| |||||||||
จุดจบของอมาตยาเฒ่าสี่เสา | |
จุดจบของอมาตยาเฒ่าสี่เสา | |
ผู้ตั้งกระทู้ สุดสบาย บานไม่รู้โรย :: วันที่ลงประกาศ 2009-09-10 08:42:33 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1977156) | |
โครงการสานใจไทยสู่ไทยใต้
ของมูลนิธิพลเอกเปรมยุค 2552 ต้องยุติ พล.อ.เปรม ตินสูลานนท์ ในฐานะประธานมูลนิธิประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษ ได้ดำเนินโครงการอบรมเยาวชน 5 จังหวัดภาคใต้ในนามโครงการ สานใจไทยสู่ใจใต้ ปีนี้เป็นปีที่ 12 แล้ว แต่ในปีที่ 12 นี้ ซึ่งทางมูลนิธิฯได้นำเยาวชน 5 จังหวัดชายแดนใต้มาเข้าโครงการจำนวน 240 คน ได้มีอะไรที่แปลกและแปร่ง ไปกว่าเดิม โดยที่เห็นไปถึงนโยบายของมูลนิธิฯ ที่ไม่น่าจะถูกต้องและชอบธรรมต่อประชาชนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเราเห็นว่า นโยบายของพล.อ.เปรมนี่เองที่เป็นเหตุให้ ในระยะปัจจุบันของรัฐบาลอภิสิทธิ์ สถานการณ์ใต้รุนแรงยิ่งขึ้น
ทำไมสถานการณ์ใต้จึงไม่ดีขึ้นเลย ทั้งที่น่าจะดีขึ้นตั้งแต่ พล.อ.สนธิ บุณยรัตนกลิน ขึ้นเถลิงอำนาจสูงสุดในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 โดยเหตุผลที่ว่าพล.อ.สนธิ เป็นมุสลิม เป็นผู้ที่เข้าใจปัญหาชาวไทยใต้มุสลิมดี เหตุผลในเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ในส่วนของมูลนิธิประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษ ในโครงการ สานใจไทยสู่ใจใต้ ปีนี้นั้น เห็นได้ว่าผิดพลาดอย่างร้ายแรง น่าเป็นเหตุให้สถานการณ์ใต้คุโชนแรงขึ้นมาอีก ทั้งนี้เห็นได้จากการแถลงถึงนโยบายของโครงการ สานใจไทยสู่ใจใต้ ปีที่ 12 ของพล.อ.เปรม ณ สโมสรทหารบก ในวันที่ 23 เมษายน 2552 ณ เวลา 10.00 น. ซึ่งเป็นวันที่ทางมูลนิธิฯได้ทำพิธีเปิดโครงการฯ ปี 2552 พล.อ.เปรม ตินสูลานนท์ เป็นประธาน มีพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ตามไปร่วมในพิธีด้วย พล.อ.เปรม กล่าวข้อความสำคัญ ตามที่หนังสือพิมพ์ได้นำมาลงข่าว ดังนี้
“พระสยามเทวาธิราชคุ้มครองประเทศ
ขอให้ภูมิใจว่าทุกคนเป็นสิ่งที่เราตั้งใจว่า จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มุ่งมั่น ปรารถนาดูแลชาติบ้านเมืองให้มีความรักสามัคคีสมานฉันท์ นำพาประเทศเจริญก้าวหน้า ทุกคนรู้จักพระสยามเทวาธิราชหรือไม่ ท่านไม่ใช่พระแต่แต่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ ท่านประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวัง คนไทยทุกคนถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะคุ้มครองประเทศชาติให้สงบร่มเย็น พระสยามเทวาธิราชแสดงให้เห็นตลอดว่า ท่านดูแลชาติบ้านเมืองเราจริง อยากให้เราระลึกถึงพระสยามเทวาธิราช และขอให้ท่านคุ้มครองเยาวชนและชาติบ้านเมืองของเราให้สงบร่มเย็น ส่วนคนที่ไม่หวังดีต่อประเทศให้มีอันเป็นไป” พลเอกเปรมกล่าว
พล.อ.เปรมให้สัมภาษณ์ด้วยว่า พระสยามเทวาธิราชไม่ได้เป็นของศาสนาพุทธหรือศาสนาใด แต่เป็นของคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด แต่เป็นของคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็คุ้มครองทั้งนั้น พระสยามเทวาธิราชเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเรา คนพูดว่าชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะเมื่อเรามองไปในอดีตเหตุการณ์อะไรที่ทำให้บ้านเมืองเสียหาย ก็จะมีเรื่องเสียหายน้อยหรือสงบโดยเร็ว และคนไทยก็จะกลับมารักชอบพอกันเหมือนเดิม พระสยามเทวาธิราชเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อว่ามีจริง ถ้าใครศัทธาเลื่อมใสจะรู้ว่าพระสยามเทวาธิราชจะคุ้มครองคนดีของประเทศเรา แล้วจะไม่คุ้มครองคนไม่ดี (ไทยรัฐ 24 เม.ย.2552)
คนทั้งหลายย่อมทราบดีว่า คำกล่าวนี้ไม่เพียงเป็นการพูดเปิดประชุมโครงการฯเท่านั้น แต่เป็นการพูดเชิงนโยบายที่ประชาชนทั้งชาติและทั้งโลกได้รับฟัง อย่างเปิดเผย แต่สำหรับเยาวชนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เข้ามารับการอบรมครั้งนี้ พวกเขาล้วนเป็นไทยมุสลิม และชาวไทยมุสลิมและมุสลิมทั้งโลกได้รับฟังแล้ว ก็ย่อมกลายเป็นเรื่องที่อ่อนไหวจัดอย่างยิ่ง เพราะในคติมุสลิม และทั้งรวมความไปถึงความเป็นมุอ์มิน(บางแห่งเขียน มุมิน) หรือมุสลิมที่แท้จริงนั้น เขาจะต้องเคารพและนับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น มีคำพูดเป็นสากลสำหรับชาวมุสลิมว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์อัลเลาะห์” ดังพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานบัญญัติไว้ว่า “อัลเลาะห์นั้น ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอันควรได้รับการสักการะโดยแท้จริง เว้นไว้แต่พระองค์ผู้เป็นองค์นิรันดร เป็นองค์ดำรงเองในการบริหารโลกอย่างเข้มแข็ง ซึ่งทั้งความง่วงเหงาและความหลับย่อมไม่ครอบงำพระองค์ สิทธิของพระองค์นั้นได้แก่ทุกสิ่งอันอยู่ในบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและทุกสิ่งในผืนแผ่นดิน” และมุอ์มินย่อมเอ่ยพระนามพระองค์เต็ม ๆ ว่า อัลเลาะห์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา (บางแห่งเขียนพระนามว่า อัลลอฮ์) เมื่อมุอ์มินจะเริ่มทำการหรือพิธีกรรมใดก็จะอ้างว่าทำในพระนามพระองค์อัลเลาะห์ ดังปรากฏในหน้าแรกแห่งอัลกุรอานว่า “ข้าพเจ้าขอเริ่มสิ่งที่ชอบแห่งศาสนา ด้วยพระนามแห่งอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตาในโลกนี้ทั่วไป และทรงเมตตาในโลกหน้าเฉพาะผู้ที่ศรัทธาตามคำสั่งสอนของพระองค์” การที่มีคนไม่เข้าใจว่าเรื่องการนับถือพระเจ้านั้น สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาสากลที่มีพระเจ้า รวมทั้งศาสนาอิสลามแล้ว เป็นเรื่องใหญ่ยิ่ง สำคัญถึงความเป็นความตายเลยทีเดียว
การพูดของพล.อ.เปรมเช่นนี้ แน่นอน คำพูดนี้ย่อมเป็นอันตราย ย่อมเป็นเหตุแห่งความแตกแยก ไม่สมานสามัคคี และเชื่อได้เลยว่า นี่เป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ขณะนี้ เพราะจะมีมุสลิมฮาร์ดคอร์หรือมุสลิมบริสุทธิ์ อย่างในต้นกำเนิดคืออิรัค อิหร่าน อาฟกานิสถาน หรือแม้ในสามจังหวัดไทยภาคใต้ไม่ยอม และสามารถจะพลีชีพให้การต่อสู้ได้อย่างไม่นึกสะพรึงกลัวสิ่งใดเลย เนื่องเพราะความเชื่ออย่างแน่นแฟ้นของพวกเขาว่า อัลเลาะห์ทรงเป็นองค์บริบูรณ์ยิ่ง ดังพระมหาคัมภีร์ระบุว่า “ด้วยว่าอัลเลาะห์นั้น คือองค์ทรงความไพบูลย์ในทางอำนวยให้แก่ผู้เป็นข้าแห่งพระองค์อย่างพิเศษสุด ทรงประณีตยิ่งในทางบริหารธุรกิจของพระองค์ให้แก่ผู้เป็นข้าเหล่านั้น” (ทรงหมายถึงรางวัลบนแผ่นดินนี้และรวมทั้งรางวัลในสวรรค์เจ็ดชั้นสำหรับข้าพระองค์ผู้จงรักภักดี)
พล.อ.เปรม ทราบหรือไม่ว่าท่านพูดอะไรออกไป ? จริงอยู่พระสยามเทวาธิราช มีความศักดิ์สิทธิ์ แต่ความศักดิ์สิทธินั้นปรากฏอย่างไร และแท้จริงก็ยังมีเทพองค์อื่นที่ปกป้องประเทศไทยมาแต่โบราณ ตามบันทึกชาวจีนนักประวัติศาสตร์ชื่อ Jen Fang ว่าด้วยศาสนาดั้งเดิมของชาวไทย เทพเจ้าผู้สร้างประเทศไทยชื่อว่า เทพเจ้าปานกู(Panku) ทรงมีพาหนะคือนกวายุภักษ์ (ภายหลังกำเนิดในไทยแล้ว แพร่เข้าสู่ประเทศจีน ในศตวรรษที่6 มีคำบรรยายว่า
“เทพเจ้าปานกูมีรูปร่างเล็กเหมือนคนแคระ ใช้หนังหมีหรือใบไม้หุ้มห่อกาย มือข้างหนึ่งถือดวงอาทิตย์ มืออีกข้างหนึ่งถือดวงจันทร์ ดังนั้นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ คือผลงานชิ้นแรกในการสร้างจักรวาลของเทพเจ้าปานกู ซึ่งพระองค์ทรงใช้เวลาสร้างถึง 18,000 ปี หลังจากนั้นร่างกายของพระองค์จึงสลายกลายเป็นส่วนประกอบของโลกเรา กล่าวคือกระดูกของเทพเจ้าปานกูกลายเป็นภูเขา เนื้อกลายเป็นพื้นดิน ฟันและเล็บกลายเป็นสายลม เลือดในพระวรกายกลายเป็นสายน้ำ เส้นผมกลายเป็นต้นไม้และต้นหญ้า โลกที่เราอยู่จึงเป็นโลกที่เกิดจากการสลายจากร่างของเทพเจ้าปานกู” แต่แม้พระสยามเทวาธิราชและเทพเจ้าปานกูก็มิได้เป็นที่รู้จักเคารพอย่างแพร่หลายในประเทศไทย โดยเหตุผลดังกล่าวมานี้การที่พล.อ.เปรมไปอ้างพระสยามเทวาธิราชนั้นนอกจากไม่เป็นผลดีแล้ว ยังเป็นผลร้ายที่ปรากฏชัดเจน เพราะทำให้สถานการณ์ใต้รุนแรงขึ้นในขณะนี้ อันเป็นยุคของนายกเด็กอภิสิทธิ์ ผู้ที่ท่านประธานองค์มนตรีสนับสนุนและยกย่องว่า “นายกอภิสิทธิ์นี่แหละดี”
และแน่นอนพล.อ.เปรม เป็นต้นเหตุสำคัญทำความเจ็บแค้นแด่ชาวไทยมุสลิมใต้ และรวมทั้งมุสลิมอันเป็นสากล เนื่องเพราะท่าทีเช่นพล.อ.เปรม เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ประสงค์เปลี่ยนแปลงศาสนาเดิมของพวกเขา และเราได้บอกสัจธรรมแล้วว่า คนเขาสู้อย่างเสียสละแม้ชีวิตเพื่อศาสนาของพวกเขา(และของพวกเรา)
เราอยากให้ท่านพล.อ.เปรม หยุดความคิดนี้ลงโดยพลันทันที และเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่โดยเร็ว
โดยเปลี่ยนมาสนับสนุนประชาธิปไตย เป็นทางเดียวและทางที่ดีเหมาะสมทุกประการเท่านั้นที่จะสามารถสมานสามัคคีระหว่างชนต่างศาสนาในรัฐประเทศหนึ่งได้ โดยหลักการและเหตุผลก็คือ ประชาธิปไตยไม่มีศาสนา (ไม่คำนึงเรื่องศาสนา) ดังนี้
1. ด้านนโยบายของการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ไม่เกี่ยว ไม่ถูกจำกัดด้วยการนับถือศาสนา นโยบายจะต้องเสมอภาคไปหมดในประชาชนทั่วประเทศ ไม่จำกัดเฉพาะภาคหนึ่งภาคใด ท้องถิ่นหนึ่งท้องถิ่นใด และไม่จำกัดศาสนาใด ไม่ว่าพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกส์ โซโรอัสเตอร์ ฯลฯ สุดแต่ขอบเขตนโยบายของพรรคการเมืองที่สร้างขึ้นโดยนักการเมืองของพรรคการเมืองนั้นได้ให้คำจำกัดความไปถึงไหน
2. นโยบายในระบอบประชาธิปไตย ถูกสร้างขึ้นจากคนทุกเชื้อชาติศาสนา ไม่จำกัดความเชื่อและสิทธิในพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งประเด็นนี้ แม้ในรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับก็ได้รับรองไว้แล้ว(จึงเป็นประชาธิปไตย) ดังรธน.2540 ม. 38 ว่า “มาตรา 38 บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนบัญญัติหรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและไม่เป็นการขัดต่อความ สงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ในการใช้เสรีภาพดังกล่าวตามวรรคหนึ่ง บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองมิให้รัฐกระทำการใดใดอันเป็นการรอนสิทธิหรือเสียประโยชน์อันควรมีควรได้เพราะเหตุที่ถือศาสนา นิกายของศาสนา ลัทธินิยมในทางศาสนา หรือปฏิบัติตามศาสนบัญญัติหรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือแตกต่างจากบุคคลอื่น”
3. ชนส่วนน้อยมีสิทธิ์สร้างหรือเสนอนโยบายได้อย่างเต็มที่ อันเป็นสิทธิของประชาชนทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกศาสนา ในขณะเดียวกันพรรคการเมืองทั้งหลายย่อมคำนึงชนส่วนน้อยและนโยบายของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยย่อมจะต้องมีนโยบายที่ครอบคลุมไปถึงชนส่วนน้อยเสมอ(มิฉะนั้นท่านก็จะเสียคะแนนนิยมในชนส่วนน้อยลงไป ดูอเมริกาซิครับ เขาไปหาเสียงกับชาวเอเชีย และกลุ่มเชื้อชาติส่วนน้อย ฯลฯ ทำไม?)
4. ชนส่วนน้อยมีสิทธิอย่างเต็มที่ที่จะสร้างนโยบาย หรือสร้างความฝันขึ้นมาอย่างไรก็ได้ และรอโอกาสที่จะเสนอเข้าไปสู่ส่วนการบริหารให้ครอบคลุมไปอย่างเป็นสากลได้ตลอดเวลาอย่างมีสิทธิเต็มที่ นั่นเท่ากับมีสิทธิที่จะสร้างจะทำประโยชน์หรือคุณความดีแด่สังคมและประเทศชาติ ไม่จำกัดศาสนาได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีผู้ใดจะขัดขวางได้(ตามนัย ม.38 ข้างต้น)
5. ชนส่วนน้อยในระบอบประชาธิปไตย มีสิทธิอย่างเต็มที่ที่จะดำเนินการรณรงค์ต่อสู้เพื่อนโยบายของตนได้เข้าไปมีส่วนในการบริหารประเทศ ในองค์รวม โดยผ่านพรรคการเมืองของตนเอง หรืออาจผ่านพรรคการเมืองอื่นใดใดก็ได้ สุดแต่ว่าพรรคการเมืองนั้น ๆ ยอมรับหรือเข้าใจเพียงใดในนโยบายของชนส่วนน้อยนั้น นี่เป็นความเป็นธรรมที่เราจะได้จากระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
6. ชนส่วนน้อยกลุ่มศาสนา หรือกลุ่มเชื้อชาติฯลฯ สามารถมีสิทธิเต็มที่ที่จะคิดนำนโยบายของตนไปบริหารประเทศเอง โดยสิทธิในการสร้างพรรคการเมืองของตน และขยายกิจการพรรคการเมืองของตนเองออกไปให้ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ได้ โดยวิถีทางการต่อสู้ทางนโยบายลงสู่ประชามหาชน จนพอเพียงจะสามารถนำนโยบายตนเองไปบริหารประเทศทั้งประเทศก็ได้ นี่เป็นการเปิดโอกาสให้อย่างเต็มที่อยู่แล้วตามหลักการครรลองของระบอบประชาธิปไตย (กล่าวอีกอย่างหนึ่ง ท่านมีสิทธิที่จะเป็นรัฐบาลเอง โดยผ่านการต่อสู้ตามสิทธิที่จะสร้างพรรคการเมือง นโยบายการเมือง ขยายความยิ่งใหญ่ของพรรคการเมืองของท่านได้อย่างเต็มที่ตราบจนบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ คือได้เป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ อันเป็นหลักการและกติกาของระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ และสามารถเข้าร่วมเป็นรัฐบาลได้ เป็นต้น )
จึงหวังว่าโครงการฯของประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษจะได้หยุดนโยบายเดิมเสียและเร่งรีบมาเสริมสร้างใหม่โดยเปลี่ยนมาเป็นการอบรมเยาวชนเพื่อประชาธิปไตย หากยังไม่เข้าใจเรื่องประชาธิปไตยก็ควรเริ่มเรียนรู้เสียทันทีตั้งแต่บัดนี้ หรือหยุดบทบาทลงเสียโดยพลันเพื่อหยุดอันตรายจากความแตกแยกทางศาสนา หยุดปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และการมาสู่ประชาธิปไตยเท่านั้นจะเป็นทางแก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์ และคนทั้งหลายทุกศาสนาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขและมีศักดิ์ศรีจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนั่นคือศักดิ์ศรีของอำนาจพื้นฐานที่เป็นธรรม ที่ว่า one man one vote (สิทธิที่เท่าเทียมกันคนละ 1 เสียง) นั่นเอง
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น อรบุศป์ ละอองธรรม (newworldbelieve-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-09-11 09:54:42 |
ความคิดเห็นที่ 2 (1977528) | |
....ทุกคนรู้จักพระสยามเทวาธิราชหรือไม่ ท่านไม่ใช่พระแต่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ ท่านประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวัง คนไทยทุกคนถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะคุ้มครองประเทศชาติให้สงบร่มเย็น... ....พระสยามเทวาธิราชไม่ได้เป็นของศาสนาพุทธหรือศาสนาใด แต่เป็นของคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด แต่เป็นของคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็คุ้มครองทั้งนั้น ....
ท่านพล.อ.เปรม เอ่ยข้อความออกมาได้อย่างไร โดยเฉพาะข้อความว่า พระสยามเทวาธิราช...ท่านประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวัง และคำว่า ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดพระสยามเทวาธิราชก็คุ้มครองทั้งนั้น
ท่านพูดออกไปทั่วโลกได้ยิน และชาวมุสลิมโลกได้ยิน เขาก็เข้าใจดี ว่านี่คือการคิดร้ายต่อศาสนาเขา เป็นการเกลี้ยกล่อมพยายามบีบบังคับคนของศาสนาเขาให้ไปนับถือศาสนาอื่น
นี่คือความผิดพลาดอย่าง ไม่ใช่ความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เป็นความผิดมหันต์ ท่านจะต้องยุติท่าทีนี้ลงโดยพลัน และหยุดบทบาทใดใดลงไปเสียตั้งแต่บัดนี้ และหาทางชี้แจงให้ชาวไทยมุสลิมหายข้อข้องใจต่อโครงการสานใจไทยสู่ใจใต้ ว่าเป็นโครงการที่พยายามจะบีบบังคับให้ชาวมุสลิมไทยเปลี่ยนไปนับถือศาสนาหรือพระเจ้าองค์อื่น ซึ่งไม่ใช่พระองค์อัลเลาะห์ และท่านทราบหรือไม่ว่า โทษของการไม่เคารพอัลเลาะห์มีอยู่สถานใด ?
นี่คือสาเหตุที่สถานการณ์ใต้รุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง ท่านเข้าใจแล้วหรือยัง?
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2009-09-12 20:55:50 |
ความคิดเห็นที่ 3 (1977572) | |
ขอทบทวนให้ท่านทั้งหลายเข้าใจชัดเจนว่า การดำเนินนโยบายสามจังหวัดภาคใต้ของทุกนโยบายของทั้งระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ ของรัฐบาลที่ล่วงมา ๆ นั้น ได้ระมัดระวังกันอย่างยิ่งยวดในประเด็นศาสนาและวัฒนธรรมของชาวไทยสามจังหวัดภาคใต้ จนกระทั่งมีการคิดเสนอขนาดจะยอมให้สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเขตการปกครองพิเศษ ก็เนื่องด้วยปัญหาประเด็นนี้ และที่ยอมรับกันทั่วไปแล้วก็คือหน่วยปฏิบัติในพื้นที่จะต้องเข้าใจและเอาใจใส่ต่อวัฒนธรรมมุสลิมใต้ไทย ต้องปฏิบัติอย่างสอดคล้องวัฒนธรรมอิสลามใต้ ซึ่งข้อปฏิบัตินี้ทางราชการ ทหาร ตำรวจ อส.ก็ยอมรับและปฏิบัติมาอย่างดี ท่านจะสังเกตได้ว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก หมายความว่าเป็นเรื่องภูมิปัญญา ถ้าเข้าใจไม่ถูกแล้วก็จักกลายเป็นเรื่องที่อ่อนไหวไปอย่างมาก ๆ ดังที่ปรากฎว่า ในกรณีสินามิ มีการฉลองกันโดยพับนกขาว แล้วเอามาร่อนเหนือแผ่นดินสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของประชาชนไทยทั่วไป ด้วยปรารถนาดี แต่ชาวไทยใต้เขาบอกว่า นกขาวเป็นสิ่งที่ผิดบัญญัติทางศาสนาอิสลาม ก็เลยต้องระงับไป ทั้ง ๆ ที่ประชาชนส่วนใหญ่กระทำไปด้วยความจริงใจและปรารถนาดีโดยแท้จริงแต่เราก็ต้องฟังเขา อย่างนี้เป็นต้น
กรณีพล.อ.เปรม เป็นเรื่องต้องห้ามอย่างสูงสุด ยิ่งกว่าปัญหาประเด็นทางวัฒนธรรม แต่เป็นประเด็นทางศาสนาโดยตรง เพราะท่านพยายามจะเกลี้ยกล่อมบังคับชนอิสลามใต้ไทย ให้เปลี่ยนไปเคารพพระเจ้าองค์อื่น ซึ่งไม่ใช่พระองค์อัลเลาะห์
อิสลามสากลเขาย่อมจะมองมาดู และในเทศกาลสำคัญที่กำลังมานี้คือเทศกาลศีลอด ฮารีรายอ นี้ พวกเขาก็จะมาพิจารณากันและกำหนดนโยบายลงมา
นี่เป็นเรื่องที่ พล.อ.เปรม ตินสูลานนท์ กระทำผิดพลาดอย่างยิ่งใหญ่ เพียงใด ? (เหมือนเด็กไปอีกคนหนึ่งแล้ว) บัดนี้ก็เห็นเค้าแล้ว ว่าทำไมสถานการณ์ใต้ จึงคุกรุ่นขึ้นมาอีก
เราได้แต่หวังว่า ชาวสามจังหวัดภาคใต้ จะได้เข้าใจประชาธิปไตย
แน่นอน แม้ระยะหลังมานี้ เสื้อแดงชาวใต้มุสลิมไทยก็เกลื่อนเต็มพื้นที่แล้ว แม้กระทั่งบนเวทีของคนเสื้อแดง ที่สถานีข่าว พีเพิ่ลแชนั่น ก็มีแกนนำของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ปรากฎตัวมาแล้ว
นั่นแหละวิถีทางการต่อสู้ของชาวสามจังหวัด พี่น้องไทยมุสลิมที่ถูกต้อง จริง ๆ ไล่อมาตยาเฒ่าโง่เง่าไปเสีย สรรสร้างประชาธิปไตยขึ้นมา นี่คือหนทาง และทาง
ข้าพเจ้าหมายความถึงทางที่ชาติไทยของเราจักเกิดสมานฉันท์สามัคคีพร้อมทุกประการ ทั้งเผ่าพันธุ์ชนกลุ่ม เชื้อชาติและศาสนาที่แตกต่าง ย่อมมาร่วมวิถีทางเดินเดียวกันได้อย่างมีสามัคคีธรรม ด้วย ประชาธิปไตย
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล (newworldbelieve-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-09-13 07:59:04 |
ความคิดเห็นที่ 4 (1977952) | |
โปรดอ่านข่าว นสพ.ไทยรัฐ ออนไลน์ 15 ก.ย.2552 ต่อไปนี้
ใต้ฆ่าทพ.ยกชุดพลีชีพ5ศพรวด
โจรใต้เหิมลอบกัด ซุ่มยิงถล่มชุดทหารพรานร้อย ทพ.473 ขณะกลับจากร่วมพิธีละศีลอด กำลังเดินเท้ากลับฐานใน ต.ตาเซ๊ะ อ.เมืองยะลา ทำให้ทหารพรานพลีชีพทั้ง 5 นาย แถมยังถูกปล้นชิงปืนอาก้าไปอีก 2 กระบอก ส่วนเหตุป่วนรายวันไล่ยิงชาวบ้านเจ็บปางตายที่ปัตตานีและยะลาอย่างละ 1 ราย ขณะที่ ผบก.ภ.จ.ปัตตานี สั่งตรวจเข้มสกัดรถ จยย.และรถปิกอัพที่เข้าออกในพื้นที่ หลังหน่วยข่าวกรองแจ้งเตือนกลุ่มคนร้ายเตรียมใช้เป็นคาร์บอมบ์ก่อวินาศกรรมย่านชุมชน ขณะที่ตำรวจ สภ.เมืองยะลา รวบคาหนังคาเขา 2 วัยรุ่นต้องสงสัยพัวพันโจรใต้ ขณะลงมือลักรถ จยย.ป้ายแดง ส่งตัวไปให้ทหารสอบขยายผลเพิ่มเติมไฟใต้ยังร้อนระอุรายวัน โดยเมื่อเวลา 01.00 น. คืนวันที่ 13 ก.ย. พ.ต.ท.อาคม บัวทอง สวญ.สภ.บ้านโสร่ง อ.ยะรัง จ.ปัตตานี รับแจ้งมีคนถูกยิงบนถนนในหมู่บ้านละหารยามู หมู่ 2 ต.กอลำ จึงนำกำลังรุดไปตรวจสอบ พบเพียงรถ จยย.ฮอนด้าล้มตะแคงอยู่ข้างทาง ส่วนผู้บาดเจ็บถูกนำส่ง รพ.ยะรัง ไปก่อนหน้าแล้ว ทราบชื่อนายอิสมาแอ บือแน อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 42 หมู่ 3 บ้านสะตา ต.กอลำ ถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบขนาดบริเวณลำตัวรวม 2 นัด ต้องส่งไปรักษาต่อที่ รพ.ศูนย์ยะลา สอบสวนทราบว่า ขณะที่นายอิสมาแอขี่รถ จยย.เพื่อจะกลับบ้านพัก ถึงจุดเกิดเหตุถูกคนร้ายซุ่มยิงจนบาดเจ็บสาหัสดังกล่าว ส่วนสาเหตุคาดว่าอาจจะเป็นเรื่องโกรธแค้นส่วนตัวหรือเป็นการสร้างสถานการณ์รายวัน
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ทาง พล.ต.ต.พิเชษฐ์ ปิติเศรษฐพันธ์ ผบก.ภ.จ.ปัตตานี ได้สั่งการให้กำลังตำรวจในพื้นที่ ตั้งจุดตรวจจุดสกัดเข้มตลอด 24 ชม. หลังมีรายงานจากหน่วยข่าวกรองว่าในช่วง 1-2 วันนี้ กลุ่มคนร้ายเตรียมจะก่อเหตุวินาศกรรมอีกระลอก โดยใช้รถ จยย.ฮอนด้าเวฟ และรถปิกอัพมิตซูบิชิอย่างละคันดัดแปลงเป็น จยย.บอมบ์และคาร์บอมบ์
รายต่อมาเมื่อเวลา 09.45 น. วันที่ 13 ก.ย. ร.ต.ท. วัชรชัย ฉุยเนย ร้อยเวร สภ.แม่หวาด อ.ธารโต จ.ยะลา รับแจ้งเหตุยิงกันที่บ้านวังไทร หมู่ 2 ต.แม่หวาด รุดไปสอบสวนบริเวณที่เกิดเหตุเป็นป่าเปลี่ยวเส้นทางเลียบไหล่เขา พบเพียงกองเลือด ส่วนผู้บาดเจ็บชื่อนายอารมณ์ เขียวหลี อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 29 หมู่ 2 ต.แม่หวาด ถูกยิงบริเวณลำตัว 2 นัด นำส่ง รพ.ธารโต สอบสวนทราบว่าผู้บาดเจ็บเสร็จจากการกรีดน้ำยางกำลังจะกลับบ้าน ถูก 2 คนร้ายขี่รถ จยย.ไล่ยิงจนบาดเจ็บและเตรียมจะลงมายิงซ้ำ แต่โชคดีที่มีชาวบ้านผ่านมาประสบเหตุ คนร้าย จึงรีบหลบหนีไป คาดเป็นการจงใจสร้างสถานการณ์รายวัน
อีกรายเมื่อเวลา 01.45 น. คืนวันที่ 13 ก.ย. ขณะที่ ร.ต.ท.จักรวาล โทนแก้ว รอง สวป.สภ.เมืองยะลา พร้อมพวกออกตรวจย่านสถานบันเทิงในเทศบาลนครยะลา ขณะผ่านหน้าโรงแรมยะลามายเฮาส์ ถนนรัฐคำนึง เห็นชายวัยรุ่น 1 คน กำลังเข็นรถ จยย.ป้ายแดง โดยมีอีกคนติดเครื่องรถ จยย.ทะเบียน กรท 194 ยะลา คุมเชิงอยู่ จึงเข้าไปตรวจสอบ พบกรรไกรดัดแปลงเป็นกุญแจผี 1 ดอก ค้นในเป้พบยาอัลปราโซแลมสีม่วงอีก 80 เม็ด คุมตัวส่ง ร.ต.อ.สมศักดิ์ ราชริวงศ์ ร้อยเวร สภ.เมืองยะลา สอบสวนขยายผลทราบชื่อนายบาคอรี นิเลาะ อายุ 18 ปี อยู่บ้านเลขที่ 307/9 หมู่ 1 ต.เขื่อนบางลาง อ.บันนังสตา และนายมะรอนิง เวาะนิ อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 8 หมู่ 1 ต.บาเจาะ อำเภอเดียวกัน อ้างว่าเพิ่งลงมือขโมยรถ จยย. เป็นครั้งแรก แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ปักใจเชื่อ เพราะผู้ต้องหา ทั้งคู่ให้การวกวน แถมมีอุปกรณ์ครบครัน เบื้องต้นสันนิษฐานว่าทั้งคู่อาจจะเป็นแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบเตรียมขโมยรถ จยย.ไปใช้ก่อเหตุรุนแรง จึงอายัดตัวส่งไปสอบขยายผลที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานีต่อไป
ล่าสุดเมื่อเวลา 19.30 น. คืนวันที่ 13 ก.ย. ขณะเจ้าหน้าที่ทหารพรานสังกัด ร้อย ทพ.473 ฉก.ทพ.47 ชุดพัฒนาสันติรวม 5 นาย เสร็จจากการร่วมพิธีละศีลอดที่มัสยิดมุตาอินนะ ภายในหมู่บ้านตาเซ๊ะ หมู่ 3 ต.ตาเซ๊ะ อ.เมืองยะลา เดินเท้ากลับฐานที่ตั้งในโรงเรียนบ้านตาเซ๊ะที่อยู่ห่างไปประมาณ 1 กม.
เมื่อกำลังทหารพรานชุดดังกล่าวเดินมาถึงหน้าสถานีอนามัยบ้านตาเซ๊ะ ห่างจากมัสยิดมาเพียง 100 เมตร ถูกคนร้ายไม่ต่ำกว่า 10 คนที่แอบซุ่มอยู่ในป่าสวนยางพาราฝั่งตรงข้ามสถานีอนามัย เปิดฉากยิงถล่มใส่แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ซ้ำยังอยู่ในที่โล่งแจ้งไม่มีที่กำบัง ทำให้กำลังทหารพรานทั้ง 5 นาย เป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ยังฮึดสู้ยิงปะทะกันนาน 15 นาที ปรากฏว่าฝ่ายทหารพรานทั้ง 5 นายถูกยิงเสียชีวิตทั้งหมด หลังเกิดเหตุกลุ่มคนร้ายได้ตรงเข้ามาจ่อยิงทหารพรานทั้ง 5 นายซ้ำทีละศพ ก่อนจะปลดอาวุธปืนอาก้าจำนวน 2 กระบอก ขึ้นรถกระบะสีดำ 1 คัน และรถ จยย.อีก 2 คัน ขับบึ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
หลังเกิดเหตุ นายกฤษฎา บุญราช รอง ผวจ.ยะลาฝ่ายความมั่นคง และ รอง ผบ.ฉก.ยะลาฝ่ายพลเรือน พร้อมด้วย พ.อ.อาทร จันทร์ทอง รอง ผบ.ฉก.ทพ.47 ร.ต.ท.วีระศักดิ์ คงเพชร ผบ.มว.ร้อย ตชด.ที่ 4432 นำกำลังรุดไปตรวจสอบและไล่ล่าติดตามคนร้าย ปรากฏว่ากลุ่มคนร้ายได้โปรยตะปูเรือใบดักเต็มถนน พร้อมทั้งนำกล่องต้องสงสัยไปตั้งวางไว้บนศพทหารพรานที่เสียชีวิต ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเสียเวลาในการตรวจสอบและเก็บกู้รวมทั้งตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะเข้าไปเก็บกู้กล่องต้องสงสัยดังกล่าว เบื้องต้นพบว่าเป็นระเบิดปลอม ต้องการลวงให้เจ้าหน้าที่เสียเวลาในการตรวจสอบ
สำหรับทหารพรานที่เสียชีวิตทั้ง 5 นายประกอบด้วย 1. อส.ทพ.ประจักษ์ คำแหง 2. อส.ทพ.จิตกร ศิริสวัสดิ์ 3. อส.ทพ.มูฮัมหมัด มอรอ 4. อส.ทพ.ประดิษฐ์ แก้วนิ่ม และ 5. อส.ทพ.บิสมัต หลังเถาะ สภาพศพแต่ละนายถูกยิงจนร่างพรุน หลังชันสูตรเสร็จสิ้นได้ลำเลียงศพ อส.ทพ.ทั้ง 5 นายไปเก็บไว้ที่ รพ.ศูนย์ยะลาชั่วคราวเพื่อรอประกอบพิธีศพในวันที่ 14 ก.ย.นี้
นี่เป็นสถานการณ์รุนแรงล่าสุด โดยมีการต่อเนื่องมาแล้ว ตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.2552 แล้ว เราบันทึกเอาไว้ก่อน เพื่อเป็นข้อมูล ยังไม่พอ พล.อ.เปรม จะต้องรับผิดชอบ ต่อการทำความวิบัติครั้งนี้ ...... ท่านพอจะเข้าใจหรือไม่ ว่าความผิดของท่านคืออะไร ความผิดของท่านคือ ความผิดต่อศาสนาอิสลาม และผิดต่อพระเจ้าของชาวมุสลิมโลก คือ อัลเลาะห์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ท่านกำลังนำประเทศไทยไปสู่ความยุ่งยาก ในเชิงปัญหาศาสนาสากล
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2009-09-15 09:13:58 |
ความคิดเห็นที่ 5 (1978257) | |
สามจังหวัดภาคใต้ เป็นปัญหามานานเท่าไร กี่รัฐบาล ที่ผ่านมา ประเด็นปัญหาก็เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ปัญหาศาสนา และเชื้อชาติ บังเอิญปัญหาด้านศาสนาเป็นศาสนาอิสลาม ถ้าเป็นศาสนาอื่นก็จะไม่เคร่งขนาดนี้ เพราะมุสลิมถูกสอนให้เป้นนักรบ และเป็นนักรบของสวรรค์ และพวกเขาถูกบัญชาโดยสวรรค์ และสวรรค์ได้กำหนดชีวิตพวกเขาไว้แล้วสำหรับมุสลิมทุกคน ๆ ว่าตั้งแต่เกิดไปจนตายหรือตอนมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องทำอะไรบ้าง ลำดับขั้นตอนของชีวิตเป็นอย่างไร วันหนึ่ง ๆ ทำอะไร สวรรค์กำหนดลงมาพร้อมแล้ว ตั้งแต่เกิดจนตาย และชีวิตทั้งหมดมอบแด่พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ใครไม่มีความศรัทธานี้ ชื่อว่าผู้ทรยศ มีโทษสถานเดียวคือลงขุมเพลิงนรกไปชั่วนิรันดร จนกว่าถึงวันสิ้นโลกจึงจะพิพากษา พวกเขามีคัมภีร์ของสวรรค์ที่จะต้องเคารพเชื่อฟัง คือ พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน นี่คือถ้อยคำของพระเจ้า คำสั่งของพระเจ้า ทุกถ้อยกระทงความ อัลกุรอานคือบัญญัติแห่งชีวิตของชาวมุสลิม และ อัลเลาะห์ ชื่อนี้คืออะไร พล.อ.เปรม ไม่เข้าใจหรือ และไม่เข้าใจหรือว่า ประชาธิปไตยเป็นทางออกที่ประเสริฐที่สุดสำหรับปัญหาชาวไทยมุสลิมใต้
แต่บัดนี้ สายเกินไปแล้วสำหรับพล.อ.เปรม ท่านจึงต้องหยุด หยุด ทุกอย่างที่เป็นชีวิตของท่าน ทำไม? เพราะหยุดการขยายปัญหาออกไป ถ้าท่านไม่หยุด ปัญหาจะขยายออกไป ทำร้ายประเทศไทยและสถาบันยิ่งขึ้น (หมายถึงหยุดการเกลี้ยกล่อม บังคับด้วยประการใดใดให้ชาวไทยใต้สามจังหวัดเสื่อมความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวของพวกเขาลงอย่างเด็ดขาด)
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2009-09-16 09:43:06 |
ความคิดเห็นที่ 6 (1978885) | |
ชาวเสื้อแดงครับ ระวังหน่อยนะครับ เวลาแวะไปเยี่ยมบ้านพักคือ"บ้านแม่ทัพ" โคราช
พล.อ.เปรม ขณะนี้อยู่ในสายตาของชาวมุสลิมโลก
ระวังเรื่องแซกซ้อนให้ดีนะครับ แต่เราอยากขอร้องทางนักรบมุสลิม ว่าอย่าสร้างความลำบากแก่พลเสื้อแดงเลย เราเป็นมิตรกันดีกว่า | |
ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2009-09-18 14:17:57 |
ความคิดเห็นที่ 7 (1979282) | |
ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โจรก่อการร้ายถึงเล่นงานครู พระ แม้แต่โรงเรียนก็ไม่เว้น มีการเข่นฆ่าชาวไทยพุทธบ่อยมาก ก็เพราะหัวหน้าอำมาตย์ชอบไปยัดเยียดแนวความคิดแบบเผด็จการนี่เอง และเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานพอๆกับการนำโครงการสานใจไทยสู่ใจใต้ ที่หัวหน้าอำมาตย์ผู้ไม่รู้อะไรเป็นอะไร คิดเอาเอง เออออไปเองว่าชาวมุสลิมคงจะเห็นดีเห็นงามกับชื่อเทพเจ้าองค์อื่นโดยไม่เข้าใจความเชื่อที่เขาปลูกฝังกันมานาน นี่คือสาเหตุที่ชาวมุสลิมเขาจึงไม่ยอมรับ และกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่ทำลายความรักความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนไทยต่างศาสนาใน 3 จังหวัด เราเห็นด้วยกับสุไหงปาดี ที่ข้าราชการอำมาตย์ทุกระดับ จะได้นำโครงการที่สามารถผสานใจคนไทยสู่ใจใต้จริงๆเสียที นั่นคือการนำอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่นำพาคนไทยทุกชนชั้นไปสู่เสรีภาพ ไปสู่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันโดยไม่มีเชื้อชาติ ศาสนาใดๆมาแบ่งแยกได้ เมื่อนั้นสันติสุขย่อมเกิดขึ้นได้ เพราะนั่นคือแสงสว่างที่ทุกชีวิตตามหามาทุกยุคสมัย | |
ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2009-09-19 21:50:30 |
ความคิดเห็นที่ 8 (1979284) | |
มูลเหตุของการวิวาท
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสมูลเหตุแห่งวิวาท ๖ อย่าง ๖ อย่าง เป็นไฉน ?
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ ภิกษุเป็นผู้มักโกรธ มีความผูกโกรธไว้ ๑
ภิกษุเป็นผู้มีความลบหลู่ ตีเสมอ ๑
ภิกษุเป็นผู้มีความริษยา (ริษยา ในสักการะ เป็นต้นของผู้อื่น) ความตระหนี่ ๑
ภิกษุเป็นผู้โอ้อวด เจ้าเล่ห์ ปกปิดความชั่วที่ตนทำ ๑
ภิกษุเป็นผู้มีความปรารถนาลามก เป็นผู้ทุศีลปรารถนาความยกย่องที่ตนไม่มี เป็นมิจฉาทิฏฐิ ๑
เป็นผู้ถือมั่นทิฏฐิของตน มีการสละได้ยาก ๑
ภิกษุตั้งอยู่ในธรรม 6 อย่างนี้ ย่อมไม่เคารพ ไม่ยำเกรง แม้ในพระศาสดา ไม่ทำให้บริบูรณ์ แม้ในพระธรรม แม้ในพระสงฆ์ แม้ในสิกขา ภิกษุนั้นย่อมยังวิวาท ให้เกิดในสงฆ์ วิวาทย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความไม่เป็นสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความพินาศแก่ชนเป็นอันมาก
พระพุทธพจน์ที่ยกมาอ้างนี้ สอดคล้องกับสถานการณ์ความแตกแยกเดือดร้อนของประชาชนทั้งประเทศในขณะนี้ คนทำผิดมหันต์ เช่น บุกรุกสถานที่ราชการ ปิดสนามบินนาชาติ ประทุษร้ายเจ้าหน้าที่ และประชาชนที่ไม่เห็นด้วยอย่างป่าเถื่อน แต่จนบัดนี้เวลาผ่านไปร่วมปีแล้ว ยังไม่ได้รับการลงโทษแต่ประการใด ในขณะที่คนถูกกระทำย่ำยีไม่มีโอกาสได้ชี้แจง หรือเรียกร้องความเป็นธรรม สะท้อนให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรม และองค์กรอิสระที่ถูกตั้งขึ้นโดยกลุ่มรัฐประหาร มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เป็นกลุ่มบุคคลที่ถูกอวิชชาครอบงำ
มีความมักโกรธผูกโกรธลบหลู่ดูหมิ่นสิ่งที่เป็นธรรม มีจิตริษยา เป็นคนเจ้าเล่ห์ ปกปิดความชั่วที่พวกพ้องทำ มีมิจฉาทิฎฐิมาก เป็นผู้ยึดมั่นถือมั่นในทิฎฐิของตนอย่างแรงกล้า และกำลังพ่นพิษแห่งความอยุติธรรมไปทั่วประเทศอยู่ในขณะนี้ แม้ในที่ประชุมรัฐสภาของไทยเอง ก็กล่าวขานถึงความไม่เป็นธรรมอันบังเกิดจากกลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่นิยมอำนาจเผด็จการ และนำไปสู่การกดขี่ข่มเหง ไม่เป็นธรรมต่อประชาชนผู้รักประชาธิปไตย หากไม่รีบขจัดให้สิ้นไปเสีย จะเป็นสนิมที่กัดกร่อนความมั่นคงของประเทศชาติและความสงบสุขของประชาชน ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทั้งประเทศจะได้รวมตัวกันปฏิวัติทางภูมิปัญญา ลุกขึ้นมาต่อสู้ล้มล้างอำนาจเถื่อนเหล่านี้เสียที อย่าปล่อยให้คนไม่กี่คนผู้ปราศจากธรรมเที่ยวใช้อำนาจป่าเถื่อนไปพิพากษาใครได้อีก
กระจกเงา
19 กันยายน 2552 | |
ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2009-09-19 22:00:26 |
ความคิดเห็นที่ 9 (2038429) | |
ตุ๊ดเปรม ตุ๊ดชวน ฆาตกรหน้าอ่อน จงพินาศ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ฟกรก (eee_it-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-07-15 10:16:52 |
ความคิดเห็นที่ 10 (4350112) | |
55555 เป็นตุเป็นตะ เห้อ ไม่กลัวบาปกรรมกันเลย | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ืnew วันที่ตอบ 2019-12-19 16:01:18 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 158006 |