ReadyPlanet.com
dot
dot dot
bulletBUDDHISM TO THE NEW WORLD ERA
bullet1 Thai-ไทย
bullet2.English-อังกฤษ
bullet3.China-จีน
bullet4.Hindi-อินเดีย
bullet5.Russia-รัสเซีย
bullet6.Arab-อาหรับ
bullet7.Indonesia-อินโดนีเซีย
bullet8.Japan-ญี่ปุ่น
bullet9.Italy-อิตาลี
bullet10.France-ฝรั่งเศส
bullet11.Germany-เยอรมัน
bullet12.Africa-อาฟริกา
bullet13.Azerbaijan-อาเซอร์ไบจัน
bullet14.Bosnian-บอสเนีย
bullet15.Cambodia-เขมร
bullet16.Finland-ฟินแลนด์
bullet17.Greek-กรีก
bullet18.Hebrew-ฮีบรู
bullet19.Hungary-ฮังการี
bullet20.Iceland-ไอซ์แลนด์
bullet21.Ireland-ไอร์แลนด์
bullet22.Java-ชวา
bullet23.Korea-เกาหลี
bullet24.Latin-ละติน
bullet25.Loa-ลาว
bullet26.Finland-ฟินแลนด์
bullet27.Malaysia-มาเลย์
bullet28.Mongolia-มองโกเลีย
bullet29.Nepal-เนปาล
bullet30.Norway-นอรเวย์
bullet31.persian-เปอร์เซีย
bullet32.โปแลนด์-Poland
bullet33.Portugal- โปตุเกตุ
bullet34.Romania-โรมาเนีย
bullet35.Serbian-เซอร์เบีย
bullet36.Spain-สเปน
bullet37.Srilanga-สิงหล,ศรีลังกา
bullet38.Sweden-สวีเดน
bullet39.Tamil-ทมิฬ
bullet40.Turkey-ตุรกี
bullet41.Ukrain-ยูเครน
bullet42.Uzbekistan-อุสเบกิสถาน
bullet43.Vietnam-เวียดนาม
bullet44.Mynma-พม่า
bullet45.Galicia กาลิเซียน
bullet46.Kazakh คาซัค
bullet47.Kurdish เคิร์ด
bullet48. Croatian โครเอเซีย
bullet49.Czech เช็ก
bullet50.Samoa ซามัว
bullet51.Nederlands ดัตช์
bullet52 Turkmen เติร์กเมน
bullet53.PunJabi ปัญจาบ
bullet54.Hmong ม้ง
bullet55.Macedonian มาซิโดเนีย
bullet56.Malagasy มาลากาซี
bullet57.Latvian ลัตเวีย
bullet58.Lithuanian ลิทัวเนีย
bullet59.Wales เวลล์
bullet60.Sloveniana สโลวัค
bullet61.Sindhi สินธี
bullet62.Estonia เอสโทเนีย
bullet63. Hawaiian ฮาวาย
bullet64.Philippines ฟิลิปปินส์
bullet65.Gongni-กงกนี
bullet66.Guarani-กวารานี
bullet67.Kanada-กันนาดา
bullet68.Gaelic Scots-เกลิกสกอต
bullet69.Crio-คริโอ
bullet70.Corsica-คอร์สิกา
bullet71.คาตาลัน
bullet72.Kinya Rwanda-คินยารวันดา
bullet73.Kirkish-คีร์กิช
bullet74.Gujarat-คุชราด
bullet75.Quesua-เคซัว
bullet76.Kurdish Kurmansi)-เคิร์ด(กุรมันซี)
bullet77.Kosa-โคซา
bullet78.Georgia-จอร์เจีย
bullet79.Chinese(Simplified)-จีน(ตัวย่อ)
bullet80.Chicheva-ชิเชวา
bullet81.Sona-โซนา
bullet82.Tsonga-ซองกา
bullet83.Cebuano-ซีบัวโน
bullet84.Shunda-ชุนดา
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet86.Sesotho-เซโซโท
bullet87.NorthernSaizotho-ไซโซโทเหนือ
bullet88.Somali-โซมาลี
bullet89.History-ประวัติศาสตร์
bullet90.Divehi-ดิเวฮิ
bullet91.Denmark-เดนมาร์ก
bullet92.Dogry-โดกรี
bullet93.Telugu-เตลูกู
bullet94.bis-ทวิ
bullet95.Tajik-ทาจิก
bullet96.Tatar-ทาทาร์
bullet97.Tigrinya-ทีกรินยา
bullet98.Check-เชค
bullet99.Mambara-มัมบารา
bullet100.Bulgaria-บัลแกเรีย
bullet101.Basque-บาสก์
bullet102.Bengal-เบงกอล
bullet103.Belarus-เบลารุส
bullet104.Pashto-พาชตู
bullet105.Fritian-ฟริเชียน
bullet106.Bhojpuri-โภชปุรี
bullet107.Manipur(Manifuri)-มณีปุระ(มณิฟูรี)
bullet108.Maltese-มัลทีส
bullet109.Marathi-มาราฐี
bullet110.Malayalum-มาลายาลัม
bullet111.Micho-มิโช
bullet112.Maori-เมารี
bullet113.Maithili-ไมถิลี
bullet114.Yidsdish-ยิดดิช
bullet115.Euroba-ยูโรบา
bullet116.Lingala-ลิงกาลา
bullet118.Slovenia-สโลวีเนีย
bullet119.Swahili-สวาฮิลี
bullet120.Sanskrit-สันสกฤต
bullet121.history107-history107
bullet122.Amharic-อัมฮาริก
bullet123.Assam-อัสสัม
bullet124.Armenia-อาร์เมเนีย
bullet125.Igbo-อิกโบ
bullet126.History115-ประวัติ 115
bullet127.history117-ประวัติ117
bullet128.Ilogano-อีโลกาโน
bullet129.Eve-อีเว
bullet130.Uighur-อุยกูร์
bullet131.Uradu-อูรดู
bullet132.Esperanto-เอสเปอแรนโต
bullet133.Albania-แอลเบเนีย
bullet134.Odia(Oriya)-โอเดีย(โอริยา)
bullet135.Oromo-โอโรโม
bullet136.Omara-โอมารา
bullet137.Huasha-ฮัวซา
bullet138.Haitian Creole-เฮติครีโอล
bulletคำบูชาพระรัตนตรัย ทำวัตรแปล เช้า-เย็น
bulletChart Showing the Process
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2540 - 2566
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 1
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 2
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี บุคคลที่ 1 - 188 ปัจจุบัน
bulletหนังสือพิมพ์ดี
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 1
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 2
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 3
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 4
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 5
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 6
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 7
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 8
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 9
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 10
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 11
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 12
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 13
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 14
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 15
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 16
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 17
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 18
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 19
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 20
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 21
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 22
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 23
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 24
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 25
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 26
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 27
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 28
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 29
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 30
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 31
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 32
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 33
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 34
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 35
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 36
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 37
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 38
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 39
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 40
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 41
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 42
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 43
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 44
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 45
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 46
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 47
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 48
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 49
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 50
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 51
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 52
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 53
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 54
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 55
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที่ 56
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 57
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 58
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 59
bulletTo The World
bulletENGLISH
bulletUSA
bulletChina
bulletIndia
bullet Mynmar
bullet Cambodia
bullet Loas
bulletSri Lanka
bulletMalaysia
bulletKorea
bulletA Sharp Turn of Believes : Iresearch Iwrite Iread
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 1
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 2
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 3
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 4
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 5
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 6
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 7
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 8
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 9
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 10
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 11
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 12
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 13
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 14
bulletMystery Report 15
bulletMystery Report 16
bulletMystery Report 17
bulletMystery Report 18
bulletMystery Report 19
bulletMystery Report 20
bulletMystery Report 21
bulletMystery Report 22
bulletMystery Report 23
bulletMystery Report 24
bulletMystery World Report 25
bulletศึกษาโลกลี้ลับ 26
bulletเฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว วิเคราะห์ทุกปัญหาในโลกมนุษย์ด้วยสติปัญญาและเหตุผลวิทยาศาสตร์จากนสพ.ดี
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2536
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2537
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2538
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2539
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2540
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2541
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2542
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2543-2545
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2545-2549
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2549-2550
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2550-ส.ค.2551
bulletเฝ้าดูฯ ส.ค.-ก.ย.2551
bulletเฝ้าดูฯ ก.ย.2551- ธ.ค. 2551
bulletเฝ้าดูฯสำนวนพัชรา กอปรทศธรรม
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 16-27
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 29
bulletบทความใหม่ เม.ย.-พ.ค.2552
bulletพุทธธรรมเพื่อทางดับทุกข์
bulletทฤษฎีการดับทุกข์ทางจิต วิปัสสนากรรมฐานโดยการทำงาน(สำนวนปรับปรุงใหม่)
bulletประวัติพัชรา กอปรทศธรรม
bulletประวัติการต่อสู้เพื่อการดับทุกข์ ของพัชรา กอปรทศธรรม
bulletอัลบั้มรูป history
bulletนิทานธรรมะประยุกต์ มานุสสาสุระสงคราม 4 ภาค และอื่น ๆ
bulletอัลบั้มรูป ภาพในอดีตและชีวประวัติศาสตร์ที่สวยงาม
bulletจากเวบบอร์ด พูดกันไม่รู้เรื่อง ประชาธิปไตยล้าหลัง
bulletศาสนาสากล การวิเคราะห์ความหมาย
bulletปลอบใจ
dot
รวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์ แนวปฏิรูปคณะสงฆ์อยู่ในบทวิเคราะห์นี้แล้ว
dot
bulletรวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์
dot
สากลจักรวาล สากลศาสนา แนวคิดศาสนาสำหรับคนยุคใหม่ ผู้ก้าวผิดทางไปสู่สิ่งไร้สาระโดยไม่รู้ตัว
dot
bulletสากล...ศาสนา 1
bulletสากล...ศาสนา 2
bulletสากล...ศาสนา 3
bulletสากล...ศาสนา 4
bulletสากล...ศาสนา 5
bulletสากล...ศาสนา 6
bulletสากล...ศาสนา 7
bulletสากล...ศาสนา 9
bulletสากล...ศาสนา 8
bulletสากล...ศาสนา 10
bulletสากล...ศาสนา 11
bulletสากล...ศาสนา 12
bulletสากล...ศาสนา 13
bulletสากล...ศาสนา 14
bulletสากล...ศาสนา 16
dot
ส่วนข้อมูลสำคัญเพื่อการวิจัยการเมืองไทยยุค คมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
dot
bulletข้อมูลสำคัญยุคคมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่1/26ส.ค.2551
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่2/27ส.ค.2551
bulletใบปลิว อีเมล์ ในหลวงทรงร้องไห้
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 1
bulletในหลวงเพิ่งทราบข่าวฆ่าประชาชน10เมย.53ทรงร้องไห้
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
dot
รวมข่าวม็อบการเมืองสนธิ-จำลอง-ปชป.มิ.ย.51-เม.ย.52 นสพ.
dot
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 2
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 3
bulletรวมข่าวม็อบ30มิ.ย.51-23มี.ค.52
bulletเลือดศรีสะเกษบันทึกเรื่องราวรอบด้านเกี่ยวกับเขาพระวิหาร
bulletรายงานการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศไทยที่ล้มล้างรัฐบาลทักษิณ
bulletหนังสือพิมพ์ดี ของฟรีให้เปล่ามา20ปีแล้วทั้งเอกสารและอินเทอเนท
bulletหนังสือพิมพ์ดี ( อินเทอเนต ) เล่ม 1 - 44 - ล่าสุด
bulletหน้าที่เก็บไว้
bulletมูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร)
bulletวัดมหาพุทธาราม ศรีสะเกษ บันทึกเหตุการณ์
bulletสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดศรีสะเกษแห่งที่ 1
bulletเกี่ยวกับเวบไซต์ของเรา เราทำเพื่อปัญญาชนโดยแท้
bulletรวมกระทู้เด็ดจากกระดานถามตอบ
bulletคาถาอาคมไสยศาสตร์
bulletกวีนิพนธ์ใหม่
bulletศูนย์ปฏิญญาณละเลิกอบายมุข บัญชีที่ 1- 4


พุทธธรรมเพื่อทางดับทุกข์

 

 01  พุทธธรรมเพื่อทางดับทุกข์

      แสงสว่างนำทางผู้ที่กำลังเจ็บป่วยทางจิตใจ

 

  • พัชรา  กอปรทศธรรม

            มูลนิธิพระเทพวรมุนี (เสน ปญฺญาวชิโร)

            วัดมหาพุทธาราม  อำเภอเมือง  จังหวัดศรีสะเกษ

            www.newworldbelieve.com

            www.newworldbelieve.net

 

 

เมื่อ 10 ก.ย. 2560 มีคลิกเข้าชมรายการนี้แล้ว  114,266 คลิก
มีการปรับปรุงรายการนี้ใหม่ในชื่อว่า  ทฤษฎีการดับทุกข์ทางจิต 
วิปัสสนากรรมฐานโดยการทำงาน โปรดคลิกตามไปดูได้เลยครับ
(บก.)

 

********************************************************************************************

 

00    สารบาญ               

01   พุทธธรรมเพื่อทางดับทุกข์ แสงสว่างนำทางผู้ที่กำลังเจ็บป่วยทางจิตใจ

02   แม้หนทางจะยาวไกลเพียงใด  คงไม่ยากสำหรับผู้มีความพากเพียร

03   คำนำ

1     บทความพิเศษ  จากงานวิจัยของนักจิตวิทยาฝรั่ง                            

1.1  หูแว่ว เห็นภาพหลอนในจิตเป็นอาการของคนโรคจิตจริงหรือ?           

1.2  ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองในหัว คนอื่นก็เคยเป็นถือเป็นเรื่องปกติ   

1.3  ทำไมคนที่ได้ยินเสียงในจิต เห็นภาพหลอนจึงมีสุขภาพจิตปกติ      

1.4 ทำไมคนที่ได้ยินเสียงในจิตหรือเห็นภาพหลอนจึงกลายเป็นคนป่วยทางจิต 

1.5  ผู้ป่วยทางจิตสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยความรู้                                  

1.6  เมื่อหมอเข้าถึงวิชชา  ก็จะสามารถถอนอวิชชาได้                          

1.7  การสร้างเหตุปัจจัยที่ถูกต้องสามารถเข้าถึงความดับทุกข์ได้จริง      

2     ธรรมวิจัยเรื่อง  คนทรงเจ้า

2.0   วัตถุประสงค์

2.1 เหตุที่มีองค์เทพ                                                                                                 

2.2  ไม่เคยปรากฏพระพุทธพจน์บาลีตามคำกล่าวอ้าง                   

2.3  มนุษย์ผู้มีองค์เทพแฝงอยู่มีลักษณะอย่างไร                                               

2.4  คนทรงเจ้ามีลักษณะคล้ายคนป่วยทางจิต                                 

2.5  องค์เทพตามความเชื่อของคนทรงเจ้า                                        

2.6  ตามหลักวิทยาศาสตร์คนทรงเจ้าคืออะไร                                

2.7  คนทรงเจ้ามักมีปัญหาในการดำเนินชีวิต                                  

3     พระพุทธพจน์น่ารู้

3.1  โลกที่กำลังมัวเมาก็ยังสนใจในธรรมของพระตถาคต                  

3.2  อธิบายพระพุทธพจน์                                                                   

    ลานกวีธรรม

4.1  เป็นอยู่ด้วยจิตว่าง

4.2  เราจะบิน

    บรรณานุกรม

 

          

 

 

 

                                       02 แม้หนทางจะยาวไกลเพียงใด

                                      คงไม่ยากสำหรับผู้มีความพากเพียร  

 

 

                             พุทธธรรมคุณค่าล้ำ                  ฝึกฝน  ไว้นา

                             สัตบุรุษยินยล                         ยิ่งใกล้

                             สนิทเสน่ห์มรรคผล                   เป็นเพื่อน  ใจนา

                             แม้ฝ่ามัจจุไซร้                        ไป่คร้ามยำเกรง

 

                             ถือตัวตนมั่นไว้                        ยังเขลา    

                             หลงโง่ว่าตัวเรา                        เที่ยงแท้

                             พรานติดบ่วงนานเนา                ไกลห่าง สุขนา

                             ใครเข่นมารพ่ายแพ้                  แน่วแหน้นิพพาน

 

·         กาขาว

 

 

 

 

 

                                                                                                                03 คำนำ

 

ปัจจุบันประเทศไทยกำลังประสบปัญหา สถิติของผู้ป่วยทางจิตมีแนวโน้มจะทวีสูงยิ่งขึ้น และผู้ป่วยทางจิตเวชจำนวนมากผ่านประสบการณ์การพยายามฆ่าตัวตายมาหลายครั้ง  นับวันอัตราการคิดฆ่าตัวตาย  หรือลงมือฆ่าตัวตายมีจำนวนมาก  หากไม่สามารถหาวิธีการแก้ไขปัญหาให้ผู้ป่วยได้ตรงกับสาเหตุแห่งทุกข์   ก็ย่อมไม่สามารถดับทุกข์ได้จริง   จะส่งผลให้มีสุขภาพจิตที่อ่อนแอและคิดสั้นในที่สุด

 

หนังสือเล่มนี้จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์         เพื่อจะนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับหลักความเชื่อที่เป็นเหตุเป็นผล อย่างเป็นวิทยาศาสตร์        อันเป็นแนวความคิดที่สนับสนุน ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทางสติปัญญา      นำพามนุษยชาติพ้นไปจากความโง่เขลา    ปัญหาทั้งหลายที่เกิดกับสภาพจิตใจ  สามารถหาทางออกได้ด้วยความรู้ที่ถูกต้อง อันจะส่งผลให้มีสุขภาพจิตที่เข้มแข็ง ซึ่งหลักคำสอนในพระพุทธธรรมได้ให้องค์ความรู้ที่เป็นทางออกแก่มนุษยชาติ  แต่ก็ยังมีมนุษยชาติจำนวนมากที่ยังไม่เข้าถึงองค์ความรู้นั้นจึงยังหาทางออกไม่ได้ ต้องพบกับสภาพจิตใจที่ทุกข์ทรมานต่อไปไม่รู้จบ   

 

ในฐานะที่ข้าพเจ้า  เคยพบกับความทุกข์ทรมานทั้งทางกายและทางใจ อย่างแสนสาหัส  พยายามแสวงหาวิธีการดับทุกข์ด้วยวิธีการต่างๆนานา  แต่ก็ไปสุดที่ทางตัน  ไม่สามารถพบทางออกได้     จนคิดสั้นทำร้ายตัวเองมาแล้ว     และมิใช่เฉพาะข้าพเจ้าเท่านั้น  แต่ยังมีบุคคลในครอบครัวที่มีสภาพไม่แตกต่างกัน      ดังนั้นเมื่อข้าพเจ้าได้พบทางออกแล้ว  จึงใคร่จะนำความรู้นั้นมานำเสนอเพื่อเป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติ         อีกทั้งเป็นการเผยแผ่หลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า      ผู้เป็นบรมครูด้านปรัชญาและวิทยาศาสตร์ทางจิต   ว่าศาสตร์ที่พระองค์ทรงค้นพบและนำมาประกาศเปิดเผยไว้ เป็นองค์ความรู้สูงสุดที่สามารถนำแสงสว่างแห่งปัญญามาสู่มนุษยชาติได้จริง  มิใช่ยากเหลือวิสัยที่มนุษย์ธรรมดาๆ(ที่มีความเพียร)จะปฏิบัติตามได้  เพราะความทุกข์เป็นธรรมดาที่ทุกชีวิตต้องประสบ  การเข้าใจธรรมชาติของความทุกข์ต่างหาก  ที่ทำให้มนุษย์อยู่กับความทุกข์ได้โดยไม่ถูกเผาลน  ก็ย่อมมีผลที่ประจักษ์คือการดับทุกข์ทางจิตได้จริง   

 

หนังสือเล่มนี้   อาจมีบทวิเคราะห์ที่อาจจะขัดแย้งกับหลักความเชื่อหรือทฤษฎีของคนบางกลุ่มสาขาอาชีพ       ซึ่งผู้เขียนมิได้มีเจตนาจะลบหลู่หรือดูหมิ่นแต่ประการใด     เพียงแต่ต้องการความชอบธรรมในการนำเสนอความรู้ที่ถูกต้อง   เพื่อขจัดความไม่รู้ต่อผู้ที่กำลังแสวงหาทางดับทุกข์เท่านั้น

 

จึงหวังว่า      หนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่กำลังแสวงหาทางดับทุกข์  และทำให้ท่านเข้าใจคำสอน    ในพระพุทธศาสนาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์มากยิ่งขึ้น  

 

·         พัชรา  กอปรทศธรรม

                                  ธันวาคม  2549  

 

 

 

 

 

 

 1  บทความพิเศษ งานวิจัยของจิตแพทย์ฝรั่ง   

 1.1 หูแว่ว  เห็นภาพหลอนในจิต  เป็นอาการของคนโรคจิตจริงหรือ ?

 

การที่ข้าพเจ้าตัดสินใจเขียนบทความเรื่องนี้  เนื่องจากได้ยินข่าวจากทีวีบ้าง  หนังสือพิมพ์บ้าง  ว่ามีคนไข้โรคจิตเกิดอาการคลุ้มคลั่งคิดฆ่าตัวตายด้วยวิธีการต่างๆ     นอกจากนี้สถิติของผู้ป่วยโรคจิตมีแนวโน้มที่จะทวียิ่งขึ้นเรื่อยๆ   ไม่มีทีท่าว่าจะรักษาเยียวยาให้หายขาดได้     และบังเอิญวันนี้ได้อ่านบทความ นำเสนอเกี่ยวกับผลการวิจัยของจิตแพทย์ฝรั่ง  จากหนังสือพิมพ์มติชน  ฉบับวันศุกร์ที่  27   ตุลาคม  2549   ข้าพเจ้าเห็นว่าบทความดังกล่าวมีข้อสรุปที่น่าสนใจมากโดยมีสาระสำคัญดังนี้

 

 1.2  ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองในหัว คนอื่นก็เคยเป็น ถือเป็นเรื่องปกติ

นักจิตวิทยาฝรั่งเชื่อว่า  การได้ยินเสียงในหัวเป็นเรื่องปกติ     จากผลการศึกษาในเนเธอร์แลนด์  พบว่า  ในทุก  25  คน  จะมีคนเป็นแบบนี้  1  คน  ขณะที่นักวิจัยอังกฤษคิดว่าการได้ยินเสียงในหัวไม่ใช่อาการป่วยทางจิตอย่างที่เคยเชื่อกัน  ไม่จำเป็นต้องรับการรักษา

 

คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยแมนเชตเตอร์ในอังกฤษ  ต้องการศึกษาว่า  เหตุใดบางคนที่ได้ยินเสียงในหัว     จึงไม่คิดว่าเป็นปัญหา       ขณะที่บางคนกลับซึมเศร้า    และต้องขอความช่วยเหลือจากแพทย์     การได้ยินเสียงในหัว      ไม่ใช่ต้นตอของปัญหา แต่ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลผู้นั้นตีความสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร ตามประสบการณ์และความเชื่อของแต่ละคน

 

คณะนักวิจัยระบุว่า    คนที่พยายามเอาชนะบาดแผลในใจมองว่าตัวเองไร้ค่าอ่อนแอ  หรือคนก้าวร้าวมักตีความเสียงที่ได้ยินในหัวว่าเป็นเรื่องร้าย   จากผลการศึกษาพบว่า  คนที่เชื่อว่าการได้ยินเสียงในหัวแสดงว่าป่วย  ยิ่งทำให้คนเหล่านั้นซึมเศร้า  ไม่กล้าบอกเล่าให้คนอื่นฟัง  และกลายเป็นคนอ่อนแอ

 

แต่บทความดังกล่าว มิได้อธิบายถึงความเป็นเหตุเป็นผลตามหลักวิชาการ  ว่าทำไมคนที่ได้ยินเสียงในหัวบางคนจึงมีสุขภาพจิตปกติ  แต่บางคนที่มีอาการแบบเดียวกันกลับป่วยเป็นโรคจิตที่รักษาไม่หาย และทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น  จนบางคนควบคุมตนเองไม่ได้  ต้องฆ่าตัวตายไปก็ไม่น้อยโดยเฉพาะผู้ป่วยทางจิตเภทในประเทศไทย

 

ในฐานะที่ผู้เขียน   ได้เคยพบกับปรากฏการณ์ทางจิตเช่นนี้มาก่อน  มีอาการหูแว่วเห็นภาพหลอน ในขณะนั้นไม่สามารถครองสติสัมปชัญญะไว้ได้  ไปรักษากับจิตแพทย์ก็เน้นแต่การให้ยาเป็นหลัก ทำให้ตาค้างนอนไม่หลับ ทุกข์หนักเข้าจึงคิดสั้นฆ่าตัวตาย  แต่โชคดีได้ความรู้ที่ถูกต้องเป็นวิทยาศาสตร์ จึงสามารถดับทุกข์ได้จริง ปัจจุบันมีสภาวะจิตที่เข้มแข็งมาก สามารถเผชิญกับอุปสรรคต่างๆในชีวิตได้ทุกอย่าง  เพราะเห็นเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต

 

ทำไมคนที่ได้ยินเสียงในจิต เห็นภาพหลอน จึงมีสุขภาพจิตปกติ ? 

 

 1.3  ทำไมคนที่ได้ยินเสียงในจิต  เห็นภาพหลอนต่างๆ    จึงมีสุขภาพจิตเป็นปกติ  และในทางตรงกันข้าม    จะเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งไม่หวาดหวั่นแม้กระทั่งสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็น

 

ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาอธิบายว่า  ผู้ที่ฝึกวิปัสสนากรรมฐานจนจิตเข้าถึงสมาธิขั้นอุปจารสมาธิ    จะสามารถเห็นนิมิตหรือมโนภาพต่างๆได้ หูอาจได้ยินเสียงจากโลกลี้ลับ คล้ายๆมีโทรจิตติดต่อกับโลกลี้ลับต่างมิติจากโลกมนุษย์ได้  ดังนั้นถ้าบุคคลนั้นมีสติสัมปชัญญะ  มีจิตตั้งมั่นเป็นอุเบกขา  จะสามารถรับรู้มโนภาพที่เห็น หรือรับรู้เสียงที่ได้ยินโดยไม่เกิดความชอบใจหรือไม่ชอบใจต่ออารมณ์นั้น  จิตจะเดินไปตามกระบวนธรรมเกิดความรู้สภาพความคิดปรุงแต่งว่า  เกิดขึ้น  ตั้งอยู่และดับไปเป็นธรรมดา ความคิดและ อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนั้นไม่มีตัวตนให้ยึดมั่นถือมั่น ภาวะเช่นนี้จะทำให้จิตว่างปลอดโปร่ง  จะเกิดผลดีต่อการดำเนินชีวิตยิ่งขึ้น เพราะทำให้จิตใจเข้มแข็ง  สามารถอดทนต่ออารมณ์ที่น่าปรารถนา ไม่เพลิดเพลินหลงระเริงไปตามอารมณ์นั้น  และในขณะเดียวกันเมื่อพบกับอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา จิตก็จะไม่หวั่นไหว หวาดกลัวหรือต่อต้านอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนั้น 

 

 

  1.4  ทำไมคนที่ได้ยินเสียงในจิต  หรือเห็นภาพหลอนจึงป่วยทางจิต ?

ทำไมคนที่ได้ยินเสียงในจิต    หรือเห็นภาพหลอนจึงกลายเป็นคนป่วยทางจิต  เพราะปฏิบัติผิดทางต่อธรรมชาติของจิต  เช่น  เมื่อเกิดความคิดที่ไม่ดีหรือคิดร้าย  จิตจะกลัวว่าเป็นบาปบ้าง  คิดฟุ้งซ่านก็รู้สึกหงุดหงิดขัดเคือง  คิดหวาดกลัว  คิดท้อแท้สิ้นหวัง    จิตที่เคยชินจะไม่ชอบ  4

 

ต่ออารมณ์นั้น  จึงคอยแต่จะห้ามจิตไม่ให้คิด จิตก็ยิ่งปรุงแต่งให้ฟุ้งซ่าน ต่อไปอีกหลายเท่าทวีคูณ  บางครั้งเสียงที่ได้ยินจะเพิ่มขึ้นเป็นสิบๆเสียงก็มี และเป็นสาเหตุสำคัญให้ผู้ป่วยคิดสั้นทำร้ายตัวเอง เนื่องจากยิ่งคอยดับทุกข์ก็ยิ่งทุกข์หนักหาทางออกไม่ได้  ในทางธรรมเรียกว่าสมุทัย(เหตุให้เกิดทุกข์) จึงมีผลเป็นความทุกข์  แต่ถ้าดูความคิดเฉๆ  ไม่ต่อต้าน  คิดอะไรอยู่ก็รู้  เป็นการปฏิบัติสัมมาสติ  จิตจะเดินไปสู่มรรค  ผลก็คือเข้าถึงนิโรธหรือความดับทุกข์

 

 บางคนฝึกสมาธิ  ถ้าไปเห็นนิมิตที่น่ากลัว  แล้วเกิดความรู้สึกรำคาญใจไม่ชอบใจ ต้องการกำจัดความคิดหรือนิมิตนั้นให้สูญหายไป จะยิ่งทำให้จิตยึดมั่นว่าความคิด อารมณ์หรือนิมิตนั้นมีตัวมีตนขึ้นมา  ยิ่งเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจต่อต้านอารมณ์นั้นมากเท่าไร  ความคิดปรุงแต่งก็ยิ่งมีตัวตนมากยิ่งขึ้น นานๆเข้ากลายเป็นสิ่งที่หลอกหลอนจิตให้ฟุ้งซ่าน หวาดกลัว  จิตจะหนัก  ประสาทตาแข็ง  นอนไม่หลับ  ปวดศีรษะอย่างรุนแรง  ร่างกายจิตใจอ่อนแอและมักคิดสั้นในที่สุดเพราะหาทางออกไม่ได้      

 

นี่คือสาเหตุที่        ทำไมคนที่ปฏิบัติจิตภาวนาบางคนจึงสติแตก      พบกับสภาวะที่จิตวิปลาสบ่อยๆ        สุดท้ายต้องเข้ารับการบำบัดรักษาอาการป่วยทางจิตอาการเพ้อคลั่ง  จะเป็นไปตามความเชื่อที่จิตสั่งสมไว้         เช่น  บางคนมีจิตหมกมุ่นกับเรื่องทรัพย์สมบัติ  บางคนหมกมุ่นกับความกลัวผีจึงเชื่อว่าถูกผี เข้า   บางคนมีเทพเจ้ามาเข้าทรง ฯลฯ

 

 1.5  ผู้ป่วยทางจิตสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยความรู้

 

ในความจริงแล้ว การที่มนุษย์จะดับทุกข์ทางจิตได้ต้องพบกับมารที่เรียกว่า จิตปรุงแต่ง ทุกคนไม่มีการยกเว้น พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอริยสาวกทั้งในอดีต  ปัจจุบัน ท่านต้องผจญและผ่านมารพวกนี้มาหมดแล้ว ยังได้บอกวิธีเอาชนะมาร ดังที่ปรากฏในหนังสือพุทธธรรม ซึ่งท่านพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุต.โต) นักปราชญ์แห่งวงการพระพุทธศาสนาท่านได้เรียบเรียงไว้  คนที่ปฏิบัติตามก็ผ่านไปได้และมีสภาวาจิตที่เข้มแข็ง แต่จิตแพทย์ไทยส่วนใหญ่(ผู้ที่ไม่รู้จักมาร ไม่เข้าใจธรรมชาติของจิต) ตีความว่าอาการดังกล่าวเป็นอาการของคนที่เริ่มป่วยทางจิต  จึงรักษากันผิดๆถูกๆ  สุดท้ายจากป่วยน้อยกลายเป็นป่วยมาก  ต้องกินยาโรคประสาท  ยาคลายเครียดไปตลอดชีวิต 

 

ผู้ที่เกิดอาการหูแว่ว เห็นภาพหลอน แต่มีสภาพจิตปกติก็เพราะรู้เทคนิคการควบคุมจิตให้มีสติสัมปชัญญะ  ดังนั้นถ้าจะบำบัดผู้ป่วยทางจิตที่เกิดอาการหูแว่ว เห็นภาพหลอนแล้วควบคุมตัวเองไม่ได้ จึงต้องบำบัดให้ตรงกับหลักวิชาการทางจิต คือการมีสติสัมปชัญญะจะช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของจิต  เริ่มต้นด้วยการเจริญสติแบบง่ายๆ  เช่น  ฝึกให้มีจิตใจจดจ่อกับงานที่ทำ มีใจจดจ่อกับการเคลื่อนไหวของตนเองในอริยาบถต่างๆ  เมื่อชำนาญแล้วก็หมั่นสังเกตความรู้สึกนึกคิด  หรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิต  โดยมีความรู้สึกเฉยๆ  ไม่หลงชอบใจเพลิดเพลินไปกับอารมณ์ที่น่าปรารถนา   และไม่ขัดใจรำคาญใจกับอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา   ทำเช่นนี้บ่อยๆ จิตจะเกิดขบวนธรรมแห่งความรู้สภาพความปรุงแต่งจิตตามสภาพที่เป็นจริง 61

 

จิตจะมีกำลัง ถ้าจะให้ผลดีเลิศยิ่งขึ้น จะต้องฝึกฝนจิตให้มีพรหมวิหารธรรม  ได้แก่  ความมีเมตตา  กรุณา  มุทิตา  อุเบกขา  ต่อบุคคลที่อยู่รอบข้าง  เพราะเป็นการปฏิบัติครบถ้วนตามหลักอริยมรรคมีองค์ 8  เมื่อปฏิบัติตามอริยมรรคเป็นเหตุก็ย่อมเกิดอริยผลคือการดับทุกข์ทางจิตได้จริง

 

ข้อควรระวัง  หากผู้ป่วยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่วุ่นวายไม่สงบ หรืออยู่ท่ามกลางคนรอบข้างที่มีสุขภาพจิตไม่ดี   จะทำให้การปฏิบัติไม่ได้ผล   และจะยิ่งบีบคั้นจิตใจให้ทุกข์ทรมานยิ่งขึ้น

 

ข้าพเจ้าเคยอ่านผลงานวิจัย   การรักษาของจิตแพทย์ในยุโรป และสหรัฐอเมริกาหลายท่าน         เขาจดบันทึกผลการบำบัดรักษาคนไข้ด้วยยา แล้วนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบผลการรักษา  ปรากฏว่าคนไข้อาการไม่ดีขึ้น แต่เมื่อไปศึกษาเปรียบเทียบกับคนที่ป่วยและชอบไปวัดสวดมนต์ไหว้พระ ฝึกเจริญสติ หรือไปโบสถ์ คนไข้จะมีอาการดีขึ้น เขาจึงนำวิธีการเจริญสติปัฏฐาน 4  มาฝึกคนไข้ที่มีอาการจิตซึมเศร้า  วิตกกังวล  แล้วจดบันทึกไว้  ปรากฏว่าคนไข้มีอาการดีขึ้นมาก นอกจากนี้แพทย์ในประเทศตะวันตกหลายท่านยังมีความเชื่อว่า  ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้การบำบัดรักษาผู้ป่วยไม่ได้ผล  เป็นผลมาจากการขาดเมตตาจิตของบุคลากรทางการแพทย์เอง  ดังนั้น  จึงได้คิดค้นหาเทคนิควิธีการที่จะฝึกฝนอบรมแพทย์ให้มีเมตตาธรรม  ดังนั้น ในปัจจุบันเทคนิคการฝึกเจริญสติและฝึกสมาธิ จึงได้รับการยอมรับและนำมาสอนในมหาวิทยาลัยแพทย์ในยุโรป และสหรัฐอเมริกาอย่างแพร่หลาย ด้วยหลักวิชาการทางพระพุทธศาสนาได้อธิบายว่าการเจริญสติ จะทำให้ผู้ปฏิบัติมีความรู้สึกตัวทุกขณะที่ทำ  พูด  คิด  มองเห็นความบกพร่องในตนเอง  ลดความมีอัตตาตัวตนลง มีสุขภาพจิตสมบูรณ์เต็มที่  และพร้อมที่จะเข้าใจผู้อื่นมากยิ่งขึ้น     ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญที่ทำให้ความเป็นแพทย์พยาบาลมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

 

งานวิจัยที่กล่าวข้างต้น แสดงให้เห็นว่าจิตแพทย์ฝรั่งเริ่มให้ความสนใจหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเมื่อหมอเข้าถึงวิชชา  ก็จะสามารถถอนอวิชชาได้

 

 1.6   เมื่อหมอเข้าถึงวิชชา ก็จะสามารถเอาชนะอวิชชาได้  คนป่วยทางจิต มักหันไปรักษาทางไสยศาสตร์  เนื่องจากอาการป่วยไม่ดีขึ้น  เมื่อจิตใจท้อแท้หนักเข้า จึงมักถูกคนรอบข้างโน้มน้าวให้ไปรักษาทางไสยศาสตร์  เพราะเชื่อว่าอาการเจ็บป่วยเกิดจากการถูกคุณไสย์บ้าง  ถูกผีเข้าบ้าง  เป็นเหยื่อของพวกเดียรัจฉานวิชชาที่หากินบนความทุกข์ของคนอื่น โดยเฉพาะในกลุ่มชนที่ไม่มีความรู้ หรือมีการศึกษาดีแต่มีความเชื่อที่ขาดเหตุผล  อาการป่วยจะดีขึ้นเพียงไม่นาน ไม่หายขาด  เมื่อพบกับความบีบคั้นทางใจก็จะกลับไปป่วยเช่นเดิมอีก เมื่อไรที่จิตแพทย์สามารถเข้าถึงอริยสัจธรรมได้จริง เมื่อนั้นก็จะเข้าถึงหลักวิชาการชั้นสูงของจิตวิทยา เมื่อรู้แล้ว ก็สามารถรู้วิธีเยียวยารักษาผู้ป่วยทางจิตได้ตรงกับอาการของโรค  เมื่อรักษาโรคที่ต้นเหตุ  โรคก็จะหายได้  ไม่ต้องพึ่งพายาคลายเครียด  ยานอนหลับ   ยากดประสาทเป็นหลักอย่างที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน  และไม่ทำให้คนไข้ต้องหันไปพึ่งคนทรงเจ้า หมอผีหมอเทวดา จนชีวิตต้องพบความทุกข์ไม่รู้จบ

 

 

 

 1.7   การสร้างเหตุปัจจัยที่ถูกต้องสามารถเข้าถึงความดับทุกข์ได้จริง  

การจะรักษาผู้ป่วยทางจิตให้หายขาดได้         ผู้ป่วยเท่านั้นที่จะรักษาตัวเองได้ด้วยสติปัญญา       บุคคลอื่นเป็นเพียงปัจจัยเสริมเท่านั้น  ในความเป็นจริงไม่มีใครสามารถดับทุกข์แทนเราได้  จะได้ผลไม่ได้ผลขึ้นอยู่กับสิ่งต่อไปนี้

 

1.  ผู้ป่วยต้องมีความอดทนสูงมาก       ต่อสภาวะภายในจิตที่ไม่พึงประสงค์ เช่น  คิดฟุ้งซ่านตลอดเวลานอนไม่หลับ ปวดศีรษะรื้อรัง     และ   รุนแรง  พยายามมีสติอยู่กับอิริยาบถการเคลื่อนไหว  เฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกเฉยๆอย่างใจเย็น  ทุกขณะ  ทุกวัน  ทุกเดือน  ทุกข์ทางจิตจะค่อยๆลดลงไปเองเพราะจิตมีการปล่อยวาง  จิตจะเข้มแข็งเพราะเดินเข้าสู่อริยมรรค  แต่ถ้าใจร้อนจิตจะทุรนทุรายเพราะไปเข้าทางของกิเลส  

 

2. อดทนต่ออารมณ์ภายนอกที่มากระทบ ทั้งอารมณ์ที่น่าปรารถนา  และอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา  พยายามรักษาจิตให้มีปิติปราโมทย์  จิตจะระงับนิวรณ์ได้

 

3.  มีเมตตาจิตต่อบุคคลที่อยู่รอบข้าง  ที่สำคัญมากคือความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ  ขณะที่เราทำดีจิตจะเป็นสมาธิปราศจากนิวรณ์เพราะตั้งมั่นในอธิศีลสิกขา จึงเกิดปัญญาดับทุกข์ได้  แต่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิด คิดว่าการนั่งสมาธิจะทำให้จิตมีสมาธิ  จึงทำให้ดับทุกข์ไม่ได้จริง  เพราะข้ามขั้นตอนที่สำคัญ

 

4.  ทำความดีโดยไม่มีเงื่อนไข      วางอารมณ์ให้เป็นกลางต่อคำตำหนิติเตียน

 

5.  ทำตัวเหมือนแผ่นดิน แม้ใคร ๆ จะทิ้งสิ่งปฏิกูลลงแผ่นดินก็ไม่เดือดร้อน

 

6.  ยาระงับอาการโรคทางจิต  มีผลข้างเคียงทำให้จิตว้าวุ่นอ่อนแอ(จิตมีนิวรณ์)  ทำให้ขาดความเพียร  มีความอดทนไม่เพียงพอ  จึงไม่ควรใช้     ผู้ป่วยที่ยอมรับว่าตนเองป่วยแสดงว่ามีสติสัมปชัญญะดี จะรักษาให้หายขาดได้ไม่ยาก

 

 แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการคลุ้มคลั่งควบคุมตัวเองไม่ได้  ยายังเป็นสิ่งที่จำเป็น  อย่างยิ่ง  เพราะจะช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการเป็นปกติ  เมื่อปกติจึงจะสามารถเยียวยาด้วยวิธีการดังกล่าวได้

 

 วิธีการทั้ง 6 ข้อ  เป็นวิชชาที่พระพุทธองค์ทรงบอกทางไว้  หากเราปฏิบัติตามจะพบความสุขอันเกษม มีจิตใจที่เข้มแข็ง ข้าพเจ้าพ้นจากความทุกข์ทรมานแสนสาหัสมาได้ด้วยวิธีนี้ จึงอยากบอกทางแก่เพื่อนผู้กำลังหาทางดับทุกข์   เพื่อพิศูจน์ว่าคำสอนของพระพุทธองค์เป็นสัจธรรม

 

 

 

 

 

 

                                                                2 ธรรมวิจัยเรื่อง คนทรงเจ้า

 

 

  2.0 วัตถุประสงค์

 

การเขียนธรรมวิจัยเรื่องคนทรงเจ้า เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจปรากฏการณ์ทางจิตเช่นนี้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์  ในฐานะที่ข้าพเจ้าเอง ได้เคยนำชีวิตไปทดลองกับปรากฏการณ์ทางจิตในเรื่องนี้  จนเกิดความเข้าใจอย่างแจ่มชัด จึงอยากนำมาอธิบายในเชิงงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทางจิต ซึ่งข้าพเจ้ามักไม่ค่อยพบเห็น การอธิบายปรากฏการณ์เจ้าเข้าทรงที่เป็นวิทยาศาสตร์  ผลก็คือความเข้าใจผิดของคนจำนวนมาก เกี่ยวกับคนทรงเจ้าหรือเจ้าเข้าทรง    จึงมีคนธรรมดาๆกลายเป็นคนทรงเจ้าไปก็มากไม่ใช่น้อย

 

 

 2.1 เหตุที่มีองค์เทพ

 

มักมีคำกล่าวอ้างว่า  เมื่อครั้งพุทธกาลก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่  พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพุทธบริษัททั้งหลายว่า พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมีอายุ 5,000 ปี  แต่ของพระองค์นั้นต้องการจะให้พระศาสนามีอายุเพียง 2,500 ปี  เท่านั้น

 

พระอานนท์จึงทูลถามว่า เหตุใดพระองค์จึงมิให้พระศาสนาดำรงอยู่จนครบ 5,000 ปี  ดังพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า     แล้วผู้ใดเล่าจะเป็นผู้ดูแลพระศาสนา       พระอานนท์จึงทูลว่า ขอให้พระภิกษุสงฆ์  สามเณร  ภิกษุณี  อุบาสก  อุบาสิกา  ผู้เป็นพุทธบริษัทเป็นผู้ดูแลและบำรุงรักษาพระพุทธศาสนากึ่งหนึ่งเป็นเวลา 2,500 ปี 

 

พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงอนุญาต  แล้วทรงถามต่อไปอีกว่า  ใครจะขออะไรบ้าง

 

ปวงเทพทั้งหลายทุกเหล่าชั้น  อันได้แก่  พระอินทร์  พระพรหม  พระยม  พระกาฬ  เหล่าเทพเทวาทั้งหลาย  จึงพร้อมใจกันกราบทูล  ขอให้ปวงเทพได้ดูแลและบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไปอีกครึ่งหนึ่ง   คือ 1,250  ปี

 

พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงอนุญาตอีก       แล้วทรงถามต่อไปอีกว่า  ใครจะขออะไรอีก

 

 เหล่าพญาครุฑ  คนธรรพ์  นาคราช  ท้วกุเวร  กินนร  กินนรี  แล ภูตผีปีศาจ  จึงกราบทูลขอดูแลอายุพระศาสนาเท่าที่เหลือ 1,250 ปี     ให้พวกเขาได้ดูแลรักษา  จนกว่าพระศาสนาจะค่อยๆเรียวเล็กลงไป    ยุคนั้นมนุษย์จะมีร่างกายเล็กลงไปตามลำดับ ถึงกับต้องปีนบันไดสอยลูกมะเขือ หรือเก็บเมล็ดพริก          พระสงฆ์สาวกก็จะร่อยหรอแทบว่าจะไม่มีเหลือ      จะเหลือเพียงผ้าเหลืองผืนน้อยๆห้อยอยู่ที่หู      เพื่อให้เป็นที่สังเกตว่าเป็นพระสงฆ์เท่านั้น    พระศาสนาก็จะเสื่อมถอยลงไปจนหมดพอดี 5,000 ปีตามพุทธฎีกาที่กำหนดไว้

 

เมื่อถึงกึ่งพุทธกาล 2,500 ปี  เป็นต้นมา  จึงเป็นหน้าที่ของเทพพรหมเทวาทั้งหลาย ที่จะมาทำหน้าที่อุปถัมภ์ค้ำชูทะนุบำรุงสืบพระศาสนาขององค์สมณโคดม  ตามที่ได้ทูลขอกับพุทธองค์ไว้  จึงเป็นเหตุให้เกิดมีร่างทรงองค์เทพมากมายในปัจจุบัน  แต่เนื่องจากองค์เทพเป็นเพียงอากาศธาตุเท่านั้น  จึงจำเป็นต้องอาศัยสังขารของมนุษย์ที่มีธาตุทั้ง 4  คือ  ดิน  น้ำ   ลม  ไฟ  โดยการมาแฝงบังคับร่างเพื่ออาศัยติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ได้ นำพาพุทธบริษัทบริจาคทานสร้างวัดวาอารามต่างๆ  โดยอาศัยการช่วยเหลือบำบัดทุกข์ร้อน    รักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับมนุษย์     และบอกบุญกับสานุศิษย์ผู้ศรัทธา     ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลในโอกาสต่างๆ  โดยมีจุดประสงค์เพื่อการสืบพระศาสนาเป็นสำคัญ

 

  2.2  ไม่เคยปรากฏพระพุทธพจน์บาลีตามคำกล่าวอ้าง

 

ในขณะที่ข้าพเจ้าประสบกับความทุกข์ทางใจแสนสาหัส   ได้ดั้นด้นค้นหาผู้รู้มาบอกทางสว่าง แต่คำตอบที่ได้รับก็คือเมื่อปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ที่อ้างว่าเป็นเกจิอาจารย์ กลับพบแต่ความทุกข์ทรมานยิ่งขึ้น และเห็นว่าการมีความรู้ที่ผิดพลาด จะเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อตนเอง และต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา จึงได้ศึกษาพระไตรปิฎกอย่างจริงจัง เพื่อต้องการศึกษาค้นคว้าวิจัยว่าอะไรคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอน อะไรเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อไม่มีหลักฐานทางวิชาการแต่อย่างใด และยังได้สอบถามจากผู้รู้นักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาหลายท่าน พบว่าไม่เคยปรากฏมีพระพุทธพจน์เรื่องฝากคำสอนของพระพุทธศาสนาไว้กับองค์เทพ  เทวดาหรือภูตผีปีศาจแต่อย่างใด  และจากการศึกษาเปรียบเทียบ แนวความคิดของคนทรงเจ้าทุกสำนักจะเชื่อเหมือนๆกัน แต่มีความเชื่อที่แตกต่างกันกับหลักคำสอนในพระไตรปิฎก แบบที่ไม่มีความสอดคล้องกันเลย  กล่าวคือเจ้าเข้าทรง คนทรงเจ้าเข้าผี  จะมีความเชื่อแบบเพ้อฝัน  วาดจินตนาการ โฆษณาชวนเชื่อเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ แต่ไม่สามารถบอกวิธีการดับทุกข์เหมือนพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกได้

 

 2.3  มนุษย์ผู้มีองค์เทพแฝงอยู่มีลักษณะอย่างไร   

ผู้ที่มีความเชื่อว่ามีองค์เทพมาประทับทรงหรือมีองค์ใน        จะมีลักษณะอาการคล้ายๆคนป่วย  ดังนี้

 

1. มีอาการมึนศีรษะข้างเดียวเป็นประจำ           แพทย์แผนปัจจุบันเรียกว่า  โรคไมเกรน

2. หนักต้นคอ  บางครั้งหนักบ่า 2  ข้างเหมือนมีใครมาขี่คอ   บางทีขับรถอยู่ดีๆ  ก็รู้สึกหนักบ่า

3. แน่นหน้าอกเป็น      บางครั้งเหมือนคนหายใจไม่อิ่มบางคนเป็นบ่อย  แพทย์แผนปัจจุบันเรียกว่าเป็น โรคหัวใจ

4. ฝันแม่นยำ    มีลางสังหรณ์แม่นยำ    บางทีเรียกว่า  มีสัมผัสที่หก      หรือซิกเซ็นท์

5. บอกหวยแม่น  จึงมักมีคนไปถามเลขเด็ดบ่อยๆ

6. บางครั้งหูจะได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองเบา    เหมือนเสียงกระซิบก็มี  เสียงดังก้องในหูก็มี

7. ไปตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์         หรือมีอะไรที่ลี้ลับจะรับรู้โดยการสัมผัส  ขนลุกชันเย็นซ่าไปทั้งตัว

8. หากนั่งสมาธิจะได้หูทิพย์  ตาทิพย์  เร็วกว่าคนทั่วไป

 

 

 2.4  คนทรงเจ้าลักษณะคล้ายคนป่วยทางจิต

วิเคราะห์ลักษณะของผู้ที่เชื่อว่ามีองค์เทพแฝงอยู่  คล้ายอาการของผู้ป่วย   ซึ่งขออธิบายตามหลักวิชาการดังนี้ 

 

1.    อาการปวดศีรษะข้างเดียว  มึนศีรษะ  หนักบ่าเหมือนมีใครมานั่ง  เกิดจากการคิดฟุ้งซ่านตลอดเวลา    แล้วปฏิบัติผิดทางต่อความคิดปรุงแต่ง คนส่วนใหญ่เมื่อคิดมาก  จะเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจ ต่อต้านด้วยความรู้สึกไม่อยากคิด  ความคิดจึงมีตัวตนขึ้นมานานๆเข้าจิตจะหนักกลายเป็นพวกแบกความคิด  คนทั่วๆไปไม่เข้าใจธรรมชาติของความปรุงแต่งจิต  ก็มักต่อว่าหรือแนะนำว่าอย่าไปคิด  คนป่วยก็เลยคอยไปห้ามจิตไม่ให้คิด  ความคิดก็ยิ่งปรุงแต่งมากยิ่งขึ้น  สุดท้ายทุกข์หนักหาทางออกไม่ได้จึงต้องรับขันธ์เป็นร่างทรง เพราะเข้าใจว่าจะช่วยให้หายจากความฟุ้งซ่านเจ็บป่วย

 

2.    แน่นหน้าอกบ่อย  เนื่องจากการบริหารจิตไม่ถูกต้อง        ส่วนใหญ่คนที่เป็นร่างทรงมักชอบสวดมนต์พิธีต่างๆ สวดบูชาเจ้าแม่กวนอิม  ชอบ นั่งสมาธิ  การฝึกสมาธิที่ถูกต้อง  เพื่อสังเกตการทำงานของจิต  อารมณ์ในขณะนั้นด้วยความรู้สึกเฉยๆ  จิตจะไม่เคร่งเครียดและเกิดความรู้  แต่การฝึกแล้วอยากเห็นนั่นเห็นนี่  อยากมีอิทธิฤทธิ์  อยากบรรลุธรรมขั้นนั้นขั้นนี้ จิตจะเกิดอาการเคร่งเครียดนานเข้าจึงเกิดอาการแน่นหน้าอก

 

3.   หูได้ยินเสียงกระซิบ  มีเสียงก้องในหู    ขุนลุกชันเย็นซ่าไปทั้งตัว  คนที่ฝึกสมาธิแบบเทคนิควิธีเป็นประจำ   จนสามารถพัฒนาไปถึงอุปจารสมาธิ  จะเกิดนิมิตเป็นภาพ  เสียง  หรือมีความรู้สึกว่าขนลุกชัน  น้ำตาไหลพราก หรือมีร่างการสูงใหญ่โตเกินขนาดมาหลอกจิตให้ชอบใจ ในนิมิตที่น่ายินดี หรือให้หวาดกลัวต่อนิมิตรที่ไม่น่าชอบใจ  หากหลง อารมณ์ที่มาหลอก จิตจะปรุงแต่งไปเป็นนั่นเป็นนี่ ตามความเชื่อดั้งเดิมที่ถูกปลูกฝังมา  เช่น  เชื่อว่ามีเทพเจ้าหรือองค์ในจะมาอยู่ด้วย  หากคนใดมีสติสัมปชัญญะดี  นิมิตเหล่านั้นจะมาหลอกไม่ได้  มีปัญญารับรู้ว่านิมิตนั่นไม่เที่ยงเกิดขึ้น  ตั้งอยู่และดับไปตามเหตุปัจจัยปรุงแต่ง   

 

4.    ฝันแม่นยำ  มีลางสังหรณ์หรือซิกเซนส์  เป็นเรื่องปกติที่เกิดกับผู้ที่ชอบฝึกสมาธิ   บางคนทำนายเหตุในอดีตหรือเหตุการณ์ล่วงหน้าได้แม่นยำจนหลงตนไปว่าเป็นผู้วิเศษ หรือมัวแต่เพลิดเพลินกับการเป็นอาจารย์ใบ้หวยจนญาณเสื่อม  ไม่สามารถพัฒนาสติปัญญาต่อไปได้ 

 

 

 2.5  องค์เทพตามความเชื่อของคนทรงเจ้า

หนังสือที่เขียนเกี่ยวกับคนทรงเจ้า      มักเป็นทรรศนะที่เชื่อเรื่องคนทรงเจ้าอย่างเหนียวแน่น     จำแนกคนทรงเจ้าออกเป็น  2       ประเภท  ดังนี้

 

1.    คนทรงเจ้า  หมายถึง      คนธรรมดาที่ไม่มีองค์เทพมาประทับ แต่จะแสดงแอบอ้างชื่อองค์เทพใหญ่ๆ  ที่มีคนนับถือมากๆ  โดยอาศัยความรู้เรื่องไสยศาสตร์  เวทย์มนตร์คาถาอาคม  วิทยากล  สมุนไพร  ดูดวง  เข้ามาประกอบ ทำให้คนหลงเชื่อว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือมาจริงๆ  โดยหารู้ไม่ว่าเป็นการแสดงมายา เพื่อจะแอบอ้างกอบโกยเอาเงินทองจากผู้หลงใหลในเรื่องเหล่านี้  ร่างทรงพวกนี้จึงเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ  ที่อาศัยคำพูดและการแสดงที่จะให้คนเชื่อถือ  หลอกให้เชื่อว่าเป็นมหาเทพลงมาประทับ  เช่น  ศิวะ  นารายณ์  เป็นต้น

 

2.    เจ้าเข้าทรง   หมายถึงผู้ที่มีองค์เทพลงมาประทับจริงๆ  เพื่อสร้างบารมี     บางทีร่างทรงจะไม่รู้อะไรเลยในระหว่างที่องค์เทพผ่านมาประทับร่าง     ดังนั้นร่างทรงประเภทนี้จะมีน้อยมาก      เพราะองค์เทพมีความประสงค์ที่จะมาช่วยบำบัดทุกข์ให้มนุษย์เพื่อสร้างบารมี  ไม่โกงกิน  ไม่แบ่งชั้นวรรณะ  คอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเพื่อสั่งสมบารมีร่วมกับร่าง  จึงทำให้พอมีกินมีใช้ ไม่ร่ำรวยมากนัก      องค์เทพท่านจึงต้องเลือกร่างที่มีบุญมากๆเท่านั้น       คนชั่วช้าขาดศีลขาดธรรมท่านจะไม่อยู่ด้วย  เว้นแต่เทพระดับต่ำๆที่มีนิสัยเกเรเป็นสัมภเวสี   เป็นเทพกึ่งเปรต   ที่ไม่มีวิมานอยู่ เพราะตอนกลางวันเป็นเทพ    แต่พอกลางคืนก็กลายเป็นเปรตหรือปีศาจเที่ยวหลอกหลอนชาวบ้าน  จึงจับร่างชั่วช้าสามานย์มาเป็นบริวารแห่งตน    เพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากเครื่องเซ่นสังเวยและอื่นๆ    มีนิสันอันธพาล       อิจฉาตาร้อนชอบกลั่นแกล้งผู้อื่น     อาศัยวิชาเดรัจฉานเลี้ยงชีพ 

 

 

 

 

 2.6  ตามหลักวิทยาศาสตร์คนทรงเจ้าคืออะไร ?

ในฐานะที่ผู้เขียนเคยพิศูจน์ทดลองปรากฏการณ์ทางจิต     เกี่ยวกับคนทรงเจ้าด้วยตนเอง  จึงจะขออธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ทางจิต  ดังนี้

 

1.    คนที่รู้ตัวว่าเจ้าไม่ได้มาเข้าทรง      แต่แสร้งทำอาการว่ามีเทพเจ้ามาเข้าทรง  นับว่าเป็นคนปกติทางจิต      เพียงแต่ไม่มีความอดทนต่อความยากลำบากเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า       ในการประกอบอาชีพที่สุจริต      จึงใช้อุบายหลอกลวงให้คนศรัทธานำทรัพย์สินเงินทองมาให้

 

2.    ผู้ที่เชื่อว่ามีองค์เทพลงมาประทับจริง   เพื่อสร้างบารมี  แท้จริงเป็นอาการของคนที่หลงตัวหลงตน ในความอยากเป็นใหญ่อย่างรุนแรง เป็นอาการป่วยทางจิตชนิดหนึ่งเรียกว่า Grandiose Type ส่วนใหญ่จะชอบนั่งสมาธิ  เมื่อฝึกสมาธินานๆเข้าจิตจะปรุงแต่งให้เกิดนิมิตต่างๆ  เช่นไปเห็นเทวดา  นางฟ้า  สวรรค์วิมานก็หลงเพลิดเพลินไปกับนิมิตนั้น ในขณะนั้นจิตจะไม่สามารถรับรู้อารมณ์ปัจจุบัน  ทำให้ขาดสติสัมปชัญญะ  จึงถูกความคิดปรุงแต่งเข้าครอบงำ  ไม่เป็นตัวของตัวเอง  ได้ยินเสียงสั่งการให้ทำนั่นทำนี่ตามอำนาจปรุงแต่งของความคิด ภาวะเช่นนี้ในทางธรรมเรียกว่า  ถูกอำนาจของภวตัณหาเข้าครอบงำ เป็นการปฏิบัติธรรมที่ผิดพลาด จิตจะไม่สามารถพบความพ้นทุกข์ได้ ดังนั้นเมื่อหาทางออกไม่ได้ จิตจะปรุงแต่งให้เกลียดชังตัวตนเดิม  แล้วสร้างตัวตนใหม่ขึ้นมา ที่ดูมีพลังอำนาจลึกลับ สามารถข่มขู่ให้คนที่มีจิตอ่อนเกรงกลัวและเลื่อมใสศรัทธาได้   

 

ดังนั้น  หากจะกล่าวว่าคนที่มีเทพมาประทับทรงจริงๆเป็นคนมีบารมีมาก จึงเป็นความเข้าใจที่ผิดอย่างมาก  เพราะในความเป็นจริงคนที่ถูกอวิชชาครอบงำ ย่อมหาทางดับทุกข์ให้ตนเองไม่ได้เพราะขาดสติปัญญา แล้วจะกล่าวว่าเป็นคนมีบารมีมากได้อย่างไร  มนุษย์ที่มีความมั่นใจในความเป็นมนุษย์ สามารถหาทางดับทุกข์ได้ด้วยสติปัญญาของตนเองต่างหากที่เป็นคนมีบารมีมาก ดังเช่นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าพระอริยสาวกซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดาๆท่านหาทางดับทุกข์ได้นั่นเอง

 

 2.7  คนทรงเจ้ามักมีปัญหาในการดำเนินชีวิต

ข้าพเจ้าได้พบเห็นคนทรงเจ้าจำนวนมากทั้งผู้หญิง ผู้ชายมักดำเนินชีวิตที่ไม่เป็นปกติเหมือนมนุษย์ทั่วๆไป  ซึ่งขอนำมาวิเคราะห์ดังนี้

 

1. ในด้านชีวิตครอบครัว   คนทรงเจ้าหากแต่งงานมีครอบครัวมักรักษาสถานภาพความมั่นคงของครอบครัวไว้ไม่ได้ โดยเฉพาะสามีภรรยาที่มีความเชื่อสวนทางกัน มักทนไม่ได้ต่อพฤติกรรมแปลกๆ  และแนวความคิดแปลกๆ ส่วนมากคนทรงเจ้ามักบังคับให้ผู้อื่นเชื่อถือเคารพศรัทธาตนโดยไม่มีเหตุผล ควบคุมความโกรธไม่ได้  หากใครไม่เชื่อจะใช้คำพูดข่มขู่ว่าใครลบหลู่ดูหมิ่นเทพจาก  3  โลกจะลงโทษอย่างหนัก

 

2.  ในด้านอาชีพการงาน      คนทรงเจ้าหากประกอบอาชีพอื่นอยู่ มักทำไม่ได้ดี   เนื่องจากสภาวะทางจิตมักจะมีจินตนาการอยู่กับเรื่องเทพ เทวดา สวรรค์วิมานมากกว่าจะอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง บางคนทำขนมขายบอกว่าองค์เทพไม่อนุญาตให้ขาย บันดาลให้ขนมบูดบ้าง ดังนั้นจึงต้องหันเหไปประกอบอาชีพใหม่คือ  มีอาชีพเป็นคนทรงเจ้า

 

3. หมกมุ่นอยู่กับความอยากเป็นใหญ่  นานเข้าจะทำให้จิตเกิดความเคร่งเครียด ดังนั้นเมื่อพบกับความผิดหวัง เสื่อมลาภยศ หรือเสื่อมจากศรัทธา จะเปลี่ยนบุคลิกภาพไปอย่างรุนแรง บางคนมีอาการทางโรคประสาทหรือจิตหลอน หากเป็นการหลงผิดเป็นกลุ่มใหญ่อาจก่อพฤติกรรมที่รุนแรงต่อตนเองหรือผู้อื่นได้ ดังที่มีข่าวครึกโครมหลายครั้งไปทั่วโลก  เช่น  สาวกลัทธิโอมชินิเกียวฆ่าตัวตายหมู่ในญี่ปุ่น สาวกคริสตจักรปวงชนในประเทศยูกันดา 700 คน ฆ่าตัวตายหมู่  ลอบวางระเบิดขบวนรถไฟในสเปน เกิดเหตุระเบิดพลีชีพที่นั่นที่นี่  แม้เหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้    ก็เป็นผลมาจาก อาการเจ็บป่วยทางจิตที่สั่งสมความรู้สึกโกรธ เกลียดชังผู้ที่มีความเชื่อและอุดมคติในการดำเนินชีวิตไม่เหมือนตน  จึงสามารถทำร้ายใครๆได้โดยไม่รู้สึกว่าเป็นความผิดบาป  

 

 

 

 

 3  พระพุทธพจน์น่ารู้

 

 3.1  โลกที่กำลังมัวเมาก็ยังสนใจในธรรมของพระตถาคต

ภิกษุทั้งหลาย !    เพราะเหตุที่ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะเกิดขึ้นจึงเกิดมีของน่าอัศจรรย์ไม่เคยมี   สี่อย่างนี้ปรากฏขึ้น.   สี่อย่างอะไรเล่า ?(บาลี จตุก.ก. อํ.21/177/128. ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายที่เชตวัน)

 

1. ภิกษุทั้งหลาย !      ประชาชนทั้งหลายพอใจในกามคุณยินดีในกามคุณบันเทิงอยู่ในกามคุณ,  ครั้นตถาคตแสดงธรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับกามคุณ  ประชาชนเหล่านั้นก็ฟัง     เงี่ยหูฟัง     ตั้งฟัง เพื่อให้เข้าใจทั่วถึง.  ภิกษุทั้งหลาย ! นี่คือของน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีอย่างที่หนึ่ง, มีขึ้นมาเพราะการบังเกิดของตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ.

 

 3.2 อธิบาย (ผู้เรียบเรียง) กามคุณคือความยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ  การที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับกามคุณ  หมายถึงความยินดีพอใจในกามคุณนี่แหละเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์  แต่มนุษย์ปุถุชนเข้าใจผิดว่ากามนำความสุขมาให้  เพราะแท้จริงแล้วกามเป็นเพียงเครื่องบรรเทาทุกข์ชั่วครู่ชั่วยาม เมื่อสร่างกามแล้วก็กลับไปทุกข์อีก  และความไม่รู้ก็สอนให้แสวงหากามเพิ่มพูนยิ่งๆขึ้นไปอีก อย่างไม่หยุดหย่อน    ดังนั้นกามจึงเป็นตัวหลอกลวงตัวฉกาจ  ให้มนุษย์ปุถุชนเพลิดเพลินเอร็ดอร่อยกับทุกข์  ก็เท่ากับแสวงหาความทุกข์อย่างไม่รู้จักจบสิ้น  ถ้าจะดับทุกข์ก็ต้องดับความกำหนัดในกาม ดังนั้นเมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้และประกาศสัจธรรม         จึงนับเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อมนุษย์ผู้มีปัญญา ที่สามารถมองเห็นโทษของกามและพยายามฝึกฝนปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดในกาม    

 

2. ภิกษุทั้งหลาย !   ประชาชนทั้งหลายพอใจในการถือตัว  ยินดี ในการถือตัว  บันเทิงอยู่ในการถือตัว,   ครั้นตถาคตแสดงธรรมที่กำจัดการถือตัวประชาชนเหล่านั้นก็ฟัง    เงี่ยหูฟัง  ตั้งใจฟัง   เพื่อให้เข้าใจทั่วถึง. ภิกษุทั้งหลาย! นี่คือของน่าอัศจรรย์ไม่เคยมีอย่างที่สอง,  มีขึ้นมาเพราะการบังเกิดของตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ.  

 

อธิบาย (ผู้เรียบเรียง)มนุษย์ปุถุชนมีแต่ความถือตัวถือตนว่าเป็นเรา  เป็นเขา แม้เมื่อถูกกระทบด้วยอารมณ์ที่ไม่น่าชอบใจ  ก็จะเกิดความรู้สึกมีตัวตนขึ้นมานำจิตใจไปสู่ความเร่าร้อนทุรนทุราย  อันเป็นบ่อเกิดของโทสะ  ซึ่งมนุษย์ปุถุชนเข้าใจผิดคิดว่า  ความถือตัวถือตนเป็นเครื่องมือในการปกป้องตนเองจากทุกข์  แต่แท้จริงแล้วเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์    ดังนั้นถ้าจะดับทุกข์ก็ต้องดับที่ความถือตัวถือตน  โดยการฝึกฝนตนเองให้มีความรู้สึกเหมือนตนเป็นแผ่นดินผู้ต่ำต้อย  ใครจะล่วงเกินก็ไม่ถือโกรธ     มีแต่จิตเป็นอุเบกขา(วางใจให้เป็นกลางปราศจากความรู้สึกชอบหรือชังต่ออารมณ์ที่มากระทบ) พระพุทธองค์เอง ท่านก็ทรงฝึกฝนอบรมเช่นนี้  ดังนั้นมนุษย์ผู้มีปัญญาที่สามารถมองเห็น โทษของความถือตัว  และพยายามฝึกฝนปฏิบัติเพื่อกำจัดความถือตัวถือตนออกเสีย    จึงจะสามารถเข้าถึงความสุขที่จีรังยั่งยืนเช่นพระพุทธองค์และพระอริยสาวกได้ 

 

ดังพระพุทธพจน์ สารีบุตร !  เรานั้นนอนในป่าช้า ทับกระดูกแห่งซากศพทั้งหลาย   ฝูงเด็กเลี้ยงโคเข้ามาใกล้เรา   โห่ร้องใส่หูเราบ้าง  ถ่ายมูตรรดบ้าง(ปัสสาวะ) ซัดฝุ่นใส่บ้าง  เอาไม้แหลมๆทิ่มช่องหูบ้าง  สารีบุตร ! เราไม่รู้สึกซึ่งจิตอันเป็นบาปต่อเด็กเลี้ยงโคทั้งหลายเหล่านั้นแม้ด้วยการทำความคิดนึกให้เกิดขึ้น  สารีบุตร !  นี้เป็นวัตรในการอยู่อุเบกขา  ของเรา (  จาก บาลีมหาสีหนาทสูตร สีหนาทวรรค มู.ม. 12/155/177, ตรัสเล่าแก่พระสารีบุตร  ที่ วนสัณฑ์ ใกล้เมืองเวสาลี)   

 

3.  ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุทั้งหลายพอใจในความวุ่นวายไม่สงบยินดีในความวุ่นวายไม่สงบ    บันเทิงอยู่ในความวุ่นวายไม่สงบ,  ครั้นตถาคตแสดงธรรมที่เป็นไปเพื่อความสงบ    ประชาชนเหล่านั้นก็ฟัง       เงี่ยหูฟัง ตั้งใจฟัง เพื่อให้เข้าใจทั่วถึง. ภิกษุทั้งหลาย! นี่คือของน่าอัศจรรย์ไม่เคยมี  อย่างที่สามมีขึ้นมาเพราะการบังเกิดของตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ

 

อธิบาย (ผู้เรียบเรียง) มนุษย์ทั้งหลาย        ยินดีในความวุ่นวายไม่สงบ(ความบันเทิง)          เพราะเข้าใจว่าความบันเทิงใจเป็นสิ่งที่นำความสุขมาให้   แต่แท้จริงแล้ว        ความบันเทิงทั้งหลายเป็นความสุขที่เรียกว่า  กามสุข       เป็นสิ่งที่สามารถดับทุกข์ได้เพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น และยังก่อความวุ่นวายใจไม่สงบให้อีก ทั้งนี้เพราะความบันเทิงใจเป็นที่พึ่งภายนอกที่หาความเที่ยงแท้ไม่ได้  ย่อมมีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดาและเมื่อปราศจากสิ่งเหล่านี้ก็กลับไปทุกข์อีก มนุษย์ที่มัวเมาลุ่มหลงในความบันเทิงจึงมีจิตใจที่อ่อนแอมักคอยพึ่งพาผู้อื่น อยู่คนเดียวไม่ได้ จึงมักมีบุคลิกภาพแบบตื่นเต้นลิงโลดใจเมื่อพบกับสมหวัง      และในทางตรงกันข้ามจะมีอาการซึมเศร้าหดหู่ท้อแท้สิ้นหวัง เมื่อได้ประสบกับความไม่สมหวัง  

 

ดังนั้นเมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ และประกาศสัจธรรมจึงนับเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อมนุษย์ผู้มีปัญญา ที่สามารถมองเห็นโทษของความบันเทิง (ความวุ่นวายไม่สงบ) และพยายามฝึกฝนปฏิบัติเพื่อกำจัดความลุ่มหลงมัวเมาในความวุ่นวายไม่สงบออกเสีย

 

4. ภิกษุทั้งหลาย !    ประชาชนทั้งหลายประกอบอยู่ด้วยอวิชชา  เป็นคนบอด  ถูกความมืดครอบงำเอาแล้ว, ครั้นตถาคตแสดงธรรมที่กำจัดอวิชชา ประชาชนเหล่านั้นก็ฟังเงี่ยหูฟัง ตั้งใจฟัง เพื่อให้เข้าใจทั่วถึง. ภิกษุทั้งหลายนี่คือของน่าอัศจรรย์  ไม่เคยมี  อย่างที่สี่, มีขึ้นมาเพราะการบังเกิดของตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ.

 

อธิบาย (ผู้เรียบเรียง) มนุษย์ปุถุชนทั้งหลายประกอบด้วยความไม่รู้  หมายถึงสิ่งที่เข้าใจว่าเป็นความสุข  แท้จริงแล้วนำความทุกข์มาให้  อะไรเล่าคือการนำไปสู่ความไม่รู้  ความพอใจยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะที่น่าปรารถนาน่าใคร่นำไปสู่ราคะ  ความไม่ยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะที่ไม่น่าปรารถนานำไปสู่โทสะ  ความยินดีบ้างไม่ยินดีบ้างในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ  ธรรมารมณ์ นำไปสู่โมหะหรือความหลง  นี่คืออวิชชาหรือความไม่รู้  ที่เป็นเครื่องปิดกั้นจิตมิให้เข้าใจธรรมชาติของจิตตามที่เป็นจริง

 

พระพุทธองค์ทรงเป็นนักจิตวิทยาชั้นสูง แต่วงการจิตวิทยา    ยังมัวเดินตามระดับความคิดสติปัญญาของมนุษย์ ปุถุชนผู้มีความรู้เพียงจิตวิทยาขั้นพื้นฐาน  แล้วเมื่อไรจึงจะเข้าถึง ความรู้ที่สูงสุดของวิทยาศาสตร์ทางจิตเล่า ?

 

ปัญหาก็คือ  การจะเข้าถึงความรู้จิตวิทยาชั้นสูงได้  จะต้องเนบนเส้นทางของความดีโดยไม่มีเงื่อนไข  แม้การเดินทางนั้นจะต้องพบกับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานแสนสาหัส ก็ต้องมีความตั้งใจมั่นไม่หวั่นไหวยอมพ่ายแพ้กับมาร(ความชั่ว)  เสียก่อนจึงจะบรรลุผล    

 

 

 

 4     ลานกวีธรรม

 4.1  เป็นอยู่ด้วยจิตว่าง

 

       จงทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง                     ยกผลงานให้ความว่างทุกอย่างสิ้น

      กินอาหารของความว่างอย่างพระกิน            ตายสิ้นสิ้นแล้วในตัวแต่หัวที                          

       ท่านผู้ใดว่างได้ดังว่ามา                             ไม่มีท่าทุกข์ทนหม่นหมองศรี                

       ศิลปะในชีวิตชนิดนี้                                   เป็นของที่ใครทำได้สบายเอย

 

·         พุทธพุทธทาสภิกขุ

 

 

 

 4.2  เราจะบิน

 

เราจะบิน                บินบิน                   และบินไป

สู่ขอบฟ้า               สดใส                    ในเบื้องหน้า

แม้วันนี้                 มีเมฆร้าย                มหิมา

ก็ไม่หวาด              ไม่ผวา                   คณาภัย

 

ถึงเขาใหญ่            สูงเงื้อม                  ตระหง่านฟ้า

ก็จะฝ่า                 ฤาพรั่น                    นึกหวั่นไหว

มหาสมุทร             สุดสาย                   ลมไกว

จะเอื้อมไป            ให้ถึง                      ซึ่งฝั่งดิน

 

ถึงแห้งเหือด        เลือดหมด                หยดสุดท้าย

แล้วก็หมาย           ชนหลัง                  ยังถวิล

สัจจธรรม              นี้ไว้                       ในธรณิน

กว่าจะสิ้น              กัปกัลป์                  พุทธันดร

 

  • ไกลกิเลส

 

 

 

 5   บรรณานุกรม

  • พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุต.โต). พุทธธรรมฉบับปรับปรุงและขยายความ.             พิมพ์ครั้งที่ 11. กรุงเทพ ฯ : มหา จุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, 2546.
  • พุทธทาสภิกขุ. พุทธประวัติจากพระโอษฐ์(แปลและรวบรวมจาก             พระไตรปิฎก ภาษาบาลี). พิมพ์ครั้งที่ 14. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์            สุขภาพใจ, 2546.
  • หลวงพ่อวัชระเอกวัณโณ.คนทรงเจ้าหรือเจ้าเข้าทรง” http://www.watthamfad.com/web_thai/vi-bak_gum_th/rang_song_th.htm, 1 ธันวาคม 2549.
  • หูแว่ว  เห็นภาพหลอนในจิต  เป็นอาการของคนโรคจิตจริงหรือ ?”  มติชน  (27   ตุลาคม  2549)

 

 

 







Copyright © 2010 All Rights Reserved.
----- ***** ----- โปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate นี่คือเวบไซต์คู่ www.newworldbelieve.com กับ www.newworldbelieve.net เราให้เป็นเวบไซต์ที่เสนอธรรมะหรือ ความจริง หรือ ความคิดเห็นในเรื่องราวของชีวิต ตั้งใจให้ธัมมะเป็นทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แด่คนทั้งหลาย ทั้งโลก ให้ได้รู้ความจริงของศาสนาต่าง ๆในโลกวันนี้ และได้รู้ศาสนาที่ประเสริฐเพียงศาสนาเดียวสำหรับโลกยุคใหม่ จักรวาลใหม่ เรามีผู้รู้ ผู้ตรัสรู้ ผู้วินิจฉัยสรรพธรรมสรรพวิชชา สรรพศาสน์ และสรรพศาสตร์ พอชี้ทางสู่โลกใหม่ ให้ความสุข ความสบายใจความมีชีวิตที่หลุดพ้นไปสู่โลกใหม่ เราได้อุทิศเนื้อที่ทั้งหมดเป็นเนื้อที่สำหรับธรรมะทั้งหมด ไม่มีการโฆษณาสินค้า มาแต่ต้น นับถึงวันนี้ร่วม 14 ปีแล้ว มาวันนี้ เราได้สร้างได้ทำเวบไซต์คู่นี้จนได้กลายเป็นแดนโลกแห่งความสว่างไสว เบิกบานใจ ไร้พิษภัย เป็นแดนประตูวิเศษ เปิดเข้าไปแล้ว เจริญดวงตาปัญญาละเอียดอ่อน เห็นแต่สิ่งที่น่าสบายใจ ที่ผสานความคิดจิตใจคนทั้งหลายด้วยไมตรีจิตมิตรภาพล้วน ๆ ไปสู่ความเป็นมิตรกันและกันล้วน ๆ วันนี้เวบไซต์นี้ ได้กลายเป็นโลกท่องเที่ยวอีกโลกหนึ่ง ที่กว้างใหญ่ไพศาล เข้าไปแล้วได้พบแต่สิ่งที่สบายใจมีความสุข ให้ความคิดสติปัญญา และได้พบเรื่องราวหลายหลากมากมาย ที่อาจจะท่องเที่ยวไปได้ตลอดชีวิต หรือท่านอาจจะอยากอยู่ณโลกนี้ไปชั่วนิรันดร ไม่กลับออกไปอีกก็ได้ เพียงแต่ท่านเข้าใจว่านี่เป็นแดนต้นเรื่องเป็นด่านข้ามจากแดนโลกเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง และซึ่งเป็นโลกหรือบ้านของท่านทั้งหลายได้เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาต่างศาสนา ได้โปรดใช้การแปลของ กูเกิล หรือ Google Translate แปลเป็นภาษาของท่านก่อน ที่เขาเพิ่งประสบความสำเร็จการแปลให้ได้แทบทุกภาษาในโลกมนุษย์นี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปีนี้เอง นั้นแหละเท่ากับท่านจะเป็นที่ไหนของโลกก็ตาม ทั้งหมดโลกประมาณ 7.6 พันล้านคนวันนี้ สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในโลกของเราได้เลย เราไม่ได้นำท่านไปเที่ยวแบบธรรมดาๆ แต่การนำไปสู่ความจริง ความรู้เรื่องชีวิตใหม่ การอุบัติใหม่สู่ภาวะอริยบุคคล ไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปพ้นจากทุกข์ ทั้งหลายไปสู่โลกแห่งความสุขแท้นิรันดร คือโลกนิพพานขององค์บรมศาสดาพุทธศาสนา พระบรมครูพุทธะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านโปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate ท่านก็จะเข้าสู่โลกนี้ได้ทันทีพร้อมกับคน7.6พันล้านคนทั้งโลกนี้. ----- ***** ----- • หมายเหตุ เอาขึ้นเวบไซต์ แทนของเดิม ทั้ง 2 เวบ .net .com วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 07.00 น. -----*****-----