ReadyPlanet.com
dot


คนไทยต้องสั่งสอนอภิสิทธิ์ชนที่กินป่าสงวน


 

ได้ฟังจตุพร  พรหมพันธ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช. ออกมาแฉถึงขบวนการกินป่าสงวนเขาสอยดาว แล้วให้นายทุนสร้างสนามกอล์ฟ แถมยังให้นายหน้าไปหลอกชาวบ้านให้ไปซื้อที่ป่าสงวนเขาสอยดาว แล้วนายหน้าคนเดิมไปทำนิติกรรมอำพรางขายต่อให้กับบริษัทสวนจันทรบุรีเจ้าของธนาคารใหญ่  โดยที่ชาวบ้านเจ้าของที่ไม่รู้เรื่อง  ชาวบ้านไปทวงถามกับนายหน้าว่าจ่ายเงินไปแล้ว  แต่ยังไม่ได้ที่ดิน และยังมีหนังสือแจ้งจากกรมสรรพากรให้ไปชำระภาษีจำนวนหลายล้านบาท จากหลักฐานการขายที่ดินได้ 200 กว่าล้าน  ชาวบ้านไปร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ของรับแต่ไม่ได้รับความเป็นธรรม  หลายคนถูกผู้มีอิทธิพลคุกคามปองร้าย จนบางคนต้องอพยพไปอยู่ที่อื่น นี่คือความอัปยศที่พวกอำมาตยาธิปไตยได้สร้างความอัปยศต่อทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน แสดงความเป็นอภิสิทธิ์ชนละเมิดกฎหมายอย่างไม่เกรงกลัวและยังรังแกชาวบ้านอีก คนไทยยอมไม่ได้ เอกลักษณ์อันดีงามที่คนไทยรักษาไว้และรวมเราเป็นหนึ่งเดียวกันคือ คนไทยรักความยุติธรรม รักสันติสุข ใคร ผู้ใด องค์กรใดเป็นผู้ทำลายสันติสุข ผู้นั้นย่อมเป็นศัตรูของคนทั้งแผ่นดิน ต่อไปนี้ลูกหลานไทยทั้งประเทศจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาย่ำยีอธิปไตย และพร้อมสู้ยิบตา อย่าหวังว่าจะเสวยสุขต่อไปได้ นายทุนอัปยศเตรียมรับชะตากรรมและคำพิพากษาจากประชาชน ไม่ช้าเราจะได้เห็นธนาคารใหญ่ต้องล้มระเนระนาดเพราะคุณไม่ซื่อต่อประชาชน อำมะหิตกับประชาชนผู้ยากไร้



ผู้ตั้งกระทู้ กระจกเงา :: วันที่ลงประกาศ 2010-01-24 00:24:34


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2018253)

เห็นด้วยอย่างยิ่ง  สั่งสอนเสียให้เข็ดหลาบ รวมทั้งสื่อสารมวลชนของอำมาตย์ไม่ว่าหนังสือพิมพ์หรือทีวีที่เสนอข่าวด้านเดียว  เอาดีใส่รัฐบาล เอาชั่วใส่ประชาชนโดยไม่ลืมหูลืมตา แยกแยะผิดถูกไม่ได้ คว่ำบาตรเป็นการสั่งสอน อย่าซื้อ อย่าดู นอกจากไม่สร้างสรรค์ประโยชน์ใดๆแก่ประชาชนแล้ว ยังมอมเมาประชาชนให้หลงผิดแตกแยกกันอีก สื่อพวกนี้เคยรู้ไหมว่าความมั่นคงของชาติบ้านเมืองมีค่ามหาศาลแค่ไหน เหตุไฉนจึงกล้าเผาบ้านตัวเอง โง่ขนาดนี้เป็นสื่อสารมวลชนได้อย่างไร ?

ผู้แสดงความคิดเห็น หิ่งห้อย วันที่ตอบ 2010-01-24 23:29:38


ความคิดเห็นที่ 2 (2018264)

 

สื่อบิดเบือนไม่พูดความจริง ทำลายความมั่นคงของชาติอย่างร้ายแรง
ก่อนอื่นต้องขอพูดถึงอุดมการณ์ทางการเมืองของระบอบอำมาตยาธิปไตย และอุดมการณ์ของระบอบประชาธิปไตย กลุ่มมวลชนที่นิยมการปกครองทั้ง 2 ระบอบอย่างตรงไปตรงมา  ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม เพื่อความมั่นคงของคนในชาติ
การปกครองของระบอบอำมาตยาธิปไตย เป็นระบอบเก่าที่มีเจ้าขุนมูลนายเป็นผู้ปกครอง ตั้งแต่เจ้าขุนมูลนายระดับล่างอย่างหมู่บ้าน ตำบล ท้องถิ่น ไปจนถึงระดับประเทศ เป็นระบอบการสรรหาผู้ปกครองเข้ามาบริหารองค์กร โดยผ่านความเห็นชอบของกลุ่มบุคคลผู้มีอำนาจคณะหนึ่งเรียกโดยรวมว่าอำมาตย์  แล้วเสนอนามให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าแต่งตั้งอีกครั้งหนึ่ง  จึงจะถือว่าถูกต้องสมบูรณ์ การสรรหาในลักษณะนี้ประชาชนมิได้มีส่วนร่วมในการคัดสรรผู้ปกครอง เพราะอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่อำมาตย์  ที่ถูกอุปโหลกมาช้านานว่ามีคุณธรรม มีความเฉลียวฉลาดรอบรู้ คิดเห็นอะไรถูกต้องชอบธรรมทั้งสิ้น  เพราะเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดสถาบันพระมหากษัตริย์
การปกครองในระบอบประชาธิปไตย  เป็นการปกครองที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจการบริหารผ่านตัวแทนที่ได้รับการเลือกตั้งมาบริหารองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการปกครองระดับหมู่บ้าน ตำบล ท้องถิ่น หรือระดับประเทศ  มีผู้แทนสมัครลงเลือกตั้งในนามของพรรคการเมืองต่างๆ แต่ละพรรคจะต้องประกาศนโยบายเพื่อจูงใจให้ประชาชนชื่นชอบ และเมื่อได้รับการเลือกตั้งเข้ามาแล้วก็ดำเนินงานตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้  การปกครองในระบอบนี้ต้องเคารพเสียงข้างมากของประชาชน จะล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่ได้ เพราะหลักการประชาธิปไตยคือ การปกครองโดยประชาชน เพื่อประชาชน
กลุ่มคนเสื้อเหลืองและนักวิชาการอำมาตย์  คือกลุ่มบุคคลส่วนน้อยของประเทศที่นิยมการปกครองในระบบเก่าเป็นระบอบศักดินาเจ้าขุนมูลนาย มอบอำนาจสิทธิ์ขาดให้กลุ่มอำมาตย์คัดเลือกคณะบุคคลเข้ามาบริหารประเทศ ดังนั้นคนที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาล จึงต้องพยายามทำทุกวิถีทางให้เจ้าขุนมูลนายชื่นชอบ จึงจะได้เข้ามาสู่ตำแหน่งบริหาร และเมื่อเข้ามาแล้วก็ไม่มีอิสระในการตัดสินใจ เพราะอิงอยู่กับอำมาตย์ การดำเนินนโยบายต่างๆไม่เด่นชัดไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การศึกษา    วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ไม่ละเว้นแม้แต่ค่านิยม ความรู้สึกนึกคิด  ประชาชนไม่มีสิทธิ์มีเสียงไปกำหนดให้ผู้ปกครองต้องทำตาม 
            กลุ่มคนเสื้อแดง คือกลุ่มคนส่วนใหญ่ของประเทศที่นิยมการปกครองแบบประชาธิปไตยหรือเสรีนิยม โดยมีหลักการว่าผู้ปกครองต้องมาจากพรรคการเมืองที่ได้รับเสียงข้างมากจากประชาชน ประชาชนมอบอำนาจให้มาทำหน้าที่บริหารประเทศในระบบตัวแทน ด้วยมุ่งหมายว่าผู้แทนที่เลือกเข้ามาจะทำตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้กับประชาชนและผู้ปกครองต้องได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นทางการจากองค์พระประมุขของประเทศจึงจะถือว่าถูกต้องชอบธรรมด้วยกฎหมาย การปกครองในระบอบนี้ผู้แทนต้องฟังเสียงประชาชน การดำเนินนโยบายใดๆที่เป็นอุปสรรคขัดขวางความอยู่ดีกินดีของประชาชน ประชาชนสามารถร้องทุกข์กล่าวโทษได้ ดังนั้นสิ่งที่ประชาชนจะได้รับก็คือความพึงพอใจ สิทธิเสรีภาพอันควรจะเป็นตามที่กฎหมายกำหนด 
พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจ อันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม ให้แก่ราษฎรทั่วไป ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจโดยสิทธิ์ขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร ”
“ บัดนี้ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า ความประสงค์ของข้าพเจ้าที่จะให้ราษฎรมีสิทธิ์ออกเสียงในนโยบายของประเทศไทยโดยแท้จริงไม่เป็นผลสำเร็จ และเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่าบัดนี้เป็นหมดหนทางที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติ และออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ”
นับแต่นั้นมาประเทศไทยจึงมีรัฐธรรมนูญหลายฉบับอันเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ประกาศว่าประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตย นับเป็นเวลาถึง78 ปี แต่การเมืองในประเทศไทยไม่เคยมีเสถียรภาพ มีการรัฐประหารเพื่อยึดอำนาจของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถึง 12 ครั้ง แต่ละครั้งโดยคณะนายทหารทั้งสิ้นและจัดการให้คณะบุคคลของตนมาบริหารประเทศแทน สร้างความไม่พอใจให้กับนักวิชาการ นักศึกษา ประชาชนได้ออกมาชุมนุมต่อต้าน และถูกกวาดล้างจากกำลังของกองทัพตั้งแต่ ปีพ.ศ. 2516 2519 2535 ด้วยข้อหากล่าวหาหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ก่อจลาจล นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ เป็นภัยร้ายทำลายความมั่นคงของประเทศ
การที่กลุ่มคนเสื้อเหลืองออกมาชุมนุม โจมตีและขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็เพราะคนกลุ่มนี้ศรัทธาในระบอบอำมาตยาธิปไตย หรืออาจมีมวลชนจำนวนมากที่ไม่เข้าใจระบอบอำมาตยาธิปไตยอย่างถ่องแท้จึงเข้าร่วมขบวนการล้มล้างรัฐบาลด้วย เพราะเข้าใจว่านายกทักษิณและส.ส.พรรคไทยรักไทยคิดเป็นใหญ่ จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์และสถาปนาตนเองเป็นประธานาธิบดี      ตามคำโฆษณาชวนเชื่อทางสื่อ A-STV ของแกนนำกลุ่มพันธมิตร แต่ก็ไม่สามารถทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อถือได้ ด้วยตลอดเวลา 5 ปี ที่พรรคไทยรักไทยเข้ามาบริหารประเทศได้ดำเนินนโยบายประชานิยม ตามที่แถลงไว้ครบถ้วน ไม่เคยมียุคใดในระบอบประชาธิปไตยที่คนไทยจะได้รับการช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาเท่ายุคที่พรรคไทยรักไทยบริหารประเทศ       ดังนั้นเมื่อดึงมวลชนไม่สำเร็จ  จึงเกิดการรัฐประหารขึ้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าเรียกตนเองว่า คมช. ครั้งนี้ได้พลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ องคมนตรีมาเป็นนายกรัฐมนตรี มีการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน พ.ศ.2540 และประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ คมช. พ.ศ.2550 ตั้งองค์กรอิสระขึ้นหลายหน่วยงาน ซึ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมาคุมอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ แต่องค์กรเหล่านี้มิได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้ง ฯ คมช.จึงให้ประชาชนทั้งประเทศลงประชามติ เพื่อรับรองทั้งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 และองค์กรอิสระไปพร้อมๆกัน ผลปรากฏว่าผ่านการรับรองจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยหวังใจว่าจะเกิดการเลือกตั้งขึ้นโดยเร็ว โดยที่ประชาชนไม่ล่วงรู้เลยว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ ได้ให้อำนาจแก่องค์กรอิสระอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด องค์กรอิสระสามารถสั่งยุบพรรคการเมืองได้และตัดสิทธิ์คณะกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี สามารถตัดสินให้โทษย้อนหลัง ซึ่งไม่มีกฎหมายประเทศไหนเขาทำกัน จนกระทั่งได้ยุบพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย   โดยองค์กรอิสระไม่เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองเหล่านี้ได้แสดงหลักฐานคัดค้านแต่อย่างใด และกองทัพได้สนับสนุนให้พรรคประชาธิปัตย์จับมือกับพรรคอื่นมาบริหารประเทศแทน
แม้กาลต่อมาปรากฏว่ามีพยานบุคคล 2 คนออกมาบอกว่าถูกว่าจ้างจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย องค์กรอิสระก็ไม่ยอมให้มีการสอบสวน กลับอ้างว่าเหตุการณ์ผ่านมาแล้ว นอกจากนี้ยังมีหลักฐานชัดแจ้งว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้กระทำผิด พรบ.พรรคการเมือง ไม่รักษาและบังคับใช้กฎหมายอย่างยุติธรรม ไม่ดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรกรณียึดสนามบินนานาชาติ และสถานที่ราชการ มีการร้องเรียนจากประชาชน กลุ่มแพทย์ชนบท ว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ทุจริตเชิงนโยบายในโครงการไทยเข้มแข็งแทบทุกกระทรวง ไม่สนใจการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซ้ำเติมประชาชนด้วยการขึ้นภาษีน้ำมัน ภาษีสรรพสามิต สร้างหนี้ให้ประเทศมหาศาล ใช้งบประมาณไปในเรื่องไม่เป็นเรื่อง สนใจแต่ความอยู่รอดของรัฐบาล ไม่สนใจความอยู่รอดของประชาชน สร้างความไม่พอใจให้ประชาชนอย่างยิ่ง คือนโยบายการสร้างภาพว่าประชาชนอยู่ดีมีสุข ทั้งๆที่เสียงที่สะท้อนออกมาไม่เป็นเช่นนั้น
การยึดอำนาจของประชาชน และบริหารประเทศไม่ได้ ประชาชนลำบากยากจนไปตามๆกัน ทำให้ประชาชนต้องออกมาชุมนุมต่อต้านเพื่อให้ยุบสภา ลาออก และจัดการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์   รัฐบาลกลับเพิกเฉยและใช้สื่อของรัฐ กล่าวหาประชาชนที่ไม่เห็นด้วยว่าเป็นพวกนิยมระบอบทักษิณ มีความคิดจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ก่อจลาจล เป็นภัยของชาติ  ใช้กฎหมาย 2 มาตรฐานกับประชาชนที่มีความเห็นต่างจากรัฐบาล ไม่ดำเนินการกับองคมนตรีผู้บุกรุกเขายายเที่ยง และนายทุนอำมาตย์ที่บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติเขาสอยดาวมาสร้างเป็นสนามกอล์ฟ 
สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นปรากฏการณ์จริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย และกำลังฉุดรั้งประเทศให้ล้าหลังหรือถ้าไม่ยุดยั้งให้เป็นไปตามนิติธรรม นิติรัฐอาจหมายถึงสงครามกลางเมืองและการสิ้นชาติได้
แทนที่สื่อสารมวลชนจะตระหนัก และทำหน้าที่ของตนเองอย่างตรงไปตรงมา รายงานข่าวสารตามที่เป็นจริงแก่ประชาชนทั้งหมด มิใช่รายงานความจริงเพียงด้านเดียว ของฝ่ายรัฐบาลและนักวิชาการอำมาตย์ ที่ถูกต้องไปถามคนเสื้อแดงว่าเขาออกมาเคลื่อนไหวทำไมอย่างไร และมีเป้าหมายเพื่ออะไร คนเสื้อเหลืองต้องการอะไร ทำไม ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศได้ใช้ข้อมูลในการตัดสินใจว่าใครผิดใครถูก แนวความคิดไหนเป็นประโยชน์ เป็นโทษ ดังเช่นประชาชนคนเสื้อเหลืองจำนวนมากพอมาได้ยิน ได้ฟังความรู้สึกนึกคิดและอุดมการณ์ของประชาชนคนเสื้อแดงทางสถานีประชาชน ประกอบกับความจริงที่ปรากฏได้อธิบายเหตุผลของตัวมันเอง เขาตาสว่างทันทีว่า “ กูนี่ช่างโง่เหลือเกิน สิทธิเสรีภาพของตนเองไม่อยากได้ ดันจะกลับไปเป็นทาส จึงหันมาใส่เสื้อแดงเรียกร้องประชาธิปไตยกับเขาด้วย ” มิใช่มานำเสนอว่าคนเสื้อแดงกำลังคิดจะล้มเจ้า สร้างความปั่นป่วน เป็นศัตรูคุกคามความมั่นคงของชาติ เพราะแท้จริงแล้วฝ่ายอำมาตย์  องค์กรอิสระ และรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้หักหาญบีบคั้นจิตใจของประชาชนอย่างรุนแรง   ด้วยการไม่ยอมให้พรรคการเมืองที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเลือก เข้ามาบริหารประเทศ แม้เมื่อชนะการเลือกตั้งเข้ามาใหม่อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ก็ใช้อำนาจล้มล้างไปถึง 3 รัฐบาลและประชาชนต้องยินยอมให้รัฐบาลที่อำมาตย์เห็นชอบให้เข้ามาบริหารประเทศโดยไม่มีเงื่อนไขหรือข้อโต้แย้งใดๆทั้งสิ้น  ทั้งๆที่รัฐบาลชุดนี้บริหารไม่ได้ สร้างหนี้สินให้ประเทศ นำความลำบากอดอยากยากจนมาสู่ประชาชนโดยถ้วนหน้า ประชาชนก็ต้องยอมรับสภาพความแร้นแค้นโดยดุษฎี เพราะกลุ่มอำมาตยาธิปไตย รัฐบาลอำมาตย์ เขาเป็นเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ใครขัดขืนไม่ได้ หากขัดขืนจะกลายเป็นคนเลว เป็นผู้ร้ายขายชาติ เป็นโจรปล้นแผ่นดิน
อยากถามว่าสื่อสารมวลชน ซึ่งที่จริงก็คือนักวิชาการแขนงหนึ่งว่า “ ประชาชนผู้รักเสรีภาพเขายังคับแค้นใจไม่พอหรือ คุณยังซ้ำเติมเขาด้วยการร่วมเป็นสื่ออำมาตย์บิดเบือนความจริงเข้าไปอีก คุณทำเช่นนี้กับคนไทยทั้งประเทศได้อย่างไร  หากประเทศต้องลุกเป็นไฟเพราะการยุแยงแตกแยก คุณจะมีแผ่นดินที่สุขสงบเช่นนี้อีกหรือ  ประชาชนที่เคยใส่เสื้อเหลือง ไปชุมนุมกับแกนนำพันธมิตรเขายังคิดได้ ทำไมคุณยังตาบอดอยู่ แล้วจะเหมาะกับอาชีพสื่อสารมวลชนได้อย่างไร      
หรือไม่เชื่อคุณลองเช็คเรตติ้ง ยอดจำหน่ายหนังสือพิมพ์ จำนวนดาวเทียมที่เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ไม่เว้นแม้แต่อำเภอต่างๆในชนบท ทำนายได้เลยว่าอนาคตของสื่ออำมาตย์จะต้องเป็นบุคคลผู้ด้อยโอกาสทางความสามารถหาเลี้ยงชีพ เพราะความลวงโลกได้ทำลายความน่าเชื่อถือของคุณหมดแล้ว เมื่อนั้นคุณอาจกลายสภาพมาเป็นสมัชชาคนจนเที่ยวร้องแรกแหกกระเชอให้รัฐบาลช่วยเหลือ พระพุทธองค์ท่านเคยตรัสไว้ว่า “ ผู้มีวาจาทุศีลเป็นนิจจะทำลายบารมีของบุคคลนั้น  จะเอื้อนเอ่ยสิ่งใด แม้เป็นความจริงก็ไม่มีใครเชื่อถือ ” กัมมุนา วัตตตีโลโก
                                                                          กระจกเงา
                                                  24 ม.ค. 53
ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2010-01-25 04:48:26


ความคิดเห็นที่ 3 (2018646)

สื่อสารมวลชน นายทุนอำมาตย์ทั้งหลายระบบอำมาตยาธิปไตยเขาฉุดประเทศแบบถอยหลังเข้าคลอง

ประชาชนยากจนลงแล้ว  เขาจะเอาเงินที่ไหนมาจับจ่ายใช้สอยมาซื้อสื่อหรือซื้อสินค้าและบริการของคุณ

ประชาชนเขาเป็นพระเจ้าที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณร่ำรวยไม่ใช่หรือ  และหากระบอบอำมาตย์ทำให้พระเจ้า

ของคุณยากจนลง คุณจะไปขายให้ใคร  หรือคุณคิดว่ารัฐบาลเป็นมหาเศรษฐีที่จะอุ้มชูคุณได้ตลอดไป 

เรื่องตื้นๆแค่นี้ยังคิดไม่เป็น ดันไปร่วมมือกับอันธพาลให้มาย่ำยีลูกค้าของคุณ นี่แหละระบบการศึกษาไทย

สอนให้คนเชื่อข่าวลือ เชื่อคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ไม่เชื่อในความรอบรู้อย่างมีเหตุมีผลของตนเอง 

ผู้แสดงความคิดเห็น หิ่งห้อย วันที่ตอบ 2010-01-25 23:55:34



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.