ส.ค.ส. 2561
โอวาทธรรมในเรือนจำจังหวัดศรีสะเกษ
28 ธ.ค. 2560
ขอเจริญพร ท่านผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดศรีสะเกษ วันนี้ทางเรือนจำจังหวัดศรีสะเกษ ได้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์จำนวน 7 รูปมาจากวัดมหาพุทธารามพระอารามหลวง มาที่เรือนจำจังหวัดศรีสะเกษ ทั้งนี้โดยประสงค์การบุญกุศลเบื้องต้น ก็ตามหลักมงคลสูตรข้อหนึ่ง ที่ว่า ด้วยการได้พบเห็นสมณะนั้น เป็นมงคลอันสูงสุดข้อหนึ่ง คือข้อที่ 29: "สมณานญฺจ ทสฺสนํ" การได้เห็นสมณะ
ได้แก่การได้เห็นด้วยตาได้สัมผัสรูปร่าง หน้าตา การนุ่งห่มของท่าน เห็นผ้ากาสายะของท่านนุ่งห่มเท่านั้นก็นับว่าเป็นมงคลสูงสุดของชีวิตข้อหนึ่งในมงคล 38 ข้อแล้ว ซึ่งพวกท่านทั้งหลายในที่นี้ โดยปกติวิถีทางชีวิตพวกเรานั้น ไม่ค่อยจะได้เห็นอะไรภายนอกกำแพงเรือนจำ ที่อยู่อาศัยของพวกเรา การได้พบเห็นสมณะ ก็ยากที่จะได้พบเห็น ในวันนี้ การที่ได้พบเห็นสมณะ จึงถือเป็นมงคลแก่ชีวิตอย่างหนึ่งจริง ๆ
และที่เป็นประเพณีของเรือนจำจังหวัดศรีสะเกษ ทุกปี ๆ มาก็คือการจัดให้ท่านทั้งหลาย ทั้งฝ่ายผู้ปกครอง ผู้ดูแลบริหารเรือนจำ นำโดยท่านผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดศรีสะเกษ ไปจนถึงท่านทั้งหลายที่เป็นเจ้าหน้าที่หรือผู้คุม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เปิดโอกาสให้ท่านทั้งหลายผู้ที่ได้ชื่อว่า ผู้ต้องขัง หรือ คำพูดที่แรงไปกว่านั้นหน่อยว่า ผู้ต้องโทษ หรือ นักโทษ ซึ่งในปีนี้ทราบจากท่านเจ้าหน้าที่มาก่อนแล้วว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นไปถึง 1,500 คนไปแล้ว ได้มีโอกาสทำบุญประจำปี นั่นคือ การจัดงานส่งท้ายปีเก่า พุทธศักราช 2560 ต้อนรับปีใหม่ พุทธศักราช 2561 ขึ้นที่เรือนจำแห่งนี้ และได้นิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพุทธูมนต์ ในพิธีทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน เหมือนเช่นที่เคยทำมาทุก ๆ ปี และบัดนี้ท่านทั้งหลายก็ได้ทำบุญสังฆทาน ตักบาตรไปแล้ว ในลำดับต่อไปก็เป็น วาระที่ทางฝ่ายสงฆ์จะได้ให้คำอนุโมทนา หรือแท้จริงก็คือคำขอบคุณ ขอบใจ ที่พวกท่านทั้งหลายได้ทำการมอบ ให้ทานมาแล้วซึ่งภัตตาหาร ข้าวสาร อาหารแห้ง จากพวกท่านทั้งหลายนับ พัน ๆ คน จนได้อาหารมากมายหลายกระสอบ อาตมภาพในฐานะประธานของหมู่สงฆ์ ก็จะขออำนวยพร แต่ก่อนการอำนวยพรตามหลักการบาลี ที่เป็นวัฒนธรรมสงฆ์โดยปกตินั้น ก็จะขอให้สัมโมทนียกถาธรรม 2 เรื่องก่อน
เรื่องที่ 1 เรื่องข้าวของที่ท่านทั้งหลายร่วมกันทำบุญได้หลายกระสอบนั้น ทางฝ่ายสงฆ์วัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวงนี้ จะขอมอบให้ทางเรือนจำจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อท่านจะได้นำไปช่วยแจกจ่าย ช่วยเหลืออุปการะแด่ประชาชนผู้ที่ประสบความเดือดร้อน หรือแม้กระทั่งพวกเราเอง ซึ่งเป็นผู้ต้องขัง ต้องโทษอยู่ที่เรือนจำนี้เองก็ตาม ตามแต่ทางท่านผู้บัญชาการเรือนจำท่านจะได้พิจารณาต่อไปซึ่งทางฝ่ายสงฆ์ก็จะมีความสุขใจ ชื่นชมยินดีตามไปด้วย
และอีกข้อหนึ่ง เป็นข้อที่ 2 ก็จะขอให้ข้อคิดเตือนใจโดยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงสอนเอาไว้ ซึ่งอาตมภาพอยากจะขอเตือนพวกเราทั้งหลายในที่นี้ ในที่ประชุมเรือนจำนี้ ว่า พวกเราในที่นี้ ไม่ว่าใครก็ตาม ตั้งแต่ท่านผู้บัญชาการเรือนจำ ท่านเจ้าหน้าที่ระดับผู้ใหญ่ หัวหน้า ผู้บังคับบัญชาควบคุม ลงมาจนนถึงพวกท่านทั้งหลายผู้ได้ชื่อว่า ผู้ต้องขัง หรือผู้ต้องโทษ หรือแม้คำแรง ๆ ว่า นักโทษร่วม 1500 คนในที่นี้ โดยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ว พวกเราทั้งหลาย ไม่ว่าใครก็ตาม ชื่อว่าอะไรก็ตาม ไม่ว่าท่านผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งในวันนี้ท่านก็อยู่ในฐานะผู้ตรวจราชการเรือนจำภาคอีสานนี้ด้วย ผู้คุม หรือเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าผู้ต้องขัง ผู้ต้องโทษ หรือ นักโทษ ก็ตาม มีความเสมอภาคกันหมดในเรื่องหนึ่ง ตามธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นคือ พวกเราทั้งหมดเสมอกันในฐานะของความเป็นทาส มีความเป็นทาสเหมือนกันหมดทุกคน ไม่แตกต่างเลย ถูกบังคับ กดขี่ บังคับบัญชาจากผู้เป็นนายทาสเหมือน ๆ กันหมด เสมอกันหมด ไม่มีใครหลีกพ้นไปได้ นี่คือสิ่งที่พวกเรายังมองไม่เห็น จึงขอบอกว่านายทาสของเราทั้งหลายตามหลักธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่านั้นมีอยู่ 3 นาย ที่มีอำนาจเหนือเรา ที่บังคับกดขี่เราทุกคนอยู่ตลอดไปตราบมีชีวิต ตลอดชีวิตนี้ นายทาสทั้ง 3 นายก็คือ 1. อนิจจัง 2. ทุกขัง และ 3. อนัตตา ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเตือนสาวกของพระองค์ให้ศึกษา พิจารณาติดตาม ความเคลื่อนไหวของนายทาส ดูให้เห็น ให้รู้ความจริง ในเรื่อง 3 เรื่อง ตามที่ทรงตรัสว่า
สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารไม่เที่ยงหนอ
สัพเพ สังขารา ทุกขา สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์หนอ
สัพเพธรรมา อนัตตา ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
ซึ่งธรรม 3 หมวด 3 ข้อนี้ พุทธองค์ทรงสอนปัญจวัคคีย์เป็นเรื่องแรก นั่นคือ ธัมมจักกัปปวัตนะสูตร นั่นเอง เป็นผลให้รู้แจ้ง มองเห็นนายทาสทั้ง 3 ได้ชัดเจน จึงได้สำเร็จโสดาบันกันทั้งหมด พ้นไปได้จากนายทาส อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สำหร็จโสดาบันไปได้
เพราะฉะนั้น ในวันนี้ จึงขอฝากธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ให้พวกท่านทั้งหลายนำไปพิจารณา ติดตามศึกษา หรือวิปัสสนาอยู่เนือง ๆ ก็จะสามารถทำความเข้าใจได้ซึ่งนายทาสทั้ง 3 คือ อนิจจัง ว่าคืออะไร ทุกขัง ว่าคืออะไร และอนัตตา ว่าไม่มีตัวตนอย่างไร ก็จะได้บรรลุธรรมขององค์พุทธเจ้า สำเร็จโสดาบันได้
ฉะนั้น โอกาสนี้จึงขอฝากให้เป็นข้อคิดพิจารณาสำหรับท่านทุก ๆ คนในเรือนจำ ที่คุมขังผู้ต้องโทษทั้งหลาย ว่าเราเสมอกันหมดในด้านที่ว่าต่างเป็นทาสของ อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา ขอให้เอาใจใส่ศึกษา อย่าได้ทอดทิ้ง พิจารณาอยู่เนือง ๆ ไปตลอดชีวิต ให้ได้ทราบสัจธรรมว่า อนิจจัง คือความไม่เที่ยง สังขารของเราไม่อาจจะอยู่เที่ยง ตรงเหมือนเดิมได้ แต่จะมีการแปรเปลี่ยนไปตลอด ทุก ๆ เวลานาที ให้เรารู้เราเห็นทันความจริงนี้ ด้วยการหมั่นพิจารณาจากสังขารตนเองนี่เอง ทุกขัง ความเป็นทุกข์ นั่นคือชีวิตเราทุกคนเกิดมาแล้ว ก็พบแต่ปัญหาของชีวิตอยู่ตลอด ไม่ว่าใคร ทำหน้าที่อะไร ไม่เคยมีคนหนึ่งคนใดพ้นไปจากปัญหา ทุก ๆ คนเป็นทุกข์กันทั้งสิ้น เจอปัญหากันทั้งสิ้น แต่ทุกข์กันไปคนละแบบ ท่านผู้บัญชาการเรือนจำ ท่านก็มีปัญหา มีทุกข์ของท่านที่ท่านต้องแก้ไขของท่าน ท่านผู้ต้องขังก็มีทุกข์ มีปัญหาของตนไปคนละอย่าง และที่สำคัญที่เห็นง่าย ๆ ก็คือ เกิด แล้วแก่ แล้วเจ็บ แล้วก็ตายกันทุกคน ไม่มีใคร ผู้ใดหลีกพ้น พ้นอำนาจนายทาสตนนี้ไปได้ แม้กระทั่งเรื่องที่ประชาชนชาวไทยเราได้พบได้เห็นมาเมื่อคราวองค์พระบิดา พระมหากษัตริย์ ที่เรารักเคารพบูชา พระองค์ก็มิได้พ้นไปได้ ต้องจากพวกเราไปตามบัญชานายทาส ที่ชื่อว่าทุกขังนี่เอง นี่แหละทุกข์ที่เห็นกันง่าย ๆ ด้วยตาภายนอกนี่เอง ไม่มีใครพ้นไปได้ จึงบอกว่านี่แหละเจ้านาย นายทาสของเราจริง ๆ และ อนัตตา ความที่ไม่มีตัวตนหรอก ที่เราเห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู ได้กลิ่นด้วยจมูก ได้รสด้วยลิ้น ได้สัมผัสด้วยอวัยวะทางกาย และทางใจ นั้น ที่ทำเรานึกว่าเป็นตัวเป็นตนนั้น ที่จริงไม่มีตัวตนเลย ให้ศึกษาไปเถอะ จนกว่าจะรู้แจ้งความจริงนี้แล้ว จักได้เข้าสู่เส้นทางอริยมรรคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เส้นทางแห่งความสุขอันประเสริฐที่ พ้นทุกข์ทั้งปวงได้.
สำหรับเรือนนักโทษหญิง ที่หลวงพ่อมีโอกาสมาเยี่ยมเยียน ในวันปีเก่าต่อปีใหม่นี้ ก็มาแล้วได้พบล้วนผู้หญิงที่ต้องโทษอยู่ในเรือนจำหญิงแห่งนี้ ก็ขอให้ได้เข้าใจจริง ๆ ว่าพวกเรา เป็นผู้หญิง แต่สิ่งที่จะต้องมองให้เห็นความสำคัญอย่างยิ่งใหญ่นั้นก็คือ พวกเราผู้หญิงนี้ ทุกคนนั้นแหละ มีความเป็นแม่อยู่ทุกคน ทุกคนในที่นี้ จะต้องไม่ลืมตนว่า เราไม่ได้เป็นผู้หญิงธรรมดาทุกคน จะต้องเป็นแม่ ผู้ซึ่งจะมีลูกออกมา ทั้งลูกผู้หญิงและลูกผู้ชาย และเราจะต้องคิดต่อไปได้ว่าการเป็นแม่นั้น บอกถึงหน้าที่สำคัญของเรา 2อย่าง ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมศาสดาของเรา ทรงสอนไว้ นั่นคือ แม่จะต้องสอนลูกทุกคน 2 อย่างเป็นเบื้องต้น ตามที่พุทธองค์ทรงสอน สิงคาลมาณพ ตามหลักสิงคาลสูตร เรื่อง ทิศเบื้องหน้า แม่ต้องสอนลูก 2 อย่าง นั่นคือ 1. สอนไม่ให้ลูกกระทำกรรมชั่วใดใด 2. สอนให้ลูกกระทำแต่ความดี ด้วยเหตุที่เราต้องมีหน้าที่อย่างนี้ พวกเราจึงต้องเข้าใจตนเองให้ดีว่า เราไม่ได้เป็นเพียงสตรีธรรมดา แม้ว่าในวันนี้ เราจะได้เข้ามาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ และเราได้ชื่อว่า ผู้ต้องขัง หรือ ผู้ต้องโทษ หรือ นักโทษหญิงก็ตาม แต่เราก็ยังคงดำรงสถานะความเป็นแม่ อยู่ตลอดเวลาที่เราเป็นผู้หญิง ซึ่งหมายถึง หน้าที่สำคัญ คือการสอนลูก ๆ ทั้งหลายของเราผู้เป็นแม่ ใน 2 ประการเป็นเบื้องต้น นั่นคือ เราจะต้องสอนเขาให้เป็นคนดี ให้ละเว้นจากการกระทำชั่ว ฉะนั้น เมื่อเราจะต้องสอนลูก ๆ เราอย่างนี้แล้ว หากเราเอง ไม่ยอมประพฤตตนเป็นคนดี แล้วเราจะได้ชื่อว่าเป็นแม่ได้อย่างไร หลวงพ่อจึงมาเน้นให้รำลึกตนเอง รำลึกความเป็นผู้หญิง ผู้ที่จะต้องเป็นแม่ ผู้ที่มีหน้าที่ของความเป็นแม่อยู่กับตัวตลอดเวลา แล้ว เราก็จะต้องระวังตัวเองนั่นเอง มีสติรู้ตัวตนเองเสมอว่าจะสอนลูกให้เป็นคนดีได้อย่างไร หากเราไม่ทำความดี หากเราไม่ละความชั่ว ไม่ทำความดี จะสอนลูกให้ละความชั่ว ให้ทำแต่ความดีได้อย่างไร ฉะนั้น วันนี้ จึงขอฝากธรรมะเตือนใจของเรา นักโทษหญิงทั้งหลาย ว่าเรานั้นไม่ใช่หญิงธรรมดา แต่เป็นแม่ ผู้ที่มีหน้าที่สอนลูกของเราให้เป็นคนดี เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้เป็นแม่นี้เอง จะต้องทำความดี ละเว้นการกระทำชั่ว เป็นแบบอย่างแด่ลูกที่รักของเราต่อไป และโทษของเราที่รับอยู่ เมื่อเราได้มารำลึกอย่างที่อาตมภาพบอกไปถึงความเป็นแม่แล้ว ก็คงจะไดัรับการอภัยโทษและได้ออกไปสู่โลกของเรา โลกอิสรภาพได้ในไม่ช้าไม่นาน และที่สำคัญ หวังว่าจะเข้าใจหลักธรรมข้อสำคัญของความเป็นหญิง ความเป็นแม่ แล้วนำไปคิด พิจารณาตรึกตรองดูตลอดไป อย่าได้ทอดทิ้ง วันหนึ่งก็จะบรรลุความดีสูงสุด ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ตามรอยองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไปได้ ขอเจริญพร
ผจล.วัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวง
28 ธ.ค.2560