| |||||||||
ขอรบกวนถามปัญหาเกี่ยวกับผลของการปฏิบัติ | |
เรียนอาจารย์ด้วยความเคารพ กระผมขอรบกวนถามปัญหาเกี่ยวกับผลหลังจากการปฏิบัติสมถะ ฯ ตามที่ได้เข้าอบรมมาฯ ซึ่งเป็นโครงการของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณฯประจำปีการศึกษาแต่ละปี กระผมเคยเข้ารับการปฏิบัติธรรมฯของทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณฯ อยู่เรื่อยๆ ปีล่ะประมาณ 12 วัน แรกๆก็ทำเล่นๆ พูดจริงๆนะครับ พอฟังธรรมะที่อาจารย์กรรมฐานเทศนาหรือชี้แนวทางให้ก็ไม่เข้าใจ แล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ผม ไม่รู้ว่ามันคืออะไร??? เวลาใดก็ตามที่กระผมรู้สึกง่วง (ง่วงมากๆเหมือนเราไม่ได้นอนสักวันสองวันนี่แหล่ะ) ช่วงกลางวันนะครับ ปกติแล้วเราจะหลับไปเลย คือเข้าหลับตามปกติ แต่นี่ไม่เป็นเช่นนั้น ถ้ากระผมรู้สึกง่วงมาก ๆ มันจะไม่เข้าสู่การนอนปกติ กระผมจะเข้าไปอยู่อีกรูปแบบหนึ่งก็คือ หูจะอื้อ...ตาหลับเหมือนคนนอน แต่ประสาทสัมผัสกระผม ยังทำงานปกติ ใครเดินผ่านมา ไม่ต้องลืมตาได้ยินแต่เสียง ผมก็รู้ ปากถามผู้ที่เดินผ่านมาได้ปกติ แต่ความรู้สึกข้างในมันเหมือนเราอยู่ในสมาธิ หูอื้อมากๆ รู้สึกเหมือนตัวเองจะล่องลอยอยู่เหนือเพดานบ้าน ยิ่งกลั้นหายใจเท่าไหร่กระผมรู้สึกว่าตัวเองขึ้นสูงมากเท่านั้น ยิ่งกลั้นยิ่งจะทะลุก้อนเมฆ แต่เมื่อไหร่ก็ตามเราหายใจ คือหยุดกลั้น มันก็จะดิ่งลงมาข้างล่าง ตอนแรกกระผมก็ตกใจช่วงหลังๆ มานี้ เมื่อไรกระผมเข้ามาในรูปแบบนี้ กระผมก็เล่นกับมัน เพราะกระผมไม่รู้มันคืออะไร แก้ไม่ออก บอกไม่ถูก จะถามคนอื่นก็ไม่รู้จะถามใคร ส่วนสถานที่ปฏิบัติธรรมฯ หลังจากเสร็จจากกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัยฯแล้ว ผมก็ไม่ได้ไปที่นั่นอีกเลย และมีหนึ่งกระผมไปเยี่ยมเพื่อนที่อยุธยาประมาณเดือนพฤษภาที่ผ่านมา แล้วเพื่อนชวนไปเที่ยวจังหวัดอยุธยา แล้วผมก็ได้ไปเข้าชม วัดของพระเดชพระคุณเจ้า หลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดอยุธยา พอเดินเที่ยวไปเรื่อยๆ กระผมรู้สึกง่วงมาก แล้วรู้สึกว่าความรู้สึกหรืออารมณ์เดิมเข้ามา กระผมก็หลีกผู้คนเข้าไปนอนหลังอุโบสถที่จริงก็ไม่อยากทำหรอกครับ แต่มันรู้สึกง่วงมากก็เลยเข้าไปหลบนอนก่อน...นอนปุ๊บอารมณ์ตรงนี้ก็เกิดปั๊บ กระผมก็ไม่รู้จะทำอะไรอีกเหมือนกันก็เลยลองเล่นดู นึกในใจว่า อยุธยาแต่ก่อนเป็นอย่างไร....เท่านั้นแหล่ะ ตัวกระผมเองก็ฟุ่งขึ้นสูงไปจนทะลุเมฆ แล้วกระผมก็เหลียวกลับมาดูข้างล่าง...เห็นอยุธยาทั้งจังหวัดก็ว่าได้ แต่รู้สึกมันจะเป็นป่า เต็มไปหมด แล้วมีเจดีย์ที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน อยู่ไม่ไกลจากกันเท่าไร... (ใครที่ไปเที่ยวที่อยุธยาจะรู้ว่าเป็นจังหวัดที่มีวัดเยอะมากที่สุด) สิ่งที่ผมอยากรบกวนถามพระอาจารย์ก็คือ สิ่งที่ผมเป็นอยู่นี้...มันคืออะไร??? แล้วไปยุ่งเกี่ยวกับมันบ่อยจะดีไหม? ขอความสุขสวัสดิ์จงมีแก่ท่านและหน้าที่การงาน... ขอบพระคุณมากครับผม
| |
ผู้ตั้งกระทู้ ไพรวัน (prai24-at-hotmail-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2008-09-25 08:02:24 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1364266) | |
คำตอบ สิ่งที่ได้พบมาทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็น อารมณ์กรรมฐาน หมายถึงสิ่งที่เป็นเพียงอารมณ์ มีมากมายหลายหลากอารมณ์ ที่เป็นผลจากการปฏิบัติแปลกแตกต่างไปจากมาตรฐานการฝึกฝนของสถาบัน หรือของครูบาอาจารย์แต่ละสำนักไป ถ้าผู้ปฏิบัติ ไม่รู้เป้าหมายทางปฏิบัติ ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์กรรมฐานที่ต้องการแล้ว ก็อาจจะเป็นอันตรายแก่ระบบสมอง ความคิด และ จินตนาการได้ ทุกสิ่งที่ท่านผู้นี้ประสบมานั้นแหละเป็นตัวอย่างของการไม่สามารถควบคุมอารมณ์กรรมฐานได้ เพราะในการฝึกปฏิบัติ ไม่มีแนวคิดเป้าหมายเอาไว้งเอาไว้ ก็ทำไปสะเปะสะปะ ซึ่งแท้จริงก็ทำกันแบบไม่มีเป้าหมายอย่างนี้แหละ และบังเอิญการปฏิบัติเกิดสุกงอมขึ้นมา ก็หล่น แปลกแตกต่างไปจากสิ่งที่เคยรู้เคยเห็น ขอให้กลับมาเพิ่มพูนอารมณ์สมถะ ให้ได้เต็มที่ คือนิ่งสงบสงัดได้จริง ๆ เสียก่อน และสมาธิควรให้ได้ภวังคจิตสงัด โดยเมื่อเข้าภวังคจิตแล้ว ควรจะสงัดถึงระดับที่ลืมโลกเก่าได้ คือเมื่อเข้าสมาธิแล้วเย็น สบาย ไม่หวั่นไหวต่อโลกภายนอก ไม่รับรู้โลกภายนอกเลย นั่นเอง ทำตรงนี้ให้ได้ก่อน จึงจะเป็นประกันได้ว่าไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าจะปฏิบัติไปตามเดิม ก็จะหลงทางวิปัสสนากรรมฐานไป และแม้ว่าแนวทางนั้นจะดูวิเศษ แต่ก็ไร้สติ และจะไม่ไปถึงไหน
ฉะนั้น ขอให้ได้พิจารณาตามที่เสนอมาเสียก่อน ถึงอย่างไรก็ให้หนักในสมถะกรรมฐานเสียก่อนจริง ๆ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ปัญญาธโรภิกขุ (newworld_believe-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2008-09-28 22:29:55 |
ความคิดเห็นที่ 2 (1364629) | |
คำตอบ2 ปัญหาที่มาข้างต้นนี้ แท้จริงนับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งทีเดียว เพราะเป็นตัวอย่างของการปฏิบัติธรรมที่แปลก พิเศษ และพิสดาร เร้นลับ ไม่ค่อยได้พบบ่อยนัก เมื่อได้นำมาเปิดเผย จึงเป็นเรื่องที่น่าขอบคุณ น่าอนุโมทนา เพราะจะได้เป็นตัวอย่างในการปฏิบัติธรรมสำหรับฝ่ายงานธรรมปฏิบัติ เพื่อผลทางการปฏิบัติโดยตรง สิ่งที่ประสบมาจากการปฏิบัติของท่านผู้นี้มา 3-4 ปี นั้น พอแยกเรื่องได้ 1. เรื่องคาถาบริกรรมใช้หลักของวัดมหาธาตุ(ท่าพระจันทร์)คือใช้ พองหนอ-ยุบหนอ...พอนั่งเข้าไปนาน มันปวดแข้งปวดขามากลามมาถึงเอว รู้สึกว่า มันหนักเหมือนหิน...และแล้วรู้สึกว่า ขากระผมจะแตกจะแยกออกจากกันเป็นเสี่ยงๆ ช่วงที่ทำอยู่นี้กระผมไม่มีสมาธิพอที่จะภาวนาได้แล้ว ได้แต่มองดูอาการของทุกขเวทนาตัวนี้ ในที่สุดกระผมก็ยอมแพ้กับตัวเอง คือกระผมดีดตัวลุกขึ้นทันที เพราะทนเจ็บปวดอาการตรงนี้ไม่ไหว 2.สมาธินิ่งขึ้น ลมหายใจละเอียดขึ้น จนรู้สึกว่าขาดหายไป ...จนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีลมหายใจ...ความรู้สึกที่เป็นอยู่ขณะที่ปฏิบัติ ตัวเองจะรู้สึกโยกเยกไปมา แล้วมีไร มาไต่ตามใบหน้า พอเข้าวันที่ 3 กระผมก็จำอารมณ์ในวันที่สองของการทำ มาปฏิบัติต่อ ก็เข้าถึงกลางๆ รู้สึกว่า หูอื้อเหมือนเราขึ้นไปอยู่ที่สูง คล้ายๆกับคนยืนอยู่บนสะพาน แล้วกระโดดดิ่งลงไปในแม่น้ำข้างล่างสะพาน แล้วได้ยินเสียงหายใจตัวเอง เหมือนมันมาเต้นอยู่ข้างหูทั้งสองข้าง ช่วงอารมณ์ตอนนี้มันเร็วมาก เหมือนแสงอะไรสักอย่างเมื่อขึ้นที่สูงแล้วมันก็ฟุ่งลงข้างล่างคล้ายๆกับเหว พูดง่ายๆก็คือดิ่งลงไปจนสุด ไม่รู้สุดตรงไหน ประมาณไม่ได้...หลังจากที่มีความรู้สึกหวูบหนัก....ช่วงที่กำลังจะดิ่งลึกนั้น กระผมรู้สึกว่าแผ่นหลังกระผมจะร้อนวูบวาบ แล้วสิ่งกระผมก็ได้รับสิ่งหนึ่งก็คือ ความเย็นสบาย.... มันเย็นและรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้นั่งบนพื้น เหมือนเหนือพื้น ประมาณ 1 ศอก ลมหายใจกระผมหมด ไม่มีเหลือ กำหนดไม่ได้ ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าผมอยู่ที่ไหน? มันรู้สึกจะไม่มีอะไร ว่างเปล่า เบาเหมือนนุ่น.....แต่รู้สึกได้นะว่าตัวเองกำลังนั่งสมาธิ....พอกระผมปล่อยให้อยู่ตรงนั้นนานเท่าไรไม่รู้ กระผมก็ลืมตา 3.แล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ผม ไม่รู้ว่ามันคืออะไร??? เวลาใดก็ตามที่กระผมรู้สึกง่วง (ง่วงมากๆเหมือนเราไม่ได้นอนสักวันสองวันนี่แหล่ะ) ช่วงกลางวันนะครับ ปกติแล้วเราจะหลับไปเลย คือเข้าหลับตามปกติ แต่นี่ไม่เป็นเช่นนั้น ถ้ากระผมรู้สึกง่วงมาก ๆ มันจะไม่เข้าสู่การนอนปกติ กระผมจะเข้าไปอยู่อีกรูปแบบหนึ่งก็คือ หูจะอื้อ...ตาหลับเหมือนคนนอน แต่ประสาทสัมผัสกระผม ยังทำงานปกติ ใครเดินผ่านมา ไม่ต้องลืมตาได้ยินแต่เสียง ผมก็รู้ ปากถามผู้ที่เดินผ่านมาได้ปกติ แต่ความรู้สึกข้างในมันเหมือนเราอยู่ในสมาธิ หูอื้อมากๆ รู้สึกเหมือนตัวเองจะล่องลอยอยู่เหนือเพดานบ้าน ยิ่งกลั้นหายใจเท่าไหร่กระผมรู้สึกว่าตัวเองขึ้นสูงมากเท่านั้น ยิ่งกลั้นยิ่งจะทะลุก้อนเมฆ แต่เมื่อไหร่ก็ตามเราหายใจ คือหยุดกลั้น มันก็จะดิ่งลงมาข้างล่าง ตอนแรกกระผมก็ตกใจช่วงหลังๆ มานี้ เมื่อไรกระผมเข้ามาในรูปแบบนี้ กระผมก็เล่นกับมัน เพราะกระผมไม่รู้มันคืออะไร แก้ไม่ออก บอกไม่ถูก 4. กระผมก็หลีกผู้คนเข้าไปนอนหลังอุโบสถที่จริงก็ไม่อยากทำหรอกครับ แต่มันรู้สึกง่วงมากก็เลยเข้าไปหลบนอนก่อน...นอนปุ๊บอารมณ์ตรงนี้ก็เกิดปั๊บ กระผมก็ไม่รู้จะทำอะไรอีกเหมือนกันก็เลยลองเล่นดู นึกในใจว่า อยุธยาแต่ก่อนเป็นอย่างไร....เท่านั้นแหล่ะ ตัวกระผมเองก็ฟุ่งขึ้นสูงไปจนทะลุเมฆ แล้วกระผมก็เหลียวกลับมาดูข้างล่าง...เห็นอยุธยาทั้งจังหวัดก็ว่าได้ แต่รู้สึกมันจะเป็นป่า เต็มไปหมด แล้วมีเจดีย์ที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน อยู่ไม่ไกลจากกันเท่าไร... (ใครที่ไปเที่ยวที่อยุธยาจะรู้ว่าเป็นจังหวัดที่มีวัดเยอะมากที่สุด) 5. สิ่งที่ผมอยากรบกวนถามพระอาจารย์ก็คือ สิ่งที่ผมเป็นอยู่นี้...มันคืออะไร??? แล้วไปยุ่งเกี่ยวกับมันบ่อยจะดีไหม? ผมไม่รู้จริงๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติ... ก็แยกประเด็นออกให้ดูเป็นประเด็น ๆ ไป จะลองอธิบายไปตามลำดับ คราวต่อไปนะครับ แต่ก็ขอว่าท่านใดที่มีประสบการณ์ได้กรุณาเล่าเรื่องและชี้แนะมาด้วยนะครับ ถือเป็นการเสวนาธรรมปฏิบัติกัน ปธร. | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ปธร. (newworld_believe-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2008-09-29 15:41:42 |
ความคิดเห็นที่ 3 (1365865) | |
ขอบคุณมากครับที่ให้ความกระจ่าง... การปฏิบัติที่บอกว่าเลาะแหละ ไม่มีเป้าหมายทั้งหมดทั้งสามถึงสี่ปี ก็เนื่องจาก เป็นเพียงกิจกรรมหนึ่งของทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ เท่านั้น... ถ้าถามกันจริงๆพูดกันจังๆ ไม่ค่อยมีนิสิตนักศึกษาสนใจในการเข้าปฏิบัติเท่าไหร่นัก...เหมือนจูงจมูกกันเข้าไปซะมากกว่า..หรือถูกบังคับไป... เพราะถ้าไม่ไป ก็ไม่ผ่านกิจกรรมทางมหาลัยฯ ถึงแม้สี่ปีที่ศึกษาผม จะทำกันจริงๆเพียงสามสี่วัน...ผมคิดตามความเข้าใจของผม คือ ทำให้ผมได้อะไร???มากมายกว่าสี่ปีที่ผมอยู่มหาลัยฯเสียอีก... ช่องปีสุดท้าย ในช่วงที่จะหมดเวลาการปฏิบัติ...วันที่ 10-11 ทางศูนย์ปฏิบัติธรรฯ..ก็ได้ให้ทดสอบการปฏิบัติฯ โดยให้ทำสมาธิเพียง อิริยาบถนั่งกับเดินเท่านั้น...โดยใช้เวลา 24 ชั่วโมงหรือประมาณ 1 วันเต็มๆ..โดยไม่ฉันข้าว... แต่สำหรับกระผมแล้ว ใช้เพียงการนั่งอย่างเดียว...โดยไม่ลุกไปไหน??? ทวนอารมณ์ที่ได้รับ...ก็ผ่านได้.. แต่ปัจจุบันนี้...ผมไม่ได้ต่ออารมณ์ตรงนั้นแล้ว เพราะได้มาเป็นครูสอนโรงเรียนพระปริยัติฯ ทำให้หาเวลาที่จะปฏิบัติ..จริงๆจังเหมือนเดิมไม่ค่อยจะได้... ขอบคุณกับการวิจารณ์และความกระจ่างกับกระผม นับเป็นกัลยาณมิตธรรม..ที่สูงสุด...ที่หาได้ยาก ยินดีให้เป็นบทวิจารณ์ในวงเสวนาธรรม | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ไพรวัน (prai24-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2008-10-01 19:52:22 |
ความคิดเห็นที่ 4 (1379001) | |
คุณไพรวัน มีกระทู้หนึ่งมาก่อนนี้ ที่เกี่ยวข้องอยู่บ้าง ขอให้กรุณาอ่านดูประกอบ คลิกเข้าไปดูได้เลย | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ปธร. ปัญญาธโรภิกขุ (newworld_believe-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2008-10-30 21:46:26 |
ความคิดเห็นที่ 5 (1384218) | |
คุณไพรวัน ต่อไปขอให้ลองอ่าน หลักสูตรมรรคผล ดูนะ ลองคลิกเข้าไปดู อยากให้เพียงอ่านไปอย่างสบาย ๆ ไปก่อน เท่านั้น | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ปธร. (newworld_believe-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2008-11-15 17:29:42 |
ความคิดเห็นที่ 6 (3687865) | |
เคยนั่งสมาธิค่ะก่อนนั่งสวดมนต์ไหว้พระสวดคาถาชินบัญชรและยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกเสร็จแล้วก็นั่งสมาธิแรกๆขอบอกปวดหลังมากเราคิดว่าเป็นบททดสอบต้องผ่านไปให้ได้พอนั่งสักพักอาการปวดก็หายไปนั่งไปเรื่อยๆปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างไม่คิดไม่ปรุงแต่งกำหนดลมหายใจเข้าออกพุทโธระหว่างท้องน้อยกับจมูกเข้าอาทิตย์ที่2รู้สึกว่าโล่งมากเวลาได้นั่งสมาธินั่งไปได้พักหนึ่งมีความรู้สึกว่าตัวเราพองได้เล็กลงอยู่แบบนี้อาจเป็นจิตที่เราปรุงแต่งเป็นแน่เราก็สนุกกับมันนะนั่งไปสักพักมีความรู้สึกว่าตัวเราเบาเบาเหมือนนุ่นเงียบสงบไม่รับรู้ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยเย็นไปทั่วร่างกายเป็นแบบนี้ทุกครั้งแล้วนั่งนานมากประมาณไม่ต่ำกว่า4ชั่วโมงได้ทุกวันนี้ไม่ได้นั่งแล้วเพราะคุณแม่กลัวบอกนั่งนานมากกลัวไม่กลับเวลาออกจากสมาธิเราก็สวดแผ่เมตตารู้สึกถึงความสุขเคยนั่งแล้วน้ำตาไหลออกเองก็มี อยากจะถามว่ามีไหมค่ะที่แบบว่านั่งนานไปแล้วพอดึงจิตกลับมาแล้วไม่ปกติเพราะชอบนั่งแต่คนที่บ้านเขากังวลมากเขากลัว | |
ผู้แสดงความคิดเห็น น้ำหวาน (Paphavee28-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2014-08-16 17:10:50 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 157485 |