ReadyPlanet.com
dot


ประสบการณ์ทางจิต


กราบเรียบถามพระอาจารย์

วันหนึ่งก่อนสงกรานต์ที่ผ่านมา เป็นวันหยุดทำงาน ผมทดลองเดินจงกรมแบบรู้อิริยาบถอย่างเดียว ไม่มีการบริกรรม เมื่อสภาวะใดปรากฏหรือรู้ทันว่าจิตแอบไปคิดผมจะหยุดเดิน ระลึกรู้ในท่านั้นเลย แล้วเฝ้าดูความเกิดดับของอารมณ์ หรือการคิดจนหยุดคิด พบว่าแรกๆ ต้องหยุดเดินบ่อยๆ แต่พอเดินไปได้นานพอสมควร เริ่มนิ่งระลึกได้เฉพาะการเคลื่อนไหวของกายโดยละเอียดมากขึ้น (ไม่มีความคิดเข้ามาแทรก หรือสภาวะอะไรปรากฏ ไม่เกิดการบริกรรมแต่อย่างใด) จากนั้นผมได้นอนแต่ก็ยังระลึกรู้อยู่ยังไม่หลับ จนหลับไป แต่อาการอยู่ในลักษณะที่หลับก็ไม่ใช่ ตื่นอยู่ก็ไม่ใช่ จากนั้นกระผมรู้สึกว่าเหมือนมีอีกร่างกำลังจะถูกแยกจากกัน (รู้สึกมากที่สุดคือบริเวณใบหน้า และดวงตาครับ ) พอหลุดไปก็หมุนวนไปเรื่อยหาจุดจบไม่ได้ จนผมต้องอาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย จากนั้นกายนั้นก็ค่อยร่วงลงมาจนประทับแล้วผมก็ตื่นพอดี ตอนนั้นนิ้วมือผมยังมีอาการชาอยู่เลยครับ...ผมเป็นแบบนี้ 2 ครั้งขณะนอนหลับ แล้วครับพระอาจารย์ผมควรจะทำอย่างไรต่อไปครับ แล้วปฏิบัติอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ

กราบเรียนถามด้วยความเคารพยิ่ง

จาก คนรักธรรมะ



ผู้ตั้งกระทู้ คนรักธรรมะ :: วันที่ลงประกาศ 2007-04-28 16:43:14


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (595502)

ขออภัยด้วยที่มาช้าไป  เรื่องราวนี้น่าสนใจมาก  ประการแรก  ไม่อยากให้ว่าเป็นการถามและตอบอยู่คนเดียว  ที่นี่มีลักษณะงานวิจัย  อยากให้ท่านอื่น ๆ มีส่วนในการตอบหรือแสดงความคิดเห็นด้วย  โดยไม่มีข้อรังเกียจ

และจริง ๆ  เราก็ยังไม่สามารถตอบคำถามของท่านได้ทันที  เราจะขอพิจารณาก่อน  ว่าคำพูดของท่านหมายความว่าอย่างไร  และอิริยาบถ  หรือพฤติกรรมนั้นคืออะไร   เราพยายามจะทำแบบที่ท่านทำดูจริง ๆ เสียก่อน   จึงจะวิเคราะห์ออกมาได้เนื้อหาสาระที่เป็นสัจธรรมจริง

ก่อนอื่นที่เราสนใจก็คือ  อาการหลับอยู่ก็ไม่ใช่ตื่นอยู่ก็ไม่ใช่  น่าจะเข้าทฤษฎีจิตโพล้เพล้ ตามการวิจัยของเรา

ส่วนการเดินจงกรมนั้น ก็มีหลายเป้าหมาย  ทางเราอยากยืนยันว่า  เป้าหมายคือ ตื่น รู้และเบิกบาน  สามารถบรรลุได้ด้วยการเดินจงกรมหรือวิธีการของการเจริญสติ

เราจะพิจารณาคำถามท่านอย่างละเอียดต่อไปอีกสักหน่อยแล้วได้อย่างไรก็จะรายงาน  และเราอยากฟังทัศนะของท่านผู้รู้หรือท่านผู้มีประสบการณ์หรือท่านผู้ใดก็ได้ด้วยขอเชิญแสดงความคิดเห็นได้

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พระอาจารย์พยับ ปญฺญาธโร วันที่ตอบ 2007-05-04 06:42:52


ความคิดเห็นที่ 2 (595957)

ประสบการณ์ 2

คำถามก็คือ  

1.  ผมควรจะทำอย่างไรต่อไปครับ 

ตอบ  อยู่ที่ความมุ่งหมายของท่าน ว่าท่านต้องการอะไร  ขณะนี้ท่านตอบตัวท่านเองได้หรือไม่ว่าท่านต้องการอะไร?

แนวทางที่ได้ประโยชน์ ประการแรกก็คือ  วิปัสนาญาณ เกิดขึ้นหรือไม่ ?  เมื่อวิปัสนาญาณเกิด จะช่วยให้การชำระกาม กิเลส ตัณหาไปจากจิตใจได้  นั่นหมายถึงการได้มรรคผล  มีโสดาปตติมรรคเป็นต้นไปจนสูงสุดคืออรหัตตผล  นี่คือแนวทางพ้นทุกข์ที่แท้จริง ตามหลักการของพระพุทธศาสนา  และเราขอยืนยันสัจธรรมนี้ 

ท่านต้องการอย่างนี้หรือไม่?

แนวทางที่ 2  บรรลุมหาสติหรือไม่  ? 

หมายถึงเมื่อท่านปฏิบัติไปแล้ว  ได้สติเกิดขึ้นมา  เป็นผลให้เบิกบาน  สว่าง  และ สงบ  ขึ้นทั้งภาคกายและจิต  แล้วจักนำไปสู่ขั้นตอนต่อไปได้อีก  ในการปฏิบัติหรือ  ระดับปฏิบัติธรรม โดยจะเป็นพื้นฐานแห่ง  สมาธิ และ ฌาน  ระดับสูง  เป็นทางสู่ อภิญญา

เป้าหมายทั้ง 2ประการนี้  เป็นสุดยอด  และเมื่อบรรลุแล้ว  นั่นคือเกิดปฏิเวธธรรมขึ้นมาระดับใดระดับหนึ่งแล้ว  ก็จะมีการเชื่อมต่อกันทันที  และจะอิงอาศัยกันและกันตลอดไป  เป็นพื้นฐานให้ซึ่งกันและกันตลอดไป 

2. แล้วปฏิบัติอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ

ในขั้นต้นนี้  ขอตอบว่า  เรายังบอกไม่ได้  ท่านเองควรจะรู้เองว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง โดยดูว่าตรงเป้าหมายที่ท่านต้องการหรือไม่

เราอยากขอให้ท่านวิเคราะห์ดูด้วยตนเองเสียก่อน  เพื่อให้ทราบอย่างแท้จริงว่าท่านต้องการอะไร

ท่านต้องการเป้าหมายที่เราเสนอมา 2 อย่างคือ  วิปัสสนาญาณ  และ  มหาสติ   หรือไม่?

อย่าซีเรียสมาก  ทำความคิดให้สบาย ๆ ดีกว่า

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พระอาจารย์พยับ ปญฺญาธโร วันที่ตอบ 2007-05-04 12:44:14


ความคิดเห็นที่ 3 (597001)

ประสบการณ์3

ท่านต้องการอะไร?

จากรายงานของท่านประเด็นว่า  จากนั้นกระผมรู้สึกว่าเหมือนมีอีกร่างกำลังจะถูกแยกจากกัน (รู้สึกมากที่สุดคือบริเวณใบหน้า และดวงตาครับ ) พอหลุดไปก็หมุนวนไปเรื่อยหาจุดจบไม่ได้ จนผมต้องอาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย จากนั้นกายนั้นก็ค่อยร่วงลงมาจนประทับแล้วผมก็ตื่นพอดี ตอนนั้นนิ้วมือผมยังมีอาการชาอยู่เลยครับ...ผมเป็นแบบนี้ 2 ครั้งขณะนอนหลับ แล้วครับ

ถ้าท่านยังตอบไม่ได้ว่าต้องการอะไร  ก็จะหมายความว่าท่านประสบเข้ากับสิ่งนี้โดยบังเอิญ  เป็นการบังเอิญให้เป็นไปเท่านั้น และบังเอิญท่านพบเข้าถึง 2 ครั้ง

 นี่คือสภาวะจิตอย่างหนึ่ง  เริ่มจากความคิดแน่นิ่งสนิท  จึงเป็นมโนภาพ  แล้วเมื่อเพ่งด้วยกสิณจะเกิดเป็นเจตนารมณ์  เข้มขึ้นก็เป็นสิ่งที่เรียกว่า เจตภูต  และออกไปจากร่างกายไป

ท่านต้องการสิ่งนี้หรือไม่   หากต้องการก็ต้องฝึกทางกสิณ ให้ชำนาญ  และให้ฐานทางสมาธิเข้มข้นเสมอ   สมาธิให้ได้ตั้งแต่ คณิกสมาธิ  อุปจารสมาธ  และ อัปปนาสมาธิ

และให้ฝึกปราณไว้แต่เริ่มต้นเลยทีเดียว

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พระอาจารย์พยับ ปญฺญาธโร วันที่ตอบ 2007-05-05 08:29:15


ความคิดเห็นที่ 4 (598095)

ประสบการณ์4

เรื่องเจตภูติ เป็นเรื่องที่มีเหตุผลอยู่  แต่อยู่บนพื้นฐานของกรรมฐานหลายอย่างที่ต้องสัมพันธ์กัน  ตามที่บอกไว้ตอนที่แล้ว(ประสบการณ์3) 

และนอกจากนั้นยังต้องมีพื้นฐานสำคัญอีกอย่างหนึ่ง  คือมรรคผล  ถ้ามีมรรคผลแม้เพียงระดับล่างที่สุดคือโสดาปัตติมรรคก็ตาม  จะทำให้ง่ายขึ้น   เพราะมรรคผลเป็นต้นเหตุของจิตว่าง จิตสะอาด 

เรื่องนี้ค่อนข้างสูง   ที่ท่านได้พบ มีประสบการณ์นี้ย่อมบอกไปถึงว่าอย่างน้อยท่านก็คงได้ปฏิบัติแนวไตรสิกขามาพอสมควร

ควรจะตั้งใจปฏิบัติต่อไปในแนวไตรสิกขา  และให้เพิ่มหรือเพ่งพิจารณากรรมฐานเบื้องต้นให้หนักไปอีกสักหน่อย  คือ  สมถกรรมฐาน

ในชีวิตประจำวันจะหมายถึงรูปธรรมคือ  การปลีกตัวไปจากหมู่ ถือสันโดษมากขึ้น เพ่งเล็งความประหยัด มักน้อย  พูดน้อย ลงไป    แล้วหมั่นเจริญวิปัสสนากรรมฐานเบื้องต้น  เพื่อให้ได้มรรคผลเบื้องต้นเสียก่อน

นั่นคือ  เมื่อได้สมถกรรมฐานมั่นคงแล้ว ให้เพ่งพิจารณาไตรลักษณ์ คือ ชีวิต เกิด แก่  เจ็บ ตาย  เห็นความเป็นธรรมดาสิ่งนี้  เห็นความเป็นธรรมดาของไตรลักษณ์  คือทุกขํ  อนิจจํ  อนตฺตา

ก็จะสำเร็จเป็นพระโสดาบัน

จากนี้งานฝึกทาง ฌาน และ กสิณ จะง่ายขึ้น

การไปสู่เจภูติ ก็จะปรากฎเป็นจริงง่ายขึ้น

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พระอาจารย์พยับ ปญฺญาธโร วันที่ตอบ 2007-05-06 09:01:41


ความคิดเห็นที่ 5 (598631)

ประสบการณ์5  

โปรดอ่านกระทู้ที่2  ฌานคืออะไร  ของนิรนาม ประกอบเรื่องราวนี้  เพราะเป็นเรื่องสำคัญ 

ผู้แสดงความคิดเห็น พระอาจารย์พยับ ปญฺญาธโร วันที่ตอบ 2007-05-06 19:48:05


ความคิดเห็นที่ 6 (601920)

กราบนมัสการพระอาจารย์

ที่พระอาจารย์ได้ถามผมกลับนั้น ผมขอตอบว่าผมฝึกวิปัสสนาภาวนาในแนวสมถยานิกกรรมฐานอยู่ครับ คือทำสมาธิให้ได้ก่อน แล้วมีสติสัมปชัญญะรู้อยู่กับสภาวะปัจจุบันครับ ดูความเกิด ดับของรูปนามที่ปรากฏอยู่เรื่อยๆ ในระหว่างนั่งสมาธิครับ ผมเพิ่งจะทำได้ตอนวันที่ 1 วันแรงงานที่ผ่านมานี้เอง ก่อนหน้านี้ทำได้แค่สมถอย่างเดียวครับ หรือไม่ก็เจริญสติปัฏฐาน 4 ตามรูปแบบของทางวัดมหาธาตุฯ เพราะเคยไปขึ้นกรรมฐานมาแต่รับมาทำที่ห้องพักไม่ได้อยู่วัดเพื่อฝึกและสอบอารมณ์เหมือนกับคนอื่นๆเขาครับ   เป้าหมายของกระผมคงต้องมีทั้งวิปัสสนาญาณและมหาสติอย่างที่พระอาจารย์ได้แนะไว้ครับ เพราะชีวิตนี้ขอเป็นชาติสุดท้ายหรือไม่ก็ท้ายๆ เพราะรู้ซึ้งมานานแล้วครับ(ประมาณ 3 -4 ปีทีแล้ว) ว่าชีวิต กาย ใจ นี้ ไม่เที่ยง เป็นของชั่วคราว ไม่ถาวรอะไร เป็นไปตามความปรารถนาไม่ได้ บังคับควบคุมไม่ได้ เคยเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายสุดๆ เกิดเมตตาไม่มีประมาณอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วอยากออกบวชมาครั้งหนึ่งแล้วครับ แต่ด้วยภาระหน้าที่ทางครอบครัวคือ การเลี้ยงคุณแม่ คุณยาย ที่อายุมากและบางครั้งก็ป่วยถ้าเราไม่ดูแลก็ลำบาก ญาติเองก็พึ่งได้ไม่ตลอด ผมถือว่าท่านทั้งสองมีพระคุณอันยิ่งต่อกระผม และตลอดชีวิตของท่านอบายมุขไม่มีมากล้ำกลายครอบครัวเลย เป็นอานิสงน์ ที่กระผมพลอยได้รับไปด้วยจนถึงทุกวันนี้ มีอยู่อย่างเดียวที่ผมพยายามทำคือ ให้ท่านได้ฟังธรรม ปฏิบัติธรรมบ้างเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณ นอกจากการปรนนิบัติ เลี้ยงดู

ทุกวันนี้ผมก็พยายามให้ทานบ้างตามกำลัง รักษาศีล5 ให้ดี และเจริญวิปัสสนาภาวนาอยู่เรื่อยๆ ครับไม่เบื่อเลย และคงไม่ทิ้งเพราะทิ้งแล้วก็จะกลับมาทุกข์หนักอีก

แต่สิ่งที่ต้องพัฒนาต่อไปคือ การทำสมาธิให้ได้ทุกระดับถ้าเป็นไปได้ อยากพบพระอาจารย์หรือท่านผู้รู้ทางสมถ สามารถเข้าออกได้เป็นวสี และสอบอารมณ์ได้ช่วยแนะนำ เพราะเกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งทีก็อยากพิสูจน์สัจจธรรมอันไพบูลย์ที่พระพุทธองค์ได้สั่งสอนไว้ครับ คงต้องรอวันที่ลางานได้ยาวๆครับแล้วไปหาฝึกจริงๆ จังซะทีครับ

พระอาจารย์ได้ตอบแนะนำตอนท้าย ในความคิดเห็นที่ 6 ได้ตรงใจผมมากเลยครับเป็นสิ่งที่ผมต้องการเดินในแนวนี้อยู่พอดีครับ

ด้วยจิตที่คารวะยิ่ง

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คนรักธรรมะ วันที่ตอบ 2007-05-09 10:56:10


ความคิดเห็นที่ 7 (624673)

ประสบการณ์6

เรื่องประสพการณ์ทางจิตนี้ยังไม่จบ เพราะเป้นเรื่องใหญ่มาก และกว้างขวางที่ครอบคลุมเนื้อหา สากล   มากไปกว่าที่มีกล่าวไว้ในหลักธรรมะของพระพุทธศาสนา

เราจะต้องทำความเข้าใจนิยามของศัพท์แต่ละศัพท์  คำแต่ละคำ  ให้เข้าใจเป็นการสากลก่อน

เช่นเรื่อง ฌาน  เราต้องเข้าใจก่อนว่า  ความหมายโดยรวมหมายถึงอะไร 

เมื่อเข้าใจนิยามสากลแล้ว  ก็จะค่อยเข้าใจง่ายขึ้น  ไม่หลงยึดติดในตำราอย่างเดียว

พระพุทธองค์ตรัสว่า  อย่าเชื่อตำรา 

นั่นคือ  ให้เข้าใจอย่างเป็นสากลเสียก่อน

อย่างเช่นคำว่า ฌาน  ไม่พึงปักใจว่า  มีอยู่เฉพาะในหลักธรรมของพระพุทธศาสนาเท่านั้น

ฌาน  โดยนิยามสากลว่า ฌาน นั้น  มีอยู่มากมายหลายชนิดเลยทีเดียว

ไม่ใช่มีเพียง รูปฌาน อรูปฌาน  ตามที่เรารู้ ๆ กันจากตำรา  แต่มีอีกมากมายหลายชนิดเลยทีเดียว  แต่เราจะต้องเข้าใจความหมาย หรือนิยามศัพท์สากลเสียก่อน จึงจะแยกได้  

ฉะนั้นจะต้องเรียนธรรมฝ่ายปฏิบัติด้วยความเข้าใจ  ไม่ใช่ด้วยการจดจำและยึดมั่นถือมั่นในตำรา 

นี่น่าเป็นทฤษฎีบทที่ 1 ว่าด้วยธรรมปฏิบัติ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พระอาจารย์พยับ ปญฺญาธโร วันที่ตอบ 2007-05-24 15:56:22


ความคิดเห็นที่ 8 (1348294)

เราเคยฝึกปฏิบัติกรรมฐานอย่างเข้มข้นเอาเป็นเอาตาย การเกิด

นิมิตรต่างๆควรเห็นเป็นเรื่องธรรมดาๆ เกิดแล้วก็ดับไป มีสติอยู่กับตัว  อย่าไปตื่นเต้นยึดมั่นถืออมั่นว่าเป็นของวิเศษ เพราะความคิดจะหลอกเอาได้ว่าเป็นการบรรลุมรรคผล  คนที่วิปลาสเพราะเหตุนี้แหละ

ผู้แสดงความคิดเห็น นิรนาม วันที่ตอบ 2008-08-31 00:51:59


ความคิดเห็นที่ 9 (1971086)

 

เรื่องที่คนนักปฏิบัติธรรมมักจะพูดกันไปแล้วหาข้อยุติไม่ได้ ก็คือเรื่องนิมิตรนี่แหละ  บางคนก็ว่าดี  บางคนก็ว่าไม่ดี อย่าไปให้ความสำคัญ   

ที่จริงแล้วเรามั่นใจหรือเปล่าว่าเราเห็นนิมิตรในขณะนั่งสมาธิอยู่  และเคยวิเคราะห์ดูหรือไม่ว่านิมิตรที่ว่านี้มันมีรูปร่างลักษณะอย่างไร  คือรูปธรรมที่คุณเห็นแล้วคุณบอกว่านั่นแหละนิมิตรนั้น มันเป็นอย่างไร 

ถ้าอธิบายตรงนี้ไม่ได้แล้วก็ควรจะอยู่เฉย ๆ จะดีกว่า

 

มันมีปรากฎการณ์อย่างหนึ่งซึ่งในที่นี้จะไม่ขอเรียกว่านิมิตร  แต่เรียกว่าภาพที่ปรากฎมาเหมือนภาพยนต์   และบอกเรื่องราวต่าง ๆ อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง   มันเกิดขึ้นจากการนั่งสมาธิ  ในระดับที่ลิ่วลอยลม   คือสมาธิที่สบาย เบา  เสมือนเราเป็นปุยนุ่น  ล่องลอยไปดั่งเมฆ ไร้ตัวตน (อัปนาสมาธิ)   และภาพที่ปรากฎมานั้นบอกเรื่องราวในอดีตของเรา   นี่คือการระลึกชาติ

โปรดอ่านเรื่องราวของการทดลองปฏิบัติธรรมเพื่อการระลึกชาติใน ศึกษาโลกลี้ลับซี  ของเวบไซต์นี่แหละ  ปฏิบัติเป็นวิทยาศาสตร์   ทำเมื่อใดก็ระลึกชาติได้เมื่อนั้น   เลยไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไร

ถ้าการนั่งสมาธิไปแล้วเกิดนิมิตร ก็น่าจะลองฝึกต่อไปให้นิมิตรนั้นเป็นเรื่องราวจริง ๆ  เป็นภาพจริง ๆ ที่ชัดเจน  

คราวแรก ๆ ต้องฝึกเข้าถึงอัปนาสมาธิก่อน  แล้วฝึกต่อไปในอัปนาสมาธิบ่อย ๆ จนชำนาญ   แล้วจังหวะหนึ่งภาพในอดีตจะปรากฎขึ้นให้เห็นต่อหน้า  ฉายออกมาเหมือนภาพยนต์เป็นเรื่องเป็นราวเลยล่ะ   แล้วจะสิ้นสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนิมิตร  และสมาธิ   แต่อย่าเพิ่งเข้าใจว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับมรรคผล หรือคิดว่าบรรลุมรรคผล นะ    นี่เป็นเรื่องของสมาธิอยู่    มรรคผลเป็นเรื่องของ วิปัสสนาญาณ    แต่ได้สมาธิระดับระลึกชาตินี้แล้วก็ใกล้มรรคผลล่ะ  วิปัสสนาญาณก็เกิดเพราะสมาธิระดับลิ่วลอยลมนี่แหละ เหมือนกัน     ถือว่าเป็นการทดสอบสมรรถภาพของสมาธิของเรา    คือดีกว่านั่งไปแล้วไม่เห็นอะไรเลย

มีอะไรมาบ้างนั่นแหละดี  เพียงแต่เราต้องรู้พิจารณา  รู้วิจัยดูโดยเที่ยงธรรม  เพื่อให้รู้ว่ามันคืออะไร มีประโยชน์หรือโทษอย่างไร

 

เรื่องที่รายงานให้ทราบนี้ เป็นเรื่องสำคัญนะ  รายงานจากผลการปฏิบัติที่พิศูจน์ได้จริง  และอาจจะพิศูจน์เพิ่มเติมอีกเมื่อไรก็ได้   คืออยากจะระลึกชาติเมื่อใดก็ทำได้   ไม่ใช่การบังเอิญ  แต่มีหลักการแบบวิทยาศาสตร์

โปรดติดตามใน  ศึกษาโลกลี้ลับ  ในเวบไซต์นี้

 

 

 

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น Admin (newworld_believe-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2009-08-11 20:11:31



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.