คอลัมน์นานาทัศนะ
มติมหาเถรสมาคมและปัญหาต่อไป(กรณีธรรมกาย)
โดย วิบูลรัตน์ กัลยาณวัตร
มหาเถรสมาคมประชุมเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2542 ใช้เวลาพิจารณากรณีวัดพระธรรมกายนานถึง 3 ชั่วโมงเศษ ในที่สุดได้มีมติออกมา 2 ประเด็น คือ .-
- รับทราบการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้วัด ซึ่งเจ้าคณะภาค 1 กับกรมการศาสนาได้ดำเนินการเป็นขั้นตอนแล้ว
- รับทราบและสนองพระดำริสมเด็จพระสังฆราช ให้เป็นไปโดยชอบด้วยพระธรรมวินัยกฎหมายกฎมหาเถรสมาคม
ประเด็นแรกเกี่ยวกับเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่วัดพระธรรมกาย ไม่มีใครสนใจสงสัยอะไรมากนัก เพราะมีข่าวออกมาก่อนหน้านี้แล้ว
ส่วนประเด็นที่ 2 ที่พุทธศาสนิกชนให้ความสนใจมาก แต่อธิบดีกรมการศาสนาแถลงชี้แจงไม่ชัดเจน จึงเกิดความชุลมุนวุ่นวายขึ้น ทำให้บริเวณวัดบวรนิเวศวิหารหมดความศักดิ์สิทธิ์ไปมาก
มติประเด็นที่ 2 ออกมาโดยไม่มีการให้สึกพระธัมมชโย ย่อมสร้างความผิดหวังและสมหวังพอ ๆ กัน คือ ฝ่ายที่ต้องการให้สึกต้องผิดหวังอย่างแรง แต่ฝ่ายสานุศิษย์วัดพระธรรมกายย่อมสมหวังสุด ๆ
มติมหาเถรสมาคมทั้ง 2 ประเด็นนั้น เราไม่ทราบว่าเป็นเอกฉันท์หรือมีการโหวตเสียงกันอย่างไรหรือไม่
รายงานข่าวแจ้งเพียงแต่ว่า กรรมการทางฝ่ายมหานิกายเข้าประชุม 9 รูป ฝ่ายธรรมยุต 6 รูป เท่านั้น แต่รูปใดแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมอย่างไร ไม่สามารถทราบได้ กรมการศาสนาน่าจะนำเอาบันทึกการประชุมมาเปิดเผยด้วย
ก่อนทึ่จะพูดถึงปัญหาต่อไป เราน่าจะต้องวิเคราะห์ประเด็นเหล่านี้เสียด้วย คือ
1. ที่สมเด็จพระสังฆราชทรงมีหนังสือออกมาหลายฉบับนั้น มีเรียกกันหลายอย่าง เป็นพระลิขิตบ้าง พระอักษรบ้าง ลายพระหักตถ์บ้าง แต่ที่ประชุมมหาเถรสมาคมออกมาเป็น พระดำริ
2. เมื่อมหาเถรสมาคมเห็นว่าเป็นพระดำริ ไม่ใช่พระบัญชาตามที่คนทั้งหลายเข้าใจ น้ำหนักจึงมีน้อย แต่มหาเถรสมาคมไม่ได้มองว่าไม่สำคัญ จึงมีมติสนองพระดำริ โดยให้เป็นไปโดยชอบตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎมหาเถรสมาคม
3. วิธีการสนองพระดำริคือให้ดำเนินการตาม กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2521) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม
เมื่อมหาเถรสมาคมมีมติให้นำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางสงฆ์ คือกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 11 ดังกล่าว ปัญหาวัดพระธรรมกายจึงจะต้องยืดเยื้อไปอีกนาน และในที่สุดอาจจะเป็นที่อึมครึมเหมือนเรื่องพระยันตระก็ได้
อันว่ากฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 นั้น อย่าว่าแต่ชาวบ้านทั่วไปจะไม่รู้เรื่องเลย แม้แต่พระสงฆ์หรือพระสังฆาธิการทั่วไปก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
มันเป็นกฎมหาเถรสมาคมที่มีข้อความยืดยาวกว่ากฎมหาเถรสมาคมฉบับอื่น ๆ มาก และมีศัพท์สำนวนหรือประโยคคำพูดที่เข้าใจยากที่สุด เช่น ผู้เสียหาย ผู้มีส่วนได้เสีย ผู้พิจารณา คณะผู้พิจารณา ผู้กล่าวหา ผู้แจ้งความผิด ผู้ถูกกล่าวหา เจ้าสังกัด เจ้าของเขต ฯ ซึ่งล้วนแต่เข้าใจยากทั้งนั้น และไม่มีระเบียบปฏิบัติที่เป็นคำอธิบายชัดเจนไว้เลย
อย่างกรณีเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายนี้ ใครคือผู้เสียหายหรือผู้มีส่วนได้เสีย ที่จะนำเรื่องฟ้องร้อง และจะยื่นเรื่องราวต่อใคร ?
โดยฐานะเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายจะต้องยื่นเรื่องราวต่อเจ้าคณะตำบลในฐานะผู้พิจารณา ถ้าเรื่องไม่ยุติจึงจะไปถึงคณะผู้พิจารณาชั้นต้น อันประกอบด้วยเจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะตำบลนั้น ถ้าไม่ยุติก็ส่งเรื่องต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงชั้นฎีกาคือมหาเถรสมาคม
แต่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเป็นพระราชาคณะชั้นราช จะต้องยื่นเรื่องราวต่อเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ในฐานะผู้พิจารณา ถ้าไม่ยุติก็ต้องขึ้นไปจนถึงมหาเถรสมาคมเช่นที่กล่าวแล้ว
กรณีที่จะฟ้องร้องพระธัมมชโยในข้อหาปาราชิกคงจะมี 2 สิกขาบท คือ -
ทุติยปาราชิก สิกขาบทที่ 2 การลักทรัพย์ซึ่งมีลักษณะต่าง ๆ เช่นการยักยอก เป็นต้น
จตุตถปาราชิกสิกขาบทที่ 4 การอวดอุตตริมนุสสธรรมหรืออวดคุณวิเศษ
ลักษณะของคำฟ้องจะต้องมีหลักฐานพยานหลายอย่างประกอบ ผู้พิจารณาจึงจะรับคำฟ้องไว้พิจารณา มีลักษณะคำฟ้องอยู่ข้อหนึ่งที่ผู้พิจารณาไม่อาจรับไว้คือ เรื่องเก่าที่ไม่คิดว่าจะฟ้องมาแต่เดิม
ปัญหามีว่า กรณีที่จะฟ้องพระธัมมชโยปาราชิก 2 สิกขาบทนั้น เคยคิดที่จะฟ้องมาแต่เดิมไหม ? เพราะพฤติกรรมวัดพระธรรมกายมีมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว ถ้าไม่คิดจะฟ้องมาแตก่เดิม แต่เพิ่งจะฟ้องเอาตอนนี้ มันฟังไม่ขึ้นก็ได้ จึงได้กล่าวว่าเรื่องมันไม่ง่ายเลย ดูแต่เรื่องพระยันตระเป็นตัวอย่าง
เรื่องที่น่าห่วงและน่าหนักใจมากที่สุด คือเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ผู้ที่จะดำเนินการอธิกรณ์นี้ เริ่มตั้งแต่เจ้าคณะตำบลขึ้นไปถึงเจ้าคณะจังหวัด เพราะไม่เชื่อมั่นว่าท่านมีความเข้าใจในกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 11 ดีเท่าที่ควร
ถ้าท่านไม่เข้าใจไปทำพลาดเข้าท่านจะตกเป็นเจ้าพนักงาน(ฝ่ายยุติธรรม)ละเว้นหรือทุจริตต่อหน้าที่ทันที จะกลายเป็นว่าอธิกรณ์เรื่องเดียวนี้ทำให้พระสังฆาธิการบางรูปพลอยเสียหายไปด้วย
ที่น่าคิดอีกอย่างหนึ่ง คือ นับตั้งแต่ใช้กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 มาตั้งแต่ปี 2521 ไม่ปรากฎว่ามีคำวินิจฉัยตัดสิน(คำพิพากษาฎีกา) เป็นมาตรฐานไว้ให้ได้ศึกษาเลย ไม่เหมือนศาลทางฝ่ายบ้านเมือง จะมีคำพิพากษาศาลฎีกาไว้เกือบทุกคดี
ความเป็นห่วงและหนักใจแทนพระสังฆาธิการผู้ที่จะดำเนินการเรื่องนี้ จึงไม่ใช่เรื่องวิตกกังวลเกินไป เพียงแต่จะสืบสวนสอบสวนและทำสำนวนคำฟ้อง มันก็จะแย่อยู่แล้ว
เมื่ออธิกรณ์ต้องยืดเยื้อออกไป ความสงสัยสับสนและความแตกสามัคคีในหมู่พุทธศาสนิกชน ก็ย่อมมีมากขึ้น ๆ ในที่สุดก็ลุกลามใหญ่โตไปยังส่วนอื่น ๆ ไม่มีอะไรเป็นผลดีต่อส่วนรวมเลย
เวลานี้องค์กรมหาเถรสมาคมก็ดี กรรมการมหาเถรสมาคมบางรูปก็ดี ถูกสังคมมองในภาพลบไปหมดแล้ว
สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงพระนิพนธ์ไว้ว่า
อธิกรณ์ คือ เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจะต้องรีบจัดรีบทำให้สำเร็จ เพราะปล่อยให้ช้ามันจึงยุ่งอย่างนี้.