สัจธรรม ข้อที่ 3
สื่อมวลชนบัวสี่เหล่า
วงการสื่อสารมวลชนทุกวันนี้ เทียบได้กับชนสี่เหล่าคือ บัวใต้ตม บัวใต้น้ำ บัวปริ่มน้ำ และบัวเหนือน้ำ บัวเหนือน้ำก็มีแม้จะน้อยหน่อย บัวทั้งสี่เหล่านี้ต่างแสดงความรู้ของตนออกมาทางสื่อสารมวลชน อย่างเอิกเกริกยิ่งกว่ายุคใดใด แม้บัวอ่อน บัวเล็กบัวน้อยก็พลอยออกแสงกับเขาไปด้วย ประชาชนอย่าสับสนเลย หากประชาชนมีสติพิจารณาเรื่องบัวสี่เหล่า ที่เป็นหลักการมองโลกขององค์พระศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ให้มองด้วยปัญญา เพราะภัยจะเกิดมีหากมองโดยเขลา เพียงเพราะท่านหลงเชื่อ ถ้าประชาชนหลงเชื่อพวกบัวอ่อนบัวใต้ตม ที่พลอยเผยอออกปากกับเขาด้วยเพียงเพราะตนเองมีปาก(เพียงเพราะตนเองเป้นสื่อมวลชนเท่านั้น) แล้ว นั่นหมายถึงเราก็จะเป็นบัวในตมอย่างเขา มีปัญญาเพียงเท่านั้น สัจธรรมก็คือ เมื่อเราโง่เพราะหลงผิดเสียแล้วจะแก้ปัญหาอะไรได้เล่า นอกจากไม่แก้ปัญหาแล้วยังไปเพิ่มปัญหาไปอีกหลายเท่าทวีคูณ ถ้าเราเป็นคนมีปัญญารู้จักแยกวิเคราะห์ รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้บุคคล รู้กาล รู้ประมาณ และรู้มวลชน เป็นบัวเหนือน้ำ และเป้นพวกเดียวกับบัวเหนือน้ำแล้ว ก็ย่อมเป็นประโยชน์ ท่านจงมีเหตุผลเมื่อจะโต้แย้ง และมีเหตุผลเมื่อจะสนับสนุน โดยรู้ตัวรู้ตนของเรา รู้สติรู้ปัญญาของเรา ว่าในเรื่องนั้น ๆ เราอยู่ระดับใดของบัวสี่เหล่านั้น ตัวอย่างเช่น ถ้าเราไม่มีความรู้ทางแพทยศาสตร์เลย เขาเสนอให้ผ่าตัด ท่านโต้แย้งว่า มาตรการนี้รุนแรงเกินไป ท่านเสนอว่าใช้ยาพาราเซตามอลก็พอแล้ว นั่นจะมิเป็นความเขลาที่น่าหัวเราะเยาะหรือ ? หรือเมื่อยุคเสียกรุงครั้งที่ 2 ดุจอิสตรีใจอ่อน เมื่อพระเจ้าตากยิงปืนใหญ่ใส่ข้าศึก ท่านก็ร้องกันกรีดกราด ๆ ไปฟ้องพระเจ้าเอกทัศน์ ว่าทหารตำรวจใช้ความรุนแรง ไม่ถูกหลักสิทธิมนุษยชน ให้ใช้วิธีประนีประนอมและสันติวิธีกับข้าศึก นี่คือบัวระดับไหนกันเล่า? ก็โง่เง่าเต่าตุ่นไม่รู้กาลเทศะ เหตุผล บุคคลเวลา อย่างนั้นแหละจึงเสียกรุง !!! และเมื่อไม่รู้อะไรเลยเช่นนี้ เหตุใดไม่ปิดปากท่านเสียเล่า? สถานการณ์สื่อมวลชนที่สับสนทุกวันนี้ แก้ได้ด้วยการปิดปากตนเอง และประชาชนฟังและตื่นมาสู่เหตุและผล ด้วยปัญญาของบัวเหนือน้ำ (30 ต.ค.2551)