Thai-English

การเมืองไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ

นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร

24-25มี.ค. 2568

ว่าไม่สมควรอยู่ต่อไป เหตุผลนั้นคือ  ไม่มีความรู้พอแก่ตำแหน่ง  ขาดวุฒิภาวะ  และทุจริตทางการเงิน 

เรื่องทุจริตที่น่าฟัง ก็คือเรื่อง  ตัวเป็นถึงนายกรัฐมนตรี ยังพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษี    โดยทำเป็นตัวอย่าง สร้างระบบลีกเลี่ยงภาษีให้คนมีเงิน เอาเป็นแบบอย่างโกงภาษีต่อไป ส่วนคนทั้งหลายไม่อาจหลีกเลี่ยงภาษีใดใดเลย เป็นการกดขี่คนยากคนจนประชาชนทั้งหลายแบบไร้ซึ่งเมตตาธรรมไปทั้งสิ้น

อีกเรื่องก็คือ  เรื่องที่ดินวัด  กรณีที่ดินอัลไพน์  ที่เจ้าของคุณแม่เนื่อง  คุณนายเนื่อง ยกมรดกก่อนตายยกให้วัดธรรมิการามกว่า 900 ไร่  และนั่นคือเป็นที่ธรณีสงฆ์ ที่ซื้อขายไม่ได้อยู่แล้ว  แต่แล้ว นายทักษิณ ชินวัตร ได้มาอย่างไร ? นอกจากใช้เลห์กลการบาป เป็นเรื่องมาตั้งแต่พ่อ นายทักษิณ ชินวัตร  ซื้อเอาไปทำสนามก๊อลฟ หารายได้เข้าตัวเอง  แล้วตกลงมาเป็นของลูกสาว นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันนี้ หารายได้จากงานบาปต่อไป   ซึ่ง นอกจากเรื่องกฎหมาย ราชการบ้านเมืองแล้ว  ยังไปเกี่ยวกับบาปมหาศาลอันทำบาปกับพระพุทธศาสนา  เป็นการกระทำผิดร้ายแรงมหาศาลกว่าเดิมไปอีก  เพราะผู้จะพิพากษา เป็นจอมมัจจุราชในมหานรกโดยตรงซึ่งตามหลักนรกแล้ว เริ่มดู พิจารณามาตั้งแต่เริ่มกระทำความผิดมาแล้ว มีการส่งยมทูตติดตามเรื่องไปตลอดจนถึงวันตาย จึงลงโซ่ตรวนแบบนักโทษฉกรรจ์ไปส่งจอมมัจจุราช

ส่วนฝ่ายค้าน  ที่พบก็คือ ทำการกล่าวหามาแบบละเอียดรอบคอบมากเลย  คือว่าน่าชื่นชม   ที่ทำไปอย่างมีเหตุมีผล  หลักฐานความจริงดูจะเพียบพร้อมไปหมด  จนน่าจะชนะใจประชาชนอยู่ไม่น้อย

หากแต่มีข้อสังเกต  โดยเฉพาะในวันสุดท้าย ที่หัวหน้าพรรคประชาชน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ    สรุปเรื่องราวลงว่า นางสาวแพทองธาร พรรคเพื่อไทยว่าไม่ซื่อตรงต่ออุดมการณ์ร่วมกันมาก่อน ในประเด็นเกี่ยวกับสถาบัน  นับแต่แก้รัฐธรรมนูณ มาตรา 112  ปฏิวัติสถาบันการเมือง  แบบพวกสามนิ้ว  และนี่แหละที่บอกถึงเรื่องที่พรรคคนหนุ่มสาวที่ว่าตนเองรักประชาธิปไตย  นั่นแหละความรักแบบโง่ ๆ  ก็พากันโดดเหวตายพร้อมกันไป นี้  น่าจะเสียหายใหญ่โตไปกว่าเดิมอีก

เพราะแสดงว่าไม่รอบคอบพอในระบอบ ระบบการเมืองของประเทศไทย  ยังคงจะพยายามให้เป็นการเมืองประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ  แบบซีเรีย  รวันด้า  และเฮติ  ต่อไปอีก…คือให้มีประธานาธิบดีแทนพระมหากษัตริย์

คือตรงนี้ต้องมองว่า  พรรคประชาชนนี้ แท้จริงคือพรรคก้าวไกล นั้นเอง   ที่วันนี้  วันที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ   ได้แย้มความลับเดิมออกมา เรื่องสัญลักษณ์ 3 นิ้ว  คิดล้มล้างสถาบันการปกครอง สถาบันกษัตริย์  -ทหารไทย  อยู่นั่นเอง     ซึ่งพรรคก้าวไกล กับหัวหน้าพรรคคนเดิม นายพิธา ลิ้มเจริญรัฐ  นั้น  การที่ได้รับคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ ว่า  “ใช้สิทธิเสรีภาพแบบซ่อนเร้น เจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน ล้มล้างการปกครอง”

โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัฐ และพรรคก้าวไกล ซึ่งมาเป็นพรรคประชาชน วันนี้  ซ่อนแผนการร้ายคิดล้มล้างสถาบันเพื่อปฏิวัติ(ไม่ใช่ปฏิรูป) การเมืองไทยเป็นระบอบสาธารณรัฐ  โดยจะต้องผ่านขั้นตอนล้มล้างสถาบันไปเสียให้ได้ก่อนนั้น     เอาระบอบประธานาธิบดี/สาธารณรัฐ มาใช้แทน    ตามที่ทราบกันมาแต่ดั้งแต่เดิมที่เริ่มประกาศโดยตรง เมื่อคืนวันที่ 10 ส.ค. 2563  ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ศูนย์รังสิต โดยมีรายชื่อกลุ่มอาจารย์ในมหาวิทยาลัยกว่า 140 คน  ยืนเข้าข้างพร้อมสนับสนุนการปฏิวัติสถาบัน  ตลอดมานั้นเอง ...ซึ่งยังน่าเป็นปัญหาทางวิชาการต่อมาอยู่ จนกว่าจะได้ชำระสะสางให้เป็นที่เข้าใจกันเรียบร้อย  

เมื่อล้ม พรรคก้าวไกลไป มาเป็นพรรคประชาชน มีนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ   เป็นหัวหน้าพรรคแทน....เป็นผู้นำฝ่ายค้านวันนี้   ก็มิได้ปรากฏว่าพรรคนี้มีความสำนึกในความผิดทางการเมืองของตนเองเลย    จึงมีลักษณะปฏิบัติการเมืองแบบซ่อนเร้นเจตนา เซาะกร่อรบ่อนทำลายสถาบัน ล้มล้างการปกครองต่อไป....และซึ่งลักษณะช่อนเร้นแบบนี้  น่าที่ประชาชนจะได้มองว่า เป็นเรื่องไม่เหมาะสมที่จะให้มีในวงการเมืองไทยอีกเลย การเมืองไทยต้องทำโดยเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่หลอกลวงประชาชน

และวันอภิปรายไม่ไว้วางใจนี้ก็มาเปิดเผยความลับ ซ่อนแผนร้ายนี้ออกมา ...โดยเฉพาะในชั่วโมงท้าย ๆ  การอภิปรายของ สส.หนุ่ม นายชยพล สะท้อนดี พรรคประชาชาชน พูดถึงเรื่อง ทีมไซเบอร์ของกองทัพ โดยว่าร้าย ขนาดเรียกว่าเป็น  วิธีการโจรกรรมใช้ข่มขู่แสวงหาประโยชน์จากประชาชน   ว่า  นี่ไม่ใช่ไซเบอร์  แต่เป็นอาชญากรรมทางไซเบอร์  พฤติกรรมโจรในเครื่องแบบทหาร  แบบรัฐซ้อนรัฐ   ซึ่งนางสาวแพทองธาร ก็จะต้องรู้เรื่องดี แต่ไม่แก้ไข จึงต้องไล่ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปเลย

นี่คือ  สิ่งที่ได้เห็น ได้รู้จากการอภิปรายฯ วัน2วันนี้

และที่ประชาชนไทยส่วนการเมืองโดยตรงน่าจะได้สังเกตว่า  ยังคงเป็นการเล่นการเมืองประชาธิปไตยแบบมีแผนซ้อนแผน  เอาประชาธิปไตยบังหน้า ต่อไปอีก และนั้นบอกไปถึงทีมงานต่างชาติ ผู้มุ่งยึดครองแผ่นดินคนอื่นแบบแอบอยู่เบื้องหลังนักการเมือง พรรคการเมืองที่ไม่ซื่อตรงต่อแผ่นดิน ที่ขายชาติ 

แน่นอน วันหน้าพรรคเพื่อไทย ที่หากยังมีหัวหน้าพรรคคนนี้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรือในอำนาจของคนตระกูลนี้  ย่อมจะถูกดึง เกลี้ยกล่อมให้ไปร่วมงานตามแผนปฏิวัติสถาบัน ที่ร่วมกันมาแต่เดิม  และเรื่องเดิม ๆ ที่มีการเรียกร้องของพวก 3 นิ้วไม่เคยหยุดหย่อน  ก็ต้องเริ่มด้วยยุทธศาสตร์ แก้รัฐธรรมนูญและโดยเฉพาะแก้ไขมาตรา 112 โดยอ้างตลอดว่า แก้ได้   เพราะเป็นประชาธิปไตย นั้นเอง โดยมุ่งให้ได้พื้นฐานการโฆษณาด้อยค่าสถาบัน  จะได้ประโยชน์ทางการปลุกระดมด้อยค่าสถาบันอย่างไม่มีความผิดนั้นเอง 

ซึ่งนี่คือ ความไม่ซื่อสัตย์ กตัญญูต่อแผ่นดินและบรรพบุรุษไทยนั้นเอง  ซึ่งนี่คือโทษของการเมืองโดยตรงต่อประเทศชาติและประชาชนไทย  ไม่สำนึกประวัติศาสตร์ของประเทศเดียวในโลกนี้  ที่มีความสงบสุขพอเพียงแก่ชีวิตหนึ่ง อยู่แล้ว  ดังปรากฏว่าเป็นที่ 1 ในโลกหลายด้าน อาหารวัฒนธรรม การท่องเที่ยว  ค่าครองชีพยังต่ำกว่าที่อื่น อาหารการกิน  ที่อยู่อาศัย  ไม่แพงเลย  แม้การรักษาพยาบาล ก็ไม่แพงเลย     แต่นั่นแหละความนิยมความชื่นชมของชาวต่างประเทศ สมกับเป็นแผ่นดินเอกราช มีอธิปไตยมานาน   เพระทั้งชาติ  ศาสนา  พระมหากษัตริย์  -(ทหารไทย) ควบคู่กันมาโดยตลอดอย่างแนบแน่นดีแล้ว จะมีการปรับปรุงประการใดนั้น จะต้องไม่ให้มีแผนการเมืองในลักษณะซ่อนเร้นแอบโกงแอบกิน ....แบบที่ศาลรัฐธรรมนูญ  ว่าไว้นั้นเอง คือลักษณะ  “ใช้สิทธิเสรีภาพแบบซ่อนเร้น เจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน ล้มล้างการปกครอง”....ต้องไม่มีอย่างเด็ดขาด

คือปรากฏวันนี้เองว่า พรรคก้าวไกลเก่า-พรรคประชาชนใหม่  และพรรคเพื่อไทย  วันนี้ ยังไม่บอกถึงความซื่อสัตย์พอ 

ยังทำการเมืองแบบโง่เขลา เข้าใจผิดต่อไปอีกและเต็มไปด้วยแผนการโฆษณาหาเสียงหลอกลวงประชาชนผู้ตามไม่ทันรู้ไม่เท่าทันตน อันเป็นการโกงอีกแบบหนึ่งของคนยุคใหม่

นั่นคือ  ยังเข้าไม่ถึง หัวใจประชาธิปไตย  นั้นก็คือ   หัวใจประชาธิปไตย ต้องมีธรรมะเสมอ ขาดธรรมะเมื่อไร ประชาธิปไตยก็วอดวายพินาสน์ไปทั้งสิ้น (โปรดดูนักการเมือง พรรคการเมืองอเมริกา ต้นตำหรับแบบอย่างประชาธิปไตยโลก)

โดยเฉพาะคำว่า  สิทธิ เสรีภาพนั้น ที่รวมลงเป็นกฎธรรมะแห่งระบอบประชาธิปไตยสากล นั้นคือ  เสรีภาพ   เสมอภาค  และ  ภราดรภาพ  นั้น  ยังไม่เป็นที่เข้าใจกันของนักการเมืองวัยรุ่น ๆ  ว่านี้คือ  ธรรมะ  ของศาสนาประชาธิปไตย   อันมาจากหลักศาสนาพุทธทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นเอง ที่ต้องถือปฏิบัติเพียงดังกฎหมายของประเทศ  หรือแม้ดุจคำปฏิญญาณของชีวิต ตามหลักศีลธรรม จริยธรรมแห่งศาสนาไปอีก

เมื่อไม่เข้าใจธรรมะเช่นการที่รัฐบาล นส.แพทองธาร ชินวัตรคิดหาเงินจากแหล่งการพะนัน อันแสดงถึงความจนปัญญาหาอยู่หากินแบบดี ๆ ยากเย็น ยากจนเต็มที่แล้ว  จะสร้างศูนย์ขนาดใหญ่ในกรุงเทพ และแยกย่อยไปในต่างจังหวัดทั่วประเทศนั้น  นั่นแหละความประพฤติผิดหลักธรรมะสัมมาทิฏฐิ-สัมมาอาชีโว  เป็นมิจฉาอาชีพ  โดยจะไปออกกฎหมายรับรองอาชีพชั่ว  ว่าเป็นอาชีพดี  โดยจะไปออกกฎหมายรับรองความชั่วว่าเป็นความดีนั้น อย่างไร ๆ ผลนั้นย่อมลงตรงตามเหตุแห่งความชั่วคือเป็นผลชั่วอยู่นั่นเอง และแน่นอน ลงไปถึงคุกนรกโดยคำสั่งเจ้าจอมนรกมัจจุราชอีกเรื่องหนึ่ง

อันผิดหลักธรรมะของศาสนาประชาธิปไตย แล้วจะเจริญไปได้อย่างไร ?

ฉะนั้น  วันนี้ ที่เราได้พบจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร  จึงได้เห็นได้พบว่าพรรคคนหนุ่ม ๆ ที่มีความคิดอ่านดูเก่ง คล่อง ว่องไว   หากแต่ เก่ง คล่อง ว่องไว แบบผิด ๆ    ยังคงคิดซ่อนเร้นแผนการบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติต่อไป   และยังคงพยายามที่จะดึงพรรคร่วมอุดมการณ์เดิม(พวกสามนิ้วด้วยกัน  แก้ม.112 ด้วยกัน  แก้รัฐธรรมนูญให้ได้ วางแผนแบบยุทธศาสตร์ คือแผนหลักไปตลอด มีเรื่องต่อรองแก้รัธรรมนูญไปตลอดไม่หยุดหย่อนเพราะถือเอาเป็นการโฆษณาชวนชื่อยกฝ่ายตนด้อยค่าสถาบันไปตลอดแบบง่าย ๆ) คือดึงพรรคเพื่อไทยกลับมาร่วมกันสร้างสาธารณรัฐไทยขึ้นต่อไปไม่ยอมหยุด  ซึ่งแน่นอนพวกเขาจะยืนยันแก้ ม.112  และแก้รัฐธรรมนูญต่อไปไม่รู้กาละเทศธรรมเลย โดยอ้างอย่างผิด ๆ  ว่ารัฐธรรมนูญเท่านั้น จึงจะเป็นประชาธิปไตยได้เต็มที่ แบบที่  ในเมื่อไม่เคยอธิบายเลยว่า  แก้อย่างไร? แก้ประเด็นไหน?   และนั้นแหละ แม้หลักประชาธิปไตยก็ยังไม่รู้ไม่เข้าใจแล้ว   แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่า   แก้รัฐธรรมนูญเพื่อตนเองได้อำนาจ หรือได้อำนาจไปสนับสนุนพวกตน  ให้ได้ตำแหน่งครองอำนาจ เพื่อการปฏิวัติ ล้มล้างสถาบัน   นั้นเอง 

นั่นแหละ ย่อมยังคงซ่อนเร้นเจตนาการบ่อนทำลายคุกคามสถาบันต่อไป

นับว่าประเทศไทย ได้ผ่านวิกฤติตรงนี้มาแล้ว ในคราวเลือกตั้งทั่วไป  14 พ.ค. 2566 และเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี  3 ส.ค. 2566  หากมิฉะนั้น นายพิธา ลิ้มเจริญรัฐ  + พรรคก้าวไกล  ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 และนำไทยไปสู่ สาธารณรัฐสยาม-ไทยไปแล้ว

และน่าจะทำให้แผ่นดินไทยวุ่นวายไป ไม่มีวันสงบ แบบสาธารณรัฐเฮติ รวันด้า  ซีเรีย  แน่ ๆ ๆ

จนที่สุดมีคนเก่งคนดีฟ้องร้องไป  และศาลรัฐธรรมนูญ  ชี้ออกมาดังกล่าว  จึงจบภัยร้ายการเมืองไทยไปดังกล่าว?

วันนี้ ไทยจึงยังเป็นไทยที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข   ซึ่งเป็นระบอบประชาธิปไตยเต็มระบบอำนาจประชาธิปไตย ของประชาชน  โดยประชาชน  และ เพื่อประชาชน แล้ว   หากแต่นักการเมืองพรรคใหม่ ๆ  รุ่นใหม่ ๆ  ยังไม่เข้าใจ (ดูที่ไปที่มาของอำนาจทั้ง 3 นิติบัญญัติ  บริหาร  ตุลาการ  ว่ามีอิสระแก่กันและกันหรือไม่...มาจากประชาชนโดยตรงหรือไม่?)  พรรคเดิมยังไม่เข้าใจต่อไป  โดยพรรคก้าวไกลเดิม พรรคประชาชน ก็ดูเหมือนยังไม่เข้าใจอยู่อีก   จึงปรากฏเรื่องราวดังกล่าวมานั้นเอง

โดยรูปธรรมที่ประชาชนไทยเจ้าของอำนาจอธิปไตยของชาติจะพึงเข้าใจ พึงพิจารณาต่อไป ก็คือ   พรรคที่ซ่อนเร้นเจตนา ดังที่ปรากฏในประเทศสาธารณรัฐเฮติว่าเป็นแก๊งค์ต่าง ๆ (ไม่ใช่พรรคการเมือง) อยู่ทั่วประเทศถึง 295 แก๊งค์   วันนี้  นั่นเอง

วันนี้....คนไทยก็จงมองการเมือง มองพรรคการเมืองให้ถูกต้อง และพรรคการเมืองนักการเมืองต้องปรับตัว โดยต้องคำนึงเรื่องความเป็นชาติไทยมานาน ไม่เคยมีประวัติศาสตร์เป็นเมืองขึ้น หรืออาณานิคมยุคตะวันตก   เรื่องอธิปไตยเอกราช   ความมั่นคง  ของชาติ  แผ่นดินไทย   และที่สุดสามสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์  ต้องมั่นคงตลอดไป     

ภัยของชาติ  ศาสนา   พระมหากษัตริย์ นั้นคือภัยของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นั้นเอง ซึ่งเจ้าของอำนาจ คือประชาชนไทยจะต้องคอยดู  จะต้องขจัดไป ไม่ให้มีอยู่ในแผ่นดินนี้  จึงจะเข้าสู่ระบบการเมืองประชาธิปไตย ตามอุดมการณ์จริง ๆ  คือ  ประชาธิปไตยไม่มีผู้ใดชนะ   ไม่มีผู้ใดแพ้แต่ชนะด้วยกันหมด

***** ฆิกเมฆ  สุวรรณเมฆินทร์   

         27 มี.ค. 2568   10.00 น.

@ การเมืองไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธารชินวัตร

*****-----*****

Thai politics, no-confidence motion

Prime Minister Ms. Paethongtarn Shinawatra

24-25 March 2025

said that she should not continue to serve. The reasons are that she does not have enough knowledge for the position, lacks maturity, and is financially corrupt.

A corruption story worth listening to is the story of the Prime Minister who still tries to avoid paying taxes by setting an example, creating a tax avoidance system for the wealthy to use as an example to cheat taxes. As for other people, they cannot avoid any taxes at all. It is a total oppression of the poor and the general public without any compassion.

Another story is the temple land issue. In the case of the Alpine land, the owner, Mrs. Nueng, gave more than 900 rai of land to Wat Thamikaram before she died, and that is temple land that cannot be bought and sold anyway. But how did Mr. Thaksin Shinawatra get it? Aside from using sinful tricks, it has been a story since his father, Mr. Thaksin Shinawatra, bought it to build a golf course, generating income for himself, and then it fell to his daughter, the current Prime Minister, who continues to earn income from sinful work. In addition to the law and government, It also involves a great sin against Buddhism, which is an even more serious offense because the judge is the Lord of Death in the Great Hell, which according to the principles of hell, starts to look at and consider from the beginning of the offense. There are angels of death following the case until the day of death, then chains like a prisoner sent to the Lord of Death.

As for the opposition, what was found was that the accusations were made in great detail. It is admirable that they were made with reason. The evidence seems to be complete, so it should win the hearts of the people quite a bit.

However, there are observations, especially on the last day, when the leader of the Prachachon Party, Mr. Nattapong Ruangpanyawut, summarized the story that Ms. Paethongtarn of the Pheu Thai Party was not true to the same ideology before, on the issue of the institution, since amending the constitution, Section 112, revolutionizing the political institution like the three-finger group. And this is what tells about the story of the young people who say that they love democracy. That is, stupid love, they jumped off the cliff and died together. This should cause even greater damage than before.

Because it shows that there was not enough care in the political system of Thailand. Still trying to make it a republican democracy like Syria, Rwanda and Haiti... that is, to have a president instead of the king.

Here, we must look at this. The People's Party is actually the Move Forward Party. Today, on the day of the no-confidence debate, they revealed the old secret about the 3-finger symbol, thinking of overthrowing the institutions of government, the monarchy and the Thai military. The Move Forward Party and its original leader, Mr. Pita Limjaroenrat, received the Constitutional Court's verdict that "they used their freedoms in a hidden manner, with the intention of eroding and destroying the institutions, overthrowing the government". Mr. Pita Limjaroenrat and the Move Forward Party, which became the People's Party today, hid an evil plan to overthrow the institutions in order to revolutionize (not reform). Thai politics is a republican system. It must go through the process of overthrowing the institutions first. Then, use the presidential/republic system instead, as we have known from the beginning, which was directly announced on the night of August 10, 2020 at Thammasat University, Rangsit Center, with a list of more than 140 university lecturers who stood on the side and supported the revolution of the institutions all along. ...which is still an academic problem until it is settled and understood.

When the Move Forward Party was defeated, it became the People's Party, with Mr. Nattapong Ruangpanyawut as the party leader instead....as the leader of the opposition today, it does not appear that this party has any remorse for its political wrongdoings. Therefore, it has hidden political operations with the intention of undermining and destroying the institution and overthrowing the government....and this hidden nature should be seen by the people as inappropriate for Thai politics to exist in. Thai politics must be done openly and honestly, without deceiving the people.

And on this day of the no-confidence debate, they revealed this secret, hidden evil plan...especially in the last hour of the debate by the young MP, Mr. Chaiyaphon Satondee, Prachachon Party, who talked about the army's cyber team, slandering it to the point of calling it a method of theft used to intimidate and take advantage of the people, saying that this is not cyber, but a cyber crime, the behavior of bandits in military uniforms, a state within a state, which Ms. Paethongtarn must know well but did not fix, so she had to be dismissed from the position of Prime Minister.

This is what we have seen and learned from the debate over the past 2 days.

And what Thai people in direct politics should have noticed is that it is still a game of democratic politics with a plan within a plan, using democracy as a front. And that also goes to the foreign team who aims to seize other people's land secretly behind politicians, political parties that are dishonest to the country, who sell out the country.

Of course, in the future, the Pheu Thai Party, if it still has this party leader, Ms. Paethongtarn Shinawatra, or under the power of this family, will definitely be pulled and persuaded to join the work according to the plan to revolutionize the institution that has been together since the beginning. And the same old issues that the 3-finger group has been demanding without stopping, must start with the strategy of amending the constitution, and especially amending Section 112, claiming all the time that it can be amended because it is democratic. The aim is to gain the basis for advertising to devalue the institution, so that it will benefit from inciting to devalue the institution without any guilt.

Which is dishonesty, gratitude to the country and Thai ancestors. Which is the direct punishment of politics for the country and the Thai people, not realizing the history of the only country in the world that has enough peace for one's life, as it is apparent that it is number 1 in the world in many aspects: food, culture, tourism. The cost of living is still lower than other places. Food, housing, and medical care are not expensive at all. But that is the popularity and admiration of foreigners. It is worthy of being an independent country with sovereignty for a long time. Because the nation, religion, the monarchy - (Thai military) have always been closely connected. If there is any improvement, there must not be any hidden political plans, cheating, or taking advantage... like what the Constitutional Court said, which is the type of "hidden use of rights and freedoms, with the intention of eroding and undermining the institution, overthrowing the government"... It must absolutely not exist.

It is apparent today that the old Move Forward Party - the New People's Party and the Pheu Thai Party still do not show enough honesty.

They still do politics foolishly, misunderstand, and are full of advertising plans to deceive the people who do not keep up with them. This is another type of cheating of the new generation.

That is, they still do not understand the heart of democracy. That is, the heart of democracy must always have Dhamma. When Dhamma is missing, democracy will be destroyed and ruined. (Please see American politicians and political parties. The original model of world democracy)

In particular, the words rights and freedoms, which are included as the universal dharma of democracy, namely freedom, equality, and fraternity, are still not understood by young politicians that this is the dharma of democracy, which comes from the principles of Buddhism, which must be adhered to only as the law of the country or even as a vow of life, according to the morality and ethics of religion.

When they do not understand the dharma, such as the government of Ms. Paethongtarn Shinawatra thinking of making money from gambling sources, which shows the incompetence of finding a good living, with great difficulty, and extreme poverty, and will build a large center in Bangkok and separate it to other provinces throughout the country, that is a behavior that is against the principles of dharma, right livelihood, which is wrong livelihood, by passing a law to certify bad occupations as good occupations, by passing a law to certify bad things as good, in any case, the result will be directly related to the cause of the bad, which is still a bad result.

This is against the principles of democracy, so how can it progress?

So today, what we have found from the no-confidence debate Ms. Paethongtarn Shinawatra has seen that the party of young people who seem smart, agile, and quick, but smart, agile in the wrong way, still thinks of hidden plans to undermine national security and still tries to pull the same ideological parties (the three-finger group, the group that amends Section 112, amends the constitution, makes strategic plans, which is the main plan all the time, always has the issue of amending the constitution) that is, pull the Pheu Thai Party back to join in building the Thai Republic without stopping. Which of course they will insist on amending Section 112 and amending the constitution without any regard for time and place, falsely claiming that only the constitution can be fully democratic, like never explaining how to amend it. And that's it, even the democratic principles are still ignorant and do not understand. They clearly show their intention to amend the constitution to gain power for themselves or gain power to support them to gain positions of power for the revolution. That's it, they still hide their intention to undermine and threaten the institution.

Therefore, today, what we have seen from the censure debate of Ms. Paethongtarn Shinawatra, we have seen that the party of young people who seem to be smart, agile, and quick, but smart, agile in a wrong way, still thinks of hidden plans to undermine national security and still tries to pull in the same ideological parties (the three-finger group, the group that amends Section 112, to amend the constitution, planning strategically, which is the main plan all the time, there is a negotiation to amend the constitution continuously because it is considered an easy way to promote their own side and devalue the institution all the time) which is to pull the Pheu Thai Party back to join in building the Thai Republic without stopping. Of course, they will insist on amending Section 112 and amending the constitution without any regard to time and place, falsely claiming that only the constitution can be fully democratic, in a way that has never been explained how to amend? What issues to amend? And that is it, even the principles of democracy are still unknown and do not understand. They clearly show their intention to amend the constitution to gain power or gain power to support them to gain positions of power for a revolution. Overthrow the institution.

That is, it still hides the intention to undermine and threaten the institution.

It can be said that Thailand has already passed this crisis in the general election on May 14, 2023 and the prime minister election on August 3, 2023. Otherwise, Mr. Pita Limjaroenrat + Move Forward Party would have become the 30th prime minister and led Thailand to the Republic of Siam-Thailand.

And it is likely to make Thailand chaotic and never peaceful like the Republic of Haiti, Rwanda, Syria.

In the end, some good and capable people sued and the Constitutional Court ruled as stated, so the dangers of Thai politics have ended as stated?

Today, Thailand is still a Thailand ruled by a democratic regime with the King as head of state, which is a full democratic regime with democratic power of the people, by the people, and for the people. However, new politicians from new parties still do not understand (look at the origin of the power of all 3 legislative, executive, and judicial branches. Are they independent of each other or not? ... Do they come directly from the people?). The original parties still do not understand. The original Move Forward Party and the Prachachon Party also seem to still not understand. Therefore, the story has appeared as follows.

In concrete form, the Thai people who are the owners of the sovereign power of the nation should understand and consider further, which is the hidden intention party, as seen in the Republic of Haiti, which is a gang (not a political party) throughout the country, totaling 295 gangs today.

Today....Thai people should look at politics, look at political parties correctly, and political parties and politicians must adjust themselves, taking into account the long history of being Thai, never having a history of being a colony or a colony in the Western era, the sovereignty, independence, security of the nation, the land of Thailand, and finally the three institutions, the nation, religion, and the monarchy, must be stable forever.

The dangers of the nation, religion, and the monarchy are the dangers of the democratic regime with the King as the head of state, which the owners of the power, the Thai people, must watch out for, must eliminate, not to exist in this country, then we will enter a democratic political system according to the true ideology, which is democracy, where no one wins, no one loses, but everyone wins together.

***** Khikamek Suwanmekhin

27 March 2025 11.00 a.m.

@ Thai politics, no-confidence debate, Prime Minister Ms. Paetongtarn Shinawatra

@ การเมืองไทยอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธารชินวัตร

*****-----*****
*****-----*****

Thai-English

พระพุทธศาสนาสู่ยุคใหม่  ตอนที่ 4

ตัณหาทั้ง3อย่าง เรื่องสำคัญของมนุษย์ทั้งโลก

ตอนที่ 1 ปุถุชน  คนทั้งหมดโลกเป็นเพียง  ปุถุชน  คนต่ำต้อย

ตอนที่ 2  ทุกขัง  อะนิจจัง อะนัตตา  ในวัฏฏะสงสาร

ตอนที่ 3  ยุคนักวิทยาศาสตร์ฟื้นพระพุทธศาสนาขึ้นสู่โลกใหม่  ทุกประเทศมุ่งสู่การเมืองประชาธิปไตย

1.

ตอนที่ 4 ตัณหาทั้ง 3 อย่าง เรื่องสำคัญของมนุษย์ทั้งโลก

-กามตัณหา

-ภะวะตัณหา

- วิภะวะตัณหา

3 คำนี้ เป็นคำที่มีความหมายสูงสุดแด่มวลมนุษย์ชาติ  หากแต่ไม่รู้ความหมาย สำหรับคนไทย เป็นภาษาต่างประเทศ  และซึ่ง ไม่รู้จะแปลเป็นไทยว่าอะไร  ก็เลยแปลว่า

กามตัณหา    แปลว่า  กามตัณหา

ภะวะตัณหา   แปลว่าภะวะตัณหา

วิภวะตัณหา   แปลว่า วิภะวะตัณหา

ตัณหา           แปลว่า ตัณหา

ก็เลย ไม่รู้ความสำคัญ  นัยะความหมายของพระพุทธเจ้า    

คนไทย  ลาว  เขมร   พม่า มาเลเซีย  สิงคโปร์   ไม่รู้ทั้งนั้น

ก็เลย  ไม่น่าแปลกใจที่ไม่มีคนแม้พระนักบวชพุทธ ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ใน 3-4 ประเทศพุทธนี้เลย

2.

วันนี้ มีคนมีความรู้ ที่เรียกว่า  “อาจารย์”   หรือ “ศาสตราจารย์”   สอนคนมากมายไปหมด   แต่ก็ไม่รู้ว่า 3 ตัณหานี้ แปลว่าอะไร?  คืออะไรในคำสอนของพระพุทธเจ้า ?

ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าได้บอกว่า..เป็นเรื่องสำคัญมาก...  เป็นเรื่องของโลกใหม่เรื่องของต่างดาวเลย   คือสำหรับพระองค์เอง พระองค์ได้บอกไว้ในพระปฐมเทศนา  ธัมมจักกัปปะวัตตนะสูตร  แต่ต้นเลย ว่า   เป็นตัวเหตุสำคัญทั้งหมดเลยของทุกข์ คือการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย  หรือความพินาสน์วอดวายของ สรรพสิ่ง  โลกและจักรวาล   เป็นตัวเหตุแห่ง  ทุกขัง อะนิจจัง  อะนัตตา 

3.

คือเรื่อง อริยสัจ 4  นั้น เป็นเรื่องความจริงของชีวิตและสรรพสิ่ง ที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ และทั้งได้ทรงพิศูจน์ในเชิงเหตุเชิงผล โดยทรงทดลองแบบนักวิทยาศาสตร์จนทรงตรัสรู้  รู้แจ้ง “เหตุ”  และ “ผล”  

สมุทัย:เหตุ ที่นำไปสู่ผล  ผลมี 2 อย่าง (1.) ก็คือทุกข์  และ (2.) นิโรธ   จึงทรงพบว่านี่คือความรู้ชัดเจนแจ่มแจ้งสำหรับความเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง  จึงทรงประกาศพระองค์ว่าเป็นพระพุทธเจ้า

4.

คือ ในอริยสัจ 4   ที่ทรงบอกทรงสอนความรู้ที่ได้มาจากการตรัสรู้ของพระองค์เป็นครั้งแรก  โดยสอนแด่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 รูปก่อน   ว่า  ทุกข์ ...ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็เกิดทุกข์มาเอง   หากแต่มีเหตุให้เกิดทุกข์  นั่นคือมาจากเหตุ  (เหตุ=สมุทัย)  3 ประการ

คือ  กามตัณหา  ภะวะตัณหา  และ  วิภะวะตัณหา  

คือคำ 3 คำนี้ เป็น “เหตุ”  ที่นำไปสู่ “ผล” 2 อย่างคือ

(1.) ผลร้าย  คือ ทุกข์  

(2.) ผลดี     คือ นิโรธ-นิพพาน 

ซึ่งเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ เต็ม 100 %  นั้นเอง

(วิทยาศาสตร์คือวิชาที่พิศูจน์เรื่องเหตุกับเรื่องผลเสมอไป ไม่งั้นไม่ใช่วิทยาศาสตร์...และนักวิทยาศาสตร์ได้รู้วิชาวิทยาศาสตร์ จากคำสอนอริยสัจ 4 ของพระพุทธเจ้านี่เอง)   จึงเป็นความรู้สำคัญอย่างยิ่งและมีเหตุผลอย่างยิ่งสำหรับคนยุคนี้ ที่จะใฝ่หาความรู้แจ้งจริงของ อริยสัจ 4 และบรรลุความเป็นอริยบุคคลอรหันต์ … เพียงแต่ทำการชำระล้างเหตุร้าย คือ  กามตัณหา  ภะวะตัณหา  และวิภะวะตัณหา ออกไปเกลี้ยงจากจิตใจ  ให้บริสุทธิ์ สะอาด  ว่างเปล่า...ไม่มีสกปรกแม้เท่าเม็ดฝุ่นละออง เท่านั้นเอง (คือต้องสะอาดเอี่ยมทั่วถ้วนแบบไม่มีสกปรกเลย แม้เท่าเม็ดฝุ่นธุลีดิน   หากบรรลุอนาคามีแล้ว  ยังทำความสะอาดใจไม่ทั่วถ้วนไปหมด   เหลือความสกปรกอยู่เพียงเม็ดฝุ่นเม็ดเดียว ตราบที่ยังเอาเม็ดฝุ่นเม็ดเดียวนั้นออกไปไม่ได้ ไป 10 โกฏิล้านปี ก็บรรลุอรหันต์ไม่ได้  ฉะนั้น  คำว่า “ขาวรอบ” จึงคือสะอาดสะอ้านไม่มีแม้ความสกปรกเท่าเม็ดฝุ่นจึงจะบรรลุอรหันต์ได้  และสมแก่ความเป็น พระอรหันต์ผู้ประเสริฐแท้จริง)

 ก็เรียกว่า  ล้างเหตุร้าย  เอาเหตุร้ายออกไปได้แล้ว  ก็เกิดผล  คือสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ....ทำได้เมื่อไร  นาที  วินาทีไหน  ก็สำเร็จเมื่อนั้น    นี่เป็นหลักวิทยาศาสตร์

5.

คนเราเวลาหลงใหลได้ปลื้มพอใจยินดีกับกามตัณหา  ภะวะตัณหา  วิภะวะตัณหา  นี้แล้ว  ก็เท่ากับสร้างเหตุร้ายขึ้น และซึ่งจะสร้างผลร้าย  นั่นคือ ความทุกข์ ...ทุกขัง  อะนิจจัง  อะนัตตา  ส่งชีวิตไปหมุนวนในวัฏฏะสงสารไม่รู้จบ

แต่หากฟังพระพุทธเจ้า  ชำระเสีย  ล้างเสีย  ฆ่าเสีย ซึ่งตัณหาทั้ง 3 อย่างนี้ ออกไปจากดวงจิตวิญญาณดวงใจของเราได้เกลี้ยงสะอาดสะอ้านไปหมด  แบบขาวรอบ....มันก็แน่นอนเลยที่จะส่งผลดีนำผลดีมาให้  นั่นก็คือนิโรธ  หรือ นิพพาน  นั่นเอง ..และบรรลุอรหันต์ ในขณะมีชีวิตนี้เอง นั่นแหละอีกโลกหนึ่งที่พ้นทุกข์ทั้งปวง

6.

แต่ทำไม โลกวันนี้  จึงไม่มีพระอริยบุคคลอรหันต์เลย ?

ก็น่าจะเริ่มมาจากฟังภาษาไม่รู้เรื่อง   แปลคำ 3 คำนี้ไม่ถูก  นั่นเอง

กามตัณหา ไม่รู้แปลอะไรในภาษาไทย  แปลกามตัณหา  เป็น  กามตัณหา   

ภะวะตัณหา  ก็เหมือนกัน   แปล  ภะวะตัณหา  ว่า ภะวะตัณหา  เหมือนเดิม  

วิภะวะตัณหา ก็เหมือนกัน   ก็แปลว่า วิภะวะตัณหา

ตัณหา  แปลว่า  ตัณหา   เลยไม่รู้อะไรจริงๆ  โง่ บอดจริง ๆ

ก็จะไปรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับมรรคผลนิพพาน   ในเมื่อไม่รู้ภาษา  ก็เลยทำให้ไม่รู้เรื่องสำคัญที่สุด  ที่มีคำถามว่า  อยู่กับพระพุทธศาสนา  แต่ไม่รู้พระพุทธศาสนาเลย   และหาคนบรรลุพระอรหันต์ไม่มีเลย

7.

และที่ส่งผลร้ายมานานแล้ว ถึงวันนี้   ในเมื่อไม่รู้...ก็เอาสิ่งที่ไม่รู้นี้ไปจัดการเรื่องต่าง ๆ  โดยเฉพาะเรื่องการจัดการทางการปกครองคณะสงฆ์ นั่นเอง ...แบบไม่รู้ตัวเอง...โดยจัดการเอาภะวะตัณหาไปปกครองสงฆ์ทั้งประเทศ 

แค่นี้แล้ว  ก็ทำลายพุทธศาสนาลงทั้งหมด....และค่อยส่งผลร้ายพอกพูนมาตลอด มาก ๆ ๆ ๆ ขึ้นมาเรื่อย   จนถึงวันที่จะระเบิดขึ้น เอง   ......    อันเป็นผลมาจากความไม่รู้ ….แต่เมื่อรู้ขึ้นมาบ้าง ก็จะตกใจและเห็นบาป และมีความละอาย  คือ  หิริ-โอตตัปปะเกิดขึ้น แล้วเร่งมาแก้ไขเสีย

8.

ก็เลยทำให้ไม่รู้เรื่องสำคัญที่สุดอันเป็นธรรมะสำคัญยิ่งกว่าคำสอนเรื่องอื่น ๆที่ให้การบรรลุสู่ นิโรธ-นิพพาน -อรหัตภาวะ ตรงทางกว่าทางอื่น  เร็วกว่าทางอื่น ทางอื่น ทางปฏิบัติอื่นสอนคนโง่ ทางนี้สอนคนฉลาด สอนเสรีชนนักวิทยาศาสตร์ผู้เคารพเหตุและผล ให้บรรลุเร็วชั่วลมหายใจเข้าออก

9.

เมื่อไม่รู้จักกามตัณหา   ผู้บวชเป็นนักบวชเป็นพระ-สามเณร ก็น่าจะรู้จัก กามตัณหา ....แต่หารู้ไม่   เลยแก่ไปจนตาย ก็ยังเป็นเพียงปุถุชน    มีเงิน มีเกียรติ์ มียศ  แบบปุถุชน … ดีหน่อยที่ได้ห่มผ้า กาสาวพัสตร์  ……..

ก็ไม่รู้ว่าถูกหลอกด้วยเล่ห์เพทุบายของมหามารกามมันเอาไว้เป็นทาสขี้ข้ามัน   .... ไปคุย หัวเราะกับผู้หญิง ...ขนาดแก่จะตายทำอุบายเรียกหญิงมาใกล้ ๆ ลูบหัวเขา ล้วงคอ บ่าไหล่ลงไปถึงหน้าอกเขา....บอกว่าทำด้วยเมตตา  เล่านิทานธรรมะสนุก ๆ ให้ผู้หญิง นางชีฟัง  ๆ แล้วหัวเราะไปด้วยกัน  มองกันไปมองกันมา เดินไปด้วยกันสองต่อสอง  ทั้งไปกลางคืนด้วย นั่งเบนซ์ นึกว่าตนป็นเทวดา  เป็นเทพเจ้านู้น เอาคำว่าเทพมาใส่ชื่อตนเอง    

มีความรู้สึกสดชื่น ตื่นตาตื่นใจหายเศร้าโศรก  กับสิ่งที่ได้มาแบบโลก ๆ    หัวเราะเอิก ๆ อั๊ก ๆ  อย่างกับหนุ่มหน้ามนคนหนึ่งในบาร์คลับ นั้นเลย  แต่พอพบผู้ชายก็อึดอัด   ออกคำสั่งเยอะไปหมด  ไล่ไปนั่นไปนี่  ดูภาพโป๊ ๆ ประจำ  เริ่มจากดนตรี  ฟ่อนรำต่าง ๆ  ...แม้จะเป็นดนตรีธรรมะ...บอกเขาว่าดนตรีธรรมะ แต่รู้หรือเปล้าว่าเป็นเลห์กลแฝงของกามตัณหา.นั่นแหละ แปลว่า ไม่รู้จักกามตัณหาแล้วจะไปดำริถึง  อรหัตตมรรคอรหัตตผล  ได้อย่างไร  ? เอาแค่โสดาปัตติมรรค  ก็ไม่ได้แล้ว   แค่อยู่ในที่ลับตา - ที่ลับหูกับสตรี  พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ให้ทำอยู่แล้ว.....(พระวินัยว่า อนิยต 2 บทที่ 18-19) เพราะจะเสียท่าแก่กามตัณหาเจ้าเล่ห์นั้นเอง  และนั่นปิดทางมรรคผลเสียแล้ว ประพฤติอย่างนี้แล้วไปเทศน์เรื่องกามตัณหาได้อย่างไร...ไปออกท่าออกทางว่า เป็นพระโสดาบัน-อรหันต์ได้อย่างไร น่าอับอายแท้ ๆ

10.

และไม่รู้จักภะวะตัณหา กันเลย  เริ่มแต่แปลไม่รู้เรื่องมาเลย....เพราะพระสงฆ์ไทย มีการจัดระบอบ และทั้งระบบการปกครองแบบมีตำแหน่งควบคู่ไปกับชั้นยศ(สมณศักดิ์)  แม้ดำรงตำแหน่งชั้นสูง เป็นสมเด็จ เป็นเจ้าคุณ..ชั้นรองสมเด็จ ชั้นธรรม  ชั้นเทพ  ชั้นราช  เป็นพระราชาคณะสามัญ ควบไปกับตำแหน่ง....ตำแหน่งสูงก็ได้ยศสมณศักดิ์สูง   นี่คือภะวะตัณหา   เกิดการแข่งแย่งชิงกัน หาเงินซื้อยศ ตำแหน่งกันมาตลอด....  นักรัฐศ่าสตร์ก็คงจะเห็นชัดเจนว่าเป็นระบบเจ้าขุนมูลนายแบบเดิมของสยามไทยที่วันนี้เลิกใช้ไปแล้วนั่นเอง  ตำแหน่งก็มีตั้งแต่เจ้าคณะหน   เจ้าคณะภาค    เจ้าคณะจังหวัด  เจ้าคณะอำเภอ   เจ้าคณะตำบล   เจ้าอาวาส....และแม้ได้ตำแหน่งสูงขนาดนี้แล้ว  ก็ยังไม่รู้เลยว่าภะวะตัณหาคืออะไร....ทั้ง ๆ ที่การทรงสมณศักดิ์ การดำรงตำแหน่ง เท่ากับอยู่ใกล้ๆ  อยู่กับภะวะตัณหา โดยตรงเลย  แต่ไม่รู้จักภะวะตัณหาเลย ไม่รู้ว่ามันคือมารร้ายหัวเราะสบายใจกับการได้เป็น  ได้มี  ได้ยศใหญ่ ได้อำนาจ   ได้อิ่มรสชาติอาหาร  ได้เกียรติ์  ได้ยศ  ได้บรรดาศักดิ์  ได้ลาภผลมากมายมหาศาลมาสบาย ๆ   อันเกิดจาก ภะวะตัณหานี้ .......ยังไม่รู้เลย   แล้วจะบรรลุอรหันต์ ได้อย่างไร  แค่จะเอาโสดาบันก็อย่าคิดเลย 

11.

และเมื่อไม่รู้จักมหามาร  มหาภัยมาแต่ต้นแล้ว  ..... ก็ทำให้อยู่ไป  มีชีวิตไปแบบมีมหามาร  กาม  ภะวะ วิภะวะ  ตัณหา เป็นเพื่อนคู่ชีวิตไปตลอดความเป็นคน แม้เป็นนักบวช ห่มเหลืองไม่เหมือนฆราวาส  

แต่มื่อเปรียบกังวงการฆราวาส โดยตรง คือวงการข้าราชการไทย พวกข้ราชการแม้เป็นฆราวาส กลับรู้ธรรม ภะวะตัณหาดีกว่าวงการนักบวชอีกคือฆราวาสรู้ธรรมะมากกว่าถูกต้องกว่านักบวชสงฆ์วงการสงฆ์ไทยเสียอีก   และนำความรู้ในธรรมะมาบริหารจัดการวงการข้าราชการ  จึงน่าจะฟังและดูฆราวาสเป็นตัวอย่าง  ในเรื่อง ภะวะตัณหา  ก็ ดูจากการบริหารระบบราชการนั้นเอง  

เขารู้ทันรู้จักสร้างระบบที่ป้องกันภัยจากโจรร้ายภะวะตัณหา ที่ลดทอนพลังร้ายของมันลงไปส่วนสำคัญเลย  ส่วนวงการสงฆ์ แม้อยู่กับพุทธธรรม แต่ไม่รู้อะไรเลย  จึงมีแต่เปิดทางให้โจรเข้ามาครอบครองจิตใจต่อมาๆ  ๆ อยู่เรื่อยๆ และวันนี้มาสู่ปัญหาใหญ่โตขึ้นแล้ว

แล้วจะไปรู้จักอะไรกับคำสูงส่งว่า   อริยบุคคลโสดาบัน  อริยบุคคลสกทาคามี  อริยบุคคลอนาคามี  ถึงอริยบุคคลอรหันต์

ก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดน่าสนแท่ห์ในเรื่อง อวิชชาโดยแท้จริง

12.

ดูจากตำแหน่งข้าราชการทุกตำแหน่งเขาไม่ให้มีการเกาะติดกับตำแหน่งไปตลอดชีวิตเหมือนคณะสงฆ์  ให้มีการโยกย้ายเป็นระบบประจำทุก ๆ  4-5-6 ปี  เช่นนายอำเภอ  ปลัดอำเภอ  ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด  เขาให้โยกย้ายไปตลอดจนทั่วประเทศ  ผู้ว่าราชการจังหวัด  และตำแหน่งในกระทรวง กรมต่าง ๆ ทุกกระทรวง ทบวงกรม  ล้วนมีการโยกย้ายอย่างเป็นประจำทุก ๆ 4-5-6 ปี  ซึ่งก็มองเห็นว่า ได้ความคิดนี้มาจากไหน

โดยเหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์ก็คือไม่ให้มีการเกาะติด ยึดมั่นถือมัน พอกพูนเพิ่มขึ้นไม่รู้จักพอ กับตำแหน่ง กับฐานะศักดิ์  เกาะติดกับพื้นที่บริหารอันจะทำให้เกิดการพอกพูนลาภผล ยศ สรรเสริญ ขึ้นในเขตที่ปกครอง  ที่บริหาร นั้นนั่นเอง  ซึ่ง นี่แหละที่บอกถึง แม้ราชการงานเมืองฝ่ายฆราวาส ยังเข้าใจเรื่อง ภะวะตัณหา อย่างดี  แบบที่รู้ธรรมทะเหนือนักบวชเสียอีก เพียงแต่เขามองจากหลักการวิทยาศาสตร์มีการวิจัยหาเหตุหาผล แล้วพบสิ่งที่ร้าย ที่ตรงกับคำว่า ภะวะตัณหานั่นเอง  จึงไม่ปล่อยให้ข้าราชการในตำแหน่งชั้นปกครอง  ชั้นสูงเกาะติดพอกพูนอำนาจ วาสนาในพื้นที่ไปได้  จึงให้มีการโยกย้ายตำแหน่งเป็นประจำ เป็นระบบ ของทุกกระทรวงทบวงกรม   

ซึ่งวงการปกครองสงฆ์  มองให้เห็นความจริง นั้นแท้จริงก็คือ  การเอาระบบเผด็จการ เจ้าขุนมูลนายสมัยเก่าก่อนนั้น  มาปกครองหมู่สงฆ์  นั่นเอง  ซึ่งมันล้าสมัยไปหมดแล้ว  ในด้านการเมืองก็มีปฏิวัติการเมืองเป็นประชาธิปไตย ที่ลดทอนอำนาจ ภะวะตัณหา ลงโดยการเลือกตั้ง ทุก ๆ  4 ปี     ล้าหลังแม้กระทั่งเรื่องธรรมะโดยตรงเรื่อง  ภะวะตัณหา นี้เอง....เพราะระบบเจ้าขุนมูลนาย ที่ทางบ้านเมืองเลิกใช้ไปแล้วนั้นเป็นระบบภาษี รีดไถประชาชน  เป็นระดับ ๆ ลงไป  แบ่งกันทำมาหากินเป็นชั้น ๆ  ลงไปนั่นเอง  เขาเลิกใช้เพราะเห็นว่า ไม่เป็นธรรม และพอกพูนตัณหา ปิดทางมรรคผลนิพพาน    แต่กลับเอามาให้วงการสงฆ์นักบวชพุทธผู้มีหน้าที่บำเพ็ญตนเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน ใช้  ก็เลยกลายเป้ฯระบบที่ไม่ส่งเสริมวิถีมรรคผลนิพพานเลย  หากแต่ใช้รีดไถภาษีจากประชาชนต่อไป แบบระบบเจ้าขุนมูลนายเดิมนั่นเอง    ทางราชการสงฆ์  จึงมีระบบราชการสงฆ์ที่ลอกเลียนมาจากระบบราชการงานเมืองทุกตำแหน่งนั้นเอง   และซ้ำมีมากกว่าทางราชการ   เพราะยังใช้ระบบเจ้าขุนมูลนายมาปกครองหมู่สงฆ์อยู่ 

และทั้งจัดระบบชั้นมากกว่าทางบ้านเมืองไปอีก  คือเพิ่มตัณหามากไปกว่าฝ่ายราชการอีก   มีตำแหน่งเจ้าคณะภาค  เจ้าคณะหน เพิ่มไปอีก   นั้นเอง  โดยมีตำแหน่งงาน  มีเจ้าคณะหน   เจ้าคณะภาค    เจ้าคณะจังหวัด    เจ้าคณะอำเภอ    เจ้าคณะตำบล   และเจ้าอาวาส    โดยยังมีตำแหน่ง  ”รอง...”  “ผู้ช่วย...” และทั้งตำแหน่ง  “เลขานุการ”   แทรกอยู่  อย่างมากมายในทุกตำแหน่ง ...และยังมีตำแหน่งงานพิเศษ  เสริมมาเป็นระยะ ๆ  แบบไม่สะดุ้งใจเลย(เพราะอวิชชา...ไม่ว่าตนทำอะไร ไม่รู้เหตรู้ผลเลย) จนกระทั่งว่า  พระสงฆ์องค์เจ้าที่ไม่มีตำแหน่งใดใดเลยนั้น  จะเป็นประดุจ  คนต้อยต่ำ  มีเจ้านายครอบอยู่ทุกทิศทุกทาง ..ไม่เหมือนทางโลกเขาที่ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ ตามระบอบประชาธิปไตย.นี่แหละข้าราชการสงฆ์ที่ทำหน้าที่ปกครองหมู่สงฆ์ ไปตลอดชีวิต   แบบไม่มีการคิดถึงผลร้าย ว่านี่คือผลร้าย   และที่ตรงตามหลักธรรมะสูงสุดก็คือ  ที่จะพอกพูนภะวะ-วิภะวะตัณหา  กามตัณหาขึ้นในจิตใจข้าราชการสงฆ์ เป็นระบบที่เลี้ยงตัณหาเอาไว้ให้เติบโตไปเรื่อยๆ นั้นเอง  แทนที่จะให้ลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ ตามหลัก อริยสัจ 4  มรรคผลนิพพาน  คำสอนอันเลอเลิศประเสริฐของพระพุทธเจ้า  นั้น 

จึงทำให้เกิดการพอกพูน เพิ่มอำนาจแห่งความอยากมี อยากได้ อยากเป็นมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ในหมู่เจ้านายสงฆ์  จนมาถึงวันเวลานี้  มีผู้ตื่นมากล่าวถึงเรื่องไม่มีดีในวงการพุทธศาสนา...แบบไม่หยุดหย่อน....อันเป็นไปตามข่าวร้ายน่าอดสูที่เกิดจากวงการสงฆ์ไม่มีหยุดหย่อนนั่นเอง  เริ่มจากการบวชเพื่อหาเงิน หากินหาใช้ไปบำรุงลูกเมียที่บ้าน ซึ่งไม่มีการคิดวิเคราะห์วิจัยปัญหาจากวงการคณะสงฆ์เลย โดยเฉพาะ  มหาเถรสมาคม  และมีปัญหานี้เพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ

มีกรณีปัญหาร้าย ๆ อันนำไปสู่ความเสื่อมเสียซึ่งความศรัทธาของประชามหาชน   มาเป็นระยะ ๆ  นับแต่กรณี ยันตระอัมโร (วันนี้-ได้ข่าวว่าตายแล้ว อายุ 73 ปี ตายที่อเมริกาในวัดพวกสมีหนีไทยไปอยู่รวมกัน) ---   ธัมมะชะโย-วัดพระธรรมกาย  (ว่าตนเป็นต้นธรรม เป็นผู้นำของหมู่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย...พันธุ์เดียวกับสมีเณรคำ...แต่ธัมมะชะโยนี้ ยังมีเรื่องคงมาอยู่ถึงวันนี้  กรณีที่โดนคดีมากมายหลายร้อยคดี ถึงติดคุกแต่ไม่ติดคุก และที่โดนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชออกหนังสือสั่งปลดจากความเป็นพระ ผิดพระธัมมวินัย ปาฏิโมกข์ ข้อ 2 เป็นปาราชิก เพราะโกงที่ดินไปเป็นของตนเอง หลายแปลง หลายไร่ แล้ว  แปลว่าเป็นสมีคนเลวคนชั่วเกินธรรมดาไปแล้ว แต่ทำไมจึงได้รับการเสนอสมณศักดิ์ให้เป็นชั้นเทพสูงกว่าเดิมก่อนถูกปลดออกเสียอีก   ใครเป็นผู้เสนอเข้ามหาเถรสมาคมและมหาเถรสมาคมยุคนั้นมีใครบ้าง?  ....ยังต้องมีการไต่สวนสืบหาผู้ทำผิดเรื่องนี้ไปจนจบเพื่อการชำระล้างความชั่วตามหลักโอวาทะปาฏิโมกข์ นั่นเอง   โดยเฉพาะ....ในแง่ที่ว่า   เสนอสมี คนปาราชิกไปรับตำแหน่งสมณศักดิ์ชั้นเทพ ได้อย่างไร ?  เห็นคนชั่วเลวร้ายระดับ ปาราชิกเป็นคนดีได้เอามาสรรเสริญเป็นพระราชาคณะชั้นเทพได้อย่างไร) --- ภาวะนาพุทโธ...รูปนี้ให้แม่ชีจัดการเรื่องเมียเด็กให้(ทำโครงการ อุปถัมภ์เด็กหญิงจากเมืองเหนือหลายสิบคนให้มาอยู่วัดด้วย แล้วกามตัณหาเอาใช้เป็นอาวุธร้ายฆ่าพระตาบอดเสีย) เหมือนพระแม่นางในวังกษัตริย์ อบรมนางห้ามให้เข้าใจการปฏิบัติทางกามแด่จักรพรรดิ นั่นเอง  เหมือนเจ้าขุนมูลนายยุคเก่าเลย) --- เณรคำ ฉัตติโก  (เณรพันธุ์บ้านึกว่าตัวเองเป็นเทพเจ้า สั่งเทพเจ้าบนสวรรค์ได้  คนโง่ก็เอาเงินมาทอดผ้าป่าสูงทะลุฟ้า ได้ทองคำ 8 พันกิโลกรัม มีเฮลิคอปเตอร์ตัวเอง ไปไหนไปเจท  ไปรถเบนส์  รถโรลสรอยส์ มีตำรวจเข้าแถวรับตลอด--- และล่าสุด  สมีพระคม  อภิวโร..พระวชิรญาณโกศล .ปีกลายนี้เองเปิดเผยความลับออกมา แบบเดียวกับสมีคำ  กรณีของพระ เณรคำ  ฉัตติโก และ กรณีของพระคม อภิวโร  อันมาจากหลักการ ภะวะ-วิภะวะตัณหา + กามตัณหา นี้เอง

13.

ฉะนั้นแล้ว  จึงน่ามีการพิจารณาให้มีระบบการโยกย้ายผู้ดำรงตำแหน่งข้าราชการสงฆ์เสีย...ตั้งแต่ เจ้าอาวาส-เจ้าคณะตำบล-เจ้าคณะอำเภอ -เจ้าคณะจังหวัด-เจ้าคณะภาค-เจ้าคณะหน  ทุก ๆ 4-5-6ปีแบบราชการบ้านเมือง  เอามาตรการนี้ก่อน เริ่มต้นการปรับปรุงระบบสงฆ์  แบบราชการบ้านเมืองฝ่ายฆราวาส  นั้นเอง...เหมือนพระอาจารย์ธุดงค์ที่ท่านออกเดินทางไปเรื่อยไม่หยุดอยู่กับที่ โดยมุ่งหมายฆ่าภะวะตัณหา-วิภะวะตัณหา และ ทั้งกามตัณหาโดยตรงเสียนั้นเอง   และครั้นมีระบบที่ลดทอน ภะวะตัณหา  รู้เรื่องภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา กามตัณหาซาบซึ้งไปถึงทางปฏิบัติแล้ว 

นั่นแหละ  นำจิตวิญญาณไปสู่ทางมรรคผลนิพพาน  เปิดทางสู่ความเป็นพระอริยบุคคล โสดาบันถึงอรหันต์ได้ เป็นการส่วนตัวที่ล้ำเลิศประเสริฐไปได้ เป็นข้าราชการสงฆ์ผู้สำเร็จอริยบุคคล ที่จะนำหรือเป็นตัวอย่างแด่หมู่สงฆ์ใต้การปกครอง....เป็นแบบอย่างทางการปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคผลนิพพานโดยตรง  ต่อไปนั้นเองเป็นการนำการเผยแผ่ของคณะสงฆ์ไปอย่างถูกต้อง  นั่นแหละการฟึกฟื้นพระพุทธศาสนาขึ้นมาสู๋โลกยุคใหม่ โดยมีพลังหลักคือคณะสงฆ์สาวกผู้รู้หลักธรรมจริงทั้งหมดทั้งมวลโดยตรง ที่ทำตนปฏิบัติตนเป็นตัวอย่าง

14.

มาทบทวนอีกที  ไม่ใช่การตำหนิอะไรนะ  แต่พูดเรื่องจริง  ก็คือวงการศึกษาสงฆ์ไทยเรามีสถาบันแปลบาลี ที่เรียกว่าการศึกษาเปรียญธรรม 9 ประโยค นั้นเอง  ที่จริง ๆ  คือ  เรียนการแปล  มีนักแปลที่เรียนวิชาแปลบาลีเป็นไทย  โดยเฉพาะพวกเปรียญธรรม-พวกมหา 1-9 ประโยค นั้นเอง เรียนวิชาอักษรศาสตร์แผนกแปลบาลีเป็นไทย  ....ที่คนไม่รู้เข้าใจว่าเรียนเพื่อสำเร็จอรหันต์   และมีสำเร็จกันเป็นพระอรหันต์ปีละร้อย ๆ องค์เห็นจะได้....

และมีสำเร็จกันตั้งแต่เป็นสามเณร ก็มีหลายรูป  เอามาอวดกันใหญ่   ก็เชื่อว่าสำเร็จอรหันต์กันทั้งสำนักทั้งวัด  แต่แล้วกลับไม่ใช่อย่างนั้น (มีเรื่องของท่านพุทธทาสภิกขุ ที่ท่านเข้ากรุงเทพตั้งแต่เป็นสามเณร เพราะคิดว่าจะไปเรียนเปรียญ ท่านคิดว่าเมื่อจบเปรียญ 9 ก็สำเร็จอรหันต์ ท่านคิดว่านั่นแหละเป้าหมายของการบวช  แต่เมื่อไปพบเข้าแล้ว จึงรู้ว่าไม่จริง  ท่านเลยหยุดเรียนเมื่อเอาแค่เปรียญ 3 ก็เลิกเรียน  ท่านพบว่าการศึกษาสงฆ์เป็นเพียงพวกหมาหางด้วนท่านก็กลับไปบำเพ็ญธรรมที่บ้านนอก สวนโมกขพลาราม จ.สุราษฎร์ธานี....จึงจะบรรลุอรหันต์ได้ ท่านเล่าไว้)

15.

ต่อมามีความคิด คิดให้มีสถาบันการศึกษาเพิ่มขึ้นไปอีก  มีมหาวิทยาลัย สงฆ์...แบบพูดกันว่าจะให้เป็นเช่นมหาวิทยาลัยนาลันทา อินเดียที่ถูกมุสลิมถล่มฝังไว้ใต้ดินยุคนั้น แข่งกันสอนแบบโลก ๆ เขา  ทั้งฝ่ายธรรมยุติฝ่ายมหานิกาย     เรียนกันจนจบปริญญาเอกไปตาม ๆ กันก็แล้วทำไมแปลคำสูงสุดของพระพุทธศาสนาไม่ได้อีก

คือเพียงแปลได้พอ ๆ กับพวกเปรียญ  9

กามตัณหา      แปลว่า  กามตัณหา

ภะวะตัณหา    แปลว่า   ภะวะตัณหา

วิภะวะตัณหา  แปลว่า   วิภะวัตัณหา

ตัณหา             แปลว่า  ตัณหา

               ทุกข์-สมุทัย นิโรธ-มรรค      แปลว่า    ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค

                ภาวนา   แปลว่า   ภาวนา        ฯลฯ

มีถึงเปรียญ 9 จนถึงจบปริญญาเอก  และที่ได้ยศศักดิ์ ตำแหน่งสูงส่งทางโลกทางธรรม เป็นถึงอาจารย์-ศาสตราจารย์ในเมืองไทยนี่เองที่อยู่อย่างมีเกียรติ์ สูงส่งในอำนาจและเกียรติยศ ทั้งทางโลกทางธรรม

ยังแปลคำ 3-4-5-6 คำนี้ไม่ได้เลย

16.

เอาละ    ละประเด็นนี้ไปก่อน    เอาว่าถึงจะแปลไม่ได้ก็มีทางอื่นอยู่   เป็นพวกอาจารย์พระ พระธุดงค์ในป่าในเขา ในบ้านนอกชนบทที่ห่างไกลโลก กิเลส-ตัณหา-อุปาทาน ที่รู้ธรรม เข้าใจธรรมะจากการปฏิบัติ รู้การวิเคราะห์พิศูจน์ โดย เหตุ และ  ผล

ก็ถึงไม่รู้เรื่องทางภาษาเลย แปลไม่ได้ก็ตามแต่ก็พอรู้ความหมายและไม่มาใกล้ มาคบเป็นมิตรกับตัณหาพวกนี้

ซึ่งไม่เหมือนพวกอยู่บ้าน วัดบ้านวัดราชการ วัดหลวง วัดราษฎร์  เอามหาวิทยาลัย วิทยาลัยเป็นวัด   อยู่ในตัวจริงกับระบบอำนาจการปกครองสงฆ์  พวกเปรียญ 9  พวกจบอินเดีย จบต่างประเทศมาเป็น ดร.  เป็นข้าราชการสงฆ์ นั้เป็นศาสตราจารย์  รับเงินเดือนภาษีของประชาชน     นั้นแหละ   

และพวกที่ไม่มีความรู้  ไม่มีมีใบรับรองเป็นปริญญาบัตร เกียรตินิยมไปจากสถาบันการแปล การศึกษา  มหาวิทยาลัย ตรี  โท  เอก ดุษฎีบัณฑิต เลย ....แต่ก็รู้ความหมายของภะวะตัณหาและตัณหาทั้ง3  รู้ทางปฏิบัติแบบมรรค8 ทรงธรรมความละอายใจ แบบมีหิริโอตตัปปะ ประจำสันดาร ยั่งยืน

จึงมีอยู่บ้าง ที่สำเร็จโสดาบัน-สกิทาคามี และแม้ถึงระดับ อนาคามิมรรค  นะ

กระนั้น ก็ไร้ความพยายาม ลงไปแบบเป็นยุคสมัยของคนขี้เกียจ

ครั้นสำเร็จไปนาน ๆ  ถึงลักษณะคนหมดบุญ  อยู่ไปเรื่อย ๆ สบายบ้างไม่สบายบ้างแต่อยู่ไปได้มีคนมานิยมให้เงินทองใช้ไม่ขาด.....  ก็นึกว่าตนสำเร็จอรหันต์   ไปบอกโยมว่าสำเร็จอรหันต์  ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายไม่เกิดอีกแล้ว....ทั้ง ๆ ที่เป็นผลจาก  ความหมดบุญในชาตินี้แล้ว อยู่เฉย ๆ  มาตลอดนั้นแหละ  นึกว่าตนสำเร็จอรหันต์  หาเงินหาทองก้อนโตก้อนใหญ่ต่อไปอีกแบบง่ายกว่าเดิม  เพราะไปหลอกคนว่าตนเป็นอรหันต์ คนก็ไม่เคยเห็นอรหันต์ก็เชื่อ ไปทำบุญใหญ่กับพระอรหันต์...แบบแนวสอนของอาจารย์วัดป่า ที่ว่าพระธุดงค์ที่ว่ากันแบบไม่รู้ความหมายไปอีกแต่ว่าไปเรื่อย ๆ ว่าศีล   สมาธิ  ภาวนา   แบบแปลไม่ได้อีกเหมือนกัน ภาวนาแปลว่าภาวนา เลยไม่รู้ว่าบอกให้เขาทำอะไร ภาวนาคือทำอะไร อย่างไร  นี่คนบอกคนสอนยังไม่รู้เรื่องเลย...แล้วลูกศิษย์ทำผิดทำถูก  ไม่มีการเตือน การบอก ปล่อยให้ทำไป   ได้เงินนั้นเป็นตัวตัดสิน

17.

อย่างเร็ว ๆนี้ก็มีเรื่องของพระ ที่เรียกตนเองว่าเณร  ก็เณรคำไงล่ะ เณรคำ ฉัตติโก  ที่เด่นดังทะลุแผ่นดินไทย   มีทองเก็บ 8,000 กก. มี ฮ.  ไปไหนมี ฮ.ส่วนตัวไป  นั่งเครื่องบิน.เจทประจำ อวดคนทั้งแผ่นดิน  แท้จริงเป็นคนโง่เง่าเต่าตุ่นแต่หลอกเอาเงินคนรวยได้นับล้าน ๆ บาท ปั้นเรื่องว่าสำเร็จอรหันต์ที่ภูเขาตอนเป็นเณร แล้วหายตัวได้  ไปสวรรค์ ไปพบพระอินทร์ ๆ มาช่วยสร้างวัด  คนรวยที่โง่เง่าหาเงินมาทอดผ้าป่าใหญ่โตมโหฬาร  ....

ซึ่งที่จริง  เป็นคนประสาทผิดปกติ  เป็นอีกพันธ์หนึ่งของนักบวชผิดปกติยุคใหม่นี้  ออกพฤติกรรมแปลกที่คนไม่เคยเห็นเลยนึกว่าสำเร็จอรหันต์   ไปอวดอุตริว่าไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้า  มีเทวดาบอกให้สร้างพระแก้วมรกตทองคำ ฯลฯ…มีคลิปของเจ้าของยาสีฟันดอกบัวคู่ เล่าเรื่องเณรคำไว้ ว่าทีแรกก็เลื่อมใสศรัทธาว่าเป็นพระชั้นอริยะจริง  แต่ต่อมาเห็นชอบไปเที่ยวซื้อของต่างประเทศ ขี่รถ ขี่ฮ.เที่ยวเล่นบ่อย ๆ เลยสงสัยว่าพระอรหันต์เป็นอย่างนี้หรือ?  ในส่วนหนึ่งของความชั่วเลวทรามทำลายพระพุทธศาสนา แบบตนเองไม่รู้ในความเลวความผิดของตนเองเลย...

พอดีคนไทยเห็นภาพถ่ายนอนกับผู้หญิง เรื่องนี้ถึงโง่อย่างไรคนไทยก็รู้ว่าไม่ใช่พระแล้ว ตำรวจก็มาจัดการต่อแล้วพบหลายอย่างที่พอจะเอาขึ้นศาล เป็นคดีนับร้อยคดี  ก็หลบหนีไปอเมริกาไปเป็นโรบินฮู๊ดอยู่สองสามปี อเมริกาพบเข้าเลยเอาตัวขึ้นเครื่องบิน ส่งกลับเมืองไทย  เพราะดูแล้วเป็นคนเลวเกินกว่าจะเหยียบแผ่นดินอเมริกาเขาเลยส่งกลับเมืองไทย ศาลไทยก็ให้ติดคุก 114 ปี เดี๋ยวนี้ก็อู่ในคุก

18.

แล้วมีล่าสุด ๆ อีกรายในหลาย ๆ ราย เรื่องพระคม อภิวโร (เป็นถึงพระราชาคณะ=เจ้าคุณพระวชิรญาณโกศล) ที่มีประวัติว่า  เลื่อมใสหลวงตามหาบัว และชีน้องสาวหลวงตาบัว นางจันดี ที่ว่าทั้งคู่พี่น้องนี่สำเร็จอรหันต์กัน อ้าง สายหลวงปู่มั่นด้วย    ก็ว่าสำเร็จแล้ว...โฆษณาแล้วโฆษณาอีกว่ามีกระดูกเป็นพระธาตุ(คือขาวผ่องสดใสเหมือนเพชรเลย)  กระดูกไม่เป็นพระธาตุ ก็ไม่ใช่พระอรหันต์....แบบว่า ไม่เคยเห็นพระบรมธาตุพระพุทธเจ้ากับของสองอัครสาวกที่อินเดียเอามาให้คนไทยชมทุกปี ...หรือที่จีนเอามาให้คนไทยสักการะ ณ ท้องสนามหลวง ปีกลายนี้เอง  ขนาดอัฐิพระพุทธเจ้า พระมหาสาวกทั้งสอง  ยังไม่เป็นพระธาตุเลย มีรูปถ่ายให้ดู ดูบ้างสิ  ออกเหลือง ๆ ดำคล้ำ ๆ เสียอีก ทำไมไม่ไปดู ...พระคมนี้ก็ว่าสำเร็จ  คงสำเร็จโสดาอะไรก่อนมั้งก็ไปอยู่สำนักสงฆ์ วัดป่าธรรมคีรี ที่มีเจ้าอาวาสหนุ่มอยู่ก่อนคบหากันดี แล้วพระคมก็เกิดแตกฉานในพระธรรมวินัย  แบบสำเร็จทางปริยัติธรรมสูงสุด   เทศน์เก่งมาก  แตกฉานไปทุกข้อพระธรรม  แต่ละประเด็น ๆ ธรรมะที่เอามาแสดง ยอดเยี่ยม  คล่องแบบหลวงตามหาบัวผู้เป็นอาจารย์เลย ใครไม่รู้ประวัติปาราชิกพระรูปนี้ ย่อมมองว่าเก่งมาก ระดับอรหันต์เลยทีเดียว   

หากแต่ซ่อนความบกพร่องอย่างแรงในธรรมะภาคปฏิบัติที่คนเทศน์ก็ไม่รู้คนฟังก็ไม่รู้...แต่ผู้ที่เป็นผู้รู้เขารู้  ...และแล้วรูปธรรมจริง ๆ ก็ปรากฏออกมา  ว่าแกแพ้กามตัณหา   ไปแอบเสพเมถุนกับเจ้าอาวาส ชาย+ชาย แบบถูกกฎหมายใหม่ของรัฐบาลแพทองธารเลย  กับตั้งวงกับพระ-สามเณรอีกหลายรูปด้วย  พอเกิดเรื่องพากันสิกหาลาเพศหนีไปหมด เป็นปาราชิกสึกไปแล้ว  และยังปาราชิกเรื่องเงินอีก ตร.ตามพบว่า เอาเงินเขาถวายวัด ถวายกัณเทศน์ ไปให้น้องสาวเก็บไว้สด ๆ ที่บ้าน 51 ล้านบาท ในบัญชีน้องสาว นางสาวจุฑามาศอีก 130 ล้านบาท ตำรวจสืบหาตามไปจับตัวได้ที่เมืองนนทบุรี ใกล้ ๆ กรุงเทพนี่เอง..... 

จึงมีหลวงตาผู้กล้า ท่านทนดูไม่ได้ พระอาจารย์อภินันโท  นามภิกขุ  เอามาออกคลิปตำหนิว่า ล้วนแต่คนบวชเพื่อหาเงิน  เอาศาสนาไปขายหากิน  ไปหมดทั้งคณะสงฆ์ แล้วพระพุทธศาสนาจะอยู่ได้อย่างไรต้องรีบแก้ไขโดยด่วน 

19.

เรื่องของเรื่องก็คือ   นี่คือ  การทำบาปมหาศาลเลยจริง ๆ   เป็นมากกว่าปาราชิก  แล้วครั้นตายไปนั้น  นรกขุมไหนล่ะถามตนเองเถิด..และที่เป็นโทษน่าสมเพชก็คือ   จะไม่ได้พบพระพุทธศาสนานับโกฏิล้านปีไปเลย...ผู้บวชนักบวชผู้ที่ทำตามอดีตนักบวช  หรือเป็นลูกศิษย์พระสมีอย่างนี้  น่าจะคิดได้  การไม่ได้พบพระพุทธศาสนานั้น เป็นความอาภัพของชีวิตขนาดไหน....แทบว่าเกิดมามีชีวิต ชีวิตไม่พึงมีค่าของชีวิตเลยนั้นเอง)    เวลาเทศน์ คนไม่รู้จริงก็นึกว่าสำเร็จอรหันต์ ทันอาจารย์มหาบัวไปแล้ว  นึกว่าตนสำเร็จอรหันต์   เท่าอาจารย์หลวงตามหาบัว  หลวงปู่มั่น  หลวงปู่ฝั้นไปแล้ว  นึกไปนู้นก็เอาเงินไปให้  ไปถวายนับล้าน ๆ  พวกหนึ่งที่โง่ประจำมานาน  ก็เอายศถาบรรดาศักดิ์ไปถวายให้เด่นให้ดังไปอีก  แปลก ...

ก่อนนี้ก็มีอีกรายหนึ่งเหมือนกันนึกว่าเก่งบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล เอาสมณศักดิ์+ตำแหน่งไปให้เหมือนรายนี้เลย.....ทุเรศจริง ๆ เลยนะ  แล้วยังไง.....ก็อย่างที่เกิดเรื่องไปแล้ว  อย่างที่พูด ๆ มา   แล้วเรื่องแปลกามตัณหาแปลว่า  กามตัณหา     อยู่กับกามตัณหา มีลูกมีเมียยังไม่รู้เรื่องเลย...นั่นเอง

20.

แล้ว ......น่าจะฟังคนเขารู้จริง ๆ บ้าง  รู้จริงว่า กามตัณหาคืออะไร ?  ภะวะตัณหา  คืออะไร ?  มีโทษอย่างไร ?  มีคนต่างประเทศด้วย  เขารู้เองจากการพิศูจน์คำสอนบทสำคัญของพระพุทธเจ้าโดยแนววิทยาศาสตร์  ที่มุ่งพิศูจน์เรื่อง เหตุ และ ผล จนตัวเองบรรลุรู้สัจธรรมพร้อมดวงจิตลึกซึ้งไปถึงสภาวะอริยบุคคลสูงสุด

น่าจะดูคนเขาทำจริง ๆ  รู้จริง ๆ  (จากการทดลองพิศูจน์หาเหตุและผลเชิงวิทยาศาสตร์นั้นเอง)

นับแต่นักการเมือง....ที่เข้าใจ สัจธรรมอริยสัจ 4  เรื่อง เหตุ  คือ  สมุทัย มีเหตุจึงส่งผลไปเป็นทุกข์.......และทั้งสุขคือ นิโรธ

21.

นั่นก็คือ ขอยกตัวอย่างท่านนายพลยอร์จ วอชิงตัน มหาบุรุษแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ท่านรู้ซึ้ง รู้จริงเรื่องตัณหาดี  จากหลักพุทธธรรม อริยสัจ 4 ของพระพุทธศาสนา อันปรากฏจากประวัติชีวิตของท่านนั้นเอง...และประวัติประเทศสหรัฐอเมริกา ประชาธิปไตยตัวอย่างโลก อย่างชัดเจน  

เมื่อคราวที่ท่านนำประชาชนต่อสู้ทำสงครามปลดแอก เพื่อเอกราชชนอเมริกันทั้งหลาย  จนในที่สุดได้ชัยชนะสงครามอาณานิคมอย่างเด็ดขาด  ไล่นายทาส อังกฤษ-ฝรั่งเศษ ตกทะเลหนีไปพ้นดินแดนอเมริกันชนแล้ว คนอเมริกันก็ชนะสงครามใหญ่   จึงยกย่องจะให้ท่านยอร์จ วอชิงตัน สร้างประเทศ มหาอำนาจอเมริกาขึ้นโดยให้ท่านนายพลยอร์จ วอชิงตันเป็น “พระเจ้าจักรพรรดิ”   และตั้งสถาปนาดินแดนอเมริกันนั้นขึ้นเป็นมหาอำนาจจักรพรรดิอเมริกา  มุ่งแผ่อำนาจครองโลก

22.

ถ้าเป็นอย่างประเทศทั้งหลายที่ผ่านอาณานิคมเขามา   เช่นระวันด้า  ซีเรียและ โดยเฉพาะประเทศเฮติ ๆ เผ่าอาฟริกาดำ ที่มีประวัติมาน่าสงสาร น่าเวทนา มาจนถึงวันนี้  เริ่มจากประชาชนเดิมถูกฝรั่งเศสไล่ต้อนมารวมกันในแผ่นดินเอติทุกวันนี้  ดินแดนมีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศไทยเรา  โดยฝรั่งเศสยึดครองตั้งแต่ปี ค.ศ.1625 (พ.ศ.2168) ยุคสุโขทัย-อยุธยาและเลี้ยงแบบเลี้ยงสัตว์  เป็นสัตว์มนุษย์ ไว้เอาไปขายแบบสินค้าทาสนิโกรดำ จนฝรั่งเศสร่ำรวยไปจากสินค้าทาสนี้  ไปนานถึงประชาชนทาสเฮติ ได้บังเกิดสำนึกความเป็นคนขึ้นมา แล้วสุดทนต่อการกดขี่ ที่เหยียบย่ำอย่างสัตว์ และเหมือนเป็นสินค้าราคาดีราคาแพงๆของฝรั่งเศส  เกิดพลังความคั่งแค้นรวมกันขึ้นทั้งประเทศ

(เหมือนคนจนชาวอินเดียทั้งประเทศยุคทาสอังกฤษที่ทนภาษีเกลืออังกฤษไม่ได้นั่นเอง ลุกขึ้นทั้งประเทศไล่อังกฤษออกไปจึงได้เอกราช)

ส่วนเฮติพากันลุกฮือโหมขึ้นทั้งประเทศ ไล่ต้อนคนฝรั่งเศสมารวมกันฆ่าแบบฆ่าหมู่ ตามข่าวฝรั่งเศสเองว่าเข่นฆ่าหมู่นายทาสฝรั่งเศสตายพร้อมกันทีละเป็นหมื่นคน  (แบบเขมรยุค 4 ปีสังคมนิยมพอลพตขนคนป่วย คนทำงานไม่ได้ คนพิการ คนที่ไม่มีอาหารให้กิน ไปทิ้งในหลุมเป็นคันรถ ๆ แล้วเอารถแมคโครไถเอาดินกลบฝังดินตายกันเป็นหมู่นั่นเอง ดังที่ได้พบทุ่งสังหาร หลายแห่ง เป็นท้องทุ่งทั้งท้องทุ่งที่ทำเป็นหลุมฝังคนเป็น ๆ นันร้อย นับพันคน..ตามหลักฐานพิพิธภัณฑ์หัวกะโหลกเขมรนั้นเอง...ยุคนั้นเขมรตายไปราว 1.5 ล้านคน)  แล้วเฮติประกาศอิสรภาพ เมื่อ 1 ม.ค. 1804(พ.ศ.2347)  219 ปีมาแล้ว มีเอกราชขึ้น  

23.

ประเด็นก็คือ เป็นประเทศที่ 2 ที่ประกาศเอกราช ตามหลังท่านยอร์จ วอชิงตันแห่งอเมริกา หากแต่เฮติกลับตั้งตนเป็นเจ้าเป็นจักรพรรดิ...เพราะไม่รู้จัก ภะวะตัณหาแบบท่านจอร์จ วอร์ชิงตัน    แต่แล้ว  เนื่องจากเคยเป็นทาสมาหลายร้อยปี เป็นคนที่มีศักดิ์ศรีทาสเก่าทั้งประเทศ  ก็ปกครองไม่เป็น ตกใต้อำนาจ กาม-ภะวะ-วิภะวะตัณหา การแก่งแย่งกันเป็นใหญ่ ทำให้ระบบการปกครองประเทศไม่สงบนิ่งเลย มีการก่อกวนแข่งอยากมีอำนาจ  จนเผด็จการพระเจ้าจักรพรรดิ์ ล้มไปถึง 2 ครั้ง จักรพรรดิ 2 วงศ์ถูกทำลายไป

24.

แล้วมาคิดเรื่องเสรีชน ตามหลักประชาธิปไตย  จนในที่สุดมาเป็นประชาธิปไตย ตั้งชื่อประเทศว่า สาธารณรัฐเฮติ  แต่ไม่เข้าใจว่าประชาธิปไตยต้องมีธรรมะ  ประชาธิปไตยนั้นก็คือวิถีทางการเมืองที่ลดทอนไม่ให้มีระบบ  ภะวะตัณหา ให้มีระบบคนเหมือนกัน เสมอกันทั้งประเทศ   แต่นี่ไม่รู้อะไรไปจริงขนาดนั้น เพียงแต่คิดว่าเสรีภาพคือทำได้ตามใจตัวเอง  พอใจคำว่า  ให้อำนาจเป็นของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน  มีการเลือกตั้ง จนวันนี้เข้าใจว่าประชาธิปไตยที่หมายถึงทำตามใจตัวเองได้ใครขัดขวางถือว่าทำลายประชาธิปไตย แม้ประกาศหลักการประชาธิปไตย คือ  liberty  Equality  Fraternity : เสรีภาพ เสมอภาค  ภราดรภาพ   ก็ไม่เข้าใจ ว่าเสรีภาพที่แท้จริงเป็นอย่างไร เสมอภาคคืออย่างไร  ภราดรภาพคืออย่างไร  เข้าใจอย่างเดียวว่าทำอะไรได้ตามใจ ไม่ใช่ทาสแล้ว ใครขัดใจขัดขวางถือว่าทำลายประชาธิปไตย (เหมือนแนวคิดพวก 3นิ้วในประเทศไทยนั้นเอง)

25.

 (เหมือนกับคนไทยไม่รู้ 3 ตัณหา กาม ภะวะ  วิภะวะตัณหาคืออะไรนั้นเอง) คิดว่าอยากทำอะไรก็ทำได้ ใครคัดค้านขัดขวางความอยากของเราถือว่าทำลายประชาธิปไตย ก็เลยนำไปสู่การแก่งแย่งอำนาจการปกครองมาตลอด จนวันนี้มีรัฐบาลที่ปกครองไม่ได้  เป็นประเทศที่  ไม่มีกฎหมาย ฝรั่งเศสรายงานว่า  เป็นประเทศที่  Lawlesnes rules in Haiti (การปกครองแบบไม่มีกฎหมายในเฮติ)  ประชาชนแต่ละคนสังกัดแก๊งค์ มีแต่แก๊งค์ร้าย ๆ ปกครองคนตนเอง ที่ตามใจตนเอง ทั้งประเทศถึงกว่า 295 แก็งค์   วัน ๆ แต่ละคนแต่ละแก๊งค์ก็ออกมาแก่งแย่งอาหารผลประโยชน์ต่างๆ  เมื่อขัดแย้งกันก็มีแต่ใช้กำลัง ด่าทอ ประหัตประหารกันแบบสัตว์ป่า การฆ่าฟันกันตายเป็นเรื่องปกติ  ล่าสุดรัฐบาลก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนเดิม รัฐบาลแค่แก๊งค์ ๆ หนึ่งที่คอยเอาตัวรอดไปวัน ๆ เหมือนกัน  วันหนึ่ง ๆ จึงมีมีแต่ฆ่ากันไปปกติตายไปวัน ๆ ร่วม 5 ล้านคนแล้ว เป็นประเทศที่ไม่เป็นระเทศที่ประหลาดน่าสมพชในยุคนี้ แบบที่ไม่มีการแก้ไขได้อย่างไร ปล่อยไปแบบสังคมสัตว์ป่ามีกันป็นกลุ่ม ๆ แก๊งค์ ๆ อยู่ท่ามกลางโลกยุคอวกาศ

26.

แต่สำหรับท่านนายพลยอร์จ วอชิงตัน ท่านมีความเป็นมนุษย์ มีความเข้าใจสัจธรรมเรื่องภะวะตัณหาดีจากหลักธรรมอริยสัจของพระพุทธศาสนา ที่พิศูจน์ทดลองได้ด้วยตนเอง ตามหลักวิทยาศาสตร์

ท่านคงได้ทราบประวัติของพระบรมศาสดา พระพุทธเจ้าที่ทรงสละราชบัลลังก์ อำนาจกษัตริย์ออกบวชแสวงหาความหลุดพ้นว่า  นั่นคือ  การละเสียซึ่ง ภะวะตัณหา นั่นเอง

คงได้ทราบประวัติ อโศกมหาราช  ที่ทรงกลับใจจากการใช้อำนาจ ใช้อาวุธสงครามปราบปรามชมพูทวีป...อันเป็น ภะวะตัณหา มาเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยพุทธธรรม ...นั่นก็เริ่มจากการวาง  ภะวะตัณหาลงเสียก่อน  แล้วใช้ธรรมะปกครองประเทศ  เผยแผ่อำนาจด้วยพุธธรรมไปทั่วโลก  จึงยั่งยืนมาถึงบัดนี้ กว่า 2568 ปีแล้ว นั่นเอง

27.

ฉะนั้น เมื่อท่านยอร์จ วอชิงตัน ได้ชัยชนะสงครามอาณานิคม  ไล่นายทาสลงทะเลหนีไปพ้นเขตแดนอเมริกันแล้ว  การสร้างประเทศเป็นจักรวรรดิ์มหาอำนาจอเมริกา  มีพระเจ้าจักรพรรดิ์ยอร์จ วอชิงตัน เป็นผู้ปกครองทรงอำนาจสูงสุดไปตลอดชีวิตและสืบทอดวงศ์จักรพรรดิต่อไปอีกนั้น   ท่านมองว่าเป็นความต่ำต้อย  โดยเหตุผลของอริยสัจ 4 นั้นคือ เรื่อง  ภะวะตัณหา  วิภะวะตัณหา นั้นเอง   ภะวะตัณหา หลักอำนาจจะนำไปสู่การแก่งแย่งแข่งขันชิงความได้เปรียบ   อยากใหญ่เป็นมหาอำนาจ ของคนทั้งหลายอันจะนำไปสู่ความขัดแย้งตกต่ำ วินาสน์ในที่สุด อันแสดงถึงความลึกซึ้งของปัญญาสติของท่าน อันซ่อนความหมายถึงโลกนิพพาน ที่ต้องล้างภะวะตัณหาไปให้สิ้นแล้วสำเร็จอรหันต์   ท่านจึงไม่เอาตามเสียงเรียกร้องของคนอเมริกันผู้ร่วมสู้เพื่อเอกราช ชนะมาด้วยกัน  ตั้งประเทศขึ้นเป็นมหาอำนาจจักรพรรดิ มหาอำนาจอเมริกา  โดยตนเองมีความชอบธรรมที่จะตั้งตนเป็น  พระเจ้าจักรพรรดิ ยอร์จ วอชิงตัน   

28.

และด้วยความรู้ธรรมลึกซึ้งจากพระพุทธศาสนาจากหลักอริยสัจ 4 คำสอนปฐมบทของพระพุทธเจ้า นี่เอง ที่ว่าเป็นแนวคิดการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย   จึงสร้างประเทศประชาธิปไตยขึ้นจากหลักธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นประชาธิปไตยชาติแรกของโลก  ให้เป็นแบบอย่างแด่ประชาธิปไตยของโลกต่อไป   นั่นคือการเผยแผ่พุทธธรรมประชาธิปไตยไปทั่วโลก  ประชาธิปไตยไปถึงไหน  เรื่องสิทธิมนุษยชน ไปถึงไหน  นั้นแปลว่าพระพุทธศาสนาไปถึงที่นั้น แผ่นดินนั้น  โดยการเผยแพร่ของท่านนายพลยอร์จ วอชิงตันอันละม้ายคล้าย อโศกมการาชนั้นเลยทีเดียว

29.

นั่นคือ ธรรมะที่ให้สร้างรูปธรรมทางการเมืองที่ลดทอนภะวะตัณหา(เผด็จการ ความอยากใหญ่ อยากมีอำนาจเหนือคนอื่น ตัวเป็นเจ้านายระดับเจ้ามหาชีวิต อย่างลาวเลย  ลดทอนความอยากใหญ่เพิ่มพูนอำนาจเหนือคนอื่น   ลงมาสู่ความเสมอภาค มองทุกคนเป็นคนเสมอกัน...ทุกคนทรงคุณค่าของเสรีชนเพราะทรง “สิทธิมนุษยชน”เท่ากัน) ลงไป มุ่งนำประเทศไปให้สอดคล้องสัจธรรมของชีวิต คือ เรื่องทุกขัง  อะนิจังและ อะนัตตา  เดินสู่เส้นทางสันติภาพ ทานและการแบ่งปัน  คือการแบ่งปันอำนาจการเมือง แด่ประชาชนคนอเมริกันทุกคนโดยได้คนละ 1 เสียงเท่ากันทุกคนนั้นเอง   สร้างการเมืองแห่งสันติธรรมแห่งความเป็นมิตร  และตามครรลองวิทยาศาสตร์มีเหตุมีผล  ตามหลักอริยสัจ 4 นั่นเอง รวมมาลงเป็นกฎการปกครอง-กฎการเมืองประชาธิปไตยคือ หลักเสรีภาพ(Liberty), เสมอภาค(Equality)  และ  หลักความเป็นพี่เป็นน้อง หรือพุทธไทยว่า ญาติธรรม (Fraternity)  นั้นเอง และโดยหลักการนี้ หลักการเมืองสันติธรรมแห่งพุทธศาสนา ที่ยังนำบุคคลก้าวข้ามโลกสู่มรรคผลนิพพานได้ต่อตลอดชีวิต มี อรหันต์บุคคล บังเกิดขึ้นทั่วโลก

30.

การที่โลกทุกวันนี้ พากันเห่อเหิมเรื่องประชาธิปไตย  เห่อเหิมเรื่องสิทธิมนุษยชน และหวงแหนสุดชีวิตในเรื่องเสรีภาพส่วนตน หลักความเป็นมนษย์เท่ากันหมดใครจะดูถูกเหยียดหยามไม่ได้นั้น   จึงเท่ากับการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาขึ้นมาสู่โลกใหม่  โดยหลักพุทธธรรมที่นำมาปกครอง  ตามแบบประชาธิปไตยยุคใหม่ นั้นเอง   ซึ่งนั่นก็คือ การลดทอนลงซึ่งภะวะ-วิภะวะ ตัณหา ความอยากใหญ่  อยากอยู่เหนือ  ตนครองอำนาจไปตลอดกาลและสืบวงศ์ต่อไปไม่จบสิ้น  มาเป็นอำนาจเป็นของประชาชน  เพื่อประชาชน  และโดยประชาชน ที่มีเท่าเทียมกันมีการแบ่งทานอำนาจแบบเท่าเทียมกันหมด นั่นคือ  สังคมที่คนทุกคนเป็นคนเสมอกัน นั่นเอง ...ไม่มีทาสอย่างเด็ดขาด  อเมริกาต้องปลดปล่อยทาสให้หมดประเทศ แม้ต้องทำสงครามล้างทาสก็ต้องทำ  และได้ทำจนชนะมาแล้ว    ไม่ว่าทาสทางการเมืองหรือทาสทางเศรษฐกิจ   และจึงมีระบบการเลือกตั้งทุก ๆ  4 ปี  เพื่อไม่ให้คน ๆ หนึ่งครองอำนาจ แบบยึดมั่นถือมั่นเป็นของตนคนเดียว อันรู้จักกันมาว่า  เผด็จการ  ครองอำนาจตลอดไปคนเดียว อันเป็นการไปเพิ่มพูน  ภะวะตัณหา เพิ่มพูนอำนาจยิ่งใหญ่ไปจนวันหนึ่งประกาศตนเป็นเทพเจ้าได้(นึกว่าตนเองเป็นเทพเจ้าเช่นสมีเณรคำนั่นเอง) แต่นั่นแหละสิ่งที่บอกถึงความเห็นแก่ตัวของตน นั้นเอง ที่บอกถึงอำนาจเผด็จการ อันไม่เคารพหลักเหตุผล วิทยาศาสตร์  จะปิดกั้นวิถีทางมรรคผลนิพพานเสีย  

31.

จึงมีการเลือกตั้ง  เพื่อประเทศปกครองโดยอำนาจเป็นของประชาชน  โดยประชาชน และ เพื่อประชาชน    และโดยระบอบของเสรีชน มีความเป็นมนุษย์  มีความสามารถอย่างมนุษย์เท่าเทียมกัน  มีความเสมอภาค และมีความเป็นภราดรภาพ คือไม่มีความเป็นศัตรู มีแต่ไมตรีจิตมิตรภาพดั่งพี่ ๆ น้อง ๆกันทุกชีวิต    อย่างที่ ประธานาธิบดีคนใหม่ คนที่ 51  นายจอห์น  โดนัล  ทรัมป์  แห่งอเมริกา  คิดผลักดันให้ยูเครน ฟังเสียงประชาชนยูเครนโดยผลักดันให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่อยู่ขณะนี้วันนี้ นั้นเอง

32.

และโดยการฟื้นของพระพุทธศาสนาคำว่าสิทธิมนุษยชน  จึงถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก  คำว่า  สาธารณรัฐ  หรือ ประชาธิปไตย  จึงเป็นเป้าหมายของประเทศทั้งหลายทั้งโลก  โดยอยู่ใต้หลักการภะวะตัณหาต้องหายไป  อำนาจเป็นของประชาชน เพื่อประชาชน และโดยประชาชน โดยคุณธรรม  เสรีภาพ  เสมอภาค  และ ภราดรภาพ  อันมาจากหลักการเสรีภาพที่แท้จริง ถึงขั้นไล่นายทาสคือ ตัณหาทั้ง 3  กาม ภะวะ  วิภะวะ  ไปพ้นดวงจิตได้นั้นแหละเสรีภาพสูงสุด นำไปสู่การพ้นทุกข์ มีความสุขสงบไปชั่วนิรันดร

และยุควิทยาศาสตร์  วิทยาแห่งเหตุและผล ที่เจริญไปสุด ๆ วันนี้ก็คือ ความศรัทธาหลักเหตุ หลักผล  เพื่อเข้าทางตรงสู่ความเป็นอริยบุคคลของศาสนาพุทธ  ที่พิศูจน์ได้

33.

และเมื่อพิศูจน์ได้  ก็จะพบความจริงและพบสภาวะแห่งอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา  ที่นักวิทยาศาสตร์ใหญ่โลก  อัลเบิรต ไอสไตน์  ได้พิศูจน์มาแล้ว  จึงกล้ายืนยันว่า  ศาสนาพุทธเป็นศาสนาสำหรับยุคใหม่  และไม่ใช่เป็นศาสนาสำหรับโลกนี้เท่านั้น แต่เป็นศาสนาสำหรับสากลจักรวาลๆทั้งสิ้น

34.

เราจึงควรมาเริ่มที่เรื่องเหตุผลเถิด

อะไรที่เป็นเหตุร้าย ก็จะส่งผลร้าย

อยากได้ผลดีก็จงสร้างเหตุดี 

ก็มาเรียนรู้จริงๆ เถิดเรื่องตัณหา

กามตัณหา

ภะวะตัณหา

วิภะวะตัณหา

ที่เป็นประเด็นมาแต่เริ่มต้น  ว่าคนไทยยังแปลคำ 3 คำนี้ไม่ได้ แล้วจะสร้างพระพุทธศาสนาในไทยให้จริงแท้ไปได้อย่างไร

35.

มีแต่จะตกต่ำ เช่นกรณีสมีเณรคำ ฉัตติโก  และล่าสุดสมี พระคม อภิวโร (เป็นราชาคณะ พระวชิรญาณโกศล ลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่น  หลวงตาบัว)  ที่เทศน์ ที่ออกคลิปยูทูบดังไปในวงการนักปราชญ์พุทธเลย คนโง่นึกว่าสำเร็จอรหันต์ลูกศิษย์หลวงตาบัวอรหันต์อีกคน ...ได้เงินแล้วเอาไปให้น้องสาวเก็บไว้ที่บ้านเป็นปึกหลายล้านบาท  ตัวเองทั้งแสดงธรรมแด่มหาชน แต่ลับ ๆเป็นทาสกามเสพเมถุนกับเจ้าอาวาสประจำ ข่าวใหญ่ในวงการพุทธเราอีกข่าวนั้นเอง.....ที่ยังหลบลี้หนีคดี...เหมือนเณรคำฉัตติโกนั้นอยู่ 

36.

ข้อควรคิดก็คือ   ไม่ใช่เพราะเสียงที่ออกจากปากหรอก แต่เพราะสัจธรรมที่ตนได้รู้แจ้งจริงต่างหากระดับพระอริยบุคคลจริง  โสดาบันถึงอรหันต์จริง ๆ  จึงไม่อาจจะเอาศาสนามาขายหากินได้

และการบรรลุธรรมแท้ ๆ เท่านั้น  จึงจะฟึกฟื้นพระพุทธศาสนาขึ้นมาสู่โลกยุคใหม่  ที่ต้องมีการพิศูจน์-ทดลองแบบงานวิทยาศาสตร์ จนคนทั้งหลายเห็นจริงเห็นแจ้งด้วยตนเอง

37. 

ดังที่เจ้าชายสิทธัตถะก่อนเป็นพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างมาแต่ต้นแล้ว…แม้ก่อนเสด็จออกบวชก็ทรงรู้แจ้งวิถีโลก คือ  ทุกขัง อะนิจจัง  อะนัตตา  ตามที่ทรงได้พบ คนแก่  คนเจ็บ และคนตาย  ว่าเป็นเรื่องของ ทุกข์   ทรงพบสิ่งที่เรียกว่าทุกข์แล้วทรงมีคำถามว่าจะพ้นทุกข์ไปได้อย่างไร ?   นี่แหละที่ยังไม่พบคำตอบ   จะต้องออกบวชและแสวงหา  ทรงได้รู้ได้เห็นได้สัมผัสความไม่เสมอภาคกันของมนุษย์ นั่นคือ ระบบชั้นวรรณะ ชีวิตชน 5 ชั้น 5 ระดับในอินเดียยุคนั้น  กษัตริย์  พราหมณ์   แพศ   ศูท  และพวกทาส จัณฑาล นั้นเอง ทรงพบว่า ไม่เป็นประชาธิปไตยเสียแล้ว นี่ไม่มีความเสมอกันของมนุษย์  ไม่มีธรรมะความเสมอภาค ไม่มีสิงที่โลกวันนี้ฮึกเหิมกันคือเรื่องสิทธิมนุษยชน เลย ......

38.

และทรงสัมผัสสัจธรรมะแห่งความอยากใหญ่  ความใฝ่ในความมี ความเป็น ความอยากได้ ใฝ่ในอำนาจ  สมบัติทรัพย์สินเงินทองไม่รู้จักพอไม่รู้จักอิ่ม อันเป็นเรื่องของ ภะวะตัณหา มาแล้วโดยตลอด  นับแต่เรื่องสงคราม พิธีปล่อยม้าอุปการของพระเจ้าโกศล มา  จึงทรงสละราชบัลลังก์ออกแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า  มีคุณค่า  มีบุญกว่า   และครั้นไปปฏิบัติ กับอาจารย์ทั้ง 2 อาฬารดาบส กับ อุทกดาบส   ถึงระดับทรงฌานถอดร่างไปฟังคำสอนพระอาจารย์บนแดนเมฆขาวได้ แต่กลับทรงพบว่ามันเพิ่มสิ่งที่เรียกว่า  ภะวะตัณหาไปกว่าเดิมเสียอีกแล้วจะพ้นทุกข์ไปได้อย่างไร  จึงยังไม่พบคำตอบจากอาจารย์ทั้ง 2 นั้น  ต้องทรงศึกษาไปอีก

39.

ครั้นไปพบพวกเชน ศิษย์ของมหาวีระ  ก็ทรงเอาแบบ เชนไปทดลอง พิศูจน์ดู   คือ  ทำทุกกรกิริยา  ทรมานพระองค์ไปแบบเชน  มหาวีระนั้นทรมานจนตัวเองตายไปขณะทำทุกรกริยานั้น จนสิ้นชีวิตแล้วลูกศิษย์คิดว่าท่านยิ่งใหญ่ได้พบความรอดแล้วเป็นศาสดาที่แท้จริงตั้งศาสนาเชนขึ้นมา   

40.

แต่ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุ และ  ผล เจ้าชายสิทธัตถะ มองไม่เห็นเหตุผล ที่จะทรมานตนไปจนตายเปล่าเหมือนมหาวีระ จึงทรงกลับมารับอาหารอีกครั้ง การตายไปกับความโง่  โดยบำเพ็ญทุกรกริยาจนตายไปอย่างศาสดาเชน มหาวืระของเชนนั้นเป็นสิ่งที่ไร้เหตุผล...และไม่ได้บรรลุสิ่งที่ดีล้ำเลิศคือ “วิชชา” อะไรเลย....พูดอีกอย่างหนึ่ง  ก็คือ  การตายเปล่า ของมหาวีระนั้นเอง    และมายุคใหม่มีพระเยซูศาสดาคริสต์  พระนบีมุฮำมัด ศาสดาอิสลามก็ยังไปบำเพ็ญทุกรกริยาโดยประพฤติแบบเดียวกับมหาวีระ เช่นเดียวกันนี้ เลยผิดพลาดนำไปสู่มิจฉาทิฏฐิครั้งใหญ่ ...คือเกิดพระเจ้าองค์ใหม่ขึ้นมา 2 พระองค์  ซึ่งนั่นเป็นเพียง จินตนาการ ที่ไร้ความเป็นจริงไปหมด  ที่เอามาหลอกลวงมนุษย์ต่อมาถึงวันนี้  ...อันเกิดจากมิจฉาสมาธิเหมือนกันทั้ง 2 องค์นั้นเอง...ที่ไม่อาจนำไปสู่ความพ้นทุกข์ในวัฏฏะสงสารได้   

41.

สำหรับองค์ชายสิทธัตถะ ที่รอดมาได้จากความเชื่อวิปริตผิดความจริงมาตลอดมาศึกษาด้วยพระองค์เอง....คือหมดครูอาจารย์สอนเรื่องสูงไปกว่านั้นแล้ว = ทรงร็แจ้งลัทธิความเชื่อของอินเดีย พวกฮินดูพรหมณ์ไปจนหมดสิ้นแล้วว่า  ไร้สาระ นั้นเอง   จึงไปศึกษาต่อเอง โดยยึดหลักการพิศูจน์ ทดลองหาความจริงตามเหตุและผล  คือทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์นั่นเอง  ตามหลัก เหตุ และ ผล  จนที่สุดทรงได้ค้นพบ ตัณหา 3 ตัณหาอันเป็นเหตุให้ชีวิตเป็นทุกข์ เป็นทาสถูกกักกันในวงเวียนอุบาทว์  ต้องหมุนวนอยู่ในวัฏฏะสงสารตลอดมาและจะตลอดไป นับโกฏิล้านปีข้างหน้า และได้ทรงพิศูจน์สัจธรรมนี้  ตามที่ในธัมมจักกัปปะวัตนะสูตร ที่บอกว่า 3 รอบ  12 อาการ นั้นเอง ที่หมายถึง ได้ทรงพิศูจน์  อริยสัจธรรมทั้ง 4 ข้อ(แบบงานนักวิจัยยุคนี้เลย นั่นคือ

(1.) ตั้งสมมติฐาน 

(2.) พิศูจน์ ทดลอง 

(3.) หาข้อสรุปที่สอดคล้องกันของเหตุและผล  

ที่ทรงพิศูจน์ ก็อริยสัจ 4 ประการ (1.) ทุกข์   (2.) สมุทัย   (3.) นิโรธ   (4.) มรรค    4 เรื่อง ๆ ละ 3 ขั้นตอน รวมเป็น 12 ขั้นตอน = 3 รอบ 12 อาการ (คำว่า “3 รอบ 12 อาการ” เป็นภาษาของนักแปลบาลีไทยซึ่งฟังไม่ค่อยรู้เรื่องอีกเรื่องหนึ่ง  หากแต่เราเข้าใจศาสตร์เชิงงานวิจัยจึงรู้ความจริงเช่นนี้)  เป็นเวลา 49 วันมาแล้วจนรู้แจ้งจริงว่าเป็นสัจธรรม ครบถ้วนสมบูรณ์สำหรับความเป็นพระพุทธเจ้า จึงทรงประกาศพระองค์แด่ปัญจวัคคีย์ ด้วยพระธัมมจักกัปปะวัตนะสูตรว่า  ทรงเป็นพระพุทธเจ้า  ผู้รู้แจ้งโลก  และทั้งจักรวาลทั้งปวง

42.

หากสร้างเหตุดี  ฆ่าตัณหาทั้ง 3 เสียเกลี้ยงแล้ว

ก็ย่อมได้รับผลดีคือ  พ้นทุกข์สู่ความสุขแท้นิรันดร  พ้นจากอะนิจลักษณะธรรม และพ้นจากอนัตตะลักษณะธรรม อย่างเที่ยงแท้  นั้นแหละหลักเหตุและผล หรือ วิทยาศาสตร์ยุคใหม่นี้...ที่นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของโลก อัลเบิร์ต ไอสไตน์บอกไว้เมื่อ 140 ปีก่อนแล้วว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวสำหรับโลกนี้และจักรวาล

43.

ก็เพราะศาสนาพุทธสอนธรรมะที่พิศูจน์ทดลองได้  (ความหมายของคำว่าศาสนาเดียวของไอสไตน์นั้น หมายถึงศาสนาอื่นๆ ไม่มีความดีพอจะเป็นศาสนานั่นเองหรือแท้จริง  หมายถึงเมื่อคำสอนศาสนาเอาไปพิศูจน์ไม่ได้ก็ควรที่โลกยุคนี้ซึ่งนับถือวิทยาศาสตร์ หรือ ศาสตร์ จะละห่างออกมาเสีย อย่าไปเสียเวลาแห่งชีวิตไปกับสิ่งไร้ค่าอีกเลย น่าเสียดาย  มาเอาธัมมะของศาสนาพุทธไปพิศูจน์เอาเองดังคำว่าพิศุจน์ได้จนถึงที่สุดของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์นั่นเอง)

44.

และที่ควรทดลองที่สุดควรพิศูจน์ที่สุดของโลกยุคนี้ก็คือ  เรื่อง กามตัณหา  ภะวะตัณหา  และวิภะวะตัณหา นั้นเอง  จงเริ่มทดลองทันที ด้วยการล้างชำระ กวาดออกไปซึ่งตัณหาทั้ง 3 อย่างนี้ ไปจากใจของตน ๆ ได้เลย ณ เวลานี้ที่นี่และเดียวนี้เลยและพยายามตรึกตรองในเหตุและผล และมีการวางแผนอย่างรอบคอบในเชิงการปฏิบัติพิศูจน์ทดลองนั้น..โดยมุ่งหมายให้สำเร็จไปตลอดชีวิตนี้….แม้ถึงวันแก่จวนจะตาย แต่สำเร็จอรหันต์จนได้ นั้น สุดแสนจะคุ้มสุดคุ้มแล้ว สำหรับชีวิตนี้...จะรู้เองเมื่อถึงวันนั้น

45.

เมื่อใดมีผู้ทดลองสำเร็จนั้นแหละจะทำให้พุทธศาสนาฟื้นขึ้นมาสู่โลกทั้งโลกอีกครั้งหนึ่ง ที่บอกถึงการขนถ่ายมนุษยชนไปเสียจากโลกมหาภัยนี้  สู่โลกมหานิพพาน แดนพระอรหันต์อันว่างเปล่าไร้ตัวตน ไร้ขอบเขต  ไร้ศูนย์กลาง  ไร้สรรพสิ่งที่มีในโลกมนุษย์  ไม่มีอะไรเลย  เป็นสุญญตา  เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมดในโลกนิพพานนั้น แบบไม่มีตัวตน แบบไม่มีที่จำกัดมีกี่ร้อยล้าน พันล้านพระอรหันต์ ก็ไม่มีคับแคบ เพราะเป็นหนึ่งเดียว ว่างเปล่าไปชั่วนิจนิรันดร   ก็พ้นทุกข์มีแต่ความสุขแท้นิรันดร...

และแน่นอน ไปสร้างสังคม  วัฒนธรรมและการเมืองประชาธิปไตย  บนหลักธรรมของเสรีภาพ-เสรีชน...คนพ้นทาสตัณหาได้จึงเป็นเสรีชนที่ล้ำเลิศประเสริฐด้วยความสุขแท้  มีความเสมอภาค  ทุกคนมีสิทธิความเป็นมนุษย์ หรือ สิทธิมนุษยชน เป็นของประจำตัวคนประชาธิปไตย ประชาธิปไตยคือการเมือง เสรีภาพ  เสรีชน  ที่ต้องหมายถึงความปลอดจาก ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา  คนทั้งหลาย ประชาชนทั้งหลายนั้น  มีความเป็นมนุษย์เสมอกัน  คนเท่ากันมีสิทธิมนุษยชนเท่ากัน มีไมตรีจิตมิตรภาพในวงการเมือง คือ ภราดรภาพความเป็นพี่ๆน้องๆ นั้นแหละนำไปสู่  ประชาธิปไตยที่แท้จริง  ที่อุดมการณ์ของระบอบนี้นั้นก็คือ ไม่มีผู้แพ้หรือชนะในระบอบนี้ มีแต่ผู้ชนะทั้งหมด ประชาธิปไตยแห่งสันติธรรม  สันติภาพโลกใหม่

และแล้วประชาธิปไตยโลกย่อมเตรียมแผ่นดินไว้ให้เหมาะสมพอจะนำบุคคลประชาชนทั้งหลายบรรลุ ล้างกามตัณหา  ภะวะตัณหา และวิภะวะตัณหา เกลี้ยงไปหมดจากใจได้เมื่อไร..นั่นแหละความเป็นเสรีชนอันแท้จริง ความเสมอภาคที่แท้จริง และความเป็นพี่ ๆ น้อง ๆ ที่มีแต่ไมตรีจิตมิตรภาพที่แท้จริง  ก็บังเกิดขึ้นแด่มวลมนุษย์   ทั้งรูปธรรม นามธรรมได้บังเกิดขึ้นในโลกมนุษย์  โลกทั้งโลกก็สงบลง  เพราะคนในโลก เมื่อนั้นเวลานั้น นาทีนั้นก็เปลี่ยนจิตใจใหม่ จากโลกโลกีย์ สู่โลกนิพพาน แดนดับหรือ นิโรธะ เป็นโลกุตรภูมิ บรรลุอรหันต์  ที่พ้นทุกข์มีแต่ความสุขแท้ไปชั่วนิรันดร์กาล ....

46.

ขอชาวโลกได้โปรดนำข้อปฏิบัติของพระพุทธเจ้าในการฆ่าล้างตัณหาทั้ง3ให้หมดสิ้นไปจากดวงใจ นั้นแหละผลประโยชน์อันเยี่ยมยอดยากจะคาดคะเนมาก่อนจะเกิดแด่นรชนคนทั้งหลายนำไปสู่ความสุขแท้นิรันดร  และนั่นแหละความรอดแห่งโลกยุคนี้  สวัสดี

*****        สุไหงปาดี ชินะกุล

ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์

บัวระย้า  ชบาบุณเสฏฐ์

Phayap Panyatharo

พระครู พุทธิพงศานุวัตร

11 มีนาคม 2568  22.00 น.

*****-----*****

*****-----*****

@ พระพุทธศาสนาสู่ยุคใหม่  ตอนที่ 4  ตัณหาทั้ง3อย่าง เรื่องสำคัญของมนุษย์ทั้งโลก

Thai-English

Buddhism in the New Era, Part 4

The 3 Desires, Important Matters for Humans

Part 1: Ordinary People, All People in the World are Just Ordinary People, Lowly People

Part 2: Suffering, Impermanence, and Non-self in the Cycle of Existence

Part 3: The Age of Scientists Reviving Buddhism to the New World, Every Country Aims for Democratic Politics

1.

Part 4: The 3 Desires, Important Matters for Humans

- Kama Tanha

- Bhava Tanha

- Vibha Tanha

These 3 words have the highest meaning for all of humanity, but they do not know their meaning. For Thais, they are in a foreign language, and they do not know how to translate them into Thai, so they translate them as

Kama Tanha means Kama Tanha

Bhava Tanha means Bhava Tanha

Vibha Tanha means Vibha Tanha

Tanha means Tanha

So they do not know their importance. The meaning of the Buddha

Thais, Laotians, Cambodians, Burmese, Malaysians, Singaporeans do not know any of them.

So it is not surprising that there are no Buddhist monks who have achieved enlightenment in these 3-4 Buddhist countries.

2.

Today, there are knowledgeable people who are called “teachers” or “professors” who teach many people, but they do not know what these 3 desires mean? What are they in the teachings of the Buddha?

Even though the Buddha said that..it is very important...it is a matter of the new world, a matter of aliens. That is, for Himself, He said in the first sermon, Dhammacakkappavattana Sutta, from the beginning that it is the most important cause of all suffering, that is, birth, aging, illness, death, or the destruction of all things, the world and the universe, it is the cause of suffering, impermanence, and non-self.

3.

That is, the matter of the 4 Noble Truths is the truth of life and all things that He has realized and has proven in terms of cause and effect. By experimenting like a scientist until he became enlightened, knowing clearly “cause” and “effect”

Samudaya: cause that leads to effect There are 2 effects (1.) which is suffering and (2.) Nirodha. Therefore, he found that this is clear knowledge for being a Buddha. Therefore, he announced himself as the Buddha.

4.

That is, in the 4 Noble Truths that he first told and taught the knowledge that he gained from his enlightenment by teaching the 5 Pancavaggiyas first that suffering... does not suddenly arise by itself. But there is a cause for suffering, that is, it comes from 3 causes (cause = origin)

That is, desire for sensual pleasure, craving for existence and craving for non-existence.

That is, these 3 words are the “cause” that leads to 2 “effects”:

(1.) Bad result is suffering

(2.) Good result is Nirodha-Nirvana

Which is 100% scientific.

(Science is a subject that always proves cause and effect. Otherwise, it's not science ... and scientists have learned science from the teachings of the Four Noble Truths of the Lord Buddha. Therefore, it is extremely important knowledge and very reasonable for people in this era to seek true knowledge of the Four Noble Truths and achieve the state of an Arahant ... only by purifying the evil causes, namely, sensual desire, craving for existence and craving for non-existence, completely from the mind, to be pure, clean, empty ... without even a grain of dust. (It must be completely clean, with no dirt at all, not even a grain of dust. If one attains Anagami but still cannot completely cleanse the mind, leaving only a grain of dust, as long as that single grain of dust cannot be removed, even for 10 billion million years, one will not be able to attain Arahantship. Therefore, the term "all-round white" means completely clean, without even a grain of dust, then one can attain Arahantship, and is worthy of being such. (The truly excellent Arahant)

It is called washing away the bad causes, removing the bad causes, and then the result is immediate success, becoming an Arahant.... Whenever you can do it, at any minute or second, you will succeed at that moment. This is a scientific principle.

5.

When people are infatuated and delighted with sensual desire, existence desire, and non-existence desire, it is like creating bad causes and which will create bad results, that is suffering... suffering, impermanence, and non-self, sending life to circle in the cycle of existence endlessly.

But if we listen to the Lord Buddha, cleanse, wash away, and kill these 3 types of desires from our souls and hearts until they are completely clean, like white all around...it is certain that it will bring good results, that is Nirodha or Nirvana..and attain Arahantship while living in this life itself, that is another world that is free from all suffering.

6.

But why is there no Arahant in the world today?

It probably started from not understanding the language, and not being able to translate these three words correctly.

Kamatanha, not knowing how to translate it in Thai, translating Kamatanha as Kamatanha.

Bhavatatanha is the same, translating Bhavatanha as Bhavatanha, the same as before.

Vibhavatanha is the same, it is translated as Vibhatanha.

Taanha means Taanha, so you really don't know anything, you're really stupid and blind.

How would you know anything about the path to Nirvana? Since you don't know the language, you don't know the most important thing, which is the question of being with Buddhism but not knowing Buddhism at all. And no one has attained Arahantship.

7.

And what has caused harm for a long time, until today, since not knowing...then taking this ignorance to manage various matters, especially the management of the Sangha administration, that is...without realizing it yourself...by managing the desire to govern the entire Sangha.

Just this, it destroys Buddhism in its entirety....and gradually causing more and more harm, until the day it explodes by itself......which is the result of not knowing...but when it does know some, it will be shocked and see the sin, and will have shame, which is hiri-ottappa, and then hasten to fix it.

8.

So it makes it not know the most important thing, which is the Dharma, more important than other teachings, which gives the attainment of Nirodha-Nirvana-Arahantship, which is the direct path, faster than other paths. Other paths, other practices teach foolish people, this path teaches smart people, teaches free people, scientists who respect cause and effect, to attain it as quickly as breathing in and out.

9.

When not knowing about lust, those who ordain as monks, monks, novices You should know about lust...but you don't know. When you get old and die, you are still just an ordinary person. You have money, honor, and status like an ordinary person...it's good that you can wear the saffron robe...

You don't know that you were tricked by the tricks of the great devil of lust to make you his slave...go to talk, laugh with women...even though you are about to die, you trick women to come near you, pat their heads, reach into their necks, shoulders down to their chests...say that you did it with kindness, tell funny dharma stories to women and nuns, and laugh together, look at each other, walk together, both at night, ride a Benz, think that you are an angel, a god, put the word god in your name.

You feel refreshed, excited, relieved, sad with what you get in the world, laugh giggle like a handsome young man in a bar club. But when you meet men, you feel uncomfortable, give a lot of orders. Going here and there, watching pornographic pictures all the time, starting with music, dancing, etc. ... even though it is Dharma music ... tell them it is Dharma music, but do you know that it is a hidden trick of lust? That means if you do not know about lust, how can you think about the path to arahantship and arahatship? Just the path to Sotapanna is not enough. Just being in a hidden place - a hidden place with women, the Lord Buddha does not allow it to be done anyway ... (Vinaya says Aniyata 2, Chapter 18-19) because you will fall for the tricky lust itself, and that blocks the path to arhatship. Behaving like this, how can you preach about lust ... how can you act like you are a Sotapanna - Arahant? It is truly shameful. 10. And do not know about the existence of lust at all. Starting from the translation, it is not understandable at all ... because Thai monks have a system And the entire system of governance with positions alongside ranks (ecclesiastical titles), even holding high positions, as Somdej, as Chao Khun...second to Somdej, Tham, Thep, Raj, as Phra Raja Khana Saman, concurrently with positions...high positions also come with high ecclesiastical titles. This is bhava-tanha. There has been competition, struggling to buy titles and positions all along...Political scientists would clearly see that this is the old-fashioned aristocratic system of Siam that has been discontinued. Positions range from Head of the Sangha, Regional Head of the Sangha, Provincial Head of the Sangha, District Head of the Sangha, Sub-district Head of the Sangha, Abbot...and even with such a high position, still don't know what bhava-tanha is...even though holding a ecclesiastical title, holding a position is the same as being close to bhava-tanha, directly. But don't know bhava-tanha at all, don't know that it is the evil one laughing happily at being, having, gaining high titles, power, enjoying the taste of food, honor, titles, nobility, and receiving enormous benefits comfortably resulting from this bhava-tanha...still don't know. Then how can one attain Arahantship? Don't even think about attaining Sotapanna.

11.

And when we do not know the great devil, the great danger from the beginning ..... it makes us live and have the great devil, Kama, Bhava, Vibha, Tanha as our life companions throughout our human life, even though we are monks, wearing yellow robes, unlike laymen.

But when comparing directly to the laity circle, which is the circle of Thai civil servants, the civil servants, even though they are laymen, know the Dharma, Bhava Tanha better than the circle of monks, that is, the laity know the Dharma more correctly than the monks and Thai monks, and use the knowledge of Dharma to manage the civil servant circle. Therefore, we should listen and look at the laity as an example. In the matter of Bhava Tanha, look at the management of the civil service system itself.

They know how to create a system that protects against the evil thieves of Bhava Tanha, which reduces its evil power significantly. As for the circle of monks, even though they are with Buddhism, they do not know anything at all, so they only pave the way for thieves to continuously take over our minds, and today it has become a bigger problem.

Then what will they know about the lofty words that The noble Sotapanna, the noble Sakadagami, the noble Anagami, and the noble Arahant

It is truly a strange and fascinating story about ignorance.

12.

Looking at the positions of all civil servants, they do not allow them to cling to their positions for life like the Sangha. They allow regular transfers every 4-5-6 years, such as district chiefs, deputy district chiefs, governors, and deputy governors. They allow them to be transferred throughout the country. Governors and positions in various ministries, departments, and agencies all have regular transfers every 4-5-6 years. It is clear where this idea came from.

The scientific reason is to not cling to, hold on to, or grow insatiably with positions and statuses, or cling to administrative areas that will lead to increased profits, honor, and praise in the areas they are governed and administered. This is what shows that even lay government officials understand the concept of “desire” very well, as if they know the Dharma better than monks. It is just that they look at it from a scientific basis, conduct research to find reasons, and find bad things that correspond to the word “desire”. Therefore, they do not allow civil servants in high-ranking administrative positions to cling to and grow their power. The fortune in the area went, so there was a regular transfer of positions, a system of all ministries and departments. The Sangha administration saw the truth, which was actually the use of the old dictatorship and lordship system to govern the monks. It was completely outdated. In terms of politics, there was a political revolution to democracy, which reduced the power of the desires through elections every 4 years. Even the direct Dharma of the desires was behind... because the lordship system that the country had stopped using was a tax system that extorted people at different levels, dividing up the income and making a living at different levels. They stopped using it because they saw that it was unfair and increased desire, blocking the path to Nirvana. Instead, they gave it to the Sangha, Buddhist monks who had the duty to practice to attain the path to Nirvana. It became a system that did not promote the path to Nirvana at all, but continued to extort taxes from the people, just like the old lordship system. The Sangha administration Therefore, there is a monastic system that copies every position from the civil service system. And there are more than the civil service because the feudal system is still used to govern the monks. And the system is more hierarchical than the civil service, which means more desire than the civil service. There are positions for the regional abbot and the chief abbot. There are positions for the chief abbot, regional abbot, provincial abbot, district abbot, sub-district abbot, and abbot. There are also positions for "deputy...", "assistant...", and "secretary" in every position... and there are special positions added from time to time without any shock (because of ignorance... no matter what one does, one does not know the cause or effect). Until the monks who do not have any positions at all will be like lowly people with bosses covering every direction... unlike the world where the people own the country. According to the democratic system, these are the civil servant monks who perform their duties to govern the monks throughout their lives without thinking about the bad consequences, that this is the bad consequences. And what is in line with the highest principles of Dhamma is To increase the desire for existence and sensual desire in the minds of the monks, a system that nurtures desire to grow continuously. Instead of letting it gradually decrease according to the principles of the Four Noble Truths, the path to Nirvana, the excellent teachings of the Lord Buddha,

Therefore, it has caused the increase and increase in the power of desire to have, to want, to be more and more among the monks, until today, there are people who wake up and talk about the bad things in the Buddhist circle... non-stop... which is in line with the shameful bad news that has been continuously coming from the monk circle. Starting from ordination to earn money, to earn a living to support children and wives at home, which has no analysis or research on the problems from the monk circle at all, especially the Supreme Sangha Council, and this problem has been increasing continuously. There have been serious problems that have led to the loss of public faith from time to time, starting from the Yantra Amro case (today - heard that he has died, aged 73, died in America in a temple where the monks fled to Thailand to live together) --- Dhammajayo - Wat Phra Dhammakaya (said to be the origin of the Dharma, the leader of all Buddhas... of the same breed as Samanera Kham... but Dhammajayo still has problems until today, the hundreds of lawsuits, although he was jailed but did not go, and the case where Somdech Phra Nyanasamvara, the Supreme Patriarch, issued a letter ordering him to be dismissed from being a monk for violating the Dhamma-Vinaya, Patimokkha, section 2, which is Parajika, because he stole many plots of land for himself, many rai, which means that he was an ordinary bad monk. But why was he proposed for a higher ecclesiastical rank before he was dismissed? Who proposed him to the Sangha Supreme Council, and who were the monks at that time? ....There still needs to be an investigation to find the perpetrators in this matter until the end in order to cleanse the evil according to the principles of the Ovada Patimokkha. Especially....in terms of how could a monk who committed the Parajika offense be offered a divine ecclesiastical position? How could someone as wicked as the Parajika offense be praised as a divine royal monk? --- Bhavanabhuttho...This picture has a nun take care of the matter of young wives (making a project to sponsor dozens of girls from the northern city to come and live at the temple with her, and then using lust as a deadly weapon to kill the blind monk). It's like the goddess in the royal palace training the nuns to understand the practice of sexual intercourse for the emperor. It's just like the lords and nobles of old. --- Novice Kham Chattiko (A novice monk who thinks he is a god and can command the gods in heaven. Even fools bring money to donate to a temple fair that reaches through the sky. He gets 8,000 kilograms of gold, has his own helicopter, goes everywhere in a jet, a Benz, a Rolls-Royce, with police lined up to receive him all the time---and most recently, Phra Khom Apiwaro...Phra Wachirayanakosol. Just last year, he revealed a secret in the same way as Phra Khom, in the case of Phra Khom Chattiko and Phra Khom Apiwaro, which comes from the principle of Bhava-Vibhavatanha + Kamatanha.

13.

Therefore, it is worth considering a system of transferring civil servants...from abbots, sub-district chiefs, district chiefs, provincial chiefs, regional chiefs, and district chiefs every 4-5-6 years like a civil service. Take this measure first, start improving the monastic system like a civil service for the laity...like a wandering monk who travels without stopping, aiming to kill the craving for existence, the craving for non-existence, and the craving for sensual pleasures directly. And when there is a system that reduces the craving for existence, understands the craving for existence, the craving for non-existence, and the craving for sensual pleasures, and understands the path to practice,

that is, leading the soul to the path of the fruit of nirvana, opening the path to being an ariya, from Sotapanna to Arahant, which is a personal and excellent way to do so. It is a civil servant who has achieved the noble ones, who will lead or be an example for the group of monks under his rule...as an example of practicing Dhamma for the path of the fruit of nirvana directly. Next is the propagation of the Sangha in the right way. That is the revival of Buddhism to the modern world, with the main power being the entire group of disciples who know the true principles of Dharma directly, who act as examples.

14.

Let's review again. This is not a criticism, but a true story. The Thai Sangha education circle has a Pali translation institute, which is called the 9th level of the Pali Studies. In fact, it is a translation study. There are translators who study Pali to Thai translation, especially those who study Pali to Maha 1-9 levels. They study Pali to Thai translation in the literature department.... People who don't know understand that they study to attain Arahantship, and there are hundreds of them who attain Arahantship each year....

And there are many who attain it while they are still novices, and they show off to everyone. It is believed that the whole school and temple attained Arahantship. But it turned out not to be like that. (There is the story of Buddhadasa Bhikkhu who went to Bangkok as a novice because he thought he would study Pali. He thought that when he finished Pali 9, he would attain Arahantship. He thought that was the goal of ordination, but when he found out, he realized that it was not true. So he stopped studying when he only got to the level of Pali 3. He found that the study of monks was just a dog with a broken tail, so he went back to practice Dhamma in the countryside, Suan Mokkhaphalaram, Surat Thani Province...then he would attain Arahantship. He told the story.)

15.

Later, there was an idea, an idea to have more educational institutions, a Buddhist university...like it was said that it would be like Nalanda University in India, which was destroyed by Muslims and buried underground at that time. They competed to teach in a worldly way, both the Dhammayuttika and Mahanikaya sects. They studied until they graduated with doctorates one after another. So why can't they translate the highest words of Buddhism?

That is, it can be translated as well as the 9th-level monks.

Kamatanha means sensual desire.

Bhavatatanha means Bhavatatanha.

Vibhavatatanha means Vibhavatatanha.

Tanha means Taanha.

Dukkha-samudaya Nirodha-magga means Dukkha-samudaya-nirodha-magga.

Bhavana means meditation, etc.

There are monks who have passed the 9th level and even completed a doctorate degree, and those who have received high ranks and positions in both the world and the Dhamma, as professors in Thailand, who live with honor, high power and honor, both in the world and the Dhamma.

They still cannot translate these 3-4-5-6 words.

16.

Okay, let's leave this point aside for now. Let's say that even if they can't translate, there are other ways. They are monks, wandering monks in the forests and mountains, in the countryside far from the world, lust, craving, and attachment, who know the Dharma, understand the Dharma from practice, know how to analyze and prove by reason and effect.

Even if they don't know anything about language, even if they can't translate, they can understand the meaning and not come close to or befriend these cravings.

Which is different from those who live in houses, temples, government temples, royal temples, public temples, who use universities and colleges as temples, who are truly in the system of power and governance of the Sangha. Those who have 9th-grade monks, those who graduated from India, those who graduated from abroad and became PhDs, civil servants and monks, are professors who receive a salary from the people's taxes.

And those who have no knowledge, who don't have certificates in the form of degrees, honors from translation institutes, education, universities, bachelor's, master's, doctoral, or doctoral degrees...but they know the meaning of the existence of craving and the three cravings, know the practice of the Noble Eightfold Path, and hold the Dharma of shame. With shame and fear, a natural characteristic, sustainable

Therefore, there are some who have achieved Sotapanna-Sakadagami and even reached the level of Anagami Magga.

However, they are without effort, falling into the era of lazy people.

When they have achieved it for a long time, they reach the characteristic of people who have run out of merit, living on and on, sometimes comfortable, sometimes not, but they still have people who like them and give them money to spend continuously... They think that they have achieved Arahantship, telling the laypeople that they have achieved Arahantship, this life is their last life, they will not be reborn again...even though it is the result of running out of merit in this life, they have been doing nothing all along, thinking that they have achieved Arahantship, making money and gold in a big way in the future more easily than before because they deceive people that they are Arahants, people have never seen Arahants but they believe them, they go to make great merit with Arahants...like the teachings of forest temple teachers who say that wandering monks who say without knowing the meaning but keep saying that they practice precepts, concentration, meditation, which cannot be translated again, meditation means meditation, so they do not know what they are telling them to do. What is meditation? How is it done? The person who tells and teaches doesn't even know... Then the disciples do wrong and right without warning. The person who tells them, let them do it. The money is the judge.

17.

Recently, there was a story of a monk who called himself a novice. It was Novice Kham. Novice Kham Chattiko, who was famous throughout Thailand. He had 8,000 kg of gold. He had a helicopter to go everywhere. He flew a jet plane regularly. He showed off to the whole country. In reality, he was a stupid person but he cheated the rich and made millions of baht out of them. He made up a story that he had achieved enlightenment in the mountains while he was a novice. Then he disappeared. He went to heaven. He met Indra who helped build a temple. The rich person who was stupid and found money to make a huge donation...

In reality, he was a crazy person. He was another type of abnormal monk in this new era. He behaved strangely that people had never seen before and thought he had achieved enlightenment. He boasted that he had reached heaven. Angels told him to build a golden Emerald Buddha, etc... There is a clip of the owner of Dokbua Khu toothpaste telling the story of Novice Kham. At first, I believed that he was a true Ariya monk, but later I saw him like to go shopping abroad, ride a motorcycle, and ride a helicopter for fun often, so I wondered if Arahants are like this? Part of the evil and depraved nature of destroying Buddhism, without knowing his own evil and wrongdoings...

It just so happened that Thai people saw a photo of him sleeping with a woman. No matter how stupid this was, Thai people knew that he was not a monk. The police came to handle it and found many things that could be taken to court. There were hundreds of cases, so he fled to America and became a Robin Hood for a few years. America found him and put him on a plane and sent him back to Thailand because he looked too evil to step foot on American soil, so they sent him back to Thailand. The Thai court sentenced him to 114 years in prison. Now he is in jail.

18.

And there is another recent case in many cases, about Phra Khom Aphiworo (a royal monk = Chao Khun Phra Wachirayanakosol) who has a history of being a devotee of Luang Ta Maha Bua and Luang Ta Bua's younger sister, Nang Jandee, who both sisters were said to have achieved Arahantship, citing Luang Pu Man's lineage as well. It is said to be successful...advertised over and over again that the bones are relics (i.e. bright white like diamonds). If the bones are not relics, then it is not an Arahant...like never seen the relics of the Lord Buddha and the two great disciples that India brings for Thai people to see every year...or the ones that China brought for Thai people to pay homage to at Sanam Luang last year. Even the relics of the Lord Buddha and the two great disciples are not relics. There are photos to look at. Look at them. They are yellowish and dark. Why don't you go and see...Phra Kom is said to be successful. He must have achieved Sotapanna or something before he went to stay at the Wat Pa Thammakiri temple where there was a young abbot and they got along well. Then Phra Kom became proficient in the Dhamma-Vinaya, like he achieved the highest level of Pariyatti Dhamma. He was very good at preaching, proficient in every Dhamma. Each point, every Dhamma that he taught was excellent, as fluent as Luang Ta Maha Bua, his teacher. Anyone who did not know the history of this monk's Parajika would think that he was very good, at the level of an Arahant. But it hides a serious flaw in the practice of Dharma that the preacher does not know, the listener does not know... but those who are knowledgeable know... and then the real truth comes out that he lost to lust, secretly having sex with the abbot, male + male, according to the new law of the Paethongtarn government, and also having a group with many monks and novices. When the incident happened, they all disrobed and fled, which is a parajika offense. And he also committed a parajika offense over money. The police followed up and found that he took the money he donated to the temple, donated to the sermon, and gave it to his sister to keep at home, 51 million baht, and another 130 million baht in his sister's account, Ms. Chudamas. The police investigated and arrested him in Nonthaburi, near Bangkok.....

Therefore, there was a brave monk who could not stand to watch, Phra Ajahn Aphinanto Nam Bhikkhu, who released a clip criticizing that all people ordain to make money, using religion to sell to make a living, the entire Sangha. How can Buddhism survive? It must be urgently corrected.

19.

The story is that this is a great sin, more than Parajika. And when you die, which level of hell will you go to? Ask yourself..and the pitiful punishment is that you will not encounter Buddhism for billions of years...those who ordain as monks, following former monks or are disciples of the Venerable Buddha like this should be able to understand. How unfortunate is it to not encounter Buddhism?...It is almost as if life is born, life should not be worth anything.) When giving a sermon, people who do not know the truth think that they have achieved Arahantship, as fast as Ajahn Maha Bua, think that they have achieved Arahantship as fast as Ajahn Luang Ta Maha Bua, Ajahn Man, Ajahn Fan. Thinking about that, they give money, give millions. Some who have been stupid for a long time, give their ranks and titles to make themselves more prominent and famous. Strange...

Before this, there was another person who thought that he was good at attaining Dhamma and becoming an Ariya person. Give the monkhood title + position to this person.....really disgusting. Then what.....it's like what happened already, as I said. And the story of translating lust into lust, living with lust, having children and a wife, you still don't understand...that's it.

20.

Then......should listen to people who really know, really know what lust is? What is the desire of existence? What are the dangers? There are foreigners too. They know by themselves from proving the important teachings of the Lord Buddha by science, which aims to prove the matter of cause and effect until they themselves attained the knowledge of the truth along with their deep mind to the highest state of an ariya person.

Should watch people really do it, really know (from experiments proving cause and effect scientifically).

Starting with politicians....who understand the truth of the 4 Noble Truths, cause is the origin of existence, there is a cause that results in suffering.......and happiness is cessation.

21.

That is, let's take General George Washington as an example, a great man of the United States. He knows deeply and truly about lust. From the Buddhist principles, the Four Noble Truths of Buddhism, which are apparent from his life history... and the history of the United States, a model democracy for the world, clearly.

When he led the people to fight the war of liberation for the independence of all Americans, until finally winning the colonial war decisively, driving the slave owners, the English and French, to fall into the sea and escape from American territory, the Americans won the great war, so they honored Mr. George Washington to create a superpower, America, by making General George Washington the "Emperor" and establishing that American territory as the American imperial superpower, aiming to expand its power to dominate the world.

22.

If it were like other countries that had been colonized, such as Rwanda, Syria, and especially Haiti, the African tribes, whose history was pitiful and pitiful until today, started from the original people who were rounded up by the French in the land of Eti today, the territory was about half the size of our Thailand, with France occupying it since 1625 (2168 B.E.) during the Sukhothai-Ayutthaya period and raising them as animals, as human animals. To be sold like black slave goods until France became rich from this slave product. It lasted until the Haitian slave people became aware of their humanity and could no longer tolerate the oppression that trampled them like animals and were like expensive and valuable products of France. A collective resentment arose throughout the country. (Like the poor Indian people throughout the country during the British slave era who could not tolerate the British salt tax. They rose up as a whole country to drive the British out and gained independence.) As for Haiti, they rose up in a rage throughout the country, rounding up the French people to kill them in a massacre. According to the French news, they massacred the French slave masters, killing tens of thousands of people at a time (like Cambodia during the 4 years of Pol Pot's socialism, when the sick, the unemployed, the disabled, and the people with no food to eat were dumped in holes by the truckload and then using a backhoe to plow and bury them in the ground, killing them in droves. As found in many places, the killing fields were whole fields that were made into graves for hundreds or thousands of people...according to the evidence from the Khmer Skull Museum...at that time, about 1.5 million Khmers died) and Haiti declared independence on January 1, 1804 (1804) 219 years ago, it had independence.

23.

The point is that it was the second country to declare independence, following George Washington of America. However, Haiti set itself up as a lord and emperor...because it did not know about the libido like George Washington. But then, because it had been a slave for hundreds of years, it was a person who had the dignity of an old slave throughout the country, it could not be governed, it fell under the power of lust, desire, and competition to be the leader, causing the country's governance system to be unstable. There were disturbances and competition for power until the dictatorship of the emperor fell twice. Two dynasties of emperors were destroyed.

24.

Then I thought about freedom of people according to the democratic principles, until finally it became democracy, named the country the Republic of Haiti, but I didn't understand that democracy must have Dharma. Democracy is a political path that reduces the system of desires, to have a system of people that are the same, equal throughout the country. But I don't know anything that much. I only think that freedom means doing as I please. I like the words that give power to the people, by the people, for the people, have elections. Until today, I understand that democracy means doing as I please. Anyone who obstructs it is considered to be destroying democracy. Even though I announced the principles of democracy, which are liberty, equality, and fraternity, I didn't understand what true freedom is. What is equality? What is fraternity? I only understand that I can do as I please. I am not a slave anymore. Anyone who obstructs it is considered to be destroying democracy (like the idea of ​​the 3-finger group in Thailand).

25.

(It's like Thai people don't know what the 3 desires are.) I think that I can do whatever I want. Anyone who opposes or obstructs my desires is considered to be destroying democracy. So it has led to the struggle for power to govern all along. Until today, there is a government that cannot be governed. It is a country without laws. France reported that It is a country where Lawlesnes rules in Haiti. Each citizen belongs to a gang. There are only evil gangs that rule their own people, who are self-indulgent. In the whole country, there are more than 295 gangs. Every day, each person and each gang comes out to compete for food and benefits. When there is a conflict, they use force, curse, and kill each other like wild animals. Killing each other is normal. Recently, the government has been unable to do anything as usual. The government is just a gang that survives day by day. So every day, there are only killing each other. About 5 million people die every day. It is not a strange and pitiful country in this era. How can it not be fixed? Let it go like a wild animal society that exists in groups and gangs in the middle of a space age world. 26. But for General George Washington, he is human. He understands the truth of desire well from the principles of the Noble Truths of Buddhism, which he has proven and tested himself according to scientific principles.

You must have known the history of the Great Teacher, the Lord Buddha, who abdicated the throne. The power of the king to ordain to seek liberation is the abandonment of the craving of existence.

You must have known the history of Ashoka the Great who changed his mind from using power and weapons of war to suppress the Indian subcontinent... which is the craving of existence to spread Buddhism with the Dharma... that started from putting down the craving of existence first and then using the Dharma to rule the country, spreading the power with the Dharma of Buddhism all over the world, which has lasted until now, more than 2568 years.

27.

Therefore, when Mr. George Washington won the colonial war, drove the slave owners to the sea and escaped from American territory, creating the country as the American superpower empire with Emperor George Washington as the ruler with the highest power for life and continuing the imperial lineage, he saw it as lowly by the reason of the Four Noble Truths, which is the craving of existence and the craving of non-existence. The craving of existence, the principle of power will lead to the competition for advantages, the desire to be great and a superpower of all people, which will lead to conflict, decline, and destruction in the end. This shows the depth of his wisdom, which hides the meaning of the world of Nirvana, which must be completely wiped out of the cycle of desire and then achieve Arahantship. Therefore, he did not follow the call of the Americans who fought together for independence, won together, established the country as an imperial superpower, the American superpower, while he himself had the right to establish himself as Emperor George Washington.

28.

And with the profound knowledge of Buddhism from the principles of the Four Noble Truths, the first teachings of the Lord Buddha, this is the concept of democratic politics and governance, therefore creating a democratic country from the principles of the Lord Buddha, the first democracy in the world, to be a model for democracy in the world in the future, that is, spreading democratic Buddhism throughout the world. Wherever democracy goes, human rights go, that means Buddhism goes there, that land, by the spread of General George Washington, which is similar to Asoka Makara.

29.

That is the Dharma that creates a political form that reduces the cycle of desire (dictatorship, desire for greatness, desire for power over others, being a lord at the level of a monarch, like Laos, reducing the desire for greatness and increasing power over others, down to equality. See everyone as equal...everyone is valuable as a free person because they have the same "human rights"), aiming to lead the country to be in line with the truth of life, namely suffering, impermanence and non-self, walking towards the path of peace, giving and sharing, which is sharing political power to all American citizens, with each person receiving one vote equally, creating a politics of peace and friendship, and following the path of science with reason, according to the principle of the Four Noble Truths, which is combined into the rules of governance - democratic political rules, namely the principles of freedom (Liberty), equality (Equality) and the principle of being brothers and sisters, or Thai Buddhism calls them kinship (Fraternity). And by this principle, the principle of peaceful politics of Buddhism, which still leads people to cross the world to the path of Nirvana throughout their lives, there are Arahants born all over the world.

30.

The fact that the world today is excited about democracy, excited about human rights, and extremely jealous about personal freedom, the principle that all human beings are equal and cannot be looked down upon or despised, is equivalent to the restoration of Buddhism to a new world by the Buddhist principles that are used to govern according to the modern democratic model, which is to reduce the existence of existence, desire, and wanting to be superior, to hold power forever and continue the lineage endlessly, to become power of the people, for the people, and by the people, who are equal and share power equally. That is a society where everyone is equal. Absolutely no slaves. America must free all slaves in the country, even if it means having to wage a war to eradicate slavery, and it must be done until it is won, whether it is political slavery or economic slavery. Therefore, there is an election system every 4 years to prevent one person from holding power in a way that is stubbornly self-serving, which is known as a dictator who holds power forever alone. This is to increase the desire, increase the great power until one day you can declare yourself a god (thinking that you are a god like the monk Kham). But that is what shows your selfishness, which shows the dictatorial power that does not respect the principles of reason and science, which will block the path to Nirvana.

31.

Therefore, there is an election for a country ruled by the power of the people, by the people and for the people, and by the regime of free people, with humanity, equal human capabilities, equality and brotherhood, meaning there is no enmity, but only friendship and friendship like brothers and sisters in every life, just like the new 51st President, Mr. John Donald Trump of America, who is pushing for Ukraine to listen to the voices of the Ukrainian people by pushing for the election of a new president today.

32.

And with the revival of Buddhism, the word human rights has been spread all over the world. The word republic or democracy is the goal of all countries around the world, based on the principle that desire must disappear. Power belongs to the people, for the people and by the people, with virtue, freedom, equality and brotherhood that come from the principle of true freedom. To the point of driving the master, the three desires, Kama, Bhava, and Vibha, out of the mind, that is the highest freedom, leading to the cessation of suffering, and eternal happiness and peace.

And the era of science, the science of cause and effect, which is the most advanced today, is the faith in the principles of cause and effect, to enter the direct path to the noble person of Buddhism, which has been proven.

33.

And when it is proven, the truth will be found and the state of the noble person in Buddhism, which the world's great scientist, Albert Einstein, has proven. Therefore, he dares to confirm that Buddhism is a religion for the new era and is not just a religion for this world, but a religion for the entire universe.

34.

Therefore, we should start with the matter of reason.

Whatever is a bad cause will have a bad effect.

If you want good results, create good causes.

Let's really learn about desire.

Kama Tanha,

Bhava Tanha,

Vibha Tanha

Which has been an issue since the beginning. That Thai people still can't translate these 3 words, then how can they create Buddhism in Thailand that is truly authentic?

35.

It will only decline, such as the case of Smi Nen Kham Chattiko and most recently Smi Phra Khom Apiworo (a royal monk, Phra Wachirayanakoson, a disciple of Luang Pu Man, Luang Ta Bua) whose sermons and YouTube clips became famous in the circle of Buddhist scholars. Foolish people thought that another disciple of Luang Ta Bua, an Arahant, had achieved enlightenment. He took the money and gave it to his younger sister to keep at home, several million baht in wads. He himself preached Dhamma to the public, but secretly became a sex slave having sex with the regular abbot. This is another big news in our Buddhist circle.....who is still hiding from the law...like Smi Nen Kham Chattiko.

36.

The thing to think about is that it is not because of the voice coming out of his mouth, but because of the truth that he has truly realized. He is a true noble person, a Sotapanna to Arahant, so he cannot sell religion to make a living.

And only true enlightenment can revive Buddhism to the modern world, which requires scientific proof and experimentation. Until people see the truth and see it clearly by themselves.

37.

As Prince Siddhattha, before becoming the Buddha, was an example from the beginning... Even before becoming a monk, he knew clearly the way of the world, which is suffering, impermanence, and non-self, as he had met the elderly, the sick, and the dead, which were all about suffering. When he found what was called suffering, he had a question: How can we escape suffering? This was something that he had not yet found the answer to. He had to become a monk and search for it. He knew, saw, and experienced the inequality of humans, that is, the caste system, the lives of the 5 classes and 5 levels of people in India at that time, the kings, the Brahmins, the Vaishas, ​​the Sutas, and the slaves and the Chandalas. He found that it was no longer democratic. There was no equality among humans, no Dharma, no equality, no thing that the world today is excited about, which is human rights. ......

38.

And he experienced the truth of great desire, the desire for having, being, wanting, craving for power, wealth, property, and money, which are matters of the desire of existence, since the story of war. The ceremony of releasing the horses of King Kosala, so he abdicated his throne to seek something better, more valuable, more meritorious. And when he went to practice with both teachers, Ālara and Uddaka, to the point of being able to meditate and leave his body to listen to the teachings of the teachers in the land of white clouds, but he found that it increased the thing called Bhavatanha even more than before. How can he be free from suffering? Therefore, he still did not find the answer from those two teachers. He had to study more.

39.

When he met the Jains, the disciples of Mahavira, he took the Jain method to experiment and prove it. That is, doing ascetic acts, torturing himself in the Jain way. Mahavira tortured himself until he died while doing ascetic acts. Until he died, the disciples thought that he was great, had found salvation, was the true teacher who founded the Jain religion.

40.

But with the principles of science, with reason and effect, Prince Siddhattha did not see any reason to torture himself to death in vain like Mahavira. So he came back to receive food again. Dying with stupidity by doing ascetic acts until dying like the Jain teacher The Jain Mahavira is irrational... and did not achieve anything excellent, which is "knowledge" at all.... In other words, it is the vain death of Mahavira. And in the new era, there are Jesus, the Christian prophet, the Prophet Muhammad, the Islamic prophet who also practiced asceticism by behaving in the same way as Mahavira. In the same way, it led to a great wrong view... which is the birth of 2 new gods, which are just imaginations that are completely unrealistic, which have been used to deceive people until today... which are both caused by the wrong meditation of both of them... which cannot lead to freedom from suffering in the cycle of rebirth.

41.

For Prince Siddhattha who survived from distorted beliefs that were wrong all along and studied by himself.... that is, no more teachers teaching higher matters than that = he understood the beliefs of India, the Hindu Brahmins, completely and completely that they were nonsense. So he went on to study by himself, adhering to the principle of proof, experimenting to find the truth according to reason and logic. He was a scientist. According to the principle of cause and effect, he finally discovered the three desires that cause suffering in life, to be slaves and trapped in the vicious circle, to be spun around in the cycle of rebirth forever and ever, for billions of millions of years to come. He proved this truth, as stated in the Dhammacakkappavattana Sutta, which says 3 rounds, 12 symptoms, which means he proved all 4 Noble Truths (as researchers do in this era, which is:

(1.) Set a hypothesis

(2.) Prove, experiment

(3.) Find a conclusion that is consistent with cause and effect. What he proved were the Four Noble Truths (1.) suffering (2.) origin (3.) cessation (4.) the Four Paths, each with 3 steps, totaling 12 steps = 3 rounds, 12 characteristics (the term “3 rounds, 12 characteristics” is the language of a Thai Pali translator who did not understand it very well, but we understand the science of research, so we know the truth like this). It was 49 days until he truly realized that it was the truth, complete and perfect for being a Buddha. Therefore, he announced himself to the five ascetics with the Dhammacakkappavattana Sutta that he was the Buddha, the one who knew the world and the entire universe.

42.

If you create good causes, kill all 3 desires,

you will receive good results, which are escaping suffering and leading to true and eternal happiness, escaping from the characteristics of impermanence and escaping from the characteristics of non-self, truly and surely. That is the principle of cause and effect or this new science... that the world's most important scientist, Albert Einstein, said 140 years ago that Buddhism is the only religion for this world and the universe.

43.

Because Buddhism teaches the Dharma that can be proven and tested (Einstein's meaning of the word "only religion" means that other religions are not good enough to be religions or truly. It means that when the teachings of religion cannot be proven, the world of this era, which believes in science or knowledge, should distance itself from it. Do not waste your life on worthless things anymore. It is a pity. Let's take the Dharma of Buddhism to prove it ourselves, as Albert Einstein said, "It can be proven to the end.")

44.

And the thing that should be tested the most and most proven in this world of this era is the matter of lust, the craving for existence, and the craving for non-existence. Start testing immediately by cleaning and sweeping away these three cravings from your heart right now, here and now, and try to ponder the cause and effect and have a careful plan in the practice of testing and testing...with the aim of succeeding throughout this life...even when you are old and about to die, but you have achieved Arahantship, that is the most worthwhile thing. For this life...you will know when that day comes.

45.

When someone succeeds in testing, that will revive Buddhism to the whole world once again, which tells of the transfer of humanity from this world of danger to the world of Nirvana, the empty, boundless, centerless realm of the Arahants, without any self, without boundaries, without a center, without all things in the human world, nothing at all, emptiness, all one and the same in that world of Nirvana, without self, without limits, no matter how many hundreds of millions, billions of Arahants there are, there is no narrowness because they are one, empty forever, free from suffering, there is only true and eternal happiness...

And of course, go create a democratic society, culture and politics based on the principles of freedom and liberty...People who are free from slavery to desires are therefore excellent and excellent free people with true happiness, equality, everyone has human rights or human rights, which are the property of democratic people. Democracy is politics, freedom, and liberty, which must mean freedom from Bhavatatanha, Vibhavatatanha. All people, all citizens are equally human. Equal people have equal human rights. There is friendship in politics, which is brotherhood, which leads to true democracy. The ideology of this regime is that there are no winners or losers in this regime. There are only winners. Democracy of peace, new world peace.

And then world democracy will prepare the land suitable enough to lead all people to achieve, to completely eliminate lust, desire for existence, and desire for non-existence from their hearts. That is true freedom, true equality, and true brotherhood with only friendship and friendship will arise for all human beings. Both material and immaterial things will arise in the human world. The whole world will be peaceful because the people in the world. At that time, at that moment, their minds will change from the mundane world to the world of nirvana, the realm of extinction or nirodha, the supramundane realm, to attain Arahantship, free from suffering and having only true happiness forever. ....

46.

May the people of the world please take the practice of the Lord Buddha in destroying all three desires from their hearts. That is the great benefit that is hard to predict before it will happen to all people leading to eternal happiness. And that is the salvation of this world. Hello

***** Suhai Padi Chinakul

Khikmek Suwanmekhin

Buaraya Chababunset

Phayap Panyatharo

Phra Khru Phuttiphongsanuwat

11 March 2025 22:00 p.m.

@ พระพุทธศาสนาสู่ยุคใหม่  ตอนที่ 4  ตัณหาทั้ง3อย่าง เรื่องสำคัญของมนุษย์ทั้งโลก

Thai-English

ชีวิต  เรื่องราวของชีวิต  ตอนที่ 12

จาก

ตอนที่ 1  ชีวิตคือความเป็น  เพราะหากตายไปก็ไม่ใช่ชีวิต

ตอนที่ 2  ชีวิตต้องการอะไร ?  ไม่รู้

ตอนที่ 3  ทำไมชีวิตหนึ่ง ๆ จึงแตกต่างกันมากเหลือเกิน

ตอนที่ 4  ชีวิตมนุษย์กับต้นไม้ ... ต้นไม้มันไม่ได้เรียนหนังสือ

ตอนที่ 5  ถ้าชีวิตเป็นความฝัน  ...  มันก็เป็นฝันซ้อนฝันไปอีกล่ะสิ ?

ตอนที่ 6  เศรษฐกิจแบบพอเพียง ...เพราะทรัพยากรกำลังจะหมดโลก

ตอนที่ 7  เศรษฐกิจแบบคนจนของในหลวง การขาดทุนของเราเป็นการได้กำไรของเรา

ตอนที่ 8  ชีวิตเหมือนคนตาบอด : คำว่ารักชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์

ตอนที่ 9  เกลือ  ตัวอย่างชีวิตคนจนอินเดียยุคทาสอังกฤษ ๆ ขึ้นภาษีเกลือ ทำเอาอินเดียทั้งประเทศตื่นสู้จนได้เอกราช

ตอน 10  เอไอ  ให้ระบบ AI ช่วยคิดเรื่อง ฝนหลวง สั่งให้ฝนตกลงมาที่ไหน เวลาใด ก็ทำได้ทันที ตามเหตุผลทางวิทยาศาสตร์

ตอน 11  Our Lost is Our Gain การขาดทุนของเราเป็นกำไรของเรา ...ทฤษฎีพระโพธิสัตว์ เพื่อช่วยโลกให้รอด

*****-----*****

ตอนที่ 12

ชีวิตคือความฝัน  ก็เพราะ ชีวิตไม่ใช่ความจริง นั่นเอง   ที่เราเห็น ๆ นี้ ล้วนสิ่งหลอกลวงทั้งสิ้น 

ชีวิตเป็นสิ่งสมมุติ ก็เหมือนกัน  ก็ เพราะชีวิตไม่ใช่ความจริง ล้วนแต่เป็นสมมติฐานทั้งสิ้น

ชีวิต  เหมือนคนตาบอด  ก็เหมือนกัน  ก็เพราะชีวิตไม่ใช่ความจริง ล้วนมีอวิชชามาหลอกลวง พาไปทั้งสิ้น

                แล้วชีวิตคืออะไร ?

                ก็   ชีวิตไม่ใช่ความจริง  นั่นเอง   ชีวิตเป็นเพียงความฝัน  เป็นเพียงสิ่งสมมตติ เป็นสมมติฐานทั้งสิ้น  เป็นคนตาบอดทั้งพวก

เรื่องสำคัญก็คือ

มีสัจธรรมของพระพุทธศาสนา  ที่ยังมีอยู่ในโลกยุคนี้ ที่ยังมีคำสอนว่า มีความจริง เรื่องจริงของชีวิต ที่ต้องศึกษาเรียนรู้  แล้วจะได้ประโยชน์อันสูงสุดล้ำเลิศแก่ชีวิตทุกชีวิต

แม้ชีวิตทั้งชีวิต  อยู่ในความฝัน ล้วนสิ่งไร้ความจริงของชีวิต

แม้ชีวิตทั้งชีวิต เป็นเพียงสิ่งสมมติ  นั่นคือชีวิตเป็นเพียงสมมติฐาน

แม้ชีวิตทั้งชีวิต เป็นเพียงพวกตาบอด นั่นคือในสมองมีแต่ความโง่เง่า  อวิชชา

นั่นคือ  ความจริง  มีว่า  มีความเกิด  มีความแก่  มีความเจ็บป่วย มีความตายเสมอไปทุกชีวิต  ทุก ๆ ชีวิต  ไม่เว้น แม้ 1 ชีวิตเลย

ไม่ว่าคุณจะเป็นจักรพรรดิทรงอำนาจปราบไปทั้งทวีป เป็นมหาเศรษฐี   แม้เป็นเพียงวณิพก  กระยาจก  ขอทาน  แม้เป็นเพียงคนชั่ว  คนเขลา  คนเลวคนทรามเพียงใด   แม้เป็นคนดีล้ำเลิศ ประเสริฐในโลกนี้

คุณก็จะเป็นไปตามกฎ ทุกขัง  อะนิจจัง   อะนัตตา  นี้

นั่นคือ  อยู่ในกฎ การเกิด การแก่  การเจ็บ  และ การตาย  ทุก ๆ ชีวิตดังกล่าวมานี้ ไม่มีข้อยกเว้นเลย

เตือนพื่อให้รู้สัจธรรมว่า  คุณจะต้องตาย  ทุกคนจะต้องตาย  ไม่มีใครยกเว้นได้เลย    แม้สรรพสิ่ง ก็จะต้องตายวอดวายพินาสน์ไปหมดโลกและจักรวาล

นี่แหละเป็นความรู้จากพระพุทธศาสนา  จากคำสอนเริ่มแรกของผู้ประกาศตนว่าเป็น พระพุทะเจ้า  บรมมหาศาสดา ....ที่ยังคงมีจารึกในพระพุทธธรรมคำสอนพระไตรปิฎก อย่างครบถ้วน ....ไม่สูญหายไปไหน

เพียงแต่บอกคนทั้งหลายวันนี้แล้ว  ยุคกึ่งพุทธกาลวันนี้แล้ว...  ไม่มีใครสนใจเลย   ไม่มีใครเชื่อเลย   ไม่มีใครเอาไปพิศูจน์เลย    จึงไม่มีใครรู้ความจริงตามที่บอกเลย  ...ก็เพราะหลับกันอยู่   และอยู่ในความฝัน  อยู่ในความไร้สาระแห่งสมมติโลก

*****-----*****

*****-----*****

ก็จึง

พากันฝันต่อไปทั้งชีวิต   ตื่นไปตามสมมติฐานไร้สัจธรรมไปตลอดชีวิต   พากันตาบอดอวิชชาต่อไปทั้งชีวิต

และทำให้ชีวิตเป็นเช่นนี้

คือเป็นทุกข์ตลอชีวิต  ตลอดกาลนานต่อไปอนันตชาติข้างหน้า จะหมุนวนในทะเลทุกข์นี้  จนเรียกว่า วัฏฏะสงสารคือ  แดนที่หมุนวนอยู่อย่างน่าสมเพชเวทนา น่าสงสาร นั้นเอง

บุรุษเลิศผู้รู้อริยสัจ 4 รู้ทุกข์อริยสัจนั้นเอง  จะยืนยันให้ได้  และมองดูภาพอันแสนทุเรศ  น่าสงสารของชีวิต  ของมนุษย์ทั้งปวง   ของโลกทั้งปวง   ที่ไม่มีวันหลุดพ้นไปได้เลย สมกับชื่อว่า   วัฏฏะสงสาร นั้นแท้จริง

ก็ทรงตรัสบอกชี้ทางให้รอดพ้นแต่เพียงทางเดียว   นั้นคือที่ชื่อว้า  วิถีแห่ง  มรรคผลนิพพาน  นั้นเอง   นั่นก็คือ  ทางแห่งพระอริยะบุคคล 4 คู่ 8 องค์ในพระพุทธศาสนา

ที่ทรงโปรดสอน   สุภัททะปริพาชก  ในวันปรินิพพานของพระองค์ จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์องค์สุดท้ายของพระมหาศาสดานี้  ผู้ที่มีความสงสัยคั่งแค้นแน่นใจมาตลอดชีวิตนักบวช  จะต้องถามพระพุทธเจ้าให้ได้ แม้วันสุดท้ายของพระองค์   ก็ได้ถามเรื่อง พระอริยบุคคล ผู้ประเสริฐว่า มีพระอริยบุคคล 4 คือ พระอริยบุคคลโสดาบัน  พระอริยบุคคลสกทาคามี  พระอริยบุคคลอนาคามี   และ พระอริยบุคคลอรหันต์ ในศาสนา ลัทธิธรรมเนียมอื่น ๆ หรือไม่  ที่ทรงตอบสั้น ๆว่า ไม่มี ... นอกศาสนาพุทธแล้ว ไม่มีเจ้าลัทธิใดสร้างพระอริยบุคคลทั้ง4ได้เลย ไม่มีอริยบุคคล 4  คู่8คู่ในลัทธิอื่นเลย ทำให้สุภัททะปริพาชกได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม  ตื่นพ้นจากปุถุชนบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลอรหันต์ทันที

นั่นก็เป็นวิถีทางอริยบุคคล.... ที่นำไปสู่ความรู้แจ้งจริงของชีวิต ....  รู้สัจธรรมชีวิตดังกล่าวมาแล้วนั้นอย่างสว่างเจิดจ้า พ้นความสงสัยไปทั้งสิ้นทั้งมวล

และ  แม้ผ่านสมัยของพระบรมมหาศาสดาพระพุทธเจ้าโดยตรงมา

2568 ปีแล้ว   ความจริงนี้ก็ยังคงเป็นความจริงอยู่  หากมีพระอริยบุคคลสูงสุด   คือ  พระอริยบุคคลอรหันต์ บังเกิดขึ้นมา    จึงจะรู้แจ้งและยืนยันสัจธรรมนี้ อย่างหนักแน่น หนักหน่วง เป็นที่มั่นใจแด่พุทธสาวกและสาธุชนคนทั้งโลก

                และ  ยืนยัน มีทางเดียวที่คนทั้งหลายจะไปสู่ ความพ้นทุกข์  ออกไปได้จากวัฏฏะสงสาร

ที่จะตื่นขึ้นมาจากความหลับ  จากชีวิตคือความฝัน   จากสิ่งไร้สาระแห่ง สมมติโลก  และจากความตาบอดทั้งพวก โง่เขลาด้วย อวิชชา

เรียกว่า ทางมรรคผลนิพพาน  ที่รู้กันติดปากของพุทธบริษัททั้งหลาย มานับ 2568 ปีแล้วนั่นเอง

หากแต่นับพันกว่าปีมาแล้ว    ไม่มีใครเลยอาจตักเตือนเรื่องนี้......ก็เพราะขาดผู้รู้แจ้งจริงในอริยสัจ 4 นั่นเอง  โลกขาดอริยบุคคลอรหันต์มาร่วมพันกว่าปีแล้ว

นี่ จึงเป็นการเตือนว่า

อย่าเสียเวลาแห่งชีวิตอยู่เลย

จงมาสู่เส้นทางมรรคผล-นิพพานเถิด

จงประพฤติตน ผลิตวิชชาปัญญาขึ้นมาในมันสมองใหม่เถิด

จงประพฤติธรรมเพื่อรู้แจ้ง อริยสัจ 4 เถิดคือรู้ทุกข์,  สมุทัย,  นิโรธ,  มรรค  รู้แล้วจะเกิด  จักขุง อุทะปาทิ (จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว), ญานัง อุทะปาทิ(ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว,  ปัญญา อุทะปาทิ (ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว, วิชชา อุทะปาทิ(วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว),  อาโลโก อุทะปาทิ (แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้ว)

คุณ  ก็จะเหมือนท่านอัญญาโกณฑัญญะ ก่อน   คือสำเร็จเป็นพระอริยบุคคลโสดาบัน  แล้วไม่นานก็เรียนรู้ทุกข์อริยสัจลึกซึ้งไปอีก รู้สัจธรรม ทุกขัง อะนิจจัง  อะนัตตา  ก็สำเร็จสู่ภูมิพระอริยบุคคลอรหันต์ พร้อมกันทั้ง 5 ปัญจวัคคีย์ นั้นเอง

แล้ว  คุณก็จะรู้ว่าเรื่องที่บอกวันนี้ ...ชีวิตเป็นความฝัน   ชีวิตเป็นสิ่งสมมติ   ชีวิตเป็นพวกคนตาบอด... นั้น   เป็นความจริง

และเพียงสำเร็จปัญญา  ที่รู้สัจธรรม  การเกิด   การแก่  การเจ็บ  และ การตาย แบบท่านอัญญาโกณฑัญญะรู้เท่านั้น    คุณก็สำเร็จโสดาบันอริยบุคคลชั้นต้นได้เหมือนท่านอัญญาโกณฑัญญะแล้ว  

                แล้ว

ไม่นาน เมื่อคุณพอกพูนซึ่ง จักขุง อุทะปาทิ (จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว), ญานัง อุทะปาทิ (ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว,  ปัญญา อุทะปาทิ (ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว, วิชชา อุทะปาทิ (วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว),  อาโลโก อุทะปาทิ (แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้ว)

คือรู้ความจริงเรื่อง ทุกข์อริยสัจ ที่ครอบทั้งโลกและจักรวาลทั้งหลาย ได้สว่างโลกไร้ข้อสงสัยใดใดเลย  คุณก็สำเร็จ  อรหันต์.....  แบบ  เป็นกันได้ทุกคนทั้งโลกเลย

แล้ว

คุณก็จะตื่นขึ้นมา จากความหลับฝันไปชั่วนิรันดร

จากชีวิตสมมติอันไร้สาระไปชั่วนิรันดร

จากความบอดใบ้ไปชั่วนิรันดร

และพบความสำนึกแห่งกตัญญู-กตะเวทิตคุณอันยิ่งใหญ่ ว่า  ชีวิตที่โชคดีสุดประเสริฐเลอเลิศ ที่พ้นทุกข์นิรันดรนี้ เราได้พบแล้ว

อันเนื่องจากมีพระพุทธศาสนาดำรงคงมั่นอยู่ในโลกนี้และเราได้พบสิ่งประเสริฐเลอเลิศเข้าแล้ว  คือคำสอนของพระพุทธเจ้าบรมศาสดา องค์เดียว องค์วิเศษสุดในโลกนี้   จึงถึงซึ่งการบรรลุธรรมมรรคผลนิพพานสูงสุด  เช่นนี้ 

โอ !!!!!!!!  พุทธะ บรมมหาศาสดา ผู้ทรงรู้แจ้งโลกทั้งหลายทั้งจักรวาล  

ขอมนุษย์ทั้งโลกจงได้รู้ความจริงแห่งชีวิตดังที่กล่าวมานี้เถิด  ความสุขสันต์นิรันดร จะบังเกิดแก่ท่าน

*****-----*****

***** บัวระย้า  ชบาบุณเสฏฐ์  5 มี.ค. 2568  22.15 น.

@ ชีวิต เรื่องราวของชีวิต ตอนที่ 12

Thai-English

Life, the story of life, Episode 12

From

Episode 1 Life is life, because if you die, it is not life.

Episode 2 What does life need? I don't know.

Episode 3 Why is life so different?

Episode 4 Human life and trees ... trees don't study.

Episode 5 If life is a dream ... it is a dream within a dream, right?

Episode 6 Sufficiency economy ... because the world's resources are running out.

Episode 7 The King's poor economy Our losses are our gains.

Episode 8 Blind life: The word love for country, religion, and monarchy.

Episode 9 Salt An example of the life of poor Indians during the British slave era. The salt tax caused the entire country of India to wake up and fight until it gained independence.

Episode 10 AI Let the AI ​​system help think about royal rainmaking. Order it to rain where and when, it can do it immediately, according to scientific reason.

Episode 11 Our Lost is Our Gain Our losses are our gains ... Bodhisattva theory to save the world.

*****-----*****

Chapter 12

Life is a dream because life is not real. What we see here is all deception.

Life is a fiction, it is the same because life is not real. It is all assumptions.

Life is like a blind person, it is the same because life is not real. It is all deceived by ignorance.

So what is life?

Well, life is not real. Life is just a dream. It is just an assumption. It is all assumptions. We are all blind people.

The important thing is

There is the truth of Buddhism that still exists in this world. It still teaches that there is truth, the truth of life that must be studied and learned. Then, it will bring the highest benefit to every life.

Even if your whole life is a dream, it is all untrue.

Even if your whole life is just an assumption, that is, life is just an assumption.

Even if your whole life is just a blind person, that is, in the brain there is only stupidity, ignorance.

That is the truth. There is birth, aging, illness, and death in every life. Every life, without exception, not even one life.

No matter if you are an emperor with power who conquers the entire continent, or a millionaire. Even if you are just a merchant, a beggar, a beggar, even if you are just a bad person, a fool, a bad person, even if you are a good person, excellent in this world, you will follow this rule, suffering, impermanence, and non-self.

That is, you will be subject to the rule of birth, aging, illness and death. Every life mentioned above has no exceptions.

Remind to know the truth that you will die, everyone will die, no one can be exempted. Even all things will die and perish in the world and universe.

This is the knowledge from Buddhism, from the initial teachings of the one who declared himself the Buddha, the Supreme Teacher....which is still recorded in the Buddha's teachings, the Tripitaka, completely....not lost anywhere.

Just telling people today, in the half-Buddhist era today...no one cares, no one believes, no one proves it, so no one knows the truth as told...because they are asleep and in dreams, in the nonsense of the fictitious world.

*****-----*****

*****-----*****

So

Therefore,

They continue to dream all their lives, waking up according to untruthful assumptions all their lives, blinded by ignorance all their lives,

and making their lives like this,

that is, suffering all their lives, for all eternity in the future, will circle around in this sea of ​​suffering, until it is called the cycle of existence, which is a land that circles around in a pitiful, pitiful way, that is

The excellent man who knows the 4 Noble Truths, who knows the suffering of the Noble Truth himself, will confirm it and see the pitiful, pitiful picture of life of all humans, of all worlds, who can never escape, truly worthy of the name cycle of existence,

He has told and shown the way to escape, but only one way, which is called the path of the path to Nirvana, that is, the path of the 4 pairs of 8 noble persons in Buddhism,

who he taught, Subhadda Paribbajaka, on the day of his passing, until he became the last Arahant of this Great Teacher. Those who have doubts, resentments, and doubts throughout their lives as monks must ask the Lord Buddha. Even on his last day, he asked about the noble ones, whether there were 4 noble ones, namely, the Sotapanna, Sakadagami, Anagami, and Arahant in other religions and traditions. He answered briefly that there were none… Outside of Buddhism, no sect leader has ever created all 4 noble ones. There were no 4 or 8 pairs of noble ones in other sects. This made Subhadda the Paribbajaka realize the noble truth, awaken from the ordinary person, attain the Dharma, and become an Arahant immediately. That was the path of the noble ones… leading to the true knowledge of life… to know the truth of life as mentioned above clearly and brightly, freeing all doubts.

And even after the time of the Great Teacher Buddha directly

2568 years, this truth is still true. If there is a supreme noble person, an Arahant, who arises, he will realize and confirm this truth. Firmly, firmly, confidently for the Buddhist disciples and all the good people in the world

and confirming that there is only one way for all people to reach freedom from suffering, to get out of the cycle of rebirth

that is to wake up from sleep, from life as a dream, from the nonsense of the conventional world, and from the blindness of all groups, foolish with ignorance

called the path to Nirvana that has been known by all Buddhists for 2568 years

but for more than a thousand years, no one has been able to warn about this matter...... because there is no one who truly knows the Four Noble Truths. The world has lacked Ariya individuals, Arahants for more than a thousand years

this is a warning that

do not waste your life

come to the path to Nirvana

conduct yourself, produce wisdom in your new brain

Practice Dhamma to realize the Four Noble Truths: knowing suffering, its origin, its cessation, and the path. Knowing them will cause the arising of Chakkhu Utapathi (the eye has arisen), Jnanang Utapathi (knowledge has arisen), Paññā Utapathi (wisdom has arisen), Vijja Utapathi (knowledge has arisen), Aloko Utapathi (light has arisen). You will be like Venerable Anya Kondañña before, that is, you will attain the noble Sotapanna level, and not long after, you will learn the Noble Truths of suffering more deeply, knowing the truth of Dukkha, Anicca, Anatta, and you will attain the state of the noble Arahant, all together with the five Pancavaggiyas. Then you will know that what I told you today...life is a dream, life is a fiction, life is a blind person... is the truth.

And only if you attain wisdom that knows the truth of birth, aging, illness, and death, as Venerable Anya Kondañña knew, You have achieved the first stage of Sotapanna like Venerable Añña Kondañña.

Then

not long after, when you have accumulated Cakkhū Udapādi (eyes have arisen), Jānaṃ Udapādi (knowledge has arisen), Paññā Udapādi (wisdom has arisen), Vijjā Udapādi (knowledge has arisen), Aloko Udapādi (light has arisen)

that is, knowing the truth of the Noble Truth of Suffering that covers the entire world and universe, illuminating the world without any doubt, you have achieved Arahantship..... in a way that everyone in the world can achieve.

Then

you will wake up from eternal sleep

from a life of imaginary meaningless imaginary life

from eternal blindness

and find the great sense of gratitude and gratitude that this most excellent and fortunate life, free from eternal suffering, we have found

because Buddhism exists in this world and we have found the most excellent and excellent thing. This is the teaching of the Buddha, the Supreme Teacher, the only one, the most excellent in this world, so that one can reach the highest Dharma path and Nirvana like this.

Oh !!!!!!!! Buddha, the Supreme Teacher, who knows all the worlds and the universe.

May all people in the world know the truth of life as mentioned here. Eternal happiness will come to you.

*****-----*****

***** Buaraya Chababunset 5 Mar 2025 22.15 hrs.

@ ชีวิต เรื่องราวของชีวิต ตอนที่ 12

Thai- English

ทบทวน !!!

Phayap Panyatharo

13 สิงหาคม 2022[2565]   

64 ภาษาโลก เป็น 138 ภาษาโลก

-----

พุทธศาสนาสอนอะไร?

นี่เป็นข่าวดีสุดประเสริฐ แจ้งไปให้รู้ทั่วโลกเลยนะ

สอนว่าเกิดมาเท่าไร ตายหมดไม่มีเหลือ....

ดูโลกเรา    ก็รบกันมา มีมือเปล่า  มีดาบ  มีหอก  มีปืนคาบศิลา  มีปืนกล  มีระเบิด  มีปรมาณู  มีอาวุธนำวิถี  สั่งมันไประเบิดที่ไหนก็ได้ ตายหมด....  แต่ยังไง ... เขายังไม่พอไงล่ะ พวกอเมริกา รัสเซีย  จีนแดง ยิว  อาหรับ นี่แหละมันคิดต่อ ... ปรมาณูวันนี้ ระเบิดยังไม่ใหญ่โต  เขาก็คิดต่อไป ให้ระเบิดทีเดียว โลกแตกเลย ..นี่ก็คิดไปเรื่อยๆ  

และวันหนึ่งก็จะคิดได้อย่างนั้น  และวันหนึ่ง  ก็รบกันแล้วเอาระเบิดนั้นทุ่มลงไป โลกทั้งโลกก็ระเบิด แตกสลายไปทั้งโลก  เป็นก้อน ๆ  ........โลกตาย....แล้วก็หลายล้าน ๆ ๆ ๆๆ ปีต่อมาก็เกิดโลกใหม่ขึ้นมา........ก็มาอีกเหมือนเดิม เกิดสิ่งมีชีวิต  เกิดพืช  สัตว์  เกิดไดโนเสาขึ้นมา   เหมือนเดิมเลย   ทางเดิม ....นับล้าน ๆ ๆ ๆ  ๆโกฏิปีต่อมา  เป็นแบบเราเป็นอยู่วันนี้ ...แล้วต่อไป จนทุ่มระบิดโลกแตกไปอีก.........เป็นอย่างนี้แหละมาตลอด 

จึงเป็นกฎอริยสัจของพระพุทธเจ้าว่าวัฏฏะสงสาร นั้นไม่ผิดหรอก   ตามหลักพุทธศาสนาที่ว่า มีเกิดแล้ว ตาย  มีตายแล้วเกิด  ไม่เฉพาะคน  คนนั้น  ก็แบบเดียวกัน  ตายแล้วมาเกิดใหม่  เหมือนมดเหมือนปลวกนั้นเอง   มันตายไปหมดทั้งรูทั้งรังมัน  แล้วก็มีมดมาเกิดใหม่อีกแล้วแก่เจ็บตายไปอีก ...ไม่เคยหายไปจากแผ่นดินมด    สลับไปเรื่อย ๆ เช่นนี้   ....

โลกเรา พวกที่สร้างอาวุธวันนี้ มันหยุดไหม ?  ไม่หรอก  มันก็คิดไปให้ร้ายแรงไปเรื่อย ๆ มันหยุดไม่ได้หรอก   จึงในที่สุด...มันก็คิดให้ระเบิดทีเดียวพังทั้งโลกได้    ไประเบิดโลกตนเองแตกเป็นฝุ่นผง  ตายหมดทั้งคนทั้งโลก ....มันต้องตายไง  ไม่พ้นไปจากความตายความพินาสน์เลย   มันเป็นอย่างนี้เท่านั้น จึงเรียกว่าสัจธรรมว่าด้วยทุกข์อริยสัจ   ......เกิดกับตายจึงเป็นธรรมดา   และธรรมดา ๆ ก็คือ คนมันห้ามกิเลส อยากใหญ่ ไม่ได้หรอก  มันตายเพราะอยากใหญ่  มันจึงสร้างอาวุธร้ายแรงไปไม่หยุด....

พระพุทธเจ้า ท่านพบความจริงอย่างนี้  ท่านจึงถามตนเองว่า แล้วจะทำอย่างไรจึงจะไม่ตาย ?  ก็ทรงค้นพบ ว่าทำอย่างไรจึงจะพ้นไปจากโลกนี้  พ้นไปจากการที่จะต้องตาย  ต้องพังพินาสน์....มันไม่ใช่แบบพระเยซูหรือ มุฮำมัด ที่บอกว่า ต้องไปอยู่กับพระเจ้ายะโฮวาห์  หรือ พระเจ้าอัลเลาะห์ เป็นอมตะไม่ตาย ........   เพราะทรงพบความจริงหมดแม้พระเจ้าก็ต้องตายเหมือนกัน  เกิดใหม่เหมือนกันหมด...เพียงแต่ใช้เวลาหน่อย  เวลานั้นแหละที่หลอกพระเจ้าได้ด้วย จนหลงว่าตนไม่ตายนั้นแหละ   คือละเอียดไปหน่อย  แม้รูปธรรม   นามธรรม ก็ต้องตายไปหมด ไม่เหลือ    .....

จนทรงค้นพบความจริง เป็นทางออกทางเดียว มีทางเดียว   มาบอกคนทั้งหลายว่า  ดูในดวงใจของเราแต่ละคนนั้นเอง  มันมีกิเลส ตัณหา อุปาทาน  3 อย่าง คือ  กามตัณหา  ภวะตัณหา  วิภะวะตัณหา   เพียงเอาตัณหาทั้ง 3 อย่างนี้ออกไปหมดจากดวงใจ ให้ใจเหลือแต่ความสะอาดไม่มีอะไรเลย ก็จะได้ดวงใจใหม่สุดสะอาดสะอ้าน แล้ว แค่นี้เอง มันจะเป็นเองโดยอัตโนมัติหลังเอากิเลสออกไปหมดเกลี้ยงจริง ๆ  ก็จะได้พบโลกใหม่  มันจะเป็นว่าตาเราสว่างเจิดจ้าขึ้นยิ่งกว่าดวงอาทิตย์นับร้อยดวง  มองโลกแจ้งไปหมด แล้วพบโลกที่ไม่รู้จักตาย  และไม่มีเกิด ไม่มีตาย อีกเลย  เป็นโลกที่ไม่มีทุกข์  ไม่เป็นอย่างโลกของมนุษย์นี้เลย แบบเทียบกันไม่ติดเลย คนละศักดิ์ศรี  ....ง่าย ๆ  เพียงหมั่นพิจารณาดูความจริงที่ว่ามาแต่ต้นนี้  พบว่าจริงแล้วเท่านั้นเอง คือเกิดกับตาย  ตายกับเกิด ของสรรพสิ่ง เป็นวัฏฏะสงสาร จะเหมือนพบสิ่งประหลาดยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน 

จะเกิดหน่าย เบื่อโลก อย่างสุดๆ มองเห็นโลกสุดสกปรก ที่ทำกันอยู่ไร้สาระ เหมือนหมู่หนอนในฐานส้วมเลย เบื่ออย่างสุด ๆ รังเกียจอย่างสุด ๆ  เรียกว่า นิพพิทาญาณเกิดขึ้นและนิพพิทาญาณนี้เอง  มันจะชำระกิเลส ตัณหา อุปาทานไปเองแบบอัตโนมัติ แล้ว  ใจก็ว่างสว่างขึ้น  และ  หายไป สู่โลกนิพพาน  จบ...... 

ในแดนที่พ้นทุกข์ แดนที่มีแต่ปัญญามหาปัญญา  แดนว่าง ไร้ขอบเขต  ไร้ต้น ไร้ปลาย  ไร้ศูนย์กลาง  ไม่มีอะไรเลยในโลกนิพพานนั้น มีแต่หมู่พระอรหันต์ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย  หากแต่ไม่มีตัวตน   เป็นความว่างไปหมด  สุดบรรยายละ   นั่นแหละ  ไม่เกิดอีก  ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย  ไม่มีตายแล้วเกิดใหม่อีกแล้วแก่อีก  ตายอีก  หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ แบบเราไม่รู้ตัวเลย  นับโกฏิล้านล้านปีมาแล้ว  

เพียงเอากิเลสออกให้หมดจากใจเท่านั้นเอง  ให้หมดไม่มีเหลือแม้เท่าเม็ดฝุ่น   เท่านั้นเอง จะพบปาฏิหาริย์แห่งชีวิต  และนั่นแหละ  เป็นพระอริยบุคคล อรหันต์ขึ้นมา พ้นโลก  พ้นทุกข์  พ้นการเกิด อีกครั้ง ไปเสียจากโลกที่แสนสกปรก ไร้สาระน่าหน่ายนี้สู่อีกโลกหนึ่งโลกแห่งอริยบุคคลทั้งหลาย ที่ไร้ตัวตน นิโรธนิพพาน นั้นเอง  จบ...... นี่เป็นข่าวดีสุดประเสริฐ แจ้งไปให้รู้ทั่วโลกเลยนะ ...9 สค.2565 22.00 น.

-----

@ พุทธศาสนาสอนอะไร จงแจ้งข่าวให้โลกรู้ทั้งโลก

-----

Review!!! 14 Aug. 2023 What does Buddhism teach? Let the news be known to the whole world.

Phayap Panyatharo

August 13, 2022

64 world languages to 138 world languages

-----

What does Buddhism teach?

This is great news. Let it know all over the world.

teach how to be born All dead, nothing left....

Look at our world, there are wars, there are empty hands, there are swords, there are spears, there are muskets, there are machine guns, there are bombs, there are atomic weapons, there are guided weapons. Order them to explode anywhere, they're all dead.... But still... they're still not enough. Americans, Russians, Red Chinese, Jews, Arabs, that's what they keep thinking about... Today's atomic bombs aren't big enough. he continued to think Let it explode at once. The world will end.

And one day they will be able to think like that, and one day they will fight and throw that bomb. The whole world exploded. The whole world was shattered into pieces........the world died....and millions and millions of years later a new world was born........coming again. as before Living things, plants, animals, dinosaurs were born. It's the same as before, the same way....millions and millions of years later, it's like we are today...and onwards until it blows up the world again........it's Like this all along

Therefore, it is the noble truth of the Buddha that Watta is compassionate. That's not wrong According to the Buddhist principle that there is birth and death, there is death and birth, not only that person, that person is the same. dead and reborn like ants like termites It was dead in all its holes and nests. And then another ant is born again, old, sick and dead again. ...never disappeared from the land of ants, switched back and forth like this....

Our world, those who make weapons today, do they stop? No, it just keeps getting more and more serious. It can't be stopped. So in the end... it thought that it could explode all over the world with one blow. To blow your own world into dust The whole world died ....it must die Not escape from death and destruction it is only like this Therefore, it is called the Noble Truth of Suffering. ......Birth and death are normal, and it's normal that people can't stop their passions and want to be big. They die because they want to be big. So it creates a deadly weapon non-stop....

Lord Buddha, you found this truth. So he asked himself: So what to do to not die? He found out how to escape from this world. Escaping from having to die Must be ruined.... It's not like Jesus or Muhammad saying that I have to be with Jehovah God or Allah God. Being immortal doesn't die ........ Because He has found all the truth, even God has to die as well. Reborn all the same...just takes a little time. That's when you can deceive God too. Until he was convinced that he was not dead. Well, it's a little detailed, even if it's concrete, abstract, it's all dead, there's nothing left.....

until he discovered the truth It's the only way out. There's only one way. Look in the heart of each of us, there are three kinds of defilements, cravings, and clinging: kama-tanha, bhava-tanha, and vibhava-tanha. Let your heart rest, but clean and nothing. You will get a new heart that is clean and pure, and that's it. It will automatically happen after completely removing all desires. You will find a new world. It would be that our eyes were brighter than a hundred suns. Seeing the whole world and found a world that is immortal, and there is no more birth, no death, a world without suffering. Not like this human world at all. No comparison. Different people with dignity ....simple, just keep looking at the fact that from the beginning found that it was only true That is, the birth and death, the death and the birth of all things, that is the cycle of compassion. It is like discovering something great that has never been seen before.

will be born disgusted, extremely tired of the world, see the most dirty world that we do together in vain Like a group of worms in the basement of the toilet. Extremely bored, extremely disgusted, it is called Nirvana, and this is Nirvana. It will automatically cleanse defilements, passions, attachments, and then your mind will become clearer and disappear into the Nirvana world. End......

in the land of sorrow The land of great wisdom, the land of emptiness, without boundaries, without beginnings, without ends, without centers, there is nothing in that nirvana world. There are only monks Buddha but does not exist There is no more birth, no aging, no sickness, no death, no death, being born again, old again, dead again, revolving around like this. Like we don't know at all Millions of millions of years ago

Just remove the desires completely from the mind. Let it all be left, not even a grain of dust, that's all, you will find the miracle of life, and that is the noble person. Arahant arises, liberates the world, liberates suffering, liberates birth again, liberates from this filthy world. This nonsense goes to another world, the world of the noble people, that is, nirvana and nirvana, that's it, the end...... This is the best news. Let the whole world know ... 9 Aug. 2022 at 10:00 p.m.

-----

@ What does Buddhism teach? Inform the news to the whole world.

@ พุทธศาสนาสอนอะไร จงแจ้งข่าวให้โลกรู้ทั้งโลก

-----

 Thai - Ennglish

หลังปฐมเทศนาแล้ว 7 วัน  มาทำความเข้าใจกับชาวโลกยุคใหม่

1.

 เรื่องเบื้องต้น : ทรงแสดง ธัมมะจักกัปปะวัตนะสูตร  เป็นหลักธรรมะสำคัญที่ไม่เคยมีใครแสดงหรือตรัสรู้มาก่อน  จนเป็นคุณธรรมสมบูรณ์สำหรับจะทรงประกาศพระองค์เป็น พระพุทธเจ้า   นั่นคือความรู้แจ้ง  อริยสัจ 4 ประการ อันเป็นความรู้สุดยอดสำหรับมนุษย์ทุกชีวิตที่ควรจะต้องรู้เพื่อได้ประโยชน์อย่างยอดเยี่ยมแก่ตนนั่นเอง

นั่นก็คือเรื่องทุกข์  ทุกสิ่งที่ประกอบเป็นคนและสิ่งทั้งหลายทั้งโลกล้วนตกอยู่ใต้อำนาจของทุกข์ทุกคนไม่เว้น   กล่าวมาว่า ทั้งรูปธรรม นามธรรม  กายและใจ  ล้วนเป็นทุกข์  และข้อมูลแห่งทุกข์  ก็คือ เรื่องเกิด  แก่  เจ็บ  ตาย  นั่นเอง  โดยเริ่มวิเคราะห์จากการเกิดก่อน  แล้วจะพบว่า ชีวิตตนเอง  เกิดมาแล้ว   ก็แก่  ก็เจ็บ   ก็ตาย   แล้วมองคนอื่น  มองมนุษย์ทั้งโลก  ก็เอาข้อมูลมาจากอดีต  ทุกคนเกิดมาแล้ว ต้องตายหมด  เป็นความรู้ทุกข์ ระดับต้น  ที่พบความจริงว่า  เกิด แล้ว ต้อง ตาย   เป็นความรู้ขึ้นมาระดับนี้  คือ  โสดาบัน

สิ่งที่เข้าใจยากไปอีกก็คือ  เมื่อตายไปแล้ว  ก็เกิดใหม่   อันนี้ พระโสดาบัน ยังมองไม่เห็น เพราะต้องพบความจริง  ตายแล้วยังไม่จบ  ยังต้องมาเกิดใหม่อีก และเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ  ไม่รู้หยุดหย่อน  แม้มองเห็นได้ เข้าใจได้ว่า เราเองก็เคยเกิดมาใหม่  เกิด ตาย หลายครั้งมาแล้ว  เคยเกิดเป็นคนรวยก็มี  คนยากลำบาก ขอทานเลี้ยงชีพก็มี  เกิดเป็นสัตว์ก็มี  อันนี้ก็เป็นทุกข์ระดับสูงส่งไปกว่าอีก

2.

และทุกข์นี้  เรื่องเกิดและตายนี้  ก็รู้ไปอีกว่า ไปเกิดในสวรรค์ก็มี ในนรกก็มี    แต่จงดูความจริงว่าเกิดเป็นอะไร  ไหน ๆ ก็ดีล้วนแต่พบ แก่  เจ็บ  ตาย  ทั้งนั้น  เป็นวงเวียนชีวิต  วงรอบแห่งทุกข์ที่เรียกว่าวัฏฏะสงสาร วงรอบแห่งความทุกข์น่าสงสาร นั่นเอง

ต่อเมื่อรู้แจ้งเรื่องทุกข์หมดสิ้นแล้ว  จึงสำเร็จอรหันต์ ซึ่งรวมไว้แล้วในสัจธรรม อริยสัจ 4 ในพระบฐมเทศนานั้นครบทุกอย่าง  พอจะนำไปรู้แจ้งโลก แบบ ตรัสรู้

ก็มีความสงสัยคั่งค้างอยู่ในเรื่องทุกข์ ในประเด็นที่ว่าด้วยเหตุแห่งทุกข์ และ ผลแห่งความพ้นทุกข์   คือ เรื่องสมุทัย และ  นิโรธ  ที่มีสัจธรรมว่า  จะต้องชำระ ขัดล้าง ทำลาย ฆ่า ตัณหาทั้ง 3 ประการให้หมดสิ้นไปให้เกลี้ยง จึงจะบรรลุอรหันต์ได้   คือชำระเอาเหตุทั้ง 3 ประการออกไปให้หมดก่อน  พอสะอาดเกลี้ยงแล้ว  นิโรธก็เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ เหมือนเชื้อเพลิง ที่ถูกเอาออกไปจากกองเพลิง  แล้ว ไฟก็ดับลงไปเอง สู่ภาวะ การดับสนิท

3.

นั้นแหละ คำตอบ  พุทธองค์มิได้ทรงตอบปัญหาความสงสัยค้างคาใจนี้ไว้ในธัมมะจักกัปปะวัตนะสูตร  เพราะเหตุที่ จักให้พบคำตอบเอาเอง  ตามปัญญาที่เกิดขึ้นจากการรู้อริยสัจ 4 นั่นเอง   คือพอรู้ทุกขอริยสัจ  ก็จะรู้เอง  ซี่งนี่แหละ เป็นตัวพิศูจน์  ผล  ที่มาจากเหตุโดยแท้จริง  โดยเราเห็นเองจริง  บรรลุจริงด้วยปัญญาตนเองจริง

อย่างไรก็ตาม เมื่อพบว่าพอแสดงพระธัมมจักกัปปะวัตนะสูตร จบลง  มีเพียง 1 องค์เท่านั้นบรรลุธรรม   และบรรลุระดับโสดาบันเท่านั้นเอง  อันแสดงว่า  ยังไม่รู้แจ้งทุกข์อย่างสมบูรณ์ด้วยตนเอง     นั่นคือเหตุผลที่ทรงแสดงอนัตตะลักขณะสูตร  ใน 7 วันต่อมา  เพื่อขยายความเข้าใจเรื่อง ทุกข์ ต่อไปอีก

จึงทรงแสดงเรื่อง  ทุกขัง  อนิจจัง  และ อนัตตา  นั่นคือ ให้รู้เรื่อง 3 เรื่องนี้  ว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเรื่อง  ทุกข์

นั่นก็คือรวมเป็น  ทุกขัง  อนิจจัง   อนัตตา    รู้แจ้ง 3 ประการนี้จะเข้าใจทุกข์มากไปจนสมบูรณ์   และอนัตตะลักขณะสูตร นี้เอง  ทำให้รู้ทุกข์รู้แจ้งโลกอย่างสมบูรณ์ จน ทั้ง 5 ปัญจวัคคีฟังจบแล้ว บรรลุอรหันต์พร้อมกันทันที 

4.

ความรู้นั้นก็มีว่า อนิจจัง – อนัตตา- เป็นทุกข์   เมื่อชีวิตเป็นอนิจจัง  เป็นอนัตตา ชีวิตและสรรพสิ่ง ล้วนแปรเปลี่ยนไป ไม่อยู่ในสภาพเดิมได้  และตรงไปเส้นทางเดียวกันหมดนั่นคือตรงสู่  ความตาย

อันเกิดจากแท้จริง  ชีวิตร่างกาย จิตใจ เรา แท้จริง ไม่ใช่เรา   ไม่เป็นเรา  ไม่เป็นของเรา  นั้นเอง

นั้นไม่ใช่ของเรา  นั่นไม่เป็นเรา   นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

หากเป็นของเราแล้ว  เราสั่งได้ไหมว่า  อย่าแก่ให้เราเป็นสาว เป็นหนุ่มไปตลอดกาล   สั่งไม่ให้ป่วยได้ไหม   สั่งไม่ให้ตายได้ไหม ?      มันก็สั่งไม่ได้เลย  มันมีแต่นำไปสู่ความตายเท่านั้น  นี่แหละ  อนัตตา

ทรงถามว่า   ก็สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุขเล่า ?

ตอบ  ทุกขัง ภันเต  เป็นทุกข์พระเจ้าข้า 

ฉะนั้น การตรัสรู้  การรู้แจ้งทุกข์ไปจนถึงที่สุด  ที่สรุปว่า  สพฺเพ สงฺขารา  อนิจจา    สพฺเพ ธมฺมา  อนตฺตา    นั้นแล้ว 

5.

ประเด็นก็คือ  ความรู้ที่รู้ว่าโลกเป็นทุกข์ มีแต่เกิด แล้ว  ตาย   หมุนวนอยู่อย่างนี้มาก่อนชีวิตเราวันนี้ กี่ปีกี่ชาติ  กี่ร้อยปี  กี่ล้านชาติ   กี่พันกี่หมื่นล้านชาติ

ก็เป็นมาอย่างนี้ มาวันนี้ มาเกิดเป็นคน ชีวิตก็พบทุกข์อีกเหมือนเดิมต่อไป   และตายแล้วก็ไปเกิดอีก เกิดใหม่ไปเรื่อยๆ  ไม่มีวันจบ  กี่ร้อยล้านชาติรออยู่ข้างหน้า ไม่มีวันจบสิ้น มิต่างจากหมู่หนอน หมู่ปลวก หมู่มด แม้สัตว์ทั้งหลายเลย

แม้ทุกสิ่งทุกอย่างก็เกิดมาเพื่อตายทั้งสิ้น  โลกเราเอง  จักรวาลทั้งหลายก็แปรผันไปสู่ความเสื่อมสลาย วอดวาย พินาศ เสมอไป  

ความจริงอย่างนี้เอง ที่พระพุทธเจ้าอยากให้คนทั้งโลกมองเห็น  

เห็นความจริงอย่างนี้ ขึ้นมา

นั่นแหละที่ทรงสอนในอนัตตะลักขณะสูตร   สูตรประเด็นสำคัญว่า เมื่อเห็นความจริงเรื่องทุกข์ในโลกแล้ว    ย่อมเหนื่อยหน่าย  เมื่อเหนื่อยหน่าย  ย่อมคลายกำหนัด  เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น

6.

จึงมาสู่ข้อสรุปแด่คนยุคใหม่ยุควิทยาศาสตร์โลกนี้ เพื่อแสวงหาความพ้นทุกข์ สำเร็จพ้นปุถุชน เป็นพระอริยบุคคลโสดาบัน –อรหันต์

โดยใช้การศึกษา เล่าเรียน  ปัญญา  (จักขุง,  ญาณ,  ปัญญา,  วิชชา,อาโลโก)  พิจารณาไตร่ตรอง  ให้รู้ความจริงนี้  รู้แจ้งเรื่อง อริยสัจ 4  รู้ทุกข์อย่างละเอียดอ่อน  นั่นเอง เอาเป็นเรื่องของชีวิตที่ต้องเล่าเรียนตลอดชีวิตอีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่อง ทุกข์จนรู้แจ้งจริงเรื่องทุกข์ขึ้นมา

สมุทัย ตัณหา 3 ประการ ก็จะถูกสังหารกวาดล้างไปได้โดยฉับพลัน อันเกิดความรู้แจ้งเห้ฯจริงในทุกข์แล้ว ทำให้หน่ายในวัฏฏะสงสาร  เกิดความเบื่อหน่ายในวัฏฏะสงสาร  ในดวงจิตของเราแล้ว  จิตมันก็หลุดพ้นออกไปจากความอยากมีอยากเป็น อยากได้ อยากเป็นเรา  อยากเอามาเป็นของเรา  อยากใหญ่  อยากโต    อยากเป็นตัวเป็นตน    แม้กระทั่งพ้นไปจากความอยาก ที่ไม่อยากมีอยากเป็น  ในตัวตนอันต่ำต้อย ด้อยค่าด้อยบารมี

พ้นจาก กามตัณหา

พ้นจากภวะตัณหา

พ้นจากวิภวะตัณหา

ด้วยดวงใจที่เบื่อหน่ายในสิ่งเหล่านี้ที่รู้แจ้งจริงว่าเป็นสิ่งที่ไม่รู้จบสิ้น หมุนวนกลับมาสู้ทุกข์เช่นนี้ไปไม่มีจบเลย เป็น อินฟินิตี้

นี่แหละ เป็นประเด็นที่สำคัญยิ่งจริงๆ  คือความเบื่อ  ความหน่าย  หรือ  นิพพิทาญาณ นั่นเอง

7.

คือความรู้แจ้งทุกข์ และวัฏฏะสงสารตามที่เป็นจริง  ที่เรารู้จริงเห็นจริงเอง  จักทำดวงจิตให้เกิดความเบื่อหน่ายต่อความเป็นไปของชีวิต ชาตินี้ขณะนี้   และมองต่อไปถึงความเป็นไปในชาติหน้า  ที่จะมีแต่ทุกข์   ไม่รู้จบลงแห่งทุกข์เลย   มีแต่เรื่อง 2 เรื่องเองตลอดไปในกาลข้างหน้า คือ  เกิด  และ ตาย  เท่านั้นเอง

ก็จะทำให้เกิดความเบื่อหน่าย  และใจก็จะหลุดพ้นไปจาก  ภวะตัณหา  วิภวะตัณหา  และ กามตัณหา  เองโดยอัตโนมัติ

ซึ่งเมื่อพ้นไปจากตัณหา  ผลคือนิโรธ  ก็บังเกิดมาโดยอัตโนมัติ  ตามหลักของเหตุและผลนั่นเอง  ก็พ้นจากทุกข์คือ ไม่เกิด ไม่ตายอีกตลอดไปเป็นนิรันดร

8.

คำอธิบายก็คือ  จิตมันเบื่อหน่ายแล้วมันก็สลายหลุดพ้นไปเองโดยอัตโนมัติ   มันเบื่อหน่ายแล้ว มันก็ทำลายความผูกติดรัดรึง หรือความยึดมั่นถือมั่นมาแต่ดั้งเดิมขาดสะบั้นไปเสีย  จิตก็หลุดพ้นไปจากตัณหาทั้งหลายและ สะท้อนสู่ผลเอง คือ นิโรธ-นิพพาน โดยอัตโนมัติ  โดยทันทีทันใดก็สำเร็จอรหันต์ นั้นเอง  แบบปัญจวัคคีทั้ง 5 ที่สำเร็จอรหันต์ทันทีที่ฟังอนัตตลักขณะสูตร จบลง

ความรู้แจ้ง ทุกข์อริยสัจ  รู้แจ้งทุกข์จึงเป็นความรู้สำหรับโลกยุคนี้หรือยุคไหน ๆ ก็ตาม  อันเป็นแนวทางเดียวอันประเสริฐที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์  สู่โลกมหานิพพาน   ที่จะนำโลกทั้งโลกไปพ้นวิกฤติการณ์อันกำลังเริ่มอยู่ในขณะนี้  นำโลกไปสู่ความพ้นทุกข์นิรันดร

-ข้อเตือน :  เมื่อรู้แล้ว จะเบื่อหน่าย  หากรู้แล้วยังไม่เบื่อหน่าย  แปลว่า ยังไม่รู้จริง นั้นเอง โปรดอย่าท้อถอยเลย จงศึกษาพิจารณาต่อไปอย่าหยุดลงตลอดชีวิต

-----

@ พุทธศาสนา อธิบายอนัตตลักขณะสูตร ต่อจากธัมมจักกัปปะวัตนะสูตร

-----

Thai - English

eternal moment formula boredom from enlightenment

7 days after the sermon 7 days after the first sermon,  come to understand the new world.

1.

  Introduction: His Highness performed the Dhammacakkappavattana Sutta It is an important doctrine that has never been demonstrated or enlightened before. Until it was perfect virtue for proclaiming Himself as a Buddha, that is the enlightenment of the Four Noble Truths, which are the ultimate knowledge that every human being should know for their great benefit.

that is suffering Everything that makes up a person and everything in the world is under the power of suffering, everyone, without exception. It has been said that physical, abstract, physical and mental suffering are suffering. And the information of suffering is about birth, aging, sickness, and death. By analyzing from birth first, you will find that your own life is born, then you get old, you get hurt, you die, and then look at others. looking at people around the world take information from the past Everyone who has been born has to die. It is the knowledge of suffering at the beginning level, which has come to the truth that one has to be born and one must die.

Another difficult thing to understand is When he dies, he is born again. This is something that a Sotapanna Buddha cannot see. because the truth must be found dead and not over yet still have to be born again And it went on and on and on, unceasingly. Even though we can see it, we can understand that we too have been born again, born, and died many times before. Was born rich, there are poor people, there are beggars for a living. Born as an animal This is an even higher level of suffering.

2.

and this suffering, this birth and this death also know that There are births in heaven, there are also hells, but look at the truth of what is happening. Wherever it is, it's good, it's all met, old, sick, and dead. The cycle of suffering known as the Vetta of Sympathy. The circle of misery

only when the knowledge of suffering has ceased thus attaining arhat which is included in the truth, the 4 Noble Truths in the preaching is complete Enlightenment will lead to enlightenment of the world

there is doubt in suffering On the issue of the cause of suffering and the result of the end of suffering, namely Samudaya and Nirodha, with the truth that all 3 cravings must be cleansed, purged, destroyed, and destroyed. in order to attain arhatship That is to pay off all 3 reasons first. After everything is clean Nirodha happened automatically. like fuel that was removed from the fire, and then the fire was extinguished on its own, in a state of complete extinguishing

3.

That's the answer. The Lord Buddha did not answer this question in the Dhammacakkappavattana Sutta because he would find the answer himself. According to the wisdom that arises from knowing the Four Noble Truths, that is, when one knows all the Noble Truths, one will know it himself. in which we actually saw it Realize with real self-intellect.

However, when it was found that when the Dhammacakkappavattana Sutra was finished, only 1 Buddha attained enlightenment. and only attained the level of sotapanna, indicating that he had not fully realized suffering by himself That is why He performed the Anattalakhana Sutra seven days later to further expand his understanding of dukkha.

therefore showing the subjects of dukkha, impermanence, and anatta, that is, to know these 3 things as being one and the same with suffering

That is, they are combined into dukkham, impermanence, anatta, enlightenment. These three things will understand suffering until it is complete. and the Anattalakhana Sutra, which leads to complete knowledge of suffering and the realization of the world until all five panjavaggi have been heard. Arahat at once

4.

That knowledge is that impermanence - non-self is suffering. When life is impermanence, non-self, life and everything. all change Not in the original condition and all went straight to the same path, straight to death.

arising from true life, body, mind, we are, indeed, not us, not being us, not being ours.

that is not ours That's not us That's not who we are.

If it's ours Can we order that Don't make us young forever young order not to get sick? order not to die? It couldn't be ordered. It only leads to death, this is Anatta.

He asked if that was suffering. Or are you happy?

Answer: Dukkha, Phante, suffering, Lord.

Therefore enlightenment, the realization of suffering to the end, which concludes that sabba sankhara anicca sabba dhamma anatta is

5.

The point is the knowledge that the world is suffering, there are births and deaths, and it revolves like this before our lives today, how many years, how many lives, how many hundreds of years, how many millions of lives, how many billions and tens of millions of lives?

That's how it came to be, today, to be born as a human being, and life continues to experience suffering as before. and die and be born again Constantly reborn, never ending, how many hundreds of millions of lives are waiting ahead? never ending They are no different from worms, termites, ants, even animals.

Even though everything is born to die, our world and the universe always change to decay, destruction, and destruction.

This fact which the Buddha wanted the whole world to see

see this truth come up

That is what He teaches in the Immortal Moment of Sutta. formula key points that when he saw the truth about suffering in the world would be weary when weary would relieve passion Because he loosened his passion, he was freed.

6.

therefore came to the conclusion of the new generation in this world of science to seek relief from suffering accomplished beyond the ordinary A noble person, single-arhat

By using study, learning, wisdom (Chakung, Yan, Panya, Vijja, Aloko) to consider and contemplate. to know this truth Enlightenment about the Four Noble Truths, knowing suffering in a subtle way

Samudaya, three cravings, will be killed and swept away instantly. which has arisen in the true knowledge of suffering disgusting in the cycle of pity Boredom in the cycle of compassion in our souls The mind was freed from wanting to be, wanting to be, wanting to be me, wanting to be mine, wanting to be bigger, wanting to grow, wanting to be myself. even out of craving who don't want to want to be in humble self inferior inferior prestige

free from kamatanha

release from craving

liberated from vibhava craving

With hearts weary of these things that are truly enlightened as endless things. revolving around suffering like this endlessly, to infinity

This is the really important issue, namely boredom, disgust, or nirvana.

7.

is the knowledge of suffering and compassion as it really is that we really know and see for ourselves will make the soul disgusted by the possibilities of life this nation now and look forward to the possibility of the next life to have only sorrow There is no end to suffering at all. There are only two stories in the future: birth and death.

It will cause boredom. And the mind will automatically be freed from Bhava-tanha, Vibhava-tanha and Kam-tanha.

which, when freed from craving, the result of Nirodha, arises automatically according to the principle of cause and effect is freed from suffering, that is, no birth, no death, forever.

8.

The description is His mind was tired of it and it automatically dissipated. It's already fed up. It breaks the bond. Or the traditional commitment is broken. The mind was freed from all desires and Reflecting on the result itself, that is, nirodha-nirvana automatically, as soon as the arahat attainment, that is, the 5 panjavakkhi form, which attain arahat as soon as listening to the immortal while the sutra ends.

Enlightenment, the noble truth, enlightenment of suffering, therefore, is the knowledge of this world or any age, which is the only noble path that leads to the cessation of suffering. to the world of great nirvana to lead the whole world out of the crisis that is beginning now lead the world to eternal cessation

-Warning: Once you know, you will be bored. If you know and you are not yet bored, it means you don't really know. Please don't be discouraged. Continue to study and consider without ceasing for the rest of your life.

-----

@ พุทธศาสนา อธิบายอนัตตลักขณะสูตร ต่อจากธัมมจักกัปปะวัตนะสูตร

-----

Thai – English

เรื่องเบื้องต้น 

อาทิตตะปริยายะสูตร  ตามเนื้อหาที่พุทธองค์ทรงแสดงมีเพียงสั้น ๆ  บาลีมีเพียง 2 หน้าเท่านั้นเอง  แต่ที่จะต้องเข้าใจก็คือ มันเป็นเรื่องที่ทรงขยายความเรื่องทุกข์ออกไปอีกต่อจากอนัตตะลักขณะสูตรนั้นเอง 

โดยที่ให้เกิดความเข้าใจทุกข์ไปมากกว่าในรายละเอียดมากไปกว่าเดิม

ซึ่งอาทิตตะปริยายะสูตร ให้ทราบว่า ทุกข์เกิดจากความร้อน  คนเราเหมือนมีดวงอาทิตย์อยู่ในตัวตนเราทุกคน ๆ นั้นเอง

เมื่อความร้อนยังไหม้อยู่ ไม่ดับลับลง นั่นแหละทุกข์ก็ยังคงมีอยู่ไม่รู้หมดสิ้น

อาทิตตะปริยายะสูตร จึงเป็นพระสูตร คำสอนบทที่ 3  ที่ขยายความออกไปในเรื่องทุกข์  ให้รู้ทุกข์ มากไปกว่าเดิมอีก

ดังจะทรงถามว่า  เมื่อมันร้อนในภายในใจเราอยู่เช่นนี้แล้ว  มันเป็นทุกข์ หรือเป็นสุขเล่า ?

คำตอบก็จะเป็นว่า  ทุกขัง ภันเต  เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า

และที่คนพุทธไทยเอเชีย รู้ดีก็คือ เรื่อง รูป  รส  กลิ่น เสียง  สัมผัสกายกันและกันหาความสุขนั้นแหละเป็นความร้อน  ที่เรารู้จาก  อาทิตตะประยายะสูตร  นี้เอง

ในการทรงโปรดชฎิล 3พี่น้อง  1003คน ผู้ทำพิธีบูชาไฟ เรื่อง  สรรพสิ่งที่ร้อนยู่เป็นไฟนั้น  “สพฺพํ ภิกขเว  อาทิตตํ  ภิกขุทั้งหลาย ทุกสิ่งทุกอย่างร้อนเป็นไฟ”  นั้น  ทรงนำไปสู่ปัญญาความรู้แจ้งทุกข์ 

เหตุของทุกข์ มาจาก หู  ตา  จมูก  ลิ้น  กาย   ใจ 

หู  นำเสียงร้อนเข้ามา

ตานำสิ่งที่เห็นร้อน ๆ เข้ามา

จมูก นำกลิ่นที่ร้อน ๆ เข้ามา

ลิ้น นำรสที่ร้อน ๆ เข้ามา

กาย นำอารมณ์ที่ร้อน ๆ เข้ามา

ใจ  นำความนึกคิดความอยากความใคร่ ร้อน ๆ เข้ามา  คือ กามตัณหา   จึงเป็นเหตุของความร้อนคือทุกข์ 

ทำให้รู้เข้าใจเรื่องทุกข์มากขึ้นไปอีก  รู้เหตุแห่งทุกข์มากขึ้นไปอีก   เหมาะสำหรับชฎิลบูชาไฟก็รู้จริงเรื่องไฟว่าไฟแท้จริงคือไฟจากรูป  รส  กลิ่น เสียง  สัมผัส อันเข้ามาทางประสาทสัมผัส 5ทางคือ  หู  ตา  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ นั้นเอง 

ซึ่งคำถามคือ มันเป็นทุกข์ หรือ สุข เล่า ?

คำตอบ  ทุกขัง ภันเต   เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า 

และเมื่อย้อนไปพิจารณากับข้อธรรมเดิม คือ ทุกข์ เพราะกามตัณหาภวะตัณหา  วิภวะตัณหา แล้ว   นั่นแหละนำไปรู้ เข้าใจความจริงเรื่องทุกข์ทุกขอริยสัจ  มากไปอีก

จนถึงระดับที่ต้องการ นั่นคือ เห็นความจริงจนบังเกิดความบื่อหน่ายขึ้นมาเองภายในดวงจิต หรือ  จิตของเรา

ซึ่งจะเห็นได้ว่า  ในอาทิตตะปริยายะสูตรนี้

สิ่งที่ทรงเน้นย้ำลงไปนั้นก็คือเรื่องความรู้แจ้งจริงเรื่องทุกข์จนบังเกิดขึ้นมาซึ่งความหน่ายอย่างสุด ๆสุดที่จะหยุดอยู่นิ่งเฉยอีกต่อไป

ดังที่ทรงตรัสว่า

นี่แหละที่ว่าทุกสิ่งร้อนเป็นไฟ

ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกเมื่อรู้เห็นอย่างนี้ ย่อมหน่ายในตา  หู  จมูก  ลิ้น กาย ใจ  หน่ายในความรู้สึกเกิดจากสัมผัสทางตา หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ

เมื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด

เมื่อคลายกำหนัดจิตก็หลุดพ้นจากการถูกร้อยรัดมัดติดตัว หรือความยึดมั่นถือมั่นตัณหา เองโดยอัตโนมัติ

จึงเป็นเรื่องทางปัญญา  เหมาะสำหรับคนมีปัญญา รู้พิจารณา วิเคราะห์ ตรองตรึกหาความจริง  จนเห็นทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง ทะลุปรุโปร่ง 

นั่นแหละ ความหน่าย ความเบื่อในชีวิตแห่งวัฏฏะสงสาร คือ เบื่อในเรื่องการเกิด การตาย   การตายแล้วต้องเกิดไ แล้ว  ตายอีก     หมุนวนอยู่อย่างนี้ไปไม่รู้จบในวงเวียนชีวิตที่น่าสมเพชเวทนา ที่ชาวพุทธเรียกว่าวัฏฏะสงสารนั่นเอง  

 นั่นแหละ ความหน่าย  ความเบื่อในชีวิตแห่งวัฏฏะสงสาร  จะทำลายสิ่งที่ผูกมัดรัดเอาไว้  หรือความยึดมั่นถือมั่นในตัณหาทั้งหลายเอง  อุปมาเหมือนถอนเชื้อเพลิงออกไปหมดแล้วก็มีความดับเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ

มีเหตุและผล ฉะนี้

ฉะนั้น สัจจธรรมคือ  อริยสัจ 4 นี้ จึงเป็นความรู้อันล้ำเลิศ  หาความรู้ใดเทียบเท่าไม่ได้เลย  เพราะนำไปสู่ความพ้นทุกข์คือวิมุตติธรรม ความสงบสงัด    มหานิพพานตลอดกาลนิรันดร ไม่มีการกลับมาเกิดใหม่ดังที่พุทธองค์ทรงประกาศไว้แต่แรกปฐมเทศนาว่า  “  การพ้นพิเศษของเราไม่กลับกำเริบ  ชาตินี้เป็นที่สุดแล้วบัดนี้ ไม่มีความเกิดอีก”

บทสรุป:  3พระสูตรคำสอนสำคัญ ที่ปรากฏขึ้นในโลกนี้  คือ ธัมมะจักกัปปะวัตตนะสูตร  อนัตตะลักขณะสูตร และ  อาทิตตะปริยายะสูตร  นี้ สอนให้คนทั้งหลายทั้งโลกเข้าใจให้ได้ในเรื่องเดียวเท่านั้นเองคือเรื่อง ทุกข์  รู้ทุกขอริยสัจ  นั้นเอง   เมื่อพิจารณา ตรองตรึกลึกซึ้งมาถึง  อาทิตตะปริยายะสูตรแล้ว   เกิดนิพพิทาญาณ ความหน่าย  ให้กลับไปทบทวนอย่างสุขุมล่าช้าพระสูตรแรก คือธัมมะจักกัปปะวัตตนะสูตรอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเน้นลงไปเรื่องทุกข์ เรื่องวัฏฏะสงสารให้แจ่มแจ้ง จักนำไปสู่ความเบื่อหน่ายในวัฏฏะสงสารให้จงได้ในฉับพลัน และดวงจิตจักเลื่อนคลายออกไปจากความผูกมัดอยู่กับตัณหาทุกประการ พ้นจากตัณหา พ้นโลก   ซึ่งนั่นแหละ  การบรรลุมรรคผลสูงสุด อริยอรหันต์บุคคลสูงสุดโดยพลันทันที สู่มรรคผลนิพพานโดยอัตโนมัติ  ที่พ้นทุกข์ที่พ้นสภาพปุถุชนคนธรรมดา เป็นอริยบุคคลใหม่  พ้นการเกิด การตาย อย่างเด็ดขาดสถิตในภาวะว่างเปล่าไร้ตัวตนในโลกุตตระภพนิพพานไปชั่วนิรันดร. .

หมายเหตุ  พระปฐมเทศนาทั้ง 3 บทนี้

ธัมมะจักกัปปะวัตตนะสูตร
อนัตตะลักขณะสูตร
อาทิตตะปริยายะสูตร

เป็นความรู้สากลของมนุษย์ทั้งโลกมนุษย์ทุกยุคทุกสมัยเพื่อการรู้แจ้งโลกที่แท้จริง   สำหรับยุคเทกโนโลยี่ ยุควิทยาศาสตร์หลังกึ่งพุทธกาล  พระปฐมเทศนาทั้ง 3 บทนี้เอง  จะเป็นความรู้อันเลิศประเสริฐที่พิศูจน์ได้ทันที   บอกเป้าหมายอันสูงสุดของพระพุทธศาสนา นั้นคือความพ้นทุกข์ พ้นภาวะปุถุชน สู่ภาวะอริยบุคคล สูงสุดคือ อรหันต์ ในทันใดที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจที่พ้นไปจากกิเลสตัณหาทั้งหลาย โดยไม่ช้า ความสำคัญคือความรู้ที่จะเปลี่ยนชีวิตให้เราใหม่  เป็นคนใหม่ ที่มีแต่ความสุขแท้ของเสรีชน ตลอดไปนิรันดร .

-----

@ พุทธศาสนา  อนัตตะลักขณะสูตร – อาทิตตะปริยายะสูตร ความเบื่อหน่ายจากการรู้แจ้งทุกข์
-----

Thai-English

Buddhism Anattalakhana Sutta - Athitta Pariyaya Sutta boredom from enlightenment

introductory story

Athittapriyaya Sutra According to the content that the Lord Buddha showed, there were only 2 pages of Pali. But that must be understood. It is the story that extends suffering further from the Anattalak at that Sutta itself.

by giving rise to more understanding of suffering in greater detail

The Athittapariyaya Sutra states that suffering is caused by heat. We all have the sun in ourselves.

When the heat is still burning, not extinguished, that is, suffering still exists infinitely.

Athittapriyaya Sutra Therefore, it is a sutra, teaching chapter 3 that expands on suffering to know suffering even more.

as asked When it's hot in our heart like this, is it suffering or happiness?

The answer would be that dukkham phante is suffering, Lord.

And what Asian Thai Buddhists know very well is that the matter of form, taste, smell, sound, touching each other's bodies to find happiness is the heat that we know from this Adattaprayaya Sutra.

In graciously pleased the 3 brothers and sisters, 1003 people who performed the fire worship ceremony, about all things that are burning with fire, Everything is hot like a fire” that leads to wisdom and knowledge of suffering.

The cause of suffering comes from the ears, eyes, nose, tongue, body and mind.

Ears bring in hot sounds.

The eyes bring in what they see hot

The nose brings in hot scents.

The tongue brings hot flavors.

Body brings hot emotions

The mind brings thoughts, desires, desires, passions into it, which is sensual desire, which is the cause of suffering.

makes me understand more about suffering Knowing more and more causes of suffering It is suitable for Chadil Bucha Fai to know the truth about fire that real fire is fire from form, taste, smell, sound, and touch that enters through the five senses: ears, eyes, nose, tongue, body, and mind.

The question is, is it suffering or happiness?

Answer: Dukkha, Phante, Suffering, Lord.

And when looking back to the original dharma, that is, suffering because of Kamtanha, Bhavatanha, and Vibhavatanha, that leads to realization. understand the truth about suffering, every noble truth, much more

to the desired level, that is, seeing the truth until boredom arises within the mind or our mind

which can be seen In this Athittapariyaya formula

What he stressed down was the real enlightenment of suffering until it arose, which resulted in utter disgust. It's too late to stop and stay still any longer.

as he said

This is where everything is hot as fire.

monks When the noble disciple saw this disgusted with the eyes, ears, nose, tongue, body, mind; disgusted with the sensations born of contact with the eyes, ears, nose, tongue, body, and mind.

When disgusted, disgust is relieved.

When the mind was loosened, the mind was freed from being tied down. or clinging to lust automatically

It is intellectual Suitable for intelligent people who know, consider, analyze, contemplate the truth. Until seeing suffering clearly, through and through

That is, boredom, boredom of the life of the life of the cycle of suffering, that is, boredom of birth, death, death, being born and then dying again, revolving endlessly in this miserable circle of life. which the Buddhists call watta sympathy

  That's the boredom, the boredom of the life of the cycle of compassion. will break what is tied together or clinging to the cravings themselves The analogy is like withdrawing all the fuel and automatically extinguishing.

There is cause and effect.

Hence, the Truth, the Four Noble Truths, is the supreme knowledge. I can't find any comparable knowledge. because it leads to the cessation of suffering, the liberation of the Dhamma, peace and stillness, and eternal Nirvana. There is no reincarnation as the Lord Buddha had announced at the beginning of his sermon, “Our special release does not relapse. This nation is finally here. no more births.”

Summary: 3 Sutras, Important Teachings that appears in this world is the Dhammacakkappavattana Sutta This Anattalakhana Sutra and Athitta Pariyaya Sutra teach people all over the world to understand only one thing, which is suffering, knowing all the noble truths. Athittapariyaya Sutra Born in nirvana, disillusionment, to go back and carefully review the first sutra. is once again the Dhammacakkappavattana Sutra. to focus on suffering The matter of compassion to be clarified will lead to boredom in the cycle of compassion And the mind will be freed from attachment to all cravings, liberated from craving, liberated from the world, which is the highest achievement. Immediately, the supreme noble arhat to nirvana automatically that is out of suffering that is out of the ordinary mortal He is a new Noble Person, completely free from birth and death, dwelling in a state of emptiness and non-self in the world, attaining Nirvana for all eternity. .

Note: These 3 chapters of the first sermon

Dhammachakkappavattana Sutta

eternal moment formula

Athittapriyaya Sutra

It is the universal knowledge of the entire human world, human beings of all ages, for the enlightenment of the real world. for the technology era post-Buddhist scientific era These 3 first sermons will be the sublime knowledge that will be immediately proved. tells the ultimate goal of Buddhism that is the end of suffering out of humanity To the noble state, the supreme arhat, at the instant there is a change of heart that is soon freed from passions, the essence is the knowledge that will transform our lives into a new, new person with the true happiness of a freedman. Forever forever.

-----

@ พุทธศาสนา  อนัตตะลักขณะสูตร – อาทิตตะปริยายะสูตร ความเบื่อหน่ายจากการรู้แจ้งทุกข์

-----