ในความเป็นจริงพวกทรงเจ้าในไทย ก็ไม่เคยปฏิเสธว่า พระพุทธเจ้าเป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย  เทพเจ้าทุก ๆ องค์ เจ้าทุก ๆ องค์ก็น้อมคารวะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสงฆ์  ส่วนคำพูดที่ว่าทรงขอร้องให้เทวดารักษาพระพุทธศาสนาไป1250ปี ให้ภูตผีปีศาจรักษาไปอีก1250อันเป็นช่วงสุดท้ายนั้น ไม่เคยได้ยินว่ามีการอ้างอิงของฝ่ายเถรวาท  และไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ว่าให้ภูติผีปีศาจช่วยรักษาในช่วง1250ปีสุดท้ายเพราะภูติผีปีศาจไม่อาจจะรู้ธรรมได้ อย่างไรก็ตามเรื่องเช่นนี้ไม่ควรถือเอาจริงจังมากนัก  เป็นเรื่องของคนกลุ่มหนึ่งหมู่หนึ่งที่มีคติต่างไปจากเรา กระนั้นพวกเขาก็มีความศรัทธาเลื่อมใสและเป็นห่วงพระพุทธศาสนา  ในความเป็นจริงพระพุทธศาสนาจะเจริญหรือเสื่อมขึ้นอยู่กับแก่นธรรมมีผู้เข้าถึงอยู่มากเพียงใดหรือไม่ อริยมรรคอริยผลยังมีปรากฎอยู่หรือไม่

และในความเป็นจริงพระพุทธศาสนาไม่มีการเสื่อมลง เพราะความเป็นธรรมชาติ  ทุกวันนี้ศาสนาพุทธก็มิได้เสื่อมลง เพียงแต่คนมอง ๆ ไม่ตรงกัน ไม่เข้าใจแก่นธรรมของพระพุทธศาสนาและไม่เข้าใจนิยามว่าเจริญ นิยามว่าเสื่อมอย่างไร  สิ่งที่เจริญหรือเสื่อมนั้นคือ รูปธรรมเท่านั้น  ส่วนนามธรรมส่วนที่เป็นธรรมชาติแห่งมรรคผลมิได้เสื่อมลงไป  ยังคงรอผู้สนใจพอใจจะเข้ามาใฝ่แสวงหา ชิมลิ้มรสอยู่ตลอดกาล จึงเรียกว่า อกาลิโก  เพียงแต่ยุคสมัยใดมีคนสนใจ ใฝ่ใจมากก็ได้ประโยชน์แก่ตนมาก  ยุคใดสมัยใดคนสนใจน้อยใฝ่ใจก็ได้ประโยชน์แก่ตนน้อยเท่านั้นเอง 

การมองศาสนาเปรียบเทียบ โดยเปรียบเทียบบนมาตรฐานที่ไม่เป็นธรรม ก็อาจจะทำให้เข้าใจผิดไปได้มาก ๆ เหมือนกัน

เช่นเปรียบเทียบบนมาตรฐานของอวิชชา  เมื่อต่างก็อยู่ใต้อวิชชาด้วยกันทั้งนั้นแล้วเอามาเปรียบเทียบกัน  ก็ไม่อาจจะเห็นความจริงได้  นั่นคือโลกมีศาสนาแห่งอวิชชาอยู่ทั้งสิ้น(ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งวิชชาเพียงศาสนาเดียวเท่านั้น) และเมื่อเป็นอวิชชาอยู่แล้ว  จะบ่งถึงความเจริญหาได้ไม่  ย่อมมีแต่ความเสื่อมลงสถานเดียว 

ทุกวันนี้มักเอาจำนวนคนผู้นับถือศาสนานั้น ๆ มาอ้างอย่างไม่ถูกต้อง  เช่นอ้างว่าฮินดูมีมากทั่วโลก  อิสลามมีมากเป็นที่3 คริสต์มีมากเป็นที่ 1  การอ้างอย่างนี้นับว่าไม่ถูกต้อง  สำหรับคริสต์และอิสลามนั้น  เป็นศาสนาที่มีแต่ชื่อ ในความเป็นจริงขาดยูนิตี้ (เอกภาพ)จนไม่รู้ใครเป็นใคร เพราะพวกเขาที่ได้ชื่อว่าคริสต์ก็ฆ่าฟันทำสงครามศาสนาด้วยกันเอง อิสลามก็ทำสงครามศาสนาฆ่าฟันกันเอง  และทั้งคริสต์-อิสลามก็ฆ่าฟันกันไปไม่หยุด  แล้วมานับจำนวนรวมกัน เช่นนี้ถือว่า เปรียบเทียบ บนมาตรฐานแห่งอวิชชาแท้ ๆ   ส่วนฮินดูนั้นแท้จริงไม่ใช่ศาสนา  และแท้จริงฮินดูคือสภาพปกติของคนทั้งหลาย คือสภาพของความงมงาย เขลา และหวาดกลัว  นี้เป็นคุณสมบัติธรรมดาของคนทั้งปวง  และคนงมงาย เขลา และหวาดกลัวพวกนี้ก็ประพฤติตนไปอย่างเขลา ด้วยอวิชชา เช่นนั้น  เช่นที่เป็นพิธีกรรมงมงายไปต่าง ๆ อย่างที่ฮินดูพาทำไปอยู่   จึงไม่ถือเป็นศาสนา แต่ถือเป็น อวิชชา   ฉะนั้นมนุษย์ทั้งหลายผู้บูชา เชื่อถืออย่างงมงาย อย่างโง่เขลาจึงไม่ชื่อว่ามีศาสนาอะไร  ต่อ เมื่อไรมนุษย์มาสู่วิชชา  มาสู่ศาสนาที่มีวิชชา จึงจะได้ชื่อว่ามนุษย์มีศาสนา  ในความเป็นจริง ต่อเมื่อมนุษย์รู้จักพระพุทธศาสนา มนุษย์จึงจะได้ชื่อว่ามีศาสนา  

ธรรมสามี 16 ต.ค.2549

ได้อ่านคำตอบอย่างถี่ถ้วนแล้ว ขอชื่นชมในคำตอบอันเฉียบคมของท่าน  เพราะเราคนหนึ่งแหละที่ไม่เชื่ออวิชชาเพราะมองไม่เห็นว่าจะทำให้เกิดทางสว่างแต่อย่างใด ลัทธิคนทรงเจ้ามักโฆษณาชวนเชื่อว่ามนุษย์ผู้มีเทพมาใช้ร่างเป็นผู้มีบุญบารมีมากและคนจำนวนไม่น้อยก็หลงเชื่อ แม้กระทั่งคนมีการศึกษาดีเป็น หมอ พยาบาล ข้าราชการ  น่าจะมีการอธิบายเรื่องนี้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ให้แพร่หลายเพื่อให้เป็นหลักวิชาการ  ที่สามารถหักล้างอวิชชา 

กระทู้ปัญหาเรื่อง  ฌาน คืออะไร  ตั้งขึ้ยโดย นิรนาม  นี้  ได้มีการตอบกระทู้มาก่อนนี้ถึง 7 ความคิดเห็นแล้ว  แต่ทางเราได้ตัดไปไว้ในรายการ  ศึกษาโลกลี้ลับ 9 

หากท่านสนใจเรื่อง ฌาน จริง ๆ โปรดติดตามไปใน ศึกษาโลกลี้ลับ 9 ดังกล่าว  และรวมทั้งข้อเขียนรายงานการค้นพบใหม่ ๆ ความรู้ใหม่ ๆ ที่เป็นวิทยาศาสตร์แห่งฌานได้จาก ศึกษาโลกลี้ลับ10-11-12-13 ตามลำดับ และควรอ่านเรื่องราวทั้งหมดของเวบไซท์นี้ด้วย  แล้วท่านจะทำความเข้าใจเรื่องฌานได้ดีขึ้นจนสามารถฝึกสร้างฌานขึ้นได้ด้วยตนเอง

เรื่องฌานนี้เป็นเรื่องสุดยอดในศาสนา และหมายถึงปฐมเหตุแห่งอภิญญาโดยตรง  โปรดติดตามศึกษาต่อไปพร้อม ๆ กับเรา

เราขอให้ท่านผู้สนใจเรื่อง ฌาน เริ่มทำความเข้าใจ  จากบทสรุปของการปฏิบัติทดสอบมา จนเชื่อได้ว่า เป็นรูปเป็นร่างของ วิชาการขึ้นมาจริง ๆ ในเรื่องของฌานนี้  เราขอให้ท่านเริ่มจาก  ศึกษาโลกลี้ลับ 11  คลิกที่นี่ไปได้เลยครับ  นี่คือ สิ่งที่เป็นคำอธิบายจริง ๆ เป็นฌานที่ทดสอบได้จริงครับ   ส่วนคำอธิบายก่อนหน้านี้  ยังไม่ผ่านการทดสอบครับ  ขอให้มาทบทวนจากตรงนี้ เป็นต้นไป