สำเนาจดหมายฉบับพิเศษ กรณีธรรมกาย
วัดมหาพุทธาราม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ
10 พฤษภาคม พ.ศ. 2542
เจริญพร
..
อาตมภาพเพิ่งฟังข่าวโทรทัศน์ภาคค่ำวันนี้ 10 พ.ค.42 รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง ต่อการประชุมของ มส.วันนี้ การที่อธิบดีกรมการศาสนาให้สัมภาษณ์ ว่า มส.จะ สนองพระดำริโดยลำดับให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม รมช.ศธ. ท่านอาคม เอ่งฉ้วน (พรรคประชาธิปัตย์) ว่าจะต้องมีการดำเนินการไปตามขั้นตอนกฎนิคหกรรม (คงหมายถึงกฏฯ11) ซึ่งจะต้องเป็นไปตามที่ นายจรวย หนูคง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ออกมาชี้แจงไปยืดยาวถึงวิธีการดำเนินงานว่าจะต้องเริ่มมาตั้งแต่แจ้งความเจ้าคณะผู้ปกครองระดับตำบล อำเภอ มาถึงจังหวัด จนมามีโจทก์ ยื่นฟ้องร้อง ฯลฯ (ทำเหมือนการพิจารณากรณี ยันตรอมโร ทุกอย่าง) ท่านอำนวย สุวรรณคีรี ว่า ยังสับสนในประเด็นอาบัติของธรรมชโยภิกฺขุ
อาตมภาพได้เสนอบทการศึกษากรณีนี้ ตามที่ นสพ.สยามรัฐฉบับ 11 พ.ค.42 ลงบทสรุปลงไปแล้ว ว่า กรณีธมฺมชโยภิกขุ ได้มีการตัดสินสิ้นไปแล้ว โดยต้องปาราชิก ข้อที่ 2 เอาทรัพย์ผู้อื่นไปเกิน 5 มาสก(ราว ๆ 300บาท)โดยมีเถยยจิต คือเจตนาโลภทุจริตโดยอาการโขมย อาตมภาพขอชี้แจงเพิ่มเติมอีกนิดว่า การวินิจฉัยนี้ ถือเอาตามหลักพระธรรมวินัย ในพระปาฏิโมกข์ มิใช่หลักกฎหมาย เพราะ กรณีนี้ เราสามารถดำเนินการได้ 2 ทาง คือ ทางหนึ่งทาง พระธรรมวินัย โดยตรง (ตามบทศึกษาของอาตมภาพนั้น) และอีกทางหนึ่งทางกฎหมาย โดย กฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 11 (พ.ศ.2521) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม ที่ใช้ตัดสินยันตระอมโรนั่นเอง ทั้ง 2 ทางนี้ จะมีวิธีดำเนินการต่างกัน มีหลักการต่างกันอย่างมากมาย
สิ่งที่ควรจะเข้าใจก็คือ หลักพระธรรมวินัย มีมาในพระปาฏิโมกข์อันเป็นหลักดั้งเดิมของพระพุทธศาสนาหมายถึงหลักที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้โดยตรง ว่าด้วยอธิกรณ์ 4 และ อธิกรณสมถะ 7 ซึ่งตามหลักพระธรรมวินัย ๆ จะมอบความไว้วางใจแด่พระผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ อย่างเต็มที่ เพราะมองที่คุณสมบัติที่สมบูรณ์ตามกำหนดในพระธรรมวินัย เมื่อท่านตัดสินออกมาอย่างไรก็จบ ในกรณีนี้ ต้องยอมรับความจริงว่า สมเด็จพระสังฆราช ทรงมีคุณสมบัติพร้อมสมบูรณ์สำหรับฐานะผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ ที่สามารถวินิจฉัยได้ตามธรรมตามวินัย ไม่ว่าคุณสมบัติอันเป็นคุณธรรมตามหลักการวินิจฉัยอนุวาทาธิกรณ์ 31 ประการเป็นต้นว่าด้วย ความเคารพในสงฆ์ หนักในพระสัทธรรม ไม่หนักในอามิส มีเมตตา เอ็นดู มีกรุณา ไม่ผูกเวร ไม่ขัดเคือง ไม่มีอคติ ขวนขวายเพื่อประโยชน์ เป็นต้น ซึ่งคงไม่มีผู้ใดปฏิเสธพระองค์ท่านได้ อนึ่งยังมีแบบแผนแนวปฏิบัติมาแต่ครั้งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระบิดาแห่งการศึกษาคณะสงฆ์ไทย) ที่ทรงวินิจฉัยไว้เป็นแนวปฏิบัติตามธรรมตามวินัยไว้ว่า ผู้เป็นประมุขสงฆ์ย่อมถือเป็นภาระหน้าที่ โดยตรงที่จะตัดสินหรือวินิจฉัยอนุวาทาธิกรณ์ให้เด็ดขาดลุล่วงไปโดยเร็วอยู่แล้ว และสมเด็จพระสังฆราช ก็ได้ทรงถือปฏิบัติไปตามนั้น คือ ทรงถือหลักพระธรรมวินัย และแนวพระมหาสมณวินิจฉัยเป็นหลัก มิได้ทรงยึดเอาหลักกฎหมาย คือกฎฯ 11 มาพิจารณา กรณีสงฆ์ต้องอาบัติเลย เพราะน่าจะทรงรู้ข้อบกพร่องยุ่งยากของกฎหมายดี ดังจะเห็นได้ว่าทรงตรัสว่า ไม่เกี่ยวกับ มส. หรือผู้ใดทั้งสิ้น เพราะเสร็จเด็ดขาดลงแล้วนั่นเอง
ขอเน้นว่า หลักพระธรรมวินัย นั้นก็คือหลักความเชื่อถือในคุณธรรมของท่านผู้วินิจฉัยอนุวาทาธิกรณ์ คือมองคุณสมบัติผู้ตัดสินเป็นหลักความเชื่อถือ จะไม่เสียเวลากับการไปแสวงหาหลักฐานพะยานมาอ้างอิงอย่างหลักทางโลก ยิ่งผู้วินิจฉัยมีคุณธรรมเป็นพระอริยบุคคลเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็เป็นอันว่าแล้วแต่คำพูดที่ตัดสินของท่านจะเอ่ยออกมาเท่านั้นเอง ไม่พึงพะวงว่ามีหลักฐานพะยานอย่างไรหรือไม่
อาตมภาพ อยากขอวอนให้พระมหาเถรานุเถระ กรรมการมหาเถรสมาคมได้ทบทวนในประเด็นนี้ อยากให้ถามตัวท่านเองว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช นั้นท่านเป็นใคร ? ในทางพระธรรมวินัย ท่านเป็นสงฆ์ผู้ประพฤติดีประพฤมิชอบหรือไม่ ? ท่านทรงมีคุณธรรมใดบกพร่องไม่เหมาะพอจะตัดสินอนุวาทาธิกรณ์ตามธรรมตามวินัย อันเป็นหลักการที่ยึดเหนี่ยวที่แท้จริงของพระสาวกทั้งหลาย อย่างนั้นหรือ ? ในหลักการทางโลก ทรงเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด ตามกฎหมาย การขัดคำสั่ง ย่อมหมายถึง ความผิด หากระบบทหาร การขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาจะร้ายแรงถึงขั้นกบฏ เหตุใดทั้ง ๆ ที่ มส.ทุกรูปต่างก็รู้อยู่แล้วว่า การพิจารณาตามกฎฯ 11 ซึ่งจะมีขั้นตอนมากมาย และสงฆ์เองก็แทบไม่รู้ไม่เข้าใจในกระบวนการนี้เลย เพราะขาดความรู้ ขาดความชำนาญ และขาดทั้งประสบการณ์ ดังที่มีตัวอย่างมาแล้วคือกรณียันตระอมโร ซึ่ง จะสิ้นเปลืองทั้งเวลาและทรัพยากรต่าง ๆ ในการดำเนินงานมาก และไม่มีการประกันได้ว่าจะจบลงเมื่อใด และเมื่อจบลงแล้ว ก็ยังมีภาคอุทธร ฎีกา ต่อไปอีก อันเป็นวิธีการทางโลกที่หยาบกระด้าง ที่เอามาใช้วินิจฉัยกรณีทางธรรมอันละเอียดอ่อนอย่างไม่กลมกลืนกัน ในขณะนี้สมเด็จพระสังฆราช โดยกฎหมายให้อำนาจอย่างเต็มที่ ในฐานะสกลมหาสังฆปริณายก (ผู้ทรงบัญชาการคณะสงฆ์) และโดยธรรมโดยวินัย โดยอาวุโส ก็ทรงเป็นผู้นำแห่งหมู่สงฆ์ไทยและพุทธบริษัททั้งสิ้น ได้วินิจฉัยโดยธรรมโดยวินัย(โดยหลักอธิกรณ์4 อธิกรณสมถะ 7) จบลงไปแล้ว เหตุใด จึงไม่รับเอา ? จะเป็นไปได้อย่างไรที่พระสาวกไม่ยอมรับวิธีการของพระบรมศาสดา แต่ไปยอมรับวิธีโลกว่าเป็นวิธีที่ชอบธรรมกว่า ท่านจะมีเหตุผลเป็นประการใด จึงเลือกเอาทางอื่น ซึ่งมิใช่ทางที่พระบรมศาสดากำหนดให้ เป็นการหลงผิดหรือไม่ ? ทำไมสงฆ์เราจึงไม่พยายามที่จะปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัย ในเมื่อกรณีสามารถจะนำหลักธรรมวินัยมาใช้ได้อยู่แล้ว และทั้งเป็นวิธีการที่รวดเร็วและตรงถูกต้องกับความผิดทางจิตหรือเจตนากว่า อย่างนี้ย่อมเห็นได้ว่าประพฤติไม่ถูกธรรมวินัย หรืออย่างน้อยก็ไม่เป็นการเอื้อต่อธรรมวินัย เช่นนี้พระพุทธศาสนาจะยืนอยู่ได้อย่างไร ?
จึงขอวิงวอนพระเถรานุเถระ เพียงช่วยยืนยันว่า กรณีธัมมชโย นี้ ในด้านอธิกรณ์ตามธรรมวินัย ได้รับการตัดสินไปเรียบร้อยแล้ว และไม่จำเป็นที่ มส.หรือผู้อื่นใด จะบังควรตัดสินใหม่อีก ทุกสิ่งจบลงอย่างเด็ดขาดแล้ว มีแต่ดำเนินการให้ จำเลย ถอดผ้ากาสายะ สัญญลักษณ์แห่งสงฆ์ในพระพุทธศาสนาออกไปเท่านั้น
ในด้านรัฐบาล ท่านชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ก็เคยรับปากสมเด็จพระสังฆราชไว้ ว่าจะให้เครื่องมือดำเนินการ เครื่องมือที่ต้องการขณะนี้ก็คือ เจ้าหน้าที่เตรียมการจับสมี ถอดผ้าเหลืองออกจากร่าง นั่นเอง หวังว่ารัฐบาลจักได้พิจารณาดำเนินการประสานงานต่อไป.
ขอเจริญพร
พระพยับ ปญฺญาธโร
อดีตเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ