รายงานข้อมูลการศึกษา 15 หัวข้อ
เรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ
รายงานข้อมูลการศึกษาเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ
13 สยามพารากอน
บทความพิเศษ 13 การชุมนุม ต่อต้านรัฐบาล (13) เอาประเทศไทยของเราคืนมา 29-30 มี.ค. 49 ม็อบเคลื่อนจาก สะพานมัฆวาน และ ไปศูนย์การค้าสยามพารากอน การจราจรติดขัดทั้งกรุงสยามพารากอนประกาศปิดตัวเองชั่วคราว วันที่ 30 ม็อบเคลื่อนจากสยามพารากอนไปชุมนุมหน้าอาคาร กกต. ผู้นำม็อบมีความแตกแยก เดิมมีข่าวจะสลายการชุมนุมวันนี้ แต่กลับไม่เลิกการชุมนุม แม้ได้นัดชุมนุมอีกครั้ง 7 เม.ย. 49 ไปแล้ว คาราวานคนจนบุกเครือเนชั่นให้รับผิดชอบโฆษณาหมิ่นเบื้องสูงในคมชัดลึก
Research on propaganda aspect 5 comparative study
การศึกษาวิจัยบางแง่มุมของการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศไทย
เรายังมีแง่มุมที่ต้องติดตามศึกษาต่อไปอีกภายใต้หัวข้อ Research on propaganda aspect 5 : comparative study โดยเราจะทำการบันทึกข้อมูลโดยย่อ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบม็อบกลุ่มต่าง ๆ ทั้งม็อบต่อต้านรัฐบาลและสนับสนุนรัฐบาล รวมทั้งม็อบชนิดหนึ่งที่ไม่เข้านิยามชื่อม็อบ 2 ประเภทนั้น คือ ม็อบประชาธิปัตย์ เป็นกลุ่มตัวอย่าง ในสมมติฐานที่สำคัญ ๆ ดังต่อไปนี้
กลุ่มที่ 1 ม็อบต่อต้านรัฐบาล
กลุ่มนี้แอบอ้างตนเองว่าเป็น กลุ่มพันธมิตรเครือข่ายประชาธิปไตย
ชูประเด็นกู้ชาติ และ เอาประเทศไทยของเราคืนมา แต่บัดนี้คนก็ไม่ได้เห็นว่าชาติไทยล่มจมหรือตกเป็นเมืองขึ้นของข้าศึกศัตรูที่ไหน สถาบันต่าง ๆ ของชาติก็เดินไปตามปกติ กีฬาเยาวชนแห่งชาติที่ลำปาง นครลำปางเกมส์ ก็จบลงไปด้วยดี มีความสุขกันทั้งชาติ การบันเทิงเริงรมย์ การเศรษฐกิจก็ไม่เสียหายอะไรมาก่อน แต่ที่เห็นชัดเจนก็คือ ศูนย์การค้าชั้น 1 ของไทย สยามพารากอน ถึงกับปิดกิจการลงก็เพราะม็อบนี่เองแท้ ๆ แต่ก่อนก็อยู่เจริญรุ่งเรืองดี แล้วเหตุผลเพื่อการกู้ชาติ เอาประเทศไทยของเราคืนมา ก็ไม่สมเหตุสมผล เป็นการโฆษณาชวนเชื่อโดยแท้จริง
อ้างว่ารัฐบาลขายชาติ แต่รัฐบาลก็บริหารไปได้อย่างดี สามารถแก้ปัญหาทุกชนิดไปได้อย่างดี ยิ่งมีกลุ่มที่ก่อกวน มีขวากหนามอุปสรรค ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนี้มีความสามรถ ที่ควบคุมม็อบให้อยู่ในความสงบ ในระบอบและระเบียบ จนประเทศต่าง ๆ ชื่นชมว่า ประเทศไทยเป็นประเทศตัวอย่างของการขัดแย้งทางความคิด แต่ไม่ขัดแย้งทางอาวุธ ทางใช้กำลัง รัฐบาลจึงแสดงถึงความสุขุมและมองกาลไกล มุ่งประโยชน์ต่อชาติและประชาชนโดยแท้จริง
ในประเด็นวิธีการต่อสู้ จนบัดนี้ก็ยิ่งพิศูจน์ว่า การต่อสู้ของม็อบต่อต้านรัฐบาลไม่ได้เป็นไปตามกติกาของระบอบประชาธิปไตยเลย แต่อาศัยช่องว่างของระบอบโดยหลักว่า Majority rule Minority right อ้างสิทธิของตนในฐานะชนส่วนน้อย ทำการโฆษณา แต่ทำการโฆษณาชวนเชื่อมาตลอด และยังใช้ความพยายามทุกวิถีทางที่จะก่อกวนโดยใช้ช่องว่างทางกฎหมายทุกชนิด ทำการก่อกวนและมุ่งร้ายต่อรัฐบาลอย่างไม่สิ้นสุด
มีเป้าหมายอย่างเด็ดเดี่ยวโดยไร้เหตุผลเพียงว่า ต้องการกำจัดบุคคลที่ตนเกลียดชังเป็นการส่วนตัว นั่นคือ พ.ต.ท.ทักษิณออกไป
เดิมให้ทักษิณออกไปจากการเมืองไทยอย่างเบ็ดเสร็จ โดยให้อพยพครอบครัวออกจากประเทศไทยไปด้วย ให้พ้นจากความเป็นชาวไทยไปด้วยเลย และขีดเส้นตายให้ครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะเพ้อฝันว่าจะกดดันได้ จนบัดนี้ก็ขีดเส้นตายให้ก่อนการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง
ม็อบกลุ่มนี้ไม่ยอมรับในสิทธิของคนอื่น ตั้งตนเป็นหมู่และยึดกฎหมู่ของตนฝ่ายเดียวเป็นหลักการทั้งหมด
ดังจะเห็นว่ามีคณะผู้ตัดสินสูงสุดของตน 5 คน มี สนธิ ลิ้มทองกุล จำลองศรีเมือง เป็นต้น ตั้งตนเป็นศาลเตี้ย(คือใช้กฎหมู่หรือกฎโจรไปตัดสินบุคคลในระบอบของบ้านเมือง) ดำเนินการเองทั้งหมดดังนี้
ขั้นที่ 1 ตั้งข้อกล่าวหาเอง ว่าหัวหน้ารัฐบาลขายชาติ
ขั้นที่ 2 ตัดสิน พิพากษาเองถึงที่สุด ว่าหัวหน้ารัฐบาลขายชาติ
ขั้นที่ 3 พยายามจะบังคับคดีเอง เพื่อไล่หัวหน้ารัฐบาลออกไปจากประเทศไทยและพ้นจากความเป็นคนไทย
ระยะหลังสุด ก่อนวันเลือกตั้ง 2 เม.ย. 2549 เร่งทวีการโฆษณาชวนเชื่อ อย่างยกระดับขึ้นไปสูงสุด คือล้างสมองคนระดับสูง โดยโฆษณาบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างแนบเนียนยิ่งขึ้น ระดมนักพูดมาจากหลายสถาบันโดยเฉพาะหลายคนมาจากสถาบันการอุดมศึกษา ที่ล้วนแต่มีความหลังแห่งความคั่งแค้นมาระบายในหมู่พวกตนเอง
และชัดเจนว่า ใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อ คือ ฝันว่าจะเป็นจริงเช่นนั้น และครั้นปลุกระดมคนไปจำนวนมากก็เกิดความฝันร่วมกันทั้งหมู่ขึ้นมา
นับว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ตกอยู่ใต้ผลการปลุกระดมโฆษณาชวนเชื่ออย่างแท้จริง
เพราะหลอกลวงคนอื่นและหลอกลวงตนเองอย่างสมบูรณ์
กลุ่มที่ 2 ม็อบประชาธิปัตย์
เราจะนิยามม็อบประชาธิปัตย์ก่อน ว่าเป็นม็อบกลุ่มหนึ่ง โดยเหตุผลต่อไปนี้
เหตุผลที่ 1 พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้ส่งสมาชิกพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้ แต่เที่ยวไปเปิดการปราศรัยดั่งว่าเปิดไฮปาร์คหาเสียงเลือกตั้งให้กับตนเอง ทั้ง ๆที่ไม่ได้เป็นตัวเลือกหนึ่งสำหรับประชาชนในกิจกรรมทางการเมืองจริง ๆ เลย ก็จะเรียกว่ากลุ่มการเมืองไม่ได้
เหตุผลที่ 2 ไม่ได้เสนอนโยบายของพรรคต่อประชาชนแต่อย่างใด เพราะตนไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง
แต่เมื่อถามว่าแล้วไปพูดอะไรให้ประชาชนฟัง
เท่าที่มีข้อมูลก็คือโจมตีพรรครัฐบาล ก่อกวนอย่างถึงที่สุดเพื่อไม่ให้พรรครัฐบาลได้รับการเลือกตั้งตามเป้าหมาย ที่ไม่ชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตยเลยก็คือ ไปปลุกม็อบเพื่อปราศรัย แล้วชักชวนให้ประชาชนไปกาบัตรช่องไม่เลือกพรรคใด
จะเห็นว่า ม็อบกลุ่มนี้ ไม่ได้มองปัญหาเชิงนโยบายของพรรคการเมืองเลย จนน่าสนใจศึกษาว่าบางทีพรรคประชาธิปัตย์อาจจะยังไม่รู้ว่านโยบายคืออะไรด้วยซ้ำไป พอเห็นร่องรอยดังว่านี้ในขณะที่พรรคนี้ได้โอกาสเป็นรัฐบาลมาหลายครั้ง การไม่รู้นโยบาย หมายความว่า ไม่รู้ว่าจะทำอะไรนั้นเอง ซึ่งนับว่าเป็นการเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะให้บุคคลที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรไปปกครองประเทศ และนั่นหมายความว่าไม่รู้ว่าบุคคลอื่นรัฐบาลอื่นทำอะไรไว้ แล้วตนจะสานต่อไปได้อย่างไร และแม้กระทั่งจะให้มีสิทธิในการแนะนำให้ความรู้ประชาธิปไตยแก่ประชาชนก็ไม่ควร เพราะอาจไปแนะนำประชาชนอย่างผิด ๆ ไปก็ได้
เหตุผลที่ 3 ไม่มีการวิเคราะห์นโยบายของรัฐบาลที่ให้แด่ประชาชนในส่วนรวมว่าเป็นอย่างไร สัมฤทฺธิ์ผลเป็นที่พอใจของประชาชนเพียงใด และไม่มีนโยบายของม็อบที่ให้เป็นตัวเลือกแด่ประชาชน
เพราะแท้จริงแล้วนิยามเรื่องความเห็นที่แตกต่างในทางการเมืองนั้น มีความหมาย 2 ด้าน
ด้านที่ 1 หมายถึงมีการสร้างนโยบายที่แตกต่าง
พรรคการเมืองย่อมมีหลายพรรคแต่ละพรรคย่อมสร้างนโยบายแตกต่างกันไปหลายหลากให้เลือกได้ และ
ด้านที่ 2 ประชาชนแต่ละกลุ่มแต่ละพวก ที่จำแนกตามกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคม(interest groups) ย่อมคิดแตกต่างไปตามปัญหาของแต่ละกลุ่มแต่ละพวก และไปจบลงที่มีนโยบายหลายหลากให้เลือกได้ และมีการเลือกนโยบายได้
คนทั้งหลายตามระบอบประชาธิปไตย จึงมีจุดที่จบและยอมรับกันได้ ความเห็นที่แตกต่างจึงไม่เป็นอันตรายต่อสังคม เมื่อทุกฝ่ายยอมรับในกติกาของการเลือก โดยมีสิทธิเลือกนโยบายที่ตรงกับผลประโยชน์ของแต่ละกลุ่มผลประโยชน์ของใครของมัน
แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีนโยบาย ไม่เคยมีนโยบายให้ประชาชนเลือก พวกเขาไม่เข้าใจการเมืองในเชิงความแตกต่างทางนโยบาย
และการที่ประชาชนแตกต่างในเหตุผลที่จะเลือกนโยบายอันหลายหลากนั้น
เหตุผลที่ 4 ในด้านการโฆษณาชวนเชื่อ จะเห็นว่าพราวไปด้วยหลักการพูดในร่องรอยของการโจมตีด้วยฝีปากล้วน ๆ อันเป็นอาวุธสำคัญของการโฆษณาชวนเชื่อ และแผนดาวกระจาย ซึ่งเลียนมาจากหลัก จรยุทธในยุทธศาสตร์ป่าล้อมเมืองของเดิม
จึงมีข้อน่าสนใจอยู่ว่า พรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกไปจากเวทีการแข่งขันไปแล้ว มีความชอบธรรมเพียงใดในการมาเปิดเวทีต่อต้านพรรคการเมืองคู่แข่งในอดีตของตนอยู่เช่นนี้ อันเป็นเชิงการให้ร้ายพรรคการเมืองอื่นที่มีความชอบธรรมในการเลือกตั้ง
เพราะการเลือกตั้งนั้น คือการเลือกนโยบาย
นโยบายอย่างไร?
เช่น นโยบายยางอย่างไร? เป็นต้น
ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์ก็เพียงแต่ตำหนิพรรคการเมืองอื่น คนอื่น แต่ครั้นจะเสนอนโยบายว่า ทำอย่างไรหากรัฐบาลนี้(ทักษิณ) พ้นจากตำแหน่งไป พรรคประชาธิปัตย์จะสร้างสรรค์นโยบายอย่างไร จึงจะให้ราคายางยังคงอยู่ที่ 70 บาทต่อกิโลกรัมต่อไป พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้พูด ไม่มีนโยบายเกี่ยวกับราคายางเป็นของตนเอง หมายความว่าไม่รู้จะทำอย่างไรนั่นเอง
ในเรื่องผลงานของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อเกิดสินามิขึ้น ใน 26 พ.ย. 2547 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้หลบซ่อนไปหมด เพราะโดยข้อเท็จจริง ภาคใต้มีสส.แทบทั้งหมดเป็นคนของประชาธิปัตย์ แต่กลับไม่เห็นมีผลงานการช่วยเหลือประชาชนแต่อย่างใดเลย อย่างน้อยก็น่าจะเห็นความร่วมมือกันกอบกู้ทุกข์ของประชาชนในยามวิบัติบ้าง โดยในสถานการณ์ร้ายแรงเช่นนี้ ทุกฝ่ายย่อมร่วมมือกันกอบกู้ประชาชน แต่ไม่เคยเห็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และทั้งหัวหน้าคณะที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาร่วมมือกับฝ่ายรัฐบาล กอบกู้ทุกข์ของประชาชนเลย
นี่ก็แสดงความหมายอีกครั้งหนึ่งว่าประชาธิปัตย์ทำงานไม่เป็นสักอย่าง ดีอย่างเดียวคือ การคอยจับผิดคนอื่น เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น คอยแต่จะจับผิด ไล่ตำหนิรัฐบาลที่ทำงานหนัก ซึ่งในระยะนั้น แม้กระทั่งประเทศสหรัฐอเมริกา พรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านยังร่วมมือกันเดินทางมาประเทศไทยเพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือ (คนไทยก็เห็นกันจะแจ้งว่า มีบุช คนพ่อแห่งรีพับลิกพรรครัฐบาล กับ คลินตั้นแห่งเดโมแครตพรรคฝ่ายค้านเดินทางมาไทยในคณะเดียวกัน นั่นคือความเจริญทางการเมืองของประเทศเขาที่ควรเอาอย่าง) นั่นคือบทเรียนของความร่วมมือในปัญหาร่วมกันแห่งชาติ แต่พรรคประชาธิปัตย์ไร้น้ำใจเช่นนี้ ไร้ความเป็นนักกีฬาทางการเมืองโดยสิ้นเชิง จึงพบความตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ และบทบาทในขณะนี้ จึงไม่น่าจะเรียกได้ว่ากลุ่มการเมือง ก็เรียกได้เพียงว่า กลุ่มม็อบต่อต้านรัฐบาลเท่านั้น
กลุ่มที่ 3 คาราวานคนจน แห่งสวนจตุจักร กลุ่มนี้แม้จะมาจากเหนือและอีสานส่วนใหญ่ แต่แท้ที่จริงมีกลุ่มกรุงเทพและคนทั่วทุกภาคและทุกฐานะร่วมชุมนุมอยู่ เมื่อศึกษาแล้วพบว่ากลุ่มนี้พอที่จะเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มการเมืองโดยแท้จริง และนั่นหมายความว่า มีความชอบธรรมอย่างยิ่งที่กลุ่มนี้จะเคลื่อนไหว โดยได้สิทธิอันสมบูรณ์และชอบธรรมที่สุดของระบอบประชาธิปไตย เพราะเหตุผลสั้น ๆ ที่พวกเขาประกาศออกไปอย่างเปิดเผยก็คือ เขาต้องการให้พรรคไทยรักไทยกลับเข้ามา เพื่อสานสร้างนโยบายต่าง ๆ ที่ค้างอยู่ขณะนี้ ให้เดินต่อไป เขาย้ำนโยบายสำคัญ ๆ ที่พวกเขาต้องการ นั่นคือ 30 บาททุกโรค, หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์, ทุนการศึกษาคนจนเรียนก่อนจ่ายทีหลัง, นโยบายบ้านเอื้ออาทร, นโยบายเศรษฐกิจพอเพียง, สหกรณ์การเกษตร, ขจัดความยากจนทั่วประเทศ, เมกกะโปรเจกต์เพื่อการมีงานทำ , SML, ฯลฯ
และโดยการมองของคนกลุ่มนี้เขายังมองไม่เห็นว่าจะมีพรรคการเมืองอื่นอาจจะเข้ามาสานนโยบายเหล่านี้ได้ ฉะนั้น นี่จึงเป็นวิถีทางการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของเขาตามหลักกลุ่มผลประโยชน์ ( interest group)โดยชอบธรรม และต้องตามกติการของระบอบประชาธิปไตยสากลทุกประการ และนอกจากมีความชอบธรรมอย่างยิ่งแล้วยังเป็นแบบอย่างการต่อสู้ทางการเมืองของประชาชนในมิติก้าวหน้าอีกด้วย
ประเด็นอื่นในการมองคาราวานคนจนก็คือ การดำเนินงานของกลุ่ม เป็นธรรมชาติ และมีความจริงใจ เห็นได้จาก ทุกคนมีเป้าหมายร่วมกันที่นโยบาย มีเหตุผลทางการเมืองที่ชัดเจนว่า เขาต้องการนายกรัฐมนตรีที่ชื่อทักษิณ เพื่อให้ทำอะไร และมีเหตุผลชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับพรรคการเมืองฝ่ายค้าน คือพรรคประชาธิปัตย์ เขามองว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีการเสนอนโยบายให้ประชาชนเลือก และไม่มีผลงานอะไรเลย จึงจำเป็นต้องยืนยันให้รัฐบาลเดิมบริหารนโยบายสำคัญ ๆ เหล่านั้นต่อไปให้ได้
กลุ่มที่ 4 ม็อบไล่จำลอง ที่จังหวัดกาญจนบุรี แม้ว่าคนกลุ่มนี้จะมิได้แสดงว่าเป็นกลุ่มการเมืองอย่างชัดเจน เพราะเป้าหมายคือ ไล่พล.ต.จำลอง ศรีเมืองคนเดียวออกไปจากจังหวัดกาญจนบุรี และห้ามเข้ากาญจนบุรีอีกต่อไป เหตุผลเท่าที่เปิดเผยก็คือ พล.ต.จำลอง ไม่ได้สร้างความเจริญอะไรแก่กาญจนบุรี และเมื่ออ้างกองทัพธรรมมาไล่ทักษิณ อีกแล้ว ชาวกาญจนบุรีผู้มีความเป็นธรรมก็รับไม่ได้ ว่าเป็นธรรมะอย่างไร แต่เมื่อพิจารณาว่า ชาวกาญจนบุรีรักทักษิณ เพราะชอบนโยบายทักษิณ และไม่เห็นด้วยกับพล.ต.จำลองที่จะให้ นรม.ทักษิณลาออกไปจากวงการเมืองไทย ยังเห็นได้ว่าเป็นกลุ่มการเมือง โดยนัยยะของการรู้พิจารณาที่นโยบายของรัฐบาล ว่าเป็นผลประโยชน์แก่ประชาชนอย่างไรบ้าง และหวงแหนรัฐบาลที่ทำนโยบายถูกกับความต้องการของพวกเขา ก็มองได้ว่า มีความชอบธรรมตามกฎกติกาของระบอบประชาธิปไตย ในความหมายของการต่อสู้เพื่อนโยบาย
กลุ่มที่ 5 ม็อบสันติอโศก นำโดยโพธิรักษ์ กลุ่มนี้ไม่มีนิยามคำว่า การเมือง ไม่มีนิยามคำว่า ศาสนา ไม่มีนิยามคำว่า หน้าที่ แต่ก็ออกมาร่วมเคลื่อนไหว จนดูประหนึ่งถูกจูงจมูก ถูกครอบงำด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ ประกอบด้วยอัตตามาก อยากอวดโอ่โฆษณาตัวเอง และที่สำคัญ เป็นม็อบแค้นกลุ่มหนึ่งเหมือนกัน(ตามผลการศึกษาคราวที่แล้ว) น่าเป็นกลุ่มที่ควรติดตามมองต่อไป
ข้อสรุป นี่คือการศึกษาจากประเด็นง่าย ๆ ที่สุด และสามารถสังเกตเก็บข้อมูลได้โดยการเฝ้ามองทางโทรทัศน์เท่านั้น ก็พอที่จะหาข้อสรุปได้โดยทันที และเมื่อประเมินตามหลักการเมืองแล้ว จะพบโดยชัดเจนว่ากลุ่มม็อบกลุ่มไหนที่มีเป้าหมายทางการโฆษณาชวนเชื่อ และกลุ่มไหนที่มีเป้าหมายทางการเมือง ที่เป็นการรวมตัวของกลุ่มผลประโยชน์(interest groups) ที่ต่อสู้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนโดยชอบธรรมตามหลักวิชาการเมือง
เราจะพบว่ากลุ่มม็อบแค้นไล่รัฐบาลทักษิณที่อ้างตนว่าเป็น กลุ่มพันธมิตรเครือข่ายประชาธิปไตย กลับไม่เห็นว่ามีความเป็นประชาธิปไตยอยู่เลย และเมื่อพิจารณาวิธีการต่อสู้ ที่ใช้การโฆษณาชวนเชื่อเป็นหลักในการต่อสู้ (ใช้ข่าวลือ, ปลุกระดม, ล้างสมอง, วางแผนลับ, ซ่อนกล, สร้างภาพ, อ้างสถาบัน, สร้างสถานการณ์, จรยุทธ ฯลฯ) ยิ่งจะเห็นชัดว่า เป็นเพียงกลุ่มม็อบที่ก่อกวนการเมืองของชาติให้วุ่นวายโดยแท้จริง พวกเขาไม่มีการต่อสู้ด้านนโยบายการเมืองใดใดเลย ทั้งเป็นกลุ่มชนที่ไม่อาจระบุโดยแน่ชัดว่าเป็นกลุ่มคัดค้านหรือสนับสนุนนโยบายใดใดของพรรคการเมืองใด การเรียกชื่อตนว่า กลุ่มพันธมิตรเครือข่ายประชาธิปไตย ก็ไม่ตรงกับพฤติกรรมจริงที่ทำอยู่ เพราะพฤติกรรมจริงนั้นคือการก่อกวน พยายามใช้กฎหมู่แทนกฎหมายบ้านเมืองอย่างแท้จริง
และพฤติกรรมเช่นนี้มีแต่ประชาชนทั้งปวง ผู้รู้จักเลือกนโยบาย ที่สนับสนุนนโยบาย ร่วมมือกัน โดยมีอำนาจรัฐสนับสนุนตามกฎกติกา กฎหมายของบ้านเมือง เท่านั้น จึงจะนำบ้านเมืองกลับคืนมาสู่ความสงบเรียบร้อย และถูกใจของประชามหาชน.
* แฟ้ม สำรอง : research on propaganda aspect 5 comparative study
บานไม่รู้โรย
www.newworldbelieve.com
30 มี.ค. 2549