สีชมพูสะพรั่งทั้งแผ่นดิน ความสุขในหลวง เกิดด้วยบ้านเมืองปกติ
รัฐบาลน้อมนําพระราชดำรัส เป็นแนวปฏิบัติของทุกฝ่าย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก มหาสมาคม เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2552 ทรงมีพระราชดำรัส ชาติจะเจริญได้ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มที่ สุจริตจริงใจ เห็นแก่ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น และเข้าใจในหน้าที่ของตนให้กระจ่าง ขณะเดียวกัน พสกนิกรรวมใจใส่เสื้อสีชมพูรอเฝ้ารับเสด็จเนืองแน่นเส้นทางเสด็จฯ พร้อมแซ่ซ้อง "ทรงพระเจริญ" ดังกึกก้องตลอดเส้นทางเสด็จฯ บางรายถึงกับร่ำไห้ด้วยความปีติที่เห็นในหลวงทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง ด้านนายกฯน้อมรับทันควัน จะนำพระราชดำรัสไปปฏิบัติ โดยกำชับ ครม.ให้ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
วันที่พสกนิกรชาวไทยทั่วหล้าต่างปลาบปลื้มปีติที่ได้เห็นองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ ผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชน เสด็จฯทรงประกอบพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 82 พรรษา 5 ธันวาคม 2552 โดยเสด็จฯ ออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย
สองฝั่งทางเสด็จฯคึกคักแต่เช้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ก่อนฟ้าสางวันที่ 5 ธ.ค. บรรยากาศสองฟากฝั่งถนนตั้งแต่แยกศิริราช ถนนอรุณอมรินทร์ ถนนบรมราชชนนี ถนนราชดำเนินใน ถนนหน้า พระลาน หน้าประตูวิเศษไชยศรี คึกคักไปด้วยเหล่าประชาชนผู้จงรักภักดี ที่พร้อมใจสวมเสื้อสีชมพู เดินทางมาปักหลักจับจองพื้นที่เฝ้ารอรับเสด็จกันเนืองแน่น ทั้งนี้ในช่วงสายแม้สภาพอากาศจะร้อนอบอ้าว พสกนิกรต่างไม่ย่อท้อ ต่างนำร่มกันแดดและน้ำดื่มมาดับกระหาย เพื่อหวังได้มีโอกาสถวายพระพร และชื่นชมพระบารมีในหลวงอย่างใกล้ชิดสักครั้ง ในโอกาสวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจ อปพร. เทศกิจ ที่คอยอำนวยความสะดวกด้านการจราจร และดูแลปฐมพยาบาลผู้มารับเสด็จอย่างใกล้ชิด พร้อมนำธงชาติไทย และธงเหลืองประดับพระปรมาภิไธยย่อ ภปร.มาแจกเพื่อให้ทุกคนได้ร่วมแสดงความจงรักภักดีอย่างเต็มที่
แจกหนังสือการใช้ชีวิตพอเพียง
กระทั่งเวลา 05.00 น. สำนักพระราชวังได้เปิดประตูวิเศษไชยศรี พระบรมมหาราชวังให้ประชาชนที่มายืนรอที่หน้าประตูวังได้ทยอยเข้ามาจับจองพื้นที่ปักหลักเฝ้ารอรับเสด็จ บริเวณสนามหญ้าตลอดสองฝั่งของถนนอมรวิถี ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะเสด็จพระราชดำเนินออกมหาสมาคมที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ประกอบพระราชพิธีศุภมงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 82 พรรษา 5 ธันวาคม 2552 และเวลา 07.00 น. สำนักพระราชวัง เปิดศาลาสหทัยสมาคม และตั้งเต็นท์บริเวณสนามหญ้าหน้าศาลาสหทัยสมาคม เพื่อเปิดโอกาสให้ ประชาชนร่วมลงนามถวายพระพรในหลวงเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ปรากฏว่ามีประชาชนทุกเพศทุกวัย คณะบุคคล รวมถึงข้าราชการทหารตำรวจ มาต่อแถวกันยาวเหยียด เพื่อลงนามถวายพระพรด้วยความจงรักภักดี ทั้งนี้สำนักพระราชวังได้แจกหนังสือธรรมะ ชื่อ "ถนนหนทาง" ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการใช้ชีวิตแบบพอเพียง และแผ่นพับเรื่องหลักชาวพุทธ ซึ่งเป็นข้อเขียนของพระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ.ปยุตโต ให้ประชาชนที่มาลงนามถวายพระพรด้วย
คุณยายวัย 70 มารอตั้งแต่ตีสี่
ความรู้สึกประชาชนที่เฝ้ารับเสด็จ ที่หน้าศาลาสหทัยสมาคม นางสมัย บุญประจง วัย 70 ปี ชาว จ.สมุทรปราการ กล่าวว่า เดินทางมาคอยเฝ้ารอรับเสด็จ ตั้งแต่ตี 4 ด้วยความรักพ่อหลวงมาก อยากมาถวายพระพรในหลวง วันนี้เป็นวันมหามงคล อยากให้คนในบ้านเมืองสามัคคีและหยุดการทะเลาะเบาะแว้งเพื่อพ่อหลวงของเรา ขณะที่ ด.ญ.เมธินี อุดม อายุ 11 ขวบ นักเรียนโรงเรียนคลองลาว อ.นายายอาม จ.จันทบุรี กล่าวว่า ตั้งใจมารับเสด็จ ที่พระบรมมหาราชวัง โดยมาถึงหน้าประตูวิเศษไชยศรีตั้งแต่ตี 3 ดีใจที่มีโอกาสมาเฝ้ารอรับเสด็จ เพราะถือเป็นครั้งแรกที่มีโอกาสชื่นชมพระบารมี อยากให้ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน ทุกวันนี้ก็พยายามทำดีเพื่อในหลวง ด้วยการปลูกต้นไม้ และเป็นเด็กดี ส่วนนายสุประวัติ ปัทมสูต ศิลปินอาวุโส เปิดเผยหลังลงนามถวายพระพรว่า ไม่คิดว่าปีนี้จะมีผู้คนมาร่วมถวายพระพรในหลวงมากขนาดนี้ ขนาดเดินทางมาแต่เช้า กว่าจะฝ่าคนเข้ามาได้ต้องใช้เวลานานกว่าจะได้เข้ามา
ร้อยใจใส่ชมพูพรึ่บศิริราช
ส่วนที่ลานพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ภายในโรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดวันที่ 5 ธ.ค.เช่นกัน มีประชาชนทุกหมู่เหล่าพร้อมใจกันสวมเสื้อสีชมพูมาจับจองพื้นที่เพื่อเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรอรับเสด็จ กันอย่างล้นหลาม โดยบางรายยังจับจ้องไปที่ชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และยกมือไหว้ พร้อมกล่าวคำว่าทรงพระเจริญ นอกจากนี้ ยังมีประชาชนหลายรายนอนค้างคืน เนื่องจากเกรงว่าจะพลาดโอกาสที่จะชื่นชมพระบารมี นอกจากนี้มีประชาชนนำธงชาติไทยและธงประดับตราสัญลักษณ์พระปรมาภิไธย ภปร มาแจก และร้านอี๊ดขายดอกไม้นำดอกบัวฉัตรสีชมพูมาแจกจ่ายให้ประชาชนอีกด้วย
ให้ ปชช.รับเสด็จใกล้ชิด
เวลา 08.30 น. เจ้าหน้าที่ได้เปิดให้ประชาชนเข้าไปจับจองพื้นที่บริเวณด้านข้างทางเชื่อมอาคารเฉลิมพระเกียรติ โดยประชาชนต่างพากันวิ่งกรูเข้าไปจับจองพื้นที่ที่สามารถมองเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ชัดเจนที่สุด จากนั้นคณะแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ได้ตั้งแถวอยู่บริเวณห้องโถงด้านล่าง เพื่อรอรับเสด็จ ท่ามกลางประชาชนจำนวนมาก
พระบรมวงศ์เสด็จฯเฝ้าฯ
จากนั้นตั้งแต่เวลา 09.15 น. เป็นต้นมา พระบรมวงศานุวงศ์ทยอยเสด็จฯมายังอาคารเฉลิมพระเกียรติ ประกอบด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ พร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ตามด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ และพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ เสด็จพร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี โดยทรงเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ที่ห้องประทับชั้น 16 ท่ามกลางพสกนิกรที่คอยเฝ้าฯ รับเสด็จ ต่างเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
ในหลวงทรงฉลองพระองค์เต็มยศ
เวลา 11.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์ชุดขาวจักรี โดยเสด็จพระราชดำเนินประทับบนรถเข็นไฟฟ้า โดยมี รศ.นพ.ประดิษฐ์ ปัญจวีนิล หัวหน้าสำนักงานศูนย์โรคหัวใจสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เข็นรถพระที่นั่งถวายลงจากชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ มายังห้องโถงชั้นล่าง โดยมีศาสตราจารย์คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ คณบดีคณะแพทศาสตร์ ติดตามมา และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเคียงข้าง แล้วมีสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ และพระเจ้าหลานเธอทั้ง 3 พระองค์ ตามเสด็จฯ
ทรงโบกพระหัตถ์ทักทาย ปชช.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ ศ.นพ.ประดิษฐ์ ปัญจวีนิล กำลังเข็นรถพระที่นั่งอย่างช้าๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระพักตร์ที่สดใส ทรงโบกพระหัตถ์ และแย้มพระสรวลให้กับพสกนิกรที่มาเฝ้ารอรับเสด็จซึ่งพากันเปล่งเสียง "ทรงพระเจริญ" พร้อมกับโบกธงชาติและธงสีเหลืองที่มีตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ บรรยากาศเป็นไปด้วยความปลื้มปีติ ประชาชนบางรายถึงกับร้องไห้ด้วยความดีใจที่ได้เห็นพระบารมีอย่างใกล้ชิด และได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรงขึ้น จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯ ประทับบนรถยนต์พระที่นั่ง เป็นรถโฟล์กตู้สีเหลือง ทะเบียน 1ด 0968 เสด็จฯ ออกจากโรงพยาบาลศิริราช โดยใช้เส้นทางจากประตูท่าน้ำศิริราช มุ่งหน้าสู่ถนนอรุณอมรินทร์ ขึ้นสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า เข้าสู่สนามหลวงทางทิศเหนือ มุ่งหน้าสู่ถนนหน้าพระลาน เข้าประตูวิเศษไชยศรี สู่ พระบรมมหาราชวัง
แซ่ซ้องทรงพระเจริญก้องถนน
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดเส้นทางที่ขบวนรถยนต์พระที่นั่งแล่นผ่าน ประชาชนที่เฝ้ารอรับเสด็จอย่างเนืองแน่นตลอดสองฝั่งถนน ก็พร้อมใจเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้องและดังต่อเนื่องไปตลอดเส้นทาง ซึ่งระหว่างเสด็จพระราชดำเนิน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงโบกพระหัตถ์ให้กับประชาชนที่มาเฝ้ารอรับเสด็จสร้างความปลาบปลื้มให้กับผู้ที่มาปักหลักรอ จนบางรายถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตัน ใจที่ได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์แม้เพียงรถวิ่งผ่านไป
เสด็จออกมหาสมาคม
เวลาประมาณ 11.50 น. รถยนต์พระที่นั่งจอดเทียบที่พระทวารเทเวศรรักษา พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว เสด็จฯประทับรถไฟฟ้าเข้าพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และ พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ จากนั้นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยาม มกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม ราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ทรงยืนเฝ้าฯหน้าแถวพระบรมวงศานุวงศ์ ใกล้มุมเสาด้านซ้ายพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯขึ้นประทับบนพระ ที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ หน้าพระแท่นนพปฎลมหา เศวตฉัตร ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พร้อมแล้วเจ้าพนักงาน รัวกรับและเปิดพระวิสูตร ชาวพนักงานประโคมกระทั่งแตรมโหระทึก ทหารกองเกียรติยศถวายเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ขณะที่ภายนอก ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ยิงปืนสลุตฝ่ายละ 21 นัด
สมเด็จพระบรมฯ ทรงนำถวายพระพร
เมื่อสุดเสียงประโคมแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ออกยังหน้าพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัย มงคลแทนพระบรมวงศานุวงศ์ ตามด้วยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล ตามลำดับ
จะมีสุขเมื่อบ้านเมืองมั่นคง
จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราช ดำรัสขอบพระทัยแก่พระบรมวงศานุวงศ์ และขอบคุณข้าราชบริพาร ข้าราชการและพสกนิกรที่เข้าเฝ้าฯ ถวาย พระพรชัยมงคล ความว่า"ขอขอบพระทัยและขอบคุณท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งมีไมตรีจิตพรั่งพร้อมกันมาให้พรวันเกิด ด้วยถ้อยคำที่เลือกสรรมาจากใจจริง ซึ่งปรารถนาดีมุ่งหมายให้ข้าพเจ้ามีความสุขสวัสดีด้วยประการต่างๆ ความสุขความสวัสดีของข้าพเจ้าเกิดได้ก็ด้วยบ้านเมืองของเรามีความเจริญมั่นคง เป็นปกติสุข
ชาติเจริญได้ต้องเห็นแก่ส่วนรวม
ความเจริญมั่นคงจะสำเร็จผลเป็นจริงได้ ก็ด้วยทุกคนทุกฝ่ายในชาติมุ่งที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มกำลังด้วยสติ รู้ตัว ด้วยปัญญา รู้คิด และด้วยความสุจริตจริงใจ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น จึงขอให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญในสถาบันหลักของประเทศและชาวไทยทุกคน ทุกหมู่เหล่าทำความเข้าใจในหน้าที่ของตนให้กระจ่างแล้วตั้งจิตตั้งใจให้เที่ยงตรงและหนักแน่น ปฏิบัติหน้าที่ของตนเพื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวมอันไพบูลย์ คือ ชาติ บ้านเมืองอันเป็นถิ่นทำกินของเรามีความเจริญมั่นคงยั่งยืนต่อไป ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงคุ้มครองรักษาท่านให้ปราศจากทุกข์ปราศจากภัย และอำนวยสุขสิริสวัสดิ์ ให้สัมฤทธิผลแก่ท่านทั่วหน้ากัน"
ปชช.รอรับเสด็จ กลับศิริราช
หลังทรงมีพระราชดำรัสเสร็จสิ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จฯจากพระบรมมหาราชวัง กลับไปยัง รพ.ศิริราช โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์ครุยราชภูษิตาภรณ์ ท่ามกลางการเฝ้ารับเสด็จของมวลพสกนิกรสองฟากถนน โดยทั้งสองพระองค์ทรงโบกพระหัตถ์แย้มพระสรวลให้กับประชาชนที่รอเฝ้ารับเสด็จ ทั้งนี้ รถยนต์พระที่นั่งแล่นถึงอาคารเฉลิมพระเกียรติ ในเวลาประมาณ 12.36 น.โดยมี ศ.นพ.ประดิษฐ์ เข็นรถพระที่นั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงโบกพระหัตถ์และแย้มพระสรวลให้กับประชาชนที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ขณะที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงโบกพระหัตถ์ให้กับประชาชนด้วย ก่อนที่จะเสด็จฯ บนอาคารเฉลิมพระเกียรติ ท่ามกลางประชาชนต่างส่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
กะเหรี่ยงสังขละปลื้มได้รับเสด็จ
ทั้งนี้ หลังจากขบวนรถยนต์พระที่นั่งแล่นผ่านไปแล้ว ผู้สื่อข่าวสอบถามความรู้สึกของประชาชนที่ได้เฝ้ารับเสด็จ และชื่นชมพระบารมี ตลอดสองฟากฝั่งถนน ประชาชนที่พร้อมใจใส่เสื้อสีชมพูมาจากทั่วทุกสารทิศได้กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า รู้สึกปลาบปลื้มที่ได้มารับเสด็จ ในหลวง โดยนางโมน คอนดี ชาวกะเหรี่ยง วัย 78 ปี เดินทางมาพร้อมลูกและหลานจาก อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี กล่าวว่า แม้จะเป็นชาวกะเหรี่ยงแต่ก็รักในหลวง เพราะท่านทำเพื่อพวกเราทุกคน ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะขอให้ลูกหลานพามารับเสด็จ วันนี้ดีใจมาก ในหลวงเป็นเหมือนพ่อพระสำหรับประชาชน
หนุ่มมะกันถวายพระพรทุกปี
เช่นเดียวกับนางแจ้ง ขวัญชัย วัย 58 ปี ที่ขาพิการต้องใช้รถชักลากมาจอดรอรับเสด็จอยู่บริเวณหน้าศาลหลักเมือง กล่าวว่า เดินทางโดยรถไฟมาจาก อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อมารับเสด็จโดยตรง และนำรถเข็นขึ้นรถไฟมาด้วยแล้วค่อยใช้รถเข็นเดินทางมาจากสถานีรถไฟ ปกติจะเดินทางมารับเสด็จทุกปี แต่ปีนี้ถือว่าตั้งใจมากกว่า เพราะในหลวงยังทรงประชวรอยู่ ตลอดเวลาที่อยู่บ้านได้สวดมนต์ ขอพรให้พระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงในฐานะคนพิการ มีกำลังใจอยู่ได้ก็เพราะเห็นการทรงงานของพระองค์ ขณะที่นายดาร์วิน บิกกินส์ ชาวอเมริกัน วัย 53 ปี มาพร้อมภรรยาคนไทยชื่อนางซอนนี่ วัย 59 ปี เผยความรู้สึกว่า ทุกปีจะเดินทางมาเมืองไทยพร้อมภรรยา เพื่อทำบุญและเฝ้ารอรับเสด็จในหลวง ในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. ยอมรับว่าเคารพในหลวง เพราะท่านนอกจากเป็นกษัตริย์ของคนไทย ยังเป็นกษัตริย์ของคนทั้งโลกเนื่องจากพระราชกรณียกิจหลายอย่างช่วยประชาชนและทุกโครงการก็เป็นโครงการที่ดี รู้สึกทึ่งที่เห็นคนไทยต่างรักในหลวง ก่อนหน้านี้เคยเดินทางมาร่วมลงนามถวายพระพรที่ศิริราช เพื่อขอให้พระองค์หายประชวรเป็นมิ่งขวัญประชาชนสืบไป
ร่ำไห้ปีติเห็นในหลวงแข็งแรง
ด้านนายจักรพันธ์ วรอาคาร ประชาชนที่มาเฝ้ารอรับเสด็จกล่าวว่า หลังจากที่ได้เห็นพระองค์ทรงโบกพระหัตถ์ ให้กับประชาชนรู้สึกปลื้มปีติจนน้ำตาไหล และเห็นพระองค์ ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงยิ่งขึ้นทำให้รู้สึกโล่งอก เพราะเป็นห่วงพระองค์ท่านมาก ขอถวายพระพรให้ทรงพระเจริญอยู่เป็นมิ่งขวัญของคนไทยตลอดไป ส่วน น.ส.ดลนภา กลัดบุบผา อายุ 31 ปี กล่าวว่า รู้สึกปลาบปลื้มและมีความสุข ที่ได้เห็นพระองค์มีพระพลานามัยที่แข็งแรง ปกติจะมาเฝ้าฯพระองค์ทุกวันตั้งแต่มาประทับแล้ว แต่เมื่อคืนได้มานอนที่โรงพยาบาลเพราะเกรงว่าจะไม่ได้เข้าเฝ้าฯอย่างใกล้ชิด ขอให้พระองค์ทรงมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง อยู่เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย ขณะที่นางกุสุมาพร รัตนวัน อายุ 42 ปี กล่าวว่า รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เห็นพระองค์ท่าน แต่ใจของตนก็อยู่ใกล้พระองค์ตลอดเวลา ทุกครั้งที่พระองค์ประทับที่โรงพยาบาลแห่งนี้ จะมาเข้าเฝ้าฯพระองค์ตั้งแต่ปี 2549 จะมาร้องเพลงและสวดมนต์ถวายพระองค์ แต่ในปีนี้ไม่มีโอกาส ขอถวายพระพรให้คุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้พระองค์ทรงมีพระชนมพรรษายิ่งยืนนาน
นายกฯน้อมนำพระราชดำรัส
จากนั้น ในเวลา 15.00 น. ที่สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (สทท.) ถนนวิภาวดีรังสิต นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีความเป็นห่วงบ้านเมืองว่า คิดว่าประชาชนคนไทยทุกคนทั้งประเทศได้มีโอกาสรับฟังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานให้ในวันเดียวกันนี้แล้ว พระองค์ท่านทรงมีรับสั่งชัดเจนว่า ที่พวกเราทุกคนตั้งใจถวายความจงรักภักดีและถวายพระพรนั้น พระองค์ท่านจะมีความสุขได้ต่อเมื่อบ้านเมืองมีความปกติสุข มีความมั่นคง เพราะฉะนั้น จึงถือเป็นหน้าที่ของพสกนิกรชาวไทยทุกคนที่ต้องช่วยกันทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้ และน้อมนำกระแสพระราชดำรัสใส่เกล้าใส่กระหม่อมไปปฏิบัติ ในส่วนของรัฐบาลก็เช่นเดียวกัน ทรงมีกระแสพระราชดำรัสว่าทุกคนที่มีหน้าที่ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มกำลัง ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ยึดประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าส่วนอื่นๆทั้งหมด ตรงนี้จะกำชับ ครม.และส่วนราชการทุกหน่วยที่จะน้อมนำกระแสพระราชดำรัสไปสู่การปฏิบัติให้เป็นจริง
กระตุ้นทุกหน่วยทุ่มเทเพื่อชาติ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ทรงมีพระราชดำรัสว่าให้เข้าใจหน้าที่ของตัวเองและพยายามหนักแน่นมั่นคงในการทำงาน ตรงนี้จะนำไปบอกกล่าวกับ ครม.อย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็เช่นเดียวกัน ครม.คงมีการจัดพิมพ์พระราชดำรัสให้รัฐมนตรีทุกคนนำไปเผยแพร่ในทุกหน่วยงาน เมื่อถามว่า รัฐบาลมองว่าขณะนี้ได้ทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ แล้วหรือไม่ นายกฯตอบว่า ตนพยายามอย่างเต็มที่ และพยายามที่จะเชิญชวนทุกคนให้ทุ่มเทเต็มกำลังวันนี้เพื่อแก้ปัญหาของบ้านเมืองและเพื่อถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวด้วย
ให้สื่อร่วมเผยแพร่พระราชดำรัส
ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่ารัฐบาลพร้อมน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาปฏิบัติ โดยเฉพาะเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตและการสร้างความสามัคคี เพราะถือว่าพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้งนี้ มีความหมายต่อบ้านเมืองเป็นอย่างมากและที่ผ่านมารัฐบาล ได้สร้างความสามัคคีผ่าน "โครงการไทยสามัคคีไทยเข้มแข็ง" แล้วได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ขณะเดียวกันได้เตรียมประสานงานไปยังสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ทั้งสถานีวิทยุและ สถานีโทรทัศน์ในสังกัดรัฐบาลและเอกชน ให้มีการเผยแพร่ พระราชดำรัสอย่างกว้างขวางในทุกวัน ตลอดเดือน ธ.ค.นี้ที่เป็นเดือนมหามงคลเพื่อให้พสกนิกรชาวไทยน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและน้อมนำมาปฏิบัติ นอกจากนี้ จะนำพระราชดำรัสไปประยุกต์ใช้กับโครงการต่างๆ ของรัฐบาล ในการทำให้บ้านเมืองกลับมาสงบสุขสมานฉันท์ด้วย
สื่อนอกประโคมข่าวในหลวง
ด้านสำนักข่าวต่างประเทศทุกสำนักไม่ว่าจะเป็น เอพี เอเอฟพีและรอยเตอร์ ต่างประโคมข่าวมงคลการเสด็จ ออกมหาสมาคมที่พระบรมมหาราชวัง เนื่องในวันเฉลิมพระ ชนมพรรษา 82 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรง เป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก เผยแพร่ไปทั่วโลกเช่นกัน ระบุว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จ พระราชดำเนินออกจากโรงพยาบาลศิริราชไปยังพระบรม มหาราชวังเพื่อเสด็จออกมหาสมาคมเนื่องในวันมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ระหว่างทางมีพสกนิกรจำนวนมากพร้อมใจกันสวมเสื้อสีชมพู โบกธงและส่งเสียงกล่าวสดุดีถวายพระพร "ทรงพระเจริญ" อย่างปลื้มปีติไปตลอดเส้น ทางเสด็จฯ
พลานุภาพแห่งความสมานฉันท์
ส่วนพิธีการในพระบรมมหาราชวัง มีสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถและพระบรมวงศานุวงศ์ พระองค์อื่นๆ ร่วมถวายพระพร พร้อมกันนี้ ยังมีนายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา นำคณะรัฐมนตรีและข้าราชการระดับสูงอื่นๆ เข้าเฝ้าฯถวายพระพรอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระดำรัสขอบพระทัยพสกนิกรทุกหมู่เหล่าที่มาเฝ้าฯ ถวายพระพรตลอดช่วงเวลาที่พระองค์ ประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราชและทรงขอให้ ชาวไทยร่วมกันสร้างสันติและความมีเสถียรภาพในชาติ มุ่งทำเพื่อประโยชน์ประเทศชาติมากกว่าประโยชน์ตน
นอกจากนี้ ข่าวระบุด้วยว่าวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถือเป็นพลานุภาพแห่งความสมานฉันท์ของไทย ที่ยังมีความวุ่นวายทางการเมือง ซึ่งในช่วงมงคลดังกล่าวจะมีการจัดพิธีถวายพระพรและเฉลิมฉลองทั่วประเทศ เพื่อถวายความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว