| |||||||||
และแล้วก็เผยธาตุแท้ของสำนักสันติอโศก | |
ชุมชนอโศกทุกสาขาที่ใครๆในสังคมเคยได้ยินก็คือ การประกาศตนว่าเป็นสังคมในอุดมคติ เป็นสังคมแห่งอริยบุคคลที่ชาวโลกควรถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต ผู้คนที่อาศัยในชุมชนนี้ต้องรักษาศีล 5 เคร่งครัด ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด ทานมังสวิรัติ อุทิศชีวิตเพื่อบุญโดยมุ่งหวังการบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นรางวัล ดังนั้นจึงต้องถือสันโดษและแสดงออกด้วยการทำงานโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนเป็นลาภยศสรรเสริญหรือสิ่งของเงินทอง รายได้ที่เกิดจากการสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำหน่าย ต้องมอบให้เป็นของส่วนกลาง จำหน่ายสินค้าแก่บุคคลทั่วไปในราคาถูก โดยอ้างว่าเป็นวิถีแห่งบุญ ที่สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ใครไม่มีอุดมกาณ์เช่นนี้จะไม่ได้บรรลุมรรคผล ใครที่มาพบเห็นแม้ศรัทธาเลื่อมใสจะมาบริจาคทรัพย์ให้ ชาวอโศกจะยังรับไม่ได้ จนกว่าจะได้คบค้าสมาคมกันจนเป็นที่คุ้นเคยและมีอุดมการณ์ร่วมกันกับชาวอโศกแล้ว ชาวอโศกจึงจะอนุญาตให้บริจาคได้ ซึ่งดูเผินๆแล้วก็น่าเลื่อมใส แต่จะมีคนนอกสักกี่คนที่รู้ตื้นลึกหนาบางว่า ในชุมชนอโศกมีสิ่งที่ผิดไปจากธรรมชาติหลายอย่าง นั่นคือผู้ใหญ่ในชุมชนที่มีครอบครัวจะต้องยึดอุดมการณ์ของชาวอโศกคือต้องมาอยู่กันทั้งครอบครัว ไม่อนุญาตให้มีครอบครัวเป็นคนนอก หากประสงค์จะไปอยู่ในชุมชน จะต้องมีใบหย่าจากสามีหรือภรรยาไปแสดง เด็กทุกคนต้องเคร่งครัดในการประพฤติ เช่น ห้ามร้องเพลงหรือฟังเพลงที่เกี่ยวกับเรื่องโลกๆรักๆใคร่ๆเพราะผิดศีล มีกฏห้ามสอบเข้ามหาวิทยาลัย อนุญาตให้เรียนได้เฉพาะงานอาชีพ ไม่มีเทคโนโลยีให้เด็กเรียนรู้ ไม่ได้เรียนวิชาการที่มุ่งส่งเสริมความฉลาดทางสติปัญญาตามศักยภาพที่ควรจะเป็น ไม่ส่งเสริมให้เด็กเป็นนักคิดนักวิจัย เพราะเจ้าสำนักคิดแทนหมดแล้ว หากส่งเสริมให้เด็กฉลาดจะยากแก่การปกครอง โรงเรียนสัมมาสิกขาที่ชาวอโศกตั้งขึ้นมุ่งเน้นให้เด็กทำงานเกี่ยวกับอาชีพโดยเน้นเกษตรกรรมเป็นหลัก และถ้าคนใดไม่ยอมรับกฏเกณฑ์ที่เคร่งครัดก็จะถูกขับออกไป ปัญหาล้ำลึกก็คือเมื่อเด็กเหล่านี้ได้ออกไปสู่สังคมภายนอกเด็กจะอ่อนแอและปรับตัวอยู่ร่วมกับสังคมไม่ได้ เมื่อไปไหนไม่รอดก็ต้องกลับเข้าสังคมเดิม ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือเด็กที่จบชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนสัมมาสิกขาไม่สามารถเรียนต่อในสถาบันการศึกษาทั่วๆไปได้ เพราะเด็กไม่มีทักษะในวิชาพื้นฐานที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ไม่ว่าจะเป็นวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ เทคโนโลยี จึงนับว่าสำนักนี้ได้เอาเปรียบผู้คนที่หลงเข้าไปเป็นเหยื่อ และเสียโอกาสที่ดีในชีวิต แม้เรื่องการโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นทางบรรลุมรรคผลก็เป็นเท็จทั้งนั้น เพราะธรรมดาของผู้รู้ธรรมย่อมรู้จักโลกตามที่เป็นจริง สามารถปรับตัวอยู่ร่วมกับสังคมได้เป็นอย่างดี มีศิลปะในการดำเนินชีวิต มีทักษะในการแก้ไขปัญหาทุกอย่างของตนเอง และยังสามารถบอกทางสว่างให้แก่ผู้อื่นได้ด้วย ชาวอโศกได้หลอกลวงโลกมานานว่าเป็นสังคมแห่งพระอริยเจ้าผู้ไม่มีบาป แต่ในที่สุดความจริงก็ได้เปิดเผยธาตุแท้ออกมาให้ชาวโลกได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าสำนักใหญ่โพธิรักษ์ และรองเจ้าสำนักในสาขาต่างๆ รวมทั้งพลตรีจำลอง ศรีเมือง 1 ใน 5 แกนนำพันธมิตร ได้ปลุกระดมชาวอโศกให้มีความโกรธแค้นรัฐบาลในขณะนั้น นำพาชาวอโศกไปยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินนานาชาติและสถานที่ราชการอื่นๆ ยอมทำทุกอย่างให้เศรษฐกิจของชาติพังพินาศ ประชาชนเดือดร้อน เพียงเพื่อต้องการขับไล่รัฐบาลของฝ่ายประชาธิปไตยมิให้เข้ามาบริหารประเทศ แล้วยังยุยงเสี้ยมสอนให้โกรธเกลียดคนเสื้อแดงที่เป็นเพื่อนร่วมชาตินับล้านคน ว่าไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ไปจงรักภักดีต่อคนขายชาติอย่างนายกทักษิณ จนหลงไหลไปตามคำโฆษณาชวนเชื่อ และพร้อมจะสนับสนุนแกนนำพันธมิตร พรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำกลุ่มอโศกในนามพรรคฟ้าดินให้เป็นใหญ่ทางอาณาจักร ส่วนเจ้าลัทธิโพธิรักษ์เป็นใหญ่ทางศาสนจักร ดังที่เคยมีจดหมายจากสันติอโศกไปถึงพระสังฆาธิการทั่วประเทศให้เตรียมใจไว้ว่าท่านพ่อจะเป็นใหญ่ในหมู่สงฆ์และจะจัดการมหาเถรสมาคมให้อยู่หมัด โทษฐานบังอาจขับไล่ท่านพ่อ บัดนี้ชาวอโศกรู้ตัวหรือยังว่าได้ถูกเจ้าสำนักหลอกให้เดินออกนอกมรรคผลไปไกลแล้ว และกำลังจะเดินสู่ทางบาป ปิดโอกาสของการบรรลุมรรคผล ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า ผู้กำจัดสัตว์อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าสมณะเลย ผู้ทำสัตว์อื่นให้ลำบากอยู่ไม่ชื่อว่าบรรพชิตเลย การไม่พูดร้าย การไม่ทำร้ายนั่นคือทางเดินของพระอริยเจ้า ชาวอโศกที่รักพระพุทธองค์สอนว่าอย่าปักใจเชื่ออะไรง่ายๆโดยไม่ใช้สติปัญญาไตร่ตรองให้รอบคอบ ลองกลับไปย้อนดูบทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ที่ว่า พระพุทธองค์ พระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่ไหนย่อมสร้างประโยชน์สุขให้แก่มหาชน เหตุไฉนพ่อท่านโพธิรักษ์ไปที่ไหน จึงสร้างความทุกข์ ความเดือดร้อนที่นั่น ด้วยการยึดนั่น ยึดนี่ นี่ยังไม่รวมการยึดที่ทำกินของชาวบ้านมาเป็นกรรมสิทธิ์ โดยการโน้มน้าวเชื่อว่าได้สร้างบุญบารมีมากจนได้บรรลุโสดาปัตติผลเพราะได้ถวายทานแก่พ่อท่านผู้เป็นศาสดาเอกของโลก | |
ผู้ตั้งกระทู้ กระจกเงา :: วันที่ลงประกาศ 2009-09-05 20:32:59 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1978139) | |
เรื่อง สันติอโศก โพธิรักษ์ จำลอง ศรีเมือง ชาวอโศกมังสวิรัติ เปรียบเสมือนขบวนรถไฟขบวนยาวเดียวกัน วิ่งไปสู่จุดจบพร้อมกัน เพราะไปผิดทาง แล้วพบความวิบัติพร้อมกันทั้งหมด เป็นปรากฎการณ์ที่น่าสมเพช ทุเรศเกินที่จะกล่าว เพราะกล่าวไปก็ไปซ้ำเติมกันเปล่า ๆ แต่นี่น่าเป็นบทเรียน แห่งความทุเรศจริง ๆ ในโลกนี้
แล้วเหมือนอะไรที่ได้นิสัย ถอนไม่สิ้น ตายไปแล้วเกิดใหม่ก็ได้นิสัยเหมือนเดิม ทำไปอย่างไร้สติปัญญามันสมองทั้งสิ้น
เพราะสันติอโศกยังคงออกหนังสือหลายเล่มหลายฉบับ ล้วนมีแต่คำสั่งสอนธรรมะดี ๆ ระดับธรรมะที่นำไปสู่อริยะมรรค อริยะผล ทั้งสิ้น แต่ตัวเองผู้เขียน เขียนอยู่ในนรกอันร้อนรุ่ม ยังอุตส่าห์มีโวหารธรรมะสูงส่ง นี่คือความทุเรศ
จำลอง ศรีเมือง ทำอะไรได้ นอกจากยิ้มแหยะ ๆ ประกาศตนว่า ตนเป็นผู้ก่อการดี ตามก้นดาวร้ายจอมโกหกหลอกลวง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันเป็นโจร แต่บัดนี้ ต้องก้มหน้าตามก้นโจร ไม่รู้ทาง หลงทาง อะไรคือมรรคคือผล ลืมไปหมดแล้ว
เป็นได้แค่นักโกหกหลอกลวงระดับชาติไปวันหนึ่ง ๆ ชีวิตไร้สาระโดยสิ้นเชิง
ส่วนชาวบ้าน ก็โง่ ๆ เง่า ๆ ไม่รู้เขาพาไปไหน ให้ทำอะไร ทำหมด เขาบอกให้กินหญ้าก็กิน ....
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น อรบุศป์ ละอองธรรม (newworldbelieve-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-09-15 18:11:34 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2062811) | |
สิ่งที่ท่านพูดและเล่ามาทั้งหมดเป็นความจริงหรือ ท่านไปสัมผัสมาแล้วหรือ เราเป็นผู้หนึ่งที่เข้ามาอ่านบทความของท่าน อ่านดูแล้วรู้สึกว่าท่านกล่าวเกินความเป็นจริงหรือเปล่า ในความเห็นส่วนตัวแล้วท่านมองไม่เห็นส่วนดีบ้างเลยหรือ การที่เรามองอะไรเป็นสีดำหมดมันก็จะมืดไม่เกิดปัญญาแต่ถ้าเรามองเอาส่วนที่ดีมาบ้างก็หน้าจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย ในความรู้สึกโดยส่วนข้าพเจ้า อโศกเขาสามารถทำให้คนมีความอดทน มีความอ่อนน้อม และที่สำคัญเขามีความสามัคีในหมู่คณะ สามารถสอนคนให้เป็นคน | |
ผู้แสดงความคิดเห็น มองเพื่อให้เกิดปัญญา วันที่ตอบ 2011-01-03 19:28:18 |
ความคิดเห็นที่ 3 (3702864) | |
นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นนำ้ หนอนที่กินมูตร กินคูตรอยู่ไม่รู้จักมูตรคูตร สัตว์โลกย่อเป็นไปตามกรรมหนอ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น คน วันที่ตอบ 2014-09-09 19:28:53 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 157661 |