ReadyPlanet.com
dot
dot dot
bulletBUDDHISM TO THE NEW WORLD ERA
bullet1 Thai-ไทย
bullet2.English-อังกฤษ
bullet3.China-จีน
bullet4.Hindi-อินเดีย
bullet5.Russia-รัสเซีย
bullet6.Arab-อาหรับ
bullet7.Indonesia-อินโดนีเซีย
bullet8.Japan-ญี่ปุ่น
bullet9.Italy-อิตาลี
bullet10.France-ฝรั่งเศส
bullet11.Germany-เยอรมัน
bullet12.Africa-อาฟริกา
bullet13.Azerbaijan-อาเซอร์ไบจัน
bullet14.Bosnian-บอสเนีย
bullet15.Cambodia-เขมร
bullet16.Finland-ฟินแลนด์
bullet17.Greek-กรีก
bullet18.Hebrew-ฮีบรู
bullet19.Hungary-ฮังการี
bullet20.Iceland-ไอซ์แลนด์
bullet21.Ireland-ไอร์แลนด์
bullet22.Java-ชวา
bullet23.Korea-เกาหลี
bullet24.Latin-ละติน
bullet25.Loa-ลาว
bullet26.Finland-ฟินแลนด์
bullet27.Malaysia-มาเลย์
bullet28.Mongolia-มองโกเลีย
bullet29.Nepal-เนปาล
bullet30.Norway-นอรเวย์
bullet31.persian-เปอร์เซีย
bullet32.โปแลนด์-Poland
bullet33.Portugal- โปตุเกตุ
bullet34.Romania-โรมาเนีย
bullet35.Serbian-เซอร์เบีย
bullet36.Spain-สเปน
bullet37.Srilanga-สิงหล,ศรีลังกา
bullet38.Sweden-สวีเดน
bullet39.Tamil-ทมิฬ
bullet40.Turkey-ตุรกี
bullet41.Ukrain-ยูเครน
bullet42.Uzbekistan-อุสเบกิสถาน
bullet43.Vietnam-เวียดนาม
bullet44.Mynma-พม่า
bullet45.Galicia กาลิเซียน
bullet46.Kazakh คาซัค
bullet47.Kurdish เคิร์ด
bullet48. Croatian โครเอเซีย
bullet49.Czech เช็ก
bullet50.Samoa ซามัว
bullet51.Nederlands ดัตช์
bullet52 Turkmen เติร์กเมน
bullet53.PunJabi ปัญจาบ
bullet54.Hmong ม้ง
bullet55.Macedonian มาซิโดเนีย
bullet56.Malagasy มาลากาซี
bullet57.Latvian ลัตเวีย
bullet58.Lithuanian ลิทัวเนีย
bullet59.Wales เวลล์
bullet60.Sloveniana สโลวัค
bullet61.Sindhi สินธี
bullet62.Estonia เอสโทเนีย
bullet63. Hawaiian ฮาวาย
bullet64.Philippines ฟิลิปปินส์
bullet65.Gongni-กงกนี
bullet66.Guarani-กวารานี
bullet67.Kanada-กันนาดา
bullet68.Gaelic Scots-เกลิกสกอต
bullet69.Crio-คริโอ
bullet70.Corsica-คอร์สิกา
bullet71.คาตาลัน
bullet72.Kinya Rwanda-คินยารวันดา
bullet73.Kirkish-คีร์กิช
bullet74.Gujarat-คุชราด
bullet75.Quesua-เคซัว
bullet76.Kurdish Kurmansi)-เคิร์ด(กุรมันซี)
bullet77.Kosa-โคซา
bullet78.Georgia-จอร์เจีย
bullet79.Chinese(Simplified)-จีน(ตัวย่อ)
bullet80.Chicheva-ชิเชวา
bullet81.Sona-โซนา
bullet82.Tsonga-ซองกา
bullet83.Cebuano-ซีบัวโน
bullet84.Shunda-ชุนดา
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet86.Sesotho-เซโซโท
bullet87.NorthernSaizotho-ไซโซโทเหนือ
bullet88.Somali-โซมาลี
bullet89.History-ประวัติศาสตร์
bullet90.Divehi-ดิเวฮิ
bullet91.Denmark-เดนมาร์ก
bullet92.Dogry-โดกรี
bullet93.Telugu-เตลูกู
bullet94.bis-ทวิ
bullet95.Tajik-ทาจิก
bullet96.Tatar-ทาทาร์
bullet97.Tigrinya-ทีกรินยา
bullet98.Check-เชค
bullet99.Mambara-มัมบารา
bullet100.Bulgaria-บัลแกเรีย
bullet101.Basque-บาสก์
bullet102.Bengal-เบงกอล
bullet103.Belarus-เบลารุส
bullet104.Pashto-พาชตู
bullet105.Fritian-ฟริเชียน
bullet106.Bhojpuri-โภชปุรี
bullet107.Manipur(Manifuri)-มณีปุระ(มณิฟูรี)
bullet108.Maltese-มัลทีส
bullet109.Marathi-มาราฐี
bullet110.Malayalum-มาลายาลัม
bullet111.Micho-มิโช
bullet112.Maori-เมารี
bullet113.Maithili-ไมถิลี
bullet114.Yidsdish-ยิดดิช
bullet115.Euroba-ยูโรบา
bullet116.Lingala-ลิงกาลา
bullet118.Slovenia-สโลวีเนีย
bullet119.Swahili-สวาฮิลี
bullet120.Sanskrit-สันสกฤต
bullet121.history107-history107
bullet122.Amharic-อัมฮาริก
bullet123.Assam-อัสสัม
bullet124.Armenia-อาร์เมเนีย
bullet125.Igbo-อิกโบ
bullet126.History115-ประวัติ 115
bullet127.history117-ประวัติ117
bullet128.Ilogano-อีโลกาโน
bullet129.Eve-อีเว
bullet130.Uighur-อุยกูร์
bullet131.Uradu-อูรดู
bullet132.Esperanto-เอสเปอแรนโต
bullet133.Albania-แอลเบเนีย
bullet134.Odia(Oriya)-โอเดีย(โอริยา)
bullet135.Oromo-โอโรโม
bullet136.Omara-โอมารา
bullet137.Huasha-ฮัวซา
bullet138.Haitian Creole-เฮติครีโอล
bulletคำบูชาพระรัตนตรัย ทำวัตรแปล เช้า-เย็น
bulletChart Showing the Process
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2540 - 2566
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 1
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 2
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี บุคคลที่ 1 - 188 ปัจจุบัน
bulletหนังสือพิมพ์ดี
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 1
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 2
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 3
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 4
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 5
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 6
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 7
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 8
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 9
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 10
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 11
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 12
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 13
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 14
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 15
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 16
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 17
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 18
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 19
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 20
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 21
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 22
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 23
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 24
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 25
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 26
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 27
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 28
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 29
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 30
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 31
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 32
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 33
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 34
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 35
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 36
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 37
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 38
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 39
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 40
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 41
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 42
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 43
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 44
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 45
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 46
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 47
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 48
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 49
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 50
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 51
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 52
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 53
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 54
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 55
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที่ 56
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 57
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 58
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 59
bulletTo The World
bulletENGLISH
bulletUSA
bulletChina
bulletIndia
bullet Mynmar
bullet Cambodia
bullet Loas
bulletSri Lanka
bulletMalaysia
bulletKorea
bulletA Sharp Turn of Believes : Iresearch Iwrite Iread
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 1
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 2
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 3
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 4
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 5
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 6
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 7
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 8
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 9
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 10
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 11
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 12
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 13
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 14
bulletMystery Report 15
bulletMystery Report 16
bulletMystery Report 17
bulletMystery Report 18
bulletMystery Report 19
bulletMystery Report 20
bulletMystery Report 21
bulletMystery Report 22
bulletMystery Report 23
bulletMystery Report 24
bulletMystery World Report 25
bulletศึกษาโลกลี้ลับ 26
bulletเฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว วิเคราะห์ทุกปัญหาในโลกมนุษย์ด้วยสติปัญญาและเหตุผลวิทยาศาสตร์จากนสพ.ดี
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2536
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2537
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2538
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2539
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2540
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2541
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2542
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2543-2545
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2545-2549
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2549-2550
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2550-ส.ค.2551
bulletเฝ้าดูฯ ส.ค.-ก.ย.2551
bulletเฝ้าดูฯ ก.ย.2551- ธ.ค. 2551
bulletเฝ้าดูฯสำนวนพัชรา กอปรทศธรรม
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 16-27
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 29
bulletบทความใหม่ เม.ย.-พ.ค.2552
bulletพุทธธรรมเพื่อทางดับทุกข์
bulletทฤษฎีการดับทุกข์ทางจิต วิปัสสนากรรมฐานโดยการทำงาน(สำนวนปรับปรุงใหม่)
bulletประวัติพัชรา กอปรทศธรรม
bulletประวัติการต่อสู้เพื่อการดับทุกข์ ของพัชรา กอปรทศธรรม
bulletอัลบั้มรูป history
bulletนิทานธรรมะประยุกต์ มานุสสาสุระสงคราม 4 ภาค และอื่น ๆ
bulletอัลบั้มรูป ภาพในอดีตและชีวประวัติศาสตร์ที่สวยงาม
bulletจากเวบบอร์ด พูดกันไม่รู้เรื่อง ประชาธิปไตยล้าหลัง
bulletศาสนาสากล การวิเคราะห์ความหมาย
bulletปลอบใจ
dot
รวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์ แนวปฏิรูปคณะสงฆ์อยู่ในบทวิเคราะห์นี้แล้ว
dot
bulletรวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์
dot
สากลจักรวาล สากลศาสนา แนวคิดศาสนาสำหรับคนยุคใหม่ ผู้ก้าวผิดทางไปสู่สิ่งไร้สาระโดยไม่รู้ตัว
dot
bulletสากล...ศาสนา 1
bulletสากล...ศาสนา 2
bulletสากล...ศาสนา 3
bulletสากล...ศาสนา 4
bulletสากล...ศาสนา 5
bulletสากล...ศาสนา 6
bulletสากล...ศาสนา 7
bulletสากล...ศาสนา 9
bulletสากล...ศาสนา 8
bulletสากล...ศาสนา 10
bulletสากล...ศาสนา 11
bulletสากล...ศาสนา 12
bulletสากล...ศาสนา 13
bulletสากล...ศาสนา 14
bulletสากล...ศาสนา 16
dot
ส่วนข้อมูลสำคัญเพื่อการวิจัยการเมืองไทยยุค คมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
dot
bulletข้อมูลสำคัญยุคคมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่1/26ส.ค.2551
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่2/27ส.ค.2551
bulletใบปลิว อีเมล์ ในหลวงทรงร้องไห้
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 1
bulletในหลวงเพิ่งทราบข่าวฆ่าประชาชน10เมย.53ทรงร้องไห้
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
dot
รวมข่าวม็อบการเมืองสนธิ-จำลอง-ปชป.มิ.ย.51-เม.ย.52 นสพ.
dot
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 2
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 3
bulletรวมข่าวม็อบ30มิ.ย.51-23มี.ค.52
bulletเลือดศรีสะเกษบันทึกเรื่องราวรอบด้านเกี่ยวกับเขาพระวิหาร
bulletรายงานการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศไทยที่ล้มล้างรัฐบาลทักษิณ
bulletหนังสือพิมพ์ดี ของฟรีให้เปล่ามา20ปีแล้วทั้งเอกสารและอินเทอเนท
bulletหนังสือพิมพ์ดี ( อินเทอเนต ) เล่ม 1 - 44 - ล่าสุด
bulletหน้าที่เก็บไว้
bulletมูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร)
bulletวัดมหาพุทธาราม ศรีสะเกษ บันทึกเหตุการณ์
bulletสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดศรีสะเกษแห่งที่ 1
bulletเกี่ยวกับเวบไซต์ของเรา เราทำเพื่อปัญญาชนโดยแท้
bulletรวมกระทู้เด็ดจากกระดานถามตอบ
bulletคาถาอาคมไสยศาสตร์
bulletกวีนิพนธ์ใหม่
bulletศูนย์ปฏิญญาณละเลิกอบายมุข บัญชีที่ 1- 4


เฝ้าดูฯม.ค.-มิ.ย.2552

 

 

สารบาญ

1.      ประเทศไทยมีอะไรเกิดขึ้นในวันที่ 31 มกราคม 2552
2.      โรฮิงญา  สะท้อนระบอบเผด็จการทหารในพม่า และสะท้อนถึงรัฐบาลไทย
3.      โรฮิงญา  สะท้อนระบอบเผด็จการทหารในพม่า และสะท้อนถึงรัฐบาลไทย ( 2 )

4.      บทบรรณาธิการ  หนังสือพิมพ์ดี : วิเคราะห์ข่าวในวงการเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดและสหธรรมิวัตถุประสงค์เพื่อนำความคิดไปสู่ความดีงาม เพื่อความกลมกลืนแห่งสากลศาสนา เล่มที่ 42   ประจำเดือน ต.ค.-พ.ย.-ธ.ค.2551-ม.ค.-ก.พ.-มี.ค. 2552

8.    การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลวันแรก 19 มี.ค. 2551
        ภาพที่เห็น  เสียงที่ได้ยิน

9.     เรียน บก.นสพ.ดี ที่นับถือยิ่ง
       ไม่ไว้วางใจนายกร จาติกวณิช รมว.คลัง

 10.    การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลวันที่ 2 : 20 มี.ค. 2551
         ภาพที่เห็น  เสียงที่ได้ยิน ( 2 )

 

11.    ทักษิณโฟนอินศรีสะเกษ  12.     ปัญหาประชาธิปไตยสงฆ์ ที่ไปที่มา หลักการและเหตุผล
13.     รำลึกพันท้ายนรสิงห์ถึงพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประเด็นความจงรักภักดีต่อสถาบัน

14.      รายงานเหตุการณ์ วันที่ 8 เม.ย.2552     

15.     โค่นอำมาตย์ สร้างประวัติศาสตร์ ประชาธิปไตย
 
       เหตุผล

16.     กองทัพแดงศรีสะเกษ   

 

 

20.     การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลผิดพลาด
          และไม่อาจจะเอาชนะประชาชนในระบอบประชาธิปไตยได้เลย (4 )

21.      To The World [ about  Red Situation in Thailand ] 

22.      กวี : วันเหงา -   บันทึกกวีศรีสะเกษ 

 

 

 

24.     ข่าวศรีสะเกษ  

 25.      ประชุมพระสังฆาธิการ ประจำปี 2552

 

 

 

 

 

 

 1.  ประเทศไทยมีอะไรเกิดขึ้นในวันที่ 31 มกราคม 2552

ในเวลาเย็น ๆ ของวันที่ 31 มกราคม 2552 นี้เอง เห็นคนเสื้อแดงเต็มสนามหลวง น่าจะไม่น้อยกว่า แสนคน  โดยเปรียบเทียบกับการชุมนุมในยุคทักษิณ ที่มาเชียร์นโยบายทักษิณจนล้นสนามหลวงออกไปตามถนนราชดำเนินจนถึงสี่แยกคอกงัว ที่ตั้งอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย   คราวนั้นสื่อหลายสาขาประเมินจำนวนอยู่ระหว่าง 80,000 200,000 คน ซึ่งสมเหตุผลหากจะสรุปว่าอยู่ระหว่าง 120,0000 150,000 คน  การชุมนุมในวันนี้ภายหลังตะวันตกดินแล้ว ยังมีชมรมคนเสื้อแดงทยอยมาชุมนุมอีกไม่น้อย รวม ๆ แล้วก็คงเกินหนึ่งแสนคนแน่ ๆ   คนเหล่านี้มาจากจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ เห็นได้จากมีการชูป้ายจังหวัดสลอนไป   ครั้นเวลา 22.00 น.ก็เคลื่อนออกไปจากสนามหลวง มุ่งไปทำเนียบรัฐบาล แกนนำได้ประกาศว่าจะไปเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการกับแกนนำพันธมิตรฯ(ม็อบยึดทำเนียบ จำลอง-สนธิ-ประชาธิปัตย์) ที่กระทำการอุกอาจ โดยยึดทำเนียบรัฐบาล และเข้ายึดสนามบินสุวรรณภูมิ สร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างมหาศาล  อย่างไม่ชอบด้วยระบอบประชาธิปไตย และไม่ชอบด้วยกฎหมายบ้านเมือง โดยระบอบใดก็ตามที่ต้องคำนึงความเป็นธรรมตามหลักนิติรัฐ  ที่สมควรมีการนำตัวไปฟ้องร้องกล่าวโทษตามสมควรแก่การกระทำผิด

ที่จริง นี่เป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะต้องทำให้ชัดเจน  จึงน่าเห็นด้วยกับชาวเสื้อแดง ที่กล้าลุกขึ้นเรียกร้องเพื่อความเป็นธรรมของประเทศและประชาชนไทย  นอกจากนี้ชมรมคนเสื้อแดง ยังแสดงจุดยืนที่น่าเลื่อมใส  โดยเฉพาะการใช้เหตุผล ที่ไม่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ  แต่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายที่ว่าด้วยความจริงของประเทศไทย  และสถานีข่าวทางโทรทัศน์ คือช่อง DTV หรือโทรทัศน์สถานีประชาธิปไตย ก็ได้นำเสนอเป็นที่น่าสนใจไปเรื่อย ๆ

แต่เราขอเสนอว่า การทำ DTV จะต้องไม่ลอกเลียนแบบ ASTV เพราะเอเอสทีวีมีแต่การด่า และการโฆษณาชวนเชื่อ แม้กระทั่งนายทหารระดับผู้นำเหล่าทัพก็โดนด่าอย่างไม่ไว้หน้าเลยอย่างไม่น่าเชื่อว่าทหารจะทนได้ ( ด่าว่าหัวมีแต่ขี้เลื่อย ไร้ความรู้สึก ไร้สติปัญญา เป็นต้น ) แต่ DTV ถ้าจะด่าก็ด่าอย่างมีเหตุมีผลและอย่างตรงไปตรงมา และด่าตามความจริง เราเห็นว่าใน DTV หรือ D Station มีสิ่งที่น่าสบายใจก็คือ ได้เห็นคนมีความรู้ความสามารถโผล่มาเพิ่มเติมมากขึ้น ๆ  จากเดิมที่มี วีระ มุสิกพงศ์, ก่อแก้ว พิกุลทอง, ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ และ จตุพร พรหมพันธ์ บุกเบิก ยืนหยัดขึ้นมา  ดังเช่นหลังสุดเห็น อาจารย์ใจ  อึ๊งภากร ( บุตรชาย ศ.ดร.ป๋วย อึ๊งภากร ) ออกมายืนยันอุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างตรงไปตรงมา น่าเลื่อมใส

และเราไม่อยากให้รีบร้อนอะไร  เช่นกรณี นายวิฑูรย์ นามบุตร กรณีทำปลากระป๋องชาวดอยจากปลาเน่า  ไปแจกพี่น้องชาวพัทลุง ในนามกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  ( น่าขายหน้าจริง ๆ จะเอาหน้าไปไว้ไหน ? ) ก็ไม่ควรรีบร้อนไล่เขาออกจากตำแหน่ง  ควรเก็บเอาไว้นาน ๆ เพราะเราควรจะมุ่งหมายการก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน และยาวนาน

จริงไหมครับ ?

 

·         สุไหงปาดี ชินะกุล
1 ก.พ.2552

 

 

 

 

 

 

 

 2.   โรฮิงญาสะท้อนระบอบเผด็จการทหารในพม่า
      และสะท้อนถึงรัฐบาลไทยในปัจจุบัน

โรฮิงญา ในความหมายว่าชาวพม่าพลัดถิ่นหรือชาวพม่าหลบหนีจากประเทศ มาตุภูมิของตนเองนั้น  เป็นเรื่องที่ขมขื่นทุกข์ทนและอัปยศ  เพราะตามปกติแล้วคนเราย่อมรักและผูกพันกับถิ่นกำเนิดหรือบ้านเกิดเมืองนอนอย่างแนบแน่นเพราะนี่คือมาตุภูมิที่ฝังสายรกกำเนิด   แม้คนไทยเราก็ฝังจิตฝังใจกันเช่นนี้ ดังจะเห็นประชาชนไทยชาวอิสานจำนวนมากมายมหาศาล เดินทางกลับถิ่นเกิดเมืองนอนทุกปี ๆ ๆ ละหลายครั้งตามเทศกาลที่เปิดให้ โดยเฉพาะเทศกาลสงกรานต์เพื่อไปเยี่ยมเยือนถิ่นกำเนิด  คล้าย ๆ กับความหมายของไทยมุสลิม ที่มีการแสวงบุญที่เมกกะเป็นประจำปี ในความหมายว่าที่นั่นเป้นถิ่นกำเนิดแห่งความเชื่ออันประเสริฐฝังใจของพวกเขา   

การที่โรฮิงญา ต้องเดินทางจากประเทศถิ่นกำเนิดไปเคว้งคว้างกลางทะเลเช่นนี้ นับเป็นเรื่องที่สะท้อนไปถึงเหตุการณ์วิกฤตอันสุดทนทานในบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขา   ดังปรากฎเมื่อปลายเดือนที่แล้วมานี้ โทรทัศน์อินโดเนเซียก็ได้ถ่ายทอดภาพข่าว โรฮิญยา เข้าไปในน่านน้ำจังหวัดอาเจะห์ของประเทศเขาจำนวนนับร้อยคนเหมือนกัน ภาพที่เห็น เป็นการน่าสมเพชของประชาชนพม่าที่ไร้แผ่นดิน ไปถึงฝั่งไหนเขาก็ไม่ยินดีต้อนรับ ทำให้เห็นภาพที่สะท้อนความสิ้นหวัง น่าสงสาร น่าสมเพช จนเสมือนไร้ความเป้นมนุษย์    ทำให้น่าคิดถึงการอพยพของชาวกัมพูชาปี 2517-2518 ยุคเกิดสงครามกลางเมืองเขมรสามฝ่ายนั้น เขาก็มีเหตุผลสำหรับการอพยพเพราะบ้านแตกสาแหรกขาด ก็จำเป็นต้องหลบหนีกระจัดกระจายกันไป  แต่โรฮิงญาต้องบากหน้าสู่ทะเลกว้างใหญ่ จากมาตุภูมิไปอย่างขมขื่นระกำลำบาก สิ้นแผ่นดินเช่นนี้โดยไม่มีสงครามร้ายแรง ในประเทศเป็นเพราะเหตุใด ถ้ามิเพราะการปกครองระบอบเผด็จการทหารพม่าที่กดขี่และไร้เสรีประชาธิปไตย   ระบอบที่เข่นฆ่าประชาชนผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย ที่สมทบกับขบวนการพระสงฆ์พม่าผู้รักประชาธิปไตยและได้เข่นฆ่าพระสงฆ์ผู้รักประชาธิปไตยไปหลายร้อยรูป ในเดือนกันยายน 2550 นั้นอันเป็นข่าวดังไปทั่วโลก รัฐบาลเผด็จการทหารพม่าที่ไร้ความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิงต่อประชาชนหมู่เหล่าต่าง ๆ ภายในประเทศ  ในยุคนี้  

การที่ปฏิเสธประชาธิปไตย หรือการที่ไม่เข้าใจประชาธิปไตย ไม่คิดเห็นอย่างไรว่าประชาธิปไตยจะช่วยให้ได้ชัยชนะ ได้ความสำเร็จอย่างไรแล้ว  ก็ตกต่ำ  เช่นประเทศไทยที่ยุ่งยากลำบากตกต่ำอยู่ทุกวันนี้ ก็ได้พิศูจน์อย่างชัดเจนแล้วว่า มีมาจากเหตุการณ์เดียวเท่านั้น คือจากการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ( ขณะนั้นประเทศไทยกำลังจะก้าวไปอย่างเป็นก้าวใหญ่ ทั้งทางเศรษฐกิจ และ การเมืองเอง และกำลังอยู่ในสายตาอันแทบไม่กระพริบของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ) และสิ่งที่ประชาชนทุกหมู่เหล่าจะต้องพิจารณาด้วยสติปัญญาของคนในระบอบประชาธิปไตย ผู้มีเสรีภาพทางความคิด ก็คือ รัฐบาลไทยปัจจุบันก็ยังคงอิงอยู่กับ ทหารที่สืบนโยบายรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 อยู่  นี่คือความเสี่ยงต่อการที่จะเป็นอุปสรรคเหตุร้ายต่อการกลับมาและการก้าวไปของระบอบประชาธิปไตยไทย  และนั่นหมายถึง การจมดิ่งลงไปในเปลือกโคลนแห่งบ่อคิดอันแคบ ๆ แต่มิดลึกลุดกู่ และหากเป็นเช่นนั้นแล้ว  นี่ก็คือวิถีทางที่จักทำลายระบอบประชาธิปไตยของประชาชนใช่หรือไม่? 

คำตอบจะใช่หรือไม่ก็แล้วแต่   ข้อสรุปจึงมีว่า  หากความคิดชาวไทยหรือกลุ่มการเมือง กลุ่มนักวิชาการยังคงคิดอิงอยู่กับระบอบอื่นโดยเฉพาะเผด็จการทหารที่ลืมตัว ( อย่างระบอบเผด็จการทหารที่ปกครองประเทศพม่า ) ไม่รู้หน้าที่ของตนในระบอบประชาธิปไตยแล้ว นั่นเป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะหากระบอบที่ผิดพลาดนี้เติบโตไปก็จะนำไทยไปเป็นเหมือนพม่าและในอนาคตไม่ไกลชาวไทยบางกลุ่มบางเหล่า โดยเฉพาะประชาชนนอกสายตาของรัฐบาล มีวันที่จะอพยพอย่างโรฮิงญาในพม่าอย่างแน่นอน   

·         สุไหงปาดี ชินะกุล
5 ก.พ. 2552

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 5.     ข้อสังเกตการประชุม10สุดยอดผู้นำอาเซียน
        ครั้งที่ 14 ใน 28 ก.พ. 1 มี.ค. 2552

โทรทัศน์ TRT International ตุรกี  ถ่ายทอดผ่านดาวเทียม Thaicom 2/5  วันที่ 1 มีนาคม 2552 วันที่ในประเทศไทยมีการปิดการประชุมสุดยอด 10 ผู้นำอาเซียน แทนที่จะรายงานข่าวอาเซียนซัมมิต กลับนำเรื่องราวความรักข้ามชาติระหว่างหนุ่มตุรกี กับสาวไทยคนหนึ่ง ที่ทั้งคู่พบรักกันในประเทศไทย และเกิดความรักเสน่หากันขึ้นจนได้ร่วมชีวิตรักกัน และหญิงไทยเป้นฝ่ายที่เสียสละ ละมาตุภูมิมาอยู่กับสามีที่ต่างประเทศ มาตราบปัจจุบัน บังเกิดบุตรสาวน่ารัก ๆ 1 คน ได้รับเชิญมาออกรายการด้วย รายการนี้ได้แสดงความชื่นชมสตรีไทยในแง่ความสุภาพ อ่อนหวาน จริงใจ อดทน และความรักซื่อสัตย์   เขามองว่าไทยมีเอกลักษณ์ที่เต็มไปด้วยความเป็นมิตร  จริงใจ น่าหลงใหล ในวัฒนธรรมเพลงธรรมชาติ ๆ  ที่เขาเอามาปล่อยออกอากาศประกอบการเล่าความที่ไปที่มาของความรักที่น่าอิจฉาของคนคู่นี้  งามแสงเดือน มาเยือนส่องหล่า  งามใบหน้ามาสู่วงรำ   ซึ่งเป็นบทเพลงที่ฝ่ายชายได้ฟังด้วยความซาบซึ้งประทับใจในการไปเยือนเมืองไทยคราวแรก และได้พบรัก  และเมื่อเพลงนี้ดังขึ้นในโทรทัศน์ต่างประเทศเช่นวันนี้ เราคนไทยเองก็พลอยรู้สึกว่ามีความซาบซึ้งตรึงใจและมีเสน่ห์น่านิยมจริง ๆ    

ในขณะเดียวกันที่โทรทัศน์ไทย TPBS ช่อง 6  ข่าวเด่นเย็นนี้  ได้รายงานการปิดประชุม อาเซียนซัมมิต การประชุมสุดยอด 10 ผู้นำอาเซ๊ยน ที่มีนายกรัฐมนตรีไทยเป็นประธานอาเซียน  แล้ว   มีการถ่ายทอดภาคเอกชนฝรั่งในที่ประชุมออกมาให้ความเห็นกันต่าง ๆ หลายคน  ที่น่าสังเกตก็คือมีฝรั่งคนหนึ่งว่านายกรัฐมนตรีไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้นำที่มีประสบการณ์น้อย เหมือน  “ a young school boy “  คำว่า  young  ตาม  Oxford Basic English Dictionary  ให้ความหมายว่า  young   adj.   not old; in the early part of Life : A child of one year old is too young to go to school. “เยาว์  อ่อน   เล็ก  เด็ก  ลูกอ่อน   school boy  ก็หมายถึงเด็กนักเรียนระดับมัธยมศึกษา หรือวัยรุ่นที่ยังไม่มีความรับผิดชอบอะไรเท่าไรนี่เอง

เมื่อเปรียบเทียบกับผู้นำคนอื่น ก็ดูได้เห็นความเด็กนักเรียนของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเด่นไปอีก เพราะผู้นำจากประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน ล้วนมีบุคลิกภาพที่คงแก่เรียนและมีมากหลากประสบการณ์ ระดับเขี้ยวลากดิน กันทั้งนั้น  แม้กระทั่งผู้นำพม่าและกัมพูชาก็เขี้ยวลากดินเหมือนกัน เมื่อมายืนใกล้ ๆ ก็ดูอภิสิทธิ์ เป็นเด็กคนหนึ่ง สมกับคำฝรั่งว่า a young school boy  เลยทีเดียว

เราไม่ทราบว่าคนไทยจะคิดอย่างไร กับคำพูดเชิงดูแคลนผู้นำไทยยุคประชาธิปไตยสับสนและหัวหน้ารัฐบาลที่ขึ้นสู่อำนาจอย่างไม่สง่างามตามวิถีประชาธิปไตยที่แท้จริง บัดนี้ได้รับการชี้ว่าเป็น  เพียง  a young school boy  ซึ่งไม่น่าจะอยู่ในความหมายเดียวกับ  a young  Thai lady ที่ โทรทัศน์ตุรกีชื่นชมคนนั้น.

·         จักรกฤษณ์
2 มี.ค. 2552

 

 

 

 

 

 

 

  

 6.   ประเทศไทย อะไรเป็นอะไร?

      ASTV ปะทะ DStation

      รัฐบาลประชาธิปัตย์กับสถาบันสูงสุดของชาติในระบอบประชาธิปไตย

 

 

ดีสเตชั่น ( D station ) โทรทัศน์ที่อ้างว่าเพื่อความจริงของประเทศไทย ถ่ายทอดผ่านดาวเทียม Thaicom2/5 (ไทยคม 2/5 ) ไปทั่วโลก แล้วเคเบิลท้องถิ่นถ่ายทอดไปสู่ประชาชนในวงกว้างขวางทั่วราชอาณาจักร  ที่เพิ่งเปิดดำเนินการมาไม่ถึงเดือน นับว่าเป็นโทรทัศน์ที่กล่าวความจริงจริง น่าเป็นประโยชน์มากต่อประชาธิปไตย  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น่าเป็นยุทธศาสตร์ชัยชนะของประเทศไทย ประชาชนไทย ที่ชนะด้วยความจริง ที่ตามหักล้างเหล่าพาลชนผู้ต่อสู้การเมืองด้วยการโกหกหลอกลวง ประชาชน ด้วยกลยุทธทุกรูปแบบของการโฆษณาชวนเชื่อ   

วันที่ 4 มีนาคม 2552 ดีสเตชั่น ได้เชิญนักวิชาการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2 คนคือ ผศ.ดร.จารุพรรณ กุลดิลก กับ อ.ดร.สุดา รังกุพันธุ์   ดีสเตชั่นมีความสนใจในเรื่องที่สองสาวนี้ ได้ไปปรากฏตัวร่วมในงานปิดประชุมเอเซียนซัมมิต ในวันที่ 1 มีนาคม 2552 โดยได้สวมเสื้อสีแดงซึ่งเป็นสัญลักษ์ของประชาชน นปช.ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีถ่ายรูปร่วมกับผู้นำอาเซียน และบังเอิญมีผู้หญิงสวมชุดแดงอยู่อีก1คนบนเวทีด้วยกัน คือเป็นถึงประธานาธิบดี กลอเรีย อาโรโยแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ผู้เคยบัญญัติศัพท์แนวการพัฒนาไทยยุคทักษิณว่าเป็นระดับลัทธิธรรมคือ ทักษิโณมิคส์ รวมเป็นสามสาวเสื้อแดงบนเวทีอาเซียนซัมมิตวันนั้น  บ่งไปถึงศักดิ์ศรีของคนเสื้อแดงอย่างสูงสุด  ท่านทั้ง 2 นี้ได้ให้สัมภาษณ์ก่อแก้ว พิกุลทองกับ สาวยอดพิธีกรดีสเตชั่นวันนั้นว่า เคยร่วมขบวนการสนธิลิ้มมาก่อน แล้วถอนตัวออกมา เพราะเหตุที่ทนฟังความหยาบคาย อหังการอย่างไร้เหตุผลของขบวนการนั้นไม่ได้ และทั้งไม่เห็นว่าเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแต่อย่างไร   เช่นเดียวกับคนจำนวนมากที่ถอนตัวด้วยเหตุผลทำนองเดียวกัน กล่าวคือ เพราะได้รู้ความจริง อะไรเป็นอะไรเกี่ยวกับขบวนการม็อบสนธิลิ้ม-จำลอง-ประชาธิปัตย์ นั่นเอง

 

ในวันที่ 4 มีนาคม วันเดียวกันนี้ได้พบว่า ASTV ซึ่งเป็นทีวีโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มสนธิลิ้ม จำลอง ประชาธิปัตย์ ที่มีบทบาทอย่างมากมายในการโฆษณาสร้างสถานการณ์หลอกลวงประชาชนว่าชาติอยู่ระหว่างอันตรายอันยิ่งใหญ่ ประชาชนไทยผู้รักชาติจะต้องลุกขึ้นรีบไปกู้ชาติ เอาประเทศไทยของเราคืนมา ในยุคทักษิณ  ตลอดมาถึงยุคอหังการยึดทำเนียบรัฐบาลครอบครองไว้เป็นเวลาถึง 193 วัน ยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT ยุคยึดรัฐสภา และยึดสนามบินสุวรรณภูมิ (ไม่นับยึดสนามบินอีก 3 แห่งในภาคใต้) รวมทั้งอหังการ(อย่างไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง) ปิดเส้นทางพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการเสด็จไปประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ 

วันนี้
ASTV ทีวีโฆษณาชวนเชื่อแห่งนั้น ได้ถ่ายทอดสดสิ่งที่เขาเรียกว่า คอนเสิตการเมือง จากเกาะสมุย อ. เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ระหว่างเวลา ประมาณ 19.00 น. ถึงเวลา 21.30 น. มีนายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข, นายจำลอง ศรีเมือง  และนายพิภพ ธงชัย  มีนายเติมศักดิ์ จารุปราณ ทำหน้าที่เหมือนผู้ดำเนินการอภิปราย ( ไม่เห็นนายสมเกียรติ์ พงษ์ไพบูลย์ สส.พรรคประชาธิปัตย์ แกนนำอีกคนหนึ่ง)  รายการวันนี้ มีผลมาจากทางตำรวจได้ออกหมายเรียกคนกลุ่มนี้จำนวน 21 คน ให้ไปรายงานตัวต่อตำรวจ ข้อหาบุกยึดรัฐสภา ทำให้รัฐมนตรีและสส.  สว. ออกไม่ได้ เป็นการหน่วงเหนี่ยวเสรีภาพผู้อื่น คนกลุ่มนี้จึงออกมาทวงบุญคุณจากรัฐบาลประชาธิปัตย์  ลำเลิกว่าเพราะผลงานขับไล่รัฐบาลของพวกเขาพรรคประชาธิปัตย์จึงได้เป็นรัฐบาลในวันนี้ การออกหมายเรียกแสดงถึงการทรยศ บัดนี้สงสัยว่าพรรคประชาธิปัตย์จะทรยศ ไม่ให้ความช่วยเหลือฝ่ายตนให้พ้นความผิด  ระแวงว่าจะไปเข้าข้างประชาชนเสื้อแดง คือประชาชนเพื่อประชาธิปไตย  และก่อนหน้านี้ไม่กี่วันนายสนธิก็ได้พูดผ่านเอเอสทีวีไปอย่างเกรี้ยวกราดว่า  นายสุเทพได้ขึ้นวอก็เพราะพวกเขา พันธมิตรสนธิ-จำลอง ฯ  

 

วันนี้นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้เรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์-สุเทพ รีบ ๆ สร้างผลงาน เพราะโดนโจมตีและปรากฏทุจริตขึ้นมากมายในรัฐบาลนี้แม้เมื่อบริหารงานมาไม่ถึง 2 เดือน ตัวอย่างเช่น กรณีปลากระป๋องเน่า  นมบูด  จนเป็นเหตุให้รัฐมนตรีคนหนึ่งถึงกับต้องลาออกไป  นายสนธิเกรงว่าหากรัฐบาลประชาธิปัตย์พังไปแล้วพวกเขาก็จะอยู่ลำบาก นายสนธิ์ ลิ้มทองกุล มีความระแวงสงสัยจะถูกหักหลัง  ได้ตะโกนก้องออกชื่อ นายชวน หลีกภัย นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน  และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ  ว่าให้พูดให้ชัดเจนว่าจะเข้าข้างใด  การพูดว่า เหลืองก็ไม่เอา  แดงก็ไม่เอานั่นใช้ไม่ได้  จะต้องเลือกเอาข้างใดข้างหนึ่งข้างเดียว ถึงเวลาที่คุณต้องเลือกข้าง คุณอย่าพูดว่าไม่มีเหลืองไม่มีแดง  เหลืองก็ไม่เอา แดงก็ไม่เอา แล้วมึงจะเอาอะไร?  ถ้านายสุเทพไม่จัดการภัทรวาท วงศ์สุวรรณ  อำนวย นิ่มมโน  แสดงว่า นายสุเทพไม่จริงใจต่อพันธมิตร์ม็อบสนธิ  เมื่อนั้นแหละพรรคของพันธมิตรจะเกิดขึ้นทันที (เขาหมายถึงการตั้งพรรคการเมืองของพวกเขา)   แล้วก็เปิดเผยแผนการลับ  กี่สิบปีแล้วที่ชาวใต้เราได้เลือกพรรคประชาธิปัตย์ แล้วพรรคประชาธิปัตย์สร้างผลงานอะไรบ้าง ขอโอกาสเราสักครั้ง ถ้ากำจัดทักษิณไม่ได้ก็ไม่ต้องเอาเรา  พี่ชวนช่วยบอกคุณสุเทพทำงานหน่อย  ( ป่านนี้นายสนธิ ลิ้มทองกุล ยังคงเคียดแค้นพยาบาทต่ออดีตนายก ทักษิณ ชินวัตร อยู่ ทั้ง ๆ ที่ท่านอดีตนายก ไม่ได้คิดรังเกียจนายสนธินี้เลย  บางทีคำว่า กุ๊ยข้างถนน จะเป็นคำพูดที่แสลงหูของเขาก็เป็นได้ จึงแค้นมีอุปมาเหมือนงูที่ถูกตีจนหลังหักตามโคลงโลกนิตินั่นเทียว )

 

ทางดีสเตชั่นวันนี้  ดูเหมือนจะเรียนรู้ ตามทันทุกเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงของ สนธิ ลิ้มทองกุล และขบวนการม็อบพันธมิตรสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์แล้ว และกำลังย่ำตามรอยไปอย่างมิให้คลาดคลา เพื่อหวังดับเพลิงปลิดชีพเสีย ด้วยความจริง  จึงได้เปิดเผยความจริงของคนเหล่านี้ออกไปเรื่อย ๆ และประชาชนก็เรียนรู้ได้เร็ว แท้จริงประชาชนทั่วประเทศก็ได้เห็นและรายงานทางสื่อที่ยืนยันว่า  ม็อบพันธมิตรสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ที่ทำความผิดต่อแผ่นดิน อย่างไร  ไม่มีใครที่จะไม่รู้ว่าม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ทำผิดอย่างไร  อย่างน้อยในระยะหลัง ๆที่สุดนับแต่รัฐบาลท่านสมัคร สุนทรเวชมา ก็ 6 รายการใหญ่ ๆ คือ

1.    พาพวกปิดกั้นถนนหนทาง  แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จไปประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ ก็ต้องเสด็จเลี่ยงไปทั้ง 6 วันแห่งพระราชพิธีสำคัญนั้น

2.     ยกพวกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ไล่คณะรัฐมนตรีออกไปจากทำเนียบและยึดทำเนียบไว้เป็นเวลา 193 วัน  

3.     ยกพวกไปปิดล้อมรัฐสภา 2 ครั้ง ครั้งสุดท้ายทำให้คณะรัฐมนตรี และสมาชิกรัฐสภาออกไม่ได้ ต้องปีนบันไดฉุกเฉินออกทางหลังรัฐสภา

4.     ยกพวกปิดล้อมและยึดสถานีโทรทัศน์ NBT  ไล่เจ้าหน้าที่ออกไปเพื่อทำการใช้งานเอง

5.     ยกพวกเข้ายึดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง อันเป็นสนามบินนานาชาติ  อันเป็นเหตุให้คนต่างชาติหลายหมื่นคนเดือดร้อน และประเทศไทยเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

6.     กล่าวหาคนอื่น ด้วยวาจาหยาบคาย ใช้แต่คำดุด่า บริภาษคนทั้งหลายอย่างเต็มที่
            ( จากบันทึกของหนังสือพิมพ์ดีอินเทอเนท http://newworldbelieve.net โปรดคลิกเพื่อติดตามไปดู)

 

ยังมีความผิดของ ASTV และม็อบสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ ที่ร้ายแรงในฐานะตัวการหลอกลวงประชาชนก็คือ ในระยะก่อนสนธิ บุณยรัตกลิน ทำการปฏิรูปการเมือง 19 ก.ย.2549  ASTV ได้ทำการโฆษณาปลุกเร้าเพื่อระดมมวลชนอยู่อย่างเต็มที่ด้วยกลยุทธการโฆษณาชวนเชื่อทุกรูปแบบ ( คือเอาเรื่องไม่จริงมาพูดขึ้นเพื่อเร้าอารมณ์ให้คนทั้งหลายเกลียดชังคนอื่นที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับตน เป้าหมายคือรัฐบาลทักษิณ รวมทั้งตัวทักษิณเอง รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย และตัวบุคคลต่อ ๆ มา จนกระทั่งนายสนธิโดนฟ้องร้องไปกว่า 60 คดีในระยะนั้น ซึ่งหมายความว่านายสนธิ ลิ้มทองกุลคงตายในคุกอย่างแน่นอน การต่อสู้โฆษณาของเขาจึงรุนแรง เป็นแบบตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊ง ซึ่งเป็นการต่อสู้แบบหมาจนตรอกมาจนถึงบัดนี้ ) ที่เห็นชัดเจนว่าเป็นความผิดในการหลอกลวงประชาชนไทยทั้งชาติก็คือ  ปลุกระดมมวลชนว่า ประเทศไทยตกอยู่ระหว่างอันตรายอย่างยิ่งใหญ่ ประชาชนทั้งชาติต้องออกมาช่วยกันกู้ชาติ เอาประเทศไทยของเราคืนมา  เอาแผ่นดินของเราคืนมา  เอาเขาพระวิหารคืนมา  ซึ่งอิงอยู่กับการให้ร้ายอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นผู้สร้างระบอบที่จะสร้างความล่มจมให้แด่ประเทศชาติ ถ้าไม่กู้ชาติจากทักษิณแล้ว  ชาติจะต้องวอดวายบรรลัยลงไปอย่างแน่นอน   แล้วจึงร่วมมือกับทหารทำรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 และสร้างรัฐธรรมนูญ 2550 ขึ้นมาปกป้องหมู่กลุ่มของตน แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับแพ้เลือกตั้งเมื่อ 26 ธันวาคม 2550  ก็เลยเดินเรื่องกู้ชาติ เอาประเทศไทยของเราคืนมาต่อไป  จนท้ายที่สุด หลังทำลายรัฐบาลสมัคร และรัฐบาลสมชาย จนในที่สุด ได้ครองอำนาจสมใจ โดยพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นแนวร่วมกู้ชาติ เอาประเทศไทยกลับคืนมาสู่อำนาจตนได้อย่างสมบูรณ์ โดยได้เป็นรัฐบาล  

 

และครั้นเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้เป็นนายกรัฐมนตรี คนทั้งหลายก็สิ้นสงสัยว่าพรรคประชาธิปัตย์มีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งขนาดใดกับม็อบพันธมิตรจำลอง-สนธิ-ประชาธิปัตย์ และทหาร นั่นหมายถึงมีส่วนในการกระทำความผิดต่อแผ่นดิน 6 รายการใหญ่ ๆ ข้างต้น และแล้วภายในเวลาไม่ถึงสามเดือนเท่านั้นเอง  รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ และแนวร่วมกู้ชาติสนธิ-จำลองคราวนั้น  ก็กำลังบริหารอำนาจในมืออย่างโง่เขลา เพราะกำลังจะทำให้ประเทศไทยล่มจมลงไป ดิ่งลงสู่ความหายนะไปตามลำดับ ๆ นี่หรือคือการกู้ชาติของพวกท่าน? 

วันนี้จึงได้พิศูจน์อย่างชัดเจนว่าระบอบที่ทำลายชาติให้ล่มจม ควรที่ประชาชนทั่วประเทศ ผู้เป็นเจ้าของประเทศตามหลักการของประชาธิปไตย อำนาจเป็นของประชาชน ที่จะต้องร่วมมือกันกู้ชาตินั้นแท้จริงคือระบอบประชาธิปัตย์นี่เอง  ในขณะเดียวกัน อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรมิได้ทำลายชาติ แต่สร้างชาติ   เพราะมีสิ่งพิศูจน์แก่ตามหาประชาชน  อย่างชัดเจนว่า  ม็อบทำลายชาติ หลอกลวงประชาชนให้มาร่วมกันกู้ชาติ เอาประเทศไทยของเราคืนมา  นี่คือม็อบพันธมิตร สนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์ ทิ่กำลังทำประเทศไทยล่มจมอยู่ในขณะนี้นั่นเอง

ยังมีประเด็นที่สำคัญไปอีกนั่นคือ
วันนี้ เมื่อพรรคประชาธิปัตย์โดยการนำของนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ โดยเป็นนายกรัฐมนตรี  ย่อมต้องทำหน้าที่ผู้รักษาความเป็นธรรมในแผ่นดิน  และในฐานะรัฐบาลผู้ต้องมีหน้าที่รักษาความยุติธรรมตามกฎหมาย นั่นคือการพิทักษ์ความเป็นนิติรัฐ พิทักษ์นิติธรรม และพิทักษ์หลักนิติศาสตร์

 

และนอกจากนี้แล้วรัฐบาลอภิสิทธิ์ยังต้องมองสูงไปอีกคือมองที่สถาบัน  ท่านต้องมองว่ารัฐบาลเป็นสถาบัน  และเป็นสถาบันสูงสุดในระบอบประชาธิปไตย  จึงต้องระวัง อย่าทำลายสถาบันรัฐบาล  เพราะรัฐบาลคือสถาบัน ท่านเข้าใจหรือไม่? (อย่าทำให้เสียชื่อรัฐบาลไทยในรูปรวม จะทำให้ต่างชาติดูถูกดูหมิ่นรัฐบาลไทย)  ท่านทำลายตัวเองได้ แต่สถาบันต้องตั้งอยู่และให้มีความมั่นคง ทรงธรรมต่อไป  เพื่อประชาธิปไตย  มิฉะนั้น เท่ากับทำลายประชาธิปไตย  นั่นเป็นความผิดอันยิ่งใหญ่  เพราะเจ้าของประเทศคือประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจการปกครองแผ่นดินที่แท้จริง พวกเขาจะไม่ยอมแก่โจรร้ายผู้ทำลายประชาธิปไตย 

 

     

·        หนังสือพิมพ์ดี ( อินเทอเนท )

      5 มี.ค. 2552

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  

 8.   การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลวันแรก 19 มี.ค. 2551
       ภาพที่เห็น  เสียงที่ได้ยิน

ร.ต.อ. ดร.เฉลิม อยู่บำรุง พูดเรื่องบริษัท เมสไสยอะ ค่อนข้างอันตราย ต่อสถานะของรัฐบาล แต่เรื่องราวความเป็นมาค่อนข้างยาวและสลับซับซ้อน  ประชาชนอาจจะตามไม่ทัน  ควรจะได้ติดตามไปฟังคำอธิบาย หรือฟังซ้ำอีกหลาย ๆ ครั้ง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง NBT น่าจะนำออกซ้ำทั้งหมด   เราหมายถึงทางฝ่ายรัฐบาลด้วย ควรจะได้ฟังซ้ำหลาย ๆ ครั้ง  แต่แน่ละ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  ไม่มีทางตอบโต้อย่างอื่นนอกจากทำเป็นว่าเรื่องที่ถูกกล่าวหาเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ  ทำเป็นว่าพรรคฝ่ายค้านเอาเรื่องที่น่าขบขันมากล่าวหาอะไรทำนองนั้น  ซึ่งแท้จริงรัฐบาลไม่น่าจะมองเช่นนั้น  หรือจริง ๆ นายอภิสิทธิ  อาจจะนึกเสียวสยองใจอยู่ก็เป็นได้  

ครั้นถึงคราวนายจตุพร พรหมพันธ์ กล่าวหาเรื่องนายกรัฐมนตรีหนีทหาร และซึ่งมีประเด็นย่อย ๆ อยู่อีกหลายประเด็น ที่น่าเป็นอันตรายทั้งนั้น โดยเฉพาะประเด็นที่ซ่อนในประเด็นอีกทีเหนึ่ง ที่แฝงนัยยะสำคัญคือทำเอกสารเท็จ นายอภิสิทธิ์ ก็ตอบโต้โดยวิธีเดียวกันคือทำเป็นว่าเรื่องที่นำมากล่าวหาเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ  ทำเป็นว่าพรรคฝ่ายค้านเอาเรื่องที่น่าขบขันมากล่าวหาอะไรทำนองนั้น  

ครั้นถึงท่านสส. ดร.สุนัย จุลพงศ์ธร อภิปรายแบบรวบตั้งแต่นายกรัฐมนตรี ถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ว่าโกงงบประมาณสำนักงานการอาชีวะศึกษา อย่างไร อย่างละเอียด มีหลักฐาน ที่น่ารับฟังอย่างยิ่งนั้น  ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ รมช.ศธ. ซึ่งเป็นสตรี (นางนริศรา ชวาลตันพิพัฒน์) แก้แทน ก็ดูเหมือนจะไม่ยอมรับฟัง ทำเป็นว่าที่เขาเอามาเสนอเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ซ้ำ รมช.หญิงท่านนี้ยังย้อนเอาว่า  นั่นเป็นผลงานของรัฐบาลเก่า รัฐบาลของท่านผู้อภิปรายทำมาก่อน ( นี่คืออุปนิสัย เอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าคนอื่น  ที่น่ารังเกียจมากสำหรับระบอบประชาธิปไตย  เหตุที่ไม่มีความเคารพในความเป็นมนุษย์ของคนอื่น ขนาด รมช.ผู้หญิงยังขนาดนี้...)

แต่การณ์เฉพาะหน้าในสภาอย่างนี้    พลพรรครัฐบาล ประชาธิปัตย์ เหมือนรวมกันคอยทีอยู่อย่างสงบ แต่เตรียมพร้อม ดูเหมือนที่สื่อมวลชน และนักวิจารณ์สภาไทย เคยระบุไว้ว่า เป็นกริยาของหมู่ (ขอโทษ เขาเปรียบเทียบว่าเหมือน  หมาหมู่  เตรียมจะเข้ากัด  พอตัวหนึ่งขยับ อีกตัวก็ขยับพร้อม ๆ กัน ยุบยับ ๆ ไปหมด )  และก็จริงอย่างนั้น  พอซุ่มอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง จนคิดว่าเหยื่อตายใจแล้ว ก็เริ่มเห่าและรุมเข้ากัด ( นี่เป็นภาพที่เห็นมานานในรัฐสภาไทย ที่น่าแก้ไขเสียที  แต่ก็ยังคงเห็นอยุ๋ ) จนกระทั่ง นาย เจ๊ะ อามิง โต๊ะตาหยง  สส.นราธิวาส พรรคประชาธิปัตย์ ต้องถูกลงโทษ โดยอัปเปหิตนเองออกนอกห้องประชุมไป

ส่วน สส.พรรคประชาธิปัตย์ อีกคนหนึ่ง(สส.อภิชาติ สุภาแพ่ง)ลุกขึ้นพูดว่า  นายกรัฐมนตรีของผมกำลังสงสัยที่ สส.สุนัย และ สส. ร.ต.ท.เชาวรินทร์ ลัทธศักดิ์ศิริ รุมโจมตี และประเด็นที่ว่าท่านอภิสิทธิ เวชชาชีวะ ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีตัวจริง  นายกรัฐมนตรีตัวจริงเป็นใคร ท่านกลัวว่าท่านจะไม่ใช่นายกรัฐมนตรีตัวจริง มองดูตัวเองอยู่จนหน้าซีดขาวตัวสั่นไปหมด  ให้คุณสุนัยระบุออกมาว่า ใครคือนายกรัฐมนตรีตัวจริง  จนกระทั่งท่านประธานสภา ชัย ชิดชอบ ต้องบอกเอง ว่าใครคือนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย บอกให้แล้ว สส.ท่านนี้ก็ยังงงอยู่ เมื่อท่านชัย บอกว่า  ใคร ๆ ก็รู้ว่านายกรัฐมนตรีตัวจริงคือ นายประสิทธิ์ เวชชาชีวะ   แต่ สส.ท่านนั้นก็ยอมจำนน โดยเข้าใจว่าได้คำตอบแล้ว (ความจริงท่านประธานสภาฯบอกชื่อผิด ชื่อที่ผิดคือ ประสิทธิ์ เวชชาชีวะ ชื่อที่ถูกคือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  ท่านเคยบอกชื่อผิดมาแล้วครั้งหนึ่งคือ บอกให้คุณรสนา โตสิตระกูล นั่งลง  ท่านบอกว่า คุณรจจะนา โตสิตระกูล นั่งลงเถอะ ๆ)

ต่อมา อาจารย์มหาวิทยาลัยขอนแก่นท่านหนึ่งบอกว่า  น่าเสียดายที่การอภิปรายมุ่งประเด็นการเมืองเกินไป จนละเลยประเด็นทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นประเด็นร้อนที่สุดในขณะนี้  เราเห็นด้วย น่าจะได้เห็นการอภิปรายปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างเผ็ดร้อน พร้อมหลักวิชาการอย่างเต็มที่ในวันที่เหลือ 1 วันนี้

และคนทั้งหลายก็คงคาดหวังได้ว่า การต่อสู้ภาคภายในรัฐสภาจะจบลงอย่างไร  แต่แน่ ๆ ไม่พ้นคนเสื้อแดง จะต้องจัดการประเทศ ตามระบอบประชาธิปไตยทางตรงต่อไป

 

·         นสพ.ดี (อินเทอเนต)
20 มี.ค. 2552

 

 

 

 

 

 

 

 

 9.   เรียน บก.นสพ.ดี ที่นับถือยิ่ง
      ไม่ไว้วางใจนายกร จาติกวณิช รมว.คลัง

ผมมีเรื่องเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือครับ ผมใช้โทรศัพท์มาก วันหนึ่ง 200 บาทเป็นอย่างน้อย  มาในระยะหลังมานี้ ผมรู้สึกว่าถูกโกง แล้วผมไม่รู้จะทำอย่างไร จึงแค้นมาก เพราะสังเกตว่า ยอดเงินในโทรศัพท์หายไปอย่างค่อนข้างรวดเร็วมาก  วันนี้เอง ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้พูดกับใครเลยสักครั้งเดียว พบว่าเงินหายไปร่วม 50 บาทแล้ว ห่วยจริง ๆ   แต่เดิมจริง ๆ ผมจะไม่ค่อยตรวจดูว่าเขาหักอะไรบ้าง มารู้สึกภายหลังว่าบริการต่าง ๆ ทางโทรศัพท์มือถือนั้น เขาหักเงินเราเอาตามอัตโนมัตของเขาทั้งนั้น   ซึ่งบางรายการ เราไม่ได้ต้องการแต่เข้ามาในโทรศัพท์เราเมื่อไรเราก็ไม่รู้  เช่นมีรายการของ Dr.Fit ที่ส่ง SMS เข้ามา วันละหลายรายการ  นี่เขาก็หักเรา โดยที่เราไม่ได้ขอ  และครั้นเราจะบอกเลิก เราก็ไม่รู้กลไกของระบบ จึงจำต้องรับข่าวสารเขาและจ่ายเงินให้เขาโดยจำยอม ซึ่งผมว่านี่คือการโกงกันชัด ๆ  โดยบริษัทโทรศัพท์มีเจตนาจับจ้องเอาคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวกับกลไกของระบบเป็นเหยื่ออย่างหน้าด้าน ๆ 

ต่อมาเมื่อค่อยเรียนรู้ จึงค่อยลบรายการ SMS ต่าง ๆ ออกไป รวมทั้งเพลงรอสาย ด้วย  แต่ขณะนี้ ผมจนอยู่สิ่งหนึ่ง คือเวลาเราโทร.ไปไม่มีใครรับสาย จะมีเสียงผู้หญิงบอกว่า  บริการฝากหมายเลขโทรกลับ  Call back Service  ภาษาไทยกด 1 ภาษาอังกฤษกด 2 ผมก็นึกว่าดี ก็กด 1 ที่ผมไม่พอใจก็คือผมไม่เคยคิดว่าผมจะต้องจ่ายจึงกด 1 กด 1 ทันทีทุกครั้ง โดยที่ผมไม่คิดว่าผมต้องจ่ายเงิน แต่ในเร็ว ๆ นี้ ผมได้พบว่า  เขาโกงผมไปอีก  หมายถึงโกงผู้ใช้โทรศัพท์ทั้งแผ่นดินด้วย  คือเขาขึ้นราคาไปอีกครับ จาก 3 บาท เป็น 6 บาท ผมใช้ความคิดมานานว่าผมจะทำอย่างไรกับบริษัทโทรศัพท์เหล่านี้ ก็พอดีได้ฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล  ได้ยินนายกร จาติกวณิช  รมต.คลังพูดถึงเรื่องขอความร่วมมือกับโทรศัพท์ วันทูคอล ดีแทก และทรูมูฟ เพื่อให้ร่วมโครงการสมานสามัคคีในชาติ ผมได้ยินว่า รัฐบาลมีส่วนในค่าโทรศัพท์รายการนั้น โดยนายกรบอกว่า บริการฝากหมายเลขโทรศัพท์ตอบกลับ ครั้งละ 3 บาท  ตรงนี้แหละทำให้ผมทราบว่ารัฐบาลมีส่วนในรายได้ครั้งละ 3 บาทนั้นด้วย    แต่แล้ว  รัฐบาลคงจะโกง เพราะบัดนี้ไม่ใช่ 3 บาทแล้ว  แต่เป็น 6 บาท  ไม่ใช่ 3 บาทตามที่นายกรบอกกลางสภา(เขาแอบขึ้นเป็นครั้ง ๆ คราว ๆ ด้วย น่าอดสูใจจังเลย)  มิน่าผมจึงต้องตกใจเมื่อพบเงินโทรศัพท์ผมลดไปฮวบ ๆ ไม่เชื่อประชาชนตรวจสอบดูได้เองครับ ( ก่อนโทร.ให้ดูก่อนว่ามีเงินอยู่เท่าไร  หลังโทร์ให้ดูอีกครั้ง)

ผมจึงอยากตะโกนดัง ๆ ว่า บริษัทโทรศัพท์ อย่างน้อยก็ 3 บริษัทคือ วันทูคอล ดีแทก ทรูมูฟ โกง เอาเปรียบประชาชนทั้งแผ่นดิน ทั้งโลก เอาเปรียบคนทั่วไปผู้ไม่รู้เรื่องกลไกระบบ ตั้งใจหากินกับคนโง่  และนายกร จาติกวณิช จะต้องรับผิดชอบ   และผมขอไม่ไว้วางใจนายกร จาติกวณิช นอกรัฐสภา  ผมไม่ให้ความไว้วางใจในการบริหารราชการแผ่นดินต่อไป และใครก็ได้ในรัฐบาลห่วย ๆ นี้ช่วยทำให้เป็นธรรมทีเถิด ฮ่วย !!!!

·         จากผม 
จาน  ประครองจิต

 

 

 

5.     ข้อสังเกตการประชุม10สุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 14 ใน 28 ก.พ.-1 มี.ค.2552 
6.     ประเทศไทย อะไรเป็นอะไร? ASTV ปะทะ DStation     
        รัฐบาลประชาธิปัตย์กับสถาบันสูงสุดของชาติในระบอบประชาธิปไตย

7.      รัฐบาลอภิสิทธิ์ดำเนินการเรื่องปฏิรูปการเมืองให้สถาบันพระปกเกล้าดำเนินการ  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 10    การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลวันที่ 2 : 20 มี.ค. 2551
        ภาพที่เห็น  เสียงที่ได้ยิน ( 2 )

ในภาพรวม ไม่มีอะไร นอกจากเห็นหน้า สส.คนหนึ่ง ของพรรคประชาธิปัตย์ กทม. คอยแต่ประท้วง ประท้วงตลอดเวลา ตั้งแต่เริ่มประชุม นับตั้งแต่ประท้วงผู้อภิปราย ฝ่ายค้าน, ประท้วงพรรคฝ่ายค้านที่ประท้วง และที่ประท้วงบ่อยคือประท้วงประธานสภาและออกคำสั่งแก่ประธานสภา ว่าประธานสภาต้องสั่งการอย่างนั้นสั่งการอย่างนี้จึงจะถูกต้อง ประธานสภาทำผิดข้อบังคับข้อนั้นข้อนี้ ( ตามสำนวนเดิมว่า ทำการควบคุม อบรมสั่งสอนประธานสภา เพื่อให้อยู่ในโอวาท ) สส.ท่านนี้คือ สส.ธนา จีรวณิช สส.ประชาธิปัตย์ กทม.  เราคิดว่า สส.ท่านนี้ไม่เข้าใจระบอบประชาธิปไตย ในแง่ที่ว่า จริยธรรม  ประชาธิปไตยต้องรู้จักเผื่อแผ่  ท่านเอาเวลาการประท้วงไปเป็นของท่านเสียทั้งหมด ไม่คิดถึงการแบ่งปันคนอื่นเลยเช่นนี้ เป็นความเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง    นักประชาธิปไตยในสภา จะต้องเข้าใจว่า คนอื่นเขาก็มีสิทธิ์เท่าเทียมกับท่าน ๆ จะต้องเผื่อแผ่เสมอ  จะเห็นแก่ตัว รวบเอาเวลาการประท้วงไปเป็นของตัวเองคนเดียวได้อย่างไร 

เวลาประมาณ 12.40 น. นายสมคิด บานไธสงค์  สส.หนองคาย หนึ่งในผู้อภิปรายผู้กล้าแกร่งของฝ่ายค้านบัญญัติว่า รัฐบาลนี้นำทฤษฎีของลัทธิ มาร์ค-เนวิน มาบริหารประเทศ ทำลายรัฐบาลประชาธิปไตย ไปถึง 3 รัฐบาล อภิปรายไปไม่นาน ก็เกิดการประท้วงเป็นระนาว เมื่อเขาอภิปรายถึงการเป็นรัฐบาลที่ไม่สง่างามของนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ  และครั้นเวลาต่อมาตอนสุดท้ายของการอภิปราย( เวลา 13.00 น. ถึง 13.10 น.) คลื่นรบกวนการถ่ายทอดสด ก็ถี่ขึ้น จนในที่สุดภาพและเสียงของนายสมคิด หายไปจากจอแก้ว  ทั้งจอที่ถ่ายทอดผ่านดาวเทียมและจอที่ผ่านเคเบิลท้องถิ่น  ไม่มีประชาชนคนไหนได้รับทราบเสียงการอภิปรายของสมคิด บานไธสงค์ ในช่วงนี้ จึงไม่ทราบว่าเขาจบลงอย่างไร  (กระทั่งภาพนายจตุพร พรหมพันธ์ ผู้อภิปรายคนต่อไปปรากฏขึ้น ท้วงว่านายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ ยังไม่ได้ส่งเอกสารหลักฐานการเกณฑ์ทหารให้ประธานสภา)  แปลว่ามีช่วงหนึ่งของการอภิปรายโดย สส.สมคิด บานไธสงค์ ขาดหายไปทั้งหมดด้วยการสร้างคลื่นรบกวนจากภายนอกรัฐสภา ทำการตัดคลื่นวิทยุที่ถ่ายทอดไปเสีย  การใช้คลื่นรบกวนการถ่ายทอดการอภิปรายของรัฐสภา นี่คือการดูหมิ่นสถาบันประชาชน

ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นได้ ? นี่คือคำถาม  ที่ซึ่งแสดงหลักฐานที่ยืนยันว่า อำนาจของรัฐสภา และอำนาจของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มิใช่อำนาจสูงสุด ตามระบอบประชาธิปไตยของประชาชนไทย แต่เป็นสิ่งชี้หลักฐานว่ามีอำนาจเหนือรัฐสภา และอำนาจเหนือรัฐบาลที่สามารถดลบันดาลให้เป็นไป  ที่จะบ่งไปถึงอำนาจ นายกรัฐมนตรีที่แท้จริง อยู่นอกรัฐสภา จริงหรือไม่ ?  นั่นหมายความว่า อมาตยาธิปไตยอยู่เหนือรัฐบาลอภิสิทธิ์  เรื่องการรบกวนคลื่นถ่ายทอดวันนี้ ต้องเป็นประวัติศาสตร์ และเป็นเรื่องยาวแน่ ๆ  โดยเหตุที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ จะต้องตอบมาให้ทราบว่า อำนาจที่กระทำการนี้มาจากหน่วยงานใด

นายกษิต ภิรมย์ ลุกขึ้นแก้ข้อกล่าวหา  เราคิดว่าเราฟังเขาไม่ค่อยรู้เรื่อง  แต่มีคำหนึ่งเขาว่า  พวกที่อยู่ในวอร์รูม เป็นพวกมือไม่ถึง   ไม่ทราบว่าหมายถึงพวกไหน  เดิมก็มีคน ๆ หนึ่งคนเดียวที่ชอบพูดเรื่องวอร์รูม( War Room)นี้ คือ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์  กษิต คงหมายถึงคนนี้กระมัง  มือไม่ถึง  กษิตนี้ขนาดอาจารย์มานิต จิตจันทร์กลับ ท่านยังนั่งไม่ติดเลย ต้องลุกขึ้นมาเสียบกับเขาบ้าง  กษิตวันนี้ได้แผลทั้งตัว ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต

เรื่องเขาพระวิหารศรีสะเกษ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พูดไปยาวอย่างดำน้ำ อย่างไม่รู้หลักฐาน  จน ธเนศร์ เครือรัตน์ สส.ศรีสะเกษ เพื่อไทย ผู้อภิปราย ต้องสะกิดว่า  ขอให้ท่านดูหลักฐาน อยู่ที่มือผมนี่   อภิสิทธิ์ ก็ซีด รีบพลิ้วตีกรรเชียงหนีไปตามลม   พอ ๆ กับ กร จาติกวณิช  ว่าการกู้หนีไม่เสียหายอย่างไร ถ้าทักษิณมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ วันนี้ ก็ต้องกู้เหมือนกัน อ้างทักษิณ ว่าทักษิณ ยังส่งเสริมให้ประชาชนเป็นหนี้ อ่านจากเอกสารทักษิณว่า ต้องใจถึง กล้าสู้ถ้าประหยัดและอดออมไม่ทันกิน  ...  การกู้ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ต้องรู้ว่ากู้มาทำอะไร?    งง !!!!!!!! นายกรไม่ฟังประโยคท้ายที่ว่า แต่ต้องรู้ว่ากู้มาทำอะไร.....

ตอนสรุป โดย ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง  ไม่ทราบว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ มาเมื่อไหร่  คงกลัวว่าพรรคประชาธิปัตย์จะถูกยุบ  ลุกขึ้นพูดอะไรบางคำ คล้ายว่า ถ้าประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบ เพื่อไทยก็ต้องถูกยุบ  ทำให้ฝ่ายค้านงง และฝ่ายค้านโดย ดร.เฉลิม ขอบอกความจริงว่าทำไมจึงไม่อภิปรายนายสุเทพ ก็เพราะฝ่ายค้านรังเกียจนายสุเทพ ไม่อยากพูดกับนายสุเทพ  ชื่อนายสุเทพเป็นเสนียดแก่ปากก็เลยไม่อยากพูดถึง มาพูดด้วยเราทำไมไปเสียไกล ๆ เลย   ทำนองนี้

สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็เลยต้องนั่งนิ่ง ไปจนปิดประชุม หกทุ่มพอดี

 

·         นสพ.ดี (อินเทอเนต)
21 มี.ค. 2552

 

 

 

  11.    ทักษิณโฟนอินศรีสะเกษ 
เรียน    บก.นสพ.ดี  ( อินเทอเนต )

ผมส่งข้อมูลเพิ่มเติมการชุมนุมของมวลชนคนเสื้อแดง แนบไฟล์มาพร้อมนี้
อ.สมจิตร

 

การชุมนุมของกลุ่มพลังมวลชนเสื้อแดงศรีสะเกษ

วันศุกร์ที่  20  มีนาคม  2552    วัดบ้านโนนสำนัก  อ.เมือง  จ.ศรีสะเกษ

 

เริ่มงานเมื่อเวลา 14.00  น.  มีคนเสื้อแดงเริ่มทยอยกันมาร่วมงาน  จนถึงเวลาประมาณ  18.00น. ผู้คนสวมเสื้อแดงมาร่วมพลังกันเต็มลานวัด  โดยประมาณไม่ต่ำกว่า  2,000  คน  จากทุกสาขาอาชีพ  ทั้งข้าราชการที่ปลดเกษียณและยังรับราชการอยู่จากหน่วยงานต่างๆ  พ่อค้า  ประชาชน ศิลปินพื้นบ้านทั้งในจังหวัดศรีสะเกษและคนเสื้อแดงจากอุบลราชธานี  คนเหล่านี้มาชุมนุมกันโดยจุดยืนเดียวกันคือ  เพื่อแสดงออกทางความคิดสติปัญญาว่า  การรัฐประหารที่เกิดขึ้นเริ่มตั้งแต่  วันที่  19  ธันวาคม  2549 มาจนถึงการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของปวงชนชาวไทยถึง 3  สมัย  แล้วจัดตั้งรัฐบาลเผด็จการของกลุ่มอำมาตยาธิปไตยขึ้นมาบริหารประเทศแทน  นับเป็นการละเมิดอธิปไตยทำลายเกียรติศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของปวงชนชาวไทยถึง  19  ล้านเสียง  เป้าหมายของการต่อสู้จึงเป็นการผนึกกำลังเพื่อโค่นล้มระบอบเผด็จการให้สิ้นซาก  เพราะเป็นภัยอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่ออิสรภาพของปวงชน  ขัดขวางความอยู่ดีกินดี  ความสงบสุขและเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติ 

แกนนำคนเสื้อแดงจากอำเภอต่างๆขึ้นมาปราศรัย  สลับกับการแสดงคอนเสิร์ต  และหมอลำการเมือง  การถ่ายทอดสดการประชุมสภาเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  กรณีการทวงคืนประสาทพระวิหาร  โดยนายธเนศ  เครือรัตน์  สส.เขต 1  ของจังหวัดศรีสะเกษ  ได้เห็นวาทะของท่านกษิต  ภิรมย์  รมต.ว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่กล่าวถึงสมเด็จอุนเซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาอย่างไม่เหมาะสมกับตำแหน่งที่ได้รับ  ขณะไปร่วมรายการคมชัดลึกของสถานีโทรทัศน์เดอะเนชั่น ได้เห็นส.ส. ศรีสะเกษทวงถามความรับผิดชอบจากนายกษิต  ภิรมย์  และ  รัฐบาลจากความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนศรีสะเกษ  จากการเปลี่ยนสนามการค้ามาเป็นสนามรบ  และสิ่งที่คนเสื้อแดงตั้งตารอคอยด้วยใจจดใจจ่อคือ  การโฟนอินของท่านอดีตนายกรัฐมนตรี  พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ  ชินวัตร 

ในที่สุด  เวลาประมาณ  20.40 21.00 น.  พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ  ชินวัตร  ได้โฟนอินเข้ามาถึงดร.ไสว  สดใส  อดีตรองอธิการบดี  มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ  แกนนำเสื้อแดงศรีสะเกษ  เพื่อพูดคุยกับพี่น้องประชาชน สัญญาว่าจะไม่ทิ้งประชาชน  จะกลับมาช่วยขจัดความเดือดร้อนของประชาชนฟื้นฟูเศรษฐกิจของชาติ  และจะร่วมต่อสู้เคียงข้างประชาชนเพื่อประชาธิปไตย  เตือนสติให้ใช้จ่ายอย่างประหยัด  เพราะต่อไปเงินทองจะหายากมาก  ถ้ากลับมาเมืองไทยจะมาทางอีสาน  ฝากฝังส.ส.ที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยให้พี่น้องประชาชนดูแล

ที่น่าประทับใจอย่างยิ่งก็คือ  การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงครั้งนี้เป็นการรวมพลังเพื่อแสวงหาอิสรภาพของความเป็นมนุษย์ตามระบอบประชาธิปไตยด้วยสันติวิธี  นับเป็นแบบอย่างที่ดีของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย  แม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มารักษาความปลอดภัยยังได้สัมผัสถึงความอบอุ่นเป็นมิตรของคนกลุ่มนี้  และในใจลึกๆของเจ้าหน้าที่ผู้รักความยุติธรรมคงอดชื่นชมไม่ได้กับความกล้าหาญเสียสละของกลุ่มคนเสื้อแดงที่กล้าลุกขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจมืดเพื่อเรียกร้องหาความถูกต้องเป็นธรรม  น่าเสียดายที่ระบบเสียงและแสงสว่างยังไม่สมบูรณ์เนื่องจากเป็นครั้งแรก  ทำให้การโฟนอินได้ยินเสียงไม่ชัดเจนบางช่วง  และแกนนำในส่วนกลางไม่ได้มาร่วมงาน  เนื่องจากในวันนั้นมีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในหลายจังหวัด  และการประชาสัมพันธ์ยังไม่ทั่วถึง  เพราะในวันรุ่งขึ้นได้ยินพี่น้องชาวจังหวัดศรีสะเกษบ่นว่าอยากไปร่วมแสดงพลังของคนเสื้อแดงเป็นจำนวนมาก  แต่ไม่ได้ไปเพราะไม่ทราบข่าว  หวังว่าการชุมนุมครั้งต่อไปคงจะปรับปรุงให้เข้มแข็งกว่านี้  เพราะคนเสื้อแดงมีอุดมการณ์ที่จะต่อสู้เพื่อความถูกต้องเป็นธรรมอยู่แล้ว

 

พิราบขาวศรีสะเกษ
21 มีนาคม 2552
 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

   12.   ปัญหาประชาธิปไตย
        ศึกษาที่ไปที่มาของประชาธิปไตย
        แท้จริงถอดมาจากหลักธรรมของพระพุทธศาสนา

 

จาก กระดานถาม-ตอบ ของ https://www.newworldbelieve.net
ผู้ตั้งกระทู้    ผู้ใช้นามแฝงว่า  10236   ตั้งกระทู้เมื่อ  6 กันยายน 2551

 

 

 

 

 

 

กระทู้

 

ช่วยตอบหน่อย ด่วน

ประชาธิปไตยทางโลกและทางธรรมแตกต่างกันและเหมือนกันอย่างไร ยกตัวอย่างหลายๆข้อ

ขอขอบคุณล่วงหน้าไว้นะที่นี้ด้วย

 

ผู้ตั้งกระทู้ 10236 :: วันที่ลงประกาศ 2008-06-06 11:09:40

 

 

 

 

 

ความเห็นที่ 1 (1280346)

 

 

ประเด็นที่1 ประชาธิปไตยทางโลกและทางธรรมแตกต่างกันอย่างไร   แตกต่างกันที่เป้าหมาย ทางโลกมุ่งหมายให้ประชาชนมีความสุขสงบด้วยวิถีอย่างโลก ๆ นั่นคือ ความสงบสุข มีเศรษฐกิจดีอุดมสมบูรณ์ มีเงินทอง ร่ำรวยโดยความขยันที่ถูกกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ระเบียบของสังคม พูดสั้น ๆ ก็คือประชาธิปไตยเชื่อว่าคนจำนวนมากคือประชาชนทั่วแผ่นดิน มีหัวคิดกันทุกคน  ไม่ควรกดความคิดของประชาชน  เปิดโอกาสให้เขาทำมาหากินอย่างอิสระ มีเป้าหมายที่ความอิ่ม  อิ่มอาหาร อิ่มยศฐาบรรดาศักดิ์ อิ่มลาภ อิ่มสรรเสริญ นี้เป็นเป้าหมาย  ประชาธิปไตยทางโลก    ส่วนประชาธิปไตยทางธรรม หมายถึงเป้าหมายแห่งธรรม คือการแสวงหาอย่างอิสระ ปราศจากการกดขี่ทางความคิด มีวิจารณญารเป็นของตนเองโดยเด็ดขาดในการวิเคราะห์ปัญหาเชิงภูมิปัญญา  โดยหลักทางศาสนาพุทธ คนต้องตรัสรู้ด้วยตนเอง   คนจึงต้องมีอิสระของพื้นฐานภูมิปัญญา หมายถึงมีอิสระที่จะคิด ที่จะใช้วิจารณญาณอย่างอิสระ เพื่อไปสู่การตรัสรู้   เป้าหมายประชาธิปไตยทางธรรมคือสังคมสงบสุขด้วยธรรม  ประชาชนมีธรรมเสมอกัน  ไม่ใช่เรื่องอามิส

 

ประเด็นที่ 2  ความเหมือนกัน   เหมือนกันตั้งแต่หลักการ  โดยตรงกันที่หลักการว่าด้วยความเป็นมนุษย์   ซึ่งหลักการนี้ได้มีการพัฒนาขึ้นในตะวันตกมีอังกฤษฝรั่งเศสเยอรมัน  ซึ่งในขณะนั้นถูกปกครองโดยศาสนจักร์ที่กรุงโรม  และเอาระบอบเทวสิทธิ์มาปกครองยุโรป  หมายถึงการปกครองโดยคณะผู้แทนของ ทพเจ้าเบื้องบน   มีคัมภีร์ทางศาสนาเป็นรัฐธรรมนูญ  ซึ่งคัมภีร์นี้ได้บัญญัติฐานะของมนุษย์ทั้งปวงไว้ว่าเป็นคนบาป  มีหน้าที่ต้องชำระบาปและรับใช้พระเจ้าทุกประการ นับแต่รับใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ ไปถึงการรับใช้ด้วยชีวิต  โดยไม่มีสิทธิ์คัดค้านเลย  มีหน้าที่ก้มหน้าก้มตาฟังคำสั่งของคณะผู้แทนพระเจ้าคือโป๊ปและคณะบาดหลวงที่กรุงโรมอย่างซื่อสัตย์  ซึ่งนี่คือการปกครองที่กดขี่ผู้ใต้ปกครอง และผู้ใต้ปกครองไม่มีความเป็นมนุษย์  ต่อเมื่อมีการขูดรีดของคณะผู้ปกครองจนร่ำรวยอย่างมหาศาล โปที่กรุงโรมมีฐานะกินดีอยู่ดียิ่งกว่ากษัตริย์เสียอีก  คนจึงเริ่มมองไปถึง ความเป็นมนุษย์  และได้พัฒนาต่อมาเป็นระบอบประชาธิปไตย  มีการปลดแอกจากอำนาจของพระเจ้า มาปกครองตนเอง  จัดระบอบการปกครองของมนุษย์ โดยมนุษย์ และเพื่อมนุษย์ขึ้น ตามที่เรารู้ดีว่า  การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนนั่นเอง   แต่นั่นเป้นการวิวัฒนาการมาของการปกครองตะวันตก   ในส่วนของพระพุทธศาสนา   ประชาธิปไตยคือคำสอนส่วนหลักของพระพุทธศาสนาโดยแท้จริง  เพราะว่าด้วยความเป้นมนุษย์  นั่นคือ  มนุษย์จะต้องช่วยตนเอง  (หลัก อัตตาหิ อัตตะโนนาโถ  ตนแลเป็นที่พึ่งของตน)  ประชาชนต้องปกครองตนเอง   นี่เป้นส่วนที่เหมือนกันทั้งประชาธิปไตยฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม

 

3.   ประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม หมายถึงจริยธรรมอันสูงสุด  คนในระบอบประชาธิปไตยต้องเคารพตนเอง  เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์   ในทางโลกต้องมีศักดิ์ศรีในฐานะที่ตนเองเป็นผู้มีอำนาจการปกครองประเทศคนหนึ่งทีเดียว ในการเลือกตั้งจะต้องดำรงตนมั่นคงในหน้าที่ของประชาชนผู้ปกครองตนเอง มีความรับผิดชอบอย่างสูงในการเลือกตั้ง   ในทางธรรมการประพฤติดีประพฤติชอบไม่ว่าทางกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม จะต้องทำด้วยสำนึกอิสระ เห็นเหตุเห็นผลด้วยภูมิปัญญาตนเอง   สังคมทางธรรมะ จึงเป้นสังคมที่มีความเห็นพ้องต้องกันในธรรมะ  ถ้าเป้นสังคมพระอรหันต์ท่านจะมีสิ่งที่เรียกว่าตรงกันด้วยจิตใจที่สะอาดปราศจากกิเลสเหมือนกัน  เมื่อหมู่พระอรหันต์มารวมกันเป้นหมื่นองค์ล้อมพระพุทธเจ้า  จึงเป้นสังคมอันสงบและปราศจากการเคลื่อนไหว  ที่สะท้อนความอิ่มเป้นนิจนิรันดร    ในทางโลก เมื่อสังคมมนุษย์ มีคนแต่ละคน มีความเคารพตนเอง  เคารพในความเป็นมนุษย์ รู้ธรรมมีหิริโอตตัปปะ คือ มีความละกลัวและละอายใจในการทำอะไรผิด ๆ หรือที่เห็นแก่ตัว  ควบคุมตัวเองได้ด้วยตนเอง  รู้ดีรู้ชั่วด้วยตนเอง  มีการศึกษาในจริยธรรมอย่างสูง  สังคมก็สงบ  เรียกว่าประชาธิปไตยอันสมบูรณ์

 

  • ผู้แสดงความคิดเห็น บุษบา บุญเสฏฐ์ วันที่ลงประกาศ 2008-06-08 21:41:45

 

 

 

 

 

ความเห็นที่ 2 (1282422)

 

 

คำว่า ประชาธิปไตย ภาษาไทยแปลมาจาก Democracy อันเป็นบัญญัติเดิมของนักรัฐศาสตร์ยุคเริ่มแรกแห่งตะวันตก  เรามาทำความเข้าใจทางภาษาก่อนก็พอจะให้เข้าใจหลักการของประชาธิปไตยไปได้ในระดับหนึ่ง

 

Democracy 

1. A form of government in which the people have a voice in the exercise of power,typically through elected representatives.

2. a state governed in such a way

3.  control of a group by the mojority of its members [Reader's Digest GREAT Dictionary of The English Language p.251]

 

ในภาษาไทยมีสั้น ๆ เป็นคำประกอบของคำว่า ประชา เป็นประชาธิปไตย

ประชาธิปไตย ระบอบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่, การถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่  (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน  พ.ศ.2542  หน้า656)

 

 

ต่อไปเป็นความเข้าใจโดยหลักการ

 

โดยหลักการแล้ว มีหลักการเบื้องต้นที่เราต้องเข้าใจก่อนก็คือ  การเมืองและการปกครองนั้น หมายถึงอำนาจ   ผู้ปกครองหมายถึงผู้ที่มีอำนาจเหนือคนทั้งหลายในแผ่นดิน     อย่างเช่นในยุโรป มีโป๊บและคณะบาดหลวงที่กรุงโรม มีอำนาจปกครองคนทั้งยุโรป ปกครองแม้กษัตริย์ในยุโรปมาเป็นเวลานานกว่า 1,000 ปี   ต่อเมื่อใช้อำนาจไปในทางที่กดขี่ประชาชน และเห็นแก่ตัว  เพราะคณะโป๊ปนี้เหยียดหยามประชาชนว่าเป็นคนบาป เป็นมวลชนที่รังเกียจของพระเจ้าเพราะความบาปของพวกเขา ( เนื่องจากมนุษย์คู่แรกของต้นตระกูลมนุษย์ร่วมกันทำบาป คืออีวาและอีฟ ก่อกรรมบัดสีด้วยกันในสวนเอเดน ฉะนั้นทายาทมนุษย์ทั้งหลายจึงเป็นคนบาป เป็นที่รังเกียจของพระเจ้า  จะต้องล้างบาปทั่วทุกตัวตน ตั้งแต่กระยาจกขอทานขึ้นไปถึงแม้กระทั่งกษัตริย์ ) 

 

ซึ่งต่อมาเมื่อ 1000 ปีหลังของศาสนาคริสต์ มนุษย์ยุโรป จึงเริ่มมองว่า การใช้อำนาจเช่นนี้ ไม่มีความเป็นธรรมแด่มนุษย์  และเริ่มต้นศึกษาทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เข้าใจเชิงเหตุและผลทางการปกครอง และชีวิตมนุษย์มากขึ้น   จนในที่สุดจึงมาพบความหมายของ ความเป็นมนุษย์  และความหมายที่ค้นพบคือ  มนุษย์นั้นคือเสรีชน  ไม่มีการดลบันดาลใดที่อาจช่วยมนุษย์ได้ นอกจากมือทั้งสองของมนุษย์เอง

 

ซึ่งจะเห็นว่า  นี่คือการที่นักการศึกษายุคเริ่มแรกประชาธิปไตยในยุโรปได้มารู้จักพระพุทธศาสนาและพบความหมายของคำว่ามนุษย์  ในฐานะมนุษย์ผู้ไม่มีการนับถือพระเจ้าเป็นสรณะ  แต่นับถือสติปัญญาของมนุษย์เองเป็นสรณะ   และการที่มนุษย์ทำดีได้ดีเพราะการกระทำของมนุษย์เองจากพระพุทธศาสนา

 

และนักรัฐศาสตร์รุ่นนั้น  นับแต่ จอห์น ล็อค และ โธมาส ฮอบบส์ ที่นักรัฐศาสตร์ไทยรู้จักเป็นบุคคลต้น ๆ  นำมาเขียนเป็นทฤษฎีรัฐศาสตร์  ประชาธิปไตยขึ้น  

 

นั่นคือ  การปกครองของมนุษย์ โดยมนุษย์ และเพื่อมนุษย์   พวกเขาขจัดพระเจ้าออกไปเสียจากการเมืองที่กดขี่ และอยุติธรรม

 

 

 

 

  • ผู้แสดงความคิดเห็น บุษบา บุญเสฏฐ์ วันที่ลงประกาศ 2008-06-11 09:03:47

 

 

 

 

 

 

ความเห็นที่ 3 (1283591)

 

 

ในประเทศไทย ประชาธิปไตยเกิดขึ้น มิใช่ด้วยการวิวัฒนาการ  แต่มีการเกิดขึ้นโดยปัจจุบันทันด่วน ด้วยการปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475  โดยคณะนายทหารทำการยึดอำนาจกษัตริย์  และแท้ที่จริงคณะทหารเหล่านั้น และแม้นักวิชาการรัฐศาสตร์ในยุคนั้น(หรือแม้ยุคนี้ก็ตาม) มิได้ทราบความหมายที่แท้จริงของประชาธิปไตยเลยว่าแท้จริงมาจากหลักการของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติไทย และเป็นศาสนาที่บูชาของพวกเขานี่เอง  เพียงแต่หลักพระพุทธศาสนานั้นมีความหมายที่เอื้ออาทรมนุษย์ทั้งหลาย ครอบคลุมให้ประโยชน์แด่มนุษย์ทั้งหลาย ในทุกระบอบการปกครอง 

หมายความว่า  ฐานะของความเป็นมนุษย์ มีได้ในทุกระบอบการปกครอง  ไม่ว่าระบอบการปกครองระบอบใดหากมนุษย์ในระบอบนั้นอยู่ในธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา   แต่ในหลักการของพระพุทธศาสนา มนุษย์จะต้องปกครองตนเอง  มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่ตะวันตกพึงพอใจให้นิยามว่า เป็นศาสนาเดียวที่ไม่มีพระเจ้า  ฉะนั้นในการปกครองทุกระบอบของชาวพุทธ จึงเป็นการปกครองของมนุษย์เอง  เดิมเรามีการปกครองในระบอบเผด็จการราชาธิปไตย (ระบอบที่ไม่มีฝ่ายค้าน กำจัดฝ่ายค้านด้วยการลงโทษอย่างรุนแรง เช่น การตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร เป็นต้น) 

แต่กษัตริย์ไทยก็พาประชาชนไทยเคารพในพระพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็นมนุษย์   กษัตริย์พม่า ลาว กัมพูชาก็เช่นเดียวกัน   เพียงแต่ยุโรปเมื่อได้รู้นิยามของความเป็นมนุษย์และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แล้ว  ได้มีการศึกษาในรายละเอียดของการที่จะปกครองโดยมนุษย์ เพิ่มเติมไปอีกจนสามารถนำไปปฏิบัติเป็นรูปธรรม และมีการวิวัฒนาการมาซึ่งการปกครองโดยมนุษย์ ของมนุษย์และเพื่อมนุษย์ ขึ้นในโลก และซึ่งโดยระบอบนี้พวกเขาได้ปลดแอกของพระเจ้าทิ้งไปเสียโดยสิ้นเชิง   และโลกเชื่อว่าเป็นการปกครองที่เหมาะสมที่สุดในหมู่มนุษย์  การปกครองระบอบประชาธิปไตยจึงแพร่หลายออกไป จนเกิดค่านิยมของระบอบประชาธิปไตยขึ้นอย่างสูงสุด 

ประเทศใดที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตยจะได้รับการรังเกียจว่า เป็นประเทศที่ไม่มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และจะต้องถูกกดดันให้เปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตยต่อไป  (หมายความว่าหลักการของศาสนาพุทธได้รับการบังคับให้นำไปปฏิบัติทางการปกครองอย่างเป็นสากลแล้วในนามของ ประชาธิปไตย)  ดังจะปรากฏว่ากำลังมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยไปตามลำดับ ภายใต้การนำของอเมริกา และยุโรป เช่นรัสเซีย  จีน  อิรัค  อิหร่าน และประเทศมุสลิมในตะวันออกกลางทั้งหลาย 

 

 

 

ในความหมายทั้งหมดของระบอบประชาธิปไตย หรือการมองในองค์รวมทั้งสิ้น  การเลือกตั้งเป็นสิ่งจำเป็น เป็นเครื่องมือที่จักเคลื่อนระบอบประชาธิปไตยให้เป็นรูปธรรม   ดังนิยามว่า   A form of government in which the people have a voice in the exercise of power, typically through elected representatives.  แปลว่า  รูปแบบหนึ่งของการปกครอง ซึ่งพลเมืองแต่ละคนต่างก็มีเสียงของตนสียงหนึ่งเข้าไปใช้อำนาจทางการปกครอง  โดยมีรูปแบบที่สำคัญผ่านการเลือกตัวแทนของประชาชนไปใช้อำนาจนั้น

 

 

 

นั่นคือ ประชาธิปไตยต้องมีการเลือกตั้ง   การเลือกตั้งตัวแทนของประชาชนเป็นสิ่งจำเป็น   และมีกติกาที่สำคัญที่สุดก็คือ   control of a group by the mojority of its members  แปลว่า  มีการปกครองดูแลโดยถือเอาเสียงส่วนมากของพลเมืองของประเทศ   หรือหลักรัฐศาสตร์ที่ว่า   Majority Rule Minority Right  การปกครองโดยคนส่วนมาก  แต่มีการรักษาสิทธิของคนส่วนน้อย   นั่นเอง 

 

 

 

นี่คือความหมายที่สำคัญที่สุด  กติกา  นี่เองคือสิ่งที่คนในระบอบประชาธิปไตยต้องยอมรับ  เนื่องเพราะประชาธิปไตยก็มีข้อจำกัด เราไม่สามารถจะทำอะไรให้ได้มากไปกว่านี้   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจะนัดคนทั้ง 60 ล้านคนมายกมือออกความเห็นพร้อม ๆ กันไม่ได้  จึงต้องมีการเลือกตั้ง  ซึ่งหมายถึง  การปกครองโดยการมีตัวแทนของประชาชน (Representatives)  โดยเลือกฝ่ายที่มีเสียงส่วนมาก (Majority) ของประชาชนเป็นผู้ปกครอง โดยเป็นฝ่ายรัฐบาล  และเสียงส่วนน้อยเป็นฝ่ายค้าน

 

 

 

ซึ่งกติกาข้อสำคัญ ๆ เช่นนี้ จะได้รับการบัญญัติไว้ในกฎหมายสูงสุดของประเทศเสมอไป กฎหมายสูงสุดเราหมายถึงรัฐธรรมนูญ แท้ที่จริงนั้นรัฐธรรมนูญจึงหมายถึงกติกาข้อสำคัญ ๆ ของการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน  นั่นเอง   การเขียนรัฐธรรมนูญจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้กติกาเป็นสิ่งที่ชัดเจน และเป็นที่ยอมรับของปวงประชามหาชนของประเทศนั้น ๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศใหม่ ๆ ที่มีความมุ่งหมายทางการปกครองประชาธิปไตย เช่นประเทศไทย  ซึ่งสถาบันและพลเมืองทั้งสิ้นต้องเคารพในกติกาที่เขียนไว้ในกฎหมายสูงสุดของประเทศ   เพราะการเคารพในกติกา  หมายถึง ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์  ที่ทำให้สังคมมนุษย์ในระบอบประชาธิปไตยมีความเป็นมนุษย์ที่อุดมสมบูรณ์ มีความสุขและสงบ  เพราะกติกา คือการยอมรับ การจำนน การนิ่งสงัด  และการไม่โต้แย้ง

 

  • ผู้แสดงความคิดเห็น บุษบา บุญเสฏฐ์ วันที่ลงประกาศ 2008-06-12 18:45:00

 

 

 

 

 

 

 

ความเห็นที่ 4 (1286139)

 

 

ประเด็นสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตยจึงเป็นเรื่องคุณภาพของประชาชนแต่ละคน ผู้ที่มีหน้าที่ในการปกครองตนเอง  ความเป็นมนุษย์ และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ในระบอบประชาธิปไตยจึงหมายถึงระดับการศึกษาของประชาชน  มีความสามารถสูง จนพอที่จะพึ่งพาตนเองได้อย่างอิสระ  ปราศจากความคิดอย่างทาสโดยสิ้นเชิง   ซึ่งจะพบว่านี่เป็นความหมายที่แฝงไว้ในหลักการของพระพุทธศาสนานั่นเอง  หมายความว่าชาวพุทธ ที่มีสติปัญญา คือผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบาน รู้ดีรู้ชั่วด้วยตนเอง  และมีการตรัสรู้ด้วยตนเอง  ชาวพุทธที่สมบูรณ์จะมีสติปัญญาในเชิงการวินิจฉัยและใช้ดุลยพินิจได้ด้วยตนเอง มีการสั่งการใดใดได้ด้วยตนเอง  ดังจะเห็นจากคำสอนในกาลามสูตร  ที่พระพุทธองค์ทรงสอนชาวกาลามว่าอย่าเพิ่งเชื่ออะไรง่าย ๆ  ไม่ว่าข่าวสารเหตุการณ์ใดใด นั้น อย่าเพิ่งเชื่อเสียก่อน  10 อย่างคือ

 

                (1)   อย่าเชื่อ โดยการฟังตามกันมา

                (2)   อย่าเชื่อ โดยการถือสืบ ๆ กันมา

                (3)   อย่าเชื่อ โดยการเล่าลือ

                (4)   อย่าเชื่อโดยการอ้างตำรา

                (5)   อย่าเชื่อ โดยตรรก

                (6)   อย่าเชื่อ โดยการอนุมาน

                (7)   อย่าเชื่อ โดยการคิดตรองตามแนวเหตุผล

                (8)   อย่าเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน

                (9)   อย่าเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ

                (10) อย่าเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา

 

นี่คือหลักการของประชาธิปไตยข้อสำคัญที่เกี่ยวกับประชาชน ในระบอบประชาธิปไตย นั่นหมายถึงอิสรภาพของปัจเจกบุคคล ที่จะต้องรู้ด้วยตนเอง  และที่ไม่สนับสนุนให้เกิดการครอบงำทางความคิด นั่นคือแนวทางการพัฒนาทางวัฒนธรรมการเมือง   และประชาชนในระบอบประชาธิปไตยจะต้องมีพื้นฐานความเป็นมนุษย์  และความคิดของมนุษย์ประชาธิปไตย ต้องได้รับการเคารพเสมอ   คือ  เคารพในความคิดเห็นของคนอื่น แม้ฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับเราด้วย  

 

 

  • ผู้แสดงความคิดเห็น บุษบา บุญเสฏฐ์ (newworld_believe-at-hotmail-dot-com) วันที่ลงประกาศ 2008-06-15 22:29:18

 

 

 

 

 

 

ความเห็นที่ 5 (1287175)

 

 

เราขอเสนอให้ลองอ่านบทวิเคราะห์เรื่อง ประชาธิปไตยไทยยังคงหลงทางอยู่  โปรดคลิกเพื่ออ่าน

 

  • ผู้แสดงความคิดเห็น บุษบา บุญเสฏฐ์ (newworld_believe-at-hotmail-dot-com) วันที่ลงประกาศ 2008-06-17 09:35:35

 

 

 

 

 

 

ความเห็นที่ 6 (1287195)

 

 

โปรดดู ประชาธิปไตยไทยต้องมียุทธศาสตร์  ยุทธศาสตร์ประชาธิปไตยไทยต้องไม่ก้าวถอย แต่ต้องก้าวไปข้างหน้า

 

  • ผู้แสดงความคิดเห็น บุษบา บุญเสฏฐ์ (newworld_believe-at-hotmail-dot-com) วันที่ลงประกาศ 2008-06-17 10:15:55

 

 

 

 

 

 

ความเห็นที่ 7 (1321190)

 

 

test readyplanet 

 

  • ผู้แสดงความคิดเห็น readyplanet (jeeraporn-at-grandplanet-dot-com) วันที่ลงประกาศ 2008-07-27 20:39:32

 

 

 

 

 

 

ความเห็นที่ 8 (1321192)

 

 

ประชาธิปไตยสงฆ์

 

ภายใต้หลักการของพระพุทธศาสนา

ภราดรภาพเป็นเรื่องสำคัญในหลักการปกครองคณะสงฆ์

เสรีภาพเป็นหลักการสำคัญของการแสวงหาความหลุดพ้น และ

เสมอภาค  คือ ความเท่าเทียมโดยธรรม  โดยเอามาตรฐานแห่งคุณธรรม สูงสุดคือมรรคผลเป็นความหมายของความเสมอภาค

 

  • ผู้แสดงความคิดเห็น บุษบา บุญเสฏฐ์ (newworld_believe-at-hotmail-dot-com) วันที่ลงประกาศ 2008-07-27 20:42:16

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 16.    ข่าวด่วน!!!   กองทัพแดงศรีสะเกษยกพลเข้าร่วมตะลุยศึก 8 เม.ย.52 แยกเป็น 2 สาย ๆ ละ 10 คันรถบัส รวม 20 คันใหญ่มโหฬาร คึกคะนองสุดขีดอะไรก็ต้านไม่อยู่  นปช.ศรีสะเกษแจ้งมา

 

 

 

 

 

 

 

 


 

 17.  การแก้ปัญหาของรัฐบาลผิดพลาด

        และไม่อาจจะเอาชนะประชาชนในระบอบประชาธิปไตยได้เลย

 

  1. รัฐบาลอ้างกฎหมายว่าชอบธรรมและเป็นธรรม แต่ผลของการปฏิบัติตามกฎหมายนั้น ก็คือภาพที่ปรากฏออกมาสู่สายตาโลก เห็นกองกำลังฝ่ายรัฐบาลปราบปรามประชาชนที่มามือเปล่า ๆด้วยอาวุธสงคราม ประชาชนล้มตายลงเหมือนใบไม้ร่วงบ่งบอกถึงความป่าเถื่อน  อนารยธรรม และซึ่งโลกประชาธิปไตยทั้งโลกไม่อาจจะยอมรับได้

 

  1. เมื่อเรายอมรับระบอบประชาธิปไตย  เมื่อเป็นที่ปรากฏแล้วว่าพลเสื้อแดงจำนวนมหาศาล ขณะนี้แดงทั่วทุกจังหวัด 76 จังหวัดของประเทศไทย  ซึ่งหมายความว่า โดยระบอบประชาธิปไตย  เห็นได้แล้วว่าเป็นกระแสแนวโน้มของประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ ตามหลัก  Majority rule  Minority right ประชาธิปไตยเราถือหลักการของคนส่วนใหญ่ในสังคมนั้นเป็นสากล  รัฐบาลอภิสิทธิ จึ่งควรที่จะใช้วิธีการตัดสินใจโดยระบอบประเพณีของประชาธิปไตย  นั่นคือนำความจริงนี้มาเป็นเหตุผลหลักในการพิจารณาตัดสินใจ ยอมแก่ประชาชนส่วนใหญ่

 

3.   หากใช้วิธีการแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงต่อไปก็จะเป็นการฝืนหลักการของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการฝืนมติของประชาชนยุคใหม่ ยุคประชาธิปไตยที่มีเสรีภาพ  และประชาชนยุคใหม่นี้มีความก้าวหน้าไปไกลเกินกว่าทางรัฐบาลจะควบคุมได้ด้วยระบบการบริหารด้วยความคิดอย่างเก่า ๆ คือทาสในระบอบเผด็จการ   นั่นหมายความว่า การใช้วิธีการของระบอบเผด็จการเพื่อเอาชนะประชาชนในระบอบประชาธิปไตยนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  วิญญูชนย่อมทราบได้เอง 

 

ฉะนั้นชัยชนะของรัฐบาลจึงไม่อาจจะได้มาโดยวิธีของระบอบเผด็จการ ซึ่งบัดนี้ได้เริ่มใช้มาตรการปราบปรามอย่างรุนแรงด้วยอาวุธสงครามเป็นผลให้ประชาชนไทยเสียชีวิตเลือดเนื้อ และบาดเจ็บไปร่วมร้อยชีวิตแล้ว   แต่รัฐบาลและสื่อมวลชนไทยใต้อำนาจเผด็จการปกปิดข่าว

 

เราจึงขอให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ ได้ใช้สติปัญญาตริตรองดูตามเหตุและผลดังกล่าวมานี้  แล้วจะเห็นจริงที่ว่า  วิธีการใช้ความรุนแรงเช่นนี้ ไม่อาจจะเอาชนะประชาชนในระบอบประชาธิปไตยได้เลย

รัฐบาลจะต้องพ่ายแพ้  ไม่ช้าก็เร็วเสมอไป  จนกว่าประเทศหรือสังคมนั้นกลายเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงขึ้นมาได้ เพื่อประโยชน์ของมนุษยชน ตามหลักพระพุทธศาสนาที่ว่า  กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ : การเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นของยาก   อันเป็นสากล เราจึงขอให้รัฐบาลทบทวนวิธีการของรัฐบาลเสียใหม่โดยเร็ว

 

·         นสพ.ดี(อินเทอเนท)
13 เม.ย.2552

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 18.  การแก้ปัญหาของรัฐบาลผิดพลาด

       และไม่อาจจะเอาชนะประชาชนในระบอบประชาธิปไตยได้เลย ( 2 )

 

ทางรัฐบาล โดยนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผู้ประกาศ พรก.สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล   เพื่อต่อสู้กับประชาชขนเสื้อแดงผุ้มาชุมนุมตามสิทธิของตน ด้วยประเพณีแห่งระบอบประชาธิปไตย เป็นประชาชนผู้ล้วนมีเพียงมือเปล่า  พวกเขามาเพื่อแสดงถึงสัจธรรมตามระบอบประชาธิปไตยที่ว่า  พวกเขาเป็นชนส่วนใหญ่  เป็นพลังชนส่วนใหญ่ที่รัฐบาลควรจะได้นำความจริงนี้ไปวินิจฉัยตัดสินใจไปในระบอบประเพณีของประชาธิปไตย ที่หมายถึงการเคารพในความคิดเห็นของมนุษย์ ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นมนุษย์  รวมตลอดถึงความเคารพในความมีชีวิตของคนอื่นที่ได้ชื่อว่ามนุษย์ด้วย 

 

และครั้นประชาชนเสื้อแดงยืนยันเจตนารมณ์ของเขา ตามหลักการประชาธิปไตย  และทวีจำนวนประชาชนผู้มาสมทบ ยืนยันอุดมการณ์ที่ตรงกันของพวกเขาทั้งหลาย ทำให้มีจำนวนเพิ่มมาเรื่อย ๆ  จนครบถ้วนทุกจังหวัด 76 จังหวัดของประเทศไทย  แต่รัฐบาลกลับไม่มองในประเด็นการปกครองของระบอบประชาธิปไตยทั้ง ๆ ที่อ้างว่าตนเองเป็นประชาธิปไตย  แต่มองด้วยสายตาของคนลุอำนาจในระบอบเก่าคือเผด็จการ  จึงไม่มีอาการว่าจะยินยอมรับฟังหรือเคารพในความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่  อันเป็นการฝืนหลักการการปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน

 

บัดนี้ รัฐบาลได้ตัดสินใจที่ผิดพลาดไปไกลกว่านั้น   โดยได้ประกาศสถานการ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง  โดยอ้างว่า เพื่อเปิดโอกาสให้มีความชอบธรรมในการกระทำการรุนแรงต่อประชาชน ถึงขั้นให้ใช้อาวุธได้   และทหารได้ยกกองกำลังเข้ามาทำการสลายประชาชนเหล่านั้น ด้วยอาวุธ

 

สิ่งที่เกิดขึ้นบัดนี้ ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล  แต่เกี่ยวกับกองทัพไทยทั้งกองทัพ  นั่นคือในฐานะที่กองทัพไทยเป็นสถาบันทหารไทย

 

เราอยากให้ทหารได้มองดูภาพที่เกิดขึ้นที่สามเหลี่ยมดินแดง ในช่วงเช้าตรู่มานี้  ซึ่งทหารบางคน เช่นพวกที่อยู่ในวอร์รูมขณะนี้ อาจจะเรียกด้วยความภาคภูมิใจก็ได้ว่ายุทธการหลั่งเลือดที่ดินแดง ( ซึ่งแท้จริงคือปฏิบัติการอันน่าละอายใจอย่างยิ่ง  จนไม่คิดว่าจะเอาหน้าไปไว้ไหนในแผ่นดินทหารสากลโลกนี้ )  

 

เพราะพวกทหาร ร่างกายกำยำล่ำสัน  แน่นปึกด้วยความเป็นหมวดเป็นหมู่ ติดอาวุธปืนกลและอุปกรณ์สงครามร้ายแรงทุกคนบุกเข้าไปกระหน่ำยิงกราดประชาชนมือเปล่า ๆ ( จริงอยู่มีลำกล้องปืนหลายกระบอกเบี่ยงขึ้นในมุม 30-50 องศา  แต่หลายกระบอกก็ขนานพื้น  นั่นหมายความว่าวิถีกระสุนมุ่งเป้าหมายคือประชาชนอย่างแน่นอน  และนักรบ กระสุนนัดเดียวย่อมหมายถึงชีวิต  ใช่ไหม ) ในขณะที่มีการยกกำลังเข้าเผชิญหน้าปราบปรามประชาชน ผู้ที่แท้จริงมามือเปล่ากันทั้งสิ้น ตามที่แกนนำได้ประกาศอุดมการณ์ของเขาโดยตลอดมา     แต่แล้วสถานการณ์ที่รุนแรงของฝ่ายทหาร ได้กระทำให้มีการเปลี่ยนแปลงไป พวกเขาจึงกระทำไปตามสัญชาตญาณการต่อสู้เอาตัวรอด และสัญชาตญาณปกติของสัตว์มนุษย์ทั้งหลาย คือการป้องกันตัวเอง ( ท่านเข้าใจหรือไม่  ลองทดสอบโดยเข้าไปชกหน้าใครเข้าสักคนสิ  ดูว่าเขาจะเก็บกำปั้นเขาเอาไว้หรือเปล่า )  จึงได้มีการฉวยเอาอาวุธเท่าที่พอจะหาได้  อันเป็นไปตามสัญชาตญาณ (คือความเป็นเช่นนั้นเอง) ความจำเป็นตามธรรมชาติของการต่อสู้  โดยไม่มีเจตนาทำร้ายผู้ใด  ซึ่งหากเราเป็นทหารจริง จักเห็นว่า ยถากรรม น่าสรรเสริญและรักแม้ว่าเขาเป็นฝ่ายตรงข้ามก็ตาม  

 

จึงมีคำถามถึงทหารไทยทุกคนว่า ภาพที่เห็นทางจอแก้วเช่นนี้ (รายงานของช่อง 6) เป็นสิ่งที่ทหารควรคำนึงเพียงใด  ในแง่ความเป็นสถาบัน หรือศักดิ์ศรีของทหารไทย ?   ทหารได้คิดหรือไม่ว่าเป็นภาพที่ทำลายศักดิ์ศรีของสถาบันทหารเพียงไหน ?  น่าสมเพชเพียงไหน ?

 

ทหารได้เข้าใจคำว่าทหาร หรือนักรบ เพียงใด ?

 

ถ้าทหารไทยไม่เข้าใจคำว่า ศักดิ์ศรี หรือ ความเป้นนักรบเสียเลย ในเวลานี้ เราก็มีแต่ความเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง   ที่บัดนี้ได้เห็นแล้วว่า  ทหารไทยได้สูญเสียความเป็นนักรบอันเป็นจิตใจสากลไปแล้วโดยสิ้นเชิง  เราหมายความว่าได้สูญเสียมาตรฐานแห่งนักรบสากลไปแล้ว ทหารไทยจะดีไปกว่านักเลงอันธพาล แมงดา ที่ติดอาวุธพร้อมทุกอย่างเข้าข่มเหงรังแกอิสสตรีผู้ไร้กำลังและอาวุธได้อย่างไร

 

จึงขอให้ทหารได้หยุด  หยุดเสียเถิด  เพื่อศักดิ์ศรีของทหารไทย จักได้ดำรงอยู่  ไม่ถูกทำลายไป เพียงเพราะซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อคนกลุ่มหนึ่ง ผู้มักใหญ่ใฝ่สูงทางการเมือง  ที่ประชาชนกำลังจะขับไล่ไปพ้นแผ่นดินไทยแล้ว

 

 

  • หนังสือพิมพ์ดี ( อินเทอเนต)
    13 เม.ย.2552/15.10 น.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 19.  การแก้ปัญหาของรัฐบาลผิดพลาด

       และไม่อาจจะเอาชนะประชาชนในระบอบประชาธิปไตยได้เลย ( 3 )

 

ภาพที่เห็น

เวลาเย็นของวันนี้ 13 เม.ย.2552  ประชาชนเสื้อแดงจำนวนหลายร้อยคนเดินทางมาจากบริเวณทำเนียบรัฐบาล  มามอบดอกไม้ให้กองทหารที่กำลังเตรียมการสลายม็อบเสื้อแดงที่ทำเนียบรัฐบาล ด้วยวิธีการอันรุนแรงเหมือนเช้าตรู่ที่สามเหลี่ยมดินแดงเมื่อเช้าตรู่นี้   โดยตั้งกองทัพที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เห็นสตรีเสื้อแดงเป็นจำนวนมาก เข้าไปอ้อนวอน บางคนถึงกับคุกเข่าลงอ้อนวอนขออย่าให้ทหารยิง หรือใช้ความรุนแรงต่อประชาชน  ขอให้พอแล้ว หยุดได้แล้ว

 

ทหารทราบหรือไม่ว่า  ประชาชนเหล่านี้ได้ทราบมาจากดีสเตชั่น และสายข่าวของพวกเขาว่าทหารได้ฆ่าชาวเสื้อแดงแล้วเก็บศพขึ้นรถทหารหายไปหลายศพ เพื่อกลบเกลื่อนความผิด  ในขณะเดียวกันทีวีช่องต่าง ๆ ล้วนเสนอข่าวข้างเดียว  ไม่ต่างจาก เอเอสทีวี  ที่รณรงค์โฆษณาชวนเชื่อทุกรูปแบบเพื่อประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลเลย  พวกเขาเกรงกลัวว่าทหารจะใช้ความรุนแรงเข้าปราบปราม จึงได้เดินทางมาเผชิญหน้าทหารและบอกว่าพวกเขากลัวจริง ๆ ว่าทหารจะฆ่าพวกเขา  จึงได้อ้อนวอนทหารว่าอย่าทำ พร้อมกับมอบดอกไม้ให้ทหาร

 

ภาพที่เห็นก็คือ  กองทหาร เหมือนเตรียมออกศึกสงครามจริง ๆ  กับศัตรูกองกำลังต่างชาติที่บุกรุกประเทศไทย  อะไรปานนั้น   แต่ที่จริง ข้าศึกของพวกเขาเป็นเพียงหมู่สตรีที่อ่อนแอ มือถือดอกกุหลาบ และดวงตาตื่นตระหนก มีน้ำตาไหล  พวกที่ถือดอกไม้ไปอ้อนวอนขอชีวิตที่ลานพระบรมรูปทรงม้านั่นเอง

 

แท้จริง  ทหารไม่ต้องติดอาวุธขนาดเต็มพิกัดเหมือนไปศึกอิรัคอย่างนี้หรอก  เพียงมือเปล่าทหารก็ชนะถมเถไปแล้ว  เพราะชนที่มาชุมนุมนี้ ล่วนมากเป็นสตรี  และผู้สูงอายุ   ยิ่งเห็นชัดเจนเมื่อพวกเขามาเผชิญหน้าทหารที่ลานพระบรมรูปทรงม้า  ว่าจะสู้กันได้อย่างไร เพราะเพียงได้เห็นกองทหาร เห็นปืนเอ็ม 16 พวกเขาก็ตัวสั่นเทิ้มแล้ว  ดูแต่คราวที่ไปอิรัค ยุคทักษิณ อย่างไร  แค่โดนระเบิดตายไป 2 คน ทหารไทยก็ถอดใจเดินทางกลับไทยเสียแล้ว ( ผิดหวังจริง ๆ ) ทหารอย่างนี้ก็กลัวตาย แล้วทำไมประชาชนสตรี ๆ เช่นนี้จะไม่กลัวตายเล่า

 

และเมื่อภาพที่เห็นเช่นนี้ วันนี้ ภาพทหารไทยติดอาวุธครบอย่างจะไปทำศึกสงครามเช่นนี้ ได้เผยแผ่ออกไปในสากลโลก 


คิดดูแล้วก็น่าละอายใจ

และน่าคิดว่าสถาบันทหารไทยจริง ๆ วันนี้มีความเข้มแข็งขนาดไหน  น่าทดสอบ แต่ไม่ใช่มาทดสอบกับประชาชนมือเปล่าเช่นนี้

 

ไปทดสอบกับกัมพูชาชายแดนศรีสะเกษ
หรือ  สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นู้น

 

 

 

  • หนังสือพิมพ์ดี(อินเทอเนต)
    13 เม.ย.2552/18.30 น.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 21.   To the World

 

The Truth of Thailand 12-14 April 2009 is the people came out from all regions to tell the government about their desires  and shew  the majority  of all the people with the red sign. So through Thailand was covered with all red. They all came with sincerity in their hearth  with no hand of weapons. But the other side in blue shirt began violence  at Pattaya where the Asian Summit +3+6  took place that which the people of the world saw the blue shirt came out bothering striking the red shirt along their way back home  after finishing their assignment with the leader of the Asian country. So the situation went  wild  and some of them with anger try to do harm the Prime Minister Abhisit Vejjajeeva so there came a declaration of situation of war (ประกาศพรก.สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง) and the troop came out with  some old tanks.  But the soldier never kill Thai people and Thai people never kill the soldier.  So (according to the government) there was no one died in the red situation. However there were two people died by accident.  At present  the red shirt  still insist to fight for democracy but with a more keen clear hearth to fight without violence  and look for supporting from all the world democracy to take part  with them. The accusation is the government has been back by a tyrant group that oppose democracy.  They insist to fight in a way of true democracy that is  with head and  indeed  nonviolence and never yield until true democracy come to Thailand. 

 

 

  • The Good Paper
    15 April, 2009

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 22.      กวี วันเหงา 

ปลอบใจตัวเองในวันเหงา 
วันที่เศร้าวังเวงแสนสับสน 
วันที่ต้องการคนดูแลเพียงสักคน 
เพื่อผ่านพ้นวันนี้ที่เดียวดาย

จะมีไหมคนนั้นที่ใฝ่หา 
มาช่วยซับน้ำตาคนอ่อนไหว 
ให้คนนี้มีสุขลืมทุกข์ใจ 
จะมีไหมคนที่ใช่เพียงสักคน

·          ส่งมาให้จากใครคนหนึ่ง
19 เม.ย.2552

 

            บันทึกกวีศรีสะเกษ

วันนี้มีประชาหน้าเครียด
เบียดเสียดในโรงพยาบาล
ต่างคนต่างมีอาการ
เบื้อใบ้บ่บานหฤทัย

มากันแต่ก่อนแปดโมง
โรงพยาบาลล้วนคนป่วยไข้
เห็นแล้วก็โอ้อนาถใจ
เหมือนเมืองไทยทั้งเมืองป่วยเจ็บ

หมอก็ยังไม่มา
คอยถ้าจนหนาวเหน็บ
ต่างคนต่างเก็บ
ความร้อนระอุภายใน

วันนี้ยังมีสีเสื้อแดง
แทรกแซงไปทั่วเมืองใหญ่
อะไรจะเป็นได้อะไร
เมื่อคนไข้แน่นโรงพยาบาล


                              ศีรารุจิรัฐ เติมใจ
                              19 เม.ย.2552

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 23.การประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 6 (สมัยสามัญทั่วไป)

     วันที่ 22-23 เมษายน 2552

 

เรื่องที่น่าเป็นห่วง

 

1.    เรื่องประชาธิปไตยไทย
2.    เรื่องความเป็นธรรมในแผ่นดิน

 

2 เรื่องนี้เราจะกลบเกลื่อนให้คนไทยลืมไปเลยได้หรือไม่ ?

 

นับตั้งแต่จะกลบเกลื่อนเรื่องการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองโดยคณะทหารวันที่ 19 ก.ย.2549  ซึ่งเหตุผลในการปฏิวัตินั้นอย่างน้อยก็มีข้อหนึ่งซึ่งได้พิศูจน์แล้วว่าเหตุผลนั้นเป็นเพียงข้ออ้าง ไม่เป็นความจริงแต่รัฐบาลนี้ก็พยายามยืนยันอยู่ในขณะนี้โดยนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มท. ที่ได้สร้างขบวนการเสื้อสีน้ำเงินขึ้นทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยเหตุผลที่แถลงในรัฐสภาวันที่ 22 เม.ย.2552 ว่า เพื่อดูแลสถาบันเบื้องสูง (ซึ่งยังคงใช้เหตุผลเดียวกับเหตุผลการปฏิวัติ 19 ก.ย.2549  และวันนี้ก็ยังมีสมาชิกรัฐสภาผู้ทรงเกียรติ์ใช้เป็นข้อกล่าวหาอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรอยู่ อย่างไม่เป็นธรรม)

 

เรื่องนี้จะให้คนลืมไปได้อย่างไร ในเมื่อความจริงการยึดอำนาจของทหาร 19 ก.ย.2549 นั้นก็คือเป็นการปล้นประชาธิปไตยของประชาชน  ถ้ารัฐบาลนี้พยายามกลบเกลื่อนหรือต่อต้านประชาชน ที่ต้องการทวงประชาธิปไตยกลับมา  ซึ่งพวกเขาแสดงความต้องการอันแน่วแน่ในระบอบประชาธิปไตย โดยความหมายของประชาธิปไตยที่แท้จริง (ประชาธิปไตยที่ไม่อยู่ในตำราและคำสอนของนักวิชาการ  แต่เป็นประชาธิปไตยที่อยู่ในความเข้าใจและสายเลือดที่รักเสรีของมวลชนทั่วประเทศ ในฐานะมนุษย์ผู้ย่อมมีความเป็นมนุษย์ผู้รักหวงแหนในเสรีภาพ)  ก็ยิ่งเหมือนยุ และหากคิดเอาวิธีการหรืออำนาจทหารเผด็จการมาจัดการแล้ว  นั่นหมายถึงการค่อย ๆ ทำลายสังคมไทยไปทีละน้อย ๆ ทีละขั้นตอน  จริงอยู่รัฐบาลและทหารอาจจะควบคุมประชาชนได้เป็นชั่วระยะเวลาหนึ่ง  เช่นการพยายามจะกลบเกลื่อนให้ลืมเสีย ดังขณะนี้เป็นต้น  ก็จะไม่สามารถทำได้ การแก้ปัญหาของรัฐบาลหากผิดพลาดไปแล้วไม่อาจจะเอาชนะประชาชนในระบอบประชาธิปไตยได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเอาวิถีทางเผด็จการมาแก้ไขปัญหาของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยนั้น กลับจะสร้างความแตกแยก ไปกว่าเดิมอีกโดยรัฐบาลนั้นเองเป็นตัวต้นเหตุของความแตกแยก  

 

ประการที่ 2 เรื่องความยุติธรรมตามหลักกฎหมาย  และความเป็นธรรมในแผ่นดิน  การใช้มาตรฐาน 2 มาตรฐานในเรื่องเดียวกันเป็นความอยุติธรรมและไม่เป็นธรรมในแผ่นดิน  เช่นความผิดของทหาร ที่ไม่ฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชา (ซึ่งในวินัยทหารเองย่อมร้ายแรงมาก) ในคราวประกาศ พรก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ตามกฎหมายฉบับเดียวกัน  ทำไมทหารจึงไม่ฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา ที่สั่งการตามกฎหมายในยุครัฐบาลสมัคร และในยุครัฐบาลสมชาย  แต่มาฟังคำสั่งของรัฐบาลนี้(ซึ่งบัดนี้ สิ่งที่เป็นความลับก็ได้ถูกเปิดเผยไปจนกระจ่างแจ้งแล้ว)  และบัดนี้รัฐบาลนี้จะกลบเกลื่อนให้คนลืมไปเสีย  นั่นแหละความไม่เป็นธรรมในแผ่นดิน  ซึ่งในฐานะของประชาชน คนในระบอบประชาธิปไตย จะต้องเข้าใจตรงกันว่า ความเป็นธรรมในแผ่นดินมีความหมายขนาดไหน

 

มันมีความหมายสำคัญมาก ทีเดียว  ที่กิจกรรมสังคมทุกชนิดจะต้องถูกบัญญัติไว้ว่าอะไร ๆ ก็ต้องให้เป็นธรรมไปทั้งหมด   ตัวอย่างเช่น ทำไมคนขโมยมะม่วงที่กิ่งมันยื่นข้ามรั้วบ้านออกมาสู่ถนนใหญ่ สอยเอาไปเพียงลูกเดียวศาลตัดสินให้จำคุก 1 ปี  เป็นต้น(ท่านเข้าใจในประเด็นความเป็นธรรมหรือไม่?)

แล้วประเทศไทยยุคหลัง 19 ก.ย.2549 มีเรื่องราวของความเป็นธรรม(ที่หมายถึงความยุติธรรมตามกฎหมายและความเป็นธรรมตามหลักศาสนธรรมด้วย) มากมายเหลือเกินที่ยังไม่มีการชำระสะสาง  การที่ยังไม่มีการชำระสะสางนี่แหละเป็นต้นเหตุของความบาดหมางน้ำใจกัน (ตัวอย่างเช่น ท่านปลูกมะม่วง  แล้วท่านโดนคนขโมยมะม่วงไปลูกหนึ่ง ในใจท่าน แม้เพียงมะม่วงลูกหนึ่งราคาเพียง 10 บาท ก็เริ่มเรียกหาความยุติธรรมแล้ว  ใจท่านจะเรียกหาอยู่เช่นนั้น จนกว่าผู้มีหน้าที่รักษาความยุติธรรมของสังคมชำระให้เสร็จสิ้นไปโดยกติกดาที่เป็นธรรมของสังคม)

 

สรุปแล้ว  มีประเด็นสำคัญ ๆ 2 ประเด็นใหญ่ ๆ คือประเด็น.    เรื่องประชาธิปไตยไทย
กับเรื่องความเป็นธรรมในแผ่นดิน ที่ใครผู้ใดจะดำเนินการกลบเกลื่อนเสียนั้น  ย่อมไม่สำเร็จ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจะกลบเกลื่อนให้ประชาชนลืมเหตุการณ์ 12-14 เม.ย.ที่ทหารยกกองทัพออกมาปราบปรามประชาชน (ทำให้เกิดความรู้สึกถึงความละเมิด ดูหมิ่นแคลน ประชาชนผู้ออกมาทวงประชาธิปไตยของเขาอย่างไร้อาวุธ  ทหารทำต่อประชาชนเจ้าของแผ่นดินเจ้าของอำนาจ อย่างกับไล่ต้อนหมู หมา กา ไก่ แมวและหนู ที่วิ่งหลบความตาย พวกทหารโห่ไล่ ตีกระทุ้ง คำรามเสียงใส่อย่างกับไม่ใช่คน  นี่เป็นการดูหมิ่นแคลนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ผิดหลักการปฏิบัติจิตวิทยาการรบด้วยซ้ำ)

 

และในที่นี้ เราขอร้องว่า  อย่าคิดนำวิธีการอย่างพม่ามาใช้เลย  นั่นจะเป็นเรื่องที่ทำร้ายประเทศไทยไปอย่างยาวนาน  ประเทศไทยจะค่อย ๆ จมดิ่งลงไปช้า ๆ  นั่นคือ จะค่อยยากจนลงไปทั้งประเทศ  และจะมีชาวไทยที่หลบหนีออกนอกประเทศ ไปขึ้นรถขนส่งสัตว์ หรือรถตู้เย็น ขาดอากาศหายใจตายหมู่แบบชาวพม่านับร้อยศพในไทยเร็ว ๆ นี้ (ยุคหลังปฏิวัติ 19 ก.ย.2549) หรือเป็นชาวโรฮินยาที่อพยพหนีความอดอยากจากแผ่นดินกำเนิดไปเคว้งคว้างกลางทะเลเพราะไม่มีแผ่นดินใดต้อนรับจนอดอาหารตายนับห้าร้อยศพ(ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ)

 

ซึ่งจะเป็นไปตามลำดับแบบเดียวกับพม่า  จนกระทั่งในระยะหลังที่สุดของพม่า แม้หมูสงฆ์พม่าก็ทนดูความอยุติธรรมในแผ่นดินไม่ได้ ก็ได้เข้าร่วมขบวนการประชาชนอย่างเปิดเผย ในการเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่า และทหารพม่าได้ปราบปรามอย่างรุนแรง ตามเหตุการณ์ 10 ต.ค. 2550 ที่เป็นข่าวไปทั่วโลกว่าพระสงฆ์มรณภาพไปนับร้อยรูป (ภายหลังรัฐบาลพม่าแถลงว่าพระมรณะไป 6 รูป)  โดยที่ทางเราเอง(หนังบสือพิมพ์ดี/เวบไซต์นี้)ก็ได้เคยออกแถลงการณ์ไปถึง 3 ครั้ง เตือนรัฐบาลพม่าว่าอย่าได้ทำอันตรายต่อประชาชนและพระภิกษุสงฆ์เพราะการกระทำเช่นนั้นเป็นมหันตบาป(heavy sin) แต่ให้ใช้วิธีการประชาธิปไตย(เราหมายความว่าให้ฟังเสียงประชาชน ฟังว่าประชาชนเขาต้องการอะไร ก็จัดการให้เขาอย่างนั้น อย่าลืมหลักประชาธิปไตยที่ว่า เสียงของประชาชนคือเสียงสวรรค์) แต่รัฐบาลเผด็จการทหารพม่าหาฟังเสียงใดใดไม่  พม่าก็ค่อยจมลงสู่ความหายนะ  ในเวลาต่อมายังมีภัยธรรมชาติ คือ พายุไซโคลนนากิสถล่มพม่าในปลายเดือนเมษายน  2551(ก่อนปักกิ่งโอลิมปิก 2008 หน่อย) คนตายถึง 138,000 คน  (โปรดเปรียบเทียบกับสินามิ ภัยพิบัติของกลุ่มประเทศแถบทะเลอันดามัน รวมทั้งไทยเราด้วย เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2547 ซึ่งรวมแล้วมีประชาชนเสียชีวิตทั้งสิ้นประมาณ 156,063 คน  พอ ๆ กับไซโคลนนากิสในพม่าประเทศเดียว แต่เราจะเห็นว่าท่าทีของรัฐบาลทหารพม่าเหมือนชีวิตคนไม่มีความหมายโดยพยายามปฏิเสธไม่ยอมให้อเมริกาและยุโรปเข้าไปช่วยเหลือประชาชน เกรงความลับรั่วไหล นั่นคือเผด็จการทหารที่ชั่วร้ายจริง ๆ) แล้วรัฐบาลทหารพม่าก็ยังคงดำเนินการควบคุมประชาชน ผู้รักประชาธิปไตย(เพราะมีความคิดเสรี)ด้วยวิธีการเผด็จการทหารต่อมา (พม่าได้กำลังใจจากจีน ที่ทำเป็นมิตรคอยป้องกันพม่าจากการโจมตีของอเมริกาและประเทศตะวันตก  แต่ที่จริงจีนนั่นแหละที่ยังคงล้าหลังไปสุด ๆ อีกประเทศหนึ่งทางระบอบประชาธิปไตย และในวันข้างหน้าประชาชนจีน ก็จะลุกขึ้นเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งมโหฬารเช่นเดียวกับชาวพม่า ขณะนี้จีนก็ยังพยายามปิดปากปิดหูปิดตาชาวธิเบตโดยการนำขององค์ดาไลลามะนอกประเทศ) 

 

เราไม่อยากให้รัฐบาลทหารไทยคิดอย่างเดียวกับรัฐบาลทหารพม่า  ที่พยายามปราบปรามประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย ด้วยวิธีการของเผด็จการ  เพราะวิธีนั้นจะส่งผลคือ(1) รัฐบาลจะไม่มีทางชนะเลย และตราบใดที่เป็นอยู่เช่นนี้รัฐบาลก็จะบริหารงานไปอย่างได้รับการดูแคลนจากประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก และมีทางเดียวก็คือการไปคบกับประเทศจีน ซึ่งยังไม่มีสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยที่แท้จริงอยู่เลย  นั่นก็จะยิ่งขาดอนาคตไปอีก เพราะโลกเดินไปข้างหน้า สู่ประชาธิปไตย (และแท้จริงประชาธิปไตยนั้นคือสัจธรรมในพระพุทธศาสนาในองค์รวมทั้งสิ้นที่สามารถวิเคราะห์ได้อย่างเป็นสากล)  และ(2) ประเทศและประชาชนจะค่อย ๆ ยากจนลงไปตามลำดับ การเรียกร้องให้อดออมตามหลักคำสอนโบราณของศาสนาจะเป็นวิธีการที่ล้าหลังในยุคใหม่ เพราะการเศรษฐกิจแบบนี้ไม่สามารถจะต่อสู้กับวิธีการเศรษฐกิจแบบนายทุนเสรียุคใหม่ได้ (หมายความว่าถ้าเราดำเนินเศรษฐกิจแบบอดออม เราจะทำได้อย่างเดียวคือปิดประเทศ อยู่เพียงเราคนเดียวเท่านั้น  เหมือน ๆ กับภูฏาน นั่นเอง  แต่การปิดประเทศนั้นทำได้หรือ? เราได้เรียนมาแต่สมัยญี่ปุ่นแล้ว  และญี่ปุ่นเจริญได้อย่างไร เราต้องมองดู) 

 

เรื่องที่ควรมองในพม่าขณะนี้ก็คือ  การปราบปรามโดยวิธีเผด็จการ ไม่สนองตอบความต้องการของประชาชน ที่ออกมาแสดงมติของเขานั้น ไม่สามารถควบคุมประชาชนได้ด้วยอำนาจปืน  ท่านทราบหรือไม่ว่าในปี 2550 เดือน กันยายน ก่อนการปราบปรามอย่างรุนแรงในเดือนตุลาคมนั้น มีประชาชนและพระสงฆ์พม่าออกมาที่เจดีย์ชะเวดากอง จำนวนร่วมถึง 100,000 คน  ในครั้งนั้นหมู่สงฆ์ทำหน้าที่ผู้นำการชุมนุมโดยเปิดเผย มีจำนวนถึง 30,000 รูป แล้วมีประชาชน 70,000 คน แวดล้อมเป็นโซ่มนุษย์  (สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ วัน อังคาร ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2550, 19:32 น.)

 

ซึ่งเราวิเคราะห์ว่า ทหารพม่ากำลังคิดอย่างจีน โดยการปราบปรามอย่างรุนแรงเพื่อให้เข็ดหลาบ และลืมเสีย  ดังเช่นกรณีเทียนอันเหมิน ในยุคที่คลินตันเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อประมาณ15 ปีก่อน  และเหมือนกรณีธิเบต ปัจจุบัน นั่นเอง

 

เราขอบอกว่าทำเช่นนั้นประเทศพม่ายิ่งจะทรุดลงไปอีก และไม่มีวันที่จะเอาชนะประชาชนพม่าที่ใฝ่ประชาธิปไตย ที่แท้จริง (ประชาธิปไตยที่ไม่อยู่ในตำราและคำสอนของนักวิชาการ  แต่เป็นประชาธิปไตยที่อยู่ในมวลชนทั่วประเทศ ในฐานะมนุษย์ผู้ย่อมมีเสรีภาพ)  ได้เลย เพราะประชาธิปไตยเหมือนทะเลใหญ่ ประชาชนเหมือนเม็ดฝนและสายน้ำ ย่อมเป็นปกติที่จะบ่ายหน้าไหลลงสู่ทะเล  ไม่มีอำนาจใดจะปิดกั้นได้  สำหรับวิธีแก้ไขก็คือใช้วิธีทางของประชาธิปไตยที่แท้จริง  นั่นคือเสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์  ฟังว่าประชาชนเขาต้องการอะไร ก็จัดการให้เขาอย่างนั้น

 

สำหรับประเทศไทย การที่รัฐบาลปัจจุบันจะนำความคิดอย่างพม่ามาใช้นั้น ย่อมเป็นอันตราย และย่อมเป็นไปอย่างพม่า  เพราะท่านไม่สามารถจะเอาปากกระบอกปืนปิดหูปิดตาประชาชน  บังคับประชาชนยุคเสรีได้

 

การชุมนุมของประชาชนเสื้อแดง  มีการพัฒนาการ มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ  แต่ก่อนการชุมนุมครั้งสุดท้ายนี้  พลเสื้อแดงก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขามีความสุจริตจริงใจต่อประชาธิปไตย โดยการเรียกร้องอย่างสงบปราศจากอาวุธ มาหลายครั้งที่พิศูจน์ความจริงใจ    ครั้งหลังสุด คือคราวที่มีการปราบปรามโดยกองทหารเต็มอัตราศึกครั้งนี้ มีประมาณถึง 6 แสนคนที่มาชุมนุมในกรุงเทพ และถ้านับพวกที่ชุมนุมทั่วทั้งประเทศในทุกจังหวัด 76 จังหวัดของประเทศไทย จำนวนเป็นหลายล้านคน

 

ถ้าเราเข้าใจตรงกัน ทั้งทางนักวิชาการที่ถือตำรา (นักวิชาการไทยสายสังคมศาสตร์ไม่เคยมีการตัดสินใจบนข้อมูลที่เป็นผลมาจากการศึกษาเชิงวิจัยประชาชนอย่างลึกซึ้งเลย การตัดสินปัญหาแต่ละครั้ง จึงเพียงเปิดตำรารัฐศาสตร์ออกมา และว่าไปตามตำรานั้น นี่คือแทบไม่รู้เลยว่าประชาธิปไตยของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน ที่แท้จริงเป็นอย่างไร) ทางพรรคการเมืองฝ่ายค้านและรัฐบาล  และทั้งทางทหาร  เราก็จะตัดสินใจได้ว่าทางออกก็คือ วิถีทางประชาธิปไตย

 

ประชาชนเขาต้องการอะไร ก็จัดการให้เขาอย่างนั้น

 

 

  • ธรรมาชีพธรรมาชน
    23 เม.ย.2552

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 24.  ข่าวศรีสะเกษ

 

 สมัชชาเกษตรกรรายย่อยศรีสะเกษ ร้องขอให้ผู้ว่าฯแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน (20/5/2009)

สมัชชาเกษตรกรรายย่อยศรีสะเกษ ร้องขอให้ผู้ว่าฯแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินศรีสะเกษ              กลุ่มสมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน เรียกร้องให้จังหวัดศรีสะเกษดำเนินการเร่งรัดแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกินในเขตปฏิรูปที่ดิน ที่หน้าศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ ในบ่ายวันที่19 พฤษภาคม 2552 กลุ่มสมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากโครงการของรัฐในเขตพื้นที่อำเภอน้ำเกลี้ยง ภูสิงห์และอำเภอกันทรลักษ์ ประมาณ 300 คน ได้เดินทางรวมตัวและยื่นหนังสือเพื่อขอให้นายระพี  ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษได้เร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากการปฎิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ ที่ไม่ได้ตอบสนองและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของราษฎร จากการดำเนินประกาศเขตปฏิรูปที่ดิน(สปก) ในเขตพื้นที่อำเภอ ภูสิงห์และอำเภอน้ำเกลี้ยง รวมทั้งโครงการสวนป่าละเออะ อำเภอน้ำเกลี้ยงและป่าตามมติคณะรัฐมนตรี โครงการห้วยศาลา อำเภอกันทรลักษ์  ที่มีปัญหาไม่มีการกระจายสิทธิการถือครองแก่ราษฎรและมีปัญหาการพื้นที่โครงการทับซ้อนกับที่ดินของเกษตรกร นายระพี  ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า จะได้เร่งรัดติดตามการดำเนินการ ซึ่งจากการตรวจสอบ ทราบว่าหลายโครงการอยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไขปัญหาของหน่วยงานส่วนราชการอยู่ด้วยแล้ว/

 

  • ข้อมูลจาก ::   เอกรัฐ คำศรี  ส.ปชส.ศรีสะเกษ  วันที่ ::  20/5/2552 

 

 

 

รายงานข่าว

ประชุมพระสังฆาธิการ ประจำปี 2552 ทั่วประเทศ ตามมติมหาเถรสมาคมที่  143/2546  ภาค 10 กำหนดการประชุม ระหว่าง วันที่ 9-24 มิ.ย.2552 จังหวัดคณะสงฆ์ที่เข้าประชุมมี 6 จังหวัด อุบลราชธานี ศรีสะเกษ นครพนม ยโสธร  มุกดาหาร  และอำนาจเจริญ  จัดการประชุมเป็น 14 รุ่น  ๆ หนึ่งประมาณ  280 รูป  สถานที่ประชุม  ศูนย์การคณะสงฆ์ภาค 10 ตำบลหนองเมือง อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี  มีพระธรรมปริยัติโสภณ  เจ้าคณะภาค 10  เป็นประธาน ศรีสะเกษ จัดประชุม 4 รุ่น ระหว่าง  14-17 มิ.ย. 2552

 

 

 

 

 

 20.  การแก้ปัญหาของรัฐบาลผิดพลาด

       และไม่อาจจะเอาชนะประชาชนในระบอบประชาธิปไตยได้เลย ( 4 )

 

แน่นอนกลุ่มประชาชนผู้ชุมนุมเรียกร้องต่อผู้ปกครองให้มีการแก้ปัญหา โดยพื้นฐานทั่ว ๆ ไป ย่อมเป็นกลุ่มที่ขาดการจัดตั้ง  และระเบียบวินัยในกลุ่มอย่างเพียงพอ  ฉะนั้น เมื่อมีการขยายตัวออกไปเป็นกลุ่มชนขนาดใหญ่ จึงกลายเป็นจุดที่ไหวง่ายต่อความรู้สึกและการตัดสินใจอย่างฉับพลันโดยไร้เหตุผลอันสมควร หรือโดยความมักง่ายคิดโลภ หวังว่าจะเกิดความสำเร็จโดยพลัน   เห็นได้จากคราวมีการชุมนุมขับไล่รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช โดยกลุ่มม็อบการเมือง สนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์  ที่เมื่อบังเกิดผลสำเร็จขึ้นมาระดับหนึ่งแล้วก็เหลิงตัวเอง ไปประกอบความผิดอย่างร้ายแรงตามมา ที่ผิดกฎหมายร้ายแรงถึง 6 ประการนับตั้งแต่ (1)พาพวกปิดกั้นถนนหนทาง  แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จไปประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ ก็ต้องเสด็จเลี่ยงไปทั้ง6วันแห่งพระราชพิธีสำคัญนั้น,(2.)  ยกพวกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ไล่คณะรัฐมนตรีนายสมัครออกไปจากทำเนียบและยึดทำเนียบไว้เป็นเวลา193วัน       (3.)     ยกพวกไปปิดล้อมรัฐสภา 2 ครั้ง ครั้งสุดท้ายทำให้คณะรัฐมนตรี และสมาชิกรัฐสภาออกไม่ได้ ต้องปีนบันไดฉุกเฉินออกทางหลังรัฐสภา (4.)  ยกพวกปิดล้อมและยึดสถานีโทรทัศน์ NBT  ไล่เจ้าหน้าที่ออกไปเพื่อทำการใช้งานเอง  (5.)     ยกพวกเข้ายึดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง อันเป็นสนามบินนานาชาติ  อันเป้นเหตุให้คนต่างชาติหลายหมื่นคนเดือดร้อน และประเทศไทยเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล (6.)     กล่าวหาคนอื่น ด้วยวาจาหยาบคาย ใช้แต่คำดุด่า บริภาษคนทั้งหลายอย่างเต็มที่ ซึ่งแม้บัดนี้คนที่ทำความผิดก็ยังไม่ได้รับการจัดการจากรัฐบาลปัจจุบัน(รัฐบาลอภิสิทธิ์)อย่างไร   และบัดนี้ ก็มีกลุ่มการเมืองเสื้อแดง  ที่เมื่อแดงได้ทั้งแผ่นดินแล้ว ก็หลงลืมตัวไปเช่นเดียวกันกับกลุ่มแรก นั่นคือ อย่างน้อยก็มีบางความคิดที่แตกออกไปจากความคิดหลักคิดการกำเริบเสิบสานออกไปโดยลืมหลักการประชาธิปไตยไปเสีย จนกระทั่งอเมริกาที่เฝ้ามองอย่างเอาใจช่วยพลเสื้อแดงอยู่ ก็พลอยผิดหวังไปด้วย ให้โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ของนางฮิลลารี คลินตัน เตือนมาว่า การชุมนุมในระบอบประชาธิปไตย จะต้องปราศจากความรุนแรง ซึ่งน่าที่คนเสื้อแดงทุกคนจะต้องยอมรับ

 

อย่างไรก็ตาม วิญญูชนคนหนึ่งบนแผ่นดินไทยนี้  แม้จะไม่รู้เรื่องการเมือง เรื่องกฎหมาย หรือเรื่องสังคมเท่าไรเลยก็ตาม ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า  มีความแตกต่างในการประกาศ พรก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ในรัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย กับในรัฐบาลอภิสิทธิ์อย่างมาก  ก็คือ เมื่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในรัฐบาลสมัคร และสมชาย  เราไม่ได้เห็นทหารออกมา  ไม่ได้เห็นว่าทหารปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี ผู้มีอำนาจสั่งการตามกฎหมายเลย  ในการประกาศ พรก.ฉุกเฉินคราวแรก กรณียึดทำเนียบของม็อบจำลอง สนธิ-ประชาธิปัตย์  นอกจากทหารจะไม่ออกมาแล้ว  ยังกดดันให้รัฐบาลยกเลิก การประกาศ พรก.ฉุกเฉิน จนต้องยกเลิกในเวลาเพียง 6 วันต่อมาเท่านั้นเอง  และปัญหาก็เรื้อรังต่อไป ม็อบก็เหลิงไปใหญ่จนถึงคราวยึดสนามบินสุวรรณภูมิ  ในรัฐบาลสมชาย ได้ประกาศพรก.ฉุกเฉินอีกครั้งหนึ่ง  แต่เราก็ไม่เห็นทหารออกมา  ซึ่งแปลว่าทหารไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี ผู้มีอำนาจในการสั่งการทหารอีกครั้งหนึ่ง และซ้ำทหาร โดย ผบ.ทบ.พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจำเริญ ยังเสนอให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งเสียอีก  ครั้นมาถึงรัฐบาลอภิสิทธิ  มีการสั่งการอย่างเข้มงวดไปกว่า 2 รัฐบาล  โดยเป็นการประกาศ พรก.สถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง (ทั้ง ๆ ที่ไม่น่าจะร้ายแรงอะไร เพราะพลเสื้อแดงไม่ได้มาชุมนุมด้วยอาวุธ มีเพียงมือเปล่า ๆ  ผิดกับการชุมนุมในรัฐบาลสมัคร และรัฐบาลสมชาย)    และเราก็ได้เห็นทหารออกมา  และภาพที่สร้างคำถามว่า  ทหารไทยเก่งแค่ไหน ในการติดอาวุธร้ายแรง เพียงดังยกเข้าต่อสู้กับทหารต่างชาติในสมรภูมินักรบ   เป็นที่ชื่นชมปรีดาของประชาชนบางคน (คนไม่รู้เรื่องทหาร คงนึกว่าทหารไทยแน่มาก  แต่ความจริงนี่คือแย่มาก ๆ )

 

และนี่แหละที่ติดใจค้างคาใจประชาชน มาจนบัดนี้ ยิ่งเพิ่มความสงสัยไปอีกว่า  ทำไมทหารจึงเลือกฟังเฉพาะคำสั่งของรัฐบาลอภิสิทธิ์

 

นี่เป็นคำถามธรรมดาของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย  เราอยากขอให้รัฐบาลและทหารผู้เลือกรับใช้เฉพาะรัฐบาลอภิสิทธิ์ ลองสอบตัวเองว่ามีคำถามทำนองนี้อยู่อีกมากมายในแผ่นดินไทยยุคนี้  ที่ถ้าท่านฟังแล้วก็ขึ้งโกรธ หรือไกลไปกว่านั้นทำการระงับยับยั้งด้วยอำนาจรัฐ ปิดปาก ปิดหู ปิดตาประชาชน หรือห้ามการแสดงออกทางการเมืองไปเลย

 

นั่นแปลว่าท่านไม่รู้เรื่องรู้ราวของประชาธิปไตยที่ต้องการเลย  ทำให้น่าเป้นห่วงว่า  แล้วประชาธิปไตยไทยจะก้าวหน้าไปได้อย่างไร  ประชาชนเจ้าของประเทศจะต้องต่อสู้ไปอย่างเข้มข้นอีกนานเท่าไร ?

 

 

  • สุไหงปาดี ชินะกุล
    14 เม.ย.2552/21.00 น.

 

 รายงานตรงวันนี้
12 เม.ย.2552

17.00 .

พบว่าดีสเตชั่น ออกอากาศได้อีกแล้ว ภายหลังมืดไปมีแถลงการณ์ว่า ถูกสั่งปิดโดยอำนาจรัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง

พระสงฆ์นำโดยพระมหาโชว์ ทัศนีโย อยู่บนเวที พร้อมพระสงฆ์อีกประมาณ 20 รูป สวดชยมงคลคาถา มีวีระ มุสิกพงษ์ ยืนอยู่บนเวที   ว่าสวดถึง 9 จบขลัง ศักดิ์สิทธิ์


 

1730 น. สวดชยมงคลคาถาเสร็จ ประชาชนหามเอาพระบรมรูป(รูปปั้น)พระนเรศวรมหาราชมาให้ประชาชนบูชา 
นายนิพนธ์ พร้อมพันธ์ ขับรถแหวกออกมาจากกระทรวงมหาดไทย เอาปืนยิงประชาชน ประชาชนช่วยกัน จนรถนายนิพนธ์ถลาไปชนกำแพงทะลุ ตัวเองได้รับบาดเจ็บสาหัส

 

ประกาศข่าวว่าข่าวว่านายสุเทพ นายอภิสิทธิ์ สั่งการลุยทุกแนวต้านของประชาชน   แล้วตนเองเดินทางไปดอนเมืองเตรียมหนีออกนอกประเทศแล้ว  ขอให้ประชาชนช่วยกันจับตัวเอาไว้

 

17.35 น. จตุพร พรหมพันธ์ ออกมา  ประกาศว่าเราจะสรงน้ำกันพรุ่งนี้   เอามหาราชองค์ดำเป้ฯสัญลักษณ์การปลดแอกคนไทยออกจากอมาตยาธิปไตย

ชาวเสื้อแดงร่วมร้องเพลง แดงทั่วแผ่นดิน  สนั่นหวั่นไหว 


 

17.45 น. วิสา คัญธัพ ออกมาประกาศ แพ้ไม่ได้   อ่านบทกวี  พร้อมพลีชีพเถิดประชาชน  ดีกว่าอยู่ใต้ตีนทรราช

 

หมอเหวงโตจิราการ  ประกาศข่าวดี  รถถังกลับกรมกองหมดแล้ว   รถถังคันไหนยังอยู่ให้รีบกลับไปได้แล้ว

 

 จตุพรประกาศ ใครรู้อภิสิทธิ์  และเทพเทือกอยู่ไหน  บอกมาด้วย เราจะไปเยือน  จะแอ่นอก ใหยิง

ทักษิณพร้อมจะเข้าร่วมรบกับประชาชนแล้ว

ปิดดีสเตชั่นได้อย่างไร ไม่รู้จักเสียแล้วว่าใครเป็นเจ้าของไทยคมมาก่อน


อภิสิทธิ์จะปฏิเสธได้อย่างไร เมื่อทหารคุณยิงประชาชน เรามีหลักฐานพร้อม

 

18.05 น.   วิสา คัญธัพ ประกาศปรากฎการณ์มหัศจรรย์  เสื้อแดงแห่มาสมทบเต็มจนไม่มีที่ยืนแล้ว   ยิ่งปราบยิ่งบาน   แล้ว พร้อมกับไพจิตร อักษรณรงค์นำก็ร้องเพลงปลุกใจกันกระหึ่ม   เผด็จการต้องออกไป  ประชาธิปไตยจงเจริญ  

18.25 น. ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ  ออกมา ร้องเรียกคนเสื้อแดง

รถถังจะไปที่ไทยคม  ให้แทกซีสกัด

 

ทักษิณ  ออกเสียงมา   บอกโอกาสอย่างนี้ไม่มีอีกแล้ว     โทรทัศน์ทุกช่องบิดเบือน   ขอให้ต่อสู้ต่อไป   ขอให้พี่น้องออกมาอย่างต่อเนื่อง  เมื่อไรมีการใช้กำลัง   พี่น้องทหาร ตำรวจ เราเป็นคนไทยด้วยกัน  เราต้องการประชาธิปไตยด้วยกัน   ขอขอบคุณพี่น้อง  ผมจะติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อการตัดสินใจอย่างถูกต้อง   ผมจะโทรมาตลอดเวลา   จำเป็นเมื่อไรจะโทรมาทันที 

 

รายงานสุเทพสั่งการให้จัดการเสื้อแดง  สุเทพรับผิดชอบเอง  คนเสื้อแดงโห่สนั่น

 

วันนี้คนเสื้อแดงยึดกรุงเทพแล้ว

 

วิภูแถลง ออก ว่าทหารชั้นผู้น้อย พร้อมรถถังพร้อมเข้ากับเสื้อแดง   กุ้ง วีรสตรีบุกกรมตำรวจ ว่าเพิ่งนำพารถถังกลับเข้ากรมกองไปเมื่อชั่วครู่นี้เอง  ปรบมือให้พี่ ๆ แทกซี่ด้วย มอเตอไซค์รับจ้างด้วย   รถถังด่ารัฐบาลว่ารัฐบาลบ้า

 

หมอเหวง ว่าทหารในวัดโสมนัสวิหาร 300 กว่าคนหิวข้าว ว่ารับอาหารแล้วจะเข้ามาร่วมกับพี่น้องเสื้อแดง

 

พล.ท.นายหนึ่งมาหลังเวที  ว่าทหารไพร่พร้อมเข้าร่วมเสื้อแดง อำมาตย์มีทหารคุ้มครองเพียงไม่เท่าไรแล้ว

 

 

 


 14.    รายงานเหตุการณ์

         วันที่ 8 เมษายน 2552

 

 

 

12.05 น.  D-Station 

 

-  ทหารส่งรถถังจากป่าหวาย เคลื่อนเป็นขบวนเข้ากรุงเทพ ฝ่ายเสื้อแดงขอให้เบี่ยงปืนสู่บ้านสี่เสา

 

-   แกนนำเสื้อแดง ย้ำ แดงชุมนุมเพื่อประชาธิปไตย ปราศจากอาวุธ ขอให้ทหารเข้าใจ

 

 

 

 

12.20 น.  ช่อง 6  

 

-  พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ให้สัมภาษณ์ว่า การลอบสังหารองค์มนตรี ถ้ามีทหารเกี่ยวข้องก็ให้ตำรวจจัดการไปตามกฎหมาย

 

-  รายงานการจราจรในกรุงเทพฯติดขัด  เสื้อแดงยึดถนนนับแต่ทำเนียบรัฐบาลไปถึงบ้านสี่เสาเทเวศร ถนนพิษณุโลก ถนนสามเสน แน่น

 

-  ทางด่วน ทางข้ามฝั่งธนฯ เริ่มคลี่คลาย   เตือนประชาชนให้ตรวจสอบเส้นทางก่อนออกเดินทาง

 

-  กองทัพยืนยันจะไม่ใช้กำลังปราบปรามประชาชน ยืนยันทหารเป็นเพียงผู้ช่วย  ตำรวจเป็นหน่วยหลัก   จะไม่ให้มีการรุนแรงเกิดขึ้น

 

-  นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยืนยันรัฐบาลจะไม่ทำผิดกฎหมาย มั่นใจไม่มีการใช้ความรุนแรง  ใครผิดกฎหมายจะจัดการอย่างเด็ดขาด

 

-  มภ.1  ให้ทหารอดกลั้น ไม่ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา

 

 

 

 

12.50 . ช่อง 6

 

-  รายงานพลเสื้อแดงฝ่าตำรวจเข้าไป ตั้งเวทีประชิดบ้านสี่เสาได้ ตั้งแต่ 10.00 น.แล้ว

 

 

 

 

13.00 น. D Station

 

-พลเสื้อแดงถ่ายทอดสดผ่านดีสเตชั่น  2 จุดคือหน้าทำเนียบรัฐบาล และ หน้าลานพระบรมรูปทรงม้า   คนแน่นขนัดทั้งสองจุด

 

 

 

13.10 น. ดี สเตชั่น

-  อ.มานิตย์ จิตจันทร์กลับ อธิบายถึงสิทธิของประชาชนเสื้อแดง ที่จะจัดการกับปัญหา  ว่าประชาชนคือเจ้าของกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินทั้งปวง  ทั้งมีสิทธิ์เข้าจับกบฏผู้ปล้นชาติปล้นประชาชน ไปลงโทษได้  ขอให้ประชาชนภูมิใจในการทำหน้าที่  ประเทศไทยจะได้เป็นประชาธิปไตยกันเสียที  ว่าพล.อ.เปรม เป็นหัวหน้าใหญ่ของอมาตยาธิปไตย  ที่กั้นขวางประชาธิปไตยไทย

 

 

 

13.45 น. 

 

-  นายวีระ มุสิกพงษ์  รายงานว่า นายเนวิน ชิดชอบให้คนปลอมเป็นเสื้อแดง ทำการร้าย ทับถมเสื้อแดงที่นครพนม ให้ทราบว่าเป็นเสื้อแดงปลอม เสื้อแดงจริง ประกาศหลักอหิงสา  ต่อสู้เพียงมือเปล่า  ขอให้ทราบกันทั่วไป

 

 

 

 

 

16.00  น.

คณะแกนนำเสื้อแดงชุมนุมอ่านแถลงการณ์ ณ เวทีหน้าทำเนียบรัฐบาล นายวีระ มุสิกพงศ์ ประกาศ ว่า


1.   มีเหตุผลอันสมควรให้  พล.อ.เปรม  ติณสูลานนท์  ประธานองค์มนตรี,  พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์   นายชาญชัย   ลิขิตจิตถะ   พิจารณาตนเองลาออกจากองค์มนตรี

2..  นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  โดยไม่มีเงื่อนไขและโดยพลันทันที  ลงวันที่ 8 เมษายน 2552

 

 

 

 18.45 น.

- จตุพร พรหมพันธ์พู คลื่นรบกวนทันที  จนจอดำมืดไปถึง 4 นาที

 

20.25 น.

-ทักษิณโฟนอิน  พูดถึงประชาธิปไตยของประชาชน ไม่มีการแทรกแซงจากอำมาตย์

-20.35 น.  จอมืดไป 2 นาที

-ฝันว่าประชาธิปไตยเป็นของประชาชนแล้ว

 

 

  •  001 รายงาน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 15.   โค่นอำมาตย์ สร้างประวัติศาสตร์ ประชาธิปไตย

        เหตุผล



1.            อำมาตย์ไม่รู้จักประชาธิปไตย  เพราะไม่เข้าใจเรื่องอำนาจสูงสุดของประชาชนและของแผ่นดินในยุคสากลรัฐประชาธิปไตยของโลกยุคใหม่ นั่นหมายถึงไม่เข้าใจมนุษย์  รวมไปทั้งความเข้าใจผิดต่อมนุษย์ในสาระสำคัญ  นั่นคือ มนุษย์เป็นเวไนยสัตว์ ซึ่งมีวิถีทางและเป้าหมายอันเป็นธรรมชาติอันสูงสุดที่จำเป็นสำหรับชีวิตอยู่ 3 อย่าง คือ เสรีภาพ (Freedom) ความเสมอภาค(Equality)  และภราดรภาพ (Fraternity) และระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเท่านั้นที่สามารถสนองความต้องการ3อย่างนี้ ให้แด่มนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์  ประชาชนในโลกที่แจริญด้วยสติปัญญาแล้ว จึงเข้าใจและรู้ถึงแก่นแห่งประชาธิปไตย จึงลุกขึ้นยืนยันเรียกร้องการปกครองระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น

 

2.            อำมาตย์ไม่รู้หน้าที่ของตน ได้แก่เปรม ติณสูลานนท์ สุรยุทธ จุลานนท์ และ ชาญชัย ลิขิตจิตถะ ปัจจุบันเป็นผู้เกษียณอายุจากราชการทุกตำแหน่งแล้ว  และตำแหน่งองคมนตรี ก็ต้องมีหน้าที่ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่ระบุไว้ชัดแจ้งอย่างใด  กระนั้นรัฐธรรมนูญก็มิได้อนุญาตให้องคมนตรีมีส่วนแต่อย่างใดในการเข้าไปสั่งการกองทัพหรือก้าวก่ายการบริหารราชการบ้านเมืองหรือก้าวก่ายสถาบันการบริหารใดใต้ระบอบประชาธิปไตยของประชาชน

 

3.            รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นเพียงรัฐบาลหุ่นเชิดของอำมาตย์  จึงบริหารงานไปตามคำสั่งและการชี้นำบงการของอำมาตย์  ในสถานะเช่นนี้รัฐบาลจึงไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง  เมื่อไร้ค่าไร้ประโยชน์สำหรับประชาธิปไตยก็ไม่มีความจำเป็นต้องมีรัฐบาลอภิสิทธิ์ อีกต่อไป

 

4.            เมื่อข้อสงสัยต่าง ๆ มีคำตอบที่ถูกต้อง  ภาพอันเลือนราง พร่ามัวเริ่มแจ่มใส เห็นอะไร ๆ ชัดเจน จนไร้ความสงสัยแล้วว่า  ประชาธิปไตยไทยที่ไม่ก้าวหน้าเพราะพวกอำมาตย์ไปก้าวก่ายรัฐบาล และแอบอ้างพระบารมีของสถาบันสูงสุด ไปแทรกแซง สั่งการและก้าวก่ายกองทัพ และเครื่องมือของรัฐ ที่อยู่ใต้การบริหารและการสั่งการของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยมาตลอดเวลายาวนานเป็นเหตุให้ระบอบประชาธิปไตยไทยล้มลุกคลุกคลานมาตลอด  ในระยะหลังสุดอำมาตย์ เป็นตัวการผู้อยู่เบื้องหลังทหารทำการยึดอำนาจล้มล้างรัฐบาลทักษิณ ซึ่งเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่ประชาชนให้ความไว้เนื้อเชื่อใจที่สุดว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่กินได้ อันเป็นสัญลักษณ์ที่น่าชื่นชมที่บ่งถึงการเจริญก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตยไทยแล้ว  แต่อำมาตย์ผู้สูญเสียประโยชน์ ไม่อาจจะยอมให้รัฐบาลประชาธิปไตยเดินไปได้ โดยอ้างความโง่เขลาของประชาชน จึงแอบก่อการเบื้องหลังรัฐประหารของ คมช. 19 ก.ย.2549  โดยให้ พล.อ.สนธิ บุณยรัตนกลิน ผบ.ทบ.ขณะนั้น เป็นหัวหน้า คมช.  แล้วให้ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมา   นี่คือขบวนการล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตย  ซึ่งต่อมาก็ได้ล้มรัฐบาลสมัคร และรัฐบาลสมชาย ด้วยกลอุบายสลับซับซ้อนที่หลอกลวงตบตาประชาชน ที่เป็นประชาธิปไตย  จนบัดนี้ประชาชนจึงรู้ความจริง  และออกมารวมพลังแดงทั้งแผ่นดิน เพื่อขับไล่อำมาตย์

 

5.             อำมาตย์ยังทำความผิดอีกมากมาย  เมื่อความจริงปรากฏออกมาอย่างแจ่มแจ้ง ปราศจากความสงสัยอย่างสิ้นเชิง ก็ปรากฏความจริงว่าอำมาตย์นั่นเองได้เป็นผู้ชี้นำสนับสนุน หรืออยู่เบื้องหลังคนกลุ่มเสื้อเหลือง หรือแท้จริงม็อบการเมืองสนธิ-จำลอง-ประชาธิปัตย์  ที่แอบอ้างประชาธิปไตยไปตั้งชื่อตนเองว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย   ที่ทำความผิดต่อแผ่นดินไทยไว้อย่างยิ่งใหญ่ อย่างน้อย ๆ ก็ 6 ประการคือ
     (1.)    พาพวกปิดกั้นถนนหนทาง  แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จไปประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ ก็ต้องเสด็จเลี่ยงไปทั้ง 6 วันแห่งพระราชพิธีสำคัญนั้น
     (2.)     ยกพวกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ไล่คณะรัฐมนตรีนายสมัครออกไปจากทำเนียบและยึดทำเนียบไว้เป็นเวลา 193 วัน  
     (3.)     ยกพวกไปปิดล้อมรัฐสภา
2 ครั้ง ครั้งสุดท้ายทำให้คณะรัฐมนตรี และสมาชิกรัฐสภาออกไม่ได้ ต้องปีนบันไดฉุกเฉินออกทางหลังรัฐสภา
     (4.)     ยกพวกปิดล้อมและยึดสถานีโทรทัศน์
NBT  ไล่เจ้าหน้าที่ออกไปเพื่อทำการใช้งานเอง
     (5.)     ยกพวกเข้ายึดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง อันเป็นสนามบินนานาชาติ  อันเป้นเหตุให้คนต่างชาติหลายหมื่นคนเดือดร้อน และประเทศไทยเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
     (6.)     กล่าวหาคนอื่น ด้วยวาจาหยาบคาย ใช้แต่คำดุด่า บริภาษคนทั้งหลายอย่างเต็มที่


ซึ่งแม้ความผิดจะเห็นชัดเจนอยู่เช่นนี้ แต่รัฐบาลภายใต้บงการของอำมาตย์กลับให้ความช่วยเหลือ กลบเกลื่อนความผิดอันร้ายแรงขั้นกบฏของพวกเขานั้นมาจนถึงวันนี้

 

6.            จึงถึงเวลาแล้วที่อำมาตย์จักได้พิจารณาตนเอง  และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะต้องไปเสียจากการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว.

 

 

 

·         นังสือพิมพ์ดี (อินเทอเนต)
9  เม.ย.2552

 

 13.      รำลึกพันท้ายนรสิงห์
           ถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองค์มนตรี

 

 

เรื่องราวของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะประธานองคมนตรี และยังเป็นรัฐบุรุษ (ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครแต่งตั้งตำแหน่งนี้ เพราะเป็นตำแหน่งที่ประชาชนไม่รู้จักมาก่อน ไม่ใช่ประชาธิปไตย)  ได้เป็นที่น่าสงสัยมานานแล้วในพฤติกรรม ในฐานะที่เป็นประธานองค์มนตรี คณะผู้ซื่อสัตย์จงรักภักดีที่พร้อมจะมอบกายถวายชีวิตพิทักษ์ปกป้องพระสง่าราศีแห่งพระมหากษัตริย์

 

สิ่งที่น่าฉงนไปอย่างสุด ๆ โดยตลอดมา  ไม่เคยคลายความสงสัยไปได้ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งในระหว่างเรื่องที่น่าคลางแคลงใจสงสัยมากมายหลายเรื่อง  กรณีตัวอย่างนี้ก้คือม็อบที่เรียกตนเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เจ้าเดียวกับที่ปิดสนามบินนานาชาติ สุวรรณภูมิ สร้างความวิบัติแด่ชาติไทยอย่างยิ่งใหญ่ นั่นเอง แต่กรณีนี้คือ ทำการปิดกั้นถนนราชดำเนิน อันเป็นเส้นทางพระราชดำเนินไปประกอบพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตลอดเวลา 6 วัน ระหว่างวันที่ 14-19 พฤศจิกายน พุทธศักราช  2551 โดยจักทรงเสด็จแบบขบวนพยุหยาตราทางสถลมาร์ค อันทรงพระเกียรติยศยิ่ง แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมขบวนรถพระบรมราชวงศ์ทั้งสิ้น ไม่อาจเสด็จทางถนนราชดำเนินเพราะคนกลุ่มนี้ปิดเส้นทางพระราชดำเนินอันเป้นวิถีทางแห่งกษัตริย์อยู่ ไม่ยอมเปิดเส้นทางให้  จนต้องทรงเสด็จเลี่ยงไปทางถนนลูกหลวงแทน ถนนราชดำเนิน

 

 

ทั้ง ๆ ที่ก่อนวันพระราชพิธีนั้น ทางตำรวจโดยคำสั่งการของรัฐบาลก็ได้เข้าไปขอร้องและถึงกระทั่งอ้อนวอนกับกลุ่มชนหมู่นั้นว่าขอให้เปิดเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินให้ชั่วคราว  เพื่อทรงไปประกอบพระราชพิธี แต่คนหมู่นั้น ซึ่งมีหัวหน้าม็อบคือนายสนธิ ลิ้มทองกุล และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง (ยศขณะนั้น) พร้อมพรรคพวกแห่งโพธิรักษ์ สันติอโศก ก็ไม่ยินยอม  จนกระทั่งพระมหากษัตริย์ของชนชาวไทย ผู้ทรงเสด็จโดยเป็นปกติทั้งทางสถลมาร์ค และ ชลมาร์ค อย่างสวยสง่างามยิ่งใหญ่ สมพระเกียรติ์  ในแผ่นดินโลกนี้ ดังที่ชาวโลกทั้งหลายทราบดีและชื่นชมว่าทรงมีขบวนเสด็จพยุหยาตราทางชลมารค ที่ยิ่งใหญ่มโหฬาร พร้อมความสง่างาม ทรงศักดิ์ศรีแห่งพระมหากษัตริย์ใต้ฟ้า ที่เป็นที่เลื่องลือไปทั้งโลก

 

กรณีนี้ ได้ทำให้ประชาชนคนทั้งหลายผู้เปี่ยมไปด้วยความจงรักภักดีต่อเบื้องพระยุคลบาท สงสัยมานานว่าทำไมคณะองค์มนตรีจึงไม่พิทักษ์ปกป้องพระสง่าราศีขององค์พระมหากษัตริย์ โดยไม่มีใครเลยที่ได้ยินว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะประธานองค์มนตรี ที่ต้องพิทักษ์รอบด้าน รอบเรื่อง รอบปัญหาทุกปัญหา รอบองค์พระมหากษัตริย์ โดยหน้าที่ขององค์มนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องราวที่คนกลุ่มนั้นปิดเส้นทางพระราชดำเนินของพระมหากษัตริย์ ที่จะทรงเสด็จไปประกอบพระราชพิธียิ่งใหญ่ในฐานะที่เป็นประธานองค์มนตรี ซึ่งหมายถึงเป็น 1 ในองค์มนตรี ผู้มีหน้าที่ปกป้องพิทักษ์พระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต กลับทำเฉยเมย  ทำเป็นตาบอดต่อเหตุการณ์ที่เป็นการลบหลู่พระเกียรติ์ของพระมหากษัตริย์   ไม่มีการประสานงานเพื่อดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง  ไม่มีการสอบถามถึงที่ไปที่มาของเหตุการณ์  ทำการเฉยเมย  ไม่รับผิดชอบในหน้าที่ต่อองค์พระมหากษัตริย์ มาจนถึงทุกวันนี้ยังแสดงให้เห็นชัดเจนต่อประชาชน ว่าได้กระทำการซ่องสุมกองกำลังดำเนินการทางการเมืองที่ล้มล้างรัฐบาลที่มาโดยวิถีทางประชาธิปไตย และระบอบประชาธิปไตยของประชาชนอีกด้วย

 

ทำให้คิดถึง พันท้ายนรสิงห์  เพราะแท้จริง  องค์มนตรี ก็คือคณะผู้ที่ทำหน้าที่อย่างเดียวกับพันท้ายนรสิงห์สมัยพระเจ้าอยู่หัว อยุธยาองค์นั้น  พันท้าย ตำแหน่งที่ไม่ใหญ่โตดั่งตำแหน่งองค์มนตรีทุกวันนี้ แต่ก็ได้ปกป้องเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต ปรากฎมาถึงเราทุกวันนี้อย่างน่าเลื่อมใสชื่นชม

 

มาถึงวันนี้ จึงได้ทราบอย่างแน่ชัด ปราศจากความสงสัยว่า  ประธานองค์มนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์  พร้อมด้วยองค์มนตรี พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ลุแก่อำนาจ เป็นอมาตยาธิปไตย น่าคิดติดตามต่อไปอีกว่า พฤติกรรมของท่านเข้าข่าย คิดคด ทรยศต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

 

วันนี้ประชาชนจึงต้องถามถึงอย่างเดียวคือโทษจักมีสถานใด

เมื่อเปรียบเทียบกับ พันท้ายนรสิงห์แล้ว โทษประหาร ก็ยังน้อยไป  ใช่หรือไม่?

 

  • นสพ.ดี ( อินเทอเนต )
    30 มี.ค. 2552

 

 

 

 

 

 

 7.    รัฐบาลอภิสิทธิ์ ดำเนินการเรื่องปฏิรูปการเมือง
       ให้สถาบันพระปกเกล้าดำเนินการ 
       นายบวรศักดิ์ อุวรรโณ ออกมารับว่า
       จะดำเนินงานให้ตามที่รัฐบาลขอร้องไป
 

 ข่าวรัฐบาลได้มอบหมายให้สถาบันพระปกเกล้าดำเนินงานการปฏิรูปการเมือง  เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่รัฐบาลก็ยังดื้อด้านทำไป  ผลก็คือ เป็นการสิ้นเปลือง เวลา และงบประมาณ และจะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยทางการปกครองประเทศไทยทั้งประเทศ

เพราะประเทศไทยไม่ต้องการปฏิรูปการเมืองตามความคิดของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์นั้น  แต่ต้องการประชาธิปไตยคืนมา โดยดำเนินการให้อำนาจการปกครองประเทศเป็นของประชาชน  ให้ความเสมอภาคแด่ประชาชนในการใช้สิทธิเลือกตัวแทนเข้าไปปกครองประเทศ  ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ส่วนหลักการสำคัญส่วนหนึ่งแล้ว

เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าจนกระทั่งบัดนี้ พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังไม่เข้าใจประชาธิปไตยดีพอ สังเกตได้ตั้งแต่ท่าทีการดูแคลนประชาชน ว่าประชาชนอีสานตั้งรัฐบาล ประชาชนกรุงเทพล้มรัฐบาล  เพราะชาวอีสานถูกซื้อ ได้ด้วยเงิน  เป็นต้น

แท้จริงก็ยังมีคนหลายสถาบันที่มีความเข้าใจผิดพลาดอยู่เช่นนี้  ในเรื่องความเสมอภาค( Equality ) ของระบอบประชาธิปไตย  นั่นคือ สิทธิของประชาชน 1 เสียงเท่ากันทุกคน ๆ  เขาคิดว่าประชาชนระดับเกษตรกรควรมีหนึ่งเสียง  พวกชนชั้นกลางควรมี 5 เสียง  พวกอมาตย์ มี10 เสียง  พวกศาสตราจารย์อย่างศาสตราจารย์ดร.บวรศักดิ์ อุวรรโณ อย่างนี้ ควรมี50 เสียง เป็นต้น

เพราะหากเขาเข้าใจในเรื่องความเสมอภาคว่าเป็นความเป็นธรรมของระบอบประชาธิปไตยแล้ว ก็คงจะไม่ต้องคิดกันอย่างอื่นเลยในเวลานี้  นอกจากคิดอย่างเดียวคือ เอาประชาธิปไตยของเราคืนมา

แท้จริงประชาธิปไตยนั้น มาจากหลักการในพระพุทธศาสนาทั้งหมดก็ว่าได้   ในขณะที่ชาวไทย แม้จะได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธ แต่ก็ล้วนเป้นชาวพุทธ ที่ไม่ค่อยจะรู้ค่าของพุทธ ตามที่ควรจะเป็น ตามนัยยะที่ท่านพุทธทาสภิกขุและท่านปัญญานันทภิกขุมักตำหนิอยู่เป็นประจำตลอดชีวิตของท่านว่าเป็นชาวพุทธเพียงสำมะโนครัว  จึงไม่ได้ประโยชน์อะไร ไม่รู้เลยว่าศาสนาพุทธได้สอนการเมืองระบอบประชาธิปไตยไว้อย่างไร  แต่ฝรั่งเขารู้จักวิเคราะห์ เขาไม่ได้เชื่อก่อน แต่เขาเอาไปวิเคราะห์วิจัยจึงพบว่านี่แหละเอาไปปกครองประเทศจึงจักเกิดความเป็นธรรมขึ้นในหมู่มนุษย์ เพราะศาสนาพุทธสอนเรื่องความเป็นมนุษย์ไว้ทั้งหมด เป็นศาสนาแห่งมนุษย์  และเขาก็ได้บัญญัติหลักการว่าด้วยเสรีภาพ( Freedom ) เสมอภาค ( Equality ) และภราดรภาพ ( Fraternity ) ของมนุษย์ขึ้นมาเป็นหลักการข้อสำคัญของประชาธิปไตย

ในส่วนของความเสมอภาคนั้น ก็คือ ทุกคนจะต้องมีคนละ 1 เสียง จะไปลดหลั่นให้เป็นชนชั้น เช่นอีสานและชาวเหนือให้คนละ 1 เสียง ชาวใต้ ตะวันออกให้คนละ 2 เสียง ชาวกรุงเทพให้คนละ 3 เสียง  หรือตามที่ศาสตราจารย์ในคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งคิดว่าตนเป็นศาสตราจารย์ต้องได้เสียงมากกว่าพวกคาราวานคนจนอีสาน ถ้าคาราวานคนจนอีสานได้คนละ 1 เสียงตนต้องได้ 10 เสียง เช่นนี้เท่ากับบอกว่า ศาสตราจารย์นางนั้น ทั้ง ๆ ที่เป็นคนสอนเรื่องการเมืองระดับปริญญาเอก กลับเขลา ไม่รู้เลยว่าประชาธิปไตยคืออะไร ประชาธิปไตยสร้างความเป็นธรรมในสังคมอย่างไร ทำไมโลกจึงต้องการประชาธิปไตย(เท่านั้น)

และที่ไปที่มาก็คือความจริงที่ว่าคนเรามีชีวิตชะตากรรมที่ไม่แน่นอน จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไป วันนี้เป็นคนรวยล้นฟ้า  แต่วันหน้าอาจจะตกต่ำลงมาเป็นกระยาจกได้ ก็มีตัวอย่างมาแล้วในยุคไอเอ็มเอฟอย่างไร  เรามีชื่อบุคคลกลุ่มหนึ่งขึ้นมาในสังคมไทยคือ  คนเคยรวย  ในยุคไอเอ็มเอฟของประชาธิปัตย์รัฐบาลนายชวน หลีกภัย   และในยุค2552ของพรรคประชาธิปัตย์ รัฐบาลอภิสิทธิ เวชชาชีวะ อีกทีนี้ ก็อาจจะมีกลุ่ม คนเคยรวย เพิ่มมาอีก  ก็ได้  ในขณะเดียวกันคนเคยยากจน ไม่มีอะไรเลยก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้  ตัวอย่างก็คือเศรษฐี มหาเศรษฐีโลกหลายคนที่เคยเป็นคนจนมาก่อน(เช่นชาลี แชปปลิน เป็นต้น เมื่อเขาจนเขาก็มี 1 เสียง  เมื่อเขารวยล้นฟ้าเขาก็คงมี 1 เสียงเท่าเดิม นั้นเป็นระบอบประชาธิปไตยจริงในประเทศที่เจริญแล้ว)

นี่คือหลัก อนิจจัง  ที่ฝรั่งเอามาเป็นแนวคิดพื้นฐานเรื่องความเสมอภาคของระบอบประชาธิปไตยยุคใหม่

คำว่า  อนิจจัง แปลว่า  ไม่เที่ยง,ไม่แน่นอน,เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ (โปรดดูพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 หน้า 1326)  บาลี อนิจฺโจ  ไม่เที่ยง (ค.ธ.ป. 204/101). สํ. อ + นิตฺย. Anicco [adj.]  unstable, not lasting, transitory, perishable.  Skt. A + nitya. (โปรดดูปทานุกรม บาลี ไทย อังกฤษ สันสกฤต ฉบับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาท 2512 หน้า 43)

เพราะฉะนั้น  หลักการความเสมอภาค ตามที่บัญญัติให้ประชาชนเจ้าของอำนาจมีสิทธิมีเสียงกันคนละ 1 เสียงนั้น ย่อมเป็นธรรมที่สุดอยู่แล้ว

เราจึงหยากให้หยุดความคิดเหลวไหล ปฏิรูปการเมืองไทยเสีย เอาประชาธิปไตยของเราคืนมาเสียเถอะ เผด็จการจงออกไป หรือไม่ก็รอวันที่จะโดนขับไล่ออกไป อย่างไร้เกียรติ์ และหนีอย่างหัวซุกหัวซุน

ในกรณีนั้น หากไม่เก่งอย่างทักษิณ แล้วจะมีแผ่นดินอยู่หรือ? 

·         บัวระย้า ชะบาบุญเสฏฐ์
11 มี.ค. 2552

 

 

 3.   โรฮิงญา สะท้อนระบอบเผด็จการทหารในพม่า
      และสะท้อนถึงรัฐบาลไทยปัจจุบัน
(2)

กรณีโรฮิงญา คือชนกลุ่มน้อยในพม่าจำนวน 1000 คนอพยพมาขึ้นฝั่งไทยแล้ว ทหารเรือขับออกไปนอกฝั่งไทย ทิ้งไว้กลางทะเลลึก และรัฐบาลไทยก็ไม่ได้เอาใจใส่แต่อย่างใดเลยต่อเรื่องราวของชนผู้ไร้แผ่นดินกลุ่มนี้  เป็นเหตุให้ต้องบากหน้ากลับเข้าฝั่งไทยอีกครั้งปรากฏว่ามีชาวโรฮิงยาเสียชีวิตไปร่วม 500 ศพ  และรัฐบาลไทยพรรคประชาธิปัตย์ปิดเรื่องไว้อย่างเงียบเชียบ จนรู้ไปถึงองค์การสหประชาชาติ เรื่องที่เศร้าสลดนี้จึงปรากฎขึ้นในแผ่นดินไทย

และทำให้คนทั้งหลายระลึกถึงพรรคประชาธิปัตย์ ที่แต่ไหนแต่ไรมา ได้แสดงตนเป็นนักสิทธิมนุษยชนอย่างสูง  และได้นำเอาประเด็นนี้ขึ้นมากล่าวร้ายรัฐบาลอื่นอยู่ตลอดมา  อันแสดงภาพตัวเองที่สวยหรูสง่างามมาตลอด ๆ  ดังที่ปรากฎว่ามีอีกกรณีหนึ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ ในยุคนายชวน หลีกภัยเป็นฝ่ายค้าน ได้แสดงความแข็งขัน ในเรื่องสิทธิมนุษยชนนี้ จนเกินความที่น่าจะเป็น และขัดความรู้สึกคนทั้งแผ่นดินก็คือ นโยบายการปราบปรามยาเสพติด  มีกรณีที่ทางตำรวจไทยบุกเข้าจับกุมผู้ต้องหาค้ายาเสพติดที่ที่ทางตำรวจสืบทราบว่าจะมีการนัดหมายชุมนุมกันในกระท่อมแห่งหนึ่ง ในปี พ.ศ. 2544  แล้วมีการเข้าล้อมจับกุม มีการต่อสู้ของพวกนักค้ายาเสพติด ทำให้มีการวิสามัญฆาตกรรมเกิดขึ้น  ทำให้ตัวการผู้ร้ายสำคัญหรือนักเลงค้ายาเสพติดเสียชีวิตไปถึง 7-8 คน  ในระยะนั้น เป็นระยะที่ประเทศไทยมีปัญหายาเสพติดค่อนข้างมาก จนเกิดกระแสประชชนเรียกร้องให้กวาดล้างยาเสพติดอย่างจริงจริงจัง ๆ กรณีวิสามัญฆาตกรรมคราวนั้น จึงเป็นที่พอใจของประชาชนเป็นอย่างมาก  แต่นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  ได้ยกเหตุผลเรื่องสิทธิมนุษยชนนี้ขึ้นมาหักล้างความดีงามของรัฐบาล ลดทอนความเลื่อมใสศรัทธาของประชาชนต่อรัฐบาล ด้วยความอิจฉาริษยาอย่างถึงที่สุด  และเรื่องการปราบปรามยาเสพติดในยุคทักษิณ พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ยกเอาประเด็นนี้มาต่อสู้เพื่อลบล้างผลงานของรัฐบาลทักษิณมา ว่ารัฐบาลเข่นฆ่าปิดปากประชาชน  มาจนถึงทุกวันนี้    

กรณีโรฮิงญา ที่เราเห็นว่าเป็นประเด็นก็เพราะว่า เป็นเหตุที่เกิดขึ้นในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์  ก็เมื่อแต่ไหนแต่ไรมาพรรคประชาธิปัตย์ได้แสดงออกถึงความสะเทือนใจต่อชนผู้ยากไร้และเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างสูง จนแม้กระทั่งผู้ร้ายที่ค้ายาเสพติดที่เป็นภัยต่อประเทศชาติและประชาชน  พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้แสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจพวกเขา จนกระทั่งเห็นรัฐบาลและตำรวจเป็นฝ่ายผู้ร้าย ที่เลวไปกว่านักค้ายาเสพติดไปอีกด้วยซ้ำ  แต่กรณีโรฮิงญา เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนโดยตรง  แต่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ แทบไม่แสดงความรู้สึกในประเด็นความหมายของสิทธิมนุษยชนที่ตนเคยให้ความสำคัญอย่างยิ่งใหญ่ในคราวเป๋นฝ่ายค้านเลย  จนเป็นเหตุให้ สำนักข้าหลวงใหญ่องค์การสหประชาชาติ (UNHCR) ต้องดำเนินการสอบสวนขึ้นว่ารัฐบาลไทยได้ผลักดันชนกลุ่มนี้ไปกลางทะเลลึกจริงหรือไม่  เช่นนี้ จะให้หมายความว่าอย่างไร ?

กรณี โรฮิงญา วันนี้ จึงได้สะท้อนไปถึงความจริงใจของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อมองการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน มาอย่างเอาจริงเอาจัง  ว่าแท้ที่จริงเป็นเพียงการเสแสร้งโฆษณาชวนเชื่อ สร้างภาพ เอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าคนอื่นโดยตลอดมา  โดยมีความมุ่งหมายที่ผลประโยชน์ส่วนตน  โดยเป็นความเห็นแก่ตัวของตนและพรรคพวกเท่านั้น   และเราเห็นว่าพรรคการเมืองและนักการเมืองที่ไร้จิตใจ ไร้ความจริงใจ หน้าไหว้หลังหลอก หรือไร้คุณธรรมและจริยธรรมเช่นนี้  ย่อมไม่สมควรเป็นพรรคการเมือง และนักการเมืองที่เป็นที่ต้องการของระบอบประชาธิปไตย เพราะดำเนินนโยบายไม่สอดคล้องวิถีทางที่พัฒนาระบอบประชาธิปไตย เป็นศัตรูต่อระบอบประชาธิปไตยควรจะได้พิจารณาว่าเป็นอุปสรรคสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนคนในระบอบประชาธิปไตยพึงพิจารณาว่าเป็นเรื่องสำคัญ และไม่พึงสนับสนุนให้การอุปถัมภ์หรือให้ความไว้วางใจในทางการเมืองต่อไป 

·         สุไหงปาดี ชินะกุล
28 ก.พ.2552

 

 

 

 

 

 

 


 4.   บทบรรณาธิการ  หนังสือพิมพ์ดี : วิเคราะห์ข่าวในวงการเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดและสหธรรมิก

วัตถุประสงค์   เพื่อนำความคิดไปสู่ความดีงาม เพื่อความกลมกลืนแห่งสากลศาสนา

เล่มที่ 42   ประจำเดือน ต.ค.-พ.ย.-ธ.ค.2551-ม.ค.-ก.พ.-มี.ค. 2552

 

 

 บทบก.: การเมืองอเมริกา การเมืองไทย บุคคลแห่งปี2551ของหนังสือพิมพ์ดี

 

 

 

 

 

หนังสือพิมพ์ดี : วิเคราะห์ข่าวในวงการเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดและสหธรรมิก

วัตถุประสงค์   เพื่อนำความคิดไปสู่ความดีงาม เพื่อความกลมกลืนแห่งสากลศาสนา

เล่มที่ 42   ประจำเดือน ต.ค.-พ.ย.-ธ.ค.2551-ม.ค.-ก.พ.-มี.ค. 2552

 

 

 

 

  บทบรรณาธิการ

 

 

นี่คือหนังสือพิมพ์ดี ( อินเทอเนท ) ฉบับที่ 42  ประจำเดือน ต.ค.-พ.ย.-ธ.ค.2551-ม.ค.-ก.พ.-มี.ค.2552 ซึ่งออกตามหลังเวบไซต์ของเราคือ  https://www.newworldbelieve.net

 

 

 

 

            เราจะบินบินบินและบินไป                            สู่ขอบฟ้าสดใสในเบื้องหน้า
            แม้วันนี้มีเมฆร้ายมหิมา                               ก็ไม่หวาดไม่ผวาคณาภัย

            ถึงเขาใหญ่สูงเงื้อมตระหง่านฟ้า                    ก็จะฝ่าฤาพรั่นนึกหวั่นไหว
            มหาสมุทรสุดสายลมไกว                            จะเอื้อมไปให้ถึงซึ่งฝั่งดิน

            ถึงแห้งเหือดเลือดหมดหยดสุดท้าย              แล้วก็หมายชนหลังยังถวิล
            สัจธรรมนี้ไว้ในธรณิน                                 กว่าจะสิ้นกัปกัลป์พุทธันดร

 

 

 

ในการที่เราออกหนังสือพิมพ์ดี นี้  เรามุ่งหมายให้เป็นสื่อความคิดที่ดี  การกระทำที่ดี  ตามสุภาษิตของเราที่ว่า   เพื่อนำความคิดไปสู่ความดีงาม   เพื่อความกลมกลืนแห่งสากลศาสนา   For All Good  For All Thought : ทุกความดีงาม  ทุกความคิดของมวลมนุษย์โลกนี้    เราได้กล่าวไว้ในดีเล่มก่อน ดีเล่มที่ 41 ว่าอย่างไรเราก็ยืนยันอย่างนั้น   นั่นคือ  สถานการณ์บ้านเมืองในวันนี้ ยังคงเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง และมองไปดูมืด ไม่มีทางออก   แต่เราต้องสู้ และตั้งใจว่าทางออกคือความเป็นธรรม  แม้จะมืดก็ต้องฝ่าฟันออกไปทางความเป็นธรรมนั้น  เพื่อให้แผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินสำหรับความเป็นธรรม  และประชาชนข้างหน้า ในอนาคตที่เป็นคนไทยรุ่นใหม่ต่อไปในแผ่นดินนี้ เป็นเครือสกุลเลือดเนื้อของคนเป็นธรรม   ฉะนั้น  เราจึงยังมีความหวังว่าประชาชนไทยทั้งปวง ที่เป็นชนผู้เป็นมนุษย์ ที่ย่อมรักความเป็นธรรมอยู่โดยธรรมชาติอยู่แล้ว จะมารวมกันให้เหนียวแน่น เพื่อต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในแผ่นดินอย่างถึงที่สุด  จนกว่าจะพบความสำเร็จ และประชาชนทั้งแผ่นดินได้พบความสุขสงบ บรรลุประโยชน์อันดีที่เที่ยงแท้

 

 

หนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 42 ที่ออกมาในช่วงนี้ เป็นช่วงที่มีเหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญสมควรจารึกไว้ อยู่ 2 ประการ คือ

 

ประการที่ 1  การเมืองอเมริกา  

 

มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่ง ณ เวลาประเทศไทยเมื่อ 19.20 น.วันที่ 4 พฤศจิกายน 2551  ทางประเทศสหรัฐอเมริกาได้เปิดหีบเลือกตั้ง  และประชาชนอเมริกันซึ่งคาดว่ามีประมาณ 130 ล้านคน ได้ทยอยไปลงบัตรเลือกตั้งแล้ว  และหลังจากนี้ก็เป็นกระบวนการเลือกตั้ง  ซึ่งในวาระเดียวกันนี้ ได้มีการเลือกตั้งสภาสูงและสภาล่างไปพร้อมกันด้วย   ครั้นเมื่อวันที่ 5 พ.ย.2551 เวลา ประมาณ  11.00 น.  ปรากฏผลการเลือกตั้งส่วนใหญ่แล้ว นายจอห์น แม็กเคน [ John McCain ]  ได้แถลงต่อประชาชน  ยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง โดยแถลงที่รัฐอาริโซน่า   และยังได้โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีต่อนายบารัค โอบามา [ Barack Obama ]  นายยอร์ช ดับเบิลยู บุช [ George W. Bush ] ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ผู้กำลังจะจากไป ก็ได้โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับนายบารัค โอบามา ด้วย   ในเวลาต่อมานายบารัค โอบามา ก็ได้กล่าวปราศรัยในสวนสาธารณะของนครชิคาโก [ Grand Park Chicago ]  รัฐอิลลินอยส์ ข้อความของเขามีว่า  จะใช้วิธีประชาธิปไตย และความมีเสรี เป็นเครื่องมือของชัยชนะ

 

ข้อสังเกตการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาปีนี้ ดูเหมือนว่ามีหลายสถาบันการเมืองอเมริกา ได้เอาใจใส่สังเกตปัญหาทางการเมืองไทยเป็นพิเศษ  และดูเหมือนจะได้แสดงแบบอย่างให้ประเทศไทย นักการเมืองไทยได้เห็นเป็นตัวอย่าง  ว่าองค์ประกอบของระบอบประชาธิปไตยทุกระบอบนั้นต้องการสปิริตจิตใจที่เข้มข้นอย่างไร  สิ่งที่เรียกว่าจริยธรรม หรือสิ่งที่สะท้อนจริยาแห่งระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นสิ่งที่มีความหมายสำคัญอย่างยิ่งต่อระบอบประชาธิปไตยเพียงไหน  นับตั้งแต่การเมืองในพรรคการเมืองเอง  จะเห็นบทบาทของคู่ที่เป็นตัวแทนพรรค  แสดงแบบอย่างอย่างไร ระหว่างนางฮิลลารี คลินตัน ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ค  อดีตสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกา  กับ ส.ว.บารัค โอบามา เห็นได้ว่า ในเวลาที่มีการต่อสู้กัน เขาก็ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย  แต่พอรู้ผลชัยชนะแล้ว เขาก็แสดงจิตใจนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย  และเมื่อได้ตัวแทนแล้ว แม้เคยต่อสู้กันมาอย่างเข้มข้น เขาก็กลับมาเป็นมิตรกัน ร่วมต่อสู้เพื่อชิงชัยกับพรรคคู่แข่ง  ดังจะเห็นบทบาทของทั้งอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน  กับนางฮิลลารี คลินตัน ที่เด่นของพรรคดีโมแครต  ในการช่วยคนของพรรคคือนายบารัค โอบามา จนประสบชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ของพรรคดีโมแครต โดยได้เสียงข้างมากทั้งสภาล่างและสภาสูงด้วย  และที่เห็นเป็นปกติในการเมืองระบอบประชาธิปไตยที่ควรเป็นแบบอย่างแด่การเมืองไทยก็คือ การยอมรับในความพ่ายแพ้ต่อประชาชนฝ่ายที่สนับสนุนตน  โดยมุ่งหมายว่าประชาชนก็ยอมรับความพ่ายแพ้นั้นด้วย  ซึ่งหมายถึงประชาชนอเมริกัน ภายหลังการเลือกตั้งทุกครั้งเมื่อกลับมาเป็นตัวเป็นตนแบบเสรี ไม่มีการยึดมั่นในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยเพียงคอยติดตามผลงานของพรรคการเมือง จนกว่าจะถึงวาระการเลือกตั้งครั้งต่อไป

 

และบังเอิญการเลือกตั้งครั้งนี้ เกิดขึ้นในระยะเวลาที่ประเทศไทยมีปัญหาทางการเมืองอยู่พอดี  จึงน่าที่นักการเมืองและประชาชนไทยจะได้มองดูและดูแบบอย่างของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีความก้าวหน้าในระบอบประชาธิปไตยอย่างสูง  และเป็นเหตุของความเจริญมั่งคั่งเป็นมหาอำนาจของชนชาติอเมริกัน   สิ่งที่คนไทยน่าจะสังเกตให้ดีเป็นกรณีพิเศษในเชิงเปรียบเทียบทางนามธรรมเชิงพุทธรรมก็คือ ประชาชนอเมริกันได้ประพฤติธรรมชั้นสูงโดยความเป็นธรรมชาติ ซึ่งเมื่อวิเคราะห์แล้วพบว่าพวกเขาปฏิบัติธรรมพุทธคือ  มีความวิริยะอดทน ( ดูตั้งแต่บทบาท ในเวลาที่ระดมการหาเสียง จะเห็นความพยายามของพรรคการเมืองและนักการเมืองสูงมากและไม่มีการเหน็ดเหนื่อยท้อแท้เลย )  การไม่จองเวร  การไม่ผูกโกรธ   การให้อภัย  ( ดูภายหลังผลการเลือกตั้งแล้ว ทั้งนักการเมืองและประชาชนทุกฝ่ายต่างก็ให้อภัยไม่ผูกโกรธ  ไม่จองเวร  ต่างก็ทำจิตว่าง พวกเขาเล่นการเมืองด้วยจิตว่างโดยแท้จริง   ทั้ง ๆ ที่พวกเขาอาจจะไม่เคยอ่านหนังสือธรรม อย่างที่คนไทยในประเทศไทยอ่านและท่องจำกัน)  ฯลฯ ซึ่งชาวอเมริกันเขาไม่ได้มองในเชิงศาสนธรรม โดยเฉพาะเขาไม่ได้มองว่าเป็นพุทธธรรมด้วยซ้ำ  แต่เขามองว่าเป็นจริยา หรือ จริยธรรมของระบอบประชาธิปไตยที่จำเป็น เพื่อให้ระบอบเดินไปได้ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการเมืองไทย พบว่าประชาชนชาวพุทธรู้ธรรมเหล่านั้นดี อธิบาย เทศน์ ขยายความไปได้มากมาย  แต่หาความซื่อสัตย์ต่อพระธรรมคำสั่งสอนนั้นไม่  เพราะเพียงแต่รู้ เพียงแต่เรียนและจดจำเอาไว้เพื่อการโอ้อวดเท่านั้นเอง ไม่ได้มองในเชิงปฏิบัติให้บรรลุผลจริง ๆ จัง ๆ และไม่เข้าใจว่าธรรมะเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างขาดไม่ได้ของระบอบประชาธิปไตย   แต่หมู่ชนอเมริกันที่เขาไม่ได้รู้ธรรมเหล่านี้จากคัมภีร์พุทธเลย แต่ปฏิบัติไปโดยเหตุผลแห่งธรรม-ธรรมชาติอันกระทบสังคมและมีผลโดยธรรมชาติ  เขาจึงได้ปฏิบัติ สร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ และความเจริญ   นี่ควรเป็นข้อคิดเตือนใจพุทธไทยอย่างแท้จริง  โดยเฉพาะความเข้าใจทางการเมืองว่า  การเมืองในระบอบประชาธิปไตย จักต้องยืนอยู่บนความเคร่งครัดแห่งจริยธรรมอย่างสูงระบอบจึงจักก่าวเดินเจริญไปได้

 

 

ประการที่ 2 การเมืองไทย

 

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 27  โดยชนะเสียงโหวตในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่  15 ธ.ค. 2551 โดยชนะ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก แห่งพรรคเพื่อไทย 235 : 198  คะแนน  วันที่ รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  18 ธ.ค. 2551 ได้กล่าววาทะที่สำคัญ ๆ ต่อประชาชนว่า จะยุติการเมืองที่ล้มเหลว  ก็ได้แต่เพียงกล่าวคำพูดเท่านั้น  เพราะมาถึงบัดนี้แล้วก็ยังไม่เห็นพูดต่อว่าจะยุติอย่างไร  และที่สำคัญไม่แสดงให้เห็นว่า จะใช้วิถีทางการเมืองอย่างไร  ถ้าไม่ใช้วิถีทางของระบอบประชาธิปไตยแล้วจะสามารถยุติ การเมืองที่ล้มเหลว ได้อย่างไร   จึงกลับจะยืนยันเพียงว่าแท้ที่จริง การพูดของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และพลพรรคประชาธิปัตย์ ก็เหมือน ๆ กัน คือพูดโดยไม่คำนึงถึงการกระทำ

 

ฉะนั้นที่พูด ๆ ไปแล้วโดยตลอดมาจนถึงวันนี้  จึงเป็นแต่เพียงการพูดเท่านั้นจริง ๆ  เหตุก็เพราะพูดในสิ่งที่ไม่คิดจะทำ  และทำในสิ่งที่ไม่ได้พูด  ซึ่งแสดงถึง การไร้ประสิทธิภาพในการบริหารงานโดยสิ้นเชิง  ตามที่เราได้คาดคะเนไว้แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว  และหนังสือพิมพ์ดีก็ได้วิเคราะห์ไว้บ่อย ๆ เป็นเชิงเตือนให้พรรคประชาธิปัตย์เร่งศึกษานโยบายให้ชัดเจน เป็นของตนเอง    แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้ทำการศึกษาทางนโยบายการบริหารแผ่นดินเลย  เมื่อขึ้นเป้นรัฐบาล อย่างไม่สง่างามอย่างยิ่ง  จึงหันไปจับเอานโยบายของพรรคคู่ต่อสู้ของตนเอง  ซึ่งเคยเป็นนโยบายที่พรรคประชาธิปัตย์เคยรังเกียจ เคยต่อต้านคัดค้านมาแล้ว ทั้งในรัฐสภาและนอกรัฐสภา แต่ที่น่าสมเพชก็คือ  เอาของเขามาใช้อย่างไม่เข้าใจ  ทั้งอุดมการณ์และแนวทางการบริหารนโยบายของเขา  แล้วยังได้พบว่ามีสิ่งที่น่าเป็นห่วงไปอีก ก็คือ  พอเริ่มต้นก็กู้หนี้ยืมสินเสียแล้ว   ที่เป็นเครื่องวัดความสามารถของพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคไทยรักไทยเดิม  ที่ทำงบประมาณประจำปีโดยเป็นงบประมาณสมดุล มาอย่างน้อยก็ 2 ปีซ้อน ๆ  นี่กล่าวเพื่อให้เห็นเชิงความสามารถ และความน่ามั่นใจศรัทธา

รัฐบาลนายอภิสิทธิ์จึงคงจะได้รับการต่อต้านอย่างแรงจากประชาชนเสื้อแดงและหมู่เหล่าอื่น ๆ ต่อไป และมองไม่เห็นว่าจะสร้างประโยชน์อย่างไรแก่ประชาชน โดยเฉพาะประชาชนชาวอีสานอันกว้างใหญ่  ที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยได้รับการเหลียวแลอยู่แล้ว เพราะเหตุการณ์ในภาคใต้ทั้งเหตุการณ์จริงและการสร้างสถานการณ์ขึ้นมาได้ดึงดูดงบประมาณและการบริการของรัฐไปทุกปีทุกปี  จนเป็นเหตุให้ประชาชนชาวอีสาณที่กว้างใหญ่ ต้องยอมเป็นฝ่ายเสียสละตลอดมา พวกเขาต้องทนอดทนออมต่อปัญหาต่าง ๆ โดยไม่ปริปากออกมาเลยเป็นเวลานานนับรัฐบาลแล้วรัฐบาลเล่า ล่าสุดที่มีความหวังอันพลุ่งโพลง ก็มีขึ้นในรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช  โดยท่านสมัคร นายกรัฐมนตรีได้เอ่ยโครงการอุโมงค์ผันน้ำ และการชลประทานขนาดให่ญ่ในภาคอีสาน ในวงเงินงบประมาณ 2 แสนล้านบาท   แม้เพียงเอ่ย ก็ยังแสดงถึงความเอื้ออาทร  และเราคิดว่าหากพรรคประชาธิปัตย์จะเพียงลองเอ่ยถ้อยคำหวาน ๆ เกี่ยวกับปัญหาความแห้งแล้งในแตนอีสาน ขึ้นมาบ้าง  จะบอกต่อไปหน่อยตรง ๆ ว่า  เอ่ยเพื่อให้เป็นกำลังใจคนอีสานไม่ได้ตั้งใจทำ เพราะรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ไร้ความสามารถ ทำไม่ได้หรอกเท่านั้น  ชาวอีสานก็คงจะพอใจให้คะแนนพรรคประชาธิปัตย์ไปจำนวนหนึ่งเลยทีเดียว    เราจึงขอเสนอแนะไว้ ณ ที่นี้

 

 

 

บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี
พุทธศักราช 2551

และวาระนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะประกาศ บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ประจำปี พุทธศักราช 2551  ดังต่อไปนี้

 

1.    วีระ มุสิกพงศ์

วีระ  มุสิกพงศ์  นักต่อสู้ ที่มีอดีตมากมาย หลากประสบการณ์  สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนับแต่ช่วงปลายปี 2551 เป็นต้นมา ที่ควรนับว่าเป็นปรากฎการณ์แปลกพิเศษที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในประเทศไทยก็คือ ปรากฎการณ์สีแดง  และครั้งล่าสุดมี  แดงทั้งแผ่นดิน เพื่อประชาธิปไตย นั้น เป็นฝีมือของเขา และสหายร่วมงานอีก 2 คือ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ จตุพร พรหมพันธ์  ที่ได้รับฉายาจากฝ่ายตรงข้ามเขาว่า  3 เกลอหัวเกรียน การพูดของเขาบนเวทีต่าง ๆ ได้บ่งบอกไปถึงชีวิตและอุดมการณ์ของเขา เราได้พบว่าเขามีความนิ่งสงบสงัด และความเย็นเยือกแห่งภาคภายใน เพราะเหตุที่มีประสบการณ์มาก ชีวิตได้เก็บเกี่ยวเรื่องราวของชีวิต  สังคม ชาติ บ้านเมือง และสัจธรรมมามากพอเอาตัวเองรอดในโลกที่อันตรายได้อย่างสบาย ๆ  ในท่ามกลางความผันผวนปั่นป่วนและไร้ระเบียบวินัย 

ในช่วงเวลาปัจจุบันนี้ เราได้พบว่า วีระ มุสิกพงศ์ ดูเหมือนว่าเขาอยู่ข้างเดียวกับโชคชะตา มีโชคชะตาเป็นเพื่อน  พร้อมนิพพิทาญาณคือความหน่ายในโลกสงสาร   แม้ว่าโดยแท้จริงเป็นเพราะความมีจุดยืนของชีวิตที่ถูกต้อง  นั่นคือ สัจธรรม โดยวาทะพระพุทธภาษิตว่า  สจฺจํเว อมตา วาจา
: วาจาจริงเป็นสิ่งไม่ตาย และวันนี้อุดมการณ์ของชีวิตได้แฝงไว้ในรายการ  ความจริงวันนี้  ก็เป็นสิ่งที่เป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อความสำเร็จในชีวิตของเขา เพื่ออุดมการณ์ประชาธิปไตยที่กว้างใหญ่ ภาพอนาคตข้างหน้าก็ดูชัดเจน มีมาตรฐานความเข้าใจในระดับแห่งศาสนธรรมค่อนข้างสูง ที่มีเส้นแบ่งที่แตกต่างระหว่างวิชชาและอวิชชา  พร้อมวิสัยทัศน์อันกว้างไกล รอบด้าน ที่ครอบคลุมทุกศาสตร์ทุกสถานการณ์ 

ระยะหลังมานี้เขาเก่งกล้าหาญพอที่จะวิพากษ์สันติอโศก และนายรัก รักพงษ์แห่งสันติอโศก ในยุคที่หลงผิดในความเป็นศาสดา  ซึ่งนี่เป็นการเปิดทางสู่ความจริงอีกทางหนึ่ง ทางแห่งโลกเร้นลับ หรือ โลกุตตรภูมิ นั่นคือการเปิดทางภูมิปัญญาไปสู่ระดับธรรมชาติ อันเป็นธรรมดา ที่ปราศจากการยึดมั่นถือมั่น คือความหลุดพ้น  ที่พ้นไปจากกาลเวลา ไม่มีอดีต  ไม่มีอนาคต และทั้ง ไม่มีปัจจุบัน

 

2.    ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เขาได้รับการจารึกประวัติชีวิตตอนต้น ๆ ไว้ว่า  นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์พีทีวี อดีตรองโฆษกพรรคไทยรักไทย  ในปี พ.ศ. 2551 นายณัฐวุฒิได้เป็นหนึ่งในพิธีกรรายการความจริงวันนี้ ทาง NBT โดยร่วมกับนายวีระ มุสิกพงศ์ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ แต่เมื่อรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้มอบหมายให้นายณัฐวุฒิ เข้าดำรงตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายก่อแก้ว พิกุลทอง จึงได้เป็นพิธีกรแทนนายณัฐวุฒิ ประวัติ นายณัฐวุฒิ มีชื่อเล่นว่า เต้นเกิดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2518 ที่อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช จบการศึกษาระดับประถม ที่โรงเรียนวัดพระมหาธาตุ เมื่อปี พ.ศ. 2530 ระดับมัธยม ที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช เมื่อปี พ.ศ. 2536 สร้างชื่อเสียงด้วยการเป็นนักโต้วาทีของโรงเรียน จนได้เป็นแชมป์ รายการโต้คารมมัธยมศึกษา ทางช่อง 3

 เรื่องราวในระยะหลังของบุคคลผู้นี้ เป็นเรื่องที่น่าประทับใจ น่าเลื่อมใส ศรัทธา เขาได้พบกับความอกหักติดต่อกันไปตามรัฐบาลที่ถูกโค่นล้มอย่างไม่เป็นธรรม อย่างน้อยก็ 2 รัฐบาลมาแล้ว  ทั้ง ๆ ที่เขาได้ทุ่มทุกอย่างเพื่อปกป้องรัฐบาลของเขาอย่างสุดฤทธิ์  น่าจะเป็นภาวะที่สุดทนของปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่ง  แต่สิ่งที่ทำร้ายและปิดกั้นทางเดินของเขาเหล่านี้  มิอาจสะกัดกั้นเขาได้  เขายังคงเดินหน้าต่อไปด้วยมาดของนักสู้ ในดวงตาของเขายังคงสดใส มีประกายแห่งความปิติชื่นมื่นเสมอ ไม่เคยปรากฏรอยที่ขุ่นมัว เศร้าโศก และสิ้นหวัง  และริมฝีปากเขาก็ยังมีรอยยิ้มแย้มและอารมณ์ขันดุจไม่รู้จักความเศร้าโศกเสียใจในชีวิต    เรามองว่าเป้นบุคลิกภาพที่สะท้อนความสามารถ เป็นคนที่เก่งจริง กล้าหาญจริง  พร้อมทั้งสุขภาพทั้งทางกายและทางใจสมบูรณ์  ทั้งเป็นนักสู้ผู้เฉลียวฉลาด มีไหวพริบ และความเท่าทันคนเท่าทันสถานการณ์ เขามีบุคลิกภาพที่เชาวน์ปัญญาแล่นเร็ว  สามารถเอี้ยวพลิกตัวหลบหรือใช้เป็นยุทธวิธีในสนามรบแห่งปัญญาได้คล่องแคล่ว และที่สำคัญคือจุดยืนที่อยู่บนความจริงวันนี้  ซึ่งย่อมเป็นต้นทางนำไปสู่สัจธรรมอันเป็นโลกุตตระ อันเป็นอมตะนิรันดร์กาลต่อไป

 

 

3.    จตุพร พรหมพันธ์ 

จตุพร พรหมพันธ์   สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบสัดส่วน พรรคเพื่อไทย  มีประวัติช่วงหลัง ๆ มานี้ว่า  จตุพร พรหมพันธ์ ได้เข้าร่วมเป็น 1 ใน 8 แกนนำกลุ่ม นปก. ที่เคลื่อนไหวต่อต้าน คมช. เคยเข้าสังกัดกับพรรคพลังประชาชน พร้อมกับลงรับสมัคร ส.ส. ในระบบสัดส่วนลำดับที่ 4 ของโซน 6 ที่ประกอบด้วยพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ  ต่อมาในปี พ.ศ. 2551 นายจตุพรเป็นหนึ่งในพิธีกรรายการ ความจริงวันนี้ ทางเอ็นบีที โดยร่วมกับ นายวีระ มุสิกพงศ์ และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

 ภาพที่เห็นเขาเป็นคนที่มีน้ำหนัก เป็นนักสู้ที่พร้อมทั้งอาวุธทางปัญญาและการกระทำ เขาเป็นคนที่ใช่มีเพียงมีวาทะ  หากแต่มีวาทะพร้อมสติที่ควบคู่ไปกับการกระทำ  ที่รู้ภาษาการพูดจาดี ที่หวังผลต่อความเป็นธรรมอย่างไร อันเป็นลักษณะของจินตนาการที่พรั่งพรู    ออกมาดบทบาทที่มั่นคงกล้าพบกล้าเผชิญความจริงและคนจริง  แน่ละเขากล้าสู้กับสิ่งที่ไม่เป็นธรรมในแผ่นดิน ทั้งในระบบและนอกระบบอย่างไม่ระย่อ    ในขณะเดียวกันมีบุคลิกของนักสู้ผู้เยือกเย็น สุขุม อารมณ์ดี 

ในระยะหลังได้เห็นอารมณ์ขันของจตุพร พรหมพันธ์ แม้ในประเด็นปัญหาการเมืองที่เกรี้ยวกราด ดุดัน แฝงอันตราย  แต่เขามองเป็นเรื่องที่น่าขบขัน   ทำให้สะท้อนถึงจิตใจอันกว้างใหญ่และจริงใจของเขา ที่บ่งถึงความเป็นมิตรก็เป็นมิตรอย่างยิ่งใหญ่ และพร้อมที่จะเป็นมิตรกับทุกคน ที่พร้อมจะมาสู่อุดมการณ์เดียวกัน  เมื่อเป็นศัตรูก็อย่าหวังว่าจะอยู่ร่วมหรือเดินไปเป็นคู่ขนาน แต่ต้องตายจากกันไปข้างหนึ่งชนิดที่ร่วมแผ่นดินกันหาได้ไม่ อันสอดคล้องทฤษฎีสัจธรรม 2 ด้าน  คือสัจธรรมขาว  และสัจธรรมดำ  อันเป็นปรมัตถสัจจะสูงสุดสำหรับปัญญาชนหรือเหล่านักปราชญ์ ผู้รู้ทั้งหลาย มุ่งศึกษาเพื่อการบรรลุแจ้งสัจธรรมอันสมบูรณ์ อันแท้จริงที่ปราศจากความลำเอียงในการมองเหตุการณ์ใดหนึ่ง

เมื่อเร็ว ๆ นี้จตุพร พรหมพันธ์ได้บัญญัติวันที่ 14 ก.พ. ว่าเป็นวันแห่งความรักประชาธิปไตย ซึ่งฟังเป็นหลักการที่ดีมากสำหรับประเทศและวัฒนธรรมไทย น่าจะมีการก้าวหน้าไปตามวัฒนธรรมใหม่นี้ดีกว่าการก้าวไปตามวัฒนธรรมกาม คือ วาเลนไทน์ อันเป็นวัฒนธรรมต่างชาติต่างศาสนาจากเรา
  นี่ก็เป็นเรื่องของความน่าชื่นชมอีกเรื่องหนึ่ง สำหรับบุคคลผู้สมควรยกย่องว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี

 

4.    ก่อแก้ว พิกุลทอง

ก่อแก้ว พิกุลทอง  เกิดเมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2508 ที่ อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา เป็นบุตรของ นายตี่-นางซิ่น พิกุลทอง จบการศึกษามัธยมปลายจาก โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย เคยสอบได้ที่ 1 ของภาคใต้ ในการสอบแข่งขันของสมาคมคณิตศาสตร์แห่งประเทศไทย ทั้งประเภทบุคคลและประเภททีม เมื่อปี 2526 จบปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (เกียรตินิยม) เมื่อ พ.ศ. 2531 จบปริญญาโท MBA International Program จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (เกียรตินิยม) เมื่อ พ.ศ. 2542 ได้รับเลือกให้เป็นประธานนักศึกษาปริญญาโท ในปี 2541 เคยทำงานที่ บริษัท น้ำมันคาลเท็กซ์(ไทย)จำกัดระหว่างปี2531-2536 ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ  

ภาพที่ปรากฏในปัจจุบัน เมื่อมองบทบาทของบุคคลผู้นี้ พบการต่อสู้ที่ออกมาจากดวงใจของนักสู้ ผู้มีความสุขในการต่อสู้เพื่อมวลชน  เมื่อปรากฏต่อหน้ามวลชน มาดของเขากล้าหาญ เฉียบขาด บ่งถึงความรักในสัจธรรม การกล่าววาทะมีความแหลมคม ที่สะท้อนความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจการเงินและการพานิช รวมทั้งการเมืองเอง  อย่างไม่หยุดรั้งรีรอ  เพราะทุกอย่างออกมาจากสัจธรรมภายในดวงจิต ดวงจิตที่รักความเป็นธรรม ที่มีปกติเกลียดชังอธรรมอย่างเป็นธรรมชาติ  เมื่อวาทะที่ออกมาจากดวงจิตที่ซาบซึ้งในสัจธรรมเต็มเปี่ยมแล้ว  ภาพของเขาก็ดูดี ครั้นเมื่อมาอยู่บนโต๊ะเสวนาเดียวกับ สามเกลอหัวเกรียน แห่งรายการความจริงวันนี้ ( วีระ มุสิกพงศ์ ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ จตุพร พรหมพันธุ์ )  รวมเป็น 4 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค  ซึ่งน่าจะได้รับการจารจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกหน้าหนึ่ง

 

5.   ใจ  อึ๊งภากรณ์  

ใจ  อึ๊งภากรณ์    วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี บันทึกประวัติช่วงหลังของใจ อึ๊งภากรณ์ เอาไว้ว่า ภายหลังการรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 และคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ใจประกาศไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร และยกเลิกรัฐธรรมนูญ และเป็นแกนนำนักศึกษามหาวิทยาลัยจัดชุมนุมประท้วง และสวมชุดดำ รวมทั้งให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า นายกฯ ที่ได้รับการแต่งตั้ง เป็นนายกรัฐมนตรีทหาร ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ถือว่าเป็นนายกรัฐมนตรีเถื่อน จนถูกแจ้งความจับในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ   

เรามองว่า  อาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์  ทายาทผู้รับมรดกธรรมจาก ศ.ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์  ในฐานะบุตรชาย ภาพที่เห็นเขาได้ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์สังคมมาอย่างกระปรกกระเปี้ย จนดูประหนึ่งว่าเขาคงอดใจวางมือหลบหน้าหนีสังคมที่อธรรมนี้ เอาตัวรอดไปเสียคนเดียวไปนานแล้ว   แต่แล้ว  ในขณะที่มีความสับสนทางการเมือง อะไรเป็นอะไรของลัทธิทางการเมือง  ใจ อึ๊งภากรณ์ ก็โผล่ออกมายืนยันอุดมการณ์ คือความเป็นธรรมในแผ่นดิน  จึงได้เห็น บทบาท จุดยืนของใจ อึ๊งภากรณ์ที่แน่วแน่ไม่แปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์หรือกระแสสังคมและการเมือง ปรากฎว่ากล้าออกมายืนยันอุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างตรงไปตรงมา น่าเลื่อมใส เขาแสดงหลักวิชา และตรงตามหลักวิชา ไม่มีความลำเอียงไปตามกระแส  หรือแม้กระทั่งบุคคลใดบุคคลหนึ่ง นั่นคือจิตใจของนักวิชาการที่แท้จริง

ในวันนี้ ใจ อึ๊งภากรณ์ ได้พิศูจน์แล้วว่าเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์ต่ออุดมการณ์อย่างแน่วแน่  อย่างเป็นตัวตนที่แท้จริงของนักต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมและเพื่อประชาธิปไตยโดยแท้จริงคนหนึ่ง และเรามองไปถึงแก่นธรรม คือความเป็นธรรมชาติอันสุจริตแห่งกายกรรม  วจีกรรม และมโนกรรม  ที่ซ่อนแฝงอยู่ล้ำลึกภายในภาคภายในของนักสู้ท่านผู้นี้

 

6.    ปัญญา นิรันดร์กุล 


 

ปัญญา นิรันดร์กุล   วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี บันทึกไว้ว่า ปัญญา นิรันดร์กุล มีชื่อเล่นว่า ตาเกิดเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2497 (อายุ 54 ปี) ในครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีน มารดาชื่อ นางอำพัน นิรันดร์กุล แม่ดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2546  

ปัญญาได้รับพระราชทานปริญญาสถาปัตยกรรมศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ   สมรสกับ นางวาสนา นิรันดร์กุล  มีบุตร-ธิดารวม 4 คน คือ น้ำตาล-ปานวาด (เกิด: พ.ศ. 2527) , น้ำหอม-ปานตา (เกิด พ.ศ. 2530) , น้ำทอง-ปานฝัน (เกิด: พ.ศ. 2531) และ น้ำมนต์-ปรวัธน์ (เกิด: พ.ศ. 2537) 

 ปัจจุบัน ปัญญา นิรันดร์กุล เป็นพิธีกร และนักแสดงชาวไทย หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง และดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) (อังกฤษ: WorkPoint Entertainment Co., Ltd.)  ปัญญามีบ้านพักอยู่ภายในหมู่บ้านเมืองเอก ย่านรังสิต ใกล้กับ สตูดิโอเวิร์คพอยท์ ที่ทำการใหม่ของ บมจ.เวิร์คพอยท์ฯ มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสตูดิโอถ่ายทำรายการโทรทัศน์ และละครโทรทัศน์ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย 

ดูรายการต่าง ๆ โดยปัญญา นิรันดร์กุล เป็นพิธีกร ทางช่อง 7 สี แล้ว พบว่า เขาเป็นคนที่มีความจริงใจ ที่มุ่งหมายสร้างงานเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อคนทั้งหลาย แบ่งปันและเอื้อเฟื้อซึ่งผลประโยชน์ที่ทำมาหาได้ร่วมกันอย่างเป็นธรรม  อย่างมีน้ำใจเอื้ออารีตามเหตุผล  เรามองว่านี่คือความเป็นมนุษย์ และบ่งถึงจิตใจที่เมตตา เข้าใจคนอื่น มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น ในขณะเดียวกันกับที่มีความสนใจในธรรมะ ที่ได้คำนึง 2 ด้าน แห่งธรรมะ มีแนวทางวิจัยธรรมะที่มุ่งหมายถึงสาระแห่งธรรมะกับชีวิต-สังคม  ซึ่งตรงกับพุทธองค์ระบุว่า  พหุชนหิตายะ  พหุชนสุขายะ  คือปฏิบัติธรรมไปเพื่อความมุ่งหมาย 2 อย่าง คือ เพื่อให้ได้ประประโยชน์  และ เพื่อให้ได้ความสุข   การมองธรรมะ 2 ด้านเป็นทางของความริเริ่ม  ปัญญา นิรันดร์กุล  จึงสามารถมองธุรกิจโดยธรรมะไปได้ไกล สามารถสร้างตนสร้างงานจนขณะนี้เป็นเจ้าของบริษัทธุรกิจบันเทิงที่ก้าวหน้า ทันยุคทันสมัย เด่นดังเป็นประโยชน์และความสุขในสังคมได้   และเนื่องจาก  เป็นเจ้าของบุคลิกภาพที่สอดคล้องบุคคลในระบอบประชาธิปไตย  นั่นคือการมีความเคารพในมนุษย์  เห็นค่าของความเป็นมนุษย์ในบุคคลอื่น จึงสมควรยกย่องเขาเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 

 

7.   แอน ทองประสม 

แอน  ทองประสม   ล่าสุดเธอให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง เกี่ยวกับชีวิตคู่ของเธอ ว่า รอให้หนุ่มเอมาขอ  จริง ๆ อายุมันก็ได้แล้วล่ะ  จังหวะมันก็ได้แล้ว  แต่ว่าบังเอิญยังไม่ได้คุย  จะจบงานยังไง ชีวิตคู่ยังไง  ก็ขอทำงาน  ปีนี้รับละครตั้ง 3 เรื่อง ยังไม่มีเวลาแม้แต่จะกลับบ้าน  แอนว่าแต่งไปจะเลิกกันซะเปล่า ๆ  กลัวไง   เดี๋ยวเคลียร์อะไรให้ลงตัวก่อนแล้วค่อยว่ากัน  แล้วก็ยังดูด้วยว่าเค้ายังอยากแต่งกับแอนอยู่หรือเปล่า    ฝ่ายชายอยากแต่งอยู่ใช่มั้ย?  เค้าก็ไม่ได้ปฏิเสธ แววตาก็ดูไม่ได้ เบื่อแอนหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็รอถามเค้าเองอีกรอบหนึ่ง แต่ตัวเองก็ไม่ได้ไปมองใคร ก็รอดูแต่งไม่แต่งก็ว่ากัน  

ปีที่แล้วแอนพูดเหมือนยังไม่คิดเรื่องนี้ แต่ปีนี้เริ่มคิดแล้ว 
แอนก็เริ่มคิดบ้าง มันเหมือนคนเราจะใช้ชีวิตเหมือนขอนไม้ลอยน้ำไปเรื่อย ๆ  ไม่วางแผนก็ไม่ใช่ ก็มองว่าเมื่อไหร่ดีนะ  ไม่ใช่ไม่มองเลย   เป็นเพราะหลายคู่แต่งไปเยอะหรือเปล่า เลยเริ่มมอง ไม่ใช่ค่ะ อันนั้นทำให้คนมาถามเราเยอะมากกว่า มันเหมือนเรียงลำดับไหล่ คนนั้นคนนี้แต่งไปแล้ว คนเลยมาเพ่งเล็งเรา แต่แอนดูความพร้อมของตัวเองและตัวเค้ามากกว่า ปีนี้ยังไม่มีสิทธิ์ลุ้นใช่ไหม?  ปีนี้ไม่ได้แต่งแน่ ปีหน้าค่อยมาถามใหม่ละกัน เพราะว่าเรื่องแบบนี้มันตอบยาก  แต่ละปีความรู้สึกมันไม่เหมือนกัน
 

เรามองว่าชีวิตของ แอน ทองประสม เป็นชีวิตที่สมบูรณ์ มีความสำเร็จ ความสุข และความรอด เราเห็นว่าเธอพบสิ่งที่สมบูรณ์นี้ ด้วยความมีสติดี  รู้พิจารณา ยั้งคิด  และที่สำคัญมีความเฉลียวฉลาดโดยธรรมชาติ  และบรรลุปัญญาว่าด้วยสัจธรรมแห่งชีวิต มั่นใจรอบรู้วิถีทางดำเนินชีวิตยุคใหม่ไปอย่างไร อนาคตเป็นอย่างไร
  และด้วยความเป็นเช่นนี้ มีตัวตนเช่นนี้ เป็นความสุขของชีวิตดีแล้ว และดวงตาสว่างแจ่มใส รู้แจ้งสัจธรรมแห่งชีวิต  น่าเป็นชีวิตตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่งที่หายากอยู่ทีเดียว

 

8.   ศุภรัตน์ นาคบุญนำ 

นางสาวศุภรัตน์ นาคบุญนำ สตรีกล้าแกร่งอดีตผู้สมัครส.ส.แบบแบ่งเขต กทม เขต 8 เบอร์ 17 เกิด 24 พฤษภาคม 2511  ประวัติการศึกษา- มัธยมศึกษาตอนต้น ร.ร.สตรีวัดระฆัง - ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) วิทยาเขตพิตรพิมุขจักรวรรดิ (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์) - ปริญญาตรี วารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน (เกียรตินิยม) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์- ปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตร์ หลักสูตรการจัดการภาครัฐและเอกชน (MPPM) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

ประวัติการทำงาน - ผู้สื่อข่าวและผู้ประกาศข่าววิทยุ ข่าวด่วน พล.1ทางสถานีวิทยุกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ บริษัท สหศีนิมา จำกัด ในสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์- ผู้สื่อข่าวและผู้ประกาศข่าว สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7- ผู้ดำเนินรายการวิทยุ อาทิ รายการ ร่วมด้วยช่วยกัน- พิธีกรรายการโทรทัศน์ อาทิ รายการ พบผู้แทน

เมื่อมองบทบาทของ ศุภรัตน์ นาคบุญนำ  พบว่าเธอมีบุคลิกภาพที่มั่นใจ และเผยให้เห็นสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์  กระนั้นแม้ในมาดที่ดูละมุนนิ่มนวล และหวานอย่างสตรีคนหนึ่ง  แต่ก็ซ่อนแฝงจิตใจที่เข้มบ่งถึงความเอาจริง และความเป็นนักสู้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อประชาชน  ที่เดินหน้าไม่มีวันถอยหลังหลบลี้หนีข้าศึก และความเปลี่ยวเปล่าแห่งชีวิตอันลึกล้ำภายในดวงจิต ดูดั่งว่าเป็นทวารชีวิตที่ยังเป็นความลับที่จักเปิดทางไปสู่ความหมายอันยิ่งใหญ่ของสัจธรรมต่อไป

 

9.   กนิษฐ์ สารสิน   

กนิษฐ์ สารสิน   ประวัติย่อ :  กนิษฐ์ สารสิน เป็นลูกชายคนสุดท้องของ พล.ต.อ.เภา และ คุณหญิงถวิกา สารสิน สมรสแล้วกับ อมรา สารสิน มีบุตรชาย 2 คน  ชื่อเล่น : เป๊ะ      วันเกิด : 01/01/2512 อายุ  39 ปี การศึกษา  จบปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเครื่องกล จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, จบปริญญาโทสาขา MBA จาก Boston University ผลงานที่ผ่านมา กรรมการผู้จัดการบริษัท ผลิตอุปกรณ์ก่อสร้าง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่าย กระเบื้องยาง Dynoflex   พิธีกร รายการ 4 ต่อ 4 แฟมิลี่เกม  แก๊งชะนีกับอีแอบ(2006) พิธีกร รายการถ้าคุณแน่อย่าแพ้ ป.4  

ภาพที่เห็นในระยะหลังนี้ก็คือเจ้าของรายการ ถ้าคุณแน่อย่าแพ้เด็กประถม ช่อง 3 ซึ่งเป็นบทบาทที่เราให้คะแนนความเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี แทบทั้งหมด เพราะเป็นการแฝงแนวคิดที่ดี ที่น่าเตือนสติคนไทย และการศึกษาในระบบการศึกษาไทยปัจจุบันว่า   แท้จริงแล้ว คนเราแม้เติบโตไปแล้ว ก็ใช่ว่าเก่งเกินคนป.4 หรือผู้ที่ได้ประกาศนียบัตรเพียง ป.4  ที่สะท้อนความจริงชนิดหนึ่งในสังคมไทยยุคประชาธิปไตยผันผวนนี้  ถึงแม้ในความจริงจะยังไม่ชัดเจน แต่ก็มีร่องรอยให้เห็นว่า  ผลของระบบการศึกษาไทย แม้ถึงระดับสูงสุดในสาขาวิชาบางสาขา กลับไม่แสดงออกถึงภูมิปัญญาที่สอดคล้องความจริงของประเทศไทย ก็มีอยู่มากมาย  จนที่ทำความเสียหายให้แก่ระบบการเมืองระบอบประชาธิปไตยที่ชาติและประชาชนไทยส่วนรวมประสงค์ ก็มีอยู่อย่างไม่น่าเชื่อ   ผู้จัดรายการนี้ ย่อมมีความรับผิดชอบและรู้ดีในความเป็นจริง  จึงแสดงออกถึงจิตใจที่กล้าหาญพอที่จะชี้สัจธรรมเกี่ยวกับการศึกษาในระบบการศึกษาไทยให้เห็นชัดเจนขึ้น และนั่นหมายถึงการที่ต้องเผชิญกระแสอันเชี่ยวกรากของค่านิยมอวิชชาที่ต่อต้าน ขัดขวางอุดมการณ์การศึกษาอันสูงส่ง ในสังคมการศึกษาไทยอย่างรุนแรงและยากลำบากจะฝ่าฟันข้ามพ้น ด้วยธรรมะ คือด้วยเมตตา และอุเบกขา ในจิตใจ ทำให้การต่อสู้กลายเป็นความสุขความพอใจของชีวิตไปได้ นั่นคือคนมีธรรมะเป็นวิสัยทัศน์

 

10.  น.พ. เหวง โตจิราการ 

วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี บันทึกว่า นายแพทย์เหวง โตจิราการ แกนนำสมาพันธ์ประชาธิปไตย สำเร็จการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล,  ยุค 14 ตุลา พ.ศ. 2516 เคยหนีเข้าป่าในยุค "ขวาพิฆาตซ้าย" 6 ตุลา พ.ศ. 2519 มีชื่อจัดตั้งว่า "สหายเข้ม" และมีสายสัมพันธ์อันดีกับกับ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตเลขาฯ นายกรัฐมนตรี ในฐานะเป็นศิษย์ผู้พี่    นพ.เหวงกลับมามีบทบาทในเวทีการเมืองภาคประชาชนอีกครั้ง ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 จากการเป็นแกนนำสมาพันธ์ประชาธิปไตย ร่วมกับ นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ และครูประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ, เคยร่วมกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ในการเคลื่อนไหวต่อต้าน พล.อ. สุจินดา คราประยูร พ.ศ. 2535   เมื่อ พ.ศ. 2549 เคยขึ้นเวทีต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย   เป็นผู้ร่วมคัดค้านรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และเคยขึ้นเวทีขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ 

ต่อมาหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 น.พ.เหวง ได้ทำการประท้วงต่อต้านคณะทหาร ซึ่งได้ทำการยกเลิกรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2540 และได้เป็น 1 ใน 8 แกนนำของแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการซึ่งมีคนใกล้ชิดของอดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นแกนนำ อาทิ เช่น นายวีระ มุสิกพงศ์(อดีตรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทยและเป็นอดีตผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) และ นายจักรภพ เพ็ญแข (อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ประกาศข่าวและผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอยู่ในขณะนี้) เป็นต้น

ในวันนี้เราเห็นว่า แนวคิดและวิสัยทัศน์ของ นพ.เหวง โตจิราการเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม  ความรู้ความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยของเขาค่อนข้างสอดคล้องทฤษฎีความเป็นมนุษย์ โดยธรรมในพระพุทธศาสนา นั่นหมายถึงพื้นฐานแห่งความพัฒนาการของมนุษยชาติ ไปสู่ทางพ้นทุกข์ที่แท้จริง และ ที่เดินไปบนความเป็นธรรมของมวลหมู่มนุษยชาติในองค์รวม  เขาพูดถึงความรักในมนุษยชาติ ว่านั่นเป็นความรักที่สูงสุดและ ความเป็นมนุษย์เป็นสมบัติของมนุษย์ทุกคน ที่ต้องมีความเท่าเทียมกัน   และอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน   เมื่อไม่มีความเป็นมนุษย์ก็ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย  นั่นหมายถึงวิถีทางแห่งปัญญาธรรม ได้บรรลุสู่ความสว่างไสว และเจริญไปตราบกาลนานภายหน้า

 

11.   วิสา คัญธัพ  

วิสา คัญธัพ ชื่อที่โด่งดังเป็นที่รู้จักมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2516 ชื่อของเขามีสำเนียงไพเราะที่สะท้อนไปถึงความสุนทรีย์อันกว้างใหญ่ลุ่มเย็นภายในจิตใจของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่คู่กันไปกับขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของคนหนุ่มคนสาวที่เลื่องชื่อ  ที่ต่อสู้กับเผด็จการทหาร อมาตยาธิปไตยยุคนั้น 

แล้วกาลเวลาก็ได้ผ่านไป ๆ  และผ่านมาถึงปีนี้ กาลเวลานั้นก็ได้พิศูจน์คนหนุ่มคนสาวยุคนั้นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง  ว่ามี 2 พวก คือพวกที่ทรยศ กับพวกที่ซื่อสัตย์ต่ออุดมการณ์ 14 ตุลาคม 2516 สมตามสัจธรรมว่า  ระยะทางพิศูจน์ม้า  กาลเวลาพิศูจน์คน  มีคนในยุคนั้นมากมายหลายคนได้ทรยศต่ออุดมการณ์ประชาธิปไตย  เพราะความเห็นแก่ตัว โลภ และเขลา ด้วยโมหะ  ละทิ้งอุดมการณ์แห่งความชอบธรรมไปเป็นทาสแห่งความโลภ โกรธ และหลง  อันเป็นสัญญาณที่บอกไปว่า สังคมไทยวันนี้  คนมีแต่วาทะ โดยไร้จิตใจที่ซื่อสัตย์ต่อวาทะนั้น 

แล้วเมื่อเสียงที่ก้องขึ้นในมวลหมู่ประชาชน  พบว่าเป็นเสียงของคน ๆ หนึ่ง  คือวิสา คัญธัพ : กวีศรีประชา เขายังคงซื่อสัตย์ต่ออุดมการณ์ เมื่อ 35 ปีที่ผ่านมาแล้วอย่างเหนียวแน่น และนั่นเป็นสิ่งที่สะท้อนว่าเขาเป็นคนจริง มีเสรีจริง เพราะมิได้ตกอยู่ใต้อำนาจของโลภะ โทสะ โมหะ  สะท้อนถึงความเป็นมนุษย์ที่เป็นคนจริง  และดวงใจของเขาถูกถ่ายทอดออกมาเป็นบทกวี 

แน่นอนเขาเป็นกวี และเป็นกวีประชาธิปไตย  ที่มีความไพเราะและความหมายที่คมเฉียบ ที่ให้รักประชาธิปไตย   รักสัจจะจริงใจ  รักสิทธิเสรียิ่งชีวิต และ รักความเป็นธรรม นอกจากนี้ยังมีบทเพลงของเขา  ซึ่งบอกถึงความรักชาติ และรักความเป็นธรรมในแผ่นดิน รักมวลชน และรักประชาชนในระบอบประชาธิปไตย รักยิ่งกว่าตนเอง เช่นนี้คือวิถีทางแห่งความดีงาม  แห่งเสรีภาพและความหลุดพ้น

 

12.  จาตุรนต์ ฉายแสง

จาตุรนต์ ฉายแสง  วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี บันทึกไว้ว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง (1 มกราคม พ.ศ. 2499 — ) อดีตรองนายกรัฐมนตรี  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย  ปัจจุบันนายจาตุรนต์ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นระยะเวลา 5 ปี เนื่องจากคดียุบพรรคพรรคไทยรักไทย เคยได้รับการคัดเลือกจากนิตยสารเอเชียวีคให้เป็น 1 ใน 20 ผู้นำชาติเอเชียที่มีบทบาทโดดเด่นในศตวรรษที่ 20 พร้อมกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนปัจจุบัน  ในทัศนะของเราเห็นว่าเขาเป็นคนมีความรู้ มีสติ และปัญญา  มีความเยือกเย็น   มีความรู้รอบตัวหลายสาขาวิชาการ  สิ่งที่เราชื่นชมเขาก็คือ ความเยือกเย็น  เขาเย็นจนไม่มีอายที่คุร้อนกรุ่น นั่นหมายถึงการรักษาอารมณ์จิตใจในระดับสมถกรรมฐานได้ดีโดยสงบอย่างเป็นธรรมชาติ  และแน่นอนเขาได้พบทางแห่งความรอดและความสุขที่เป็นอมตะ และกำลังพัฒนาไปสู่อารมณ์ชั้นภูมิปัญญา คือวิปัสสนาญาณ  และเจริญธรรมแห่งอริยมรรคอริยผลอันสูงสุดในลำดับต่อไป

 

 13.   อดิศร  เพียงเกษ

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีบันทึกประวัติที่น่าสนใจไว้ว่า  อดิศร เพียงเกษ เกิดเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2495 ชื่อเล่น ตุ๊ ลูกชาย ทองปักษ์ เพียงเกษ อดีต ส.ส.ขอนแก่น ภายหลังจบการศึกษาระดับต้นในบ้านเกิด จังหวัดมหาสารคาม แล้วย้ายเข้าเมืองกรุง โดยเป็นศิษย์มัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ นักเรียนเก่าเทพศิรินทร์ รุ่น 10-12 เลขประจำตัวนักเรียน ท.ศ.11260  แล้วเข้าอุดมศึกษาโดยจบการศึกษานิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, พุทธศาสตรมหาบัณฑิต (พระพุทธศาสนา) จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ปริญญาเอก Ph.D.,D.Litt. จากมหาวิทยาลัยมคธ ประเทศอินเดีย, ประกาศนียบัตรชั้นสูง หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง (ปปร.1) จากสถาบันพระปกเกล้า   ปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ศิลปศาสตรดุษฏีบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยราชภัฎเลย 

มาถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ได้เข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในฐานะแนวร่วม พร้อมครอบครัวทั้งหมด อาศัยอยู่ในประเทศประชาธิปไตยประชาชนลาว มีชื่อจัดตั้งว่าสหายศรชัย และ สหายสอง ชีวิตส่วนตัว สมรสกับ ดร.เยาวนิตย์ เพียงเกษ (สกุลเดิม พินสำริด) ชื่อจัดตั้งคือสหายการะเกด ปัจจุบันเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น สาขารัฐศาสตร์ และมีบุตรนอกสมรสจำนวน 3 คน กับ น.ส.นภาพร รักษ์สัจจะ เจ้าหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร   

อดิศร เพียงเกษ เริ่มเล่นการเมือง พ.ศ. 2526 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดขอนแก่น สังกัดพรรคมวลชน เมื่อปี พ.ศ. 2531 และต่อมาได้ย้ายมาอยู่พรรคพลังธรรรม พรรคนำไทย และพรรคไทยรักไทย ตามลำดับ ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีดังนี้   รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทราวงศึกษาธิการเมื่อพ.ศ. 2535 เป็นส.ส.สังกัดพรรคพลังธรรม ชนะการเลือกตั้งแบบยกทีมในเขต 1 จังหวัดขอนแก่น ในการเลือกตั้ง 35/2, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (11 มีนาคม 2548), รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (2 สิงหาคม 2548) 

ในทัศนะของเรา เห็นว่า อดิศร เพียงเกษ นับว่าเป็นคนดีและคนเก่งของอีสานได้คนหนึ่งทีเดียว และที่ได้คะแนนจากเราก็คือเขาเป็น บุคคลผู้แสดงออกถึงอุปนิสัยแห่งอีสาน ผูกพันอย่างลุ่มหลงกับดนตรี เช่นแคนอีสาน อย่างลึกซึ้ง  เขาเป็นสายเลือดอีสานที่กล้าแสดงตนอย่างเปิดเผยแต่ไหนแต่ไรมาว่า เขาคืออีสาน  นั่นคือความมีกตัญญุตาธรรมความมีอุเบกขาธรรม คือการมองโดยความเป็นกลาง สุจริตต่อความเที่ยงธรรม และดำรงตนเป็นกลางตามความสัจจริง เสียงที่เกิดจากการบรรเลงเดี่ยวแคนอิสาณบอกไปถึงคุณลักษณะของอีสานก็คือ ซื่อและกตัญญู  แต่ อดิศร เพียงเกษ  ได้แสดงถึงปัญญาที่รู้เท่าทันเหตุการณ์และสถานการณ์ต่าง ๆ รอบด้านไปอีก อันเป็นส่วนเพิ่มเติมไปจากความเป็นอีสาน  และยังแสดงถึงคุณธรรม  คือความสะเทือนใจและอ่อนไหวในประเด็นแห่งคุณธรรมและจริยธรรมอย่างสูง นั้นหมายถึงความอ่อนโยน มีเมตตาต่อแผ่นดินกำเนิดและมาตุภูมิอย่างแนบแน่น  ย่อมเป็นเอกบุรุษผู้นำในแผ่นดิน อีกผู้หนึ่ง

 

14.   สุนัย  จุลพงศ์ธร 

ข้อเท็จจริงที่น่าชื่นชมสำหรับ สุนัย จุลพงศ์ธรในวันนี้ นั่นก็คือ เขายังคงเป็นคนของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มตัว  เขายังคงอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร์  เป็นสมัยที่นับไม่ถ้วน  เท่าที่เห็นมีสภาผู้แทนราษฎรสมัยใดใด ก็ไม่เคยว่างไปจากสุนัย จุลพงศ์ธร  คนนี้  การที่เป็นดาวเด่นแห่งสภาของราษฎรในระบอบประชาธิปไตย นอกจากบอกไปถึงความรักของประชาชนแล้ว  ยังบอกไปถึงความเก่งของเขา ที่เอาตัวรอดไปจากอมิตรหรือศัตรูทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตย โดยภูมิปัญญา วิสัยทัศน์ และเชาวน์อันคล่องแคล่วลื่นไหลหลบหลีกศัตรู อย่างไม่หวั่นหวาด   การต่อสู้ของเขาก็ยังคงเด่นอยู่ในสภา   มาตลอด 

ตราบเวลาล่วงมาบัดนี้ ได้เห็นสุนัย จุลพงศ์ธร ในอีกบทบาทหนึ่ง เขาได้เพิ่มภาระการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไปอีกเวทีหนึ่ง คือ นอกเวทีรัฐสภาแห่งระบอบประชาธิปไตย อันวิ่น ๆ ของยุค คมช.นี้ มาสู่เวที ประชาชนโดยตรง  คือ  ห้องเรียนประชาธิปไตย ของ ดี สเตชั่น  และแน่นอน บทบาทของเขาก็โดดเด่นบนเวทีนี้ เพราะเขาได้นำเอาประสบการณ์ที่ได้มาชั่วชีวิต ออกมาอธิบายให้เป็นแง่คิดสำหรับประชาชนในระบอบประชาธิปไตย เพื่อประชามหาชนผู้รักประชาธิปไตยใช้ประโยชน์  เป็นการแก้ปัญหาและการต่อสู้ที่เป็นการนอกระบอบสภาที่เขาคุ้นเคยมา  เขามีภูมิปัญญาที่จะทำให้ประชาธิปไตยที่ประชาชนควรเรียนรู้ไปอย่างลึกซึ้งอย่างใด  อย่างน่าติดตามไปอย่างยิ่งและไม่น่าผิดหวังในบทบาทของเขา และนั่นคือการสะท้อนจากคนผู้มีความเป็นมนุษย์อันสมบูรณ์ในระบอบประชาธิปไตยคนหนึ่งในยุคนี้ และความหมายก็คือ การมองคนเช่นคน นั่นเป็นความหมายของความเป็นมนุษย์  และนี่คือบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี

 

15.   ปองพล  อดิเรกสาร

ปองพล อดิเรกสาร   มีบันทึกของสารานุกรมเสรีฉบับนั้นว่า ปองพล อดิเรกสาร หันมาเขียนนิยายหลังสอบตกการเลือกตั้ง พ.ศ. 2535 [2] โดยนิยายส่วนมากเป็นภาษาอังกฤษ ตัวเอกเป็นชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย เน้นการผสมระหว่างประวัติศาสตร์และงานข่าวกรอง  มีนิยายภาษาอังกฤษ ดังต่อไปนี้ ตราบจนสิ้นกรรม (Until The Karma Ends),  โจรสลัดแห่งเกาะตะรุเตา (The Pirates of Tarutao), พิษหอยมรณะ (The King Kong Effect), แม่โขง (Mekong)   นิยายภาษาไทย ที่สนุก ๆ ก็มี พ่อ  และ คามีเลี่ยนแมน  นอกจากนี้ยังได้เขียนบทความทางวิชาการ และอื่น ๆ เช่น  เกษตรนำการเมือง,  ภาพชีวิต 60 ปี ปองพล อดิเรกสาร, อัตชีวประวัติ  บันทึกการเดินทางสุดหล้าฟ้าเขียว กาลาปากอส มาดากัสการ์  

เรามอง ปองพล อดิเรกสาร จากบทบาทในระยะปัจจุบันนี้ว่า เขาเป็นนักประพันธ์ผู้มีจินตนาการแห่งความเป็นธรรม คือเหตุผลแห่งความสมดุลตามธรรมชาติ  และเขามีจุดยืนอยู่ บนความสมดุลแห่งธรรมชาตินั้น  ล่าสุดเขาออกมายืนยันเรื่องปราสาทเขาพระวิหารให้ความเป็นธรรมโดยประกันว่า  สมัคร สุนทรเวช และนภดล ปัทมะ เป็นผู้รักษาแผ่นดิน ไม่ใช่ผู้ทำให้แผ่นดินไทยเสียไปตามที่พรรคการเมืองพรรคหนึ่งกล่าวหาโจมตีมาตลอด  เขาว่ามันมีหลักฐานการประชุมทำสัญญากันแน่นอนอยู่ ดูเอกสารนั้นสิ การเมืองไทยฝ่ายอธรรมเองทำให้สับสนวุ่นวายไปหมด การที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้  นั่นบ่งไปถึง ความรักในความเป็นธรรม  อันเป็นธรรมะข้อสำคัญเพื่อการรักษาแผ่นดิน  และความจริงใจสุจริตของปองพล อดิเรกสาร ผู้ที่กล้ายืนยันสัจธรรมเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมขึ้นในแผ่นดินยุคนี้

 

16.   มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ 

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีบันทึกไว้ว่า  นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบสัดส่วน พรรคเพื่อไทย และอดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา 

นายมานิตย์ เกิดวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2481 จบการศึกษาปริญญาตรี นิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ วุฒิเนติบัณฑิตไทย เคยดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา และผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ต่อมาในกรณีวิกฤตตุลาการในปี พ.ศ. 2535 นายมานิตย์ถูกปลดจากตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ภายหลังได้รับการอภัยโทษ และกลับเข้ารับราชการ หลังจากเกษียณอายุแล้ว ยังดำรงตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาพิเศษ และที่ปรึกษากฎหมายพรรคไทยรักไทย 

ในปี พ.ศ. 2549 นายมานิตย์ ได้มีบทบาทในการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของศาล ในคดีของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุด พล.อ.วาสนา เพิ่มลาภ และในปี พ.ศ. 2550 นายมานิตย์ได้วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตุลาการรัฐธรรมนูญ ในการตัดสินคดียุบพรรคไทยรักไทย หลังจากนั้น นายมานิตย์ ได้เข้าเป็นแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เพื่อต่อต้านการรัฐประหารของ คปค. ประวัติการทำงานอดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม  

สิ่งที่คนทั้งหลายได้เห็นจากบทบาทของ มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ในระยะหลังมานี้ที่โดดเด่นก็คือการที่ เขาประกาศก้องสู่มวลชนมหาศาลผู้มาชุมนุมแสดงสปิริตที่รักประชาธิปไตยและยืนยันความถูกต้องเป็นธรรมในแผ่นดิน หมู่ชนเสื้อแดง สนามราชมังคลาสถานนับแสนคน ว่า   รัฐธรรมนูญ  กฎหมายต้องมีประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนาม ไม่ใช่ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่ตั้งขึ้นโดย คมช.  อันเป็นบุคลิกภาพแห่งความกล้าหาญตามหลักธรรมคือ เวสารัชชกรณธรรม 5 ประการคือ ศรัทธา  ศีล พาหุสัจจะ วิริยารัมฺภะ และ ปัญญา  เราเห็นว่าในธรรมะหมวดนี้ทั้ง 5 ประการมีครบในตัวมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ และนี่คือความเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี วันนี้

 

17.   ดร.วิบูลย์  แช่มชื่น

ดร.วิบูลย์  แช่มชื่น  เคยก่อตั้งโครงการเพื่อการศึกษาชื่อว่า โครงการการศึกษาเพื่อสันติภาพ (GEP) ก่อตั้งและดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 โดย ดร.วิบูลย์ แช่มชื่น อดีตนักเรียนเก่า, อาสาสมัคร AFS และสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดกาฬสินธุ์ ปี พ.ศ. 2544  และอาจารย์สายสุนีย์  ทองรอง(แช่มชื่น) อดีตครูและอาสาสมัคร AFS และ ครูโรงเรียนสตรีราชนูทิศ อุดรธานี และโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนและผู้สนใจมีโอกาสเรียนรู้ภาษาและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศอันจะก่อให้เกิดองค์ความรู้หลากหลายพร้อมประสบการณ์อันมีค่ายิ่งต่อเยาวชนซึ่งถือเป็นทรัพยากรมนุษย์อันมีค่ายิ่งของประเทศ จากประสบการณ์ของผู้ก่อตั้ง การเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน  เป็นอาสาสมัครและการดำเนินโครงการมาเป็นเวลานานย่อมมีความสามารถ ความชำนาญ ที่จะให้คำปรึกษา แนะนำ และดูแลเยาวชนได้เป็นอย่างดี  

ดร. วิบูลย์  แช่มชื่น เป็นผู้มีการศึกษาดีที่น่าสนใจ  ในแง่ของการศึกษาที่หลายหลาก เป็นบ่อเกิดของความรอบรู้ เพราะได้ผ่านการศึกษาจากสถาบันการศึกษาต่างประเทศหลายสถาบัน  นับแต่ มหาวิทยาลัยฮิโรชิม่าประเทศญี่ปุ่น (ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น), มหาวิทยาลัยปัญจาบ ประเทศอินเดีย (ทุนรัฐบาล),                   วิทยาลัยวิชาการศึกษามหาสารคาม (มหาวิทยาลัยมหาสารคาม) (ทุนรัฐบาล),                                  วิทยาลัยครูมหาสารคาม (มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม), นักเรียนเก่า AFS  วิกิพีเดียบันทึกต่อว่าเขามีประสบการณ์หลายด้านนับแต่เป็น อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดกาฬสินธุ์, อดีตผู้เข้าร่วมโครงการสภาอเมริกัน ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี,  อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์,   อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยวิชาการศึกษา ประสานมิตร,   อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร,   อดีตรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี,   อดีตประธานกรรมการ AFS เขตอุดรธานี เลย, หนองคาย, สกลนคร, ขอนแก่น,     อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดมหาสารคาม, อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยขอนแก่น,                                                  นักเรียนเก่า AFS   

จากภาพที่เห็นในระยะปัจจุบันนี้  พบการเคลื่อนไหวในบทบาทในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของ ดร.วิบูลย์ มีวิสัยทัศน์  มองกรอบความคิดเหตุผลกว้างขวางครอบคลุมองค์รวมได้ดี และชัดเจน  โดยบุคลิกภาพสะท้อนให้เห็นอารมณ์จิตใจ ความเปล่าเปลี่ยวในดวงจิตที่รักในความสันโดษ  จิตใจมีความหน่าย คลายจางไปจากโลกอันไร้สาระ แต่ดร.วิบูลย์ก็ยังคงอยู่กับโลกและต่อสู้เพื่อโลกได้มีความเป็นธรรม โดยสำนึกว่า ภาระในการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในแผ่นดินนั้นเป็นมาตรการการแก้ไขความวุ่นวายไม่สงบในแผ่นดินที่ถูกตรงจุดโดยแท้จริง  เพื่อโลกเอง  เพื่อประโยชน์ ด้วยความรู้ ความดี และด้วยความเป็นธรรม เรามองว่าสังคมย่อมได้ประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่

 

18.    สุวัฒน์ กลิ่นเกสร 

สุวัฒน์ กลิ่นเกสร  เราหมายถึง  น้าติง   สุดยอดนักพากษ์มวยปล้ำเมืองไทยคนนั้น   เขาพากษ์มวยปล้ำอเมริกันได้ดีมาก ๆ  โดยความหมายที่ว่าเขาเข้าใจแบบวิถีชีวิตอเมริกัน ที่เป็นประชาชนแห่งเสรีชนประชาธิปไตย ผู้มีความรับผิดชอบสูง อย่างเป็นสายเลือดอเมริกัน  นั่นหมายความรวมไปถึงความเข้าใจเรื่องราวประชาธิปไตยในกีฬามวยปล้ำอเมริกันเป็นอย่างดี ในความหมายที่ว่า  มวยปล้ำอเมริกัน ที่มีกติกาในรูปของกติกา  และมีกติกาในรูปของความไร้กติกาโดยที่ขึ้นอยู่กับนักมวยอเมริกันมีจิตสำนึกอย่างสูงเองในความรับผิดชอบต่อตัวเอง และต่อสถาบัน มีความเป็นธรรม โดยจิตใจเป็นธรรมอันเป้นธรรมดาธรรมชาติ มีความเคารพตนเอง เคารพผู้ชม และความเคารพสถาบันเป็นอย่างสูง  จึงทำให้ศึกมวยปล้ำอเมริกัน น่าดูน่าชื่นชมและน่าเลื่อมใสอย่างยิ่ง  

ล่าสุดที่เป็นผลงานการพากษ์อย่างถึงใจถึงสัจธรรมเรื่องมวยปล้ำ ปรากฏทางจอแก้ว ก็คือการปล้ำของ ฮ็อง โฮแกน ผู้มีพลังพิเศษสำรองภายในเป็นชั้น ๆ  จนสามารถพิชิตตำแหน่งแชมเปี้ยนโลกมวยปล้ำและครองเข็มขัดไว้ยาวนานที่สุดคนหนึ่ง   นอกจากนั้นยังมีการท้าทาย โดยโฮแกนได้มีโอกาสวัดฝีมือกับนักมวยปล้ำที่ยิ่งใหญ่ในยุคนั้นทุกคนไปตามลำดับ  ล่าสุดที่เป็นศึกยิ่งใหญ่ หลังความยิ่งใหญ่ในการปล้ำระหว่าง โฮแกน กับ พอลด็อฟ  นักมวยโหดจอมพิฆาต อีกคนหนึ่งในยุคนั้น 

แล้วก็มาถึงจุดสุดยอดเมื่อพบกับ  อังเดร เดอะ ใยแอนท์ ( Andre The Giant ) ในปี คศ. 1987 ( พ.ศ. 2530 ) อังเดร เป็นนักมวยปล้ำที่มีขนาดร่างกายใหญ่ที่สุดในยุคนั้น มีน้ำหนักถึง 500 ปอนด์ สูง 7.5 ฟุต  ในขณะที่ฮ็อง โฮแกน สูงเพียง 6 ฟุต เมื่อมายืนปะทะกันเหมือนเด็กกับผู้ใหญ่ และ อังเดรนั้นสมชื่อคือ ยักษ์ใหญ่โดยแท้จริง แต่ อังเดรนี้แหละที่ฮ็อง โฮแกนอยากพบมากที่สุด เขาให้สัมภาษณ์ว่านักมวยปล้ำที่เขาอยากพบมากที่สุดก็คือ ยักษ์ อังเดร เดอะไยแอนท์ ผู้เหี้ยมโหดผู้นี้   แล้วการต่อสู้ก็แทบช็อคคนดู เมื่ออังเดร เดอะไยแอนท์จับฮ็อง โฮแกน โยนไปโยนมาเหมือนผู้ใหญ่จับเด็ก ๆ  แต่แล้ว ด้วยพลังสำรองที่ซ่อนเร้น ฮ้อง โฮแกนสามารถทำให้ยักษ์ใหญ่ อังเดร เดอะ ไยแอนท์ หลับลงได้ในที่สุด เป็นแชมป์ประวัติศาสตร์โลกที่น่าทึ่งมากในประวัติศาสตร์มวยปล้ำอเมริกัน  และทั้งหมดนี้เป็นผลจากการพากษ์ ของ สุวัฒน์ กลิ่นเกสร  การพากษ์มวยที่สะท้อนเอาภาคภายในอันน่าชื่นชมของชาวมวยปล้ำอเมริกันยุคนี้

 

19.   Angelina Jolie (แองเจลิน่า โจลี่)

 

เราทราบประวัติของ แองเจลิน่า โจลี  จาก ประวัติ อัลบั้มดารา ของ  http://www.nangdee.com  เธอเป็นดาราภาพยนตร์ฮอลลีวู๊ด มีชื่ออื่นอีก 3 ชื่อคือ  แองจี้, บันนี่ กับ เยลลี่บีน  วันเกิด :  04/06/1975   ที่เกิด :  ลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย  United States    ส่วนสูง :  173

แองเจลิน่า โจลี่  จบการศึกษาจากมัธยมที่ Beverly Hills High School จากนั้นไป Lee Strasberg Theater Institute และมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เป็นนักศึกษาภาคค่ำสาขาภาพยนตร์ เป็นลูกสาวของพ่อแม่ดาราใหญ่ จอน วอยต์ กับ มาร์เชลีน เบอร์ทรานด์ ซึ่งหย่ากันตั้งแต่เธอแบเบาะ ครอบครัวแตกแยกผลักดันให้โจลี่มีปัญหา วัยเด็กเธอมีแต่พี่ชาย เจมส์ เฮเวน วอยต์ สายสัมพันธ์พี่น้องสนิทแนบแน่น ปัจจุบันเขาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์  เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์ของคลินท์ อีสต์วู้ดเรื่อง “The Changeling” ,ภาพยนตร์ของทิเมอร์ เบคแมมเบทอฟเรื่อง “Wanted”

 

ในวันที่ 27 สิงหาคม ปี 2544 (2001) เธอได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตสันถวไมตรีองค์กรข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ (UNHCR) และยอมรับหน้าที่ในการดำเนินการเพื่อคุ้มครองผู้อพยพในทวีปทั้งห้า

 

สิ่งที่เราให้คะแนนเธอนั้น มาจากข่าวทั่วไปในประเทศไทย สื่อไทยนี่เอง  เกี่ยวกับข่าว  โรฮิงญา  ผู้อพยพชาวพม่า (ที่เป็นมุสลิมชนส่วนน้อยในพม่า)  ผู้พลัดถิ่น จำนวนประมาณ 1,000 คน ในปลายปี 2551 ซึ่งเมื่อสาวสาเหตุที่แท้จริงแล้ว ก็น่าจะมาจากต้นตอที่ประเทศพม่าเอง คือระบอบเผด็จการทหารพม่า นั่นคือการปกครองที่มิอยู่ในระบอบประชาธิปไตย อันเป็นลัทธิของมนุษย์ ที่ทุกคนแชร์อำนาจการปกครองประเทศด้วยกันคนละ 1 เสียง  ผู้มีความเท่าเทียมกันและมีความเสมอภาค  และเป็นเจ้าของแผ่นดินร่วมกัน และแองเจลิน่า โจลี่ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็น ที่แกมเป็นข้อเสนอแนะว่ารัฐบาลไทยควรจะรับโรฮิงญาอพยพเอาไว้   โดยมองในแง่ความเป็นมนุษย์ ผู้มีสิทธิอันสมบูรณ์ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปตราบอายุไข    เธอมองว่าการที่ประเทศไทยขับไล่หรือเอาโรฮิงญาอพยพ 1,000 คนนั้นไปปล่อยให้เคว้งคว้างกลางทะเล จนเสียชีวิตเป็นก่ายเป็นกองถึงร่วม 500 ศพนั้น  เป็นการไร้มนุษยธรรมเกินไป  

 

เรามิได้มองว่าความคิด ข้อเสนอของเธอเป็นสิ่งผิดหรือถูก  แต่เรามองที่จินตนาการของเธอว่าเป็นจินตนาการพุทธ ที่สอดคล้องแนวคิดของชาวพุทธโดยทั่วไป  ที่ตั้งอยู่บนความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะเห็นสัจธรรมว่ามนุษย์ด้วยกันต่างก็เป็นทุกข์  ชาวพุทธจึงมีเมตตา  และรู้จักธรรมปฏิบัติทางสังคม การเมืองระบอบประชาธิปไตยเบื้องต้น นั่นคือ รู้จักเอาใจเขาไปใส่ใจเรา  และนั่นคือความเข้าใจในทุกข์และสุขของคนอื่นเสมอเหมือนกับเรา   ความเคารพในสิทธิของผู้อื่นเท่า ๆ กับความเคารพในสิทธิของเรา  อันเป็นหลักการของประชาธิปไตยขั้นพื้นฐาน     เรามองว่าเธอมีความใจอ่อน ที่สะเทือนใจในการที่เห็นคน ผู้มีชีวิตเหมือนคนทั้งหลาย  ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างกับไม่ใช่มนุษย์ ทั้งจากรัฐบาลพม่าเอง และบัดนั้นจากรัฐบาลไทย ซึ่งทั้งสองรัฐบาลต่างก็มีชาวพุทธเป็นประชาชนแทบทั้งหมดที่นับถือศาสนาพุทธ   ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นวิถีความคิดและจิตใจของชาวพุทธโดยแท้จริง แม้ว่าเธออาจจะไม่ได้เรียนรู้พุทธธรรมจากพระคัมภีร์พุทธ แต่เรียนรู้จากธรรมชาติ และจากข้อสรุปประสบการณ์ในเรื่องราวของมนุษย์  เราจึงเห็นสมควรยกย่อง ในน้ำใจที่สะท้อนความเป็นพุทธโดยธรรมชาติที่แท้จริง   และมองว่าเธอเป็นบุคคลสำคัญเป็นตัวแทนแนวคิดของพระพุทธศาสนา ควรแก่ความเป็นบุคคลแห่งปี ของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2551  

 

หนังสือพิมพ์ดี จึงขอยกย่องบุคคลต่อไปนี้คือ  วีระ มุสิกพงศ์  ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ  จตุพร พรหมพันธ์  ก่อแก้ว พิกุลทอง  ใจ อึ้งภากรณ์ ปัญญา นิรันดร์กุล  แอน ทองประสม  ศุภรัตน์ นาคบุญนำ  กนิษฐ์ สารสิน  เหวง โตจิราการ  วิสา คัญธัพ จาตุรนต์ ฉายแสง  อดิศร เพียงเกษ สุนัย จุลพงศ์ธร  ปองพล  อดิเรกสาร มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ  ดร.วิบูลย์ แช่มชื่น  สุวัฒน์ กลิ่นเกสร  Angellina Jolie (แองเจลิน่า โจลี่) ว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ปี พุทธศักราช 2551 และหวังว่าจักประสบความสุขความเจริญในธรรมะ-ประชาธิปไตยยิ่ง ๆ ขึ้นไป ตลอดกาลนาน

โปรดติดตามหนังสือพิมพ์ดี ต่อไป

 

·         บรรณาธิการ
19 ก.พ. 2552

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

23.      การประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 6 (สมัยสามัญทั่วไป)

          วันที่ 22-23 เมษายน 2552  เรื่งที่น่าเป็นห่วง

 

17.    การแก้ปัญหาของรัฐบาลผิดพลาด

         และไม่อาจจะเอาชนะประชาชนในระบอบประชาธิปไตยได้เลย  

 

18.    การแก้ปัญหาของรัฐบาลผิดพลาด

         และไม่อาจจะเอาชนะประชาชนในระบอบประชาธิปไตยได้เลย ( 2 ) 

 

19.    การแก้ปัญหาของรัฐบาลผิดพลาด

         และไม่อาจจะเอาชนะประชาชนในระบอบประชาธิปไตยได้เลย ( 3 )








Copyright © 2010 All Rights Reserved.
----- ***** ----- โปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate นี่คือเวบไซต์คู่ www.newworldbelieve.com กับ www.newworldbelieve.net เราให้เป็นเวบไซต์ที่เสนอธรรมะหรือ ความจริง หรือ ความคิดเห็นในเรื่องราวของชีวิต ตั้งใจให้ธัมมะเป็นทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แด่คนทั้งหลาย ทั้งโลก ให้ได้รู้ความจริงของศาสนาต่าง ๆในโลกวันนี้ และได้รู้ศาสนาที่ประเสริฐเพียงศาสนาเดียวสำหรับโลกยุคใหม่ จักรวาลใหม่ เรามีผู้รู้ ผู้ตรัสรู้ ผู้วินิจฉัยสรรพธรรมสรรพวิชชา สรรพศาสน์ และสรรพศาสตร์ พอชี้ทางสู่โลกใหม่ ให้ความสุข ความสบายใจความมีชีวิตที่หลุดพ้นไปสู่โลกใหม่ เราได้อุทิศเนื้อที่ทั้งหมดเป็นเนื้อที่สำหรับธรรมะทั้งหมด ไม่มีการโฆษณาสินค้า มาแต่ต้น นับถึงวันนี้ร่วม 14 ปีแล้ว มาวันนี้ เราได้สร้างได้ทำเวบไซต์คู่นี้จนได้กลายเป็นแดนโลกแห่งความสว่างไสว เบิกบานใจ ไร้พิษภัย เป็นแดนประตูวิเศษ เปิดเข้าไปแล้ว เจริญดวงตาปัญญาละเอียดอ่อน เห็นแต่สิ่งที่น่าสบายใจ ที่ผสานความคิดจิตใจคนทั้งหลายด้วยไมตรีจิตมิตรภาพล้วน ๆ ไปสู่ความเป็นมิตรกันและกันล้วน ๆ วันนี้เวบไซต์นี้ ได้กลายเป็นโลกท่องเที่ยวอีกโลกหนึ่ง ที่กว้างใหญ่ไพศาล เข้าไปแล้วได้พบแต่สิ่งที่สบายใจมีความสุข ให้ความคิดสติปัญญา และได้พบเรื่องราวหลายหลากมากมาย ที่อาจจะท่องเที่ยวไปได้ตลอดชีวิต หรือท่านอาจจะอยากอยู่ณโลกนี้ไปชั่วนิรันดร ไม่กลับออกไปอีกก็ได้ เพียงแต่ท่านเข้าใจว่านี่เป็นแดนต้นเรื่องเป็นด่านข้ามจากแดนโลกเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง และซึ่งเป็นโลกหรือบ้านของท่านทั้งหลายได้เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาต่างศาสนา ได้โปรดใช้การแปลของ กูเกิล หรือ Google Translate แปลเป็นภาษาของท่านก่อน ที่เขาเพิ่งประสบความสำเร็จการแปลให้ได้แทบทุกภาษาในโลกมนุษย์นี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปีนี้เอง นั้นแหละเท่ากับท่านจะเป็นที่ไหนของโลกก็ตาม ทั้งหมดโลกประมาณ 7.6 พันล้านคนวันนี้ สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในโลกของเราได้เลย เราไม่ได้นำท่านไปเที่ยวแบบธรรมดาๆ แต่การนำไปสู่ความจริง ความรู้เรื่องชีวิตใหม่ การอุบัติใหม่สู่ภาวะอริยบุคคล ไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปพ้นจากทุกข์ ทั้งหลายไปสู่โลกแห่งความสุขแท้นิรันดร คือโลกนิพพานขององค์บรมศาสดาพุทธศาสนา พระบรมครูพุทธะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านโปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate ท่านก็จะเข้าสู่โลกนี้ได้ทันทีพร้อมกับคน7.6พันล้านคนทั้งโลกนี้. ----- ***** ----- • หมายเหตุ เอาขึ้นเวบไซต์ แทนของเดิม ทั้ง 2 เวบ .net .com วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 07.00 น. -----*****-----