สากลจักรวาลสากลศาสนา
ธรรมสามีวินิจฉัย (3)
ศาสนาสากล คือ สภาวะที่ศาสนาต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ประสานหน้าที่ ประสานบทบาทของกันและกันอย่างกลมกลืน เพื่อกล่อมเกลาหล่อเลี้ยงพฤติกรรมของมนุษย์ในโลกนี้โดยรวม ผลรวมพฤติกรรมของมนุษย์ทั้งหมด จึงมีเหตุมาจากคำสอนของศาสนาต่าง ๆ ในโลกนั่นเอง งานศาสนาสากลได้ทำหน้าที่เพื่อให้เกิดสวัสดิภาพของมวลมนุษย์ มีบทบาทของการคุ้มครองปกป้อง รักษามนุษย์ให้อยู่ในความสงบ ไม่เบียดเบียน และระงับสำนึกเถื่อนภายในจิตใจเบื้องลึกของมนุษย์โลกสืบทอดมาได้ระยะหนึ่ง ตราบถึงปัจจุบันนี้
หากแต่สถานการณ์สากลศาสนายุคปัจจุบันนี้ นับว่า วิกฤต อย่างยิ่ง วิถีทางที่ปรวนแปรไปของศาสนาสากล ความวิกฤตแห่งศาสนาสากล นั้น ส่งผลให้โลกทั้งโลกปั่นป่วน ความวิกฤต มีเหตุมาจากวิถีทางศาสนาสากลผิดไปจากแนวคำสอนหลักของศาสนา จึงกลับกลายเป็นผลร้ายขึ้นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง ยิ่งเสียกว่าวิกฤตทางการเมือง สังคมและเศรษฐกิจของโลกเองด้วยซ้ำ
เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เนื่องมาจากสถานการณ์ความเป็นไปและความเคลื่อนไหวของศาสนาต่าง ๆ ได้พยายามนำวิถีทางศาสนาเข้ามาผูกพันเกี่ยวข้องกับการเมือง และค่อยทะยอยเป็นไปโดยแนบแน่นยิ่งขึ้น ดูคริสตศาสนา โดยเฉพาะคาทอลิก จะเห็นชัดเจนขึ้นในสายตาชาวโลกว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับการเมืองไปแล้ว จนแทบแยกไม่ออกว่าการเมือง กับการศาสนาต่างกันอย่างไร แต่แท้จริง คาทอลิกเป็นการเมืองเพราะเหตุที่ระบบการปกครองเป็นอาณาจักรหนึ่งมาแต่เดิม และเพราะเหตุที่คาทอลิกเบนเป้าหมายเดิมของคริสต์ศาสนามาเป็นการเมืองอย่างเต็มตัวในยุคสมัยของพระสันตปาปาจอห์น ปอลที่ 2 นี้ นั่นก็คือ คาทอลิก ชูธง ประชาธิปไตย แทนธงอุดมการณ์ของพระคริสต์แท้แต่ดั้งเดิมไปโดยสิ้นเชิง อันเนื่องมาจากนโยบายอย่างการเมือง คือการแสวงอำนาจอันเกิดจากความจำเป็นของศาสนาคาทอลิก เพื่อความอยู่รอดของศาสนาคาทอลิกเอง โดยคาดหวังว่าเมื่อเดินไปด้วยกันได้กับการเมืองของประเทศมหาอำนาจ ที่ชูธงประชาธิปไตยอยู่แล้ว ทั้งศาสนจักรแห่งคาทอลิกกับมหาอำนาจฝ่ายอาณาจักร ก็จักได้ผลประโยชน์ร่วมกัน จึงปรากฎออกมาดุจดั่งว่าคาทอลิกและประเทศมหาอำนาจของโลก สามารถเดินเคียงคู่กันไปโดยตลอด โดยวิถีทางแห่งการเมือง และประสบผลสำเร็จมาตามลำดับในเอเซียหลายแห่ง ในปัจจุบันนี้ คาทอลิกก็ชูธงประชาธิปไตยขึ้นในติมอร์ตะวันออก ขอให้ศาสนิกชนจับตาศึกษาบทบาท พระคุณเจ้า ที่เป็นนักบวชแห่งศาสนาคาทอลิก นั้นให้ดี แล้ว จะพบสัจธรรมดังกล่าวมานี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงย่อมมองเห็นง่ายว่าแนวทางการเมืองของคาทอลิกจักเป็นเช่นใด หากคาทอลิกเข้าไปในพม่าได้ เขาก็จะชูธงประชาธิปไตยขึ้นที่พม่า และจะแยกตัวออกไปจาก อ่องซานซูจี ซึ่งเป็นพุทธ ขณะนี้ให้สังเกตกองกำลังกระเหรี่ยงคริสต์ ที่เริ่มนำนโยบายการโฆษณาชวนเชื่อเข้ามาครอบงำกลุ่มชนที่มีความเชื่ออันล้าหลัง สังเกตุกองกำลังศักดิ์สิทธิ์ คือ God Army ซึ่งแน่นอนมีอิทธิพลคาทอลิกอยู่เบื้องหลัง
นโยบายการเมืองของฝ่ายศาสนาเองเช่นนี้ จึงวิปลาสไปจากวิถีทางของศาสนาสากล เพราะมิได้ดำเนินวิถีทางแห่งเมตตากรุณาของพระเจ้าโดยบริสุทธิ์ หากแต่การชูธงประชาธิปไตยขึ้นในหมู่ชนกลุ่มน้อยนั้นย่อมหมายถึงเจตนาที่จะยุยงส่งเสริมให้เกิดการใช้กำลังกับฝ่ายที่ตรงข้ามกับประชาธิปไตย อันหมายถึงความตาย ความบาป ความกดขี่ทางจิตวิญญาณ จึงผิดไปจากหลักการสันติภาพในหมู่มนุษย์ของพระเจ้า หากคาทอลิกนำอุดมการณ์การเมืองเข้าไปสู่เขมร และลาว หรือแม้จีน เขาก็จะชูธงประชาธิปไตย ขึ้นต่อต้านรัฐบาลประเทศเหล่านั้น ซึ่งจะเท่ากับบ่งบอกเจตนาที่ชัดเจนว่า คาทอลิกต้องปฏิบัติการยุยงส่งเสริมให้เกิดการแตกแยกในประเทศเหล่านั้น ก่อนการแทรกแซงเข้าไปสนับสนุนฝ่ายของเขาอย่างเปิดเผย ซึ่งโดยวิธีการนี้ ย่อมนำไปสู่การสู้รบ ทำสงครามระหว่างชนในชาติที่แตกแยกนั้น อันเป็นความผิดบาป และการนำที่ทรามผิดหลักการของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง ในประเทศไทยไทย คาทอลิกก็เริ่มเข้าแทรกแซง ตามทฤษฎี ดิไว้ด์ แอนด์รูล คือแบ่งแยกและปกครอง อันเป็นทฤษฎีการเมือง มิใช่ทฤษฎีการศาสนา ก็เริ่มแบ่งแยกในกลุ่มชนชาวเขาที่ล้าหลังไทยออกเป็นกระเหรี่ยงคริสต์ กระเหรี่ยงพุทธ เขาจะทำตนเป็นกบฏต่อรัฐบาลนั้น ๆ และจะจับอาวุธเป็นเครื่องมือ แทนที่จะจับธรรมะเป็นเครื่องมือ และเมื่อฝ่ายประชาธิปไตยได้ชัยชนะ คาทอลิกก็หวังว่าจะได้ส่วนแบ่ง โดยสามารถขยายเครือข่ายศาสนจักร-ศาสนการ ออกไปแบบเครือข่ายแห่งอำนาจผสมระหว่างอำนาจทางการเมืองส่วนหนึ่ง กับอำนาจของพระเจ้าเบื้องบน
นี่แหละคือสิ่งที่กำลังก่อวิกฤตแห่งสากลศาสนาไปถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อโลกทั้งมวล เมื่ออุดมการณ์เดิมของพระเจ้า ถูกดูแคลนไปเอาอุดมการณ์ทางการเมืองมาสวมแทนที่ ผลเสียหายอย่างยิ่งใหญ่ก็คือ การศาสนาจะค่อยกลายเป็นการเมืองไป จะแสวงหาอำนาจแทนที่การแสวงหาความเป็นมิตรไมตรีจากเพื่อนมนุษย์โลกเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และเรื่องราวใหญ่ก็จะเกิดขึ้น เมื่อไปเผชิญหน้ากับ อิสลาม ศาสนาใหญ่อีกศาสนาหนึ่ง ที่ระบบของศาสนาอิสลาม เป็นทั้งหมดของวิถีชีวิต อันหมายถึงการเมืองกับการศาสนาเดินไปพร้อม ๆ กัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มิได้มีการแบ่งเขตว่าส่วนไหนเป็นศาสนจักร ส่วนไหนเป็นอาณาจักร แต่สำหรับอิสลามนั้น การเมืองกับการศาสนามิได้แยกกัน ที่รวมทั้งการเมืองและการศาสนาเป็นวิถีเดียวกันมาแต่ต้น จึงมีรัฐ ที่เรียกว่า รัฐอิสลาม และรัฐอิสลามทั้งหลายมักมีรูปแบบการปกครองแบบอัตตานิยม หรือระบบอำนาจสิทธิขาดแห่งราชาธิราชหรือศาสนทูตของพระเจ้า ที่อำนาจการปกครองมิได้มาจากพื้นฐานของประชาชนทั่วไปเหมือนประชาธิปไตย หากแต่คล้อยไปในรูปแบบเผด็จการแบบใดแบบหนึ่งเสมอ เมื่อคาทอลิกเปลี่ยนจุดยืนมาเอาวิถีการเมือง ชูธงประชาธิปไตยขึ้นเป็นหลัก เช่นปัจจุบันนี้ เห็นได้ทันทีว่า ในระดับอุดมการณ์ศาสนาสากล เริ่มขัดแย้งกันขึ้นมาทันทีระหว่างศาสนาอิสลาม และ ศาสนาคาทอลิก อันเป็นเรื่องระหว่างศาสนา 2 ศาสนา
เพราะเมื่อศาสนาสากลค่อยกลายเป็นเครื่องมือแห่งการเมืองไป จนในที่สุดถูกครอบโดยการเมือง รับใช้อุดมการณ์ทางการเมือง เป็นไปในวิถีทางที่แสวงหาอำนาจของชาวมนุษย์ อันเป็นสิ่งสนองตัณหาหรือสำนึกเถื่อนของมนุษย์
บัดนี้ สถานการณ์รุนแรงตามภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก จึงเกิดการขัดแย้งขึ้นอย่างหนัก อันมีผลส่วนหนึ่งมาจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ศาสนาสากลเอง ระหว่าง การเมืองและการศาสนาแบบใหม่ของประเทศมหาอำนาจใหม่และการศาสนาแบบใหม่ของคาทอลิก ที่หันมาชูธงประชาธิปไตยแทนอุดมการณ์ศาสนาอันดั้งเดิม กับ การเมืองและการศาสนาแบบเก่าดั้งเดิมของรัฐอิสลาม โดยวิถีศาสนาอิสลาม แท้จริง จึงกลายเป็นสงครามศาสนาขึ้นมาแล้ว ระหว่าง ศาสนาคาทอลิก กับ ศาสนาอิสลาม เมื่อแนวรบเล็ก ๆ น้อย ๆ ค่อยสลายไป ในที่สุดกองทัพใหญ่ ย่อมเผชิญหน้ากัน สังเกต สงครามที่ผ่านมาระยะหลัง ๆ ในเอเซีย และปัจจุบันที่มีความขัดแย้งทางการเมืองที่ระอุอยู่ที่ติมอร์ตะวันออก และอีกหลายรัฐในอินโดนีเซีย และแห่งอื่นของโลก ที่เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นผลมาจาก คติแห่งศาสนาคาทอลิกแบบใหม่ ที่เป็นการเมือง ที่มาเผชิญคติแห่งศาสนาอิสลามที่เป็นการเมืองมาแต่ดั้งเดิม นั่นเอง
ทำไมศาสนาทั้งสองคือคาทอลิกยุคใหม่ กับ อิสลาม จึงไม่แยกการเมือง กับการศาสนาออกจากกัน นั่นก็เป็นเพราะวิถีทางที่จะนำประชาชนไปสู่เป้าหมายหรืออุดมการณ์อันสูงสุดของทั้งสองศาสนานั้น ไม่สามารถอธิบายออกมาอย่างแจ่มแจ้งสิ้นสงสัยได้ สำหรับคนยุคใหม่ ยุควิทยาศาสตร์ นั่นเอง นอกจากนั้น อุดมการณ์ของศาสนาคริสต์เองนั้น นับวันวิทยาศาสตร์เจริญขึ้น วิทยาศาสตร์นั่นเองกลับค่อย ๆ บ่อนทำลายลบล้างอุดมการณ์สูงสุดแห่งคริสตศาสนา ด้วยการพิศูจน์ว่าอุดมการทางคริสตศาสนานั้นผิดพลาดไปจากความเป็นจริงไปทั้งสิ้น นั่นหมายความว่า คำพูดของพระเยซูคริสต์ ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่สมเป็นบุตรพระเจ้าเสียแล้ว ดังเราจะเห็นได้ว่า แท้จริงศาสนาคริสต์ พระคัมภีร์คริสต์ ได้อ้างเรื่องโลกและจักรวาลผิดพลาดอย่างยิ่งใหญ่ แม้ว่าคำอ้างนั้นเป็นคำของพระเจ้า ที่ใคร ๆ จะต้องยอมรับ ไม่อนุญาตให้แย้งได้ และทั้งเป็นศาสนาที่โอ้อวดอภินิหาริย์ อิทธิฤทธิ์ของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นศาสดาต่าง ๆ นานาอย่างมากมาย โดยปรากฎชัดแจ้งในพระคัมภีร์ เช่นตำนานการสร้างโลกของพระเจ้า ที่ทรงสร้างขึ้นเป็นโลกที่แบนราบเหมือนความเชื่อของฮินดูดั้งเดิม เป็นต้น ตราบมาสู่สมัยพระเยซูคริสต์ ๆ มีอิทธิฤทธิชุบคนตาย ที่เขาเอาไปฝังในถ้ำ ให้ฟื้น ลุกเดินออกมาจากก้นถ้ำได้ เอาน้ำลายทาตาคนตาบอดให้เห็น สั่งให้น้ำธรรมดากลายเป็นเหล้าองุ่น ห้ามพายุฝนกลางท้องทะเลขณะนั่งเรือไปกับสาวก แจกปลากับขนมปังให้ประชาชนได้ทั้งภูเขา และที่ทำบ่อยทำเป็นปกติ ทำมากครั้งก็คือการใช้อภินิหาริย์รักษาคนป่วยไข้ แม้กระทั่งคนป่วยเป็นโรคเรื้อน พระคัมภีร์ก็รับรองไว้ว่าพระเยซูสามารถทำได้ แต่ความสามารถ อภินิหาริย์เหล่านี้ ไม่มีพระสาวกใดอาจรับรอง ไม่มีสาวกใดสามารถทำได้ตาม และไม่ปรากฎว่าองค์ศาสดาสอนสาวกให้ทำตามได้ สอนให้เก่งทำอภินิหาริย์เหมือนองค์ศาสดาไม่ได้ ในกาลต่อมาคำสอนจึงค่อยลดความศักดิ์สิทธิ์ลงไป ๆ ทำให้คนสงสัยในความถูกต้องของพระคัมภีร์ อภินิหาริย์และฤทธิ์เดชของพระเยซูคริสต์ว่าเป็นเพียงข่าวลือหรือข่าวโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น และที่สำคัญถูกลดทอนลงไปโดยวิทยาศาสตร์ จนกระทั่งทุกวันนี้คริสต์ศาสนา หาสามารถสอนตรง อวดอ้างตรงไปตามพระคัมภีร์ได้ไม่ ในที่สุดกระแสหลักแห่งคริสต์ศาสนา โดยเฉพาะคาทอลิก ภายใต้การปกครองของรัฐศาสนาวาติกัน มีจอห์น ปอล ที่ 2 เป็นประมุข จึงเบี่ยงเบนมา ทำศาสนาให้เป็นอาณาจักร เป็นการเมืองขึ้นมาอย่างเต็มรูปแบบ แทนที่จะชูธงอันเป็นอุดมการณ์ทางศาสนา ก็กลับชูธงการเมือง และเลือกปฏิบัติเฉพาะหมู่กลุ่มของตน ไม่เป็นสากลอีกต่อไป โดยเลือกเข้าข้าง ประชาธิปไตย ฝ่ายเดียว จึงมิสะท้อนความเป็นธรรมสากล ไม่มีเมตตา หรือพรหมวิหารธรรมที่จะให้แด่มวลมนุษย์ในระบอบการปกครองระบอบอื่น อันเบี่ยงเบนไปจากหลักสากลศาสนา ที่ประทานความเมตตาเป็นอัปมัญญา คือไม่จำกัดแด่คนทั้งหลาย เมื่อศาสนามิได้ถือหลักอัปมัญญาเมตตาที่จะต้องแผ่ไปในที่ใด ประเทศใด ในโลกโดยทั่วถึงไม่จำกัด จึงเป็นเบื้องต้นเป็นต้นกำเนิดแห่งความยุ่งยากของสันติภาพของโลกขึ้นมาในบัดนี้แล้ว
ในขณะเดียวกันกับที่มีคริสต์สาวกในบางส่วน เมื่อไม่อาจสอนอวดอ้างตรงไปตรงมาตามพระคัมภีรได้ ก็กลับหันมาสู่แนววิทยาศาสตร์มากขึ้น ที่น่าสังเกตก็คือชาวคริสต์ไทยในสังคมไทยส่วนหนึ่ง ที่กลับประพฤติตนไปได้อย่างดีกับแนวทางคำสอนของพระพุทธศาสนา สามารถซึมซับเอาคำสอนในพระพุทธศาสนา ส่วนที่เป็นหลักกรรม หลักความศรัทธา และ หลักวิทยาศาสตร์เบื้องต้น ๆ ไปใช้ได้ คริสต์ในไทยแท้ที่จริงจึงเป็นพุทธอีกแบบหนึ่งนั่นเอง หากแต่เป้าหมายนโยบายและอุดมการณ์ ถูกควบคุมให้เป็นไปในแนวการเมืองแบบคริสต์ใหม่ คือพร้อมที่จะชูธงประชาธิปไตย ไปสนับสนุนการเมืองที่ใดก็ได้ หากแต่ชาวคริสต์ไทยหาได้รู้ถึงแผนการณ์ทางการเมืองชนิดนี้ไม่ นอกจากนี้แล้ว อุดมการณ์ที่แท้จริงของคริสต์ศาสนา ตามพระคัมภีร์ของคริสต์ศาสนาจริง ๆ เป็นเช่นใด ดูเหมือนชาวไทยคริสต์จักหามีความเข้าใจโดยลึกซึ้งไม่
ฉะนั้น ปรากฎการณ์ดังกล่าวมาข้างต้น คือปรากฎการณ์ที่ศาสนาและการเมืองเริ่มเข้ามารวมตัวกัน และมีแนวโน้มว่าจะเหนียวแน่นแยกกันไม่ออก โดยระบบของศาสนาดั้งเดิมเอง เช่นอิสลาม หรือโดยเหตุที่เปลี่ยนอุดมการณ์ทางศาสนาใหม่ เช่นคริสต์คาทอลิก ก่อเกิดกระแสพลังที่ขัดแย้งกันอย่างแรงของศาสนาสากลขึ้นในโลก อันจะเป็นเหตุให้โลกปั่นป่วนอย่างยิ่งใหญ่ต่อไปในวันข้างหน้า ฉะนั้น โลกจะต้องมองหาพลังอีกพลังหนึ่งที่เป็นกลาง ที่สามารถดำรงคำสอนของศาสนาสากลไว้ได้ มาเพื่อประสานพลังส่วนที่ขัดแย้งของศาสนาสากลนี้ ให้บังเกิดสันติภาพของโลกขึ้นมา
และนั่นก็คือบทบาทที่เหมาะสมของศาสนาพุทธ
และสำหรับศาสนาพุทธ อย่างที่ปรากฎอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ แม้จะกำลังเผชิญจุดเสื่อมที่คล้ายคลึงกันกับศาสนาอื่น คือค่อยละอุดมการณ์ที่แท้จริงของพระพุทธศาสนาไป แม้จะยังไม่ถึงขนาดที่อาจเรียกได้ว่าเปลี่ยนอุดมการณ์ใหม่เป็นอย่างเดียวกับการเมือง ก็ตาม แต่ก็เริ่มกลายเป็นพุทธราชการไปส่วนหนึ่ง ที่ค่อยลิดรอนวิถีทางแห่งอุดมการณ์ดั้งเดิมของพระพุทธศาสนาลงไปตามลำดับ นั่นหมายความรวมไปถึงการลิดรอนวิถีทางพรหมจรรย์ไปตามลำดับด้วย และมีแนวโน้มว่าจะเข้าไปรับใช้ราชการยิ่งขึ้นมากกว่าการรับใช้อุดมการณ์ทางศาสนาเอง การที่เกิดการรวมอุดมการณ์ทางศาสนาเข้ากับอุดมการณ์ทางการเมืองนี้ ในที่สุดแล้วศาสนาก็จะถูกครอบโดยการเมือง รับใช้อุดมการณ์ทางการเมือง คือการแสวงหาอำนาจของชาวมนุษย์ ที่มีจุดมุ่งหมายทางโลกธรรมคือการสนองตัณหาและสำนึกเถื่อนของมนุษย์ แล้วจะค่อยก่อเกิดการเผชิญหน้าและการขัดแย้ง ระหว่างอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างที่ได้มีอิทธิพลของศาสนาเข้าหนุนหลังทั้งสองฝ่าย และจะมีขนาดและน้ำหนักที่ยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ในโลก จนท้ายที่สุด การแตกหักจึงเป็นที่คาดหวังว่าจะเกิดขึ้น และ อาจจักกลายเป็นสงครามศาสนาล้วน ๆ ไปได้ แต่แล้วในที่สุดศาสนาสากลก็จักถูกทำลายลง สิ้นสภาพความเป็นศาสนา อันเป็นเหตุให้ศาสนาสากลย่อยยับลง ตราบไปสู่ความสิ้นสภาพความเป็นศาสนาไป
เพราะยังมีสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ก่อเกิดขึ้นมาพร้อมกับอุดมการณ์การเมืองแบบใหม่ของประเทศมหาอำนาจ เพื่อการบั่นทอนทำลายศาสนาสากลหรือทำลายอุดมการณ์ของศาสนาต่าง ๆ ทุก ๆ ศาสนาในโลกโดยตรงอีกแรงหนึ่งนั้นก็คือ วัตถุนิยม ซึ่งมีต้นเหตุมาจาก วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่เจริญไป วัตถุก็ เจริญเติบโตไปตาม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ มีแต่สร้างความเจริญทางวัตถุล้วน ๆ วัตถุจึงมีแต่มโหฬารยิ่งขึ้น แนวคิดของมนุษย์ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง โดยมองสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่ารูปธรรม หรือ นามธรรม เป็นวัตถุไปหมด คนก็หลงและตื่นไปตาม ๆ กันจนยากที่จะฉุดรั้ง เมื่อกลายเป็นศาสนาขึ้นมา ชื่อว่า ศาสนาวัตถุนิยม ก็จักกลายเป็นศาสนาใหม่ที่มีสถานภาพเป็น ศาสนา ทุกประการ ก็จะค่อยบ่อนทำลายศาสนาสากลไปตามลำดับ และนำมนุษย์ไปสู่ความป่าเถื่อน อนารยธรรมยิ่งขึ้นไป
เราจะหวังการกลับคืนมาของศาสนาสากลได้อย่างไร นั้น นับว่าเป็นสิ่งที่หวังได้ยากยิ่ง เพราะตัวมนุษย์เองที่เขลา ด้อย มีอวิชชา สำหรับศาสนาพุทธ น่ามองดู ลองมองสาระสำคัญในตัวศาสนาเอง ที่เป็นวิทยาศาสตร์ และในฐานะที่เป็นศาสนาสากล ย่อมยืนอยู่บนจุดหนึ่ง ที่มนุษย์ทุกยุคสมัย ทุกลัทธิความเชื่อ และทุกศาสนา อาจเข้าถึงได้ด้วยสาระสัจธรรมที่สามารถพิสูจน์ได้โดยธรรมชาติ ที่สามารถยืนอยู่ได้ทุกกาลสมัยโดยไม่อิงการเมือง นั่นคือพระพุทธศาสนา ที่สามารถดำรงเมตตาพรหมวิหารธรรม อันเป็นอัปมัญญาแด่ชนทั้งหลายไม่จำกัดเชื้อชาติ ไม่จำกัดประเทศ ไม่จำกัดระบอบการปกครอง หรือระบบการเมืองใดใด ที่นำคนทั้งหลายไปสู่ความรู้แจ้งพร้อมความพอ อันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับที่องค์พระศาสดาสอนอย่างไร บรรลุอย่างไร พระสาวกก็อาจรู้ตาม บรรลุได้ตามไปอย่างนั้น ได้ความพอ ได้ความอุดมสมบูรณ์สูงสุดจึงสามารถแยกจากการเมืองได้โดยเด็ดขาด นั่นคือเป็นโลกอีกโลกหนึ่งของตนได้ อย่างปลอดล้วนจากการเมืองใดใดในโลก และบุคคลผู้รู้แจ้งเหล่านั้นก็เป็นมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์ที่ศาสนาพุทธระบุว่า มนุษย์อรหันต์ หรือ พระอรหันต์ ที่รู้แจ้งไปหมดทุกปัญหาของชีวิต
เมื่อเป็นเช่นนี้ โลกเราน่าจะมีความหวังอยู่ที่การกลับคืนมาของอุดมการณ์ที่แท้จริงของศาสนาพุทธก่อน แล้วศาสนา ลัทธิธรรมเนียมสากลอื่นค่อยฟื้นตามมา ศาสนาพุทธ หลักธรรมของศาสนาพุทธ นี่เอง ที่น่าจักทำหน้าที่ประสานการศาสนาสากลทั้งหลาย ด้วยสติปัญญาพุทธ มิให้สงครามศาสนาครั้งยิ่งใหญ่ในโลกบังเกิดขึ้น
หากแต่คนไทย ชาวพุทธ หรือพระสงฆ์สาวกทั้งหลาย ได้เข้าใจความสำคัญของศาสนาพุทธเพียงไหนหรือไม่ ในระบบหมู่สงฆ์ปัจจุบัน มีการบำเพ็ญเพียร ที่ตรงเป้าหมายและอุดมการณ์สูงสุดของพระพุทธศาสนา อันเป็นเหตุก่อกำเหนิดบุคคลผู้รู้ คือมนุษย์อรหันต์หรือไม่ ได้มีชาวพุทธจำนวนสักเท่าไร ที่ทรงภูมิปัญญาเบื้องสูงที่อาจจะมองไกลไปถึงวิกฤตศาสนาสากลในโลกนี้ จนเห็นข้อสรุปชัดเจนว่า มีแต่สร้างอุดมการณ์แห่งพระพุทธศาสนาที่แท้ให้รุ่งเรืองขึ้นเท่านั้น และ คณะสงฆ์ จะต้องรับใช้อุดมการณ์อันสูงสุดของพระพุทธศาสนา มิใช่รับใช้ราชการ หรือเพียงรับใช้ผลประโยชน์ของสงฆ์ หรือหมู่สงฆ์เอง อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
จึงจักอาจระงับยับยั้งหายนะแห่งโลก อันเนื่องมาจากวิกฤตทางศาสนาสากล ได้.
ธรรมสามี
พ.ย.-ธ.ค. 2542