ReadyPlanet.com
dot


จุดจบของอมาตยาเฒ่าสี่เสา


จุดจบของอมาตยาเฒ่าสี่เสา
กรณีม็อบปิดล้อมรัฐสภา 7 ต.ค.2551

 
ในที่สุด ภาพก็ชัดเจนขึ้นจนแจ่มแจ้ง เมื่อนายกล้าณรงค์ จันทิก เลขาธิการ ปปช.ทายาท คมช.ที่ปราศจากพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ออกมาแถลงแก่สื่อมวลชนเมื่อวันที่ 7 ก.ย.2552 อย่างรีบร้อน ว่า ปปช.ได้ชี้มูลความผิด กรณีรัฐบาลสมชาย วงษ์สวัสดิ์ ทำการสลายม็อบชั่วร้ายที่แอบอ้างสถาบันโดยตั้งชื่อกลุ่มตนเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้ง ๆ ที่มิได้มีสาระแห่งประชาธิปไตยอยู่เลย มีแต่เผด็จการหลอกลวงหลอกต้มประชาชนทั้งสิ้น ดังปรากฏว่าได้หลอกลวงมวลชนไปยึดทำเนียบรัฐบาลยุคนายกรัฐมนตรีสมัคร ตลอดมาถึงรัฐบาลสมชาย  แล้วต่อมาได้ก่อการปิดล้อมรัฐสภา เพื่อมิยอมให้คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลนายสมชายเข้าแถลงนโยบายได้   ในวันที่ 7 กันยายน 2552 นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ พล.อ.ชวลิต  ยงใจยุทธ  พล.ต.อ.ภัชรวาช วงษ์สุวรรณ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ถูกกล่าวหาโดยรัฐบาลทายาทของเผด็จการ คมช. ว่าต่างมีความผิดทางอาญาฐานเข่นฆ่าปราบปรามประชาชน โดยนายกล้าณรงค์ จันทิกได้ประกาศอย่างกร้าวแกร่งเหิมเกริมและอยุติธรรมอย่างยิ่ง  จึงเป็นสิ่งบอกเหตุที่ชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้นวันนี้ว่าบ้านเมืองในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไร้ขื่อแปแห่งความยุติธรรมบนแผ่นดินไทยไปอย่างสิ้นเชิง  และยังบอกความหมายที่ชัดเจนว่ามีอำนาจยิ่งใหญ่ที่บงการอยู่เบื้องหลังรัฐบาลนี้ นั่นคือมีคณะอมาตยาธิปไตยเผด็จการขุนนางและทหารแอบแฝงสั่งการอยู่เบื้องหลัง โดยมุ่งหมายสร้างระบอบเผด็จการอมาตยาธิปไตยขึ้นครอบงำประชาชนและปกครองแผ่นดินนี้เพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนตนให้สืบต่อไปอย่างยั่งยืน
ในเมื่อรัฐบาลใหม่จะต้องแถลงนโยบายการบริหารงานแผ่นดินก่อนการเข้ารับหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินเพื่อประชาชนทั้งชาตินั้น เป็นสิ่งจำเป็น ของรัฐประเทศไหน ๆ ในโลกนี้ที่เป็นประชาธิปไตยที่รับผิดชอบต่อประชาชนโดยเปิดเผยจะต้องทำให้ปรากฏต่อสาธารณชนทั้งหลาย     แต่การที่ม็อบพันธมิตรที่แอบอ้างประชาธิปไตย  คือสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ ซึ่งในขณะนั้นก็ได้กระทำความผิดร้ายแรงถึงขั้นกบฏในราชอาณาจักรอยู่แล้ว โดยการเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล อันเป็นสถาบันอธิปไตยของชาติของประชาชน 1 ใน 3 ของอำนาจสูงสุดในระบอบประชาธิปไตย ทำการปลุกระดมมวลชนโดยการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อล้มล้างรัฐบาลที่มาโดยการเลือกตั้งของประชาชนฝ่ายที่ได้เสียงส่วนใหญ่ลงให้ได้ทุกวิถีทาง จนกระทั่งคณะรัฐบาล 2 รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปใช้ทำเนียบรัฐบาลซึ่งเป็นที่ทำการของรัฐบาลของประชาชนได้ ซึ่งเป็นความผิดฉกรรจ์ระดับกบฏภายในราชอาณาจักรอยู่แล้ว    ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551นั้นได้ยกพวกเข้าปิดล้อมรัฐสภา อันเป็นสถาบันแห่งอำนาจสูงสุดของประชาชนอีกสถาบันหนึ่ง     ซึ่งทั้งหมดนี้ ม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ สมควรได้รับการพิพากษาในข้อหาร้ายแรงคือขั้นกบฏอีกกะทงหนึ่งเพิ่มเติมไปอีก
แต่วันที่ 7 ก.ย.2552   คณะ ปปช.ชุดของเผด็จการ คมช. แต่งตั้งโดยปราศจากการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ออกมาชี้มูลความผิดของฝ่ายรัฐบาลสมชายขณะนั้นว่า ได้กระทำผิดอาญาโดยดำเนินการปราบปรามประชาชน จนประชาชนถึงแก่ความบาดเจ็บและล้มตายไปหลายคน ซึ่งเป็นการตัดสินบนฐานของความอยุติธรรมโดยสิ้นเชิง   ในเมื่อมีข้อเท็จจริงว่า การชุมนุมปิดล้อมรัฐสภาในวันนั้น เป็นการกระทำโดยกลุ่มผู้ต้องหาว่ามีความผิดฐานเป็นกบฏในราชอาณาจักรอยู่แล้ว เพราะในขณะนั้นม็อบได้เข้ายึดทำเนียบรัฐบาล อันเป็นสถาบันอำนาจสูงสุดของประชาชน และใช้ทำเนียบรัฐบาลเป็นสถานีบริหารงานชั่วร้ายต่าง ๆ ก่อนดำริคิดการร้ายในการเข้าปิดล้อมรัฐสภา อันเป็นสถาบันอำนาจสูงสุดของประชาชนในด้านนิติบัญญัติ (ต่อมาได้กระทำการก่อการร้ายระดับนานาชาติ คือยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ก่อความเสียหายแต่เศรษฐกิจของชาติไทยและชาติอื่นอย่างประมาณค่าไม่ได้ อันเป็นกระทำที่ฮึกเหิมและสื่อมวลชนรายงานข่าวไปทั่วโลก ซึ่งกลายเป็นหลักฐานผูกมัดอย่างยากจะดิ้นหลุดได้ในฐานะผู้กระทำความผิดอย่างผู้ก่อการร้ายนานาชาติ)   และการปิดล้อมรัฐสภาคราวนั้น มิอาจมองได้ว่ามีความชอบธรรม เพราะมิได้มีลักษณะการชุมนุมอย่างสงบตามสิทธิในระบอบประชาธิปไตยแต่อย่างใดเลย เป็นการชุมนุมเพื่อก่อการร้ายที่มุ่งหมายอย่างชัดเจนถึงการล้มล้างรัฐบาลสมชาย ตามที่ปรากฎว่ามีหลักฐานภาพถ่าย วีดิโอ มากมายที่ยืนยันว่ามิได้เป็นการชุมนุมอย่างสงบ ไร้อาวุธ   แต่เป็นการตรงกันข้าม   เพราะม็อบได้ตระเตรียมวางแผนการใช้กำลัง พร้อมอาวุธ ได้แก่ระเบิดปิงปอง ปืน มีดผาหน้าไม้ ปลายธง และตะบอง เครื่องมือต่าง ๆ ที่พร้อมที่จะผันแปรไปใช้อย่างอาวุธ เช่นไม้เบสบอล แม้กระทั่งไม้คมแฝกก็มีการพกพามาเป็นต้น   ดังปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนจากภาพถ่ายวีดีทัศน์ ถึงอาวุธและแผนการร้ายของฝ่ายม็อบฯอย่างชัดเจนปราศจากข้อสงสัย   และยังมีแกนนำม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ คนหนึ่งได้ทำให้เกิดระเบิดร้ายแรงขึ้นเองในรถยนต์เชอโรกี ที่นำมา ร่วมในแผนการก่อการร้าย จนกระทั่งเจ้าของพาหนะถึงแก่ความตายคาที่ และรถยนต์พังเสียหายยับเยิน ซึ่งตำรวจได้พิศูจน์แล้วว่า เป็นผลจากระเบิดที่มีการทำให้เกิดระเบิดขึ้นด้วยตนเอง ทำให้ตนเองถึงแก่ความตายเป็นต้น นอกจากนั้น การที่ม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์กลุ่มนี้ดำเนินการอะไรอย่างไร ที่ไหน เมื่อไร ก็มีหน่วยบัญชาการอย่างเปิดเผย คือเอเอสทีวี ที่ทำหน้าที่ปลุกระดมมวลชน  ทำการรายงานแผนการต่าง ๆ รวมทั้งรายงานเจตนาชั่วร้ายของตนเองอย่างเปิดเผย แผนการติดอาวุธไปปิดล้อมรัฐสภา ก็มีการออกข่าว-ภาพโดยเปิดเผยของเอเอสทีวี ถึงแผนการร้ายครั้งนี้อยู่แล้ว และการฝึกซ้อมอาวุธและการติดอาวุธของม็อบกลุ่มนี้โดยโทรทัศน์ต่างประเทศ เช่น อัลจาชีรา (Aljazeera) ของต่างประเทศ ก็ได้ทำการถ่ายทอดออกไปทั่วโลก ปรากฎภาพขณะนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำคนสำคัญ อำนวยการฝึกอาวุธอยู่ บริเวณถนนราชดำเนินนอก ก็เป็นหลักฐานที่ชัดเจน  และเนื่องจาก การชุมนุมในเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551นั้น มีการระดมคนเข้ามาปิดล้อมบริเวณหน้ารัฐสภาและจุกประตูรัฐสภาอย่างเหนียวแน่น ทำให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าสภาไม่ได้ เว้นแต่ สส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่ยอมเข้าสภา  จึงจำเป็นที่ฝ่ายดูแลรักษาความปลอดภัยจะต้องทำการสลายม็อบเพื่อเปิดทางเข้าสู่รัฐสภาเพื่อการแถลงนโยบายของรัฐบาล อันเป็นสิ่งจำเป็นของระบอบการปกครองประเทศ และการสลายม็อบคราวนั้นรัฐบาลก็ได้กระทำไปโดยลำดับขั้นตอนการดำเนินแบบสากลประเทศ และมีสิทธิ์ใช้ระเบิดแก๊สน้ำตาซึ่งเป็นระบบการสลายม็อบที่ไร้ความรุนแรงพอให้ถึงแก่บาดเจ็บหรือเสียชีวิต เช่นเดียวกับสากลประเทศที่เจริญทั่วไปทุกแห่งหน และที่มีข้อสังเกตในภายหลังก็คือ ต่อมาศาลปกครองก็ได้มีการตัดสินแล้วว่า ทางรัฐบาลทำการสลายม็อบไปนั้น เป็นการชอบธรรม
การที่ ปปช.มอบให้นายกล้าณรงค์ จันทิก ออกมาชี้มูลความผิดครั้งนี้ โดยกล่าวหาว่าฝ่ายรัฐบาลกระทำการปราบปรามประชาชนโดยไม่ชอบธรรมจึงเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ปปช.ไม่ได้ทำหน้าที่พิจารณาไปบนหลักการและเหตุผลแห่งความเป็นธรรมและความยุติธรรมของแผ่นดิน โดยนัยยะของความเป็นธรรมดาของสังคมมนุษย์ เนื่องเพราะการพิจารณามีความลำเอียงโดยเจตนาเมินเฉยไม่ได้นำหลักฐานในองค์รวมรอบด้านมาร่วมพิจารณาด้วยอย่างรอบคอบสมบูรณ์  หากแต่เลือกเอาเฉพาะหลักฐานข้อมูลเพียงบางส่วน ที่อาจใช้ทิ่มแทงเอาผิดเอาโทษแก่รัฐบาลสมชายให้จงได้เท่านั้น  แม้ว่าแท้ที่จริงหลักฐานเช่นว่านั้นก็ล้วนมีข้อโต้แย้งได้ทั้งสิ้น เป็นการตัดสินความอย่างบกพร่องทางภูมิปัญญา ที่ไม่เป็นธรรมแก่แผ่นดิน  อุปมาเหมือนวณิพกโง่เขลาในคตินิทานโบราณในวงการพระพุทธศาสนาเรื่อง ตาบอดคลำช้าง นั่นเอง และนั่นคือการตัดสินใจบนความโง่เขลารู้แคบรู้น้อยย่อมไม่อาจจะรู้ความจริง และย่อมเป็นผลร้ายแด่สามัคคีธรรมของคนในชาติ   และนั่นเป็นต้นเหตุของการสร้างปัญหาใหม่ให้เพิ่มพูนลงไปในแผ่นดินและประชาชน โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์เพราะความรู้ที่บกพร่องทำนองตาบอดคลำช้างนี่เอง   ในส่วนความบกพร่องนี้ ยังมีประเด็น สำคัญที่ ปปช.ละเลยหลักฐานการบุกเข้ายึดกองบัญชาการตำรวจนครบาล  ในเวลากลางคืนของวันที่ 7 ตุลาคม 2551 อันเป็นการกระทำในลักษณะของพาลชนที่ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง และมีความกร้าวแกร่งเหิมเกริมของม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นความผิดระดับร้ายแรงเข้าขั้นกบฏอีกเหตุผลหนึ่ง   ตลอดไปถึงหลักฐานจากประชาชนที่ถูกทำร้าย และหลักฐานที่ฝ่ายม็อบกรูเกรียวเข้าทำร้ายตำรวจ และใช้รถยนต์ปิคอัพสีน้ำเงินเข้าทับตำรวจอย่างโหดร้าย โดยถอยเข้ามาทับหวังให้ตายหลายครั้ง แต่ด้วยความฉลาดเท่าทันการณ์ ตำรวจใจเพชรนายนั้นจึงเอาตัวรอดได้ (ประชาชนคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่รู้กฎหมายเลย เขาก็อาจตัดสินได้ความเป็นธรรมกว่าท่าน ปปช.อีก เพราะเขามองเหตุการณ์รอบคอบกว้างขวางครอบคลุมกว่า มององค์รวมได้ทั่วถึงกว่า ปปช.นั่นเอง)   จึงทำให้เห็นข้อเท็จจริงที่ชัดเจนสิ้นข้อสงสัยว่า ปปช.นอกจากลำเอียงแล้ว ยังตกอยู่ใต้อำนาจสั่งการของพลังผลักดันเบื้องหลังม็อบกลุ่มบ้าคลั่งนี้  และพลังนั้นคือ คณะอมาตยาธิปไตยเผด็จการขุนนางทหารต่อต้านประชาธิปไตยที่นำโดยอำมาตย์เฒ่าบ้านสี่เสา อย่างไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัย อีกแล้ว
การกล่าวหารัฐบาลสมชาย กรณี 7 ตุลาคม 2551 จึงได้ข้อยุติมีข้อเท็จจริงที่เปิดเผยว่าคณะอมาตยาธิปไตยนั้นได้วางแผนการโดยประสานกำลัง-หน้าที่กันกับคณะบุคคลหลายคณะคือ 
(1.)   เอเอสทีวี ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ได้รับการสนับสนุนจากประธานกรรมการที่ปรึกษาของพรรคประชาธิปัตย์(นายชวน หลีกภัย โดยนายชวน ได้ขึ้นเวที ประกาศปกป้องเอเอสทีวีร่วมกับแกนนำอื่นๆ โดยร่วมกันประกาศปฏิญญาณว่า ถึงแม้แกนนำทุกคนจะตายไปแล้ว แต่เอเอสทีวีจะต้องอยู่ต่อสู้ต่อไป)  ทำหน้าที่อำนวยการโฆษณาชวนเชื่อ โดยทำการโฆษณาใส่ร้ายรัฐบาลทุกรัฐบาลขณะนั้น โดยเริ่มตั้งแต่รัฐบาลทักษิณจัดทำบุญประเทศในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยพระบรมราชานุญาต นายสนธิ ลิ้มทองกุลกล่าวหาว่านายกทักษิณ ชินวัตร กระทำการจ้วงจาบละเมิดสถาบันเบื้องสูง ด้วยการทำตนเสมอกษัตริย์ และนั่งทับพระที่นั่งกษัตริย์ ซึ่งเป็นความเท็จโดยสิ้นเชิงแต่นายสนธิเอามาโกหกอย่างหน้าด้าน ๆ ทำให้เกิดอลเวงในหมู่คนขึ้นสมตามเจตนาของนายสนธิ  จนต่อมาสำนักพระราชวังได้ออกมาแก้ตัวให้ว่ารัฐบาลทักษิณกระทำไปอย่างถูกต้องตามระเบียบแบบแผนของสำนักพระราชวังทุกประการ จึงสงบลง  กระนั้นเอเอสทีวีก็ยังสามารถระดม การโฆษณาชวนเชื่อให้ร้าย ดร.ทักษิณ กับพรรคการเมืองทักษิณในประเด็นเกี่ยวกับเบื้องสูงมาได้จนถึงบัดนี้ และ    
             (2.) มีพรรคประชาธิปัตย์ มาร่วมรับใช้อมาตยาธิปไตย โดยเหตุที่มีหัวหน้าพรรคมักใหญ่ใฝ่สูงเกินตัวและกระหายกระ***นกระหือรือเหมือนกระสือที่อย่างเป็นใหญ่ อย่างเด็กอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ   และ
(3.)   สำนักสันติอโศก อันเป็นสำนักนักบวชเถื่อนนอกมหาเถรสมาคม คณะสงฆ์ไทย ที่หลอกลวงประชาชนมานาน อ้างว่าเพื่อการบรรลุธรรมสูงสุดในพระพุทธศาสนา แต่เจ้าลัทธิกลับใฝ่สูงโดยไม่ชอบธรรมคือโพธิรักษ์ ผู้ปรารถนาความเป็นศาสดาอย่างโง่เขลาเบาปัญญาอย่างยิ่ง โดยมีศิษย์คนสำคัญที่โง่เขลาพอ ๆ คือ นาย จำลอง ศรีเมือง เข้าร่วมมือกัน เพื่อทำลายล้างรัฐบาลประชาธิปไตย ทำลายล้างทักษิณ ชินวัตร ด้วยวิธีการอยุติธรรมอย่างที่สุด   จนล่าสุดบัดนี้ กำลังจะขจัดสมชาย วงษ์สวัสดิ์  ญาติทักษิณ ไปอีกคนหนึ่ง
(4.)     ปปช.และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่ คมช.แต่งตั้ง บริหารไปโดยปราศจากพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง
(5.)      รัฐบาลประชาธิปัตย์
และบัดนี้เราจึงได้ข้อยุติว่า ทั้งหมดอยู่ใต้บงการของอมาตยาธิปไตยขุนนางทหารร่วมมือกันเพื่อทำประเทศไทยให้ถอยหลังลงคลองไปสู่เผด็จการในอดีต โดยเอาแบบอย่างประเทศเพื่อนบ้าน ผู้กำลังหลงผิดไปสุด ๆ ในการมุ่งสร้างตนเป็นมหาอำนาจด้วยอาวุธนิวเคลียร์ เช่นเดียวกับเกาหลีเหนือ    อันเป็นวิถีทางที่มืดบอดเพราะไม่ยอมมองเสรีภาพของประชาชนตามหลักการโลกยุคใหม่ แต่กดประชาชนลงไปรับใช้อำนาจของคณะบุคคลแทนระบอบกษัตริย์ และปิดกั้นประชาชนไปสู่ความอยู่ดีกินดีและความร่ำรวย
การปรากฏโฉมหน้าใหม่ของฝ่ายอมาตยาธิปไตย นำโดยอัศวินเฒ่าขันฑีแห่งบ้านสี่เสา จึงสามารถเห็นได้ชัดเจนในเวลานี้ว่าจะนำชาติประชาชนถอยหลังไปสู่ยุคมืดมนอนธกาลโดยก้าว ตามรอยเผด็จการผู้ไร้อนาคตไปอีก   เช่นนี้ย่อมเป็นการกระทำตนไร้ความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ผู้ทรงพระเมตตาหาที่สุดมิได้แด่ปวงชนชาวไทย โดยทรงยินยอมสละพระราชอำนาจอันสูงสุด ของขัตติยระบอบอันทรงอำนาจมายาวนานเสีย ยกมาพระราชทานให้แด่ปวงชนชาวไทย โดยทรงเน้นย้ำว่า มิได้ทรงพระราชทานอธิปไตยนี้แด่บุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือคณะบุคคลหนึ่งคณะบุคคลใด แต่ทรงพระราชทานให้แด่ปวงชนชาวไทยทั้งชาติ   นี่คือประชาธิปไตยในจิตใจของบรมกษัตริย์ ซึ่งประชาชนผู้รักประชาธิปไตยย่อมซาบซึ้งตรึงในจิตใจที่เทิดทูนอย่างสูงยิ่งอยู่แล้ว
ฉะนั้นการที่อมาตยาเฒ่าบ้านสี่เสา ผู้นำระบอบอมาตยาธิปไตยคิดการใหญ่ใฝ่สูงเกินอาจเอื้อมได้ด้วยขัดพระบรมราชโองการแห่งขัตติยหวลกลับมาอีกเช่นนี้ เหตุการณ์นี้กลับเป็นการชี้ชัดว่าบัดนื้ อมาตย์เฒ่ากำลังจนหนทาง หลงทำในสิ่งที่จะไม่เกิดประโยชน์อันใดแก่อมาตยาธิปไตยเลย มีแต่จะเปิดเผยให้ประชาชนรู้ชัดเจนไปยิ่งขึ้นว่า ศัตรูของประชาชนตัวร้ายนั้น รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน โฉมหน้าที่แท้จริงเป็นอย่างไร และบัดนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า แท้จริง เป็นอมาตย์เฒ่า ผู้ไม่เจียมสังขาร ไร้สติปัญญา มืดบอดไปโดยสิ้นเชิงแล้ว   เพราะสัจจธรรมแห่งสงครามประชาชน นั่นเอง   ไม่มีพลังใดใดในโลกหล้าที่จะอาจเอาชนะพลังประชาชนทั้งแผ่นดินได้   เพราะพวกเขาคือ   ประชาธิปไตยก้าวหน้า และใครก็ตามที่ไม่ฟังสัจธรรมแห่งประชาธิปไตยที่ว่า   เสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์ แล้ว   นั่นหมายถึงความปราชัยสถานเดียว ไม่ช้าก็เร็วอย่างแน่นอน  และนั่นหมายถึงอนาคตที่มืดมนอนธกาลเสียแล้ว   พวกมันอมาตยาเฒ่าแม้ลำพังอยู่ไปเฉย ๆ ก็ต้องตายเองอยู่แล้ว เหตุใดจึงมาเร่งความตายให้แก่ตนเอง   นี่คือคติแห่งความโง่เง่าเต่าตุ่นผู้ไร้สติปัญญาธรรมโดยแท้จริง และนั่นคือนรกอเวจีย่อมรออยู่ข้างปัจจุบันกาลหรือปรภพแล้ว
และข้อสรุปบัดนี้ก็คือสัญญลักษณ์อมาตยาธิปไตยผู้ทรยศ กำลังเดินไปสู่จุดจบ ในไม่ช้าไม่นานนี้   เพราะเป้าหมายชัดเจนแล้ว เสียงประชาชนก็กำลังจะกระหึ่มกึกก้องขึ้นมาทั้งแผ่นดิน    เพียงเสียงที่กระหึ่มของปวงชนผู้รักประชาธิปไตย และพร้อมถวายชีพเพื่อความเป็นธรรม เท่านั้นแล้ว อมาตยาเฒ่าก็คงจะถึงซึ่งความวางวายแห่งหฤทัยตายไปเป็นแน่นอน     แล้วพวกสมุน ๆ อมาตยาธิปไตยเฒ่าจักมีความหวังแห่งชัยชนะเหนือประชาชนได้อย่างไร ?
จงกลับใจเสียเถิด สำหรับผู้คิดจะทรยศต่อประชาธิปไตย จะไปซบจงรักภักดีต่ออมาตยาเฒ่านั้นเพื่อนาคตอย่างไร มองไม่เห็นแสงสว่าง แม้ที่ปลายอุโมงค์ก็ยังคงมืดมน มีแต่ความมืดมนอนธกาล อยู่ข้างหน้า แต่ฝ่ายประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั้งแผ่นดิน กลับเพิ่มพูนกำลังใจฮึกเหิมขึ้นเป็นทวีคูณ มองเห็นความสว่างเจิดจ้า   ไม่นานเดินรอแล้ว
พวกเขาต้องการสู้เพื่อเอาประชาธิปไตยกลับคืนมา เอาคนดีของประชาธิปไตยกลับคืนมา ขับไล่ทรราช อมาตย์เฒ่าทารกให้พ้นไปจากแผ่นดินไทย
เพราะพวกเขาพร้อมจะลุกขึ้นสู้ด้วยกันทั้งแผ่นดิน สู้ด้วยหลักอหิงสาและภูมิปัญญาที่รอบคอบสุขุม เพื่อประชาธิปไตย ซึ่งโดยสัจธรรมวันนี้ สถานการณ์ทุกด้าน ไม่ว่าการเมือง เศรษฐกิจและสังคม กำลังหนุนเนื่องเข้าข้างประชาชนผู้รักประชาธิปไตยอย่างเต็มที่แล้ว   ทำให้ฝ่ายประชาชนผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย อันเป็นมวลชนมหาศาล เป็นฝ่ายที่ได้เปรียบอย่างยิ่ง เนื่องเพราะพวกอมาตยาธิปไตยนับวันจักอ่อนด้อย เพราะไร้ทั้งสามัคคีธรรมและไร้ภูมิปัญญา ในหมู่พวกตนเอง อุปมาเหมือนสนิมเหล็กที่เกิดจากเนื้อในเหล็กนั่นเอง ที่ย่อมกัดกร่อนตนเองสลายลงไปตามลำดับ ๆ  ประชาชนจงมุ่งมั่นในเจตนาอันกร้าวแกร่งแต่จงรอบคอบและยึดมั่นในวินัยอันดีแห่งอหิงสกธรรมและภูมิปัญญา โดยไม่ประมาท ดั่งนี้แม้ เพียงรอ ๆ ๆ ๆ ไม่ออกแรงอะไรนักเลยก็ชนะแล้ว .
 
  • สุดสบาย บานไม่รู้โรย
    8 ก.ย.2552

 


ผู้ตั้งกระทู้ สุดสบาย บานไม่รู้โรย :: วันที่ลงประกาศ 2009-09-10 08:42:33


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1977156)

 

 
โครงการสานใจไทยสู่ไทยใต้
ของมูลนิธิพลเอกเปรมยุค 2552 ต้องยุติ
 
พล.อ.เปรม ตินสูลานนท์ ในฐานะประธานมูลนิธิประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษ ได้ดำเนินโครงการอบรมเยาวชน 5 จังหวัดภาคใต้ในนามโครงการ  สานใจไทยสู่ใจใต้ ปีนี้เป็นปีที่ 12 แล้ว แต่ในปีที่ 12 นี้ ซึ่งทางมูลนิธิฯได้นำเยาวชน 5 จังหวัดชายแดนใต้มาเข้าโครงการจำนวน 240 คน ได้มีอะไรที่แปลกและแปร่ง ไปกว่าเดิม โดยที่เห็นไปถึงนโยบายของมูลนิธิฯ ที่ไม่น่าจะถูกต้องและชอบธรรมต่อประชาชนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเราเห็นว่า นโยบายของพล.อ.เปรมนี่เองที่เป็นเหตุให้ ในระยะปัจจุบันของรัฐบาลอภิสิทธิ์ สถานการณ์ใต้รุนแรงยิ่งขึ้น  
 
ทำไมสถานการณ์ใต้จึงไม่ดีขึ้นเลย ทั้งที่น่าจะดีขึ้นตั้งแต่ พล.อ.สนธิ บุณยรัตนกลิน ขึ้นเถลิงอำนาจสูงสุดในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 โดยเหตุผลที่ว่าพล.อ.สนธิ เป็นมุสลิม เป็นผู้ที่เข้าใจปัญหาชาวไทยใต้มุสลิมดี เหตุผลในเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ในส่วนของมูลนิธิประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษ ในโครงการ สานใจไทยสู่ใจใต้ ปีนี้นั้น เห็นได้ว่าผิดพลาดอย่างร้ายแรง น่าเป็นเหตุให้สถานการณ์ใต้คุโชนแรงขึ้นมาอีก ทั้งนี้เห็นได้จากการแถลงถึงนโยบายของโครงการ สานใจไทยสู่ใจใต้ ปีที่ 12 ของพล.อ.เปรม  ณ สโมสรทหารบก ในวันที่ 23 เมษายน 2552 ณ เวลา 10.00 น. ซึ่งเป็นวันที่ทางมูลนิธิฯได้ทำพิธีเปิดโครงการฯ ปี 2552   พล.อ.เปรม ตินสูลานนท์ เป็นประธาน มีพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ตามไปร่วมในพิธีด้วย พล.อ.เปรม กล่าวข้อความสำคัญ ตามที่หนังสือพิมพ์ได้นำมาลงข่าว ดังนี้
 
 
“พระสยามเทวาธิราชคุ้มครองประเทศ
ขอให้ภูมิใจว่าทุกคนเป็นสิ่งที่เราตั้งใจว่า จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มุ่งมั่น ปรารถนาดูแลชาติบ้านเมืองให้มีความรักสามัคคีสมานฉันท์ นำพาประเทศเจริญก้าวหน้า ทุกคนรู้จักพระสยามเทวาธิราชหรือไม่ ท่านไม่ใช่พระแต่แต่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ ท่านประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวัง คนไทยทุกคนถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะคุ้มครองประเทศชาติให้สงบร่มเย็น   พระสยามเทวาธิราชแสดงให้เห็นตลอดว่า ท่านดูแลชาติบ้านเมืองเราจริง อยากให้เราระลึกถึงพระสยามเทวาธิราช และขอให้ท่านคุ้มครองเยาวชนและชาติบ้านเมืองของเราให้สงบร่มเย็น   ส่วนคนที่ไม่หวังดีต่อประเทศให้มีอันเป็นไป” พลเอกเปรมกล่าว
 
พล.อ.เปรมให้สัมภาษณ์ด้วยว่า พระสยามเทวาธิราชไม่ได้เป็นของศาสนาพุทธหรือศาสนาใด แต่เป็นของคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด แต่เป็นของคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็คุ้มครองทั้งนั้น พระสยามเทวาธิราชเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเรา คนพูดว่าชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะเมื่อเรามองไปในอดีตเหตุการณ์อะไรที่ทำให้บ้านเมืองเสียหาย ก็จะมีเรื่องเสียหายน้อยหรือสงบโดยเร็ว และคนไทยก็จะกลับมารักชอบพอกันเหมือนเดิม พระสยามเทวาธิราชเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อว่ามีจริง   ถ้าใครศัทธาเลื่อมใสจะรู้ว่าพระสยามเทวาธิราชจะคุ้มครองคนดีของประเทศเรา แล้วจะไม่คุ้มครองคนไม่ดี    (ไทยรัฐ 24 เม.ย.2552)
 
คนทั้งหลายย่อมทราบดีว่า คำกล่าวนี้ไม่เพียงเป็นการพูดเปิดประชุมโครงการฯเท่านั้น แต่เป็นการพูดเชิงนโยบายที่ประชาชนทั้งชาติและทั้งโลกได้รับฟัง อย่างเปิดเผย แต่สำหรับเยาวชนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เข้ามารับการอบรมครั้งนี้ พวกเขาล้วนเป็นไทยมุสลิม และชาวไทยมุสลิมและมุสลิมทั้งโลกได้รับฟังแล้ว   ก็ย่อมกลายเป็นเรื่องที่อ่อนไหวจัดอย่างยิ่ง เพราะในคติมุสลิม และทั้งรวมความไปถึงความเป็นมุอ์มิน(บางแห่งเขียน มุมิน) หรือมุสลิมที่แท้จริงนั้น เขาจะต้องเคารพและนับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น มีคำพูดเป็นสากลสำหรับชาวมุสลิมว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์อัลเลาะห์”   ดังพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานบัญญัติไว้ว่า “อัลเลาะห์นั้น ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอันควรได้รับการสักการะโดยแท้จริง เว้นไว้แต่พระองค์ผู้เป็นองค์นิรันดร เป็นองค์ดำรงเองในการบริหารโลกอย่างเข้มแข็ง ซึ่งทั้งความง่วงเหงาและความหลับย่อมไม่ครอบงำพระองค์ สิทธิของพระองค์นั้นได้แก่ทุกสิ่งอันอยู่ในบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและทุกสิ่งในผืนแผ่นดิน”   และมุอ์มินย่อมเอ่ยพระนามพระองค์เต็ม ๆ ว่า อัลเลาะห์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา  (บางแห่งเขียนพระนามว่า อัลลอฮ์) เมื่อมุอ์มินจะเริ่มทำการหรือพิธีกรรมใดก็จะอ้างว่าทำในพระนามพระองค์อัลเลาะห์ ดังปรากฏในหน้าแรกแห่งอัลกุรอานว่า “ข้าพเจ้าขอเริ่มสิ่งที่ชอบแห่งศาสนา ด้วยพระนามแห่งอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตาในโลกนี้ทั่วไป และทรงเมตตาในโลกหน้าเฉพาะผู้ที่ศรัทธาตามคำสั่งสอนของพระองค์”  การที่มีคนไม่เข้าใจว่าเรื่องการนับถือพระเจ้านั้น สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาสากลที่มีพระเจ้า รวมทั้งศาสนาอิสลามแล้ว เป็นเรื่องใหญ่ยิ่ง สำคัญถึงความเป็นความตายเลยทีเดียว
การพูดของพล.อ.เปรมเช่นนี้ แน่นอน คำพูดนี้ย่อมเป็นอันตราย ย่อมเป็นเหตุแห่งความแตกแยก ไม่สมานสามัคคี   และเชื่อได้เลยว่า นี่เป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ขณะนี้   เพราะจะมีมุสลิมฮาร์ดคอร์หรือมุสลิมบริสุทธิ์ อย่างในต้นกำเนิดคืออิรัค อิหร่าน อาฟกานิสถาน หรือแม้ในสามจังหวัดไทยภาคใต้ไม่ยอม และสามารถจะพลีชีพให้การต่อสู้ได้อย่างไม่นึกสะพรึงกลัวสิ่งใดเลย เนื่องเพราะความเชื่ออย่างแน่นแฟ้นของพวกเขาว่า อัลเลาะห์ทรงเป็นองค์บริบูรณ์ยิ่ง   ดังพระมหาคัมภีร์ระบุว่า   “ด้วยว่าอัลเลาะห์นั้น คือองค์ทรงความไพบูลย์ในทางอำนวยให้แก่ผู้เป็นข้าแห่งพระองค์อย่างพิเศษสุด ทรงประณีตยิ่งในทางบริหารธุรกิจของพระองค์ให้แก่ผู้เป็นข้าเหล่านั้น”  (ทรงหมายถึงรางวัลบนแผ่นดินนี้และรวมทั้งรางวัลในสวรรค์เจ็ดชั้นสำหรับข้าพระองค์ผู้จงรักภักดี)  

พล.อ.เปรม ทราบหรือไม่ว่าท่านพูดอะไรออกไป ? จริงอยู่พระสยามเทวาธิราช มีความศักดิ์สิทธิ์ แต่ความศักดิ์สิทธินั้นปรากฏอย่างไร และแท้จริงก็ยังมีเทพองค์อื่นที่ปกป้องประเทศไทยมาแต่โบราณ ตามบันทึกชาวจีนนักประวัติศาสตร์ชื่อ Jen Fang ว่าด้วยศาสนาดั้งเดิมของชาวไทย เทพเจ้าผู้สร้างประเทศไทยชื่อว่า เทพเจ้าปานกู(Panku) ทรงมีพาหนะคือนกวายุภักษ์ (ภายหลังกำเนิดในไทยแล้ว แพร่เข้าสู่ประเทศจีน ในศตวรรษที่6 มีคำบรรยายว่า 


“เทพเจ้าปานกูมีรูปร่างเล็กเหมือนคนแคระ ใช้หนังหมีหรือใบไม้หุ้มห่อกาย มือข้างหนึ่งถือดวงอาทิตย์ มืออีกข้างหนึ่งถือดวงจันทร์ ดังนั้นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ คือผลงานชิ้นแรกในการสร้างจักรวาลของเทพเจ้าปานกู ซึ่งพระองค์ทรงใช้เวลาสร้างถึง 18,000 ปี หลังจากนั้นร่างกายของพระองค์จึงสลายกลายเป็นส่วนประกอบของโลกเรา กล่าวคือกระดูกของเทพเจ้าปานกูกลายเป็นภูเขา เนื้อกลายเป็นพื้นดิน ฟันและเล็บกลายเป็นสายลม เลือดในพระวรกายกลายเป็นสายน้ำ เส้นผมกลายเป็นต้นไม้และต้นหญ้า โลกที่เราอยู่จึงเป็นโลกที่เกิดจากการสลายจากร่างของเทพเจ้าปานกู”    
 
 
แต่แม้พระสยามเทวาธิราชและเทพเจ้าปานกูก็มิได้เป็นที่รู้จักเคารพอย่างแพร่หลายในประเทศไทย   โดยเหตุผลดังกล่าวมานี้การที่พล.อ.เปรมไปอ้างพระสยามเทวาธิราชนั้นนอกจากไม่เป็นผลดีแล้ว ยังเป็นผลร้ายที่ปรากฏชัดเจน เพราะทำให้สถานการณ์ใต้รุนแรงขึ้นในขณะนี้ อันเป็นยุคของนายกเด็กอภิสิทธิ์ ผู้ที่ท่านประธานองค์มนตรีสนับสนุนและยกย่องว่า “นายกอภิสิทธิ์นี่แหละดี”  
 
และแน่นอนพล.อ.เปรม เป็นต้นเหตุสำคัญทำความเจ็บแค้นแด่ชาวไทยมุสลิมใต้ และรวมทั้งมุสลิมอันเป็นสากล เนื่องเพราะท่าทีเช่นพล.อ.เปรม เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ประสงค์เปลี่ยนแปลงศาสนาเดิมของพวกเขา และเราได้บอกสัจธรรมแล้วว่า คนเขาสู้อย่างเสียสละแม้ชีวิตเพื่อศาสนาของพวกเขา(และของพวกเรา)
 
เราอยากให้ท่านพล.อ.เปรม หยุดความคิดนี้ลงโดยพลันทันที และเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่โดยเร็ว
 
โดยเปลี่ยนมาสนับสนุนประชาธิปไตย เป็นทางเดียวและทางที่ดีเหมาะสมทุกประการเท่านั้นที่จะสามารถสมานสามัคคีระหว่างชนต่างศาสนาในรัฐประเทศหนึ่งได้   โดยหลักการและเหตุผลก็คือ   ประชาธิปไตยไม่มีศาสนา (ไม่คำนึงเรื่องศาสนา)   ดังนี้
 
 
       1.   ด้านนโยบายของการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย   ไม่เกี่ยว ไม่ถูกจำกัดด้วยการนับถือศาสนา   นโยบายจะต้องเสมอภาคไปหมดในประชาชนทั่วประเทศ ไม่จำกัดเฉพาะภาคหนึ่งภาคใด ท้องถิ่นหนึ่งท้องถิ่นใด และไม่จำกัดศาสนาใด ไม่ว่าพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกส์ โซโรอัสเตอร์ ฯลฯ   สุดแต่ขอบเขตนโยบายของพรรคการเมืองที่สร้างขึ้นโดยนักการเมืองของพรรคการเมืองนั้นได้ให้คำจำกัดความไปถึงไหน
 
       2.    นโยบายในระบอบประชาธิปไตย ถูกสร้างขึ้นจากคนทุกเชื้อชาติศาสนา ไม่จำกัดความเชื่อและสิทธิในพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งประเด็นนี้ แม้ในรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับก็ได้รับรองไว้แล้ว(จึงเป็นประชาธิปไตย) ดังรธน.2540 ม. 38 ว่า             “มาตรา 38 บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนา นิกายของศาสนา    หรือลัทธินิยมในทางศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนบัญญัติหรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและไม่เป็นการขัดต่อความ สงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
             ในการใช้เสรีภาพดังกล่าวตามวรรคหนึ่ง บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองมิให้รัฐกระทำการใดใดอันเป็นการรอนสิทธิหรือเสียประโยชน์อันควรมีควรได้เพราะเหตุที่ถือศาสนา นิกายของศาสนา ลัทธินิยมในทางศาสนา หรือปฏิบัติตามศาสนบัญญัติหรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือแตกต่างจากบุคคลอื่น”   
3.          ชนส่วนน้อยมีสิทธิ์สร้างหรือเสนอนโยบายได้อย่างเต็มที่ อันเป็นสิทธิของประชาชนทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกศาสนา ในขณะเดียวกันพรรคการเมืองทั้งหลายย่อมคำนึงชนส่วนน้อยและนโยบายของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยย่อมจะต้องมีนโยบายที่ครอบคลุมไปถึงชนส่วนน้อยเสมอ(มิฉะนั้นท่านก็จะเสียคะแนนนิยมในชนส่วนน้อยลงไป ดูอเมริกาซิครับ เขาไปหาเสียงกับชาวเอเชีย และกลุ่มเชื้อชาติส่วนน้อย ฯลฯ ทำไม?)
4.           ชนส่วนน้อยมีสิทธิอย่างเต็มที่ที่จะสร้างนโยบาย หรือสร้างความฝันขึ้นมาอย่างไรก็ได้ และรอโอกาสที่จะเสนอเข้าไปสู่ส่วนการบริหารให้ครอบคลุมไปอย่างเป็นสากลได้ตลอดเวลาอย่างมีสิทธิเต็มที่       นั่นเท่ากับมีสิทธิที่จะสร้างจะทำประโยชน์หรือคุณความดีแด่สังคมและประเทศชาติ ไม่จำกัดศาสนาได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีผู้ใดจะขัดขวางได้(ตามนัย ม.38 ข้างต้น)
5.          ชนส่วนน้อยในระบอบประชาธิปไตย มีสิทธิอย่างเต็มที่ที่จะดำเนินการรณรงค์ต่อสู้เพื่อนโยบายของตนได้เข้าไปมีส่วนในการบริหารประเทศ ในองค์รวม โดยผ่านพรรคการเมืองของตนเอง หรืออาจผ่านพรรคการเมืองอื่นใดใดก็ได้ สุดแต่ว่าพรรคการเมืองนั้น ๆ ยอมรับหรือเข้าใจเพียงใดในนโยบายของชนส่วนน้อยนั้น นี่เป็นความเป็นธรรมที่เราจะได้จากระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
6.          ชนส่วนน้อยกลุ่มศาสนา หรือกลุ่มเชื้อชาติฯลฯ สามารถมีสิทธิเต็มที่ที่จะคิดนำนโยบายของตนไปบริหารประเทศเอง โดยสิทธิในการสร้างพรรคการเมืองของตน และขยายกิจการพรรคการเมืองของตนเองออกไปให้ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ได้ โดยวิถีทางการต่อสู้ทางนโยบายลงสู่ประชามหาชน จนพอเพียงจะสามารถนำนโยบายตนเองไปบริหารประเทศทั้งประเทศก็ได้ นี่เป็นการเปิดโอกาสให้อย่างเต็มที่อยู่แล้วตามหลักการครรลองของระบอบประชาธิปไตย   (กล่าวอีกอย่างหนึ่ง  ท่านมีสิทธิที่จะเป็นรัฐบาลเอง โดยผ่านการต่อสู้ตามสิทธิที่จะสร้างพรรคการเมือง นโยบายการเมือง ขยายความยิ่งใหญ่ของพรรคการเมืองของท่านได้อย่างเต็มที่ตราบจนบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ คือได้เป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ อันเป็นหลักการและกติกาของระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ และสามารถเข้าร่วมเป็นรัฐบาลได้ เป็นต้น )
 
จึงหวังว่าโครงการฯของประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษจะได้หยุดนโยบายเดิมเสียและเร่งรีบมาเสริมสร้างใหม่โดยเปลี่ยนมาเป็นการอบรมเยาวชนเพื่อประชาธิปไตย    หากยังไม่เข้าใจเรื่องประชาธิปไตยก็ควรเริ่มเรียนรู้เสียทันทีตั้งแต่บัดนี้ หรือหยุดบทบาทลงเสียโดยพลันเพื่อหยุดอันตรายจากความแตกแยกทางศาสนา หยุดปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และการมาสู่ประชาธิปไตยเท่านั้นจะเป็นทางแก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์ และคนทั้งหลายทุกศาสนาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขและมีศักดิ์ศรีจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนั่นคือศักดิ์ศรีของอำนาจพื้นฐานที่เป็นธรรม ที่ว่า one man one vote (สิทธิที่เท่าเทียมกันคนละ 1 เสียง) นั่นเอง 
 
 
  • อรบุศป์ ละอองธรรม 
    11 ก.ย.2552
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ผู้แสดงความคิดเห็น อรบุศป์ ละอองธรรม (newworldbelieve-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-09-11 09:54:42


ความคิดเห็นที่ 2 (1977528)

 

....ทุกคนรู้จักพระสยามเทวาธิราชหรือไม่ ท่านไม่ใช่พระแต่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ ท่านประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวัง คนไทยทุกคนถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะคุ้มครองประเทศชาติให้สงบร่มเย็น...

....พระสยามเทวาธิราชไม่ได้เป็นของศาสนาพุทธหรือศาสนาใด แต่เป็นของคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด แต่เป็นของคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็คุ้มครองทั้งนั้น ....

 

ท่านพล.อ.เปรม  เอ่ยข้อความออกมาได้อย่างไร   โดยเฉพาะข้อความว่า  พระสยามเทวาธิราช...ท่านประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวัง   

และคำว่า   ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดพระสยามเทวาธิราชก็คุ้มครองทั้งนั้น

 

ท่านพูดออกไปทั่วโลกได้ยิน   และชาวมุสลิมโลกได้ยิน   เขาก็เข้าใจดี   ว่านี่คือการคิดร้ายต่อศาสนาเขา เป็นการเกลี้ยกล่อมพยายามบีบบังคับคนของศาสนาเขาให้ไปนับถือศาสนาอื่น
และ  พล.อ.เปรม เป็นใคร     ประธานองค์มนตรี  เป็นคณะผู้สนองพระบรมราชโองการของกษัตริย์   เขาก็พลอยเข้าใจผิดไปถึงสถาบันสูงสุดคือพระเจ้าอยู่หัว     

 

นี่คือความผิดพลาดอย่าง  ไม่ใช่ความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ   แต่เป็นความผิดมหันต์

ท่านจะต้องยุติท่าทีนี้ลงโดยพลัน   และหยุดบทบาทใดใดลงไปเสียตั้งแต่บัดนี้ และหาทางชี้แจงให้ชาวไทยมุสลิมหายข้อข้องใจต่อโครงการสานใจไทยสู่ใจใต้  ว่าเป็นโครงการที่พยายามจะบีบบังคับให้ชาวมุสลิมไทยเปลี่ยนไปนับถือศาสนาหรือพระเจ้าองค์อื่น  ซึ่งไม่ใช่พระองค์อัลเลาะห์

และท่านทราบหรือไม่ว่า โทษของการไม่เคารพอัลเลาะห์มีอยู่สถานใด ?

 

นี่คือสาเหตุที่สถานการณ์ใต้รุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง   ท่านเข้าใจแล้วหรือยัง?

 

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2009-09-12 20:55:50


ความคิดเห็นที่ 3 (1977572)

ขอทบทวนให้ท่านทั้งหลายเข้าใจชัดเจนว่า   การดำเนินนโยบายสามจังหวัดภาคใต้ของทุกนโยบายของทั้งระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ  ของรัฐบาลที่ล่วงมา ๆ นั้น  ได้ระมัดระวังกันอย่างยิ่งยวดในประเด็นศาสนาและวัฒนธรรมของชาวไทยสามจังหวัดภาคใต้  จนกระทั่งมีการคิดเสนอขนาดจะยอมให้สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเขตการปกครองพิเศษ  ก็เนื่องด้วยปัญหาประเด็นนี้   และที่ยอมรับกันทั่วไปแล้วก็คือหน่วยปฏิบัติในพื้นที่จะต้องเข้าใจและเอาใจใส่ต่อวัฒนธรรมมุสลิมใต้ไทย  ต้องปฏิบัติอย่างสอดคล้องวัฒนธรรมอิสลามใต้  ซึ่งข้อปฏิบัตินี้ทางราชการ ทหาร ตำรวจ อส.ก็ยอมรับและปฏิบัติมาอย่างดี   ท่านจะสังเกตได้ว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก  หมายความว่าเป็นเรื่องภูมิปัญญา  ถ้าเข้าใจไม่ถูกแล้วก็จักกลายเป็นเรื่องที่อ่อนไหวไปอย่างมาก ๆ   ดังที่ปรากฎว่า  ในกรณีสินามิ    มีการฉลองกันโดยพับนกขาว  แล้วเอามาร่อนเหนือแผ่นดินสามจังหวัดชายแดนภาคใต้  ของประชาชนไทยทั่วไป ด้วยปรารถนาดี   แต่ชาวไทยใต้เขาบอกว่า  นกขาวเป็นสิ่งที่ผิดบัญญัติทางศาสนาอิสลาม   ก็เลยต้องระงับไป   ทั้ง ๆ ที่ประชาชนส่วนใหญ่กระทำไปด้วยความจริงใจและปรารถนาดีโดยแท้จริงแต่เราก็ต้องฟังเขา  อย่างนี้เป็นต้น

 

กรณีพล.อ.เปรม  เป็นเรื่องต้องห้ามอย่างสูงสุด ยิ่งกว่าปัญหาประเด็นทางวัฒนธรรม   แต่เป็นประเด็นทางศาสนาโดยตรง   เพราะท่านพยายามจะเกลี้ยกล่อมบังคับชนอิสลามใต้ไทย  ให้เปลี่ยนไปเคารพพระเจ้าองค์อื่น  ซึ่งไม่ใช่พระองค์อัลเลาะห์

 

อิสลามสากลเขาย่อมจะมองมาดู   และในเทศกาลสำคัญที่กำลังมานี้คือเทศกาลศีลอด  ฮารีรายอ  นี้  พวกเขาก็จะมาพิจารณากันและกำหนดนโยบายลงมา

 

นี่เป็นเรื่องที่ พล.อ.เปรม ตินสูลานนท์  กระทำผิดพลาดอย่างยิ่งใหญ่ เพียงใด ?  (เหมือนเด็กไปอีกคนหนึ่งแล้ว)

บัดนี้ก็เห็นเค้าแล้ว  ว่าทำไมสถานการณ์ใต้ จึงคุกรุ่นขึ้นมาอีก

 

 

เราได้แต่หวังว่า  ชาวสามจังหวัดภาคใต้ จะได้เข้าใจประชาธิปไตย
และมาร่วมกันต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย  เพื่อเป็นทางออกของปัญหาที่มีความเป็นธรรม     ตามที่เราได้เสนอไว้นั้นแหละ  นั่นคือประชาธิปไตยเท่านั้นเป็นหนทางสร้างนโยบายและการต่อสู้ของชนส่วนน้อยอย่างไรในระบอบประชาธิปไตยที่ให้ความเป็นธรรม

และที่สำคัญ  มาไล่ระบอบอมาตยาธิปไตยโง่เขลานี้ไปเสียพร้อม ๆ กับชนเสื้อแดงทั้งแผ่นดิน

 

แน่นอน   แม้ระยะหลังมานี้  เสื้อแดงชาวใต้มุสลิมไทยก็เกลื่อนเต็มพื้นที่แล้ว    แม้กระทั่งบนเวทีของคนเสื้อแดง ที่สถานีข่าว  พีเพิ่ลแชนั่น  ก็มีแกนนำของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ปรากฎตัวมาแล้ว

 

นั่นแหละวิถีทางการต่อสู้ของชาวสามจังหวัด พี่น้องไทยมุสลิมที่ถูกต้อง จริง ๆ 

ไล่อมาตยาเฒ่าโง่เง่าไปเสีย  สรรสร้างประชาธิปไตยขึ้นมา   นี่คือหนทาง  และทาง

 

ข้าพเจ้าหมายความถึงทางที่ชาติไทยของเราจักเกิดสมานฉันท์สามัคคีพร้อมทุกประการ ทั้งเผ่าพันธุ์ชนกลุ่ม เชื้อชาติและศาสนาที่แตกต่าง ย่อมมาร่วมวิถีทางเดินเดียวกันได้อย่างมีสามัคคีธรรม  ด้วย  ประชาธิปไตย

 

 

 

 

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล (newworldbelieve-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-09-13 07:59:04


ความคิดเห็นที่ 4 (1977952)

โปรดอ่านข่าว นสพ.ไทยรัฐ ออนไลน์ 15 ก.ย.2552    ต่อไปนี้

 

ใต้ฆ่าทพ.ยกชุดพลีชีพ5ศพรวด
โจรใต้เหิมลอบกัด ซุ่มยิงถล่มชุดทหารพรานร้อย ทพ.473 ขณะกลับจากร่วมพิธีละศีลอด กำลังเดินเท้ากลับฐานใน ต.ตาเซ๊ะ อ.เมืองยะลา ทำให้ทหารพรานพลีชีพทั้ง 5 นาย แถมยังถูกปล้นชิงปืนอาก้าไปอีก 2 กระบอก ส่วนเหตุป่วนรายวันไล่ยิงชาวบ้านเจ็บปางตายที่ปัตตานีและยะลาอย่างละ 1 ราย ขณะที่ ผบก.ภ.จ.ปัตตานี สั่งตรวจเข้มสกัดรถ จยย.และรถปิกอัพที่เข้าออกในพื้นที่ หลังหน่วยข่าวกรองแจ้งเตือนกลุ่มคนร้ายเตรียมใช้เป็นคาร์บอมบ์ก่อวินาศกรรมย่านชุมชน ขณะที่ตำรวจ สภ.เมืองยะลา รวบคาหนังคาเขา 2 วัยรุ่นต้องสงสัยพัวพันโจรใต้ ขณะลงมือลักรถ จยย.ป้ายแดง ส่งตัวไปให้ทหารสอบขยายผลเพิ่มเติมไฟใต้ยังร้อนระอุรายวัน โดยเมื่อเวลา 01.00 น. คืนวันที่ 13 ก.ย. พ.ต.ท.อาคม บัวทอง สวญ.สภ.บ้านโสร่ง อ.ยะรัง จ.ปัตตานี รับแจ้งมีคนถูกยิงบนถนนในหมู่บ้านละหารยามู หมู่ 2 ต.กอลำ จึงนำกำลังรุดไปตรวจสอบ พบเพียงรถ จยย.ฮอนด้าล้มตะแคงอยู่ข้างทาง ส่วนผู้บาดเจ็บถูกนำส่ง รพ.ยะรัง ไปก่อนหน้าแล้ว ทราบชื่อนายอิสมาแอ บือแน อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 42 หมู่ 3 บ้านสะตา ต.กอลำ ถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบขนาดบริเวณลำตัวรวม 2 นัด ต้องส่งไปรักษาต่อที่ รพ.ศูนย์ยะลา สอบสวนทราบว่า ขณะที่นายอิสมาแอขี่รถ จยย.เพื่อจะกลับบ้านพัก ถึงจุดเกิดเหตุถูกคนร้ายซุ่มยิงจนบาดเจ็บสาหัสดังกล่าว ส่วนสาเหตุคาดว่าอาจจะเป็นเรื่องโกรธแค้นส่วนตัวหรือเป็นการสร้างสถานการณ์รายวัน
 
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ทาง พล.ต.ต.พิเชษฐ์ ปิติเศรษฐพันธ์ ผบก.ภ.จ.ปัตตานี ได้สั่งการให้กำลังตำรวจในพื้นที่ ตั้งจุดตรวจจุดสกัดเข้มตลอด 24 ชม. หลังมีรายงานจากหน่วยข่าวกรองว่าในช่วง 1-2 วันนี้ กลุ่มคนร้ายเตรียมจะก่อเหตุวินาศกรรมอีกระลอก โดยใช้รถ จยย.ฮอนด้าเวฟ และรถปิกอัพมิตซูบิชิอย่างละคันดัดแปลงเป็น จยย.บอมบ์และคาร์บอมบ์
 
รายต่อมาเมื่อเวลา 09.45 น. วันที่ 13 ก.ย. ร.ต.ท. วัชรชัย ฉุยเนย ร้อยเวร สภ.แม่หวาด อ.ธารโต จ.ยะลา รับแจ้งเหตุยิงกันที่บ้านวังไทร หมู่ 2 ต.แม่หวาด รุดไปสอบสวนบริเวณที่เกิดเหตุเป็นป่าเปลี่ยวเส้นทางเลียบไหล่เขา พบเพียงกองเลือด ส่วนผู้บาดเจ็บชื่อนายอารมณ์ เขียวหลี อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 29 หมู่ 2 ต.แม่หวาด ถูกยิงบริเวณลำตัว 2 นัด นำส่ง รพ.ธารโต สอบสวนทราบว่าผู้บาดเจ็บเสร็จจากการกรีดน้ำยางกำลังจะกลับบ้าน ถูก 2 คนร้ายขี่รถ จยย.ไล่ยิงจนบาดเจ็บและเตรียมจะลงมายิงซ้ำ แต่โชคดีที่มีชาวบ้านผ่านมาประสบเหตุ คนร้าย จึงรีบหลบหนีไป คาดเป็นการจงใจสร้างสถานการณ์รายวัน
 
อีกรายเมื่อเวลา 01.45 น. คืนวันที่ 13 ก.ย. ขณะที่ ร.ต.ท.จักรวาล โทนแก้ว รอง สวป.สภ.เมืองยะลา พร้อมพวกออกตรวจย่านสถานบันเทิงในเทศบาลนครยะลา ขณะผ่านหน้าโรงแรมยะลามายเฮาส์ ถนนรัฐคำนึง เห็นชายวัยรุ่น 1 คน กำลังเข็นรถ จยย.ป้ายแดง โดยมีอีกคนติดเครื่องรถ จยย.ทะเบียน กรท 194 ยะลา คุมเชิงอยู่ จึงเข้าไปตรวจสอบ พบกรรไกรดัดแปลงเป็นกุญแจผี 1 ดอก ค้นในเป้พบยาอัลปราโซแลมสีม่วงอีก 80 เม็ด คุมตัวส่ง ร.ต.อ.สมศักดิ์ ราชริวงศ์ ร้อยเวร สภ.เมืองยะลา สอบสวนขยายผลทราบชื่อนายบาคอรี นิเลาะ อายุ 18 ปี อยู่บ้านเลขที่ 307/9 หมู่ 1 ต.เขื่อนบางลาง อ.บันนังสตา และนายมะรอนิง เวาะนิ อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 8 หมู่ 1 ต.บาเจาะ อำเภอเดียวกัน อ้างว่าเพิ่งลงมือขโมยรถ จยย. เป็นครั้งแรก แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ปักใจเชื่อ เพราะผู้ต้องหา ทั้งคู่ให้การวกวน แถมมีอุปกรณ์ครบครัน เบื้องต้นสันนิษฐานว่าทั้งคู่อาจจะเป็นแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบเตรียมขโมยรถ จยย.ไปใช้ก่อเหตุรุนแรง จึงอายัดตัวส่งไปสอบขยายผลที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานีต่อไป
 
ล่าสุดเมื่อเวลา 19.30 น. คืนวันที่ 13 ก.ย. ขณะเจ้าหน้าที่ทหารพรานสังกัด ร้อย ทพ.473 ฉก.ทพ.47 ชุดพัฒนาสันติรวม 5 นาย เสร็จจากการร่วมพิธีละศีลอดที่มัสยิดมุตาอินนะ ภายในหมู่บ้านตาเซ๊ะ หมู่ 3 ต.ตาเซ๊ะ อ.เมืองยะลา เดินเท้ากลับฐานที่ตั้งในโรงเรียนบ้านตาเซ๊ะที่อยู่ห่างไปประมาณ 1 กม.
 
เมื่อกำลังทหารพรานชุดดังกล่าวเดินมาถึงหน้าสถานีอนามัยบ้านตาเซ๊ะ ห่างจากมัสยิดมาเพียง 100 เมตร ถูกคนร้ายไม่ต่ำกว่า 10 คนที่แอบซุ่มอยู่ในป่าสวนยางพาราฝั่งตรงข้ามสถานีอนามัย เปิดฉากยิงถล่มใส่แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ซ้ำยังอยู่ในที่โล่งแจ้งไม่มีที่กำบัง ทำให้กำลังทหารพรานทั้ง 5 นาย เป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ยังฮึดสู้ยิงปะทะกันนาน 15 นาที ปรากฏว่าฝ่ายทหารพรานทั้ง 5 นายถูกยิงเสียชีวิตทั้งหมด หลังเกิดเหตุกลุ่มคนร้ายได้ตรงเข้ามาจ่อยิงทหารพรานทั้ง 5 นายซ้ำทีละศพ ก่อนจะปลดอาวุธปืนอาก้าจำนวน 2 กระบอก ขึ้นรถกระบะสีดำ 1 คัน และรถ จยย.อีก 2 คัน ขับบึ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
 
หลังเกิดเหตุ นายกฤษฎา บุญราช รอง ผวจ.ยะลาฝ่ายความมั่นคง และ รอง ผบ.ฉก.ยะลาฝ่ายพลเรือน พร้อมด้วย พ.อ.อาทร จันทร์ทอง รอง ผบ.ฉก.ทพ.47 ร.ต.ท.วีระศักดิ์ คงเพชร ผบ.มว.ร้อย ตชด.ที่ 4432 นำกำลังรุดไปตรวจสอบและไล่ล่าติดตามคนร้าย ปรากฏว่ากลุ่มคนร้ายได้โปรยตะปูเรือใบดักเต็มถนน พร้อมทั้งนำกล่องต้องสงสัยไปตั้งวางไว้บนศพทหารพรานที่เสียชีวิต ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเสียเวลาในการตรวจสอบและเก็บกู้รวมทั้งตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะเข้าไปเก็บกู้กล่องต้องสงสัยดังกล่าว เบื้องต้นพบว่าเป็นระเบิดปลอม ต้องการลวงให้เจ้าหน้าที่เสียเวลาในการตรวจสอบ
 
สำหรับทหารพรานที่เสียชีวิตทั้ง 5 นายประกอบด้วย 1. อส.ทพ.ประจักษ์ คำแหง 2. อส.ทพ.จิตกร ศิริสวัสดิ์ 3. อส.ทพ.มูฮัมหมัด มอรอ 4. อส.ทพ.ประดิษฐ์ แก้วนิ่ม และ 5. อส.ทพ.บิสมัต หลังเถาะ สภาพศพแต่ละนายถูกยิงจนร่างพรุน หลังชันสูตรเสร็จสิ้นได้ลำเลียงศพ อส.ทพ.ทั้ง 5 นายไปเก็บไว้ที่ รพ.ศูนย์ยะลาชั่วคราวเพื่อรอประกอบพิธีศพในวันที่ 14 ก.ย.นี้

นี่เป็นสถานการณ์รุนแรงล่าสุด  โดยมีการต่อเนื่องมาแล้ว ตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.2552 แล้ว   เราบันทึกเอาไว้ก่อน เพื่อเป็นข้อมูล
ว่าสถานการณ์ใต้รุนแรงขึ้นเพราะเหตุที่  พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้กล่าววาจาผิดพลาดอย่างยิ่งใหญ่  และแม้เพียงวาจา แต่เป็นวาจาที่บอกไปถึงเจตนาอย่างไร    และจะเห็นว่า   การบริหารงานจะต้องประกอบด้วยภูมิปัญญานำทางอย่างไร  ทหาร ตำรวจ  กอ.รมน. ตลอดจนหน่วยปฏิบัติงานในท้องถิ่น ได้นำนโยบาย พล.อ.เปรม (ในนามประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษ  ผู้นำโครงการสานใจไทยสู่ไทยใต้   ผู้กล่าวคำโง่เขลาออกไปว่า  ...  พระสยามเทวาธิราชสถิตย์อยู่ในพระบรมมหาราชวัง ....ซึ่งเป็ฯการไม่สมควรอย่างยิ่งเพราะเหตุที่เป็ฯผลเสียหายไปถึงสถาบันอย่างแน่นอน)    ไปฏิบัติเพียงใด มากน้อยขนาดไหนก็ตาม  แต่ทางพล.อ.เปรม ต้องรีบระงับลงโดยพลันทันที   หยุดความคิดโง่เขลาที่จะโน้มนำชักจูงหรือบีบบังคับด้วยประการใดใดไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม  ให้เยาวชน คนไทยใต้ผู้มีศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวของพวกเขา    เสื่อมไปจากความศรัทธานั้น

ยังไม่พอ   พล.อ.เปรม จะต้องรับผิดชอบ  ต่อการทำความวิบัติครั้งนี้ ......
จะต้องหยุดบทบาทตนเองลงไปโดยสิ้นเชิง      ต้องทำตนเสมือนตายจากโลกไปแล้ว ...ก็พอจะช่วยได้บ้าง

ท่านพอจะเข้าใจหรือไม่  ว่าความผิดของท่านคืออะไร   ความผิดของท่านคือ  ความผิดต่อศาสนาอิสลาม และผิดต่อพระเจ้าของชาวมุสลิมโลก คือ  อัลเลาะห์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา  

ท่านกำลังนำประเทศไทยไปสู่ความยุ่งยาก ในเชิงปัญหาศาสนาสากล

 

 

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2009-09-15 09:13:58


ความคิดเห็นที่ 5 (1978257)

 

สามจังหวัดภาคใต้ เป็นปัญหามานานเท่าไร  กี่รัฐบาล   ที่ผ่านมา  

ประเด็นปัญหาก็เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า  ปัญหาศาสนา และเชื้อชาติ     บังเอิญปัญหาด้านศาสนาเป็นศาสนาอิสลาม   ถ้าเป็นศาสนาอื่นก็จะไม่เคร่งขนาดนี้

เพราะมุสลิมถูกสอนให้เป้นนักรบ  และเป็นนักรบของสวรรค์  และพวกเขาถูกบัญชาโดยสวรรค์  และสวรรค์ได้กำหนดชีวิตพวกเขาไว้แล้วสำหรับมุสลิมทุกคน ๆ  ว่าตั้งแต่เกิดไปจนตายหรือตอนมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องทำอะไรบ้าง ลำดับขั้นตอนของชีวิตเป็นอย่างไร  วันหนึ่ง ๆ ทำอะไร   สวรรค์กำหนดลงมาพร้อมแล้ว  ตั้งแต่เกิดจนตาย

และชีวิตทั้งหมดมอบแด่พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น  ใครไม่มีความศรัทธานี้ ชื่อว่าผู้ทรยศ  มีโทษสถานเดียวคือลงขุมเพลิงนรกไปชั่วนิรันดร จนกว่าถึงวันสิ้นโลกจึงจะพิพากษา

พวกเขามีคัมภีร์ของสวรรค์ที่จะต้องเคารพเชื่อฟัง   คือ พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน  นี่คือถ้อยคำของพระเจ้า   คำสั่งของพระเจ้า ทุกถ้อยกระทงความ

อัลกุรอานคือบัญญัติแห่งชีวิตของชาวมุสลิม  และ  อัลเลาะห์ ชื่อนี้คืออะไร    พล.อ.เปรม ไม่เข้าใจหรือ

และไม่เข้าใจหรือว่า      ประชาธิปไตยเป็นทางออกที่ประเสริฐที่สุดสำหรับปัญหาชาวไทยมุสลิมใต้

 

แต่บัดนี้  สายเกินไปแล้วสำหรับพล.อ.เปรม     ท่านจึงต้องหยุด  หยุด  ทุกอย่างที่เป็นชีวิตของท่าน

ทำไม?

เพราะหยุดการขยายปัญหาออกไป  ถ้าท่านไม่หยุด ปัญหาจะขยายออกไป  ทำร้ายประเทศไทยและสถาบันยิ่งขึ้น  

(หมายถึงหยุดการเกลี้ยกล่อม บังคับด้วยประการใดใดให้ชาวไทยใต้สามจังหวัดเสื่อมความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวของพวกเขาลงอย่างเด็ดขาด)

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2009-09-16 09:43:06


ความคิดเห็นที่ 6 (1978885)

 

ชาวเสื้อแดงครับ   ระวังหน่อยนะครับ  เวลาแวะไปเยี่ยมบ้านพักคือ"บ้านแม่ทัพ" โคราช 

 

พล.อ.เปรม ขณะนี้อยู่ในสายตาของชาวมุสลิมโลก

 

ระวังเรื่องแซกซ้อนให้ดีนะครับ

แต่เราอยากขอร้องทางนักรบมุสลิม  ว่าอย่าสร้างความลำบากแก่พลเสื้อแดงเลย   เราเป็นมิตรกันดีกว่า

ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2009-09-18 14:17:57


ความคิดเห็นที่ 7 (1979282)

ไม่แปลกใจเลยว่า  ทำไม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โจรก่อการร้ายถึงเล่นงานครู  พระ  แม้แต่โรงเรียนก็ไม่เว้น มีการเข่นฆ่าชาวไทยพุทธบ่อยมาก  ก็เพราะหัวหน้าอำมาตย์ชอบไปยัดเยียดแนวความคิดแบบเผด็จการนี่เอง  และเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานพอๆกับการนำโครงการสานใจไทยสู่ใจใต้  ที่หัวหน้าอำมาตย์ผู้ไม่รู้อะไรเป็นอะไร  คิดเอาเอง เออออไปเองว่าชาวมุสลิมคงจะเห็นดีเห็นงามกับชื่อเทพเจ้าองค์อื่นโดยไม่เข้าใจความเชื่อที่เขาปลูกฝังกันมานาน นี่คือสาเหตุที่ชาวมุสลิมเขาจึงไม่ยอมรับ  และกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่ทำลายความรักความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนไทยต่างศาสนาใน 3 จังหวัด  เราเห็นด้วยกับสุไหงปาดี ที่ข้าราชการอำมาตย์ทุกระดับ จะได้นำโครงการที่สามารถผสานใจคนไทยสู่ใจใต้จริงๆเสียที  นั่นคือการนำอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่นำพาคนไทยทุกชนชั้นไปสู่เสรีภาพ  ไปสู่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันโดยไม่มีเชื้อชาติ  ศาสนาใดๆมาแบ่งแยกได้  เมื่อนั้นสันติสุขย่อมเกิดขึ้นได้ เพราะนั่นคือแสงสว่างที่ทุกชีวิตตามหามาทุกยุคสมัย

ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2009-09-19 21:50:30


ความคิดเห็นที่ 8 (1979284)

 

มูลเหตุของการวิวาท
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสมูลเหตุแห่งวิวาท ๖ อย่าง ๖ อย่าง เป็นไฉน ?
                  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้
ภิกษุเป็นผู้มักโกรธ มีความผูกโกรธไว้ ๑ 
ภิกษุเป็นผู้มีความลบหลู่ ตีเสมอ ๑
ภิกษุเป็นผู้มีความริษยา (ริษยา ในสักการะ เป็นต้นของผู้อื่น) ความตระหนี่ ๑
ภิกษุเป็นผู้โอ้อวด เจ้าเล่ห์ ปกปิดความชั่วที่ตนทำ  ๑
ภิกษุเป็นผู้มีความปรารถนาลามก เป็นผู้ทุศีลปรารถนาความยกย่องที่ตนไม่มี เป็นมิจฉาทิฏฐิ ๑
เป็นผู้ถือมั่นทิฏฐิของตน มีการสละได้ยาก ๑
ภิกษุตั้งอยู่ในธรรม 6 อย่างนี้ ย่อมไม่เคารพ ไม่ยำเกรง แม้ในพระศาสดา ไม่ทำให้บริบูรณ์ แม้ในพระธรรม แม้ในพระสงฆ์  แม้ในสิกขา  ภิกษุนั้นย่อมยังวิวาท ให้เกิดในสงฆ์   วิวาทย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความไม่เป็นสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความพินาศแก่ชนเป็นอันมาก
พระพุทธพจน์ที่ยกมาอ้างนี้ สอดคล้องกับสถานการณ์ความแตกแยกเดือดร้อนของประชาชนทั้งประเทศในขณะนี้ คนทำผิดมหันต์ เช่น บุกรุกสถานที่ราชการ ปิดสนามบินนาชาติ ประทุษร้ายเจ้าหน้าที่ และประชาชนที่ไม่เห็นด้วยอย่างป่าเถื่อน แต่จนบัดนี้เวลาผ่านไปร่วมปีแล้ว ยังไม่ได้รับการลงโทษแต่ประการใด ในขณะที่คนถูกกระทำย่ำยีไม่มีโอกาสได้ชี้แจง หรือเรียกร้องความเป็นธรรม สะท้อนให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรม และองค์กรอิสระที่ถูกตั้งขึ้นโดยกลุ่มรัฐประหาร มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เป็นกลุ่มบุคคลที่ถูกอวิชชาครอบงำ 
มีความมักโกรธผูกโกรธลบหลู่ดูหมิ่นสิ่งที่เป็นธรรม มีจิตริษยา เป็นคนเจ้าเล่ห์ ปกปิดความชั่วที่พวกพ้องทำ มีมิจฉาทิฎฐิมาก เป็นผู้ยึดมั่นถือมั่นในทิฎฐิของตนอย่างแรงกล้า และกำลังพ่นพิษแห่งความอยุติธรรมไปทั่วประเทศอยู่ในขณะนี้   
แม้ในที่ประชุมรัฐสภาของไทยเอง ก็กล่าวขานถึงความไม่เป็นธรรมอันบังเกิดจากกลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่นิยมอำนาจเผด็จการ และนำไปสู่การกดขี่ข่มเหง ไม่เป็นธรรมต่อประชาชนผู้รักประชาธิปไตย หากไม่รีบขจัดให้สิ้นไปเสีย จะเป็นสนิมที่กัดกร่อนความมั่นคงของประเทศชาติและความสงบสุขของประชาชน ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทั้งประเทศจะได้รวมตัวกันปฏิวัติทางภูมิปัญญา ลุกขึ้นมาต่อสู้ล้มล้างอำนาจเถื่อนเหล่านี้เสียที อย่าปล่อยให้คนไม่กี่คนผู้ปราศจากธรรมเที่ยวใช้อำนาจป่าเถื่อนไปพิพากษาใครได้อีก
กระจกเงา
19 กันยายน 2552
ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2009-09-19 22:00:26


ความคิดเห็นที่ 9 (2038429)

ตุ๊ดเปรม ตุ๊ดชวน ฆาตกรหน้าอ่อน จงพินาศ

ผู้แสดงความคิดเห็น ฟกรก (eee_it-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-07-15 10:16:52


ความคิดเห็นที่ 10 (4350112)

 55555 เป็นตุเป็นตะ เห้อ ไม่กลัวบาปกรรมกันเลย 

ผู้แสดงความคิดเห็น ืnew วันที่ตอบ 2019-12-19 16:01:18



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.