กรณีนายศิวรักษ  ชุติพงษ์ วิศวกรไทยที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุมและศาลพิพากษาจำคุก 7 ปีข้อหาโจรกรรมตารางการบินของพตท.ดร.ทักษิณ ชิณวัตร เพื่อนำข้อมูลให้กับเลขานุการเอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชา และอดีตนายกทักษิณให้สัมภาษณ์ต่อสื่อทั่วโลกว่าเครื่องบินของอดีตนายกถูกเครื่องบินเอฟ16 ของทางการไทยตามปะกบด้วยอาวุธหนักครบมือ  เป็นเหตุให้ต้องบินเข้าน่านฟ้าของเวียดนามจึงรอดพ้นอันตรายมาได้

แม้จนถึงบัดนี้รัฐบาลไทยยังออกมาให้ข่าวว่าเลขานุการเอกอัครราชทูตไทยทำงานตามหน้าที่โดยไม่มีข้อบกพร่องเสียหาย  และไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำของนายศิวรักษ์  เหตุการณืนี้สร้างความฉงนฉงายให้กับคนไทยทั้งประเทศว่านายศิวรักษ์ไปนำตารางการบินของอดีตนายกมาทำไม ทั้งๆที่ไม่เกี่ยวอะไรกับนายศิวรักษ์  และเมื่อมารดาของนายศิวรักษ์หันหน้าไปขอความช่วยเหลือจากอดีตนายกและพรรคเพื่อไทยทำไมสื่อของรัฐอย่างเอเอสทีวีจึงต้องด่าบริภาษอย่างรุนแรงกล่าวหาว่าอาจเป็นคนเสื้อแดงจัดฉาก  เพราะโดยสัญชาตญาณของความเป็นแม่เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ลูกเป็นเหยื่อเพื่อทำลายผู้อื่น และวิสัยของแม่ย่อมต้องดิ้นรนช่วยเหลือลูกทุกวิถีทางให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน 

ตลอดเวลารัฐบาลได้ใช้สื่อสารมวลชนพูดจาให้ร้ายผู้อื่น  และล่าสุดไม่เว้นแม้แต่คนที่ทำงานให้รัฐบาล

ไม่มีความจริงใจแม้แต่พวกเดียวกัน  และยังปล่อยให้สื่อของตนพูดจาดูถูกเหยียดหยามความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่ต้องการช่วยเหลือลูกให้ได้รับอิสรภาพ

รัฐบาลรู้หรือไม่ว่ายิ่งดิ้นรนเอาตัวรอดให้พ้นผิดมากเท่าไร  ก็ยิ่งสะท้อนถึงจิตใจอันวิปริตออกมาให้คนไทยทั้งประเทศได้เห็นมากเท่านั้น  และคนเมืองพุทธรับไม่ได้กับการย่ำยีคนดี ดูถูกความดี  แต่กลับไปส่งเสริมคนชั่ว  นับวันเอเอสทีวีก็ยิ่งจะถึงกาลอวสาน  เคยได้ยินพระพุทธพจน์นี้หรือไม่ "    ผู้ใดไม่พูดเป็นธรรม ผู้นั้นไม่ใช่สัตบุรุษ แต่เป็นอสัตบุรุษ  ผู้ฆ่าผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น เป็นคนโง่ฝักใฝ่ในเมถุน ย่อมเศร้าหมอง  เป็นคนประมาท ไม่ทำตามพุทธพจน์นั้น ...