว่า มันเอง จักให้ความสำคัญแก่การนัดหมายดังกล่าวน้อยมาก จนปานหระหนึ่งว่า ไร้ความหมายไปเลย ก็หากมิเช่นนั้น มันคงต้องแย้มพรายให้ลูกน้องมัน ได้รู้ระแคะระคายบ้างอย่างแน่นอน แม้ว่าขณะนั้น ตะวันก็รอนๆ อ่อนแสงลง จวนจักได้เวลานัดหมายเข้าไปเต็มที่แล้ว หากแต่มันคงไม่แสดงว่าจะตื่นเต้นตระเตรียมแต่อย่างใด

                   คงพาขบวนแห่เซิ้งตระเวนไป เห่กล่อมไปรอบๆบริเวณนั้น

                   ฟังกาพย์ สาวเอย ฟังกาพย์ท่วงทำนองกาพย์เก่เกี้ยวสาวอย่างสุภาพ ยังคงขับลำประสานเสียงต่อไป ไม่มีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อย

                   “ฟังกาพย์สาอ้ายบ่าวหมวกเหนิ้ง ฟังกาพย์เซิ้งอ้ายบ่าวโคกจาน

                   ท่วงทำนองเซิ้งกาพย์บ้องไฟ ซึ่งเจ้า ดีเจทอม ทำหน้าที่เป็นต้นเสียง บริวารทั้งหลายขับประสานเสียงตาม เป็นเสียงที่อ้อยส้อย น่ารันทด ในยามที่งานบุญอันน่าอิ่มเอิบได้สร่างซาลง คราจะสิ้นแสงตะวันลงไปแล้วนั้น การขับเซิ้งคงจะเรื่อยไปจนสุดบท เกี้ยว แล้ว ละเลี้ยงสู่บทใหม่ อันเป็นบทอาลัย แสดงความอาวรณ์ห่วงหา ยามจักจากกันไปสู่แห่งหนที่ไม่เคยเห็นเคยรู้ และมิมีการกลับคืนสู่กันและกันอีกต่อไป

                   บทกาพย์นั้น มีว่า

                   บั้งไฟข้อย        บั้งไฟหางก่าน

                   ขึ้นผ่านฟ้า           สามมื้อบ่ลง

                   ตำเข้าถง  ไ         ปนำเอาโหวด

                   ขึ้นโจ๊ดโลด        บั้งใหญ่นาโค โอนอ

                   สิ้นเสียงขับกาพย์แล้ว ในที่สุด เสียงขับที่แสนสุภาพเยือกเย็น เป็นศิลปะทุกกระเบียดนิ้วของขบวนแห่เซิ้งอันธพาล นักเลงใหญ่ ที่เผยท่าทีที่น่าประหลาดใจของคนทั้งหลาย เพราะงานบุญบ้องไฟแต่เดิมมา ของประเพณีชาวอีสาน ได้เปิดโอกาสให้ผู้ชายขับกาพย์ หรือบทร่ายรำขับ ได้ทุกชนิด แม้ออกจะหยาบคาย หรือหยาบโลนเพียงใดก็ย่อมได้ และแม้จักขับทบกาพย์อันหยาบคายหรือหยาบโลนดังว่านั้น ต่อหน้าสตรี สาวแก่ แม่หม้าย ก็ถือเป็นเอกสิทธิ์ของฝ่ายชายอย่างเด็ดขาด ชนิดที่ไม่มีผู้ใดหรือแม้กฎหมายใดจะคัดค้านได้ แต่น่าประหลาดใจน่ะซี ที่นักเลงใหญ่      ดีเจทอม มิประสงค์เอกสิทธิ์นั้น แม้แต่น้อย แม้ว่ามันเองย่อมทำได้โดยอำนาจหรืออิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของมันเองอยู่แล้ว เพื่อสุดยอดแห่งความสุขของมันและพรรคพวก จากโอกาสแห่งงานบุญชนิดพิเศษของประเพณีที่ไม่มีแห่งใดละม้ายเหมือนทั่วโลก

                   ขณะเวลานั้น เงาค้างจุดบั้งไฟทอดยาวออกไป และเบาบางเต็มที่แล้ว ดีเจทอม ออกคำสั่งให้ลูกน้องบริวารทั้งสิ้น วางเสลี่ยง บทกาพย์ตอนที่จะวางเสลี่ยงนี้ เป็นบทโอ้ที่เห่กล่อมอันสละสลวย ที่กล่าวชมความสง่างามแห่งบั้งไฟ ในฐานะดอกไม้เพลิงสำหรับจุดบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นนิพพานไกลพู้น แล้วก็ค่อยวางเสลี่ยงบั้งไฟลง ที่ใกล้หนองน้ำบริเวณนั้น ที่ซึ่งได้อาศัยน้ำสำหรับชุบล้างภายในรูเหล็ก อันหักขนาดตามสูตรเจ้าฉบับแต่ละครูได้ร่ำเรียนมา

                   ดี.เจ.ทอม ก้าวลงจากหลัง พญานาคราชเดโชชัย ชื่อบั้งไฟใหญ่บั้งนั้น ลงยืนเหยียบพื้นดินอันเปียกชื้น มันยืดบิดตัวไปมาอย่างออกคร้าน สองสามครั้ง มือทั้งสองข้างกำๆยืดๆ สลัดแขนเข้าๆออกๆท่าบริหารนิ้ว มือ และช่วงแขนอยู่พักหนึ่ง

                   ข้าจะไปทำธุระข้างชายป่านู้นก่อนสักประเดี๋ยวมันชี้มือบอกลูกน้อง พวกเอ็งทั้งหมดคอยข้าอยู่ที่นี่ อย่าไปไหนจนกว่าข้าจะกลับมา อย่าเพิ่งเอาบั้นไฟขึ้น เตรียมสายชนวนไว้ รอ รอ จนกว่าข้าจะกลับมามันเน้นประโยคหลัง แม้จะสั่ง คล้ายว่าเรื่องที่ลูกน้องจะต้องรอมัน เป็นเรื่องที่สำคัญนักหนา

                   แต่ มันก็ไม่ได้บอกว่าเป็นธุรกิจด้วยสิ่งใด ที่มันบอกว่ามีอยู่ ข้างชายป่านู้น และทั้งลูกน้องบริวารของมัน ก็ไม่มีคนใดถามไถ่ด้วย เพราะท่าทีมันบอกว่า ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอย่างไรนักเลย แต่ นั่นเป็นคำสั่งครั้งสุดท้าย ของจอมนักเลง อดีตดาวร้ายที่ได้สร้างความประทับใจไว้ลำลึกในงานบุญประเพณีอีสานแห่งหมู่บ้านโคกจานปีนั้นครั้งนั้น อันเป็นสิ่งที่มันได้ฝากไว้อย่างพอที่จะเรียกได้บ้างว่าเป็น คุณงามความดี แด่ผืนดินที่มันได้อาศัยกำเนิด บ้านโคกจานบ้านใหญ่ โดยหันหลังให้พรรคพวกของมัน ตรงไปสู่ราวป่า ข้างทิศตะวันที่คล้อยต่ำลงไปมากแล้วนั้นมันเดินย้อนแสงตะวันไป คนเดียว โดดเดี่ยว ทั้งความรู้สึกอันโดดเดี่ยวของมันอีก

                   “ลูกพี่มีนัดกะสาวกระหมั่งกูว่า ?” ลูกน้องกระซิบกัน

                   “กะอีห่านั่นหรือ ? กูนึกๆอยู่ตั้งแต่เช้า”

                   “เฮ้ย ไม่หรอก ลูกพี่ว่าจะไปครู่เดียว”

                   “เอาวะ อย่าไปสนหน่อย ฮี้ มึงละ มาหาอะไรกินกันก่อน เดี๋ยวลูกพี่ก็กลับมาพอดี”

                   แต่ ดี. เจ. ทอม ไม่กลับมาอีก บ้องไฟหมื่นกิโลของมัน ยังคงรอมัน เพื่อให้มันแบกของมันขึ้นสู่ห้างบนยอดไม้ด้วยตัวของมันเอง

                   ลูกน้องมันก็รอมัน ตามคำสั่งมันให้รออยู่

                   จนกระทั่งมืดลงแล้ว ลูกน้องมันจึงได้ตัดสินใจกัน ออกติดตาม

                   ดี. เจ. ทอม อำลาจากพวกมันไปเสียแล้ว อำลาบ้านเมือง ที่นา ประชาชน และประเพณี อันสวยสดงดงาม ของวัฒนธรรมท้องถิ่น แห่งโคกจาน และอีสาน มันจากไปไม่กลับมาอีก

                   พวกนั้น พบมันนอนเหยียดยาว คว่ำหน้าอยู่กลางป่า สิ้นลมหายใจเสียแล้ว

                   มันมีนัดดวลกับนักเลงดีต่างถิ่นคนหนึ่ง ในเย็นวันบุญบ้องไฟประเพณีนั้น

                   ความเชื่อในฝีมือตนเองมากเกินไป กับความประมาทฝีมือคู่ต่อสู้ ทำให้มันสิ้นชื่อ มันถูกกระสุนเจาะผ่านหน้าอกเพียงนัดเดียวเท่านั้นเอง อันบอกให้รู้ความเฉียบขาดของฝีมือที่ท้าดวลกับมันว่าร้ายกาจขนาดไหน ชนิดที่มันไม่คาดคิดทีเดียว ส่วนปืนของมัน มันยังกุมอยู่ ด้วยมือขวาอย่างแน่น กระสุมไฮเพาเวอร์ ยังอยู่ครบทุกนัด

                   ข่าวการตายของ ดี.เจ.ทอม สะพัดไปอย่างไฟลามทุ่ง แล้วเสียงร่ำลือต่างๆก็ตามมา

                   “เขาว่านักเลงดีคนนั้น มาจากหนองปลาเข็ง” เสียงผู้ที่มีท่าว่ารู้เรื่องบอกเล่าขึ้น

                   “ตำบลหนองปลาเข็งหรือ ? ที่อยู่ทางฝั่งมูล ด้านเหนือนู้นกระมัง ?

                   “ถูกละ แดนนักเลงแต่เก่าก่อนนั่นแหละ ไม่เคยได้ยินเรื่องราวเมื่อ 4-5 ปีก่อนเลยหรือ ?

                   “ดวลกันตายหมู่ 13 ศพน่ะหรือ ? เคยซิ เคยได้ยิน ยังสะใจอยู่เลย 1 ต่อ 13 ฝ่ายที่มากกว่าถึง 13 คน กลับตายเรียบ ฝ่าย 1 คนลอยนวลหนีไปได้อย่างสบายฉิบ นั่นมันยอดคนแท้ๆ”

                   “เขาว่ามือปราบ ดี.เจ.ทอม มหาวายร้าย มาจากแดนนั้น เป็นแผนดับนักเลงดังในแถวถิ่นนี้ เช่นเดียวกับนัดดวลที่หนองเอี่ยนเมื้อต้นเดือนที่แล้ว นั่นก็ดับมือดีไปหนึ่งเหมือนกัน”

                   “นั่นก็น่าคิด ข้ารู้ว่านักเลงดีมือนี้ มีอะไรๆเกี่ยวข้องกับวัดบ้านหนองปลาเข็งอยู่นาเขาว่ามีพระเป็นผู้ฝึกมือปืน ไม่รู้จริงหรือเปล่า”

                   “ก็เข้าเค้านา พระองค์นั้นก็เคยเป็นนายทหารชั้นผู้บังคับกองมาก่อน เคยผ่านศึกเวียดนาม”

                   “พระมายุ่งกับนักเลงเช่นนี้อะไรจะเกิดขึ้น ?

                   “เฮ้ยอย่าพึ่งไปทึกทักว่าจริงอย่างเขาว่าเลยวะ ข้าว่า ถ้าพระมายุ่งวงนักเลงจริง มันก็จะไปกันใหญ่นา แต่ข้าว่ามันเป็นไปไม่ได้ ใช่กิจของสงฆ์โว้ย ไอ้ห่า มึงทำกูเขวหมด”

                   แต่วงการนักเลง โดยเฉพาะพรรคพวกบริวารผู้ซื่อสัตย์ของ ดี.เจ.ทอม ต่างมีความเห็นค่อนข้างลงรอยกันในเรื่องนี้ วัดบ้านหนองปลาเข็ง จะต้องมีความลับเดี่ยวกับปรากฏการณ์ร้ายๆ ของวงนักเลงในระยะนี้อย่างแน่นอน             และน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับการดวลในวันบุญบ้องไฟโคนจาน ซึ่งเป็นผลให้ลูกพี่ ดี.เจ.ทอม ของพวกมันต้องสิ้นชื่อ พวกมันทั้งหลายไม่อาจมองข้ามไปได้ พวกมันจะต้องเริ่มต้นจากจุดนั้น วันบ้านหนองปลาเข็ง

                   ณ วัด ที่ถูกเอ่ยนามเป็นเป้าหมายนั้น แม้บัดนี้ ก็ยังคงมีสภาพคล้องคลึงตามสภาพเมื่อ 5-6 ปีก่อน เพราะเหตุที่มีการรักษาบรรยากาศวิเวก สงบ สงัด สันโดษ ไร้ความพลุกพล่านพระในวัด ยังคงมีจำนวนเท่าเดิม คือเพียงหนึ่ง ซึ่งแน่ละ เป็นทั้งเจ้าอาวาสและลูกวัดเสร็จอยู่ในตัว หากแต่คราวนี้ ยังมีศิษย์อีกหนึ่ง นัยว่า ผู้ที่ครองผ้าอย่างตาปะขาว คือนุ่งห่มขาวถือศีล 8 ข้อ รักษาพรหมจรรย์เคร่งครัด ทั้งปรนนิบัติรับใช้ และนอกเหนือสิ่งอื่นใด ร่ำเรียนวิชาและฝึกฝนตนเองอย่างหนัก มีระเบียบภาคปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำวัน

                   ขณะนั้น เวลาเข้าหัวค่ำแล้ว อีกไม่ช้าคงมืดสนิท ท่านเจ้าอาวาส หรือสมภารเจ้าวัดนั่งอยู่หน้าแท่นบูชา บนพื้นศาลายกสูงไป อีกชั้นหนึ่งลูกศิษย์นั่งอยู่ต่อหน้า ศาลาทั้งหลังยามนี้ ดูกว้างขวางและทะมึนมืด เพราะตั้งอยู่ในบริเวณป่ารอบด้าน มีต้นไม้ขนาดใหญ่หลายคนโอบ ขึ้นอยู่รอบๆบริเวณวัดหลายต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นมะขามยักษ์ ที่ทอดกิ่งครึ้มอยู่เหนือหลังคาด้านตะวันตกนั้น ขณะนั้น กลิ่นธูปควันเทียนยังคงลอยวนอยู่ อันแสดงว่าการทำวัตรเย็นเพิ่งเสร็จสิ้น

                   ทันใดนั้น ร่างชายแปลกหน้า กำยำล่ำสัน จำนวน 5 คน ค่อยๆโผล่ขึ้นมาบนศาลาอย่างเงียบกริบ เหมือนฝีตีนแมวก็ไม่ปาน จะเข้าถึงตัวพระกับลูกศิษย์แล้ว ยังมิทันนั่งหรือแสดงคารวะตามปกติญาติโยม ผู้แสวงบุญทั้งหลายทั่วไป

                   “ขณะที่อาตมภาพสอนอยู่” พระเอ่ยขึ้น “ทุกคนอื่นๆเป็นผู้ฟัง”

                   ชายแปลกหน้าทั้ง 5 พลันชงักฝีเท้าที่ก้าวว่างจะเข้าไปใกล้พระอาจารย์ แล้วโดยไม่พูดจาอะไร ค่อยนั่งลงทีละคน ห่างออกไปประมาณ 3-4 เมตร เฝ้าดูการฝึกสอนของพระอาจารย์แก่ศิษย์ ผู้ซึ่งนั่งสมาธิอยู่เบื้องหน้า มีท่าทีสงบนิ่ง ไม่สนใจเหตุการณ์ใดๆรอบกาย

                   ภาพที่เห็นเรียกความสนใจของชายทั้ง 5 คิดว่าทางที่ดีที่สุดก็คอคอยดูไปก่อน นั่นแหละจึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างบนศาลานั้น อยู่ในสภาพเดิม คงมีอาจารย์กับศิษย์ และผู้เฝ้าดูเฝ้าชมจำนวนหนึ่ง ในท่าคุมเชิงอยู่อย่างสงบ

                   “ประคองไว้ก่อน ให้ได้ระดับสม่ำเสมอ” เสียงพระอาจารย์สั่งการขึ้น เพ่งใบหน้าศิษย์อย่างพินิจ นี่เป็นการฝึกสมาธิ แต่ด้วยเทคนิคของพระอาจารย์รูปนี้ ขณะนั้น การฝึกได้ผ่านขั้นตอนขั้นต้นไปแล้ว

                   อันเป็นขั้นที่ ความสำรวจฝ่ายกายได้ตั้งขึ้นได้ระเบียบอันดีแล้ว

                   บัดนี้ พระอาจารย์กำลังจะชักนำเข้าสู่ขั้นที่สูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง และตามลำดับ

                   “ให้เสมอ สั้น ยาว ให้เสมอไว้ ประคอง อย่าให้เหลื่อมล้ำ”

                   “รักษาทางเข้าอย่างเดียวก่อน อย่าไปกังวลทางออก อย่ากังวล อย่ากังวล เข้าแล้วปล่อยเลย ปล่อย ปล่อย ให้ละลายหายไปเลย อย่าตาม นั่นแหละ นั่นแหละ ให้เป็นธรรมชาติ แต่ให้รู้ให้เห็น”

                   “ให้เห็นเป็นกระแสเข้าก่อน” พระอาจารย์สั่งการไม่ขาด “แล้วดูดู”

                   “ดูทั้งสองกระแส ดูกระแสเข้า ดูกระแสออก ดู ดู ดู ทำให้วงจรเชื่อมกัน เอาละ อย่างนั้น ๆๆ ดำรงไว้ ดำรงไว้อย่างนั้น”

                   ในขณะนี้ สังเกตว่า พระอาจารย์เฝ้าพินิจอย่างใจจดใจจ่อ ดูอาการของศิษย์ไม่วางตา ดูเหมือนจะมีแววความพอใจในสายตาพระอาจารย์ ฉายขึ้นในชั่วขณะนั้น

                   เพราะ สมาธิจิต คือสมาธิผล ได้พาจิตล่วงผ่านไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

                   ในชั้นนี้ เป็นเรื่องปฏิบัติงานฝ้ายจิตล้วน มิได้มีกายอยู่ หรือมี ก็เหมือนไม่มี และกายนั้น มีสภาพเป็น ทาส อันสมบูรณ์แล้ว

                   “เอาละเพ่งที่กระแส

                   “เพ่งที่กระแส…….นิ่ง..

                   คราวนี้ เสียงพระอาจารย์เฉียบขาดกึกก้อง

                   “เห็นไหม ? เห็นหรือไม่เห็น ?.......ไม่ใช่ ไม่ใช่ มองลึก มองลึก เส้นฝอยยาว เส้นฝอยยาว เพ่งดู ระวัง เพ่ง อย่าให้หายไป นั่นแหละ นั่นแหละ ดูรูปร่างมันไว้ ดู ดู ดู ดู เอาละ พอ หยุด”

                   ลูกศิษย์ บัดนี้ มีสีหน้าผ่อนคลายลงดูสงบ ขณะนี้ เป็นการถอยกลับคืนสภาพปกติ คลายสมาธิ กลับไปตามลำดับขั้น ชั่วอึดใจใหญ่ คล้ายประสาทได้สัมผัสสิ่งรอบกาย อันผิดปกติ ผู้เป็นศิษย์ยังคงหลับตานิ่งอยู่ พวกทั้งหลายเหล่านั้น มองดู อ้าปากหวอ ด้วยงงงัน พวกมันไม่อาจคาดการณ์อะไรได้ว่าอะไร เป็นอะไร จริง เป็นการฝึกสมาธิ ที่ได้ใช้ความพยายามมาไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมงแล้ว

                   “ขั้นต่อไป” พระอาจารย์เอ่ยขึ้นช้าๆ “เป็น งานเลี้ยง สิ่งที่เธอนั่นแหละ จักต้องค่อยๆ เลี้ยงให้เติบโตขึ้นมา ศิษย์เอ๋ย จงเป็นผู้สร้างและผู้เลี้ยงเถิด”

                   ถูกแล้ว ชายแปลกหน้าทั้ง 5 ได้มาพบขั้นตอนการฝึก อะไรสักอย่างหนึ่ง ที่ได้เห็นจากกิริยาการสอน ทั้งการรับฝึก ของลูกศิษย์และอาจารย์ ว่าเป็นขั้นตอนสำคัญยิ่ง และแท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นการยากที่ใครจะเข้าใจได้ จากเพียงถ้อยคำที่พระอาจารย์ได้ออกปากกำกับการฝึกไปเมื่อชั่วครู่ใหญ่ๆที่แล้วนั้น แต่แน่นอละ ใครจักคาดว่า เป็นขั้นที่ผ่านเลยสมาธิระดับธรรมดาๆไปแล้ว สมาธิขั้นธรรมดา ? แม้ว่าเพียงขั้นธรรมดา ของสมาธิปฏิบัติ ก็ยากที่คนทั่วไปหรือแม้สำนักสอนบางแห่งด้วยซ้ำ จักแยกได้ว่า สมาธิแท้ๆอันเป็นกุศโลบายวิธีเข้าสู่เป้าหมายแห่งมรรคผล นั้น มีสภาวะพิเศษ แตกต่างอย่างไร กับ สมาธิทั่วๆไป คนทั่วๆไป เข้าใจกันอยู่ มันย่อมีสภาวะพิเศษเฉพาะของมันอย่างแน่นอน ใครเลยอาจจะเห็นสภาวะพิเศษเฉพาะนั้นได้ หากมิมีอาจารย์ผู้ฝึก ที่รู้แจ้งเห็นจริง จริงๆ ใครเลยจะนึกเห็น แม้เพียงคำพูด ดุจเล่นทีว่า “ค่อยๆเลี้ยงให้เติบโตขึ้นมา”

                   อะไร ที่เมื่อเลี้ยงแล้ว จักเติบโตขึ้นมา ? เติบโตขนาดไหน ? เลี้ยงด้วยอะไร ? เป็นข้อข้องใจอันเร้นลับ มิต่างจากชายทั้ง 5 ผู้อยู่ในอาการพิศวง ผู้ซึ่งในครู่ใหญ่ต่อมาได้โอกาส จึงมีบทเสวนาการขึ้น

                   “ธรรมปฏิบัติของท่านอาจารย์ แปลกแหวกแนวดีนะ ไม่เคยเห็นของสำนักไหน อาจารย์ใดมาก่อน หัวหน้าในกลุ่มนั้นนออกปากถาม น้ำเสียงค่อนข้างบาดหู

                   “เป็นสมาธิขั้นสูงสุดนะโยม ในระดับนี้แหละ เป็นระดับที่จำนำเอาไปใช้ เปรียบก็เสมือนเป็นอาวุธชนิด  หนึ่ง ที่ได้ผ่านกรรมวิธีสร้างขึ้นมาจนบัดนี้สำเร็จเป็นรูปร่างอันสมบูรณ์ขึ้นแล้ว ต่อไปก็แล้วแต่จักนำเอาไปประโยชน์อะไร ภาษาสมัยใหม่ก็อาจจะพูดว่า สามารถนำเอาไปประยุกต์ได้กับอย่างอื่นหรือกับการปฏิบัติอื่นทุกชนิด เป็นวิชาพื้นฐาน มีฐานะเป็นตัวกลาง จะเรียกว่า วิชาประยุกต์ก็ว่าได้ เพราะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ของวิชาอื่นๆได้ จะเรียกว่า วิชาเฉพาะก็ได้ เพราะสามารถที่จะศึกษาต่อไปได้อีก ในลักษณะเป็นสาขาแห่งอภินิหารของมันเองโดยเฉพาะ”

                   “อย่างเช่นอะไรบ้าง พระคุณท่าน อะไรบ้าง วิชาอะไรบ้างที่อาจนำมาประยุกต์ใช้กับวิชาสมาธินี้ ?”

                                   “ก็ ก็ อย่างวิชาการต่อสู้อย่างไร สาขาวิชาฝ่ายสมาธินี้ โดยเนื้อแท้ เป็นสาขาวิชาฝ่ายอิทธิฤทธิ์ เป็นพื้นฐานของวิชาฝ่ายอิทธิฤทธิ์ และเป็นตัวการฝ่ายงานต่อสู้ งานที่ต้องใช้ความบากบั่นอดทน…”

                                   “การพูดนั้น มันง่าย ท่านอาจารย์มีประจักษ์พยานอย่างไรบ้างไหมเล่า ?”

                “ในด้านไหน ?”

                “ก็ด้านการต่อสู้นี่แหละพระคุณ

                “อาตมภาพเคย เคยเห็นผลด้วยตนเอง ลูกศิษย์อาตมภาพก็ใช้อยู่ มือปืนที่เฉียบขาดที่สุดในแผ่นดิน ต้องรู้วิชานี้

                “พระเรียนและสอนวิชาการต่อสู้ด้วยหรือ ? มิผิดพระวินัยหรือ ?” เสียงย้อนแย้ง

                พระต้องต่อสู้ พวกเราไม่เข้าใจ พระมีหน้าที่เป็นนักสู้นักรบโดยตรง ต่อสู้กับอะไร ? ก็กับคนพาลไง ต่อสู้กับคนพาล เอชนะคนพาลให้ได้ ด้วยวิธีการของพระ นี่พวกเราไม่เข้าใจ ทุกวันนี้ คนพาลมีจำนวนมาก ใครจะเป็นผู้นำการต่อสู้ หากมิใช่พระ ก็แล้วชั้นต่อไปไป ก็ต่อสู้กับพวกพาลภายใน นี่ยิ่งร้ายใหญ่ เพราะต้องใช้อาวุธที่พิเศษ วิเศษกันล้วนๆ พวกกิเลสตัณหาอุปปาทาน นั่นอย่างไร จะสู้กับมันได้หรือด้วยวิธีธรรมดาๆอย่างชาวโลกทำกันน่ะ นี่แหละยืนยังว่า เป็นพระ มันก็ต้องสู้ ต้องรบ นี่เห็นแล้วยัง เห็นไหมว่าพระก็ต้องต่อสู้ ต้องสู้ และทั้งเป็นหน้าที่โดยตรงเสียด้วยนา ที่นี้ ก็ลองคิดดูว่าการต่อสู้ของพระนี่ ในระดับสูงสุดแล้วนี่ มันจะต้องอาศัยจิตใจนักต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ถ้านักเลง พระก็ต้องเหนือนักเลง ถ้าว่าทหารตำรวจ พระก็ต้องเหนือทหารตำรวจ มีจิตใจที่ยิ่งกว่าไปอีก ถ้าว่าราชาพระก็เหนือราชา นี่หมายถึงเฉพาะด้านจิตใจนะ ไม่ใช่อย่างอื่น พระจะต้องสวมจิตใจที่ยิ่งใหญ่เหนือโลกทั้งหมด ต้องได้จิตใจจักรพรรดิ เหนือจักรพรรดิ นี่ก็ว่าเฉพาะด้านจิตใจอย่างเดียว ไม่ใช่อย่างอื่น ต้องขนาดนี้เทียว หากมิฉะนั้น จักสามารถต่อสู้ รบเอาชนะกิเลสหรือ ทุกวันนี้ เราประเมินจิตใจกันอย่างไร ? จิตใจที่มิได้เหนือกว่าคนพาล ไม่ได้สายเลือกนักสู้ ที่ไม่สามารถเอาชนะอุปสรรคศัตรู ขณะอยู่ในโลกมิไดประสบผลสำเร็จอะไรสักอย่าง เป็นผู้มีจิตใจไม่เอาไหน ใช่ไม่ได้แล้ว อย่าพึงคิดว่า จะสามารถเอาชนะทางธรรม หวังประโยชน์มรรคผล นิพพานกันเลย เพราะทางนั้นต้องการจิตใจ ต้องการสภาพจิตใจที่สู้รบ ที่กล้าหาญ ที่เหนือชั้นกว่าจะใช้งานทางโลกมากนัก

                และผลสำเร็จในการต่อสู้ที่ว่าคืออะไร พระคุณเจ้า ?”

                “สงบ โลกสงบ ธรรมสงบ สงครามสงบ

                “การประหารไม่เป็นบาปหรือ ? อะไรที่เรียกว่า กิจของสงฆ์ ?”

                “ในโลกวิสัย คือธรรมดาโลก การประหารเป็นของธรรมดา เมื่อมีเหตุให้ประหารก็ย่อมีการประหาร มีเหตุให้กระทำ ก็ย่อมมีการกระทำ คนพาลย่อมทำตัวเอง เป็นเหตุร้าย เพราะฉะนั้น ผลที่ร้ายก็ย่อมตามมาสู่ตัวพาลนั้นเอง เพราะคนหมู่มาต้องการความดำรงอยู่ เหตุที่ทำลายคนหมู่มาก ย่อมต้องถูกขจัดออกไป และความดำรงอยู่ของคนหมู่มาก ย่อมเป็นเหตุแห่งการเกื้อกูลประโยชน์ ผล ย่อมดำรงประโยชน์ ทำประโยชน์อันใดมาก กิจของสงฆ์นั้น เหตุแห่งการเกื้อกูลประโยชน์ ผลย่อมดำรงประโยชน์ ทำประโยชน์อันใดมาก กิจของสงฆ์นั้นก็คือการประหาร ที่ทำลายเหตุแห่งตัณหา กิจประหาร มิใช่สิ่งอื่นนอกจากนี้

                ใคร เป็นผู้ชี้ ตัดสินให้ ว่า ร้าย หรือ เป็นพิษเป็นภัยแก่สังคม ที่ควรประหาร และที่เป็นบาป หรือ ที่ไม่เป็นบาป ?”

                “กฎของสังคมนั้น กฎหมายของสังคมนั้น ที่อยู่ในกฎแห่งศีลธรรม คุณงามความดี กฎแห่งประโยชน์และปรมัตถประโยชน์ หมายความว่า สังคมนั้น มีกฎหรือกฎหมายที่สอดคล้อง ระบบศีลธรรม แห่งผู้รู้ประโยชน์ และปรมัตถประโยชน์

                คืนวันนั้น ผู้ร่วมฟังธรรมมิใช่เพียง 5 บุรุษแปลกหน้าเท่านั้น หากแต่ชาวบ้านหนองปลาเข็งกลุ่มใหญ่ ล้วนชายฉกรรจ์ ที่แทรกตัวขึ้นมาบนศาลาอย่างเงียบเชียบ ภายใต้การนำของกำนันหนองปลาเข็ง ผู้มีหูคอยสดับเหตุร้ายทุกอย่าง ที่จักเกิดขึ้นแด่พระอาจารย์ภายในวัด คืนนั้น เหตุร้ายแรง หรือ แม้เพียงการทดสอบ จึงมิอาจเกิดขึ้น คนแปลกหน้าผู้มุ่งมาเพื่อก่อการร้ายหรือแม้เพียงทดลอง ทดสอบ จึงพากันถอยกลับไปอย่างสงบ

                “ข้าไม่คิดว่าเจ้าหมอนั่นเป็นมือปืน” สมุนคนหนึ่งปรารภขึ้น

                “ทำไมวะ ?” อีกคนสงสัยคล้ายๆกัน

                “หน่วยก้านมันไม่เข้าท่าเว้ย กูดูยังไงๆมันก็ไม่มีท่าว่าเป็นมือปืน มันไม่น่ากลัวว่ะ มันไม่ดุ”

                “นั้นเป็นภายนอกหรอกนะ กูว่ามันเสือซ่อนเล็บว่ะ”

                “มันไม่บอกอะไรเลยจากใบหน้า สีตาของมัน กูว่ามันไร้เดียงสาเกินไปด้วยซ้ำ”

                “ดูมันสงบเย็น หรือจะคล้ายที่เขาว่า เสือเฒ่าเจ้าเล่ห์ ?

                “ฮี้ มันจะเป็นอะไรได้วะ นอกจากคนถือศีลกินเจ ขี้ยาธรรมดาๆ”

                “ไอ้พวกโง่” คนที่ตวาดออกมานั้น ที่ทำหน้าที่หัวหน้าพวกสมุนสืบแทนมา มีใบหน้าเคร่งเครียด “นั่นแหละเซียน พวกมึงล้วนพวกมีตาเสียเปล่าหามีแววไม่”

                แล้วมัน ผู้มีแววในดวงตา ก็อธิบายลักษณะของเซียนให้ลูกสมุนฟังไปอย่างช้าๆ เนิบๆ รายละเอียดคำบรรยายทุกแง่ทุกมุม เปิดตาพวกสมุนหน้าโง่แต่แสนจะห่ามๆ พวกนั้นออกอย่างจะแจ้ง

                “พวกมึงยังไม่เคยเห็นอานุภาพเซียนพวกนี้กับตาเอง กูเคยเห็นมาแล้ว ลักษณะเชื่องๆอย่างนี้แหละพิษร้ายนักละ กูเองคิดว่า อาจารย์ของมัน หรือไม่ก็มันเองคนใดคนหนึ่งนี้แหละ ที่เปิดดวล 1 ต่อ 13 ที่ตำบลหนองปลาเข็งเมื่อ 5 ปีก่อน แล้วมือปืนโง่ๆ อย่าพวกมึงนี่แหละตายห่าหมด มันคนเดียวรอดไปอย่างสบายๆ นั่นแหละเขาเรียกระดับเซียน มึง พวกมึงได้รู้ได้เห็นอะไร ในวันนั้นคืนนั้น พวกมึงก็เพียงแค่รู้แค่เห็น ไม่มีสติปัญญาจะไปวิเคราะห์วิจัยอะไรที่มันซ่อนเร้น มึงคิดหรือว่ามันฝึกสมาธิธรรมดาๆ ถ้ามึงฉลาดหน่อยมึงพอจะรู้ ไม่ได้ยินหรือที่กูถามซอกแซกไปแล้ว อาจารย์มันตอบ ก็ตอบตรงๆว่ามันเคยพิสูจน์แล้วทั้งอาจารย์กับศิษย์ เป็นการฝึกวิชาไปประยุกต์ใช้ในด้านการต่อสู้โดยเฉพาะอยู่แล้ว แค่นี้ พวงมึงก็น่าจะนึกรู้แล้วว่ามันหมายถึงอะไรในอดีตและทั้งในอนาคต”

                “แล้วลูกพี่มีแผนการแก้แค้นอย่างไร ?

                “ข้าคิดไว้แล้ว มีทางเดียวเท่านั้น ข้าจะสั่งยอดฝีมือแห่งยุคมาโคกจาน”

                “แห่งยุคทีเดียวหรือ ?

                “เออซีวะ มันต้องยอด แห่ง ยุค ถึงจะคู่ควรและสะใจข้า”

                “จากไหนลูกพี่ ?

                “ใจกลางกรุงเทพมหานครนั่นเทียวละ”

                “ใคร ?

                “ฟังนะ มันคือ ท่าน เอิร์ล ทีน่า หลุยส์”

                “เอิร์ล ทีน่า หลุยส์”

                “คนไทยหรือ ?

                “เออ”

                พวกมันเองก็คงจะคันๆในใจอยู่ว่า เป็นคนไทยทำไมเสือกตั้งชื่อเป็นฝรั่ง

                “เอิร์ล ทีน่า หลุยส์ เป็นสมญาที่วิเศษที่สุด เป็นชื่อที่ฟ้ากำหนดมา สำหรับคนๆนี้โดยเฉพาะ”

                ผู้เล่ามีอาการสุขุม เมื่อกล่าวถึงเจ้าของชื่อปลกประหลาดนี้ ขยับไลเตอร์ในมือ จุดกับบุหรี่มวนยาว ก่อนที่จะเอนเอ่ยต่อไปช้าๆ

                “มันเป็นมือปืน ที่มีฝีมือประณีตเฉียบขาด แต่แฝงความเหี้ยมเกรียมอำมหิตที่จะเชื่อได้เพราะโดยบุคลิกภาพภายนอก มันเป็นผู้ดี มันแสดงออกว่าเป็นผู้ดีทุกระเบียดนิ้ว ไม่ว่าจะรูปร่าง การแต่งเนื้อแต่งตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำพูดวาจา จะหาที่ติมิได้ในด้านความเป็นผู้ดียากที่ใครจะเชื่อ เอิร์ล ทีน่า หลุยส์ เป็นมือปืนที่มีการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย จากต่างประเทศ มีความรู้เฉพาะที่ลึกซึ้งด้านจิตวิเคราะห์ สาขาวิชา ไซโคลอจจิกัลป์วาร์แฟร์ หมอเป็นมือปืนเศรษฐี ที่มีสกุลรุนชาติ มิใช่คนชั้นกระจอกงอกง่อยธรรมดาๆ แต่เหตุที่กลายเป็นมือปืน ก็เพียงเพื่อต้องการพิสูจน์ทฤษฎีเร้นลับที่เกี่ยงกับศาสตร์บางแขนง ที่แกสนใจอยู่เท่านั้น ที่กูนึกถึงท่าน เอิร์ล ทีน่า หลุยส์ ขึ้นมานี่ ก็เพราะกูได้ข้อมูล ได้เห็นอะไรๆ ที่มันมีลักษณะที่ลึกซึ้งจากทางหนองปลาเข็ง อะไรบางอย่าที่มันดูเร้นลับขัดสายตาภายนอก ทว่าแฝงอานุภาพภายในที่รุนแรงกูสัมผัสได้ไม่ผิดเลย มันจะต้องมีอะไรคล้ายๆ กันที่ร่วมกันอยู่ระหว่างทฤษฎี ข้าหมายถึงว่าทั้งสองฝ่ายล้วนได้บรรลุความยิ่งใหญ่ในฝีมือ ระดับดาวพิฆาต แต่ด้วยทฤษฎีที่แตกต่าง ฝ่ายหนึ่งอาศัยทฤษฎีทางจิตวิเคราะห์ คือไซคอลอจจิกัลป์วาร์ไฟร์ คือ ท่าน เอิร์ล ทีน่า หลุยส์ กับอีกฝ่ายหนึ่ง ที่เพิ่งจะสร้างปรากฏการณ์พิเศษโด่งดังขึ้นมาในชั้นหลังนี้ ที่กูเชื่อเลยว่า จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับพระภิกษุผู้ห่มเหลืองโดยตรงหรืออยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์เหล่านี้ และแน่ละนี่เป็นอีกทฤษฎีของมือปืนยอดดาวร้ายแหงยุคนี้เป็นทฤษฎีฝ่ายธรรม คือหลักสมาธิธรรม อันเป็นผลจาการบรรลุภูมิสมาธิจิตชั้นสูงสุด ที่ข้าตั้งใจเล่ามานี่ พวกเอ็งพอจะเห็นแล้วหรือยัง ? หากยอดคนจาก 2 สำนักวิชานี้มาเจอกันแล้ว อะไรจะมันหยดขนาดนี้”

                “แล้ว เอิร์ลที่น่า หลุยส์ มารู้จักกับลูกพี่ ดี.เจ.ทอม ได้อย่างไร ?

                “เพราะแกต้องการศึกษาวิเคราะห์ทางด้านจิตวิทยาวอร์แฟร์นั่นแหละ ท่านเอิร์ล ทีน่า หลุยส์ เป็นคนมีนิสัยกว้างขางอย่ายากที่จะคาด เพียงความพอเท่านั้นเอง ท่านเอิร์ล ก็พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ ให้ความเป็นมิตร ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง นี่เป็นสิ่งที่ประหลาดแท้อีกอย่างหนึ่ง ในตัวของยอดคน เอิร์ล ทีน่า หลุยส์”

                “วิธีปฏิบัติของท่าน เอิร์ล ทีน่า หลุยส์ ในสนามนัดดวล ?

                “ยุติธรรม ทันความคิด ทันเกมส์การต่อสู้ทุกอย่าง เขาเป็ฯมือปืนเทวดา ที่อาจสามารถล่าวงรู้ความคิดของคู่ต่อสู้อย่างแม่นยำที่สุด ท่านเอิร์ล ยังมีอาวุธที่พิเศษร้ายแรงยิ่งกว่านั้น คือ วิชาสะกดจิต เพราะได้ศึกษาจิตศาสตร์ชั้นสูงมา อำนาจสะกดที่แผ่ออกไปรอบตัว ทว่ารุนแรงทางเบื้องหน้า ก็เพียงพอแล้ว เพราะชั่วที่คู่ต่อสู้ถูกระรานด้วยอำนาจสะกด ให้เผลอไผลไปชั่วครู่ก็กลายเป็นข้อได้เปรียบไปทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว จนบัดนี้ ข้ายังฉงนใจอยู่ว่า จะมีใครที่ยิ่งใหญ่เกินไปกว่าท่าน เอิร์ล ทีน่า หลุยส์ ไปได้ ทางหนองปลาเข็ง จะคิดอ่าน วิเคราะห์ความลึกซึ้งนี้ออกมาอย่างไร ? แม้ว่าข้าพอจะได้เขาใจว่า สมาธิปฏิบัติ ที่พวกเอ็งได้เห็นในวันนั้นอยู่นั้นอยู่ในขั้นที่ บรรลุผลสำเร็จอันสูงสุดของสมาธิแล้ว ที่อาจารย์มันบอกว่า เท่ากับสร้างอาวุธขึ้นมาเสร็จพร้อมที่จะนำไปใช้ หรือประยุกต์ใช้ และแม้ว่าข้าจะยังคงงงกับคำที่อาจารย์มันสั่ง พวกเอ็งมันไม่สามารถที่จะรู้อะไรเป็นอะไรหรอกว่ะ อะไรที่พระพูดว่า ดูรูปร่างมันไว้ ดู ดู ดูและที่บอกว่า ขั้นต่อไปเป็นงานเลี้ยง มันจะต้องเลี้ยงอะไรของมัน และอะไรจะค่อยๆเติบโต ขึ้นมา ศิษย์เอ๋ย จงเป็นผู้สร้างและผู้เลี้ยงเถิด นี่มันอะไรกัน?

                “มันดูจะมิใช่สำนวนของมือปืนจอมพิฆาตเลยนะลูกพี่ ?

                “ก็อย่าง ดี.เจ.ทอม ของเรา วันบุญบ้องไฟประเพณีนั้นอย่างไร ใครคิดว่าเป็นจอมวายร้ายล่ะ แต่ข้าจะบอกให้ นั่นแหละคือบทสะท้อน คือการถ่ายทอดแบบ จากตัวครู เอิร์ล ทีน่า หลุยส์ น่าเสียดายจริงๆที่ลูกพี่เสียทีไปก่อน”

                “เอิร์ล ทีน่า หลุยส์ จะต้องมารับภาระของเราหรือ ? โคกจานจะมีความหมายอะไร ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ?

                “สัจจะของลูกผู้ชาย สัจจะของผู้ดี อย่างท่าน เอิร์ล ท่า  หลุยส์”

                “เพราะฉะนั้น จะต้องมีการดวลที่ยิ่งใหญ่ ระหว่างสองสำนักเจ้าวิทยายุทธ แน่นอน อาจกล่าวได้เช่นนี้ ระหว่างนักเลงหองปลาเข็ง ผู้สำเร็จวิชา สมาธิชั้นสูงสุด กบนักเลงผู้ดี จากสำหนักไซคอลอจจิกัลป์วาร์แฟร์ ผู้สำเร็จวิชาจิตศาสตร์ชั้นสูงสุดเช่นเดียวกัน อยากรู้ทางหนอปลาเข็งจะแก้อานุภาพสะกออันรุนแรงของ เอิร์ล ทีน่า หลุยส์ ตกไปด้วยวิชาสมาธิชั้นสูงสุดของสำนักหรือไม่ ?

                “และ เพื่อศักดิ์ศรีของโคกจานของเรา เพื่อการล้างแค้นแด่ลูกพี่ ดี.เจ.ทอม”

                “บุญบ้องไฟอำเภอหรือ ลูกพี่ ?

                “ไม่ใช่ ไม่ใช่ บุญบ้องไฟหนองปลาเข็ง เดือนหน้า เราพร้อมท่าน เอิร์ล ทีน่า หลุยส์ บุกหนองปลาเข็งอย่างแน่นอน”

                สถิติคดีอาชญากรรมพุ่งพรวดขึ้นอย่างรวดเร็วในเมืองนั้น ลักษณะที่สถิติได้เปลี่ยนแปรไปอย่างกระทันหันเช่นนี้ ทำให้ตำรวจประสบภาวะช๊อค นั่นคือความงุนงนอย่างไม่เคยประสบมาก่อน ตำรวจฝ่ายการสื่อสารต้องทำงานหนักทั้งกลางวันและกลางคืน และยิ่งต้องตกใจ ที่สถิติยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ในที่สุดก็พ้นกังขาว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อวิทยุสั่งการ จากหน่วยปฏิบัติการลับพิเศษ ของท่านอธิบดีกรมตำรวจโดยเฉพาะ แจ้งมาให้ทราบพร้อมคำสั่งปฏิบัติสั้นๆ

                ชลัมพุชณ์  เสนาวงศ์  รหัส 000100075555

                สมญญาปรากฏ เอิร์ล ทีน่า หลุยส์

                มาอยู่ในเมืองนี้แล้ว ตั้งแต่ 1900150625..

                คำสั่ง ติดตามและรายงานความเคลื่อนไหว ห้ามดำเนินการนอกเหนือจากนี้

                ลักษณะสถิติที่เปลี่ยนแปรไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ ก็แสดงความหมายแล้วว่า มันหมายถึงอะไรร้ายๆ ได้บังเกิดขึ้น ตัวอะไรใหญ่ๆ มีพิษสงเข้ามาซ่อนตัวอยู่ นั่นแหละเป็นผลจากการมาของจอมวายร้ายแห่งยุค เอิร์ล ทีน่า หลุยส์ ผู้มาถึง โคกจานแล้ว

                และเพียงคำพูดประโยคเดียวเท่านั้น ที่เปล่งลอดริมฝีปากออกมา

                “จงบอกเรามาในเรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พวกท่านทั้งหลาย ได้รู้ได้เห็นเกี่ยวกับคู่ต่อสู้ของเรา”

                เท่านั้นเองจริงๆ

                ณ สำนักวัดบ้านหนองปลาเข็ง ขณะเวลาเดียวกันนั้น

                ไม่มีผู้ใดอาจคาดเดาได้ว่า เจ้าสำนักแห่งนี้ จักได้ตระเตรียมการสิ่งใดไว้ เป็นการต้อนรับสถานการณ์อันน่าจะมีความหมายอย่างยิ่งในวันหน้าใกล้มาแล้วนี้ หรือไม่ นอกเหนือไปจากสภาพที่เห็นอยู่เป็นปกติประจำวัน เช่นในเวลาขณะนั้น

                บนคำลา ยังคงมีศิษย์ผู้นั่งคู้บัลลังก์อยู่ต่อหน้า ณ ที่ต่ำ ของ พระอาจารย์ ผู้นั่ง บนที่สูงอยู่เป็นปกติ ไม่มีใคร ผู้ใดอื่นอาจจักทราบว่า การฝึกสมาธิ อันเป็นสาขาวิชาเฉพาะของศิษย์ได้ก้าวหน้าไปขนาดไหน และแท้จริง ที่น่าสนใจยิ่งไกว่านั้นก็คือตัวอาจารย์ท่านฝึกสอน ไม่มีใครเลยอาจทราบว่า ท่านอาจารย์ท่านนั้น มีสภาวะภายในล้ำลึกไปอย่างไร เพียงไร

                ทว่าคำสอนในขณะนั้น กลับคล้ายเป็นเรื่องการศึกสงคราม นอกแถวทางธรรมไปเสียอีก

                “ศิษย์เอ๋ย” เสียงคล้ายอ่านพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ “เจ้าได้ตามท่านไปแล้ว สู่สงคราม และเจ้า ได้ถูกละทิ้งไว้แล้ว ยังสนามรบ เจ้าจะต้องต่อสู้ในสงครามแลศิษย์เอ๋ย เจ้าชนะแล้ว แต่ชัยชนะนั้น จักนำเจ้าไปสู่สงคราม ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกเสมอ ศิษย์เอ๋ย สงครามเพื่อสงคราม”

                “ศิษย์เอ๋ย สงครามที่สิ้นสุดลงวันนี้ จักนำเจ้าไปสู่สงครามครั้งใหม่ไป วันใดเจ้าได้รำลึก ความรำลึกนั้นจะมีว่า เจ้าจะต้องยืนอยู่ ในสนามรบชั่วนิรันดร และเจ้าจะต้องเป็นผู้ชนะ เจ้าจะเป็นผู้แพ้ไม่ได้เป็นอันขาด นี่แหละทฤษฎีและปฏิบัติหลักสูตรในสงครามธรรมาธรรมะสงคราม”

                “และบัดนี้ สงครามครั้งใหม่กำลังจะระเบิดแล้วขึ้นแล้ว และเจ้า จะต้องเข้าสู่สงครามและเจ้าจำเป็น จะต้องประหาร เจ้าจำเป็น จะต้องเป็นผู้ชนะ ความพ่ายแพ้ ขึ้นชื่อว่าพ่ายแพ้ จะมีแก่เจ้าไม่ได้เป็นอันขาด เจ้าจะต้องประหารและชะล้างศึก ให้ราบลงดังหน้ากองเพลนั่นเทียว แล เจ้าคงรำลึก ในความรำลึกว่า หลังชัยชนะนั้น อันยิ่งใหญ่แม้เพียงใด เจ้าก็ยังคงต้องตระเตรียมการสงคราม เพราะ สงครามเพื่อสงคราม ศิษย์เอ๋ย จะไม่มีการรบ หรือ สงครามครั้งสุดท้ายสำหรับเจ้า ศิษย์เอ๋ย เจ้าจะต้องยืนอยู่ในสนามรบชั่วนิรันดร นี่แหละทฤษฎีของนักรบที่แท้ ที่เจ้าจะต้องรอบ เพื่อความเป็นนักรบต่อไป จนตลอดชีวิตของเจ้า และสงครามครั้งสุดท้าย ไม่มีแก่ตัวเจ้าแล้ว”

                ใครเล่าอาจเข้าใจในถ้อยคำเหล่านี้ เพราะคำสอนบัดนี้ เป็นจุดปรมัตถ์อันสูงสุดแห่งศิลปะศาสตร์สุดยอด อันผู้ร่ำเรียนจะต้องทอดอุทิศแม้ชีวิตเพื่อผลสำเร็จแล้ว อันพระอาจารย์เจ้าผู้วิเศษเป็นผู้อบรมสั่งสอนด้วยตัวเอง

                แต่ว่า บัดนี้ ท่านได้ตระเตรียมศิษย์ไว้พร้อมแล้วหรือ ? และเพื่อการใด

                ในที่สุด บุญบ้องไฟประเพณีตำบลหนองปลาเข็ง ก็ได้มาถึงแล้ว เหมือนประวัติศาสตร์ย้อนรอยเดิม ในเมื่อทุกเหตุการณ์ในวันนั้น ก็ละม้ายคล้ายคลึงเหตุการณ์ที่ โคกจานก่อนหน้านั้น ไม่มีผิด

                บ้องไฟกระบอกใหญ่งามกระบอกนั้น ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่เหนือเสลี่ยง พร้อมขบวนแห่เซิ้งอันสวนสดงดงาม มีกำนันหนองปลาเข็งเป็นหัวหน้า ผู้ขึ้นต้นบทกาพย์ และร้องกลุ่มประสานเสียงขับตามอันไพเราะเราะพริ้ง มีทีท่าและลีลาความอุตสาหะ มิได้แตกต่างโคกจานในครั้งก่อนนั้นเลย

                ถูกแล้ว ข้อแตกต่างก็คือ ค่ำวันนั้น บั้งไฟใหญ่ของวัดบ้านหนองปลาเข็ง แผดสีหนาทถีบทะยานตัวเองออกจากคาคบไม้ ที่เป็นห้างจุดบั้งไฟต่ำเบื้องล่าง ค่อยผ่านเมฆชั้นเบื้องบนไปตามลำดับ อย่างองอาจแช่มช้าสง่างาม ด้วยกำลังผลักดันของดินประสิวจำนวนมหาศาล มันขึ้นไปสุดเมฆเบื้องบนแล้ว ขวางลำพุ่งไปทางทิศตะวันตก ดุจลอดละล่องไปกับลมแดง ที่หอบพัดพาไปจนหายเข้ากลีบฟ้า ท่ามกลางสายตาแหงนจ้องมองอย่างตะลึงตะลาน ของผู้คนจำนวนไม่อาจนับประมาณในท้องทุ่งแห่งนั้น

                ไม่มีใครรู้ว่ามีเหตุการณ์พิเศษอะไรเกิดขึ้นในช่วงนั้น

                ไม่มีใครทราบว่า มีการดวลระหว่างสองสิงห์ร้านแห่งสองสถาบันหรือไม่ ?

                ชื่อ โคกจาน กับหนองปลาเข็ง ไม่ปรากฏในครั้งนี้ หรือไฉน ?

                ตะวันค่ำไปแล้ว บุญบ้องไฟก็เลิกราไป เหลือแต่ท้องทุ่งที่ว่างเปล่า

                ทางด้าน โคกจาน ไม่มีใครได้ทราบข่าว ยอดคน เอิร์ล ทีน่า หลุยส์ หรือ ชลัมพุชณ์ เสนาวงศ์ ผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น มีแต่เสียงอันดุจกระซิบกระซาบกันเบาๆ ของผู้ที่เคยใกล้ชิด ผู้ที่เคยได้ยินได้ฟังเสียง ยอดนักเลงคนนั้น เรื่อง “การดวลครั้งสุดท้ายของฉัน”

                เช่นเดียวกับทาง หนองปลาเข็ง ที่มีเสียงเพียงเบาๆ บนศาลาหลังนั้น กับเงาหนึ่งลึกลับเบื้องล่าง

                “สงคราม ที่ไม่มีวันสิ้นสุด ของกระผม ได้ถึงที่สุดแล้ว สงคราม ที่ไม่มีครั้งสุดท้ายของกระผม ได้มาถึงครั้งสุดท้ายแล้ว”

                “ด้วยกุศโลบายใดหรือ ?

                “ผู้สร้างและผู้เลี้ยงอันสมบูรณ์ เป็นฐานะแห่งตัวกระผมแล้ว อันพึงมีพึงเป็น”

                “การดวล ?

                “ได้สิ้นสุดลง พร้อมสงครามครั้งสุดท้าย”

                “ผู้ชนะและผู้แพ้ ?

                “ไม่มีผู้ชนะหรือผู้แพ้”

                “ถูกแล้ว ศิษย์เอ๋ย นี่แหละ สงครามครั้งสุดท้ายโดยแท้จริง”

                ขณะนั้น วัดบ้านหนองปลาเข็ง ตกอยู่ในราตรีอันสงบสงัด แม้กระทั่งเสียงลมรำเพย พัก ก็พลอยระงับไป ดุจจักเอียงหูฟังเสียงสนทนา ระหว่างอาจารย์กับศิษย์ ผู้พิชิตสงครามครั้งสุดท้ายแล้ว

                                                ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจิตฺตา                  อโถ สรีรมฺปิ ชรํ อุเปติ

                                                สตญฺจ ธมฺโม น ชรํ อุเปติ                   สนฺโต หเว สพฺภิ ปเวทยนฺติ

                                                ราชรถอันงดงามย่อมคร่ำคร่า                          แม้สรีระก็เข้าถึงชรา

                                                ส่วนธรรมของสัตบุรุษย่อมไม่เข้าถึงชรา      สัตบุรุษกับสัตบุรุษเท่านั้นย่อมรู้กันได้

                                                                                                                                                                                (ส.. 15/102)

 

จบบริบูรณ์




นิทานธรรมะแสนสนุก

คำนำว่าด้วยประวัติย่อของผู้ประพันธ์ เล่าถวายสหธรรมิก
มานุสสาสุรสงคราม
เจ้าชายหงส์ขาว
พระเหลียวหลัง
ยมราชถามอะไรคือการศึกษา article
ซิ่งเนรคุณ article
มงกุฎมาลีรัตนะแห่งองค์พระอรหันต์เจ้า
พญาโคร่งดำโพธิสัตว์
ดอกไม้ป่าสีน้ำเงิน
อาลัยบาป
คนไม่เคย
ภาระสี่เหล่าจักรพรรดิ์ธรรม
คนเมืองหิว
นักเลงปืนแก๊ป
อนุสรณ์๋ป่าช้าอนุสาวรีย์ลูกรัก
ตำนานรักหนุ่มบ้านกาจสาวบ้านมโนรมย์
ธารมโนเพชร



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
----- ***** ----- โปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate นี่คือเวบไซต์คู่ www.newworldbelieve.com กับ www.newworldbelieve.net เราให้เป็นเวบไซต์ที่เสนอธรรมะหรือ ความจริง หรือ ความคิดเห็นในเรื่องราวของชีวิต ตั้งใจให้ธัมมะเป็นทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แด่คนทั้งหลาย ทั้งโลก ให้ได้รู้ความจริงของศาสนาต่าง ๆในโลกวันนี้ และได้รู้ศาสนาที่ประเสริฐเพียงศาสนาเดียวสำหรับโลกยุคใหม่ จักรวาลใหม่ เรามีผู้รู้ ผู้ตรัสรู้ ผู้วินิจฉัยสรรพธรรมสรรพวิชชา สรรพศาสน์ และสรรพศาสตร์ พอชี้ทางสู่โลกใหม่ ให้ความสุข ความสบายใจความมีชีวิตที่หลุดพ้นไปสู่โลกใหม่ เราได้อุทิศเนื้อที่ทั้งหมดเป็นเนื้อที่สำหรับธรรมะทั้งหมด ไม่มีการโฆษณาสินค้า มาแต่ต้น นับถึงวันนี้ร่วม 14 ปีแล้ว มาวันนี้ เราได้สร้างได้ทำเวบไซต์คู่นี้จนได้กลายเป็นแดนโลกแห่งความสว่างไสว เบิกบานใจ ไร้พิษภัย เป็นแดนประตูวิเศษ เปิดเข้าไปแล้ว เจริญดวงตาปัญญาละเอียดอ่อน เห็นแต่สิ่งที่น่าสบายใจ ที่ผสานความคิดจิตใจคนทั้งหลายด้วยไมตรีจิตมิตรภาพล้วน ๆ ไปสู่ความเป็นมิตรกันและกันล้วน ๆ วันนี้เวบไซต์นี้ ได้กลายเป็นโลกท่องเที่ยวอีกโลกหนึ่ง ที่กว้างใหญ่ไพศาล เข้าไปแล้วได้พบแต่สิ่งที่สบายใจมีความสุข ให้ความคิดสติปัญญา และได้พบเรื่องราวหลายหลากมากมาย ที่อาจจะท่องเที่ยวไปได้ตลอดชีวิต หรือท่านอาจจะอยากอยู่ณโลกนี้ไปชั่วนิรันดร ไม่กลับออกไปอีกก็ได้ เพียงแต่ท่านเข้าใจว่านี่เป็นแดนต้นเรื่องเป็นด่านข้ามจากแดนโลกเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง และซึ่งเป็นโลกหรือบ้านของท่านทั้งหลายได้เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาต่างศาสนา ได้โปรดใช้การแปลของ กูเกิล หรือ Google Translate แปลเป็นภาษาของท่านก่อน ที่เขาเพิ่งประสบความสำเร็จการแปลให้ได้แทบทุกภาษาในโลกมนุษย์นี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปีนี้เอง นั้นแหละเท่ากับท่านจะเป็นที่ไหนของโลกก็ตาม ทั้งหมดโลกประมาณ 7.6 พันล้านคนวันนี้ สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในโลกของเราได้เลย เราไม่ได้นำท่านไปเที่ยวแบบธรรมดาๆ แต่การนำไปสู่ความจริง ความรู้เรื่องชีวิตใหม่ การอุบัติใหม่สู่ภาวะอริยบุคคล ไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปพ้นจากทุกข์ ทั้งหลายไปสู่โลกแห่งความสุขแท้นิรันดร คือโลกนิพพานขององค์บรมศาสดาพุทธศาสนา พระบรมครูพุทธะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านโปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate ท่านก็จะเข้าสู่โลกนี้ได้ทันทีพร้อมกับคน7.6พันล้านคนทั้งโลกนี้. ----- ***** ----- • หมายเหตุ เอาขึ้นเวบไซต์ แทนของเดิม ทั้ง 2 เวบ .net .com วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 07.00 น. -----*****-----