ReadyPlanet.com
dot
dot dot
bulletBUDDHISM TO THE NEW WORLD ERA
bullet1 Thai-ไทย
bullet2.English-อังกฤษ
bullet3.China-จีน
bullet4.Hindi-อินเดีย
bullet5.Russia-รัสเซีย
bullet6.Arab-อาหรับ
bullet7.Indonesia-อินโดนีเซีย
bullet8.Japan-ญี่ปุ่น
bullet9.Italy-อิตาลี
bullet10.France-ฝรั่งเศส
bullet11.Germany-เยอรมัน
bullet12.Africa-อาฟริกา
bullet13.Azerbaijan-อาเซอร์ไบจัน
bullet14.Bosnian-บอสเนีย
bullet15.Cambodia-เขมร
bullet16.Finland-ฟินแลนด์
bullet17.Greek-กรีก
bullet18.Hebrew-ฮีบรู
bullet19.Hungary-ฮังการี
bullet20.Iceland-ไอซ์แลนด์
bullet21.Ireland-ไอร์แลนด์
bullet22.Java-ชวา
bullet23.Korea-เกาหลี
bullet24.Latin-ละติน
bullet25.Loa-ลาว
bullet26.Finland-ฟินแลนด์
bullet27.Malaysia-มาเลย์
bullet28.Mongolia-มองโกเลีย
bullet29.Nepal-เนปาล
bullet30.Norway-นอรเวย์
bullet31.persian-เปอร์เซีย
bullet32.โปแลนด์-Poland
bullet33.Portugal- โปตุเกตุ
bullet34.Romania-โรมาเนีย
bullet35.Serbian-เซอร์เบีย
bullet36.Spain-สเปน
bullet37.Srilanga-สิงหล,ศรีลังกา
bullet38.Sweden-สวีเดน
bullet39.Tamil-ทมิฬ
bullet40.Turkey-ตุรกี
bullet41.Ukrain-ยูเครน
bullet42.Uzbekistan-อุสเบกิสถาน
bullet43.Vietnam-เวียดนาม
bullet44.Mynma-พม่า
bullet45.Galicia กาลิเซียน
bullet46.Kazakh คาซัค
bullet47.Kurdish เคิร์ด
bullet48. Croatian โครเอเซีย
bullet49.Czech เช็ก
bullet50.Samoa ซามัว
bullet51.Nederlands ดัตช์
bullet52 Turkmen เติร์กเมน
bullet53.PunJabi ปัญจาบ
bullet54.Hmong ม้ง
bullet55.Macedonian มาซิโดเนีย
bullet56.Malagasy มาลากาซี
bullet57.Latvian ลัตเวีย
bullet58.Lithuanian ลิทัวเนีย
bullet59.Wales เวลล์
bullet60.Sloveniana สโลวัค
bullet61.Sindhi สินธี
bullet62.Estonia เอสโทเนีย
bullet63. Hawaiian ฮาวาย
bullet64.Philippines ฟิลิปปินส์
bullet65.Gongni-กงกนี
bullet66.Guarani-กวารานี
bullet67.Kanada-กันนาดา
bullet68.Gaelic Scots-เกลิกสกอต
bullet69.Crio-คริโอ
bullet70.Corsica-คอร์สิกา
bullet71.คาตาลัน
bullet72.Kinya Rwanda-คินยารวันดา
bullet73.Kirkish-คีร์กิช
bullet74.Gujarat-คุชราด
bullet75.Quesua-เคซัว
bullet76.Kurdish Kurmansi)-เคิร์ด(กุรมันซี)
bullet77.Kosa-โคซา
bullet78.Georgia-จอร์เจีย
bullet79.Chinese(Simplified)-จีน(ตัวย่อ)
bullet80.Chicheva-ชิเชวา
bullet81.Sona-โซนา
bullet82.Tsonga-ซองกา
bullet83.Cebuano-ซีบัวโน
bullet84.Shunda-ชุนดา
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet86.Sesotho-เซโซโท
bullet87.NorthernSaizotho-ไซโซโทเหนือ
bullet88.Somali-โซมาลี
bullet89.History-ประวัติศาสตร์
bullet90.Divehi-ดิเวฮิ
bullet91.Denmark-เดนมาร์ก
bullet92.Dogry-โดกรี
bullet93.Telugu-เตลูกู
bullet94.bis-ทวิ
bullet95.Tajik-ทาจิก
bullet96.Tatar-ทาทาร์
bullet97.Tigrinya-ทีกรินยา
bullet98.Check-เชค
bullet99.Mambara-มัมบารา
bullet100.Bulgaria-บัลแกเรีย
bullet101.Basque-บาสก์
bullet102.Bengal-เบงกอล
bullet103.Belarus-เบลารุส
bullet104.Pashto-พาชตู
bullet105.Fritian-ฟริเชียน
bullet106.Bhojpuri-โภชปุรี
bullet107.Manipur(Manifuri)-มณีปุระ(มณิฟูรี)
bullet108.Maltese-มัลทีส
bullet109.Marathi-มาราฐี
bullet110.Malayalum-มาลายาลัม
bullet111.Micho-มิโช
bullet112.Maori-เมารี
bullet113.Maithili-ไมถิลี
bullet114.Yidsdish-ยิดดิช
bullet115.Euroba-ยูโรบา
bullet116.Lingala-ลิงกาลา
bullet118.Slovenia-สโลวีเนีย
bullet119.Swahili-สวาฮิลี
bullet120.Sanskrit-สันสกฤต
bullet121.history107-history107
bullet122.Amharic-อัมฮาริก
bullet123.Assam-อัสสัม
bullet124.Armenia-อาร์เมเนีย
bullet125.Igbo-อิกโบ
bullet126.History115-ประวัติ 115
bullet127.history117-ประวัติ117
bullet128.Ilogano-อีโลกาโน
bullet129.Eve-อีเว
bullet130.Uighur-อุยกูร์
bullet131.Uradu-อูรดู
bullet132.Esperanto-เอสเปอแรนโต
bullet133.Albania-แอลเบเนีย
bullet134.Odia(Oriya)-โอเดีย(โอริยา)
bullet135.Oromo-โอโรโม
bullet136.Omara-โอมารา
bullet137.Huasha-ฮัวซา
bullet138.Haitian Creole-เฮติครีโอล
bulletคำบูชาพระรัตนตรัย ทำวัตรแปล เช้า-เย็น
bulletChart Showing the Process
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2540 - 2566
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 1
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 2
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี บุคคลที่ 1 - 188 ปัจจุบัน
bulletหนังสือพิมพ์ดี
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 1
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 2
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 3
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 4
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 5
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 6
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 7
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 8
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 9
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 10
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 11
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 12
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 13
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 14
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 15
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 16
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 17
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 18
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 19
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 20
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 21
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 22
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 23
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 24
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 25
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 26
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 27
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 28
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 29
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 30
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 31
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 32
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 33
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 34
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 35
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 36
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 37
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 38
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 39
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 40
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 41
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 42
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 43
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 44
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 45
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 46
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 47
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 48
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 49
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 50
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 51
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 52
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 53
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 54
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 55
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที่ 56
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 57
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 58
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 59
bulletTo The World
bulletENGLISH
bulletUSA
bulletChina
bulletIndia
bullet Mynmar
bullet Cambodia
bullet Loas
bulletSri Lanka
bulletMalaysia
bulletKorea
bulletA Sharp Turn of Believes : Iresearch Iwrite Iread
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 1
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 2
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 3
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 4
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 5
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 6
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 7
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 8
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 9
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 10
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 11
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 12
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 13
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 14
bulletMystery Report 15
bulletMystery Report 16
bulletMystery Report 17
bulletMystery Report 18
bulletMystery Report 19
bulletMystery Report 20
bulletMystery Report 21
bulletMystery Report 22
bulletMystery Report 23
bulletMystery Report 24
bulletMystery World Report 25
bulletศึกษาโลกลี้ลับ 26
bulletเฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว วิเคราะห์ทุกปัญหาในโลกมนุษย์ด้วยสติปัญญาและเหตุผลวิทยาศาสตร์จากนสพ.ดี
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2536
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2537
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2538
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2539
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2540
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2541
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2542
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2543-2545
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2545-2549
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2549-2550
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2550-ส.ค.2551
bulletเฝ้าดูฯ ส.ค.-ก.ย.2551
bulletเฝ้าดูฯ ก.ย.2551- ธ.ค. 2551
bulletเฝ้าดูฯสำนวนพัชรา กอปรทศธรรม
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 16-27
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 29
bulletบทความใหม่ เม.ย.-พ.ค.2552
bulletพุทธธรรมเพื่อทางดับทุกข์
bulletทฤษฎีการดับทุกข์ทางจิต วิปัสสนากรรมฐานโดยการทำงาน(สำนวนปรับปรุงใหม่)
bulletประวัติพัชรา กอปรทศธรรม
bulletประวัติการต่อสู้เพื่อการดับทุกข์ ของพัชรา กอปรทศธรรม
bulletอัลบั้มรูป history
bulletนิทานธรรมะประยุกต์ มานุสสาสุระสงคราม 4 ภาค และอื่น ๆ
bulletอัลบั้มรูป ภาพในอดีตและชีวประวัติศาสตร์ที่สวยงาม
bulletจากเวบบอร์ด พูดกันไม่รู้เรื่อง ประชาธิปไตยล้าหลัง
bulletศาสนาสากล การวิเคราะห์ความหมาย
bulletปลอบใจ
dot
รวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์ แนวปฏิรูปคณะสงฆ์อยู่ในบทวิเคราะห์นี้แล้ว
dot
bulletรวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์
dot
สากลจักรวาล สากลศาสนา แนวคิดศาสนาสำหรับคนยุคใหม่ ผู้ก้าวผิดทางไปสู่สิ่งไร้สาระโดยไม่รู้ตัว
dot
bulletสากล...ศาสนา 1
bulletสากล...ศาสนา 2
bulletสากล...ศาสนา 3
bulletสากล...ศาสนา 4
bulletสากล...ศาสนา 5
bulletสากล...ศาสนา 6
bulletสากล...ศาสนา 7
bulletสากล...ศาสนา 9
bulletสากล...ศาสนา 8
bulletสากล...ศาสนา 10
bulletสากล...ศาสนา 11
bulletสากล...ศาสนา 12
bulletสากล...ศาสนา 13
bulletสากล...ศาสนา 14
bulletสากล...ศาสนา 16
dot
ส่วนข้อมูลสำคัญเพื่อการวิจัยการเมืองไทยยุค คมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
dot
bulletข้อมูลสำคัญยุคคมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่1/26ส.ค.2551
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่2/27ส.ค.2551
bulletใบปลิว อีเมล์ ในหลวงทรงร้องไห้
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 1
bulletในหลวงเพิ่งทราบข่าวฆ่าประชาชน10เมย.53ทรงร้องไห้
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
dot
รวมข่าวม็อบการเมืองสนธิ-จำลอง-ปชป.มิ.ย.51-เม.ย.52 นสพ.
dot
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 2
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 3
bulletรวมข่าวม็อบ30มิ.ย.51-23มี.ค.52
bulletเลือดศรีสะเกษบันทึกเรื่องราวรอบด้านเกี่ยวกับเขาพระวิหาร
bulletรายงานการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศไทยที่ล้มล้างรัฐบาลทักษิณ
bulletหนังสือพิมพ์ดี ของฟรีให้เปล่ามา20ปีแล้วทั้งเอกสารและอินเทอเนท
bulletหนังสือพิมพ์ดี ( อินเทอเนต ) เล่ม 1 - 44 - ล่าสุด
bulletหน้าที่เก็บไว้
bulletมูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร)
bulletวัดมหาพุทธาราม ศรีสะเกษ บันทึกเหตุการณ์
bulletสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดศรีสะเกษแห่งที่ 1
bulletเกี่ยวกับเวบไซต์ของเรา เราทำเพื่อปัญญาชนโดยแท้
bulletรวมกระทู้เด็ดจากกระดานถามตอบ
bulletคาถาอาคมไสยศาสตร์
bulletกวีนิพนธ์ใหม่
bulletศูนย์ปฏิญญาณละเลิกอบายมุข บัญชีที่ 1- 4


นักเลงปืนแก๊ป

 นักเลงปืนแก๊ป

โดย จักร สุธาธรรม

 

                                ศาลาขนาดใหญ่เท่าเสา 36  ต้นหลังนั้น ตั้งตระหง่านอยู่ในบริเวณพื้นที่ราบโล่ง ประมาณ 3 ไร่ ซึ่งเป็นบริเวณวัดส่วนที่อยู่ติดหมู่บ้าน ถัดไปด้านหลัง เป็นป่าไม้ กินอาณาเขตติดต่อกันไปประมาณ 300 ไร่เป็นอย่างน้อย เพราะเดิมพื้นที่บริเวณนี้ เป็นป่าดงดิบ มีเทือกติดต่อไปถึงแม่น้ำมูล วัดประจำหมู่บ้านแห่งนี้ร้างมานาน เพิ่งจะมีสภาพที่เรียกว่าจัดได้หน่อยก็ในระยะที่พระภิกษุเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันนี้  ได้จาริกมาถึงและได้อยู่โปรดญาติโยมชาวบ้านร้านถิ่นที่นี่ นานมากว่า 5 ปีเศษๆแล้ว

                   ขณะนั้น เป็นเวลาเย็นขมุกขมัวลงเต็มที่แล้ว มีแสงวอมแวมพร้อมควันและกลิ่นธูปลอดออกมา นั่นแสดงว่า เจ้าอาวาสท่านเสร็จทำวัตรเย็น บนศาลาปรากฏร่างชายค่อนข้างประหลาดคนหนึ่ง หน้าตาสกปรกมอมแมม ผมยาวท่วมหู ปกเป็นลอนหยักลาดลงไปทางท้ายทอย เสื้อผ้าที่สวมใส่แม้จะดูทันสมัย แต่ก็มีรอยปะและฉกขาดไปทั่ว ข้างกายมีกระเป๋าหนังใบย่อม แน่ละ ท่าทางอย่างนี้ ต้องเป็นคนต่างถิ่นจรมาอย่างแน่นอน เขาขึ้นมาบาศาลาแต่เมื่อใดไม่ปรากฏ พอหันออกจากโต๊ะพระประธาน ที่ตั้งซุ้มหมู่บูชา ท่านเจ้าอาวาสถึงกับสะดุ้ง ทันทีที่สายตาสัมผัสร่างนั้น ด้วยไม่ทันคาดคิดว่า จะได้เห็นร่างเช่นนั้น

                   “โยมที่ไหนมานั่นแน่ะ ? ” ท่านถาม ภายหลังที่มั่นใจว่าตาไม่ฝาด

                   “เกล้ากระผมเป็นคนจรขอรับ ท่องเที่ยวมาเรื่อยๆ มามืดแถวๆ นี้พอดี จะขออาศัยพึ่งพาบารมีท่านอาจารย์ให้พอได้พักหลับนอนค้างสักคืน ขอรับ”

                   น้ำเสียงนั้น บอกให้รู้สำเนียงที่แปลกไปจากคนในท้องถิ่น พระนึกตรึกอยู่ในใจ

                   “มาคนเดียวหรือ ?” ท่านถามต่อไปเสียงเรียบๆ

                   “ขอรับ ท่องเที่ยวมาอย่างคนหัวเดียวกระเทียมลีบ แบบไปตายดาบหน้าแหละ ครับ”

                   ดูพูดจาฉาดฉานชัดเจน มีจังหวะคล่องแคล่วดี น่าจะบอกพื้นฐานการศึกษาและการงานอาชีพเฉพาะอย่าง พระวิตกอีก ในใจท่านคิดจะตรวจสอบความจริงบางอย่าง

                   “แสวงสันโดษหรือ ? หรือเสาะหารวิโมกข์ธรรม ?

                   ถามยิ้มๆ เป็นเชิงทีเล่นทีจริง ชายแปลกหน้า ขณะนั้นพลันเบิกตาโพลงแสดงความสนใจและมีอาการว่าประหม่า ตื่นใจนิดๆ

                   “เป็นคนพเนจรมากกว่าขอรับ พวกพิลกริม” เขาเดาะภาษาอังกฤษประโยคหลังออกมา พระอาจารย์ยิ้ม

                   “พวกพิลกริม นักแสวงบุญหรือ”

                   “ขอรับผม คือไปเรื่อยๆๆขอรับ พบที่ไหนน่าสนใจ ที่ไหนมีค่าน่าศึกษา ก็หยุดพำนักพักพิงเป็นแห่งๆไป บางทีก็ติดตามอะไรหรือใครสักคน ผู้ที่มีอะไรๆ ถูกใจ ถูกอุดมคติ เพื่อจะได้พบและถามสติปัญญาเขา อะไรทำนองนั้นแหละ ขอรับ”

                   “หวังประโยชน์อะไรเล่า ?” พระถามเบาๆ

                   “ประโยชน์อุดมขอรับ ประโยชน์สูงสุด ที่เป็นความหมายของชีวิต ที่ทำให้ได้สัมผัสว่ามีคุณค่าต่อชีวิตโดยแท้ๆ ทำนองนี้แหละขอรับ”

                   “ในทางพระพุทธศาสนา” ท่านอาจารย์เจ้ากล่าวขึ้นช้าๆ “ประโยชน์มี 2 ระดับ คือประโยชน์ทั่วไปธรรมดาๆ กับประโยชน์ปรมัตถ์ ท่านว่าบุคคลสำเร็จประโยชน์อันแรกก่อน จึงค่อยแสวงประโยชน์ปรมัตถ์”

                   “เป็นเช่นนั้นจริงขอรับผม ชีวิตน่าเบื่อหน่ายเสียแล้ว ชีวิตไร้แก่นสาร ประโยชน์อะไรกับโลก นอกจากกินกับนอน เที่ยวเสเพล แล้วเผชิญโรคร้ายเกาะกุม ความหมายของชีวิตที่มีคุณค่า ที่มีความหมาย อยู่ที่ใดกัน ?

                   “ถูกแล้ว คิดได้กลับใจเสียใหม่ อาตมภาพเอง ก็เคยคิดอย่างโยมคิดนี่แหละ”

                   “เกล้ากระผมขออนุญาตถามประวัติส่วนตัวของท่านสักแง่หนึ่งได้ไหมขอรับ คือบางเรื่องเท่านั้นน่ะ ขอรับ”

                   คำถามนี้ ทำให้เจ้าอาวาสนิ่งไปชั่วอึดใจใหญ่ ดูเหมือนท่านจะมีความลับส่วนตัว ที่ไม่ประสงค์ให้มีการเปิดเผย เว้นแต่เห็นสมควรจริงๆ ทั้งนี้ใช่ว่าจะมีเบื้องหลังที่เลวร้าย หามิได้

                   “ลองถามมาดู” ท่านกล่าวสั้นๆ

                   “ท่านอาจารย์มีประวัติว่า เคยช่วยราชการในกองอำนวยการป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์ ใช่ไหมครับผม ? และนามเดิมของท่านอาจารย์ก็คือ ร้อยเอกอรรณพ อยู่ในหน้าที่การงาน ณ สวนรื่นฤดี กรุงเทพมหานครเป็นเวลาถึง 7 ปี ในปี พ.. 25..” ได้ลาออกจากราชการกองบัญชาการทหารสูงสุด ออกบวช โดยแอบไปอย่างเงียบเชียบแต่เพียงคนเดียว หายหน้าไปจากสังคม จนกระทั่งบัดนี้ ไม่มีเพื่อนสนิทมิตรสหายผู้ใดทราบข่าวอีกเลย แต่เดิมเข้าใจว่าท่านข้ามเขตไประหว่างไทยพม่า ตามบริเวณหุบเขาตะนาวศรี”

                   นั้นเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจ ที่ประวัติของใครคนหนึ่ง เป็นสิ่งที่มีใครสักคนหนึ่ง ให้ความสนใจจดจำถึงขนาดได้รายละเอียดเช่นนั้น ทว่าท่าทีของท่านอาจารย์ยังเฉยเมยสงบอยู่ ไม่แสดงอาการให้เห็นว่า ท่านเป็นเจ้าของประวัตินั้น ชายแปลกหน้า แถลงต่อไปอีก พร้อมคอยระวังสังเกตท่าทีท่านอาจารย์ไปด้วยสายตาอันคมเฉียบ

                   “นัยว่าท่านได้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดตั้งแต่เป็นฆราวาส จำต้องออกบวชเพราะหน่ายในโลกียวิสัย

                   “คุณโยมรู้ได้อย่างไร ?

                   คราวนี้ ชายแปลกหน้ายังกล่าวไม่ทันจบประโยค ท่านแทรกขัดเสียก่อน เป็นเชิงว่า การพยากรณ์เช่นนั้น ใช่สิ่งที่ถูกวิสัย

                   “เกล้ากระผมเองเคยรับราชการทหาร เคยปฏิบัติงานในเครือข่ายของ กอ.ปค. มาก่อนแต่นั่นไม่สำคัญหรอก สำคัญที่ว่ากล้ากระผมเองก็ได้มีความสนใจธรรมปฏิบัติตั้งแต่เล็ก เพราะมีปู่เคยสอนให้สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ต่อมาก็ได้สืบสานการปฏิบัติธรรมนี้มาโดยตลอด จนกระทั่งบัดนี้พอจะเห็นแสงรางๆ ของพระสัทธรรมบ้างแล้ว รู้แล้วว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ชีวิตส่วนตัวของเกล้ากระผมบัดนี้ ก็ได้สละแล้วซึ่งโลยกียวิสัย ใช้ชีวิตสันโดษ พ้นจากราชการไร้ข้อผูกพันใดๆ ประพฤติตนดั่งผู้แสวงบุญ พเนจรไปอย่างยาจก มิเคยอนาทรต่อชีวิตภายหน้า พอใจแสวงหาสิ่งที่จะให้ความหมายของชีวิตที่ดีกว่า ชื่อและยศเดิมของเกล้ากระผมก็คือ……

                   เพราะฉันพลัน มีเหตุการณ์แทรกเข้ามา ประโยคสุดท้ายจึงค้างอยู่แค่นั้น ความสนใจของคู่สนทนาเปลี่ยนไป เมื่อปรากฏที่ประตูเข้า ห่างออกไปประมาณ 200 เมตร มีเสียงคนจับกลุ่มกันเดินเข้ามา พร้อมเสียงบ่นพึมพำ ความมืดทำให้เห็นเงาตะคุ่มๆ ค่อยเคลื่อนใกล้เข้ามา

                   “เสียงผู้ใหญ่บ้าน” พระอาจารย์เอ่ยขึ้น พร้อมกับเอี้ยวดู “กับภรรยา กับอีกหนึ่ง คงจะเป็นลูกชายที่มาจากต่างจังหวัด เออใช่จริงๆ”

                   ไม่นานคนเหล่านั้นก็เข้ามาถึง ชายแปลกหน้าเลี่ยงไปนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง ไกลออกไปจนเห็นหน้าไม่ถนัดจากแสงตะเกียงน้ำมันก๊าด ที่ใช้อยู่ขณะนั้น อันเนื่องมาจากยังไม่มีไฟฟ้าใช้

                   “ขึ้นไป ขึ้นไปบนศาลาโน่น”

                   เสียงนั้นทุ้มและดัง บอกลักษณะคนมีอำนาจ ได้แก่ผู้เป็นพ่อ และซึ่งเป็นผู้ปกครองในหมู่บ้านนั้น หมู่บ้านหนองปลาเข็ง ขณะนั้น ผู้ใหญ่บ้านคนเก่ง มีอาการคล้ายชักลากเอาชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาด้วย พอมาถึงก็ผลักลงต่อหน้าเจ้าอาวาส ซึ่งเป็นพระภิกษุแต่เพียงรูปเดียว ของวัดที่กว้างใหญ่แห่งนี้

                   “มันจะคิดถูกหรือคิดผิดอย่างไร ผมไม่ทราบละคุณหลาน อาจารย์”

                   ผู้ใหญ่บ้านเริ่มเรื่อง โดยเรียกพระว่า คุณหลาน ในลักษณะนับเป็นญาติสนิท

                   “มันเตรียมปืนผาหน้าไม้ จะไปท้ารบรากับนักเลงบ้านเหนือ บ้านแข้นู้น สาเหตุกะแค่เรื่องผู้หญิงคนเดียว มันรักผู้หญิงสารเลวคนนั้นยิ่งกว่ารักชีวิตมันเองเสียอีก ขอท่านคุณหลาน อาจารย์ให้โอวาสมันสักหน่อยเถอะ เผื่อว่ามันจะได้กลับใจ”

                   ชายหนุ่มร่างใหญ่ กระดูกใหญ่ แขนขายาว ลักษณะค่อนไปทางผอมสูง แข็งแกร่ง ผมดกดำ คิ้วต่ำติดกระบอกตา ขณะนั้นกิริยาท่าทางเต็มไปด้วยอาการของไฟที่กำลังลุกโซน งุ่นง่านเหมือนเสือติดจั่น ดวงตาวาวโรจน์แฝงความรู้สึกอาฆาตมาดร้าย ขณะนั้นพอเล่าเรื่องจบ สะบัดตัวหลุดจากการเกาะกุมของผู้เป็นพ่อ นั่งนิ่งอยู่ ด้วยเกรงและเคารพท่านอาจารย์

                   “เอาละ เอาละ เรื่องราวเป็นอย่างไร ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยซิ ?” พระถามเป็นนักเลงเต็มตัว ทำท่าทางว่ายากลำบากใจ ขณะเล่าเรื่อง

                   “ถ้าท่านอาจารย์ทราบความจริงก็คงจะเห็นใจกระผม ” เขาเอ่ยขึ้นช้าๆ “ท่านอาจารย์อาจจะไม่รู้ หรือรู้ก็อาจจะไม่ทราบว่ามีอะไรๆ กระผมจะขอเล่าให้ท่านฟังอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา กระผมมิใช่คนโสดตัวเปล่าอย่างที่ท่านอาจารย์หรือคนอื่นคิดนะครับ แต่มีภริยาแล้ว อยู่บ้านแข้ กระผมถูกเหยียบย่ำในเรื่องเมียของกระผมนี่แหละครับ มันน่าเจ็บใจก็เพราะคนที่มันเหยียบย่ำนั้น มันเป็นผู้ใหญ่บ้าน ชื่อไอ้เซ้ง อาจารย์ท่านคงรู้ชื่อนี้ดีอยู่แล้ว เพราะเมื่อสามเดือนก่อนมีเรื่องกับพระที่วัด มันขโมยไม้วัดไปแช่น้ำไว้ที่นาของมันแล้วพระตามไปพบเข้า พระที่นั่นก็ดูเหมือนมาปรึกษาท่านอาจารย์เรื่องนี้อยู่ไม่ใช่หรือครับ นี่มันเลวระยำขนาดนี้ แล้วกับตัวกระผมก็ไม่เคยเชื่อมาก่อนว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ คือทุกครั้งทุกคราวที่กระผมไม่อยู่ เมียกระผมถูกรังแก เมียกระผมไม่พูด ไม่กล้าพูด กระผมเองก็เห็นใจเมีย ในคราวแรกๆ มันแล้วก็แล้วกันไปกระผมไม่ว่า ไม่ติดใจขอแต่อย่าให้เกิดเรื่องแบบเดิมขึ้นอีก แต่ไอ้เซ้งไม่ฟังกระผม มันใช้อิทธิพลของมันย่ำยีเหยียดหยามจนสุดทน กระผมไม่ว่าเมียกระผมหรอก เพราะมันก็สารภาพว่าถูกบังคับขู่เข็ญ ซ้ำทางพ่อแม่ที่หนองปลาเข็งนี่ ก็ไม่เคยถามข่าวถึงลูกสะใภ้ อยู่ดีมีทุกข์สุขอย่างไร พ่อแม่ไม่เคยถามถึง”

                   “นี่มึงยังอาลัยอาวรณ์มันอยู่อีกหรือ อีดอกทองพรรค์นั้น”  พ่อคำรามขึ้น “ข้าก็เคยเตือนไว้ก่อนแล้วว่ามันไม่ซื่อต่อมึง เป็นชนิดผู้หญิงสำส่อน กูบอกให้ทิ้งเสียตั้งนาน ความจริงกูไม่ได้พูดเล่น อยากให้มึงทิ้งจริงๆ และกูก็นึกว่ามึงทิ้งอีทองสังข์ไปแล้วจริงๆ ไม่นึกว่าจะยังห่วงหาอาลัยกันอยู่อีก”

                   “ก็เหมือนพ่อว่านั่นแหละ” ผู้เป็นแม่เสริมขึ้นบ้าง “นึกว่ามันเลิกกันแล้วน่ะซี อีทองสังข์นั้นแหละคนเลว ตั้งแต่เป็นสะใภ้บ้านนี้ ไม่เคยเลยจะเข้ามาเยี่ยมถามข่าวคราว แม้กระทั่งผัวของมันจะมาจะไปไหน มันยังไม่เคยถามถึง ไม่เคยสนใจสักนิด กลับจากเมืองใต้มาคราวนี้ก็เลยมีเรื่องขึ้นจนได้ ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ?

                   “เอาละๆ” พระยกมือเป็นเชิงห้ามทุกๆฝ่ายให้สงบ แล้วจ้องดูชายหนุ่มนิ่งอยู่ คล้ายจะสำรวจสีหน้าท่าที อย่างจะค้นหาความหมายจากใบหน้านั้น

                   “จะไปดวลกับเขาจริงหรือ ?

                   “ต้องไปครับท่านอาจารย์ ถ้าไม่ไปก็จะเสียเชิงนักเลง ศักดิ์ศรีของนักเลงเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะมองข้ามไปได้ครับ กระผมรับคำท้ามันแล้ว เป็นโอกาสที่จะล้างอาย ไม่มีทางอื่นอีกแล้วครับนอกจาก ด้วยลูกปืน” เน้นคำสุดท้ายอย่างหนักแน่น พระอาจารย์แสร้งนิ่ง เจ้าโทนได้ใจโอ่ต่อ “ท่านอาจารย์อย่าห้ามกระผมเลย เป็นโอกาสของกระผมแล้ว”

                   “ว่าแต่ว่าแกยิงปืนเป็นหรือ เจ้าโทน ?” พระอาจารย์ถามขึ้น

                   เจ้าโทน พอได้ยินคำถามนี้ สีหน้าท่าทางก็เปลี่ยนไป มันลังเล ไม่รู้จะตอบอย่างไรถูก ที่จริงมันคิดว่าพระอาจารย์ไม่น่าจะถามมันเช่นนี้ ขณะอึกอักอยู่นั่นเอง อาจารย์ก็ป้อนคำถามเข้ามาอีก

                   “แกคงจะยิงปืนไม่เป็น เออแน่ะ แกใช้ปืนอะไร ?

                   “ปืนไทยครับ ปืนตราควาย” มันบอกห้วนๆ

                   “ลูกโดดหรือ ?

                   “โดดซีครับ สิบเอ็ดมอมอ”

                   “นัดดวลเขาเวลาไหน”

                   “สามทุ่มตรงที่เขตแดนปลายนา

                   “แล้วแกรู้ไหม ผู้ใหญ่เซ้งใช้ปืนอะไร ?

                   “มันเป็นลูกซอง ก็คงจะใช้ปืนลูกซองแหละครับ”

                   “เอาละๆ ” พระเน้นเสียง “แกจะไปดวลกับเขาก็ได้ แต่ข้ารู้แล้ว ฝ่ายที่จะต้องตายไม่ใช่เขา แต่เป็นแก เจ้าโทน”

                   ชายหนุ่มอึ้ง อ้าปากหวอมองหน้าพระอาจารย์

                   “เขาวางแผนหลอกแก่ฉลาดมาก ที่นัดดวลเวลากลางคืนนั่นเขามีเหตุผล แกมันตามเขาไม่ทัน ทำไมเขาไม่นัดเวลากลางวัน เอาสักตอนเย็นๆตะวันค่ำก็ได้ ทำไมไม่ใช้หัวคิดดู ระหว่างปืนลูกโดด กับปืนลูกซอง ปืนกระบอกไหนจะได้เปรียบ เมื่อนัดดวลเวลากลางคืนในบริเวณหัวไร่ปลายนา ที่มีต้นไม้และมืดตื๋ออย่างนี้ เอาละ ฉันไม่ได้แช่งแก ถ้าแกไปแกตาย คิดดูเอาเอง จะไปตายหรือจะมอยู่มีชีวิตต่อไปก็ไม่ว่า”

                   “กระผมต้องไปตามนัดครับท่านอาจารย์”

                   เจ้าโทนร้องขึ้นสุดเสียง พร้อมกับลุกพราวพราด พุ่งลิ่วลงบันไดศาลาไปท่ามกลางความตกตะลึงของพ่อแม่ และญาติมิตรสนิทอีกหลายคนที่ตามออกมาภายหลัง แต่พระอาจารย์คงหัวเราะหึๆ ท่าทีสบายใจ ไร้กังวล

                   พระอาจารย์เจ้าอาวาส ได้ทราบข่าวในเวลาเช้า ขณะออกบิณฑบาตโปรดญาติโยม ว่าเหตุการณ์คืนที่แล้วเป็นปกติ ไม่มีใครดวลปืนกับใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าโทน บุตรชายผู้ใหญ่ทอง ได้เดินทางออกจากหมู่บ้านหนองปลาเข็งไปตั้งแต่งเช้ามืด ดูเหมือนมันต้องไปให้ทันรถด่วนไปเมืองใต้ ในเวลา 8 โมงเช้าวันนั้น

                   “สังคมในท้องถิ่นนี้ เป็นสังคมที่ไร้แบบแผนเกือบโดยสิ้นเชิง โยม”

                   พระกล่าวกับชายแปลกหน้า ภายหลังเสร็จภัตตกิจเช้าวันนั้น ชายผู้ยังไม่ไปไหน ตั้งแต่เมื่อคืนที่แล้ว และขณะนั้น กระทำตนเป็นศิษย์วัดที่ดี เก็บสำหรับข้าวของที่ประกอบภัตตกิจ แล้วนั่งขัดบาตรพระอาจารย์อยู่อย่างเปี่ยมล้นด้วยความศรัทธา

                   “”คนที่นี่ จะว่าเป็นพวกหลงผิดก็เห็นจะไม่ผิด เพราะหลงออกไปนอกรีตนอกรอย ประการต่างๆ เรื่องชู้สาว ปัญหาผัวเมียนี้ เป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน คนนับถือเงิน บูชาคนมีเงิน ถ้าร่ำรวยเงินทองก็เรียกพี่เรียกน้อง ความดีเขาไม่ค่อยนับถือ แม้จะมีความดีขนาดไหน หากไม่มีมีเงินทองแล้ว คนที่นี่เขาก็เมินเสียง่ายๆ แทบกล่าวได้อย่างนี้แหละ จึงมีเรื่องวุ่นวายอยู่เป็นปกติของที่นี่ มีอีกวงการหนึ่ง คือวงการนักเลง นักเลงที่นี่ เมืองนี้ ก็ล้วนพวกหลงผิดไปอีกแบบหนึ่ง มักสำคัญผิดต่างๆ อย่างเช่นเมื่อต้นปีนี้ มีการแทงกันตายที่สถานีรถไฟ คนเมืองนี้สรรเสริญมือมีดกันทั้งเมือง โดยเห็นว่ามีความสามารถ ที่ลอบเสียบปลายมีดเข้าทางหลัง ความจริงในขณะเผลอตัว แต่ที่นิยมกัน ก็เพราะหมอนั่นอำมหิต แทงเข้าไปจนมิดด้ามแล้วควงแบบสว่านให้แผลเหวอะหวะกลวงโตออกไปอีก รายนั้นรู้กันทั่วเมือง ดังพอควรแหละ กลางปีที่หมู่บ้านกางเขนดง ติดกับบ้านแข้ไปทางตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือของบ้านนี้ ก็มีการฆาตกรรมคนเถียงนา นัยว่าเป็นคู่อริกัน รายนี้ก็เลื่องลือนับถือกันมาก เพราะลอบฟันด้วยขวานใหญ่ ขวานหงอนที่ใช้ถากไม้เสาเรือน คอขาดวิ่นไปทีเดียวถึง 2 หัว นับว่าอำมหิตน่านิยม ถึงใจทีเดียวของคนที่นี่ แถวถิ่นนี้ มีบุญประเพณีที่ขาดเสียไม่ได้ เป็นบุญประจำปีก็คือ บุญบ้องไฟขอฝน จะต้องมีทุกปี เขาว่า ฝนแล้งยิ่งกว่าที่เป็นอยู่เสียอีก เขาเชื่ออย่างฝังใจเช่นนั้นเอง เรื่องแห่นางแมวก็เช่นกัน แห่และรดน้ำเสียจนแมวมันจะเป็นตะพั้นตาย คนใจดำใจจืดที่สุดอย่างไม่มีเหตุผล เรื่องบุญบ้องไฟที่ว่านี่ละร้ายกาจจริงๆ มีบุญบ้องไฟที่ไหน ก็ไม่เคยขาดเรื่องยกพวกตีรันฟันแทง คราวนี้ ไม่ใช่คนต่อคนแล้ว แต่เป็นการตีมวยหมู่ หรือยกทัพเข้าห้ำหั่นกันเลยทีเดียว อย่างน้อยก็หัวร้างข้างแตก กระดูกหัก ถ้ามีตีกันหนัก ไม่มีตำรวจรักษาการณ์หรือตำรวจทำเฉยเสียก็เป็นศพกันนับไม่ไหว ในท้องถิ่นนี้ งานบุญขอฝนนี่ เป็นบุญที่สกปรกจริงๆ ดีหน่อยที่ทาง อสท. เขาจัดส่งเสริมขึ้นให้เป็นแบบเป็นแผนเสียบ้าง อีกอย่างหนึ่ง ที่ดูจะเป็นทัศนะนักเลงประเภทกุ๊ยๆ ที่นิยมรังแกลวนลามผู้หญิง ไม่ถือลูกเมียใคร ถือว่ามีโอกาสก็เอา นี่แหละ และที่น่าระอาเหนื่อยหน่ายที่สุดก็คือ มีงานมหรสพที่ไหน นักเลงพวกนี้จะต้องออกแสดงตัวอวดปมเขื่องทันที เดี๋ยวนี้ มันมีเจ้าวายร้องตนหนึ่ง ทำตนเป็นเจ้านักเลงอยู่แถวนี้ เพิ่งจะวัยรุ่นๆนี่เอง ถูกทหารและหลาบทหารมาหลายปีแล้ว แถมขโมยอาวุธสงครามหลายอย่าง เจ้านี่ชอบควงระเบิดเล่นตามงานวัด มีนิสัยโง่ อวดดี มุทะลุ ซ้ำเจ้าชู้ยักษ์กินไม่เลือก มันชื่อ ไอ้ปี ไอ้ปีมันชอบนอนเถียงนา ไม่ชอบเข้าบ้านเวลากลางวัน ที่นี้ คนที่นี่ก็โง่ ไม่เข้าใจจัดงานบริหารงานปกครอง เหมือนลาวเขมรนั่นแหละ รวมกลุ่มสามัคคีกันไม่ติด เหมือนฝูงแกะฝูงแพะ พอเสือมาทีก็แตกตื่นกันไปที แล้วสักครู่ก็กลับมารวมกลุ่มกันใหม่ ไม่สนใจว่าได้มีอะไรเกิดขึ้น จะหาทางป้องกันหรือแก้ไขต่อไปอย่างไร ก็เปล่า ไม่สนใจว่าจะคิดแก้ไข ต่างคนต่างอยู่ พวกเด็กหนุ่มๆที่ริอยากเป็นนักเลงมีมาก เริ่มออกท่าลวดลายนักเลงกันในงานมหรสพ งานแจกข้าทำบุญผีตาย ที่มีหมอลำเพลิน ประเภทมีหางเครื่องเดินขบวนเต้นโชว์ขาอ่อน พวกเหล่านี้ ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ว่าที่แล้ว ยังจะเรียกว่านักเลงไม่ได้หรอก อันธพาลจะถูกต้องกว่า แต่เขาก็สรรเสริญกันนักว่าคนนั้นคนนี้ มันเป็นนักเลงใหญ่อย่างนั้นอย่างนี้ น่านับถืออย่างนั้นอย่างนี้ แล้วมันก็สรรเสริญกันเองในวงเหล้าบ้าง วงการพนันบ้าง อาตมภาพเองคิดว่า เมืองนี้น่าสงสารที่สุด นักเลงอย่างเมืองนี้สักสิบคน ถ้าจะให้พบนักเลงจริง นักเลงที่เป็นนักเลง แต่เพียงคนเดียว คือ 10 ต่อ 1 เท่านั้น พวก 10 คนเมืองนี้จะตายหมด แต่คนเดียวอีกฝ่ายจะอยู่ เพราะเป็นนักเลงจริงเพราะอะไร เพราะ (1) นักเลงเมืองนี้ใช้อาวุธไม่เป็น ปืน ไม่รู้จักว่ายิงอย่างไร จึงเรียกว่ายิงเป็น พวกนี้สักแต่ว่ารู้จักกดไกปืนให้มันลั่นออกไปเท่านั้นก็ว่าได้ (2) ขี้ขลาดอย่างสุนัข ถ้า คนอ่อนแอกว่าขอบข่มเหงนัก แต่ถ้าเขาสู้ ก็จะพาพวกมากลุ้มรุม (3) มิได้รู้จักคำว่า ใจนักเลงไม่มีสัจจะของลูกผู้ชาย พอใจการลอบทำร้าย ลอบสังหาร และพอใจกระทำการอย่างเหี้ยมโหดทารุณ (4) ยอมเป็นทาสเงิน อย่างไม่มีเงือนไขทางคุณธรรมใดๆ อย่างทุกวันนี้ พวกนี้รับจ้างคุ้มกันนายทุนถางไร่ ที่หัวนาของชาวบ้าน ใครร้องขึ้น พวกนี้จะเข้าไปปิดปาก ป่าสาธารณะนับพันๆ ไร่ที่มีเขตติดต่อวันบ้านหนองปลาเข็ง ตลอดไปถึงลำแม่มูล เหลือแต่ตอกลายเป็นที่นาไร่แทบทั้งสิ้น ที่เห็นที่ปรากฏอยู่ เพราะอะไร หากไม่เพราะฝีมือนักเลงพวกนี้ ที่คอยรับใช้นายทุนหน้าเลือดโดยเห็นแก่เงินล้วนๆ ไม่มีสำนึกแห่งคุณธรรม ผิดชอบชั่วดี ใดๆทั้งสิ้น     (5) พวกนี้เหยียดพระสงฆ์องค์เจ้าชอบรุกรานวัด ดูถูกว่าไม่ทำมาหากิน เป็นกาฝากสังคมอย่างพวกคอมมิวนิสต์ล้างสมองอย่างนั้น ไม่ว่าผลหมากรากไม้ที่ขึ้นในบริเวณวัด เช่นมะขาม มะพร้าว ลูกตาล หรือลูกหว้า ละมุด น้อยหน่า เท่าที่มีในบริเวณวัด มันอย่างได้ มันก็เอา ไม่เคยเกรงใจใคร แม้แต่พระ (6) พวกนี้ไม่กลัวตำรวจ แต่ไม่น่าแปลก เว้นแต่ในเร็วๆนี้ มีสารวัตรใหญ่ใหม่ ย้ายเข้ามาแทนคนเก่า พร้อมๆกับสารวัตรปกครอง กับนายตำรวจมือปราบอีกหลายนาย ใจว่าทางฝ่ายปกครองบ้านเมืองจะเริ่มเอาจริงเสียที”

                   ราวกับไม่ใช่บทสนทนา ที่จบลงไปแล้วนี้ หากเป็นปาฐกถาธรรมชุดพิเศษ ที่ผู้ฟังมีจำนวนเท่ากับผู้พูดพอดี โดยที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ทำหน้าที่ของอย่างดีที่สุด

                   ชายแปลกหน้า ซึ่งนามจริงคืออดีต ร้อยโท ทันดร ดวงเที่ยงธรรม เป็นนายทหารผ่านศึกเวียดนาม         รุ่นคิงคอบร่า หรือชื่อที่รู้จักกันดี จงอางศึก ปัจจุบัน ผู้สละโลก เป็นนักแสวงบุญคือพิลกริมพเนจรมา ได้เดินทางออกไปจากบ้านหนองปลาเข็ง ภายหลังจากพักแรมที่วัด กับท่านเจ้าอาวาสเป็นเวลาหลายวันมาแล้ว ดูเหมือนทุกคนที่ทราบข่าวเรื่องราวนี้ จะเข้าใจกันเพียงว่า ร..ทันดร ดวงเที่ยงธรรม จะกลับมาที่วัดบ้านหนองปลาเข็งอีกครั้งหนึ่ง ในฐานะผู้ครองผ้ากาสายะ ตามรอยบาทพุทธองค์ การหายตัวไปครั้งนี้ ไม่น่าจะมีข้อที่น่าสงสัยว่ามีเรื่องราวความในอย่างไร นอกไปจากการที่จะต้องเตรียมตัวเข่าสู่โลกใหม่ดังกล่าว ขณะนั้น เป็นช่วงฤดูร้อน ในท้องถิ่น จะมีงานทำบุญแจกข้าวผีตายกันชุก ในหน้าร้อนนี้ เพราะเป็นช่วงที่ว่างภารกิจด้านการเกษตร ซึ่งจะเริ่มใหม่ก็ต่อเดือน 6 เดือน 7 ปีใหม่มาถึง หรือบางปีก็เข้าพรรษาล่วงแล้ว อันเป็นเวลาที่ฝนเริ่มตก

                   พอเริ่มงานบุญแจกข้าวผีตายปีนี้ วงการนักเลงท้องถิ่นตำบลหนองปลาเข็ง ก็ปรากฏข่าวดังขึ้นมาทันที เมื่อมีการเขว้างระเบิดกลางเวทีหมอลำในงานบุญแจกข้าวที่บ้านดงบัง ทิศตะวันตกของหมู่บ้านหนองปลาเข็ง เป็นผลให้มีคนตายและบาดเจ็บนับสิบ ในระยะใกล้เคียงกันต่อมา ก็มีข่าวฆ่าหมกป่าช้าในเขตตำบลหนองปลาช่อน ฝั่งแม่น้ำมูล ไม่ห่างไกลกันนัก ต่อมาก็มี่ข่าววุ่นวายอาละวาดก่อกวนต่างๆ แห่งนั้นบ้าง แห่งนี้บ้าง ไม่เว้นแต่ละวัน ดูท่าว่าวงการนักเลงปีนี้ น่าจะมีเรื่องรุนแรงขึ้นไปตามลำดับเสียแล้ว

                   เย็นวันนั้น ท่านเจ้าอาวาสวัดหนองปลาเข็ง ได้ต้อนรับปฏิสันถารบุคคลในเครื่องแบบคนหนึ่ง

                   “ผมมารับหน้าที่ใหม่ที่ สภ.. แห่งนี้ครับ” เขารายงานตัวขึ้น ถูกละ เขาเป็นนายตำรวจ จากดาวบนบ่าบอกให้รู้ยศ ร้อยตำรวจโท ของเขา

                   “เมื่อเร็วๆนี้ ตำรวจของเราเสียชีวิตไปคนหนึ่ง ผมยังหามือระเบิดไม่ได้” เขารายงานต่อ

                   “เพราะอะไรหรือ ?” พระคล้ายจะรู้ความนัยอยู่ ออกคำถามเพื่อค้นคำตอบจากตำรวจ

                   “เพราะไม่มีหลักฐานแน่หนาพอครับ มือระเบิดมันขว้างอย่างไม่มีเหตุผลเสียเลย คนของผมตายโดยที่ตัวเองไม่ทราบเลยว่า เคยได้สร้างความไม่พอใจ หรือทำความเจ็บแค้นแก่ผู้ใดไว้บ้าง”

                   “นักเลงเมืองนี้ก็เป็นอย่างนี้แหละ โยม คราวนี้แกก็คงผยองขึ้นไปอีก แต่อาตมภาพได้ข่าวว่ามีการจับกุมไม่ใช่หรือ ?

                   “ครับ มีการจับกุมจริง แต่ในที่สุดก็มีการปล่อยตัว ผู้ต้องสงสัยก็เป็นเด็กหนุ่ม อยู่บ้านกางเขนดง ท่านอาจารย์คงจะรู้จัก”

                   “ชื่อนายปี ปั่นสัก ใช่ไหม ?

                   “ครับ นายปี นั่นแหละครับ แต่ว่าท่านอาจารย์รู้ได้อย่างไร ?

                   “นายคนนี้ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นนักเลงอันธพาลแถวๆนี้ เคยถูกเกณฑ์ทหารอยู่คราวหนึ่ง แต่หลบหนีออกมา ทำไมตำรวจไม่จัดการเสียที วัดจะพลอยสบายอกสบายใจไปด้วย ?

                   “ท่านสารวัตรใหญ่ที่ย้ายมาใหม่ ท่านกำชับนักครับ ให้ดำเนินคดีตามหลักนิติศาสตร์จริงๆ ท่านจบนิติศาสตร์ธรรมศาสตร์มาครับ แต่ผมว่า ไม่ช้าหรอกนโยบายใหม่จะตามมา เพราะผมรู้ประวัติสารวัตรใหญ่ดี”

                   “ตำรวจมีความมั่นใจขนาดไหน ?

                   “มั่นใจว่าไม่ผิดครับ แต่ก็มีที่กีดอย่างเสี่ยคนหนึ่งในตลาดครับ เสี่ยด้ง นัยว่าเสี่ยด้ง คนนี้กำลังถางที่แถวๆท่าบ้านโพ ติดเขตร้อยเอ็ดอยู่  เสี่ยคนนี้ มีส่วนหนุนหลังพวกนักเลงอันธพาลทุกรูปแบบในเมืองนี้”

                   “หากเป็นเหมือนเช่นคุณว่านะ ตำรวจก็น่าจะทำอะไรกับเสี่ยพวกนี้ ให้เข็ดเสียบ้าง เรื่องรุกที่นี่นับวันจะเหลิงกันใหญ่ แต่ส่วนตัวอาตมภาพเองแล้ว ไม่มีอะไรจะกล่าวหาทำลายใครหรอก มันไม่ค่อยจะเกี่ยวกับทางพระทางเจ้านักนะโยม”

                   นายตำรวจยิ้มน้อยๆ อย่างเข้าใจความหมาย

                   “ในระยะนี้ ตำรวจได้พบอะไรหลายอย่างที่ทำให้หนักใจ มันมากเกินกว่าจะเรียกว่าปัญหาอาชญากรรม แต่เป็นปัญหาเบ็ดเสร็จของสังคมในส่วนรวมมากกว่า อย่างที่เกิดขึ้นที่บ้านยางตลาดตำบลตำแย มีดีโทรมหญิง ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในชนบท เพราะมีผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้ ผู้ชายกว่า 10 คน สำหรับปัญหาอาชญากรรมจริงๆนั้น ตำรวจไม่ค่อยรู้สึกหนักใจเพราะส่วนมากมักเป็นเรื่องเล็ก เช่นลักเล็กขโมยน้อย ซึ่งมีอยู่กันทั่วไป มีขโมยไก่นา ขโมยแตง พริกมะเขือ ขโมยปลาในสระ อะไรเล็กๆน้อยๆ เช่นนี้ ซึ่งที่จริงก็ดูจะไม่ใช่เพราะปัญหาอดอยากอย่างไร หากเป็นเพราะทัศนะบางอย่างที่ผิดพลาดไป เช่นคิดว่าใครขโมยของใครได้ คนนั้นชื่อว่า ฉลาดมีสติปัญญาดี ใจถึง ใจนักเลง อย่างนี้เป็นต้น ทัศนะที่ผิดๆ เช่นนี้แหละทำให้เรื่องที่เป็นคดีมันหยุมหยิมเกินไป แม้กระทั่งเรื่องวิวาท ตีรันฟันแทง หรือก่อกวนอาละวาดในงานวัดงานวา งานบุญต่างๆ ก็ดูจะเป็นเพราะคนมีทัศนะที่ผิดๆ เช่นเดียวกันนี้ เช่นใครลอบตีหัวใครแตกเลือดโทรมได้ คนนั้นเก่ง อะไรโง่ๆอย่างนี้เป็นปัญหาเรื่องค่านิยมและวัฒนธรรมมากกว่าคิดอีกทีก็คล้ายๆ ปัญหายาเสพติด ดำเนินการคล้ายๆกัน ครับ”

                   “เรื่องวงนักเลงที่นี่ ก็ไม่ใช่จะน่าหนักใจอย่างพูดแหละ แต่ที่น่าหนักใจก็คือค่านิยมที่ผิดๆ แล้วนานเข้าก็กำเริบหลงตัว ก่อเรื่องร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่มีลักษณะหรือบทบาทอย่างนักเลงที่เชื่อถือกัน หากเป็นลักษณะของ อันธพาลมากว่า”

                   “ครับ เมืองนี้ประหลาดจริงๆ แต่จะว่าไม่น่าหวั่นใจหรือเห็นว่าไม่สำคัญก็ไม่ถูกนะครับ ถึงจะมีพฤติการณ์แบบหมาลอบกัดก็ตาม เพราะเราเผลอไม่ได้ อย่างลูกน้องผมที่เสียท่าไปเร็วๆนี้แหละครับ ”

                   “ทางตำรวจคิดอย่างไร ?” พระถามขึ้น อย่างไม่จงใจว่าหมายถึงเรื่องอะไรโดยเฉพาะทว่า ท่าทีอยู่ในอาการตรองตรึกลึกซึ้ง

                   “ถ้าจะพูดกันตรงๆแล้ว ผมเห็นว่าตัวการมัน หรือหัวโจกมันจริงๆ มีอยู่ไม่กี่คนหรอกครับ และมันคงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแถวท้องที่ของท่านอาจารย์นี้แหละครับ”

                   “ตำรวจพอจะรู้ตัวหรือ ?

                   “ตำรวจพอจะรู้ตัวอยู่ครับ อย่างน้อยก็มีบัญชีเก็บไว้แล้วชุดหนึ่ง พอเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นสืบจับก็คงไม่ใช่ใครนอกไปจากบัญชีนี้หรอกครับ โดยเฉพาะตัวร้ายตัวน้ำก็มีอยู่ไม่เกิน 13 คน”

                   “ตำรวจหนักใจเรื่องสืบจับหรือ ?

                   “ไม่หนักใจ ผมว่าเราตำรวจไม่หนักเรื่องนั้นนะครับ ปัญหาอยู่มันเหลิงกัน เหลิงไปอย่างผิดๆ อีกยอย่างหนึ่งคดีเล็กๆน้อยๆ โทษก็แค่ปรับ จำคุกมันไม่พอจะเข็ดหลาบ กลับจะทำให้มันเหลิงไปอีก”

                   “จะไม่มีทางแก้เลยหรือ ?

                   “พวกนี้ถือผิดในคติของนักเลงนะครับ มันไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้ว่านักเลงจริงๆเป็นอย่างไร”

                   “จะให้อาตมภาพเทศน์โปรดพวกมันเรื่องนักเลงหรือ ?

                   นายตำรวจเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ รีบปฏิเสธ

                   “โอ๊ะ เปล่าครับ ผมไม่มีความมุ่งหมายจะรบกวนท่านอาจารย์ในลักษณะอย่างนั้น และถึงท่านอาจารย์จะช่วยโปรดด้วยการเทศน์ เช่นว่า นักเลงจริงจะต้องมีสัจจะ ไม่รังแกข่มเหงผู้ที่อ่อนแอว่า ไม่ลบทำข้างหลังอย่างหมาลอบกัด อะไรทำนองนั้น ผมก็เชื่อว่าไม่น่าจะมีผลแต่อย่างใดเลย ที่ผมปรารภเรื่องนี้ก็เพียงเพื่อแลกเปลี่ยนทัศนะกับท่านอาจารย์บ้างเท่านั้น ในโอกาสที่ได้มากราบนมัสการท่านอาจารย์”

                   ขณะนายตำรวจ พร้อมลูกน้องอีก 2-3 คน ควบจิ๊ปบุโรทั่งคันนั้นออกไปจากบริเวณวัดท่านอาจารย์อรรณพ อดีตเสือร้ายแห่งกองทัพ ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมเงียบๆ ท่านกำลังใช้ความคิดอย่างลุ่มลึกละเอียดอ่อน แต่ไม่มีใครทราบได้ว่าท่านคิดของท่านเรื่องอะไร อย่างไรบ้าง เวลาจะล่วงเลยไปสักเท่าไรไม่ทราบได้ พลันนั้น ท่านอาจารย์ก็ต้องสะดุ้ง ลืมตาโพลง พร้อมกับมือข้างหนึ่งเผลอคว้าเอาไม้ตะพดอันใหญ่ ที่ผู้ใหญ่บ้านลืมทิ้งเอาไว้ใกล้ๆมือขึ้นมาถือ ในเมื่อปรากฏเสียงโครมครามอยู่เบื้องบนเหนือศีรษะ เป็นเสียงที่เกิดจากมือมืดระดมขว้างปาก้อนอิฐ ท่อนไม้ อะไรต่างๆที่พอจับขว้างโยนเข้ามาได้ ตกบนหลังคาสังกะสีสนั่นหวั่นไหว บางส่วนของสิ่งที่ถูกขว้างเข้ามา ก็ตกลงในศาลา เฉียดตัวพระไปอย่างหวุดหวิดก็มี การระดมขว้างปาดำเนินไปอย่างดุเดือดมันมือชั่วครู่ใหญ่ เมื่อมีเสียงตะโกนเข้ามา ก่อนฝ่ายรุกรานจะล่าถอยไปว่า

                   “พระก็อยู่ส่วนพระ อย่ามายุ่งเรื่องของคน เดี๋ยวจะคุ้มหัวโล้นไม่อยู่”

                   ก่อนที่เสียงตะโกนโหวกเหวกของผู้ใหญ่บ้านหนองปลาเข็ง ที่ระดมลูกบ้านชายฉกรรจ์มาจำนวนหนึ่ง วิ่งกันคึกคักเข้ามาในบริเวณวัด หน้าตาเลิกลักกันไปหมด

                   ฤดูร้อนผ่านไป บุญแจกข้าวผีตาย บุญเทศน์มหาชาติค่อยๆ หมดไปตามลำดับ ท่านพระอาจารย์อรรณพ บัดนี้ ได้เที่ยวเทศนาโปรดไปตามที่ต่างๆ อย่างมุ่งมั่นที่จะแสดงสัจธรรมเพื่อเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่ผิดๆของนักเลงอันธพาลแถวถิ่นนั้น ท่านเทศน์ที่ไหนก็มักเน้นลงจุดเดียวกันว่า

                   “นักเลงจริงต้องมีสัจจะ ไม่รังแกข่มเหงผู้ที่อ่อนแอกว่า ไม่ลอบทำร้าย ไอ้ที่ลอบทำร้ายเขาแล้วกลับไปภาคภูมิใจว่าตนเองเก่งนั้น มันหมา ไม่ใช่นักเลง นักเลงก็นักเลงหมาๆ นักเลงแบบนี้ไม่กล้าสู้ต่อหน้า ถนัดแบบหมาหมู่ ชอบรุม มีพวกมากเท่าไรยิ่งดี มันไม่กล้าสู้หรอกตัวต่อตัว 10 ไป 10 มี 100 ไป 100 ทั้งๆที่ฝ่ายเขามีเพียงคนเดียว อย่างนี้ เรียกว่านักเลงหมาๆ สักวันคงจะได้เจอของจริงเข้า”

                   ท่านเทศน์ในแบบที่แหวกประเพณีออกไป  คำท่านคมและเจ็บแสบนัก สำหรับคนบางคนที่ถูกแทงตรงใจดำ

                   คืนนั้น จวนจะตีสามอยู่แล้ว ไก่ขันแว่วๆมา มีเสียงเรียกเบาๆที่ห้องจำวัตรของพระอาจารย์อรรณพ

                   “ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์” เสียงเรียกปลุก “มีข่าวใหญ่แล้ว”

                   เสียงขีดไม้ขีดไฟจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดสว่างขึ้น

                   “ใคร ?” เสียงร้อยถามออกมา “ผู้ใหญ่หรือ ?

                   “ครับ ผมเอง ไอ้ปีถูกฆ่าตายที่เถียงนาเมื่อสักชั่วโมงเศษๆมานี่เอง ผู้ใหญ่ เซ้งเจ็บ หนีไปได้”

                   “ใครเป็นคนทำมันล่ะ ?

                   “พระอาจารย์ถาม คราวนี้เปิดประตูออกมาข้างนอก นั่งสนทนากับผู้ใหญ่บ้าน กับลูกบ้านอีก 2-3 คน เห็นตะคุ่มๆ”

                   “เขาว่าเป็นนักเลงต่างถิ่น มาจากไหนไม่ทราบ ได้ข่าวว่ามาป้วนเปี้ยนอยู่หลายวันก่อนทำการ ไอ้พวกนี้มันเคยเห็นเคยถามกันอยู่ ผู้ใหญ่บ้านชี้ไปทางกลุ่มที่นั่งอยู่อีกทางหนึ่ง”

                   “คนเดียวหรือ ?” พระถาม

                   “ครับ คนเดียว”

                   “ใช้อะไรทำการล่ะ ?

                   “ใช้ปืนแก๊ปบ้านเรานี่เอง ไอ้ปีโดนเข้าเต็มใบหน้า ส่วนผู้ใหญ่เซ้งถูกแทงที่ต้นแขนข้างซ้ายเหวอะหวะ มันแวะไปห้ามเลือดในเถียงนาของไอ้วาด ไอ้วาดนี่ยังช่วยมันพันแผลก่อนที่มันจะรีบเตลิดหนีกลับบ้านแข้ คงจะปล้ำกันก่อน แต่ผู้ใหญ่เสียท่า มันไม่เจตนาฆ่า แต่ปล่อยให้หนีไปเอง คล้ายมันต้องการไอ้ปีคนเดียว”

                   แล้วผู้ใหญ่หนองปลาเข็งคนขยันก็หันไปถามเจ้าของร่างตะคุ่มๆอยู่ห่างออกไป

                   “มึงพบเห็นยังไง ไอ้เวท เล่าถวายท่านอาจารย์ซิ”

                   “ข้าได้ยินเสียงปืนขึ้นก่อน” คนชื่อเวทรายงาน “ทีแรกข้านึกว่าเจ้าปียิงหนูหรือยิงอะไรๆ ตามสันดารของมัน แต่อีกชั่วครู่ ข้าได้ยินเสียงร้องคล้ายคนถูกแทงบาดเจ็บวิ่งหนีไปข้าจึงนึกเอะใจว่า น่าจะมีอะไรผิดปกติเสียแล้ว”

                   “เองเข้าไปดูทันทีหรือ ?

                   “ยังไม่ทันที ข้าค่อยๆย่องไปบังอยู่หลังโพนนาโพนหนึ่งใกล้ๆ เห็นไฟฉายแวบๆ อยู่บริเวณเถียงนานั่น คล้ายๆจะค้นหาข้าวของ เห็นเงาคนคล้ายๆยืนสูบบุหรี่”

                   “เห็นหน้ามันไหม ? พอจะนึกเดาออกได้ไหมว่ามันเป็นคนมาจากไหน เป็นใครกัน ?

                   “ข้าว่าข้าคลับคล้ายคลับคลาอยู่นา ดูจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อนนี่แหละ ผมยาวปกท้ายทอยอย่างนั้น ใบหน้าคล้ำอย่างนั้น แต่ข้านึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน ไม่ใช่คนแถวท้องถิ่นเราหรอก ข้าแอบดูจนมันเดินหนีไป”

                   “แล้วเอ็งก็เข้าไปดู ?

                   “ใช่ ข้าก็เข้าไปดู ภายหลังมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ในเถียงนานั้น”

                   “แล้วเอ็งพบศพไอ้ปี ?

                   “ถูกแล้ว ถูกลูกตะกั่วเข้าเป็นกระจุกเต็มใบหน้า แทบดูไม่ได้”

                   “มันเป็นใครกัน ?” ผู้ใหญ่บ้านออกปากอย่างสุดคาดคิด “ดูมันใจเย็นเสียด้วย”

                   “แกว่ายิงด้วยปืนแก๊ปหรือ ?” พระถามขึ้นเป็นประโยคแรก ภายหลังที่ทุกฝ่ายตกอยู่ในอาการครุ่นคิดไปหมด

                   “ครับผม” เสียงตอบอย่างมั่นใจ “เสียงปืนดังโพล้งแบบนั้น มันปืนแก๊ปแน่ๆแต่ที่สำคัญก็ลูกตะกั่วหนักๆที่จับกลุ่มกัน แล่นเข้าปะทะกะโหลกหน้าของไอ้ปีมันนั่นแหละครับ”

                   “จะต้องเป็นปืนของไอ้ปีเอง ?” พระหยั่งเสียง

                   “ก็คงยังงั้นขอรับ จะเป็นไปได้ไหมที่มันลอบยิงข้างหลัง ?

                                “ไม่หรอก” พระวินิจฉัย “หากลอบยิงข้างหลัง ลูกปืนจะไม่เข้าเต็มใบหน้าอย่างนั้น ขั้นตอนจะต้องเป็นอย่างนี้ มันขู่ด้วยปืนประจำตัวมันก่อน อาจจะเป็นปืนพกชนิดยิงเร็วทันสมัยก็ได้ แต่มันใช้เพียงขู่ แล้วให้เจ้าปีส่งปืนแก๊ปคู่มือให้ มันคงสั่งสอนเจ้าปีจนจบความจึงยิง จ่อยิงตรงใบหน้าชนิดทรมานความรู้สึกสุดยอดก่อนตาย เพื่อให้เข็ดหลาบไปจนถึงเมืองผี ผู้ใหญ่เซ้งไม่คิดสู้หรอกพอควันปืนกลุ้มออกมาก็เผ่น มันลูกล็อกเชือดเอาตอนนั้น แล้วปล่อยให้หนีไป”

                   “มันใจเย็นทีเดียว ผิดแบบนักเลงบ้านเรา ข้าหวั่นๆว่าจะมีเรื่องร้ายตามมาอีก วันมะรืนนี้ก็มีบุญบ้องไฟบ้านดงบังเสียด้วย”

                   จริงทีเดียว สังหรณ์ของผู้ใหญ่บ้าน หนองปลาเข็ง ไม่มีผิด แต่เรื่องที่เกิดขึ้น ร้ายแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้หลายเท่า เพราะเป็นเรื่องที่เกินสติปัญญาของผู้ใหญ่ทองหรือคนในท้องถิ่นนั้นจะคาด

                   มันเป็นการสังหารหมู่ 13 ศพ ภายในบริเวณป่า เทือกเดียวกันกับวัดบ้านหนองปลาเข็งนั่นเอง หากแต่อีกคนละด้าน เป็นด้านที่ติดฝั่งมูล ทางทิศเหนือ

                   ณ บริเวณที่ราบเรียบซึ่งถูกหักร้างถางพงออกไปใหม่ๆ กับมีหย่อมไม้เล็กๆน้อยๆอยู่ประปราย

                   เป็นการสังหารหมู่ ถูกแล้ว หากแต่ร่องรอยในที่เกิดเหตุแสดงว่ามีการนัดดวลกันซึ่งหน้าผู้เสียชีวิตทั้งหมด ล้วนพกพาอาวุธประจำตัวไปในสถานนี้ จัดนัดดวลแห่งนี้ แต่อาวุธอย่างดีก็ปืนลูกซอง ซึ่งตำรวจพบ ยึดไว้เป็นหลักฐาน จำนวน 4 กระบอก จากมือปืนลูกซอง 4 คน นอกนั้นเป็นปืนไทยหรือในชื่อที่เคยดังว่า คอลท์ ตราควาย นั่นแหละ จำนวน 3 กระบอก ปืนแก๊ป หรือชื่ออย่างราชการ วรรณคดีว่า ปืนคาบศิลา อันไพเราะนั่นอีกจำนวน 5 กระบอก ซึ่งปรากฏว่า ยังไม่มีร่อยงรอยของการยิง หรือสับแก๊ปเลยแม้สักดอกหนึ่ง อันนับเป็นภาพที่น่าเศร้าใจที่ได้เห็นและมโนทัศน์ที่ว่า มือปืนเมืองนี้ มีศักดิ์ศรีอยู่แค่ นักเลงปืนแก๊ป เท่านั้นเอง แม้จะมีที่ว่าพิเศษหน่อย ก็คือ ปืนตราม้า ของบริษัทคอลท์ 11 .. กึ่งอัตโนมัติกระบอกนั้น ปืนเหล่านี้พบและยึดมาจากเจ้าของซึ่งเป็นศพไปแล้วทั้ง 13 ศพ เป็นนักเลงในท้องถิ่นตำบลหนองปลาเข็งแทบทั้งหมด

                   ชั่วขณะที่พระอาจารย์อรรณพ ได้รับรายงานจากผู้ใหญ่บ้านหนองปลาเข็งอยู่นั้น ยังไม่มีผู้ใดสามารถทราบต้นสายปลายเหตุที่เกิดขึ้นนี้

                   “คล้ายเป็นเรื่องทำนองนี้” ผู้ใหญ่บ้านตัวกลั่นรายงานขึ้น “ขั้นแรก จะต้องมีการนัดดวลเสียก่อน กำหนดวัน เวลา และสถานที่ไว้แน่นอน ไม่งั้นพวกนั้นไม่ขนปืนประจำตัวไปอย่างครบครันเดียงนั้น เมื่อเกิดการดวล มือปืนแก๊ปจะต้องโดนเข้าก่อน จากลูก .38 รีวอลเวอร์แบบตำรวจ ฝีมืกการยิงเฉียบขาดประณีตมาก เป็นการยิงอย่างกับยิงเป้านิ่ง อย่างกับจับวางเหลือเชื่อ เพราะมือปืนแก๊ปทั้ง 5 โดนเข้าเพียงคนละนัดที่จุดตายทุกนัด และจะต้องโดนอย่างเป็นลำดับ เพราะผลการยิงมันบอก ภาพที่พวกมือปืนแก๊ปนอนตายเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ เหมือนกับแถวทหารอย่างนั้น แต่เป็นท่านอนคว่ำ ปืนอยู่ข้างตัว เสร็จจากพวกปืนแก๊ปแล้ว ก็เป็นคราวของมือปืนลูกซอง มันกำหนดให้มือปืนลูกซองเป็นอันดับสอง ก็เพื่อที่จะให้พวกมันพะว้าพะวังไม่กล้าลั่นไก กลัวลูกกระสุนถูกกันเอง นี่วิเคราะห์ว่าอย่างนี้ คราวนี้ พวกลูกซองโดนถล่มด้วนน้อยหน่า อย่างน้อยก็ต้องสองลูกขึ้นไป พวกนี้วิ่นกระจุยไม่มีชิ้นดี แล้วจากนั้นก็เหลืออีกพวกคือพวกปืนไทย คอลท์ตราควาย กับมือลูกซองอีกหนึ่ง”

                   “ใคร ?” พระอาจาย์เอ่ยถาม

                   “ผู้ใหญ่เซ้งขอรับ คงจะถึงคราวผู้ใหญ่เซ้งตอนหลังสุด ภายหลังพรรคพวกเสร็จไปหมดแล้ว เพราะที่แกตาย อยู่ห่างจากบริเวณนัดดวลออกไปไม่ต่ำกว่า 2 กิโลเมตรเห็นจะได้”

                   “ห่างไปทางไหน ?

                   “มาทางวัดเรานี่แหละขอรับ เข้าใจว่านอย่างไม่คิดชีวิต แต่แทนที่จะหนีไปทางบ้านตัวเอง บ้านแข้ กลับหนีมาทางหนองปลาเข็ง ถูกยิงสกัดที่กกขาก่อน 2 รูๆละข้าง แล้วตายด้วยขวาน ขวานตัวเองที่พกติดเอวไปไหนมาไหนไม่เคยขาดนั่นแหละ คอขาดวิ่นเลย”

                   เล่ามาถึงตอนที่น่าสยองใจที่สุด ผู้ใหญ่บ้านก็สูดปากเบาๆ คล้ายจะเรียกความรู้สึกตัวเองกลับคืนมา

                   “ตำรวจเขาว่ายังไงบ้างล่ะ ?” พระอาจารย์ยังคงสอบข้อมูลไปเรื่อยๆ ยังไม่แสดงความเห็นใดๆ“   

                   “ตำรวจก็ยังสรุปผลไม่ได้แน่ชัดขอรับ แต่ข้อที่ตำรวจฉงนอยู่ก็คือ อีกฝ่ายนั้นมีจำนวนไม่มาก หรือไม่ก็อาจมีไม่ถึง 3 คน แต่สาวัตรใหญ่เองชื่อว่า เป็นการดวลระหว่าง 1 ต่อ 13 ฝ่ายที่มากกว่าตายหมด ไม่ทราบว่านักเลงจริงคนนั้น ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า ?

                   “มันไม่เจ็บ ไม่เป็นอะไรเลย” พระอาจารย์บอก “มันเสียเวลาบ้างเล็กน้อยกับพวกมือปืนตราควาย แต่ตอนนั้นพวกนี้ไม่คิดจะสู้แล้ว จึงเป็นการค่อนข้างมั่นใจของมือพิฆาต ที่จะใช้วิธีรุกประชิดและเก็บทีละคนอย่างใจเย็น มันปล่อยให้ผู้ใหญ่เซ้งกระเสือกกระสนหนีไปจนไกล แล้วค่อยตามเล็งยิง อย่างยิงสัตว์ตัวหนึ่ง พอล้มเพราะโดนตัดขาทั้งสองข้าง จึงค่อยย่างสามขุมเข้าไปเอาชีวิตเสีย ขั้นตอนนี้ก็คงเหมอนกับเมื่อเอาชีวิตเจ้าปีที่เถียงนานั่นเอง มันจะต้องอบรมสั่งสอนให้ถึงขนาดเสียก่อน ด้วยอำนาจปืนพกในมือขู่ให้นิ่งฟังจนสุดความ ชนิดทรมานความรู้สึกสุดยอดก่อนตาย เพื่อให้เข็ดหลาบไปจนถึงเมืองผี แต่คราวนี้ ด้วยคมขวาน ขวานผู้ตายเองเพื่อผล ผลทางทรมานให้สมแก่กรรมที่เคยได้ทำไว้ ซึ่งมีมือพิฆาตบางพวกนิยมใช้วิธีกานนี่อยู่บ่อย”

                   “น่าจะเป็นอย่างท่านอาจารย์ว่ามานี่แหละขอรับ นี่แสดงว่ามันคนเดียว เพียงคนเดียวไม่ได้ระคายอะไรเลย เท่ากระผีกริ้น ในการดวลระหว่าง 1 ต่อ 13 ครั้งนี้ อะโห อัศจรรย์จริง นี่แหละถึงจะเรียกว่า นักเลงจริง”

                   “อย่างนี้แหละ เรียกว่า นักเลงจริง และเป็น ยอดแห่งนักเลงแท้”

                   ในการพบกันเช้าวันรุ่งขึ้น พะอาจารย์อรรณพ อดีตสิงห์ร้ายคนหนึ่ง มิได้ถามสารวัตรใหญ่หากแต่สารวัตรใหญ่เป็นผู้ถามขึ้น

                   “ผมไม่เข้าใจว่ามือพิฆาตรายนี้ วางแผนนัดหมายอย่างไร ถึงได้โอกาสอันงามเยี่ยมเช่นนั้น เพราะพวกที่พ่ายต้องเสียชีวิตเซ่นสังเวยคมอาวุธ ล้วนมีชื่ออยู่ในบัญชีอันธพาลทั้งนั้น”

                   “การนัดหมายกระทำขึ้นก่อนการสังหารนายปี ปั่นสัก ที่เถียงนาวันก่อนโน้ม ในหนังสือนัด คงจะต้องบอกไว้ด้วยว่าจะเอาชีวิตนายปีก่อน เพื่อให้เห็นว่าศักดิ์สิทธิ์ในคำพูดจริง และเมื่อถึงวันก็เอาชีวิตนายปีเสียได้ ในจังหวะที่ผู้ใหญ่เซ้งออกมาหาและวางแผนร่วมกันอยู่ในคืนนั้นพอดี การที่สังหารด้วยปืนลูกตะกั่วนั้น ก็เพื่อพรางความจริงเกี่ยวกับอาวุธที่จะใช้ในวัดนัดดวลนั่นเอง โดยประสงค์หลอกพวกมือปืนโง่ๆ พวกนั้นว่า เขาไม่เท่าไรหรอก ซึ่งก็ได้ผล เพราะมือปืนที่ยกออกไปวันนั้น เป็นพวกลุ่มเผ่าพันธุ์เดียวกันทั้งสิ้น จนแม้กระทั่งมือปืนแก๊ปทั้ง 5 มือปืนนั้นด้วย ในความเป็นจริง พวกนั้นออกจะชะล่าใจเกินเหตุ มันคิดเห็นกันว่าเป็นเรื่องสนุกสนานสุดขีดเสียด้วยซ้ำ ในแง่ที่จะได้เล่นพวกมันกลับได้พบ ยิ่งกว่าเสือสิงห์กระทิงแรด กลายเป็นมือพระกาฬที่เก็บพวกมันเป็นศพไปชนิดที่ไม่ทันนึกรู้อะไรเป็นอะไรเลยด้วยซ้ำ แผนการฆ่านายปี มีผลต่อการนัดหมายอีกประการหนึ่ง ด้วยได้ปล่อยผู้ใหญ่เซ้งไป ไม่เอาชีวิตเสียในตอนนั้น ก็เพ่อให้ผู้ใหญ่เซ้งเป็นตัวรวบรวมสมัครพรรคพวก ยกออกไปสู่สนามนัดดวลนั่นเอง ส่วนลูกระเบิดแบบน้อยหน่าที่ใช้ไปกับการเก็บพวกปืนลูกซอง ก็ค้นได้จากเถียงนานายปีนั่น เพราะนายปีเคยถูกเกณฑ์ทหารแล้วหลบหนีมา พร้อมกับของขโมยมาซ่อนไว้ในที่ลับพิเศษ ในเถียงนานั่นเอง ”

                   ปัญหาต่อไปก็คือ “ใครเป็นมือพิฆาตรายนั้น ?

                   แต่ดูเหมือนสารวัตรใหญ่ไม่สนใจนัก พระอาจาย์อรรณพก็มิได้มีท่าทีว่าประสงค์จะรู้ ท่านกล่าวแต่เพียงว่า “อีกสักหน่อยอาตมภาพก็จะมีเพื่อนมาอยู่ด้วยที่วัดหนองปลาเข็ง ขณะนี้คงจะกำลังเดินทางมา”

                   ก่อนที่สารวัตรใหญ่จะกราบลาจากไปวันนั้น ท่านเอ่ยกับพระอาจารย์อรรณพเบาๆว่า

                   “คงจะรู้จักกันเสียทีว่า นักเลงจริงต้องอย่างนี้”.

 

มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา                                        มโนเสฏฐา มโนมยา,

                                                มนสา เจ ปทุฏเฑน                                             ภาสติ วา กโรติ วา,

                                                ตโต นํ ทุกฺขเนวติ                                                จกฺกํว วหโต ปทนฺติ.

 

                                                ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า                        มีใจเป็นใหญ่สำเร็จด้วยใจ

                                                ถ้าใจ อันโทษประทุษร้ายแล้ว                           จะพูดก็ตาม จะทำก็ตาม

“ความทุกข์ย่อมติดตามไป เพราะเหตุนั้น เหมือนล้อเกวียนตามรอยเท้าโคฉะนั้น”

                   (ธรรมบท 25/15)

จบบริบูรณ์

 




นิทานธรรมะแสนสนุก

คำนำว่าด้วยประวัติย่อของผู้ประพันธ์ เล่าถวายสหธรรมิก
มานุสสาสุรสงคราม
เจ้าชายหงส์ขาว
พระเหลียวหลัง
ยมราชถามอะไรคือการศึกษา article
ซิ่งเนรคุณ article
มงกุฎมาลีรัตนะแห่งองค์พระอรหันต์เจ้า
พญาโคร่งดำโพธิสัตว์
ดอกไม้ป่าสีน้ำเงิน
อาลัยบาป
คนไม่เคย
ภาระสี่เหล่าจักรพรรดิ์ธรรม
คนเมืองหิว
อนุสรณ์๋ป่าช้าอนุสาวรีย์ลูกรัก
ตำนานรักหนุ่มบ้านกาจสาวบ้านมโนรมย์
สงครามครั้งสุดท้าย
ธารมโนเพชร



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
----- ***** ----- โปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate นี่คือเวบไซต์คู่ www.newworldbelieve.com กับ www.newworldbelieve.net เราให้เป็นเวบไซต์ที่เสนอธรรมะหรือ ความจริง หรือ ความคิดเห็นในเรื่องราวของชีวิต ตั้งใจให้ธัมมะเป็นทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แด่คนทั้งหลาย ทั้งโลก ให้ได้รู้ความจริงของศาสนาต่าง ๆในโลกวันนี้ และได้รู้ศาสนาที่ประเสริฐเพียงศาสนาเดียวสำหรับโลกยุคใหม่ จักรวาลใหม่ เรามีผู้รู้ ผู้ตรัสรู้ ผู้วินิจฉัยสรรพธรรมสรรพวิชชา สรรพศาสน์ และสรรพศาสตร์ พอชี้ทางสู่โลกใหม่ ให้ความสุข ความสบายใจความมีชีวิตที่หลุดพ้นไปสู่โลกใหม่ เราได้อุทิศเนื้อที่ทั้งหมดเป็นเนื้อที่สำหรับธรรมะทั้งหมด ไม่มีการโฆษณาสินค้า มาแต่ต้น นับถึงวันนี้ร่วม 14 ปีแล้ว มาวันนี้ เราได้สร้างได้ทำเวบไซต์คู่นี้จนได้กลายเป็นแดนโลกแห่งความสว่างไสว เบิกบานใจ ไร้พิษภัย เป็นแดนประตูวิเศษ เปิดเข้าไปแล้ว เจริญดวงตาปัญญาละเอียดอ่อน เห็นแต่สิ่งที่น่าสบายใจ ที่ผสานความคิดจิตใจคนทั้งหลายด้วยไมตรีจิตมิตรภาพล้วน ๆ ไปสู่ความเป็นมิตรกันและกันล้วน ๆ วันนี้เวบไซต์นี้ ได้กลายเป็นโลกท่องเที่ยวอีกโลกหนึ่ง ที่กว้างใหญ่ไพศาล เข้าไปแล้วได้พบแต่สิ่งที่สบายใจมีความสุข ให้ความคิดสติปัญญา และได้พบเรื่องราวหลายหลากมากมาย ที่อาจจะท่องเที่ยวไปได้ตลอดชีวิต หรือท่านอาจจะอยากอยู่ณโลกนี้ไปชั่วนิรันดร ไม่กลับออกไปอีกก็ได้ เพียงแต่ท่านเข้าใจว่านี่เป็นแดนต้นเรื่องเป็นด่านข้ามจากแดนโลกเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง และซึ่งเป็นโลกหรือบ้านของท่านทั้งหลายได้เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาต่างศาสนา ได้โปรดใช้การแปลของ กูเกิล หรือ Google Translate แปลเป็นภาษาของท่านก่อน ที่เขาเพิ่งประสบความสำเร็จการแปลให้ได้แทบทุกภาษาในโลกมนุษย์นี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปีนี้เอง นั้นแหละเท่ากับท่านจะเป็นที่ไหนของโลกก็ตาม ทั้งหมดโลกประมาณ 7.6 พันล้านคนวันนี้ สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในโลกของเราได้เลย เราไม่ได้นำท่านไปเที่ยวแบบธรรมดาๆ แต่การนำไปสู่ความจริง ความรู้เรื่องชีวิตใหม่ การอุบัติใหม่สู่ภาวะอริยบุคคล ไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปพ้นจากทุกข์ ทั้งหลายไปสู่โลกแห่งความสุขแท้นิรันดร คือโลกนิพพานขององค์บรมศาสดาพุทธศาสนา พระบรมครูพุทธะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านโปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate ท่านก็จะเข้าสู่โลกนี้ได้ทันทีพร้อมกับคน7.6พันล้านคนทั้งโลกนี้. ----- ***** ----- • หมายเหตุ เอาขึ้นเวบไซต์ แทนของเดิม ทั้ง 2 เวบ .net .com วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 07.00 น. -----*****-----