2. จำลอง ศรีเมืองต่อต้านเบียร์ช้างเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์
ในขณะที่เขียนบทบรรณาธิการนี้มีการต่อต้านของประชาชนจำนวนหนึ่งนำโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, สันติอโศก และพระอาจารย์พยอม กลฺยาโน เมื่อวันที่ 1 ส.ค.2548 ขณะจะมีการประชุมของคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต) เพื่อพิจารณาเบียร์ช้างเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ก็มีการปลุกระดมว่า ประชาชนไม่เห็นด้วยและคัดค้านการเข้าตลาดตลาดหลักทรัพย์ด้วยเหตุผลว่าสุราเป็นอบายมุขไม่ควรสนับสนุนให้เข้าตลาดหลักทรัพย์ จนกระทั่ง ก.ล.ต.ต้องเลื่อนการประชุมไปไม่มีกำหนดเราเห็นว่าเรื่องนี้ควรมองให้สูงเกินกว่าจะเป็นเพียงเรื่องศีลธรรม แต่ควรมองว่าเป็นเรื่องของปุถุชนชาวโลก ปุถุชนคนทั้งหลายย่อมมีภาระในการทำมาหากิน เป็นเรื่องการทำมาหาเลี้ยงชีพของคนโลกๆเป็นวิถีทางของคนธรรมดาอย่างนั้น กล่าวคือธรรมดาวิถีชีวิตของคนทั้งหลายเมื่อมีชีวิตก็ดิ้นรนหาอยู่หากินเพื่อปากท้อง เป็นวงจรห่วงโซ่อาหารของตนโดยระบบธรรมชาติ ที่ผันแปรไปตามรอบของชีวิต เช่น ตื่นขึ้นมาก็ทำมาหุงหา หน้าฝนก็หาปลา กบ เขียด เต่ามาเป็นอาหาร ทำการเลี้ยงสัตว์ เพื่อกินเนื้อ ฯลฯ เมื่อจะพิจารณาในแง่มุมทางศาสนาก็น่าจะมองให้ครบรอบด้าน และมองที่ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน อย่างถูกเหตุผลเชิงสัปปุริสธรรม 7 ประการคือมองเหตุ,ผล,ตน,บุคคล,กาล,ประมาณ และสังคม โดยรอบคอบในแง่สังคม หรือ ปริสสันยุตาธรรม ควรมองว่านี่เป็นสังคมปุถุชน ไม่ใช่สังคมพระอริยะเจ้า ไม่ใช่สังคมพระอรหันต์ เพราะศาสนาพุทธ เรามอง 2 ด้าน คือด้านมืดและด้านสว่างเราควรหันมามองอีกด้านหนึ่งอย่างพินิจพิเคราะห์เสียบ้างคือมองด้านที่เป็นธรรมดาๆของปุถุชนคนธรรมดาที่ยังไม่สิ้นกิเลส วิเคราะห์ความเป็นธรรมดาของสังคมปุถุชนที่ย่อมมีความหิวโหย ย่อมมีการแก่งแย่งแข่งขันกัน รุกรานกันและความจำเป็นในการต่อสู้ เมื่อเราไม่มองกรอบที่กว้างขวางคือมองโลกที่เชื่อมโยงกันหมดแล้ว มองแคบๆเหมือนกบในกะลาเสียแล้ว ก็เสียผลประโยชน์เราเอง เคยอยู่มาอย่างไรตลอดกาลยาวนานก็จะอยู่ต่อไปเช่นนั้น ฉะนั้นควรมองเรื่องนี้ว่าเป็นวิถีทางทำมาหากิน เพื่อความอยู่รอดเพื่อการแข่งขันในระดับที่กว้างขวางเป็นสากลของปุถุชน เพื่อชนะในการแข่งขันในโลกวัตถุนิยมต่างประเทศที่นับวันรุนแรงขึ้น เราปุถุชนจึงไม่ควรที่จะลืมตัวหลงตัวยกตนเป็นสังคมพระอรหันต์ นั่นคือการผิดฝาผิดตัว ประเทศชาติจะเจริญจะสามารถแข่งขันในธุรกิจยุคใหม่ได้อย่างไร เมื่อเราพยายามจำกัดทางทำมาหากินของเราที่เป็นวิถีทางปุถุชนลงอย่างไม่จำเป็นเลย ส่วนการบรรลุมรรคผลเป็นเรื่อง ปัจจัตตัง เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล บุคคลคิดจะทำความดี อยู่ในศีล ละเว้นสุรา อบายมุขกี่ข้อๆ ก็ทำได้โดยลักษณะส่วนปัจเจกบุคคล เพื่อประโยชน์ส่วนปัจเจกบุคคล คือมรรคผลนิพพาน ไม่มีใครปิดกั้นเอกสิทธิ์เฉพาะตนได้ในสังคมชาวพุทธ
อีกประการหนึ่ง น่าพิจารณาความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ ให้ความเป็นธรรมแด่นักธุรกิจไทยเราเองหรือไม่ ? เรื่องสุราทำไมต่อต้านกิจการของเราเอง ไม่พิจารณาสุราต่างประเทศ ที่เข้ามาในประเทศไทยที่มีหลายหลากยี่ห้อ ทั้งยี่ห่อราคาถึงขวดละเป็นแสนบาท(อย่างที่เสธ.หนั่นท่านนิยมเสพเป็นประจำ) แม้ราคาถูกๆก็มีเต็มบ้านเต็มเมือง ก็สร้างปัญหาเช่นเดียวกันนี้ ไม่เพ่งเล็ง ไม่คิดหาวิธีการต่อต้านบ้าง ไม่ไปเดินขบวนต่อต้านสุราที่มาจากต่างประเทศบ้างโดยเหตุผลเช่นเดียวกันนี้ เราไม่เคยคิดกันมานานแล้ว ในเรื่องความไม่เป็นธรรมเช่นนี้ เราไม่เคยต่อสู้กับคนอื่น ประเทศอื่น แต่กับพวกเราเองเข้มจัดเหลือเกินและมักอ้างเหตุผลว่าเป็นชาวพุทธ แต่ถ้าชาวพุทธไม่ระวังสติ เพราะสับสนไปหมดระหว่างเรื่องโลกๆคือธุรกิจการทำมาหากินของชาวบ้าน กับการบำเพ็ญ ตปะธรรมเพื่อความหลุดพ้น แต่เมื่อผิดฝาผิดตัวไปเช่นนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ การก้าวก่ายหน้าที่จนเกินไป และมองอย่างไม่เป็นธรรมกับคนไทยกันเองในเชิงธุรกิจ หรือ การบริหารเศรษฐกิจระดับสากล กลายเป็นการมัดมือเรากันเองไว้ แล้วปล่อยให้ต่างชาติฉกฉวยประโยชน์ไป กอบโกยเงินทองไปอย่างไม่มีคู่แข่งเช่นนี้เสมอไป เป็นเวลานานมาแล้ว ชาวนาจึงไม่เคยร่ำรวย แต่ชาวต่างชาติร่ำรวยเร็วเหลือเกิน เพราะเราห้ามชาวนาต้มเหล้า คอยแต่ส่งสรรพสามิตไปจับกุมกวาดล้าง ปรามไว้ตลอดไม่ให้กิจการเติบโตออกไป แต่ไม่ห้ามชาวต่างชาติๆกลับทำได้โดยถูกกฎหมายจนเขาร่ำรวยขึ้นไปตามๆ กันนี่เป็นข้อเท็จจริงที่น่าจะมองเสียก่อน เราขาดคนกล้าไปต่อต้านความไม่เป็นธรรมจากต่างประเทศ แล้วความเป็นธรรมอยู่ที่ไหนท่านไม่มีความกล้าหาญสม่ำเสมอตัว แต่กล้าในบางเรื่องบางราว กล้ากับคนนั้น คนนี้ซึ่งเป็นคนเราเอง แต่พอเจอฝรั่งกลับถอยหัวหดเข้าในกระดอง ไม่กล้าเงย เรายังพอมีข้อคิดในเรื่องนี้ไว้ที่ปกหลังของหนังสือพิมพ์ดีเล่มนี้ โปรดติดตาม