รายงานข้อมูลการศึกษา 15 หัวข้อ
เรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ
เรื่อง การศึกษาการโฆษณาชวนเชื่อล้มล้างรัฐบาลทักษิณ 15 หัวข้อการศึกษานี้ เป็นผลงานการวิจัยสนาม โดยมีสื่อที่ถ่ายทอดข้อมูลโดยตรง สำหรับการรวบรวมข้อมูลอย่างละเอียดและครบถ้วนพอสำหรับการวิเคราะห์สรุปความหมาย ก็คือโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ในขณะนั้น นี่เป็นงานการบันทึกประวัติศาสตร์การเมืองอีกงานหนึ่งที่เราได้บันทึกเอาไว้ในหนังสือพิมพ์ดี และ เวบไซท์ของเราในขณะนั้น (http://www.newworldbelieve.com) และเวบไซท์ของเราในขณะนี้ (https://www.newworldbelieve.net) อย่างค่อนข้างสมบูรณ์ เรายังคงต้องติดตามเพื่อพิศูจน์ ว่าเราได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ด้วยความเป็นกลาง ปราศจากอคติเพียงไร สำหรับท่านผู้อ่านที่ยังไม่ทราบไม่เข้าใจวิธีการและความมุ่งหมายของเราที่สุจริต อาจจะถือว่า ขณะนี้ที่เรามั่นใจ คือความเป็นกลาง ปราศจากอคติ เป็นเพียงสมมติฐานก็ได้ โปรดติดตามพิศูจน์ไปพร้อม ๆ กับเรา ด้วยเหตุการณ์ใหม่ ที่กำลังเริ่มขึ้นต่อรัฐบาลสมัครอย่างคล้ายคลึงกันมากกับรัฐบาลทักษิณในขณะนั้น โปรดติดตามต่อไป
รายงานข้อมูลการศึกษาเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ
15. การเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549
รายงานบทที่ 15 บทวิเคราะห์พิเศษ บานไม่รู้โรย อะไรคือสิ่งที่ทุกคนต้องการหลังการเลือกตั้ง?
การเลือกตั้งทั่วไป ภายหลังรัฐบาลทักษิณถูกกดดันจากกลุ่มการเมืองและกลุ่มต่าง ๆ จนต้องยุบสภา และเลือกตั้งใหม่ เมื่อ 2 เมษายน 2549 แต่การ ชุมนุม ต่อต้านรัฐบาลยังคงก่อหวอดต่อไป และ องค์กรอิสระเพื่อการเลือกตั้งคือ กกต.กำหนดเลือกตั้งซ่อมไปจนกว่าจะได้สมาชิกสภาผู้แทนเขต ครบ 500 เขต
ทางรัฐบาลทักษิณ มีความหวังว่า ดร.ทักษิณ ชินวัตร จะได้กลับเข้ามาสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อบริหารประเทศต่อไปอีกครั้งหนึ่ง และการที่ดร.ทักษิณตั้งความหวังไว้เช่นนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่ระเคืองระคายใจอย่างยิ่งของคนอีกกลุ่มหนึ่ง และทำให้เกิดการต้านทานจากกลุ่มดังกล่าวที่ไม่ต้องการให้ดร.ทักษิณ กลับเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองต่อไปอีก
ตราบจนกระทั่งบัดนี้ คนทั้งหลายก็ยังไม่เข้าใจ ไม่กระจ่างใจว่าเพราะเหตุใด กลุ่มต่อต้านทักษิณ จึงมองว่ารัฐบาลทักษิณเป็นระบอบที่ได้ทำลายชาติบ้านเมืองมาอย่างหนักแล้วและจักทำลายชาติบ้านเมืองอย่างย่อยยับต่อไปจนพวกเขาต้องออกมากู้ชาติ และ เรียกร้องให้ชาวไทยทั้งประเทศ เอาประเทศไทยของเราคืนมาจากทักษิณ
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองฝ่ายต่อต้านทักษิณว่าด้วยความชอบธรรมของฝ่ายนั้นบ้าง ก็จะพบเค้าร่องรอยหลายประการดังต่อไปนี้
ประการที่ 1 ดูเหมือนจะมีความนัยกันระหว่างกลุ่มต่อต้านทักษิณ ที่รู้ ๆ กันอยู่โดยสามัญสำนึก ว่าระบอบทักษิณหรือ ทักษิโนมิกส์ เป็นระบอบการผูกขาดทางการค้า ระดับมโหฬาร ระดับข้ามโลก โดยเครือญาติตระกูลชินวัตร เป็นผู้เสวยผล จริงอยู่ระบอบทักษิณ ได้แจกจ่ายผลกำไรออกไป มีการกระจายกำไรออกไป แต่ก็เป็นเพียงเสี้ยวส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ เสมือนของอ่อยเหยื่อ ถ้าปล่อยให้ทักษิณบริหารการประเทศต่อไปก็จะล่มจมกันทั้งประเทศ ประชาชนทั้งประเทศจะเสียหาย เสียรู้แก่ระบอบทักษิณ
ระบอบทักษิณ จะกอบโกยผลประโยชน์จากประเทศชาติใส่ตัวใส่เครือญาติของตนอย่างไม่รู้อิ่ม
นี่ใช่หรือไม่ ?
ประการที่ 2 กลุ่มศาสนา กลุ่มหนึ่งที่มาร่วมในการต่อต้านอย่างเปิดเผยตลอดมา ทั้งก่อนการเลือกตั้งและหลังการเลือกตั้ง คงจะมองเป็นว่า ระบอบทักษิณ เป็นระบอบทุนนิยม และวัตถุนิยมเต็มตัว เป็นระบอบที่ห่างไกลไปจากหลักการศาสนา นับตั้งแต่ส่งเสริมกิจการอบายมุข โดยนำเอานโยบายเหล้าเถื่อนขึ้นมาเป็นนโยบายบนดิน นโยบายเล่นการพะนันลอตเตอรี่ นโยบายเบียร์ช้าง และในไม่ช้าก็จะนำนโยบายการพะนันอื่น ๆ เข้ามา เช่นที่เล็ง ๆ อยู่ก็คือ บ่อนกาสิโน เป็นต้น อันเป็นระบอบที่ขัดแย้งการศาสนาโดยสิ้นเชิง ต่อไปหากระบอบทักษิโนมิกส์ เดินต่อไป ประเทศไทยจะเป็นเมืองป่าเมืองเถื่อน ไร้ศาสนธรรมที่แท้จริง และจะทำลายพระพุทธศาสนาลงไปโดยสิ้นเชิง
นี่ใช่หรือไม่?
ถ้าการมองของฝ่ายต่อต้านทักษิณเป็นความจริงตามนี้ ก็นับว่ามีเหตุผล ย่อมเห็นเป็นการสมควรอย่างแท้จริงที่ประชาชนชาวไทยจะต้องร่วมมือกันกำจัดระบอบทักษิณ ให้สิ้นสุดลงอย่างถาวร ไม่ให้ผุดเกิดอีก
แต่จนกระทั่งกาลเวลาผ่านมาถึงปัจจุบันนี้ นับตั้งแต่มีการกล่าวหาขึ้น ฝ่ายต่อต่านทักษิณก็ดูจะยังไม่มีข้อพิศูจน์โดยชัดแจ้งว่าข้อกล่าวหาของฝ่ายตนเป็นความจริง
ในขณะเดียวกันที่ประชาชนอีกฝ่ายหนึ่งกลับพิศูจน์ได้ว่ารัฐบาลทักษิณ มีความเป็นธรรมแล้ว โดยมีข้อควรสังเกตเบื้องต้นจาก
ข้อสังเกตที่ 1 ความนิยมของดร.ทักษิณ ยังสูงอยู่มาก จากการที่เห็นในการเลือกตั้ง 2 ครั้งหลังที่ผ่านมา ครั้งแรกกว่า 19 ล้านเสียง และครั้งสุดท้ายที่เพิ่งผ่านมาเมื่อ 2 เม.ย. 2549 นั้นอีก 16.2 ล้านเสียง ซึ่งหมายความว่า ในระบอบประชาธิปไตยเรา มีเสียงประชาชนเป็นเสียงสวรรค์ หากเคารพในการเลือกของเสียงเหล่านั้นในฐานะเสียงของมนุษย์เช่นเดียวกับเรา ก็เห็นได้ว่า ทางรัฐบาลทักษิณ มีความชอบธรรมแล้ว
นอกจากนั้น รัฐบาลทักษิณยังแสดงถึงจริยธรรมที่สูงส่ง คือแสดงจิตใจที่สูงส่งด้วยการยอมอนุโลมตามฝ่ายต่อต้านทุกอย่าง นับตั้งแต่ยอมจัดให้ประชาชนตัดสิน โดยเอาเสียงประชาชนเป็นเสียงสวรรค์ แล้วครั้นพรรคประชาธิปัตย์และฝ่ายค้านรวมหัวไม่ลงเลือกตั้งด้วย บอยคอตการเลือกตั้ง ทักษิณก็ประกาศแต้มต่อให้อย่างแฟร์เพล โดยหากไม่ได้รับเลือกเกินกว่าครึ่งจะไม่ขอรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วครั้นเมื่อได้ผ่านการเลือกตั้งแล้ว ผ่านแต้มต่อไปแล้ว ฝ่ายต่อต้านยังไม่พอใจ ทักษิณก็ประกาศไม่ขอรับตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลในการเลือกของสภาครั้งต่อไปยอมเว้นวรรคทางการเมืองให้ ทั้งนี้จะเห็นว่าเป็นการแสดงถึงจิตใจที่สูงส่ง และเห็นแก่ความรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์โดยแท้จริง จนไม่น่าจะมีรัฐบาลใดในโลกที่สามารถเอื้อให้ได้เท่านี้ แต่ฝ่ายต่อต้านก็ดูจะไม่มองความดีนี้เลย กลับเหลิง จนเกิดการกำเริบต่อไปอีก จนลืมศึกษาจากกรณีประเทศฟิลิปปินส์ อเมริกา และ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศฝรั่งเศสในขณะเดียวกันนี้ แล้วจะเห็นความชอบธรรมตามภาษิตที่ว่า ในที่สุดสงครามนั่นเองเป็นบ่อเกิดแห่งสันติภาพ, สันติภาพเองมักรักษาตัวเองไว้ไม่ได้ ดูกรณีสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วจะเห็นสัจธรรม คือเมื่อต้องปฏิบัติการปรมาณูถล่มญี่ปุ่นไปถึง 2 ลูก จึงกลับคืนสู่ความสงบ เป็นต้น
ข้อสังเกตที่ 2 โปรดมองบทบาทของคนกลุ่มอื่นบ้าง โดยเฉพาะคนที่เลือกตั้ง อนุมัติให้ทักษิณเข้ามาบริหารประเทศซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ และขณะนี้ลองมองไปที่บทบาทของม็อบอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มาชุมนุมสนับสนุนรัฐบาลทักษิณ ที่สวนจตุจักร อย่างไร
เราเห็นว่านักวิชาการคงจะมองระบอบประชาธิปไตยไม่ถูกต้องจากการมองกลุ่มคาราวานคนจนไม่ถูกต้องนี่เอง
และจากกรณีที่มีคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ได้วิพากษ์กลุ่มคาราวานคนจนอย่างลับหลังและเป็นข่าวออกมาว่า เป็นกลุ่มคนจนที่ไม่มีความรู้ในทางการเมืองอะไร ที่ออกมาชุมนุมเพราะมีการรับอามิสสินจ้างจากผู้ว่าจ้าง ทำให้กลุ่มรักทักษิณ และคาราวานคนจนไม่พอใจ ยกกองคาราวานไปยื่นหนังสือประท้วงที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งนั้น
ซึ่งการมองด้วยสายตาเช่นนี้ ไม่น่าจะมีขึ้นในหมู่ชนปัญญาชนในมหาวิทยาลัย เพราะโดยหลักรัฐศาสตร์พวกเขาเป็นกลุ่มผลประโยชน์(interest group)กลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งที่แสดงบทบาทโดยชอบธรรมอย่างถูกต้องตามธรรมชาติและวัฒนธรรมการเมืองในระบยอบประชาธิปไตยโดยแท้จริง จากเหตุผลหลายประการ ดังนี้
ประการที่ 1 คาราวานคนจน อ้างความชอบธรรมในการชุมนุมว่ามาต่อสู้เพื่อนโยบาย ของรัฐบาลทักษิณที่ให้คุณกระทบโดยตรงแก่พวกเขา ได้แก่ นโยบาย 30 บาททุกโรค, หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์, ทุนการศึกษาคนจน- ผู้อยากเรียนได้เรียน, เรียนก่อนจ่ายทีหลัง, ทุนแพทย์ 1 อำเภอ, นโยบายบ้านเอื้ออาทร, นโยบายเศรษฐกิจพอเพียง, สหกรณ์การเกษตร, ระดับราคาที่มีเสถียรภาพ, ราคาข้าว การประกันราคาข้าว เสถียรภาพของราคาข้าว, ราคายางและพืชผลทางเกษตรกรรมที่มีเสถียรภาพ, การไฟฟ้าสาธารณูปโภค, การคมนาคมของท้องถิ่น, ระบบน้ำดื่มน้ำใช้, ระบบน้ำเพื่อการเกษตรกรรม, ขจัดความยากจนทั่วประเทศ, เมกกะโปรเจกต์เพื่อการมีงานทำ, กองทุนหมุนเวียน, แปลงสินทรัพย์เป็นทุน, เบี้ยเลี้ยงชีพสำหรับคนชราภาพ และคนว่างงาน, SML, ฯลฯ
ซึ่งจะเห็นโดยปราศจากข้อสงสัยว่า ในยุคทักษิโนมิกส์ รัฐบาลทักษิณได้คิดนโยบายการบริหารขึ้นมาอย่างมากมายเป็นประวัติการณ์ ที่ไม่เคยมีมาก่อน (ในขณะที่ฝ่ายค้านยุคนี้ไม่เคยเสนอนโยบายอะไรเลยแม้แต่ข้อเดียว) ซึ่งนโยบายเหล่านี้ ได้กระทบให้คุณประโยชน์ต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชนบทอย่างแรงจนรู้สึกเองเป็นธรรมชาติ เมื่อพวกเขาเห็นว่า มีคนที่ไม่เข้าใจคนจน ไม่เข้าใจในเรื่องนโยบาย จะไล่รัฐบาลหรือคนทำนโยบายเหล่านี้ไปเสีย ซึ่งจะเป็นผลให้พวกเขาเดือดร้อน เพราะไม่มีพรรคการเมืองใดเสนอนโยบายเช่นนี้อีก พวกเขาจึงออกมาให้กำลังใจแก่รัฐบาล และทั้งแสดงพลังมวลชนกลุ่มผลประโยชน์เพื่อต่อต้านผู้จะทำลายนโยบายเหล่านี้ เพื่อให้คงนโยบายเหล่านี้ไว้ต่อไป
ซึ่งสำหรับผู้ใดก็ตามที่รักประชาธิปไตยแล้ว น่าจะพิจารณากันว่า นี่เป็นการต่อสู้โดยความชอบธรรมอย่างสมบูรณ์ตามกฎกติกาของระบอบประชาธิปไตยสากล
ประการที่ 2 การเรียนรู้ระบอบประชาธิปไตย หมายถึงการเรียนรู้หลักการของความเป็นมนุษย์ เราจึงให้สิทธิในการออกเสียงเท่ากัน คงไม่มีนักวิชาการคนใดเรียกร้องว่าตนจะต้องมีเสียงมากกว่าคนอื่น เพราะเหตุที่ตนเป็นนักวิชาการมีความรู้มากกว่า ฉะนั้นจึงไม่น่าจะมองว่า ต้องเรียนรู้จากมหาวิทยาลัยมีปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยมาอ้างเท่านั้น และไม่เพียงการเรียนรู้จากทฤษฎีของตะวันตกอย่างเดียว แต่ควรเรียนจากหลักการพระพุทธศาสนาด้วย เพื่อที่จะได้เข้าใจความเป็นมนุษย์ หรือหลักปรัชญาว่าด้วย เสรีภาพ ภราดรภาพ และ เสมอภาค อย่างลึกซึ้ง
การขัดแย้งของคนสองกลุ่ม ด้วยเหตุผลทั้งสองฝ่ายต่างยกมาอ้าง บัดนี้จึงน่าที่ทุกฝ่ายจะได้หวลไปพิจารณาอย่างจริงจังอีกทีหนึ่งว่า มีเหตุผลตามที่ตนนึกคิด และหวาดระแวงอยู่หรือไม่ มีอะไรเป็นข้อพิศูจน์ โดยเราจะต้องหาวิธีการพิศูจน์ที่สมกับความเป็นมนุษย์ และหากเป็นฝ่ายวิชาการก็ควรจะตระหนักอย่างยิ่งว่า ต้องทำตนเป็นตัวอย่าง ทำการต่อสู้อย่างถูกต้อง ให้สมกับความเป็นนักวิชาการ
ขณะนี้เราได้พิศูจน์แล้วหรือยังว่า ข้อกล่าวหาของเราเรื่องทักษิโนมิกส์ มีความเลวทรามต่ำช้าเช่นนั้นจริง ๆ โดยทดสอบว่า เราได้เคยเข้าใจคนจน หรือประชาชนระดับรากหญ้าที่แท้จริง ว่าพวกเขาได้ประโยชน์จากนโยบายทักษิโนมิกส์ ต่อสู้เพื่อนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา และจรรโลงระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงอย่างไร? หรือไม่?
ถ้ารัฐบาลไทยรักไทยนี้ออกไป รัฐบาลอื่นโดยพรรคการเมืองอื่นเข้ามา รัฐบาลนั้นโดยพรรคการเมืองนั้น จักมีนโยบายใดที่ชดเชย ที่ให้ประโยชน์แด่คนระดับรากหญ้าเหล่านี้?
จะสามารถสร้างนโยบายให้หลายหลากอย่างยุคทักษิโนมิกส์ได้หรือไม่?
บานไม่รู้โรย
www.newworldbelieve.com
3 เม.ย. 2549
* ชื่อแฟ้ม : critic on politic after thai election 2549 no 1