3. รัฐประหารไทยผ่านมา 3 ปี
ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยจะทำอย่างไรกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ?
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในระยะ 5 เดือนเศษ ๆ ที่ผ่านมา ได้มีอันเป็นไปไม่ปกติโดยไม่ปรากฎแด่สังคมหายเงียบไป มีแต่ข่าวการหลบหนีไปจากบ้านสี่เสา หลบไปพักอาศัยในค่ายทหารโคราชบ้าง แม้กระทั่งมีข่าวลือว่าหลบไปถึงปัตตานีบ้าง แล้ววันนี้ ที่ 15 ต.ค. 2552 ก็ปรากฏตัวออกมา และเป็นข่าวอย่างดัง กรณี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย พล.อ.เปรมปรากฏทางหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ โดยพล.อ.เปรมได้ออกวาทะสั้นเรียบว่า พล.อ.ชวลิต “อย่าทรยศต่อประเทศชาติ” ตามที่หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ วันที่ 16 ต.ค.2552 พาดหัวข่าวไปแล้ว ซึ่งก็ยังยืนยันว่า ทัศนะเช่นนี้แสดงถึงการปฏิเสธไม่ยินดีในระบอบประชาธิปไตย อันเป้นของประทานจากกษัตริย์ (พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยินยอมสละพระราชอำนาจ และคืนอธิปไตยสู่ประชาชน โดยทรงเน้นย้ำว่า ทรงมอบให้ประชาชนในส่วนรวม ไม่ทรงยินยอมมอบให้คณะบุคคลใดหนึ่งเป็นอันขาด) และที่สำคัญพล.อ.เปรมออกวาทะที่แสดงถึงความที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับระบอบการปกครองทางประชาธิปไตยเลย เพราะการเลือกพรรคการเมือง นั้นเป็นสิทธิ์ของประชาชน ผู้มีเสียงและสิทธิเท่ากันในระบอบนี้ ที่จะเลือกนโยบาย นั่นหมายถึงการเลือก พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งได้เป็นสิทธิโดยปกติอยู่แล้ว คนที่ไม่ยอมรับประชาธิปไตยเท่านั้นจึงจักเห็นว่าการเลือกพรรคการเมืองเป็นเรื่องประหลาด และยิ่งไปมอง ขนาดว่า การไปสังกัดพรรคการเมือง ซึ่งตามข้อเท็จจริงที่ว่าพล.อ.ชวลิตไปขอสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรสำหรับนายทหารอย่างพล.อ.ชวลิต หรือไกลไปจนกระทั่งเ เป็นการทรยศต่อชาติ นั้น สะท้อนไปถึงว่า เป็นทัศนะอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย เป็นตัวปัญหาของประชาธิปไตยเลยทีเดียว และบัดนี้จึงได้ยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า นี่คือศัตรูผู้ทำลายประชาธิปไตย โดยการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นั้น เป็นสิ่งที่น่าเป็นไปได้สำหรับบุคคลผู้มีทัศนะเช่นนี้ นั่นก็เน้นย้ำไปอีกว่า พล.อ.เปรม เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 อย่างแน่นอน และเมื่อคนขนาดนี้ยังไม่ยอมรับประชาธิปไตย ในยุคที่โลกหมุนไปสู่วิถีทางของประชาธิปไตยทั้งโลกแล้ว จะเป็นผู้อยู่ในฐานะการนำของชาติ ประชาชน แม้กระทั่งการชี้นำทางกองทัพได้อย่างไร ประเทศชาติจะต้องเสี่ยงขนาดไหนต่อบทบาทของบุคคลผู้มืดบอดทางภูมิปัญญาประชาธิปไตยเช่นนี้ ก็เห็นจากพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ วันนี้เอง
พล.อ.เปรม ยังมืดบอดอย่างยิ่ง ในความเข้าใจปัญหาศาสนาสากล จนกลายเป็นตัวผู้สร้างปัญหาขึ้นเองให้แก่ประเทศชาติและประชาชนในดินแดนสามจังหวัดภาคใต้ ภายหลังเอ่ยวาทะที่ร้ายแรง ออกไปในการเปิดโครงการสานใจไทยสู่ไทยใต้ รุ่นที่ 12 ในวันที่ 23เมษายน 2552
แล้ววันที่ 15 ตุลาคม 2552 ก็ได้เดินทางไปทำพิธีเปิดการอบรมโครงการสานใจไทยสู่ไทยใต้ รุ่นที่ 13 อีกรุ่นหนึ่ง ประกอบด้วย เยาวชนจากภาคใต้มาร่วมโครงการจำนวน 239 คน ได้กล่าวเปิดงานว่า “มี 2 สิ่งที่ต้องพูดทุกครั้ง คือเรื่องความเป็นไทย และความเป็นธรรม โดยความเป็นไทยอยากให้เด็กทุกคนที่นับถือศาสนาอิสลามมีความภาคภูมิใจ และหยิ่งทะนงว่าเราเป็นคนไทย เป็นเจ้าของประเทศ ส่วนความเป็นธรรม เป็นหน้าที่ของรัฐ ที่จะให้ความเป็นธรรมต่อคนในชาติ ดังนั้น เด็กจะได้รับความเป็นธรรม และเท่าเทียมกัน จะเรียกร้องความเป็นธรรมเหนือกว่ากฎหมายไม่ได้ และรัฐจะให้ความเป็นธรรมน้อยกว่า เพราะนับถือศาสนาอิสลามก็ไม่ได้ เรามีหน้าที่ดูแลชาติบ้านเมืองเหมือนกัน”(ไทยรัฐ ออนไลน์ 16 ต.ค.2552)
ซึ่งการเปิดอบรมโครงการสานใจไทยสู่ไทยใต้นี้ มีลักษณะเนื้อหาเป็นระดับนโยบายของรัฐ ซึ่งต้องอยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาลโดยตรง แต่ก็ดูประหนึ่งว่า พล.อ.เปรม กระทำไปเองอย่างมีอำนาจอิสระเฉพาะพิเศษ โดยไม่คำนึงรัฐบาล ไม่คำนึงความชอบธรรมที่ในที่สุดรัฐบาลจะต้องรับผิดชอบในผลของโครงการทุกอย่าง โดยการที่แสดงถึงการกระทำไปอย่างอิสระ ประหนึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดทางการเมืองไปเสียเอง ที่สามารถสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมารับใช้นโยบายของตนได้อย่างไร เช่นในวันนี้ การที่สร้างภาพให้ปรากฏออกไปถึงความเข้มแข็งทางทหาร โดยมีเหล่าขุนทัพทหาร คือผู้บัญชาการเหล่าทัพ เช่น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นต้นมาครบทุกเหล่า รวมทั้ง พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ องคมนตรีร่วมด้วยนั้น แสดงถึงความไม่ชอบธรรมในการดำเนินการบริหารของชาติ เพราะแสดงถึงอำนาจอันสูงสุดเหนือรัฐบาลไปอีก และผลที่ออกมาอย่างสากล น่าจะเป็นผลทางลบ มากกว่า และที่สำคัญคือการที่ไม่สอดคล้องสถานการณ์ใต้ ที่รัฐบาล ทหารควรจะต้องลดความกด ควบคุมประชาชน ท่าทีที่ไม่ไว้วางใจประชาชน ไม่เป็นมิตรประชาชน และลักษณะการใช้อำนาจเผด็จการลงไป นั่นก็เพราะสัจธรรมมีว่าที่ใดมีความกด ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้ แรงตกเท่ากับแรงกระท้อน ฉะนั้นรัฐบาลที่แล้ว ๆ มาจึงมีแต่พยายามสร้างสถานการณ์ที่เป็นมิตรอย่างจริงใจต่อประชาชนมุสลิมชาวใต้
พล.อ.เปรม ยังได้กระทำความผิดต่อประชาชนมุสลิมใต้เอาไว้อย่างยิ่งใหญ่ มากไปกว่านี้อีก นั่นก็คือได้เปิดเผยแผนลับของโครงการ สานใจไทยสู่ใจใต้ ในคราวเปิดประชุมโครงการฯรุ่นที่ 12 เมื่อ เดือนเมษายน 2552 โดยการกล่าววาทะว่า.“พระสยามเทวาธิราชคุ้มครองประเทศ
ขอให้ภูมิใจว่าทุกคนเป็นสิ่งที่เราตั้งใจว่า จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มุ่งมั่นปรารถนาดูแลชาติบ้านเมืองให้มีความรักสามัคคีสมานฉันท์นำพาประเทศเจริญก้าวหน้า ทุกคนรู้จักพระสยามเทวาธิราชหรือไม่ ท่านไม่ใช่พระแต่แต่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ ท่านประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวัง คนไทยทุกคนถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะคุ้มครองประเทศชาติให้สงบร่มเย็น พระสยามเทวาธิราชแสดงให้เห็นตลอดว่า ท่านดูแลชาติบ้านเมืองเราจริงอยากให้เราระลึกถึงพระสยามเทวาธิราชและขอให้ท่านคุ้มครองเยาวชนและชาติบ้านเมืองของเราให้สงบร่มเย็น ส่วนคนที่ไม่หวังดีต่อประเทศให้มีอันเป็นไป” (ไทยรัฐ 24 เม.ย.2552)
การที่ไปแสดงท่าทีเกลี้ยกล่อมให้ไทยมุสลิมเสื่อมความศรัทธาลงไปจากพระเจ้าองค์เดียวของพวกเขานั้น เป็นความผิด ซึ่งในกรณีศาสนาสากล จะมีความผิดอยู่ 3 ระดับ พล.อ.เปรม ได้กระทำความผิดครบถ้วนทั้ง 3 ระดับ โดยระดับที่หนึ่งคือแผนการร้ายที่คิดคดทรยศต่อพระเจ้า ระดับที่ 2 กล่าววาทะที่ทรยศนั้น และ ระดับที่ 3 การเริ่มปฏิบัติการตามแผนอันชั่วร้ายนั้น
การเปิดอบรมโครงการ สานใจไทยสู่ใจไต้ เป็นโครงการที่ได้ซ่อนแผนการร้ายต่อชาวมุสลิมไทยมานานถึง 12 รุ่นแล้ว เพิ่งมาเปิดเผยขึ้นในการอบรมรุ่นที่ 12 ในวันที่ 23 เมษายน 2552 ดังกล่าว จึงได้ทราบความลับของแผนการอบรมนี้ว่าร้ายต่อศาสนาอิสลามเลยทีเดียว และวันนี้ หมายถึง ท่าทีของกองทัพไทยทั้งกองทัพ ที่ให้การสนับสนุนแผนการชั่วร้ายนี้
ท่านทราบหรือไม่ว่าโดยกฎหมายสูงสุดของอิสลาม(คือพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน)ความผิดชั้นต้นหรือระดับที่ 1 คืออะไร? คือ แม้เพียงคนทั้งหลายเมินเฉย หรือไม่นับถือองค์อัลเลาะห์ หรือเพียงไม่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้นเอง ก็มีความผิดแล้ว คนทั้งหลายทั่วโลกใดที่ที่นับถือศาสนาอื่น โดยโองการของอัลเลาะห์สั่งว่านั่นเป็นพวกทรยศ(กาฟีร์) ทั้งสิ้น และโทษมีสถานเดียวคือ ต้องคำพิพากษาให้รับโทษทุก ๆ คนในวันสิ้นโลก ความผิดระดับที่ 2 คือ การพบภัยพิบัติ เคราะห์กรรม ความยากจนตลอดชีวิต ในขณะที่มีตัวตนบนโลกดลยามนุษย์นี้ และความผิดระดับที่ 3 คือ การลงนรกเพลิง การที่อัลเลาะห์ไม่อาจจะอภัยให้ได้เลย จะต้องทนทุกข์ทรมานไปชั่วนิรันดร พล.อ.เปรม กระทำความผิดครบทั้ง 3 ระดับต่อศาสนาอิสลาม ในรูปธรรมที่จะพึงเห็นก็คือ การเอ่ยคำชักจูงให้มุสลิมเปลี่ยนศาสนา หรือ เสื่อมความศัทธามานับถือพระเจ้าองค์อื่น ซึ่งไม่ใช่พระเจ้าองค์เดียวคืออัลเลาะห์ แล้ว ควรจะต้องจำไว้ว่า มุสลิมโลกเขาจะต้องจดจำอย่างไม่รู้ลืม จนกว่าจะได้ชำระโทษ แม้สิ้นไปจากชีพแล้ว อัลเลาะห์ก็จะให้กองทัพสวรรค์ มลาอิกะ มาจับตัวไปชำระโทษต่อหน้าอัลเลาะห์
สิ่งที่พล.อ.เปรม ทำผิดไว้อย่างยิ่งใหญ่ในประเด็นต่อไปอีกก็คือ ได้กระทำไปในนาม ประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษ ในฐานะที่เป็นประธานมูลนิธิองค์มนตรีและรัฐบุรุษ (ซึ่งหมายถึงทั้งสถาบันกษัตริย์และชาติไทยไปพร้อมกัน) โดยได้กล่าววาทะไว้ว่า ”พระสยามเทวาธิราช...ท่านประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวัง” การกล่าวถ้อยคำนี้ ทำให้เสียหายไปถึงสถาบันเบื้องสูงอย่างร้ายแรง และโดยข้อเท็จจริงอันเป็นสัจธรรม องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกรัชกาลที่ปฏิบัติต่อประชาชนชาวไทยผู้เป็นศาสนิกต่าง ๆ หลากหลายความเชื่อนั้น สถาบันกษัตริย์ไทย ไม่เคยมีดำริในการให้กระทบกระเทือนต่อความเชื่อของศาสนิกเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย มีแต่ทรงเพิ่มพูนศรัทธาในความเชื่อของพวกเขาไปยิ่ง ๆ ขึ้น ซึ่งเป็นความนึกคิดวิสัยทัศน์อันสูงส่ง (และนั่นหมายถึงวิสัยชาวพุทธอันประเสริฐสูงส่งโดยปกติอยู่แล้ว) ที่ตรงข้ามกันไปเลยกับความนึกคิดและวิสัยทัศน์ของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งหมายถึงความนึกคิดและภูมิปัญญาอยู่ในระดับที่ต่ำต้อย เขลาเบาปัญญาอย่างยิ่ง แต่วันนี้ พล.อ.เปรม ได้ทำให้คนทั้งหลายเข้าใจผิดไปถึงสถาบันด้วย จึงเป็นความผิดที่กระทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพล.อ.เปรม โดยแท้จริง เราจึงได้มีข้อเสนอไว้แล้วแต่ครั้งก่อนว่า พล.อ.เปรม ควรดำเนินการ 2 ประการ (1) หยุดบทบาทลงและทำตัวให้สูญหายไปจากโลกโดยสิ้นเชิง และ (2) ให้เปลี่ยนเป้าหมายของการอบรมเสียใหม่ โดยดำเนินการอบรมเรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตยแทน เพราะไม่ใช่ปัญหาความแตกต่างทางศาสนา หรือลัทธิ นิกายของศาสนา แต่เป็นปัญหาความเข้าใจการปกครองระบอบใหม่คือ การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน และประชาธิปไตยนั่นเองเป็นทางออกที่มีเหตุผลที่สุดของการแก้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในยุคประชาธิปไตยนี้ ซึ่งมาวันนี้แสดงถึงปัญหาที่เกิดจากคนระดับ”รัฐบุรุษ” พล.อ.เปรม ก็หาเข้าใจไม่ คนโบราณคนนี้หูไม่กระดิก เมื่อพูดถึงประชาธิปไตยเห็นได้จากวันนี้ที่ออกมาแสดงทัศนะ โดยการเตือน พล.อ.ชวลิต ว่าระวังจะเป็นการทรยศต่อชาติ นั่นเอง (แสดงถึงการไม่ยอมรับประชาธิปไตย และหรือไม่เข้าใจหลักการแม้เบื้องต้นของประชาธิปไตย ที่ว่า สิทธิในการเลือกนโยบายหรือการเลือกพรรคการเมือง เป็นสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย เป็นเรื่องที่เป็นปกติธรรมดาอย่างยิ่ง) นั่นเป็นวาทะแห่งประวัติศาสตร์ และความโง่เขลาของผู้นำระบอบอมาตยาธิปไตยไทย ยุค(ที่น่าอย่างยิ่งว่าจะเป็น)ยุคสุดท้ายที่จะต้องสิ้นชาติพันธ์ถอนรากถอนโคนไปเพราะพลังประชาชนคนเสื้อแดงที่เป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยไทยและรักประชาธิปไตยสากล
วันนี้ เราจึงยังยืนยันว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้กระทำความผิดหลายประการ ดังนี้
1. เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 และผลของการกระทำผิดพลาดครั้งนั้นก็ได้ปรากฏเป็นหลักฐานชัดเจน ภายหลังอยู่ในเวลา 3 ปีไปแล้ว คณะบริหารประเทศภายใต้บงการ พล.อ.เปรม ได้ทำลายชาติไทยลงอย่างย่อยยับ ปรากฏขึ้นในขณะนี้แล้ว รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 เป็นรัฐธรรมนูญโจร ที่เขียนกฎ กติกาของโจรขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของหมู่โจร เพราะเขียนขึ้นโดยคณะผู้ปล้นประชาธิปไตยไทยไป เป็นรัฐธรรมนูญฉบับพล.อ.เปรม โดยเฉพาะ และเป็นความผิดอย่างร้ายแรงต่อระบอบประชาธิปไตย
2. กรณีม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ทำการปิดกั้นถนนราชดำเนิน อันเป็นเส้นทางพระราชดำเนินไปประกอบพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตลอดเวลา 6 วัน ระหว่างวันที่ 14-19 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2551 โดยจักทรงเสด็จแบบขบวนพยุหยาตราทางสถลมาร์ค อันทรงพระเกียรติยศยิ่ง แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมขบวนรถพระบรมราชวงศ์ทั้งสิ้น ไม่อาจเสด็จทางถนนราชดำเนินเพราะคนกลุ่มนี้ปิดเส้นทางพระราชดำเนินอันเป็นวิถีทางแห่งกษัตริย์อยู่ ไม่ยอมเปิดเส้นทางให้ จนต้องทรงเสด็จเลี่ยงไปทางถนนลูกหลวงแทน ถนนราชดำเนิน........... พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะประธานองค์มนตรี ได้มีการประชุมองค์มนตรี หรือมีความคิดเห็นในทางที่จะปกป้องกู้เกียรติยศอันสูงส่งของสถาบันอย่างไร เหตุใดจึงไม่ปรากฏความจงรักภักดีของบุคคลหรือคณะบุคคลผู้มีหน้าที่คล้ายพันท้ายนรสิงห์ในยุคอยุธยา เลยแม้แต่น้อย .....?
3. ได้กระทำความเสียหายแด่สถาบันอย่างยิ่งใหญ่ในกรณีดำเนินโครงการสานใจไทยสู่ไทยใต้ เพราะได้ซ่อนแฝงเจตนาที่แท้จริงที่มุ่งหมายทำการเกลี้ยกล่อมเยาวชนมุสลิมให้เสื่อมศรัทธาในศาสนาเดิมของเขาโดยให้หันมานับถือพระเจ้าองค์อื่น โดยวาทะว่า...พระสยามเทวาธิราชแสดงให้เห็นตลอดว่า ท่านดูแลชาติบ้านเมืองเราจริงอยากให้เราระลึกถึงพระสยามเทวาธิราชและขอให้ท่านคุ้มครองเยาวชนและชาติบ้านเมืองของเราให้สงบร่มเย็น… ซึ่งการกระทำนี้พล.อ.เปรม ได้กระทำไปในนามของสถาบันกษัตริย์ และชาติไทยคือประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษ
4. ได้กระทำความเสียหายแด่ศาสนาสากลอย่างยิ่งใหญ่ เพราะการดำเนินโครงการสานใจไทยสู่ใจใต้ ได้ซ่อนแฝงความมุ่งหมายเร้นลึกเอาไว้ โดยมุ่งหมายเกลี้ยกล่อมให้ชนมุสลิมไทยหันไปนับถือศาสนาและพระเจ้าองค์อื่น ซึ่งเป็นการทรยศอย่างยิ่งใหญ่ มีความผิดอย่างร้ายแรงต่อศาสนาอิสลาม (สำหรับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มีความผิดถึงระดับฉกรรจ์ 3 ระดับคือต้องรับโทษทั้งโลกนี้และโลกหน้า) และโดยนัยเดียวกันย่อมสร้างความระแวงแด่ศาสนิกผู้นับถือศาสนาอื่น มีคริสต์ ซิกส์ เป็นต้น การไปบังคับคนทั้งหลายที่มีความเชื่อทางศาสนาที่แตกต่าง ให้มาเชื่อแบบเดียวกับเรา อย่างที่พล.อ.เปรม มุ่งหมายกระทำ นั้น เป็นสิ่งที่เป็นภัย และไร้เหตุผลอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่น่าละอายใจจริง และนี่เป็นการทำลายความสามัคคีครั้งยิ่งใหญ่ของคนในชาติ
5. ได้กระทำความผิดอย่างอื่น อีกหลายประการจนยากจะบันทึกได้หมดสิ้น เช่น การแทรกแซง ก้าวก่ายหน้าที่ ของสถาบัน นับแต่ก้าวก่ายแทรกแซงสถาบันรัฐบาล นิติบัญญัติ ไปถึงศาล ส่งผลให้เกิดความไม่เป้นธรรมที่ทำลายมาตรฐานการบริหาร มาตรฐานการนิติบัญญัติ และมาตรฐานความยุติธรรม ของประเทศนี้ อันเป็นต้นเหตุสำคัญของการแตกสามัคคีธรรมของคนในชาติครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งที่ล่อแหลมต่อความทำลายชาติ เท่าที่เคยมีมา
จึงน่าถามว่าประชาชนไทยจะลงโทษอย่างไรกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ผู้อยู่ในตำแหน่ง ประธานองค์มนตรี และรัฐบุรุษ? และตำแหน่งประชาชนไทยควรสำหรับบุคคลนี้หรือไม่? และโทษานุโทษควรฉกรรจ์ขนาดใด?
- อรบุศป์ ละอองธรรม
สุไหงปาดี ชินะกุล
17 ต.ค.2552