บทบก 5 บก.นสพ.ดีร่วมประชุมนักปราชญ์มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งโลก
ดี ฉบับนี้ มีเรื่องที่ขอรายงาน ตามลำดับไปหลายเรื่องดังต่อไปนี้
เรื่องแรก การประชุมทางวิชาการ เรื่อง ประเทศไทยกับมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาแห่งโลก ณ องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก อุทธยานเบญจศิริ กรุงเทพ ระหว่างวันที่ 13-14 มีนาคม 2542 เป็นการประชุมสำคัญ เพราะประกอบด้วยบุคคลที่เป็นผู้รู้นักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา จำนวนกว่า 240 รูป/คน ดร.นันทสาร สีสลับ เลขาธิการ กิตติมศักดิ์ แจ้งว่า ในระหว่างนี้มียอดของยอดนักวิชาการอยู่ 61 รูป/คน ได้มาประชุมร่วมกันในครั้งนี้ บก.นสพ.ดี (พระพยับ ปญฺญาธโร) พร้อมคณะมี สุเทพ ขันทอง ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ บวร เนตรหาญ นายกพุทธสมาคมจังหวัดศรีสะเกษ ทศพล ใยมุง อุปนายกพุทธสมาคมจังหวัดศรีสะเกษ และ สนาน ธรรมรส อาจารย์ใหญ่ ร.ร.บ้านประอางค์ ศรีสะเกษ ได้รับนิมนต์และเชิญไปร่วมประชุมด้วย ภาพที่เห็นน่าชื่นชม มีนักปราชญ์ ผู้รู้มาจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ไทยทั้งมหามกุฎและมหาจุฬาฯ จำนวนหนึ่ง ซึ่งมีบทบาทนำในการให้ความคิดเห็นในระหว่างการประชุมครั้งนี้เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ดี ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฏก อาพาธ มาร่วมประชุมไม่ได้ ท่านราชบัณฑิตเสฐียรพงษ์ วรรณปก ก็มาไม่ได้เช่นเดียวกัน จึงเป็นที่น่าเสียดาย ของผู้เข้าร่วมประชุม นอกจากนี้ยังได้ฟังคำบรรยายคำปราศรัยของ ท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ท่านประธาน พ.ส.ล. แผน วรรณเมธี รองประธาน พ.ส.ล. พล.ท.ฉลอม วิสมล ในฐานะประธานจัดงานการประชุมหนนี้ ก็ได้พบ ได้ทราบความคิดอ่านซึ่งกันและกัน มีนักการเมือง เช่นท่านประจวบ ไชยสาส์น รมว.ทบวงมหาวิทยาลัย ท่านอำนวย สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษา กมธ. สภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น ได้มากล่าวปราศรัยบรรยายแสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์การพระพุทธศาสนา
เรื่องที่ 2 ต่อมา เมื่อ 19 มี.ค.2542 มีการประชุมทางไกลของพระสังฆาธิการทั่วประเทศ โดยความร่วมมือจาก อสมท.ช่อง 9 ถ่ายทอดพิธีเปิดและการบรรยายในภาคเช้า จากวัดสามพระยาไปสู่ที่ประชุมย่อยในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ นับเป็นการประชุมที่ก้าวหน้า ที่มหาเถรสมาคมจัดขึ้น เป็นครั้งแรก
เรื่องที่ 3 เรื่องกรณีธรรมกาย
เมื่อมหาเถรสมาคมมอบอำนาจให้ พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 เป็นผู้ตัดสิน ท่านก็ได้ตัดสินออกมา พร้อมได้ดำเนินการไปด้วย โดยให้เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายลงนามรับจะปฏิบัติตามเงื่อนไข 4 ประการ
แต่เรื่องไม่กระจ่าง โดยเฉพาะในมหาเถรสมาคมเอง ได้เกิดข้อโต้แย้งขึ้นว่า สมเด็จพระสังฆราช ได้ทรงมีบันทึกวินิจฉัยเรื่องธรรมกายแล้วให้กรมการศาสนานำเข้าที่ประชุมมหาเถรสมาคม แต่กรมการศาสนาไม่ได้นำเข้า เป็นเหตุให้การตัดสินของมหาเถรสมาคม ตามที่ จภ.1 พระพรหมโมลี ตัดสินไปพร้อมได้ดำเนินการต่อวัดพระธรรมกายไปแล้วนั้น มิได้มีสาระสำคัญจากข้อวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราชเลย ทรงโปรดให้พระพรหมโมลีพิจารณาเพิ่มเติมไปอีก เรื่องธรรมกายจึงยืดเยื้อต่อมาตราบจนบัดนี้ ก็ยังดูไม่มีทีท่าว่าจะจบลงอย่างไร
เราได้แสดงความคิดเห็นไว้แล้ว ขอยืนยันว่า เรื่องธรรมกาย เป็นอันตรายร้ายแรงต่อการพระพุทธศาสนา เพราะเหตุที่ทั้งคำสอนและบุคคลากร เดินไปนอกทางสัจธรรมแห่งพระพุทธศาสนา เป็น มิจฉาทิฐิ โดยเขลารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ตามที่ได้แสดงความเห็นไป ในดี ฉบับเดือน ธ.ค.2541 และ ดี ฉบับที่แล้ว แล้ว เราขอเสนอให้สละตำแหน่งผู้บริหารเสีย แต่โดยเจตนาว่า การสละตำแหน่งใดใดของพระสงฆ์หรือนักบวชนั้น ไม่น่าจะเป็นเรื่องสำคัญ สงฆ์น่าจะทำใจไว้เลยว่าเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องที่ชอบที่ควร ย่อมพร้อมที่จะสละโลกได้เสมอ ไม่ได้นึกว่าการสละตำแหน่งนั้นเป็นการลงโทษลงทัณฑ์แต่อย่างไร หากน่าจะพึงยินดีเสียอีก จะพอใจยินดีกับการไปปราศจากความผูกมัดในภาระอันไร้สาระ และมุ่งศึกษาพระสัทธธรรมให้บรรลุธรรมสูงสุดให้จงได้ อันนี้ต่างหากเป็นสิ่งที่ล้ำค่ากว่าโลกทั้งโลกมนุษย์สวรรค์ทั้งสิ้น พระสาวกมีชีวิตอยู่ ชีวิตนี้แหละเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าอย่างสูงสุดอยู่แล้ว เพราะได้อาศัยไปศึกษาพระสัทธธรรมอันสูงสุดได้ แต่หากใช้ชีวิตไปนอกทางเป็นมิจฉาทิฐิ ชีวิตนอกจากไร้ประโยชน์แก่ตัวเอง ยังก่อโทษแก่ตัวเองตลอดไป เช่นนั้น จะมีชีวิตไปทำไม ตายเสียดีกว่า
ปัญหาธรรมกาย เรามีบทวิเคราะห์พิเศษ ในคอลัมน์นานาทัศนะ ของ วิบูลรัตน์ กัลยาณวัตร ในเล่ม โปรดอย่าพลาด