ReadyPlanet.com
dot
dot dot
bulletBUDDHISM TO THE NEW WORLD ERA
bullet1 Thai-ไทย
bullet2.English-อังกฤษ
bullet3.China-จีน
bullet4.Hindi-อินเดีย
bullet5.Russia-รัสเซีย
bullet6.Arab-อาหรับ
bullet7.Indonesia-อินโดนีเซีย
bullet8.Japan-ญี่ปุ่น
bullet9.Italy-อิตาลี
bullet10.France-ฝรั่งเศส
bullet11.Germany-เยอรมัน
bullet12.Africa-อาฟริกา
bullet13.Azerbaijan-อาเซอร์ไบจัน
bullet14.Bosnian-บอสเนีย
bullet15.Cambodia-เขมร
bullet16.Finland-ฟินแลนด์
bullet17.Greek-กรีก
bullet18.Hebrew-ฮีบรู
bullet19.Hungary-ฮังการี
bullet20.Iceland-ไอซ์แลนด์
bullet21.Ireland-ไอร์แลนด์
bullet22.Java-ชวา
bullet23.Korea-เกาหลี
bullet24.Latin-ละติน
bullet25.Loa-ลาว
bullet26.Finland-ฟินแลนด์
bullet27.Malaysia-มาเลย์
bullet28.Mongolia-มองโกเลีย
bullet29.Nepal-เนปาล
bullet30.Norway-นอรเวย์
bullet31.persian-เปอร์เซีย
bullet32.โปแลนด์-Poland
bullet33.Portugal- โปตุเกตุ
bullet34.Romania-โรมาเนีย
bullet35.Serbian-เซอร์เบีย
bullet36.Spain-สเปน
bullet37.Srilanga-สิงหล,ศรีลังกา
bullet38.Sweden-สวีเดน
bullet39.Tamil-ทมิฬ
bullet40.Turkey-ตุรกี
bullet41.Ukrain-ยูเครน
bullet42.Uzbekistan-อุสเบกิสถาน
bullet43.Vietnam-เวียดนาม
bullet44.Mynma-พม่า
bullet45.Galicia กาลิเซียน
bullet46.Kazakh คาซัค
bullet47.Kurdish เคิร์ด
bullet48. Croatian โครเอเซีย
bullet49.Czech เช็ก
bullet50.Samoa ซามัว
bullet51.Nederlands ดัตช์
bullet52 Turkmen เติร์กเมน
bullet53.PunJabi ปัญจาบ
bullet54.Hmong ม้ง
bullet55.Macedonian มาซิโดเนีย
bullet56.Malagasy มาลากาซี
bullet57.Latvian ลัตเวีย
bullet58.Lithuanian ลิทัวเนีย
bullet59.Wales เวลล์
bullet60.Sloveniana สโลวัค
bullet61.Sindhi สินธี
bullet62.Estonia เอสโทเนีย
bullet63. Hawaiian ฮาวาย
bullet64.Philippines ฟิลิปปินส์
bullet65.Gongni-กงกนี
bullet66.Guarani-กวารานี
bullet67.Kanada-กันนาดา
bullet68.Gaelic Scots-เกลิกสกอต
bullet69.Crio-คริโอ
bullet70.Corsica-คอร์สิกา
bullet71.คาตาลัน
bullet72.Kinya Rwanda-คินยารวันดา
bullet73.Kirkish-คีร์กิช
bullet74.Gujarat-คุชราด
bullet75.Quesua-เคซัว
bullet76.Kurdish Kurmansi)-เคิร์ด(กุรมันซี)
bullet77.Kosa-โคซา
bullet78.Georgia-จอร์เจีย
bullet79.Chinese(Simplified)-จีน(ตัวย่อ)
bullet80.Chicheva-ชิเชวา
bullet81.Sona-โซนา
bullet82.Tsonga-ซองกา
bullet83.Cebuano-ซีบัวโน
bullet84.Shunda-ชุนดา
bullet85.Zulu-ซูลู
bullet86.Sesotho-เซโซโท
bullet87.NorthernSaizotho-ไซโซโทเหนือ
bullet88.Somali-โซมาลี
bullet89.History-ประวัติศาสตร์
bullet90.Divehi-ดิเวฮิ
bullet91.Denmark-เดนมาร์ก
bullet92.Dogry-โดกรี
bullet93.Telugu-เตลูกู
bullet94.bis-ทวิ
bullet95.Tajik-ทาจิก
bullet96.Tatar-ทาทาร์
bullet97.Tigrinya-ทีกรินยา
bullet98.Check-เชค
bullet99.Mambara-มัมบารา
bullet100.Bulgaria-บัลแกเรีย
bullet101.Basque-บาสก์
bullet102.Bengal-เบงกอล
bullet103.Belarus-เบลารุส
bullet104.Pashto-พาชตู
bullet105.Fritian-ฟริเชียน
bullet106.Bhojpuri-โภชปุรี
bullet107.Manipur(Manifuri)-มณีปุระ(มณิฟูรี)
bullet108.Maltese-มัลทีส
bullet109.Marathi-มาราฐี
bullet110.Malayalum-มาลายาลัม
bullet111.Micho-มิโช
bullet112.Maori-เมารี
bullet113.Maithili-ไมถิลี
bullet114.Yidsdish-ยิดดิช
bullet115.Euroba-ยูโรบา
bullet116.Lingala-ลิงกาลา
bullet118.Slovenia-สโลวีเนีย
bullet119.Swahili-สวาฮิลี
bullet120.Sanskrit-สันสกฤต
bullet121.history107-history107
bullet122.Amharic-อัมฮาริก
bullet123.Assam-อัสสัม
bullet124.Armenia-อาร์เมเนีย
bullet125.Igbo-อิกโบ
bullet126.History115-ประวัติ 115
bullet127.history117-ประวัติ117
bullet128.Ilogano-อีโลกาโน
bullet129.Eve-อีเว
bullet130.Uighur-อุยกูร์
bullet131.Uradu-อูรดู
bullet132.Esperanto-เอสเปอแรนโต
bullet133.Albania-แอลเบเนีย
bullet134.Odia(Oriya)-โอเดีย(โอริยา)
bullet135.Oromo-โอโรโม
bullet136.Omara-โอมารา
bullet137.Huasha-ฮัวซา
bullet138.Haitian Creole-เฮติครีโอล
bulletคำบูชาพระรัตนตรัย ทำวัตรแปล เช้า-เย็น
bulletChart Showing the Process
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พ.ศ.2540 - 2566
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 1
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี 2
bulletบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี บุคคลที่ 1 - 188 ปัจจุบัน
bulletหนังสือพิมพ์ดี
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 1
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 2
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 3
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 4
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 5
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 6
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 7
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 8
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 9
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 10
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 11
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 12
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 13
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 14
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 15
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 16
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 17
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 18
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 19
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 20
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 21
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 22
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 23
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 24
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 25
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 26
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 27
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 28
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 29
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 30
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 31
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 32
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 33
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 34
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 35
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 36
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 37
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 38
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 39
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 40
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 41
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 42
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 43
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 44
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 45
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 46
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 47
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 48
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 49
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 50
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 51
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 52
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 53
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 54
bulletหนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 55
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที่ 56
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 57
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 58
bulletหนังสือพิมพ์ดีเล่มที 59
bulletTo The World
bulletENGLISH
bulletUSA
bulletChina
bulletIndia
bullet Mynmar
bullet Cambodia
bullet Loas
bulletSri Lanka
bulletMalaysia
bulletKorea
bulletA Sharp Turn of Believes : Iresearch Iwrite Iread
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 1
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 2
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 3
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 4
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 5
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 6
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 7
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 8
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 9
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 10
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 11
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 12
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 13
bulletศึกษาโลกลี้ลับภาค 14
bulletMystery Report 15
bulletMystery Report 16
bulletMystery Report 17
bulletMystery Report 18
bulletMystery Report 19
bulletMystery Report 20
bulletMystery Report 21
bulletMystery Report 22
bulletMystery Report 23
bulletMystery Report 24
bulletMystery World Report 25
bulletศึกษาโลกลี้ลับ 26
bulletเฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว วิเคราะห์ทุกปัญหาในโลกมนุษย์ด้วยสติปัญญาและเหตุผลวิทยาศาสตร์จากนสพ.ดี
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2536
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2537
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2538
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2539
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2540
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2541
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2542
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2543-2545
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2545-2549
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2549-2550
bulletเฝ้าดูฯ พ.ศ.2550-ส.ค.2551
bulletเฝ้าดูฯ ส.ค.-ก.ย.2551
bulletเฝ้าดูฯ ก.ย.2551- ธ.ค. 2551
bulletเฝ้าดูฯสำนวนพัชรา กอปรทศธรรม
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 16-27
bulletสำนวนพัชราตอนที่ 29
bulletบทความใหม่ เม.ย.-พ.ค.2552
bulletพุทธธรรมเพื่อทางดับทุกข์
bulletทฤษฎีการดับทุกข์ทางจิต วิปัสสนากรรมฐานโดยการทำงาน(สำนวนปรับปรุงใหม่)
bulletประวัติพัชรา กอปรทศธรรม
bulletประวัติการต่อสู้เพื่อการดับทุกข์ ของพัชรา กอปรทศธรรม
bulletอัลบั้มรูป history
bulletนิทานธรรมะประยุกต์ มานุสสาสุระสงคราม 4 ภาค และอื่น ๆ
bulletอัลบั้มรูป ภาพในอดีตและชีวประวัติศาสตร์ที่สวยงาม
bulletจากเวบบอร์ด พูดกันไม่รู้เรื่อง ประชาธิปไตยล้าหลัง
bulletศาสนาสากล การวิเคราะห์ความหมาย
bulletปลอบใจ
dot
รวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์ แนวปฏิรูปคณะสงฆ์อยู่ในบทวิเคราะห์นี้แล้ว
dot
bulletรวมบทวิเคราะห์กม.คณะสงฆ์
dot
สากลจักรวาล สากลศาสนา แนวคิดศาสนาสำหรับคนยุคใหม่ ผู้ก้าวผิดทางไปสู่สิ่งไร้สาระโดยไม่รู้ตัว
dot
bulletสากล...ศาสนา 1
bulletสากล...ศาสนา 2
bulletสากล...ศาสนา 3
bulletสากล...ศาสนา 4
bulletสากล...ศาสนา 5
bulletสากล...ศาสนา 6
bulletสากล...ศาสนา 7
bulletสากล...ศาสนา 9
bulletสากล...ศาสนา 8
bulletสากล...ศาสนา 10
bulletสากล...ศาสนา 11
bulletสากล...ศาสนา 12
bulletสากล...ศาสนา 13
bulletสากล...ศาสนา 14
bulletสากล...ศาสนา 16
dot
ส่วนข้อมูลสำคัญเพื่อการวิจัยการเมืองไทยยุค คมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
dot
bulletข้อมูลสำคัญยุคคมช.-รัฐบาลอภิสิทธิ์
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่1/26ส.ค.2551
bulletรายงานสดม็อบสนธิ-จำลอง-ปชป.เป่านกหวีดวันที่2/27ส.ค.2551
bulletใบปลิว อีเมล์ ในหลวงทรงร้องไห้
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 1
bulletในหลวงเพิ่งทราบข่าวฆ่าประชาชน10เมย.53ทรงร้องไห้
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
bulletบันทึกลับเสื้อแดงผู้รอดชีวิตจากทำเนียบรัฐบาล
dot
รวมข่าวม็อบการเมืองสนธิ-จำลอง-ปชป.มิ.ย.51-เม.ย.52 นสพ.
dot
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 2
bulletข่าวการเมืองแฟ้ม 3
bulletรวมข่าวม็อบ30มิ.ย.51-23มี.ค.52
bulletเลือดศรีสะเกษบันทึกเรื่องราวรอบด้านเกี่ยวกับเขาพระวิหาร
bulletรายงานการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศไทยที่ล้มล้างรัฐบาลทักษิณ
bulletหนังสือพิมพ์ดี ของฟรีให้เปล่ามา20ปีแล้วทั้งเอกสารและอินเทอเนท
bulletหนังสือพิมพ์ดี ( อินเทอเนต ) เล่ม 1 - 44 - ล่าสุด
bulletหน้าที่เก็บไว้
bulletมูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร)
bulletวัดมหาพุทธาราม ศรีสะเกษ บันทึกเหตุการณ์
bulletสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดศรีสะเกษแห่งที่ 1
bulletเกี่ยวกับเวบไซต์ของเรา เราทำเพื่อปัญญาชนโดยแท้
bulletรวมกระทู้เด็ดจากกระดานถามตอบ
bulletคาถาอาคมไสยศาสตร์
bulletกวีนิพนธ์ใหม่
bulletศูนย์ปฏิญญาณละเลิกอบายมุข บัญชีที่ 1- 4


ดี เล่มที่ 49

 

 
ดี เล่มที่ 49
สารบาญ
 *********************************************************************
 
1.   ปก หนังสือพิมพ์ดี ( อินเทอเนต) เล่มที่ 47 เดือน เม.ย. 2556  - ก.ย. 2557  
2.   พุทธทำนายเดือน๔ปีกุน 
3.  สารบาญ                                                                                                                   
4.   บทบรรณาธิการ 
5.   บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี  พุทธศักราช 2556  
6.   เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว
7.  บันทึกมติปชป.ให้สส.ลาออก ถึง ยิ่งลักษณ์ยุบสภา  
8.  องค์กรอิสระตัดสินนายกปู 7-8 พ.ค.2557จาก FB Phayap Panyatharo
9.  นิติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่รับใช้ 1
10. นิติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่รับใช้ 2 
11. นิติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่รับใช้ 3 
12. นิติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่รับใช้ 4
13. พล.อ.เปรม มีข้อสงสัยไม่จงรักต่อสถาบันกษัตริย์FB Phayap Panyatharo   
14. บทกวีเสรีภาพ    ประชาชนไม่กลัว   
15. ตลกรัฐธรรมนูญตัดสินแล้ว ไม่ยุบพรรคเพื่อไทย 
16. รัฐประหาร 22 พ.ค.2557 16.30 น. จาก FB. Phayap Panyatharo   
17. พรรคที่ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงแก่ประชาชนไทยคือพรรคประชาธิปัตย์   
18. วันแจ้งความแห่งชาติ  1 เม.ย. พุทธศักราช 2557  
19. ศาล เมื่อไม่สถิตยุติธรรม ก็ต้องอาบัติปาราชิก   
20. คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ 20 พ.ย.2556 ท่านจะต้องเรียนรู้ไปมากกว่านี้อีกเยอะเลย 
22. นามธรรมและประชาชนจะลงโทษองค์กรอิสระ
23. สรุปประเทศไทยวันนี้    
24. ศึกษาประชาธิปไตย  พรรคการเมืองไทยยังไม่เข้าใจว่านโยบายทางการเมืองมีความสำคัญอย่างไร
25. การศึกษาไทย ในมุมมองของจีน อ่านจบพูดไม่ออก อึ้งเลย
 
 
 
 
ปีที่ 15 เล่มที่ 49
มูลนิธิพระเทพวรมุนี ( เสน ปญฺญาวชิโร )
วัดมหาพุทธาราม ถนนขุขันธ์ ต.เมืองเหนือ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ 33000
 
 
หนังสือพิมพ์ดี ( อินเทอเนต)
https://www.newworldbelieve.net
http://www.newworldbelieve.com
 
  • เพื่อการนำความคิดไปสู่ความดีงาม
    เพื่อความกลมกลืนแห่งสากลศาสนา
    For all good For all thought
 
 


 

เราจะบินบินบินและบินไป                            สู่ขอบฟ้าสดใสในเบื้องหน้า
แม้วันนี้มีเมฆร้ายมหิมา                               ก็ไม่หวาดไม่ผวาคณาภัย
ถึงเขาใหญ่สูงเงื้อมตระหง่านฟ้า                    ก็จะฝ่าฤาพรั่นนึกหวั่นไหว
มหาสมุทรสุดสายลมไกว                            จะเอื้อมไปให้ถึงซึ่งฝั่งดิน

ถึงแห้งเหือดเลือดหมดหยดสุดท้าย
              แล้วก็หมายชนหลังยังถวิล
สัจธรรมนี้ไว้ในธรณิน                                 กว่าจะสิ้นกัปกัลป์พุทธันดร


 
เล่มที่ 47
เดือน เม.ย. 2556  - ก.ย. 2557
เรื่องเด่น
1. บทบรรณาธิการ บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2556
2. เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว วิเคราะห์ประชาธิปไตยไทย  ศึกษาประชาธิปไตยไทยอย่างเข้มตามสถานการณ์ 
 
 
 
พุทธทำนายเดือน๔ปีกุน
 
เรื่องพุทธทำนายนี้มีปรากฏอยู่ในภาษาบาลีพระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ 27 หน้า 24 ขึ้นต้นว่า อุสุภา รุกฺขา คาวิโย ฯลฯ และอธิบายไว้ในอรรถกถาเอกนิบาต ภาค 2 และเคยแปลเป็นภาษาไทยไว้ในชาดก ฉบับหอสมุดวชิรญาณ เล่ม 1 อาจารย์ศิลา วีรวงศ์ ได้แต่งเป็นกลอนลำอีสาน ประมาณ พ.ศ. 2490”
 
 
“๑๑. ข้อสิบเอ็ด
พระฝันเห็นท่อนไม้แก้วแก่นจันทน์แดง ของมันราคาแพงค่าสูงแสนตื้อ เขาเลยเอาไปซื้อขายกินแลกไก่ เอาจันทน์แดงใส่กระชาน้อยแขวนห้อยเที่ยวขาย อันนี้แล้วเพิ่นว่าภายหน้าพู้นเคิ่งศาสนาพุทธ มนุษย์มีโลภามืดมัวเมากุ้ม ชุมหมู่ถือศีลสร้างเป็นจัวเจ้าหัวบ่าว เห็นผู้สาวแล้วเอิ้นเสินเว้าดั่งสหาย นอกจากนั้นกะซิเป็นผู้ฮ้ายขายศาสนาพุทธ เอาพระธรรมลงมุดจายขายกินจ้าง ตั้งเป็นตึกเป็นห้างขายกินปิ้นไป่ ทังพระสูตรพระวินัยเอาลงใส่กระช้าโซนผ้าเที่ยวขาย นี้จั่งแม่นต่อนฮ้ายขายฮูปพุทธองค์ สงฆ์บ่ถือวินัยไพร่เมืองบ่อยำอย้าน มีแต่คนพาลกล้าโกธาเขี้ยวขุ่น ศาสนาเกิดวุ่นสูญเส้ามุ่นทะลาย สงฆ์ซิเป็นผู้ฮ้ายขายศาสนากู สัพพัญญูเล็งเห็นหน่ายสะอางผางฮ้าย คันแม่นกายไปหน้าศาสนาของเฮาจั่งสิฟื้นขึ้นใหม่ ในปีกุนล่วงแล้วซิแววขึ้นลื่นหลัง ครั้งนั้นแหล้วคนสิอยู่เป็นสุข จั่งสิหายความทุกข์หมู่ภัยไกลเนื้อ ใผผู้ยังเหลือค้างซิเห็นทางฟ้าล่วง คนสิพ้นจากห่วงฝูงหมู่มารบาปฮ้ายเมื่อฟ้าอยู่กะเสิม เริ่มแต่ค้าเดือนสี่ปีกุน ใผมีบุญจั่งสิเห็นหน่อพระธรรมเดอป้า พากันถือศีลห้าภาวนาเดอแม่ หยังกะเห็นเที่ยงแท้บ่มีเว้นหว่างใด๋
”มีข้อความตอนสำคัญดังนี้ :-
 
 
 
 
  • จาก กลอนลำเรื่องพุทธทำนาย ชมรมวรรณกรรมอีสาน จัดพิมพ์ โดย ร.พ.ไพศาลศิริ ท่าพระจันทร์ กทม. 2527 หน้า 7 
 
 
 หมายเหตุ บก.        
เรื่องพุทธทำนายนี้ มีการระบุถึงเดือนสีปีกุน แต่ไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าเป็นปีกุนรอบไหน พ.ศ.อะไร ระบุไว้กว้าง ๆ ว่าหลังยุคกึ่งพุทธกาลไปแล้ว คือหลังปีพุทธศักราช 2500 ไปแล้ว   เมื่อมาถึงปีกุน พ.ศ.2502,2514,2526,2538 และ พ.ศ.2550 ตามลำดับมาแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะมีอะไรเป็นที่น่ายินดีสำหรับพระพุทธศาสนา ก็น่าจะเป็นปีกุนรอบต่อไปในอีก 12 ปีข้างหน้าคือ พ.ศ. 2562 จะเป็นปีที่ตรงกับพุทธทำนาย อีก 12 ปีข้างหน้าก็ไม่นานเกินรอ และน่าจะเหมาะสมดีมากหากเราจะมานับเวลาเริ่มต้นทำงานเพื่อพระพุทธศาสนากันใหม่ และใน 12 ปีข้างหน้า เมื่อพุทธบริษัททั้งหลายตั้งใจก็ย่อมเป็นผลสำเร็จ และเตรียมการรับความเจริญรุ่งเรืองแห่งพระพุทธศาสนากันในปี 2562 นั้น   
 
 
 
                                                                                                                  
 
ดีเล่มที่ 49
ปีที่ 16
 
บทบรรณาธิการ
 
 
 
 
เราจะบินบินบินและบินไป                                    สู่ขอบฟ้าสดใสในเบื้องหน้า
แม้วันนี้มีเมฆร้ายมหิมา                                        ก็ไม่หวาดไม่ผวาคณาภัย
ถึงเขาใหญ่สูงเงื้อมตระหง่านฟ้า                           ก็จะฝ่าฤาพรั่นนึกหวั่นไหว
มหาสมุทรสุดสายลมไกว                                    จะเอื้อมไปให้ถึงซึ่งฝั่งดิน
ถึงแห้งเหือดเลือดหมดหยดสุดท้าย                     แล้วก็หมายชนหลังยังถวิล
สัจธรรมนี้ไว้ในธรณิน                                          กว่าจะสิ้นกัปกัลป์พุทธันดร

 
 
 
นี่คือหนังสือพิมพ์ดี(อินเทอเนต) เล่มที่ 49 ประจำเดือนเม.ย.- ธ.ค. 2556-ม.ค.- ก.ย. 2557 เมื่อเริ่มต้นเราได้จัดทำหนังสือพิมพ์ดี ในนาม วิเคราะห์ข่าวในวงการเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดภาคอีสาน (แจกจ่ายทุกจังหวัดทั่วประเทศ) จนเปลี่ยนชื่อเป็น หนังสือพิมพ์ดี และ หนังสือพิมพ์ดี(อินเทอเนต) ติดต่อกันมาเป็นเวลาย่างเข้า 16 ปีแล้ว สิ่งที่เราต้องการนั้นก็คือ การประกาศสัจธรรมเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบของสังคมและการเมืองไปสู่สิ่งที่ดีกว่า โลกที่ดีกว่า และทางการเมืองที่ดีกว่า   เราเห็นว่านี่คือวิถีทางของระบอบประชาชน อำนาจเป็นของประชาชน และประชาชนบริหารไปภายใต้อุดมการณ์ของเสรีชน ที่มีความเสมอภาค  และมีภราดรภาพในการปกครอง  ที่สอดคล้องหลักธรรมในพระพุทธศาสนา นั่นก็คือ แท้ที่จริงสัจธรรมเกี่ยวกับระบอบการปกครองที่ทันสมัยทันยุคจริง ๆ ที่ได้เริ่มขึ้นก่อนในสังคมตะวันตก มีอเมริกา อังกฤษ และยุโรปทั้งสิ้น รวมทั้งเอเชียบางแห่ง เช่นญี่ปุ่น สิงคโปร์ เป็นต้นนั้น ก็เนื่องมาจากนักปราชญ์ได้ตีความหมายไปจากหลักการของพระพุทธศาสนานี่เอง ดังจะเห็นได้จากประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในอินเดียตั้งแต่ยุคแรกมาแล้วนั่นเอง
 
ในแง่ประวัติศาสตร์ ก็จะพบว่าเดิมอินเดีย เป็นสังคมชนชั้น ที่แบ่งศักดิ์ศรีหรือสถานะของมนุษย์กันอย่างชัดเจนมาก(แม้ทุกวันนี้ ภายหลังพ้นจากภาวะเมืองขึ้นของอังกฤษ ประเทศประชาธิปไตยที่สอนประชาธิปไตยให้อินเดียมาเกือบ 200 ปี อินเดียก็ยังเหมือนเดิม คือเป็นประเทศที่ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา ไม่เข้าใจประชาธิปไตยอยู่เหมือนเดิม) นั่นคือ วรรณะ 4 ในอินเดีย ซึ่งประชาชนแต่ละคน ๆ แต่ละตระกูลจะต้องถูกนิยามว่าเป็นสังกัดของตนไปตลอดชีพ  4 วรรณะมีอะไรบ้าง ก็มี 
 
วรรณะพราห์มณ์   นี่มีฐานะเป็นคณะตัวแทนเทพเจ้า ผู้มีอำนาจสูงสุดเหนือมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งในสังคมศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามยิ่งเน้นเผด็จการเทพเจ้าแกร่งกล้าไปกว่าฮินดูอินเดียอีก ที่มนุษย์จะต้องเชื่อฟังอย่างบิดพลิ้วไม่ได้ (โดยไม่ต้องถามถึงเหตุผล) 
 
วรรณะที่ 2 คือวรรณะกษัตริย์ วรรณนี้เป็นนักรบ คุมกองกำลัง มีการฝึกฝนเชิงการรบ เล่าเรียนยุทธศาสตร์และยุทธวิธี จึงเป็นวรรณะที่มีอำนาจจริง มีพลังทางการปกครองจริง จึงมักได้เป็นกษัตริย์ ในฐานะผู้ปกครองชุมชน หรือเผ่าพันธุ์มนุษย์เผ่าพันธ์ต่าง ๆ  และมีอำนาจปกครองสูงสุดของประเทศต่อมา 
 
วรรณะที่ 3 คือ วรรณะแพศย์ ถูกนิยามว่าเป็นพวกไพรอีกพวกหนึ่ง ได้แก่พวกจรไปจรมา ซึ่งได้แก่พวกพ่อค้า ทำมาหากินด้วยการค้าขาย พาหมู่พวกเดินทางจากเมืองนั้นไปเมืองนู้เพื่อเอาสินค้าจากเมืองนั้นไปขายเมืองนู้น ที่นี่ไปที่นู้น ไม่อยู่ติดที่เหมือนวรรณะอื่น    และ
 
วรรณะที่ 4 ที่ได้ชื่อว่าต้อยต่ำที่สุดในวรรณทั้ง 4 ของอินเดียก็คือ วรรณะศูท ซึ่งเป็นสถานะของคนส่วนใหญ่ หรือแทบทั้งหมดของสังคมเผ่าพันธ์อินเดียยุคโบราณดั้งเดิมต่อมาถึงยุคพระพระพุทธเจ้า ซึ่งโดยสถานะที่แท้จริง พวกวรรณะศูทนี้ ก็คือพวกทาสหรือเสมือนทาสนั่นเอง มีคนกลุ่มผู้ปกครองคือกษัตริย์และพราห์มณ์ อยู่เพียงหยิบมือเดียว แต่สามารถปกครองทาสได้จำนวนมหาศาล ก็เพราะพวกทาสนี้ถูกบัญญัติไปให้ยอมรับสถานะของตนเช่นนั้น โดยถูกบัญญัติให้เป็นพวกศูท นี่เอง และคนชั้นต่ำซึ่งเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ มหาศาลของแผ่นดินนี้ ถูกกำหนดสิทธิเอาไว้แค่ให้มีชีวิตอยู่และมีหน้าที่แค่ทำตามคำสั่งของผู้ปกครอง สุดแต่ว่านายจะสั่งการอะไรออกมา เท่านั้นเอง ซึ่งจะเห็นว่าในยุคพระพุทธเจ้านั้น มีคนส่วนหนึ่งซึ่งเป็นคนจำนวนมหาศาลมาก มีสถานะของตนเองที่ มิใช่มนุษย์ แต่เป็นทาส และเป็นกากเดนสังคม ที่มีชีวิตและสถานะตนเองจะเป็นเช่นไรก็แล้วแต่ความปรานีของวรรณะที่ปกครอง คือพราห์มณ์และกษัตริย์   
 
ท่านยังจะเห็นได้อีกว่า อินเดียยุคนั้นยังมีคนอีกพวกหนึ่งที่มีสถานะยิ่งกว่าพวกวรรณะศูทเสียอีก นั่นคือยิ่งกว่าสัตว์ ที่ถูกตราหน้าว่าเป็นวรรณ จัณฑาล   อันเป็นผลิตผลมาจากมีการฝ่าฝืนกฎวรรณะของสังคม คือมีการละเมิดกฎทางเพศเกิดขึ้น โดยมีการสมรสข้ามวรรณะกันระหว่างวรรณะเกิดขึ้น เช่นวรรณแพศ ไปแต่งงานกับวรรณะศูท วรรณะศูทไปได้กับวรรณกษัตริย์ เป็นต้น  ลูกที่เกิดมาก็จะต้องไปถูกตราหน้าตีตราว่าเป็น จัณฑาล ......ในประเทศไทยได้มีการสอนประวัติศาสตร์การปกครองโบราณในอินเดีย ว่าด้วยวรรณะ 4 นี้มานานแล้ว และอธิบายคำว่า วรรณะจัณฑาล ตามพจนานุกรม (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 มีข้อความอันเดียวกันกับ พจยานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.2493) ซึ่งมีความหมายเชื่อมโยงกันถึง 3 คำคือคำว่า จัญไร จัณฑ และ จัณฑาล (ฉ.2542หน้า 298 ฉ.2493หน้า 281-82) ดังนี้
 
จัญไร ว. เลวทราม, เป็นเสนียด, ไม่เป็นมงคล, จังไร ก็ว่า
จัณฑ- , จัณฑ์ [จันฑะ-, จัน] ว. ดุร้าย, หยาบช้า, เกรี้ยวกราด, ฉุน, ฉุนเฉียว; ราชาศัพท์ใช้เรียกสุราหรือเมรัยว่า น้ำจัณฑ์. (ป., ส.)
จัณฑาล [จันทาน] ว. ต่ำช้า. น. ลูกคนต่างวรรณะ. (ส. จณฺฑาล ว่า ลูกที่บิดาเป็นศูทร มารดาเป็นพราหมณ์).
 
นั่นคือคำยืนยันว่า ในอินเดียปัจจุบัน ยังมีคนจำนวนมหาศาลที่มีสถานะที่ไม่มีความเป็นมนุษย์ แล้วยังถูกตราบาปให้ตั้งแต่เกิดอีกว่าเป็นคนเลวทราม เป็นเสนียด ไม่เป็นมงคล จังไร ดูร้าย หยาบช้า เกรี้ยวกราด ฉุน ฉุนเฉียว ต่ำช้า    ซึ่งมีจำนวนมากมายมหาศาลกว่าคนอีกพวกหนึ่งซึ่งอยู่ในสถานะของผู้ปกครอง และเป็นคณะผู้ได้รับการมอบหมายจากเทพเจ้าเบื้องบนให้มีอำนาจสิทธิขาดในการบริหารจัดการมนุษย์ โดยจัดการให้พวกมนุษย์มีหน้าที่รับใช้ปฏิบัติตามคำสั่งตน  ตนเองเป็นอภิสิทธิชนเหนือคนอื่น ๆ
 
ถ้าท่านเข้าใจหลักความเป็นมนุษย์ยุคใหม่ ท่านก็จะเห็นได้ทันทีว่า   อินเดีย นี่คือสังคมที่ไม่เคยมีความเสมอกันในความเป้นมนุษย์ มีมนุษย์อยู่จำนวนมหาศาลในอินเดีย ที่ไม่มีฐานะของความเป็นมนุษย์เลย แต่พวกเขาก็อยู่กันมาได้อย่างนั้น และไม่ได้คิดว่ามีโทษภัย หรือความเหลื่อมล้ำในสถานะของตนที่เป็นมนุษย์แต่อย่างใด (ซึ่งเป็นผลมาจากความเคยชินกับวิถีชีวิต วัฒนธรรมอันต่ำทรามที่ถูกยัดเยียดให้ตั้งแต่เกิด ชั่วชาติสกุลปู่ย่าตายายมาหลายพันปี)   แม้ว่าอินเดียทั้งอินเดียมหาศาล ถูกบริษัทพ่อค้าจากประเทศอังกฤษ ประเทศเล็กนิดเดียว มาล่าเอาเป็นเมืองขึ้น ถูกหลอกลวง เอาชนะด้วยอารยธรรมที่เหนือกว่า จนเสียประเทศทั้งประเทศ ท่านทราบไหม อินเดียที่กว้างใหญ่มหาศาล ประชาชน 400 ล้านคนนี้ มีผู้ปกครองจากต่างชาติมาปกครองอยู่นานถึงเกือบ 200 ปี ต้องไปเป็นเมืองขึ้นอังกฤษอยู่เกือบ 2 ศตวรรษ(176 ปี) ก็ตาม ก็ยังไม่รู้สึก ทุกวันนี้ ถ้าเราไปเที่ยวอินเดีย จะมีที่อาบน้ำของเมือง ๆ หนึ่ง น้ำจะไหลลงมาจากปราสาทของกษัตริย์บนภูเขา ลดหลั่นลงมาเป็นชั้น ๆ จนถึงพื้นราบ  บนชั้นที่ 1 เขาจะอนุญาตให้เฉพาะพวกวรรณพราห์มณ์เท่านั้นใช้อาบกิน   พอไหลลงมาอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นน้ำที่ชำระสิ่งสกปรกของพวกวรรณพราห์มณ์ไหลลงมา ก็ให้พวกวรรณะกษัตริย์ใช้อาบ กิน   แล้วพอล้างขี้ไคล อาจมของกษัตริย์เสร็จก็เลื่อนลงมาอีกชั้นหนึ่ง ก็เป็นที่อาบที่กินของพวกวรรณะแพศย์   ส่วนพวกศูท กับจัณฑาล ก็คอยรองรับเอาน้ำส่วนสุดท้าย ภายหลังจากผ่านการชำระล้างสิ่งสกปรกของคนในวรรณะสูงสุดลงมาแล้ว   นี่คือสังคม ที่คนไม่มีความสำนึกในสิทธิของความเป็นมนุษย์   เป็นสังคมที่ไร้อารยธรรมโดยสิ้นเชิง มันห่างไกลจากความเป็นประชาธิปไตยอย่างมากมายเหลือเกินที่จะช่วยได้
 
 
                     
 
ภาพประวัติศาสตร์ : นี่คือ First Viceroy/Governor General of India : Warren Hasting ผู้ปกครองคนแรกของอินเดีย ยุคอาณานิคมอังกฤษ ระหว่างปี 1772 – 1948 [2315 – 2491]    อีกด้าน ภาพภริยาของเขา จากอังกฤษ  ให้ดูมาดผู้ทรงอำนาจเหนือประเทศล้าหลังที่ใหญ่โตเช่นอินเดีย หน้าตาก็บอกถึงอารยธรรมที่เหนือชั้นกว่า ปกครองอินเดีย มาเสวยสุขเหนือประเทศที่มีพลเมืองกว่า 400 ล้านคนเป็นที่ 2 รองจากจีน อยู่ถึง 176 ปี จึงได้คืนเอกราชให้ไป
 
 
เมื่อประกาศศาสนาพุทธขึ้นในสังคมที่โง่เง่าในอินเดียสมัยนั้น ทรงประกาศกฎอิทัปปัจยตา ที่เริ่มจากอวิชชา คือความโง่งมงาย เขลาไร้สติ ไร้เหตุผล อย่างที่ปรากฏในสังคมอินเดียนี่เอง และพระพุทธองค์จึงทรงประกาศหลักกรรม ว่าคนย่อมเป็นไปตามกรรม มีความเสมอกันที่การกระทำ ไม่ใช่ที่ชั้นวรรณะ ความหมายก็คือ เมื่อมนุษย์ทำความดี ก็ย่อมทรงสิทธิ์ที่จะได้ผลดีตอบแทน ไม่ว่าเขาจะเป็นชนชั้นวรรณะใดก็ตาม  ดังตัวอย่างมากมายที่ทรงตรัสถึงเรื่องความเป็นมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ทรงตรัสในพระคาถาธรรมบท เอกนิบาต อังคุตรนิกาย ว่า
 
น ชจฺจา วสโล โหติ       น ชจฺจจา โหติ พราหมฺโณ
กมฺมุนา วสโล โหติ         กมฺมุนา โหติ พราห์มฺโณ
 
คนเราจะเลวเพราะชาติกำเนิดก็หาไม่                            คนจะดี(ได้ชื่อว่าพราหมณ์)เพราะชาติกำเนิดก็มิใช่
คนจะดี(ได้ชื่อว่าพราหมณ์)ก็เพราะการกระทำ                  คนจะเลวก็เพราะการกระทำต่างหาก
 
และใน ธชคฺปริตร ทรงประกาศว่าพระองค์ทรงเป็น 
 
อรหํ สมฺมา สมฺพุทฺโธ วิชฺชา จรณสมฺปนฺโน สุคโต ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถาเทวมสุสฺสานํ 
 
ทรงเป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า   เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
 
ประเด็นสำคัญก็คือ   ทรงประกาศว่า ทรงเป็นครูของทั้งมนุษย์ทั้งหลายบนโลก และเทวดาทั้งปวงในทิพย์วิมานใดใดบนสวรรค์ ห้องใดก็ตาม   อันเป็นการย้ำลงไปถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ว่าความเป็นมนุษย์นั้น สำคัญยิ่ง ในแง่ที่ว่าอาจทำกรรมใดที่เป็นประโยชน์สูงสุดได้ยิ่งกว่าเทวดา แม้กระทั่งจะเป็นครูของเทวดาทั้งหลายก็ได้จากความเป็นมนุษย์   เป็นพระพุทธเจ้าก็ได้จากความเป็นมนุษย์
 
 
 
คาถานี้ คนไทยส่วนมากที่ได้ชื่อว่าชาวพุทธ หรือ แม้กระทั่งพระสงฆ์องค์เจ้า ผู้ปกครองสงฆ์ส่วนใหญ่ จะไม่เข้าใจว่า นี่คือหัวใจของ ประชาธิปไตย โดยเฉพาะความหมายของพระคาถา ในนัยของพุทธศาสตร์ ที่มันหมายความครบถ้วนถึงหลักการว่าด้วยความเป็นมนุษย์ ว่าด้วยศักดิ์ศรีของมนุษย์ ที่คน ๆ หนึ่งทรงสิทธิที่จะได้รับกันทุกคนอย่างไม่มีการละเว้น    การประกาศนี้ เมื่อพุทธองค์ทรงประกาศขึ้นท่ามกลางแดนเถื่อน อินเดียยุคนั้น นั้นเท่ากับประกาศตนเป็นศัตรูของศาสนาเดิม ความเชื่องมงายเดิม ๆ และผู้ปกครองยุคทาสนั้นโดยตรง จึงนับว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ผู้นำสัจธรรมว่าด้วยความเสมอภาคของหมู่มนุษย์มาสู่โลกโดยแท้จริง และชาวตะวันตก นักรัฐศาสตร์ตะวันตก ต่างก็เข้าใจได้เช่นนั้น และได้นำหลักการนี้ไปพิศูจน์ทดลอง ตั้งเป็นระบอบประชาธิปไตยขึ้น
 
 
 
ในระยะที่เราออกดีเล่มที่ 49 นี้ เป็นระยะที่ประเทศไทยถูกยึดอำนาจโดยคณะทหารอีกครั้งหนึ่ง โดยทำการประกาศกฎอัยการศึกก่อน ในวันที่ 19 ก.ย. 2556 แล้วถึงวันที่ 22 ก.ย. 2556 ก็ประกาศรัฐประหารยึดประเทศ ล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ที่รัฐธรรมนูญไทยแทบทุกฉบับสั่งการไว้ว่าให้ประเทศไทยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย  
 
หัวหน้าคณะทหารที่ทำการ ยังคงเป็นบุคคลในตำแหน่ง  ผู้บัญชาการทหารบก แห่งประเทศไทย
แต่คราวนี้ คือ  พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา
ซึ่งบัดนี้ได้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 29  ของประเทศไทย  และเพิ่งได้เดินทางไปประชุมงานเลี้ยงผู้นำเขตเศรษฐกิจ APEC และได้พบ โอบามา  และ  ปูติน  มาแล้ว เมื่อคืนวันที่ 10 พฤศจิกายน 2557  วาสนา นาน่วมรายงานว่า พล.อ.ประยุทธได้รับการต้อนรับดีมาก  เจ้าตัวบอกว่า  ทุกประเทศกล่าวขวัญถึงประเทศไทยในทางที่ดีหมด 
 
 
อย่างไรก็ตาม
 
สิ่งที่ไม่ยากที่เราคนไทยจะเข้าใจกันได้โดยง่ายและเป็นเรื่องที่ต้องร่วมมือกันสังวรให้จงหนักก็คือ เมื่อมีการประกาศจัดตั้งรัฐบาลใหม่ คราวนี้นั้น รัฐบาลใหม่นี้มีศักดิ์ศรีเป็นเพียงรัฐบาลอันดับ 2 ของสากลโลกเท่านั้น  ในเมื่อโลกปัจจุบันถือศักดิ์ศรีประชาธิปไตยเป็นหลัก  โดยความจริงนี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องคิดดูด้วยเหตุผล 
 
 รัฐบาลอันดับ 1 จึงเป็นรัฐบาลอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศศ และรัฐบาลประเทศยุโรปทั้งหลาย ที่มาจากประชาชน โดยการเลือกนโยบายของพรรคการเมืองที่เสียงส่วนใหญ่ของประชาชนให้การยอมรับ ผ่านการเลือกตั้งทั่วไป  รวมทั้งในเอเชียเราก็มีรัฐบาล หลายรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง (รวมทั้งรัฐบาลกัมพูชาชุดปัจจุบัน ก็ถือว่ามีศักดิ์ศรีอยู่ ณ ระดับ 1 ของสากลโลก เช่นกัน)  นี่คือความมีศักดิ์ศรีของรัฐบาลในความหมายว่า รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
 
ส่วนรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ก็ย่อมมีศักดิ์ศรีที่ด้อยไปจากสากลประเทศประชาธิปไตยไป เป็นรัฐบาลที่มีศักดิ์ศรีอยู่ระดับ 2 ของสากลโลก    ในประเทศไทยเราเร็ว ๆ นี้ ยังอาจจะมองศักดิ์สรีของรัฐบาลได้เป็น 3 ระดับด้วยซ้ำไป   ดังนี้
 
ระดับ 1 เป็นระดับสากล คือรัฐบาลทักษิณ-รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ตามวิถีทางประชาธิปไตยสากล ที่ประชาชนไทยทั้งปวงควรจะมีความภาคภูมิใจในส่วนของเหตุผลที่ไปที่มาอันมีศักดิ์ศรีระดับสากลประเทศเช่นนี้ และน่ามองว่าการพัฒนาการเมืองไทยควรจะต้องเป็นไปบนฐานการมีรัฐบาลเช่นนี้
 
ระดับ 2 รัฐบาลอภิสิทธิ์ พรรคประชาธิปัตย์ ถูกจัดเป็นอันดับ 2 ก็เพราะไม่ชนะการเลือกตั้งทั่วไป(แพ้พรรคพลังประชาชน-เพื่อไทย) แต่สามารถเดินเกมการเมืองระบบสภา ให้ตนได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้ (เรียกกันโดยทั่วไปว่า รัฐบาลจากค่ายทหาร เพราะมีทหารจัดการเสียงในสภาให้ จนชนะในสภา) คราวที่นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ หัวหน้ารัฐบาล ประชาธิปัตย์ขณะนั้นไปขอออกรายการที่โทรทัศน์บีบีซี ได้มีคำถามประวัติศาสตร์ที่ทางบีบีซีถามนายอภิสิทธิขึ้นว่า ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีได้อย่างไร ในเมื่อท่านไม่ได้ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งปรากฏว่านายอภิสิทธิ์อ้ำอึ้งอยู่ถึง 5 วินาที จึงมีปฏิภาณเลี่ยงไปได้แบบไม่ขายหน้าเกินไป
 
ระดับ 3 รัฐบาลประยุทธ ไม่มีตรงไหนที่บอกถึงความเป็นรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชนเลย เป็นการได้มี ได้เป็น ได้ดิบได้ดี จากการยกกองกำลังเข้าปล้นยึดอำนาจจากรัฐบาลเก่าที่เป็นประชาธิปไตยอยู่แล้ว(แท้จริงคือรัฐบาลโจรเราดี ๆ นี่เอง แต่กระนั้นคณะผู้ปกครองหมู่นี้ก็ได้ประกาศอย่างหนักแน่นว่าจะสร้างความปรองดองแห่งชาติขึ้นให้ได้ก่อน แม้เรื่องนี้ รัฐบาลประยุทธก็ยังทำไม่สำเร็จอยู่ เพราะโดยธรรมดาแล้ว ความปรองดองใดใดจะทำไม่ได้โดยวิถีทางอยุติธรรม)   
 
เมื่อตระหนักเช่นนี้ รัฐบาลประยุทธ จึงน่าจะรีบจัดการตัวเองเสีย อย่าอยู่เนิ่นนานไปนัก อย่างน้อยก็ก่อนมีการประชุมสหประชาชาติ   หรือประชุมเอเซียนเรานี่เอง เพราะในการประชุมระดับชาติสากล ประเทศไทยและประชาชนไทยทั้งประเทศจะขวยเขินใจ   ที่เรามีนายกรัฐมนตรี มีคณะรัฐมนตรีที่มีศักดิ์ศรีด้อยไปกว่าประเทศทั้งหลายในโลก โดยมีศักดิ์ศรีเพียงระดับ 2 ของสากลโลก ไปร่วมประชุมกับเขา แล้วจะไปอ้าปากพูดอะไรได้ ตัวอย่างก็มีมาแล้ว ในคราวมีรัฐบาลสุรยุทธ จุลานนท์ ไปประชุมสหประชาชาติ แล้วก็มีรัฐบาลอภิสิทธิ์ขึ้นในช่วงที่ไทยต้องเป็ฯเจ้าภาพจัดประชุมสมาคมประเทศอาเซียนในประเทศไทย โดยฐานะที่รัฐบาลอภิสิทธิเป็นรัฐบาลระดับ 2 ตามเหตุผลที่ว่ามาแล้ว จึงทำให้การประชุมอาเซียนยุคอภิสิทธิ์เป็นการเปิดการประชุมที่น่าสมเพช เพราะมีสมาชิกมาร่วมประชุมเปิดการประชุมเพียง 5 ประเทศเท่านั้นเอง (เอเซียนทั้งหมดมี 11 ประเทศ) หวังว่าประเทศไทยจะจดจำไว้เป็นประวัติศาสตร์การเมืองที่ไร้ศักดิ์ศรีของรัฐบาลอภิสิทธิ์     นอกจากนี้ การมีศักดิ์ศรีที่ด้อยกว่าเขา จะทำธุกิจการค้าก็จะเสียเปรียบ   มองเห็นได้เลยว่า การค้า การพาณิชย์ในยุคประยุทธ จันทร์โอชา จะตกต่ำ   จะนำประเทศไปสู่ความยากจน ชาวนาจะขายข้าวไม่ได้ราคา ยางราคาตกต่ำ สินค้าโอทอปไทยจะส่งนอกไม่ออก  เพราะขายไปต่างประเทศไม่ได้ นั่นเอง   แล้วการปฏิรูปประชาธิปไตย ที่จะต้องเริ่มที่ภาคประชาชน นั่นคือประชาชนต้องไม่มีชั้นวรรณะ ไม่มีระบบทาส   แม้กระทั่บสัญลักษณ์แห่งทาสก็จะต้องไม่มีเลย  ประชาชนรากหญ้าอันเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ จะต้องได้รับการยกฐานะขึ้นสู่ความเป็นเสรีชน (ทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ) ดังมีแนวยนโยบายรัฐประชาธิปไตยมาตั้งแต่ยุครัฐบาลทักษิณ ที่ทำนโยบายประชาธิปไตยเอาไว้แล้วว่า ประเทศไทยจะปราศจากคนจนภายใน 6 ปี) จะทำได้อย่างไร จะหวังจากรัฐบาลเผด็จการได้อย่างไร ไม่มีคำตอบ งานทำนองที่ว่า ช่วยให้ความรู้แก่ประชาชน ให้รู้วิธีตกปลาเอง ไม่ใช่หาปลาไปส่งเขา นั้นจะทำอย่างไร ก็จะทำได้แบบเดิม ครรลองเดิม ๆ ของคณะรัฐประหาร ในแง่ที่ว่า รีบเร่งเพียงสร้างมาตรการความปลอดภัยให้ตนเองก่อนอื่น   
 
อนึ่ง ดูเหมือนกำลังจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่กันอยู่ อยากให้ตั้งใจกันดูว่า มาตรา 2 ในรัฐธรรมนูญเดิม ๆ แทบทุกฉบับ นั้น จะยังคงเอาไว้หรือไม่ เรากลัวว่าคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ จะเหมือนเดิม  เริ่มตั้งแต่ได้คนมาร่างรัฐธรรมนูญ ที่ล้วนแต่ไม่รู้เรื่องประชาธิปไตย ไม่เข้าใจว่า คำว่า ประชาธิปไตย นั้นหมายถึงอะไร ?   และเมื่อมีบทบัญญัติเดิมบัญญัติว่า 
 
<<<มาตรา ๒ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข>>>
 
ก็ควรจะได้มีความเข้าใจตรงกันจริง ๆ ก่อนจะบัญญัติเอาไว้ในรธน.ใหม่ ว่าในมาตรา 2 (ตลอดไปถึง มาตรา 3 -4-5 ด้วย) ว่ามีความหมายที่แท้จริงอย่างไร เข้าใจและตรงกันหรือไม่ โดยเฉพาะคำเทคนิกทางภาษา และหลักรัฐศาสตร์ คำว่า ประชาธิปไตย หมายความว่าอย่างไร คำว่า  พระมหากษัตริย์ทรงเป็ฯประมุข หมายความว่าอย่างไร
 
มาตรา 68 เดิม ระวังนะครับ ต้องมั่นใจว่าคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญมีความรู้พื้นฐานภาษาไทยเกินระดับ ป.4 หรือไม่ เพราะมีตัวอย่างที่น่าละอายอดสูใจมาแล้ว   ที่ศาลรัฐธรรมนูญ อันเก่าแก่ของประเทศนี้ ไม่เข้าใจคำว่า และ   คำว่า หรือ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร
 
เรื่องที่น่านำมาพิจารณาว่าจะบัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างไร จึงจะเป็นการส่งเสริม สร้างสรรค์ระบอบประชาธิปไตย ตามมาตรา 2 ไปได้ ก็คือ  คำว่า  ผู้บัญชาการทหารบก  คำนี้จะให้นิยามในประเด็นหน้าที่ ความรับผิดชอบของตำแหน่งนี้อย่างไร ?  ฐานะที่แท้จริงของ ผู้บัญชาการทหารบก คืออะไรแน่ ?  ก็ควรบัญญัติลงไปให้ขัดเจนเสียที
 
 
 
ในเรื่องประชาธิปไตยไทย ปัญหาประการสำคัญก็คือ   ก็ยังคงมีคนในวงการวิชาการ และในหน่วยงาน สถาบันของรัฐชั้นสูงฟังพระราชดำรัสเกี่ยวกับประชาธิปไตยไม่ออก    เราจะขอยกพระราชดำรัสนั้นมาเฉพาะตอนสำคัญ ที่ทรงยืนยันว่า ประเทศไทยจะต้องเป็น ประชาธิปไตย   ดังนี้ ……………….
 
<<<ในปัจจุบันนี้มีปัญหาด้านกฎหมายที่สำคัญมาก คือว่าถ้าไม่ได้ปฏิบัติ จะปฏิบัติตามที่ท่านได้ปฏิญาณว่าจะทำให้ประเทศชาติปกครองได้โดยแบบประชาธิปไตย. คือ เวลานี้ มีการเลือกตั้งเพื่อให้มีการปกครองแบบประชาธิปไตยนั่นเอง. แต่ถ้าไม่มีสภาที่ครบถ้วน ก็ไม่ใช่การปกครองแบบประชาธิปไตย.
 
เดี๋ยวนี้ยุ่ง เพราะว่าถ้าไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีทางจะปกครองแบบประชาธิปไตย. มีของเรามีศาลหลายชนิด มากมาย แล้วมีสภาหลายแบบ และก็ทุกแบบนี่จะต้องเข้ากัน ปรองดองกัน และคิดทางที่จะแก้ไขได้. นี่พูดเรื่องนี้ค่อนข้างจะประหลาดหน่อย ที่ขอร้องอย่างนี้. แล้วก็ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเขาก็บอกว่าต้องทำตามมาตรา 7 มาตรา 7 ของ รัฐธรรมนูญ. ซึ่งขอยืนยัน ยืนยันว่า มาตรา 7 นั้น ไม่ได้หมายถึงให้มอบให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจที่จะทำอะไรตามชอบใจ ไม่ใช่. มาตรา 7 นั้น พูดถึงการปกครองแบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ได้บอกว่าให้พระมหากษัตริย์ตัดสินใจทำได้ทุกอย่าง. ถ้าทำ เขาจะต้องว่าพระมหากษัตริย์ทำเกินหน้าที่. ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยเกิน ไม่เคยทำเกินหน้าที่. ถ้าทำเกินหน้าที่ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย.>>>
 
จาก พระราชดำรัส
ในโอกาสที่ประธานศาลฎีกา (นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ) นำผู้พิพากษาประจำศาล สำนักงานศาลยุติธรรม เฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่
ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล
วันอังคาร ที่ 25 เมษายน 2549
(อย่างไม่เป็นทางการ)
 
 
   
<<<ข้าพเจ้ามีความเดือดร้อนมาก ที่เอะอะอะไรก็ขอพระราชทานนายกพระราชทาน ซึ่งไม่ใช่การปกครองแบบประชาธิปไตย. ถ้าไปอ้างมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ เป็นการอ้างที่ผิด. มันอ้างไม่ได้. มาตรา 7 มี 2 บรรทัดว่า อะไรที่ไม่มีในรัฐธรรมนูญ ก็ให้ปฏิบัติตามประเพณีหรือตามที่เคยทำมา ไม่มี เขาอยากจะได้นายกพระราชทานเป็นต้น. จะขอนายกพระราชทานไม่ใช่เป็นเรื่องการปกครองแบบประชาธิปไตย เป็นการปกครองแบบ ขอโทษพูด แบบมั่ว แบบไม่มี ไม่มีเหตุมีผล. สำคัญอยู่ที่ท่านที่เป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา มีสมองที่ ที่แจ่มใส สามารถ ควรที่จะสามารถที่จะไปคิดวิธีที่จะปฏิบัติ. คือ ปกครองต้องมี ต้องมีสภา สภาที่ครบถ้วน ถ้าไม่ครบถ้วน เขาว่าไม่ได้. แต่ก็เขา แต่อาจจะหาวิธีที่จะ ที่จะตั้งสภาที่ไม่ครบถ้วน และทำงาน ทำงานได้. ก็รู้สึกว่ามั่วอย่างที่ว่า. ต้องขอโทษอีกทีนะ ใช้คำว่ามั่ว ไม่ถูก ไม่ทราบใครจะทำมั่ว แต่ว่าปกครองประเทศมั่วไม่ได้ ที่จะคิดอะไรแบบ แบบว่าทำปัดๆ ไป ให้เสร็จๆ ไป. ถ้าไม่ได้ เขาก็โยนให้พระมหากษัตริย์ทำ ซึ่งยิ่งร้ายกว่าทำมั่วอย่างอื่น เพราะพระมหากษัตริย์ ไม่ ไม่มีหน้าที่ที่จะไปมั่ว.ก็เลยขอร้องฝ่ายศาลให้คิดช่วยกันคิด.>>>
 
จาก พระราชดำรัส
ในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ประธานศาลปกครองสูงสุด (นายอักขราทร จุฬารัตน) นำตุลาการศาลปกครองสูงสุด เฝ้า ฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่งหน้าที่
ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล
วันอังคาร ที่ 25 เมษายน 2549
(อย่างไม่เป็นทางการ)
 
ซึ่งมีข้อสังเกตเบื้องต้นก็คือ  ทรงมีรพะราชดำรัสอันชัดเจนเกี่ยวกับประชาธิปไตยนี้ไม่กี่ปีมานี้เอง  เราขอเพียงกล่าวว่า พระราชดำรัสนี้ มีความชัดเจนมาก ในเรื่องประชาธิปไตย ในที่นี้ ทรงตำหนิ การที่คิดการอะไรไม่ถูกต้องตามหลักประชาธิปไตย ที่พระองค์ทรงตรัสถึงสภาว่า 
 
<<<ถ้าไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีทางจะปกครองแบบประชาธิปไตย.>>>  
 
ก็นำไปสู่ข้อสรุปในตัวพระราชดำรัสเองอยู่ที่ว่า ถ้าไม่มีสภาผู้แทนราษฎร คุณก็เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ ไม่ชอบด้วยประชาธิปไตย นั่นเอง เป็นความหมายที่ตรงกับหลักการประชาธิปไตย(ตามหลักรัฐศาสตร์)อย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว และสิ่งที่พระองค์ทรงขอร้องก็คือ ควรทำสภาให้ครบถ้วน เพื่อที่จะได้มีนายกรัฐมนตรีที่ครบถ้วน หากไม่เช่นนั้นก็จะพยายามเลี่ยงไปทำสิ่งที่ผิด ที่ไม่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย นั่นคือ พยายามให้ได้นายกรัฐมนตรีมาด้วยจากวิธีอื่น ที่ไม่มาจากสภาที่ครบถ้วน แต่พยายามจะไปอ้างอย่างอื่นที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งในที่นี้ก็คือ มาตรา 7 (แม้ล่าสุด หลังในหลวงทรงตรัสแล้ว ก็ยังมีนายพลแก่ ๆ คือ พล.อ.เปรม ตินสูลานนท์ ประธานองค์มนตรี และ พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีต ผบ.สส. ที่ตั้งตนเป็นรัฐบุรุษ man of state  พยายามจะให้ไล่นายกฯคนปัจจุบันออก แล้วตั้งนายกฯคนใหม่โดยอาศัยมาตรา7อยู่ อันแสงดงว่า 2 นายพลเฒ่านี้ ฟังพระราชดำรัสในหลวงไม่เข้าใจเลย) ฟังอีกทีการอ้างนายกฯมาจาก มาตรา 7 ซึ่งทรงตรัสไว้ชัดเจนว่า
 
<<<ซึ่งขอยืนยัน ยืนยันว่า มาตรา 7 นั้น ไม่ได้หมายถึงให้มอบให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจที่จะทำอะไรตามชอบใจ ไม่ใช่. มาตรา 7 นั้น พูดถึงการปกครองแบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ได้บอกว่าให้พระมหากษัตริย์ตัดสินใจทำได้ทุกอย่าง. ถ้าทำ เขาจะต้องว่าพระมหากษัตริย์ทำเกินหน้าที่. ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยเกิน ไม่เคยทำเกินหน้าที่. ถ้าทำเกินหน้าที่ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย.>>>
 
โปรดสังเกตด้วยว่า ทรงตรัสคำว่า ยืนยัน ซ้ำ เป็น 2 ครั้ง ลองอ่านซ้ำข้อความนี้อีกทีนะครับ
 
<<<ซึ่งขอยืนยัน ยืนยันว่า มาตรา 7 นั้น ไม่ได้หมายถึงให้มอบให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจที่จะทำอะไรตามชอบใจ ไม่ใช่. มาตรา 7 นั้น พูดถึงการปกครองแบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ได้บอกว่าให้พระมหากษัตริย์ตัดสินใจทำได้ทุกอย่าง. ถ้าทำ เขาจะต้องว่าพระมหากษัตริย์ทำเกินหน้าที่. ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยเกิน ไม่เคยทำเกินหน้าที่. ถ้าทำเกินหน้าที่ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย.>>>
 
 
 
อีกตอนหนึ่งที่ทรงตรัสตรงไปตรงมาว่า
 
<<<สำคัญอยู่ที่ท่านที่เป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา มีสมองที่ ที่แจ่มใส  สามารถ  ควรที่จะสามารถ ที่จะไปคิดวิธีที่จะปฏิบัติ. คือ ปกครองต้องมี ต้องมีสภา สภาที่ครบถ้วน ถ้าไม่ครบถ้วน เขาว่าไม่ได้. แต่ก็เขา แต่อาจจะหาวิธีที่จะ ที่จะตั้งสภาที่ไม่ครบถ้วน และทำงาน ทำงานได้. ก็รู้สึกว่ามั่วอย่างที่ว่า.>>>
 
นั่นคือ ประชาธิปไตยต้องมีสภาที่ครบถ้วน ถ้าไม่ครบถ้วนก็เป็นประชาธิปไตยไม่ได้  
 
คำว่าสภาที่ครบถ้วน ก็เห็นอยู่ว่าระบบของเรา มี 2 สภา อยู่แล้ว คือต้องมีทั้งวุฒิสภา และ สภาผู้แทนราษฎร คุณจึงจะตั้งนายกรัฐมนตรีได้ ถ้าไม่ครบถ้วน เขาว่าไม่ได้ ตั้งไม่ได้   แต่ก็มีคนและพรรคการเมือง คือพรรคประชาธิปัตย์พยายามจะตั้ง นายกฯ จากวุฒิสภา(พรรคนี้เคยตั้งนายกในค่ายทหารมาแล้ว)   หาเล่ห์ หากลที่จะตั้งนายกฯ จากสภาที่ไม่ครบถ้วนให้ได้ มันจึงมั่ว (คืออยากเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่มีสภาที่ครบถ้วน ก็อุตส่างห์พยายามทำไปผิด ๆ คือพยายามจะทำสภาให้ไม่ครบถ้วน แล้วลากสภาที่ไม่ครบถ้วนนั้นจะให้มาตั้งนายกฯให้ได้   นี่แหละ มั่ว ฟังพระดำรัสต่อไปอีก
 
 
<<<มาตรา 7 นั้น พูดถึงการปกครองแบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ได้บอกว่าให้พระมหากษัตริย์ตัดสินใจทำได้ทุกอย่าง. ถ้าทำ เขาจะต้องว่าพระมหากษัตริย์ทำเกินหน้าที่. ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยเกิน ไม่เคยทำเกินหน้าที่. ถ้าทำเกินหน้าที่ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย.>>>
 
คำว่า ทำเกินหน้าที่ ทรงตีความว่า ถ้าทำเกินหน้าที่ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย 
ตรงนี้ต้องการคนอ่านหนังสือออกและตีความได้
 
มีสถาบันไหนที่ชอบก้าวก่ายอำนาจสถาบันอื่น ๆ มานานแล้ว ทั้ง ๆ ที่หลักการประชาธิปไตย เขาให้อำนาจเสมอกัน  ถึงขนาดทำตนเป็นนายเหนือหัวอำนาจอื่น  อาจตัดสินไล่ออก ปลดออก ลงโทษ คนสถาบันอื่นมาแล้ว (ขนาดไล่นายกฯสมัคร ออก โดยไม่มีบทหรือศัพท์ทางกฎหมายรองรับเลยก็ยังทำได้) มันไม่เป็นประชาธิปไตยอยู่แล้ว ไม่เห็นหรือ?
 
ลองคิดดูดี ๆ ระหว่างอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และ ตุลาการ   ลองคิดดูดี ๆ   แม้ขณะนี้ก็ยังฟังคำว่า ทำเกินหน้าที่ไม่เข้าใจ ฉะนั้น ไปฟังกันดี ๆ อีกครั้งหนึ่ง
 
<<<มาตรา 7 นั้น พูดถึงการปกครองแบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ได้บอกว่าให้พระมหากษัตริย์ตัดสินใจทำได้ทุกอย่าง. ถ้าทำ เขาจะต้องว่าพระมหากษัตริย์ทำเกินหน้าที่. ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยเกิน ไม่เคยทำเกินหน้าที่. ถ้าทำเกินหน้าที่ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย.>>>
 
ยังหมายความรวมไปถึง การที่ทรงรับว่า ประชาธิปไตยนั้น พระมหากษัตริย์ย่อมอยู่ใต้กฎหมาย ด้วย
 
 
ทางหนังสือพิมพ์ดี รู้สึกว่าเป็นพระมหากรุณาต่อระบอบประชาธิปไตยอย่างยิ่งที่ได้ทรงมีพระราชดำรัสสำคัญเอาไว้ถึงสองครั้งสองครา อันเน้นย้ำเข้าไปสู่หลักการปกครองของประเทศที่เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ แท้จริง   โปรดอ่านพระราชดำรัสซ้ำ ๆ อีกหลาย ๆ ครั้ง แล้วจะเข้าใจ ดังกล่าว
 
 
 
เพื่อความเข้าใจในเรื่องการปกครองประชาธิปไตยและเรื่องศักดิ์ศรีของรัฐบาลยุคนี้ ในดีเล่มนี้ เราจึงได้นำเอาบทวิจารณ์ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ มาลงไว้หลายเรื่องหลายแง่มุมซึ่งค่อนข้างอธิบายไว้อย่างละเอียด ตามที่จะได้พบในลำดับต่อไป ซึ่งเป็นที่ปรากฏทั่วไปในเวบบอร์ดของ เวบไซต์ของเรา คือ http//www.newworldbelieve.com โปรดติดตามต่อไป   
 
 
 
 
 
 
 
 
บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี  พุทธศักราช 2556
 
 และในลำดับต่อไปนี้ ก็เป็นเรื่องการประกาศบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2556  บัดนี้ เรามีความยินดีที่จะประกาศเกียรติคุณ บุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ประจำปีพุทธศักราช 2556 ดังนี้
 
 
1. บุคคลที่ 116   ศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน
 
สิ่งที่ท่านต่อสู้นั้นคือ กฎหมายเพื่อประชาธิปไตย กฎหมายเก่าที่ไม่เป็นไปเพื่อประชาชน โดยประชาชน และของประชาชน จะต้องถูกชำระไป   เราได้บันทึกถึง ศ.ดร.อุกฤษ มงคลนาวินไว้ใน หน้ารวมกลุ่มเว็บบอร์ด > บันทึกวีรกรรมหลายหลากของเสรีชนยุคที่ต่อสู้อย่างเข้มเพื่อประชาธิปไตย 2557 > ศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน...
ศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน เสาหลักของกฎหมายไทย  ท่านประกาศว่าต้องปฏิรูปกฎหมายไทยทั้งหมดเสียใหม่   ผู้ประกาศตนเป็น รัฏฐาธิปัตย์ .....ถึงมาออกตัวทีหลังว่าทำเล่น ๆ ...แต่องค์ประกอบความผิดครบถ้วนแล้ว   เป็นความผิดสำเร็จแล้ว แล้วแต่ฝ่ายกม.บ้านเมืองจะจัดการต่อไป  การใช้ทฤษฎีสมคบคิดกันทำลายล้างระบอบและรัฐบาลประชาธิปไตย จะทำได้อย่างไร เพราะไม่มีกฎหมายช่องไหนอาจจะทำได้   แม้กระทั่งพยายามจะใช้มาตรา 7 ก็ไม่อาจจะทำได้ คุณจะอ้างกฎหมายมาตราไหน   จะผ่านวุฒิสภา   ก็ยาก ไม่มีช่อง   จะดื้อด้านไปได้อย่างไร และท่านยังกล่าวคำนิยมคคนเสื้อแดงว่า คนเสื้อแดงเป็นคนตรงไปตรงมามาก ชอบ  ผู้ตั้งกระทู้ สุไหงปาดี ชินะกุล :: วันที่ลงประกาศ 2014-04-12 09:04:59
 
ความเห็นที่ 1 (3389886
 # อุกฤษแนะกรณีสอยนายกฯหากปชช.ไม่เห็นด้วยล่า 2 หมื่นชื่อถอดศาลรธน.ตามม.164.........DNN 8 พ.ค.2557 10:47:00    ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2014-05-08 20:30:10
 
เราเห็นว่า ท่านศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน ได้ประกาศสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ เพื่อที่จะรองรับการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยไทย นั่นคือ ท่านประกาศว่าต้องปฏิรูปกฎหมายไทยทั้งหมดเสียใหม่ เรามองว่าในระยะปัจจุบันนี้ มีอันตรายจากการตีความกฎหมายไทยอย่างน่ากลัวมาก ฝ่ายเผด็จการเมื่อได้อำนาจ ย่อมตีความกฎหมายไปให้โทษอย่างร้ายแรงต่อฝ่ายประชาธิปไตยโดยไร้เหตุผล แต่ก็ย่อมเป็นไปตามธรรมชาติของระบอบเผด็จการที่จะเป็นไปเช่นนั้น ตีความกฎหมายไปเช่นนั้น และครั้นฝ่ายประชาธิปไตยได้อำนาจเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย ย่อมตีความกฎหมายในแบบเดียวกันกับเผด็จการนั่นแหละ โดยตีความให้โทษฝ่ายเผด็จการไปอย่างเต็มตัวเช่นเดียวกัน  แต่ต่างกันที่เหตุผลและเจตนาของการตีความเท่านั้น ฉะนั้น ไม่มีทางอื่นที่สังคมไทยจะทำอะไรเกี่ยวกับการปฏิรูปกฎหมายไทยทั้งหมดเสียใหม่โดยแนวคิดท่าน ศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน นี้ คือ จะต้องปฏิรูปกฎหมายไทยทั้งหมดเสียใหม่ โดยดูกฎหมายเผด็จการ ที่รับใช้เผด็จการอันยาวนานมาแล้วในประเทศไทยนี้ แล้วปฏิรูปให้เป็นแนวคิดของระบอบที่ก้าวหน้า คือประชาธิปไตยเสียทั้งหมด ก็จะเป็นเหตุของความก้าวหน้าครั้งใหญ่ครั้งสำคัญของระบอบประชาธิปไตยไทยได้   นั่นเป็นสิ่งที่หนังสือพิมพ์ดีเห็นควรยกย่องท่านศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน ให้เป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี พุทธศักราช 2556
 


 
2. บุคคลที่ 117  โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม  Robert Amsterdam  ทนายเสื้อแดง
 
เขายืนยันว่า จะไม่มีการให้อภัย ในระบบกฎหมายเพื่อประชาธิปไตย กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นจะต้องได้รับการพิจารณาตัดสินโดยขบวนการกฎหมายประชาธิปไตย เพื่อดำรงหลักการปกครองให้ตรงไปตรงมา จึงจะเป็นการยุติธรรม โดยหลักแห่งความยุติธรรม เป็นธรรมตามการประกอบกรรมของบุคคล สำหรับเหตุผลที่เรายกย่อง โรเบิด อัมสเตอร์ดัม เป็นบุคคลแห่งปีของเรานั้น ได้มีการบันทึกไว้แล้วโดยประยุกต์ นามเสพเป็นผู้บันทึกในเวบบอร์อดของเรา ซึ่งเราเห็นด้วยกับเหตุผลของประยุกต์ นามเสพ ดังนี้  
หน้ารวมกลุ่มเว็บบอร์ด > บันทึกวีรกรรมหลายหลากของเสรีชนยุคที่ต่อสู้อย่างเข้มเพื่อประชาธิปไตย 2557 > Robert Amsterdam ทนายเสื้อแดง Robert Amsterdam ทนายเสื้อแดง อัมสเตอร์ดัม ให้ไทยรับศาลไอซีซี 
ทนายเสื้อแดง โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ยังคงทำหน้าที่ ....บอกว่า ถ้ารับอำนาจศาลไอซีซี ไทยจะเอาคดีใดขึ้นก็ได้   สำหรับคดีอภิสิทธิ์-สุเทพ ก็ขึ้นได้ ถึงเวลาที่รัฐบาลจะประกาศชัดเจน รับอำนาจศาล ศาลในประเทศทำอะไรไม่ได้ ก็มีศาลต่างประเทศ รัฐบาลกำลังถามไปว่ารัฐบาลรักษาการณ์รับรองได้หรือไม่ ? ทางศาลยังไม่ตอบมา รออยู่   ผู้ตั้งกระทู้ ประยุกต์ นามเสพ :: วันที่ลงประกาศ 2014-04-14 00:02:10
[1] 
ความเห็นที่ 1 (3390142) 
 เขาเป็นคนมีแนวคิดวิทยาศาสตร์ คนทำผิดต้องได้รับการลงโทษ ไม่มีการอภัย   เขาคัดค้านการอภัยโทษ   นี่คือยอดทนายความระบอบประชาธิปไตย แนวคิดประชาธิปไตย ในขณะเดียวกันที่คนไทยโลเล    ไร้เหตุผล คิดจะช่วยงูเห่า โดยอ้างว่าเพื่อเมตตาธรรม ...   นั่คือความคิดไม่เป้นวิทยาศาสตร์    และไม่ตรงกับหลักกรรมในพระพุทธศาสนา ที่   ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว   ทำผิดต้องได้รับการลงโทษ ทำดีได้รางวัลเสมอ ผู้แสดงความคิดเห็น ประยุกต์ นามเสพย์ วันที่ตอบ 2014-05-14 21:00:17
สิ่งที่เราให้คะแนนแด่โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม นั้นคือภาคความคิดของเขา ที่มีความมั่นคงในสัจธรรมของความยุติธรรม นั่นคือคนทำถูกจะต้องได้รับรางวัล คนทำผิดจะต้องได้รับการลงโทษ ตรงหลักการปกครองในพุทธศาสนาว่า นิคฺคณฺเห นิคฺหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ : พึงข่มบุคคลควรข่ม พึงชมบุคคลควรชม นั่นเองแหละเป็นความยุติธรรมในโลก   และซึ่งแท้จริงเป็นหลักกรรมในพระพุทธศาสนา แต่สังคมไทยมักโลเล เป็นสังคมสับสนในธรรมะ เมื่อจะลงโทษคนผิด สังคมไทยกลับนึกถึงความเมตตา ไปกันคนละเรื่องไปนู้น อย่างนี้เป้นต้น (ฝากับตัวไม่ตรงกัน) เราคิดว่า อัมสเตอร์ดัม ได้มีความเข้าใจสังคมโลเลของชาวพุทธไทยเช่นนี้ เขาจึงยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า กรณีเข่นฆ่าประชาชน 92 ศพ เดือน เมษายน-พฤษภาคม 2553 นั้น ไม่มีวันจะให้อภัยได้ ถ้าศาลภายในประเทศทำอะไรไม่ได้ เขาก็จะต้องนำสู่ศาลสากล เช่น ไอซีซี ให้ได้ เป็นต้น  นั้นแหละหลักความยุติธรรมสากล และวิธีให้คนเลวเข็ดหลาบ เราจึงเห็นควรยกย่อง โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม เป็นบุคคลแห่งปี พุทธศักราช 2556 ไว้ ณ ที่นี้
 
 
 
3.  บุคคลที่ 118  พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย 
 
นายทหาร นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผู้สืบสานงานปฏิรูปประชาธิปไตย ตามแบบ พ.อ.พระยาพหล พลพยุหเสนา ยุคปฐมสร้างประชาธิปไตย พ.ศ.2475 และท่านผู้นี้ได้ประกาศบนเวทีประชาธิปไตย ถนนอักษะไว้ว่า ขอตายเป็นศพสุดท้าย เพื่อประชาธิปไตยไทยเจริญรุดหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง  โดยสถาวร ผดุงศิษย์ ได้จารึกเอาไว้ในหน้ารวมกลุ่มเว็บบอร์ด > บันทึกวีรกรรมหลายหลากของเสรีชนยุคที่ต่อสู้อย่างเข้มเพื่อประชาธิปไตย 2557 >ว่า  พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย ประกาศ..พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย ประกาศขอตายศพสุดท้ายของเสื้อแดง บนเวทีอักษะ วันนี้(18 พ.ค.2557) จะขอสู้ร่วมกับชาวเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย ตายกีคน ๆ แดงไม่ระย่อ ขอสู้จนตัวตายเป็นศพสุดท้าย รายงานว่า สันติบาลตรวจสอบแล้ว แดงมาชุมนุม วานนี้(17 พ.ค.2557) 4แสน 2 หมื่น วันนี้(18 พ.ค.2557)  4 แสน 8 หมื่นคน
ผู้ตั้งกระทู้ สถาพร ผดุงสิทธิ์ :: วันที่ลงประกาศ 2014-05-18 19:42:40 และ ณ วันที่เราบันทึกนี้(21 ต.ค.2557) พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย ได้ก้าวล่วงไปแล้ว มีรายงานข่าวว่า พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย ได้เดินทางไปต่างประเทศ ตั้งแต่ช่วงเวลาต้น ๆ ของทหารยึดอำนาจรัฐบาลประชาธิปไตยในไทย  แล้วท่านได้ล้มป่วยลงด้วยโรคปอดติดเชื้อ จนที่สุดถึงแก่ชีวิตลงในต่างประเทศ คือ ฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 6 ต.ค.2557 เวลา 22.00 น. อายุ 65 ปี  ทางญาติ(รวมทั้งเสื้อแดงไทย)ได้นำศพกลับมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและได้นำศพสวดบำเพ็ญกุศลศพ ณ วัดบางไผ่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เป็นเวลาหลายวันก่อนจัดมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ โดยมีอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นประธานในพระราชพิธีฌาปนกิจศพ เรามีความเห็นว่า ความหวังไม่น่าจะเกินจริงเมื่อ พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย กล่าวเอาไว้แล้วว่า ขอเป็นศพสุดท้าย ซึ่งหมายความว่าเมื่อถึงวาระที่ท่านตายลงไปแล้ว ต่อไปข้างหน้าประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตย แล้วไม่มีเผด็จการทหารโง่เง่าเข้ามาแทรกแซงอีก ต่อไปประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตย และเดินการเมืองโดยการเมืองโดยกระบวนการประชาธิปไตยล้วน ๆ ประชาธิปไตยไทยเจริญอย่างได้มาตรฐานประชาธิปไตยต้นแบบที่แท้จริงเยี่ยงประเทศที่เจริญทั้งหลายซีกโลกอเมริกา และตะวันตก เราเห็นว่าปณิธานอันนี้ของ พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก สมควรยกย่องท่านเป็นบุคคลแห่งปี พ.ศ.2556 ของนสพ.ดี(อินเทอเนต)
 
 
 
4. บุคคลที่ 119  นายกมล ดวงผาสุก หรือ ไม้หนึ่ง ก. กุณฑี
 
กวีเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย เพราะเหตุที่เขาเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผู้ทำงานศิลปะ เขาเคลื่อนไหว ด้วยการเขียน อ่าน บทกวี อันเพียบด้วยสาระและคำแหลมคม ปราศรัยบนเวทีและบทสัมภาษณ์ ที่สร้างสรรค์ประชาธิปไตยไปกับคนเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย อย่างไม่เคยหยุดหย่อนและย่อท้อต่ออุปสรรคและศัตรูหมู่อมิตรที่จ้องมองอยู่รอบกาย   จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต ที่ถูกมือมืดเผด็จการยิงสังหารเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2557 ณ บริเวณลานจอดรถ หน้าร้านอาหารครกไม้ไทยลาว ย่านลาดปลาเค้า 24 ลาดพร้าว กทม. เรามองว่า ไม้หนึ่งก.กุณฑี นี้เป็นคนธรรมดา ๆ คนหนึ่งเหมือนคนทั้งหลาย นี่เอง แต่เมื่อมีสำนึกของประชาธิปไตยคือมีคำว่า Liberty   Equality   Fraternity  ในจิตใจแล้ว  เขาก็ไม่ใช่เพียงคนธรรมดา ๆ แต่เป็นผู้นำคนผู้มีอิสรภาพอันยิ่งใหญ่ และรู้ซึ้งในคุณค่าของประชาธิปไตย จนกระทั่งมองว่าแม้ชีวิตก็สละเพื่อประชาธิปไตยได้   นี่คือคุณค่าอันสำคัญล้ำเลิศที่เรามองเห็นจากเขา และเห็นสมควรยกย่อง นายกมล ดวงผาสุก หรือ ไม้หนึ่ง ก.กุณฑี ว่าเป็นบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดี ปีพุทธศักราช 2556
 
 
 
 
เราจึงขอยกย่องว่า ศ.ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม [Robert Amsterdam]  พ.อ.ดร.อภิวัน วิริยะชัย  กมล ดวงผาสุก หรือ ไม้หนึ่ง ก.กุณฑี เป็นบุคคลแห่งปีพุทธศักราช 2556 ของหนังสือพิมพ์ดี หวังว่าเกียรติอันสูงส่งของท่านเหล่านี้จักขจรขจายไปทั่วโลกและสถิตสถาวรไปชั่วนิรันดร์กาล 
 
 
 
บรรณาธิการ
15 ต.ค.2557
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว
ยกมาจากเวบไซต์ www.newworldbelieve.com รวมบทความทุกบทความในเวบนี้
บันทึกมติปชป.ให้สส.ลาออก ถึง ยิ่งลักษณ์ยุบสภา

 บันทึกประเทศไทย วาระที่ 2 

 
8 ธ.ค. 2556   
พรรคปชป.มีมติให้สส.ลาออกทั้งพรรค จำนวน 153 คน เพื่อปฏิบัติการโจรกรรมเคลื่อนขบวนมวลชนที่หลงผิดนอกสภาเข้ายึดครองประเทศไทย ให้สำเร็จเด็ดขาด  โดยนายสุเทพ นัดการเคลื่อนมวลชนไปปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล เวลา 09.39 น. วันที่ 9 ธ.ค.2556 นายสุเทพยังประกาศว่า หากไม่สำเร็จในวันนี้ก็จะขอมอบตัวสู้คดี ขอเข้าคุกแทนโดยไม่มีเงื่อนไขใดใด
 บทวิเคราะห์ 
ในเมื่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ  ได้กลายเป็นผู้ต้องหากบฎแผ่นดินไปตามกฎหมาย ตั้งแต่พาพวกเข้ายึดสถานที่ราชการ นับตั้งแต่กระทรวงการคลัง จนถึงยึดศูนย์ราชการไทยมาจนบัดนี้แล้ว  สส.ปชป. และพรรค ปชป.ทั้งพรรค ได้มาทำการสนับสนุน ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้กระทำผิด เช่นนี้  ก็ย่อมมีความผิดตามไปด้วยตามข้อกำหนดของกฎหมาย   ประชาชนทั้งปวง จำต้องเข้าใจหลักการปกครองประเทศ  ที่จำเป็นต้องปกครองไปตามกติกา นั่นคือประเทศชาติ สังคม ปรารถนาที่จะอยู่กันอย่างสงบ  ทำมาหากินไปตามสติปัญญาความสามารถ และมีรัฐบาล คอยปกป้องดูแล ให้สถานการณ์ของประเทศโดยรวมอยู่ในสถานการณ์ที่เอื้อแด่ชีวิตของประชาชนทั้งปวง ที่จะดำเนินชีวิตไปตามปกติมนุษย์ชน เมื่อมีผู้กระทำผิดซึ่งหมายถึงทำผิดกติกาที่ตกลงกันเอาไว้แล้วก็จำเป็นที่รัฐจะต้องดำเนินการไปตามข้อกำหนดกฎเกณฑ์หรือกฎหมาย เพื่อให้เกิดการเข็ดหลาบ  ให้ยืนยันในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบ ปราศจากการกดขี่ ระราน เอารัดเอาเปรียบกันในสังคม  บัดนี้นายสุเทพ และพรรคประชาธิปัตย์ นอกจากทรยศต่อกฎกติกาการปกครองแล้ว ยังทรยศต่อระบอบการปกครองของประเทศตามรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดไว้ว่า ประเทศไทยจะต้องมีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  สถานะของพรรค ปชป.วันนี้จึงเป็นสถานะที่เป็นกบฎและผู้ให้ความช่วยเหลือสนับสนุนอย่างสมบูรณ์  เป็นการยกระดับความผิดจากเดิมที่ได้มีพฤติกรรมอันธพาลมาแต่เดิม แล้วบัดนี้ได้ยกระดับสู่สถานะการประพฤติตนเป็นโจรของประเทศชาติโดยสมบูรณ์   ประชาชนทั้งปวงที่รักความเป็นธรรม  ที่ตระหนักในหน้าที่ของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ผู้รักและหวงแหนประชาธิปไตย อันหมายถึงสิทธของตนตามระบอบนี้ จะต้องลุกขึ้นโดยพร้อมเพียงกัน รับทราบพฤติกรรมนี้ และให้ความร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อดำเนินการกล่อมเกลา ระงับพฤติกรรมโจรของพรรคประชาธิปัตย์ให้ค่อยสงบลง เราหวังว่าจะไม่ถึงต้องใช้กองทัพทั้งกองทัพ คงไม่จำเป็นถึงขนาดนั้น  เพียงกองกำลังตำรวจผู้มีหน้าที่โดยตรงในการรักษาความมั่นคงภายในของประเทศ.....อย่างไรก็ตามเหตุการณ์จะต้องสงบลงให้ได้ รัฐบาล รัฐสภาและมวลมหาประชาชนผู้ดำรงความเป็นธรรมย่อมชนะเสมอ และฝ่ายโจรกบฎพ่ายแพ้ไปอย่างเกลี้ยงบนแผ่นดินไทย  
  • สุไหงปาดี ชินะกุล
    8 ธ.ค.2556 23.30.30 น.
 
9 ธ.ค. 2556
07.00 น. ช่อง 11  สัมภาษณ์ รมว.สำนักนายกฯ   ว่าประชาชนอย่าวิตก รัฐบาลเตรียมทุกอย่างไว้พร้อม  ราชการทุกแห่งสามารถบริการประชาชนได้ตามปกติ.......รายงานสายการบินทุกสายยังบริการตามปกติ  แต่มีการเตือนให้เผื่อเวลาเดินทางไปยังสนามบินด้วย.....รายงานน้ำท่วมหลายจังหวัดภาคใต้ เช่นพัทลุง ตรัง ยะลา ...มีผู้เสียชีวิตแล้ว 2 คน
 
 
บทวิเคราะห์
 
การปฏิบัติหน้าที่ของสื่อไทย  ยังเห็นได้ว่าสื่อยังไม่เข้าใจหน้าที่ของตนดีพอ  นั่นคือมีบางส่วนที่ไม่เข้าใจหน้าที่ตามหลักวิชาการของสื่อ ในการที่จะ interpret ข่าวหรือข้อมูล(ส่วนที่เป็นการเสนอความเห็นหรือขยายความ ข้อมูลใดใดหรือข่าวใดใดออกไปให้ชัดเจนกระจ่างยิ่งขึ้นรวมทั้งการเสนอบทความใดใด ความคิดเห็นใดใด)   ซึ่งจะต้องระวังว่านอกจากต้องเป็นไปตามหลักวิชาการสื่อสารมวลชน นั่นคือตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงแล้ว  ยังต้องปฏิบัติตามกฎหมาย คือรัฐธรรมนูญด้วย  สื่อจะต้องเข้าใจรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะมาตราที่กำหนดเป็นความหมายสำคัญของการปกครองประเทศ  ในที่นี้คือมาตรา 2 ในรัฐธรรมนูญแทบทุกฉบับ แม้ฉบับปัจจุบัน ที่กำหนดว่า  ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  ในเมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดไว้แน่นอนเช่นนี้  สื่อจะต้องระวังในการแสดงความคิดเห็นหรือบรรยายขยายความใดใด  ที่เป็นไปอย่างไม่เข้าใจในระบอบประชาธิปไตย  และที่สื่อไม่อาจจะทำได้ในการ อินเทอเพรตข่าวก็คือ จะไปขยายความใดให้เป็นประโยชน์แก่ระบอบการปกครองที่ไม่พึงปรารถนาไม่ได้ ......น่าจะดูตัวอย่าง บีบีซี  อัลจาชีรา  วอยซ์ออฟอเมริกา  และล่าสุด ซีเอ็นเอ็น ที่สัมภาษณ์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าที่ปชป.ทำอย่างนี้เป็นการถูกต้องตามหลักประชาธิปไตยหรือและนายอภิสิทธิ์จนมุมอย่างน่าละอาย (เขาเป็นใบ้พูดไม่ออกอยู่ 5 วินาที)  ซึ่งจะเห็นว่า พื้นฐานของสื่อมวลชนสากล ล้วนตั้งอยู่บนหลักการว่า โลกต้องดำเนินไปตามระบอบประชาธิปไตย เขาจะไม่ออกความเห็นในเชิงสนับสนุนการก่อการร้าย ไม่ออกความเห็นเชิงปลุกระดมมวลชนนอกรัฐสภา  และไม่สนับสนุนระบอบเผด็จการอย่างเด็ดขาด  ซึ่งสถานการณ์ในประเทศไทยระหว่างนี้ มีข้อที่สื่อ รวมทั้งนักวิเคราะห์วิจารณ์ทั้งหลายจะต้องคำนึ่งและถือเป็นการปฏิบัติหน้าทีที่จะต้องถูกต้องตามหน้าที่ของตนและตามกฎหมาย
  • นายประชาธิปไตย
    9 ธ.ค.2556 07.45.55 
08.40 น.  
นายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร  เพื่อนำเสนอทางเลือกให้ประชาชน  จะกำหนดวันเลือกตั้งให้เร็วที่สุด   รัฐบาลพ้นจากตำแหน่ง แต่ยังรักษาการณ์ไปจนกว่าจะมีคณะรัฐบาลใหม่ ที่จะมาจากการเลือกตั้งคราวต่อไปนี้ มาแทน
 
 
 
 
 
 
องค์กรอิสระตัดสินนายกปู 7-8 พ.ค.2557จาก FB Phayap Panyatharo

Phayap Panyatharo

7 พฤษภาคม
 
The Thai constitution court judges the prime minister Yingluck to go off. I think nevermind.

ศาลรัฐธรรมนูญไทยได้ตัดสินนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ให้พ้นจากตำแหน่ง ข้าพเจ้าคิดว่า ไม่เป็นไร กับ กองประชาสัมพันธ์ เสรีไทใหม่ เพื่อประชาธิปไตย และ ช้างแดง ประชาธิปไตย (รูปภาพ 5 รูป)
 
 
 
 
1ถูกใจ ·  · แชร์
Ubon Chandachat, Sawang Chandachat, Phojphijcha Chando และ คนอื่นอีก 4 คน ถูกใจสิ่งนี้
 
Phayap Panyatharo
 
nevermind means nevermind
 
ไม่เป็นไร แปลว่า ไม่เป็นไร
   
 
Phayap Panyatharo
 
Tomorrow she'll face one more accusation about rice corruption. The red shirt knows what's its result. But I still say nevermind.
 
พรุ่งนี้ เธอก็ยังจะเผชิญอีกข้อหาหนึ่งเกี่ยวกับทุจริตข้าว ซึ่งคนเสื้อแดงรู้ว่าผลจะเป็นอย่างไรแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังคงจะพูดว่า ไม่เป็นไร
 
 
Phayap Panyatharo
 
Nevermind is really what reflects a noble heart. I assume the prime minister Ying Luck Shinawatra thinks the same thought with me and that reflects her noble heart. Noble heart means to cooperate with peace and non-violence by mean of democracy. The red shirt gains a great profit for they get a more noble heart with them. To lead all noble hearts, to fight with noble hearts and to win with all noble hearts by mean of democracy. Not for long and for ever.
 
คำว่าไม่เป็นไร แท้จริงได้สะท้อนถึง ดวงใจที่สูงส่ง ข้าพเจ้ายอมรับว่า นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีความคิดที่ตรงกับที่ข้าพเจ้าคิด นั่นก็ได้สะท้อนถึงดวงใจที่สูงส่ง ดวงใจที่สูงส่งหมายถึง ดวงใจที่เดินคู่ขนานไปกับ สันติภาพ และ ปราศจากความรุนแรง โดยวิถีทางประชาธิปไตย ชาวเชิร์ตแดง ได้กำไรอย่างมหาศาล เพราะเหตุที่ได้ดวงใจที่สูงส่งมาร่วมต่อสู้อีกดวงหนึ่ง เพื่อนำหมู่นักสู้ที่ต่อสู้ด้วยดวงใจอันสูงส่ง เพื่อการต่อสู้ด้วยดวงใจอันสูงส่ง และเพื่อชัยชนะพร้อมหมู่ผู้มีจิตใจอันสูงส่ง ไม่นานนักนี้ ชั่วนิรันดร
8 พฤษภาคม เวลา 10:52 น. · ถูกใจ
 
Phayap Panyatharo
 
The strategy will push your enemies to the opposite side. Non - violence will push them to violence. And that's a sign for you, the conquerer. A few may be destroyed but the most still live to fight to conquer. At last the war will end with the conquer of the noble red shirt.
 
ยุทธศาสตร์นี้จะผลักดันให้ศัตรูของท่านไปสู่ฝั่งตรงกันข้ามกับเรา สันติและอหิงสาจะผลักดันพวกมันไปสู่ความรุนแรงใช้ความรุนแรง นั่นแหละเป็นสัญญาณสำหรับท่านจักได้ชัยชนะแล้ว คนจำนวนน้อยของเราอาจจะถูกทำลายไป แต่คนส่วนใหญ่ยังอยู่และต่อสู้ต่อไปจนกว่าจะได้ชัยชนะ สงครามครั้งสุดท้ายจะจบลงด้วยชัยชนะของชาวเชิร์ตแดงผู้มีจิตใจสูงส่ง
8 พฤษภาคม เวลา 11:12 น. · ถูกใจ
 
 
Phayap Panyatharo
 
One more warning, strategies and tactics should be all created by wisdom...by head-heads. Wisdom...head-heads is the mean to win for all kinds of fighters in the world. Not physical strength.
 
มีข้อควรระวังเพิ่มเติมไปอีกอย่างหนึ่งครับ คือ ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีทั้งหลายทั้งปวงจะถูกสร้างขึ้นมาได้จากความฉลาดหรือจากหัวคิดสติปัญญาเท่านั้น ความฉลาดหรือหัวคิดสติปัญญานี้เองเป็นเครื่องมือของชัยชนะของนักสู้ทุกชนิดในโลกนี้ ไม่ใช่กำลังทางร่างกายครับ
8 พฤษภาคม เวลา 14:46 น. · ถูกใจ
 
 
Phayap Panyatharo
 
Exercise. How much the red shirt to meet in Agsa ? Let each one create a tactic then you'll get tactics as much as the number of the red shirts. If they come million then we get million tactics storing in each head. How exellent!!.
 
แบบฝึกหัด เชิร์ตแดงจะมาที่ถนนอักษะจำนวนเท่าไร? ขอให้แต่ละคนสร้างยุทธวิธีมาคนละยุทธวิธี แล้วคุณก็จะได้มียุทธวิธีหลายยุทธวิธีมากเท่ากับจำนวนผู้มาชุมนุม ถ้าเขามาจำนวนล้าน คุณก็จะมียุทธวิธีที่เก็บไว้ในสมองถึง 1 ล้านยุทธวิธี อะรจะวิเศษขนาดนั้น !!
18 ชั่วโมงที่แล้ว · ถูกใจ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
นิติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่รับใช้
 
 บทแทรกที่ 1   
 
รัฐธรรมนูญเถื่อน(รัฐธรรมนูญโจร) พ.ศ.2550  มีความบกพร่องเป็นอันมาก  เนื่องเพราะเขียนขึ้นอย่างสุกเอาเผากิน มีลักษณะสนองต่อระบอบเผด็จการ  ไม่ตรงไปตามหลักรัฐศาสตร์  และอ้างหลักรัฐศาสตร์ที่ไม่ถูกต้อง  ตัวอย่างเช่น 
1.   ไม่ได้ระบุถึงหลักการขององค์กรอิสระ ตามมาตรา 204 - มาตรา 258  ว่าเป็นองค์กรที่มาจากเจ้าของอำนาจอธิปไตย(คือประชาชน)อย่างไร  มีความเชื่อมโยงไปถึงเจ้าของอำนาจอธิปไตย(คือประชาชน) อย่างไร
2.  กรณีศาลรัฐธรรมนูญ (ตามมาตรา 204 - 217)  ได้ทำการตัดสินคดีที่สำคัญยิ่ง เป็นผลให้มีการถอดถอนนายกรัฐมนตรี 2 คนจากตำแหน่ง ยุบพรรคการเมือง 4 พรรคการเมืองอย่างง่ายดาย  เป็นองค์กรที่ไม่ได้ปฏิบัติงานและหรือตัดสินความไปโดยกฎหมาย ตามมาตรา 138(5) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ (เพราะยังไม่มีการบัญญัติกฎหมายนี้ มาบังคับใช้กับศาลรัฐธรรมนูญ แต่ศาลพิจารณาไปอย่างไม่มีกฎหมาย...อันเป็นการขัดทั้งหลักการรัฐศาสตร์และหลักการนิติศาสตร์ ในหลักรัฐศาสตร์นั้นหมายถึงการพิจารณาไปตามการอนุมัติแนวทางพิจารณาโดยประชาชน(หากผ่านสภาผู้แทนราษฎร)  อันจะแสดงถึงการเชื่อมโยงกับประชาชน ในระดับหนึ่ง  แต่ได้ปรากฎว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีพรบ.นี้ใช้เป็นแนวทางพิจารณาตัดสินความเลย  แต่ศาลรัฐธรรมนูญยังจะอาศัยสถานะอันไม่ชอบนี้ ทำการตัดสินคดีที่เสี่ยงต่อการต่อต้านคัดค้านของคนทั้งแผ่นดินต่อไปอีกคดีหนึ่ง คือคดีถวิล เปลี่ยนศรี .....
3.   องค์กร ปปช.   (ตามมาตรา 246-251) จำนวน 9 คน  ไม่มีความเสมอในมาตรฐานของหน้าที่  โดยข้อเท็จจริงมีกรรมการ 6 คน ที่ไม่ได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ปฏิบัติหน้าที่  จึงมีความลักลั่นในสถานะบุคคล  มองจากหลักรัฐศาสตร์องค์กรหรือหลักรัฐประศาสนศาสตร์แล้วแท้จริงเป็นการทุจริตชนิดหนึ่ง  ไม่สมควรจะได้ชื่อว่า ปปช.หรือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
4.   กล่าวมาเป็นตัวอย่าง  มีอีกหลายกรณีในรธน.2550 นี้ที่เขียนขึ้นอย่างอ้างหลักรัฐศาสตร์ที่ไม่ถูกต้อง  เช่น ในเรื่ององค์กรอิสระ อ้างไม่ถูกหลักการ ก็เลยบัญญัติองค์กรมากมายหลายองค์กร ทั้ง ๆ ที่แท้จริงควรมีอยู่เพียง 2 องค์กรเท่านั้นเอง คือ  กกต.  กับ องค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ   ในหมวดแนวนโยบายแห่งรัฐ ก็ถือว่าบัญญัติขึ้นมาโดยขัดหลักรัฐศาสตร์ว่าด้วยพรรคการเมือง และการเลือกตั้งโดยการเสนอนโยบายให้หลายหลาก...ทันยุคทันสมัย เพื่อการพิจารณาเลือกของประชาชนได้หลายหลาก ทันยุคทันสมัย .....  เป็นต้น (น่าดู กรณีนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ตลก.รธน.  มีเหตุผลที่คัดค้านไม่อนุมัติหลักการกู้เงิน 2 ล้าน ล. บาท ว่า รัฐบาลควรไปทำถนนลูกรังให้ทั่วประเทศก่อนดีกว่า  นั่นเป็นการสร้างหนี้สินมหาศาลแก่ประเทศ ลูกหลานต้องแบกรับภาระหนี้ไปเป็นศตวรรษ...ดูว่านโยบาย ตลก.รธน.เช่นนี้ มีประชาชนคนไหนรับได้บ้าง?...และดูว่าคนระดับนี้...เหมาะสมแก่การนั่งตรงนั้นอย่างไร   มิลากประเทศถอยหลังไปสู่ยุคไดโนเสาหรือ?)    
5.   ในเมื่อ รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นรัฐธรรมนูญเถื่อน รัฐธรรมนูญโจร  เมื่อมีองค์กรอิสระ  ก็พลอยเถื่อนไปด้วย นั่นคือขาดความชอบธรรมที่จะปฏิบัติหน้าที่อยู่แต่แรกแล้ว  ...และการพิจารณาไปตามรธน.เถื่อนที่อ้างหลักการรัฐศาสตร์ไม่ถูกต้องเลย จะเป็นเหตุให้เกิดการลุกฮือต่อต้านของประชาชน ขนาดใหญ่   ก็ควรจะพิจารณาตนเอง   ลดบทบาทลงเสีย   
  • สุไหงปาดี ชินะกุล
    24 เม.ย.2557  23.30.23 น. 
 
บทแทรกที่ 2
 
ท่านอ้างเสมอว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 เป็นรัฐธรรมนูญเถื่อน รัฐธรรมนูญโจร ถ้าเช่นนั้นท่านปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญเถื่อน รัฐธรรมนูญโจร ไปทำไม ?  ท่านก็ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญเถื่อน รัฐธรรมนูญโจรไปด้วย มิใช่หรือ?   ฉะนั้น ท่านเหมือนเกลียดตัวกินไข่  เมื่อได้ประโยชน์ก็สรรเสริญ  เมื่อไม่ได้ประโยชน์ก็ด่าว่ารัฐธรรมนูญเถื่อนรัฐธรรมนูญโจร ...?
 
นั่นเป็นคำถามที่บ่งบอกวิสัยที่คับแคบ ไร้เหตุผลอย่างยิ่ง
 
ก็เวลานั้น คุณเอากองกำลัง กองทหารทั้งกองทัพ มี สนธิ บุณยรัตนกลิน(ปลดยศ พล.อ.แล้ว) ที่คุมกองกำลังอาวุธทับดิน...ทับน้ำ...ทับลม....ทั้ง3กองทับมาปลดจี้เราให้ออกไป  มึงไม่ออกไปกูจะเป่าขมองมึงให้ดับดิ้นลงเดี๋ยวนี้ (ถ้าคุณไม่ไป คุณคิดหรือว่ามันจะไม่เป่าขมองคุณ)   ตั้ง คมช.แล้วร่างกฎเถื่อนนี้ขึ้นมา.....คมช.มันก็เลือกเอาคนของมันทั้งนั้น ไปสุมหัวกันที่สนามม้า  มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ที่ว่าเก่งกฎหมายนั่นแหละมาเขียนกติกาโจรขึ้นมา  แล้วประกาศออกไปทั่วราชอาณาจักรว่า บัดนี้ให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าทุกองค์กร ทุกส่วนราชการงานเมือง    ถือปฏิบัติตามกฎใหม่นี้ ....ก็นี่แหละรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ...รัฐธรรมนูญเถื่อน  รัฐธรรมนูญโจร 
 
ไม่เคยดูหนังโรมันยุคเรืองอำนาจบ้างหรือไร ?   นับตั้งแต่ยุคพระเยซู แห่งศาสนาคริสต์  มา   เวลาโรมันแผ่อาณาจักรไปในดินแดนต่าง ๆ จนได้เป็นเจ้าโลก  โรมันก็จะต้อนเอาชะเลยศึกมาด้วย  ที่เป็นนักรบนักสู้หรือระดับพระราชา ก็เอามาขังไว้ในกรง ใต้ฐานโคลีเซียม คือสนามกีฬาขนาดยักษ์  รอการกำจัดให้สิ้นเสี้ยนหนามไปอย่างแยบยล   ก็นัดประชาชนมาดูกีฬา ชาวโรมันยุคนั้นโปรดปรานการกีฬาเป็นชีวิต และมีวีรบุรุษเกิดจากสนามกีฬานี้ไม่เคยขาด   เอานักรบเชลยเหล่านี้แหละออกมาสู้กันเองบ้าง  สู้กับสิงโตบ้าง  เสือบ้าง โดยกติกาของโรมัน(กติกาที่ชะเลยเสียเปรียบทุกประตู ทางรอดยาก  ก็เพราะเขาเจตนาเอามาประหารนั่นเอง) แต่ที่พิเศษ คือ ให้สู้กับวีรบุรุษนักรบโรมัน .......  ถ้ารอดก็รอด  ไม่รอดก็ตาย .........บังเอิญมียุคหนึ่ง ที่เป็นศึกอาฆาตแค้นผสมเรื่องรักพิสวาทอันลึกซึ้ง ในระบอบกษัตริย์โรมันเอง        ชะเลยที่จับมาได้วางแผนแก้แค้นกษัตริย์โรมมาอย่างดี .....  และยอมรับเงื่อนไข กติกาทุกอย่างที่โรมกำหนดให้อย่างได้เปรียบ  ......  ในความจริง เขาต้องเป็นนักรบที่ซุ่มฝึกฝีมือมาอย่างดีแน่นอน จึงสามารถผ่านแดนรถศึก  ผ่านแดนสิงโตไปได้ ...เขาปล่อยสิงโตขึ้นมากลางสนาม อย่างไม่รู้ตัว สิงหโตกระโดดเข้าฮุบเหยื่อแต่เหยื่อล้มตัวลงทันพร้อมสอดปลายดาบเข้าหว่างท้องมัน ๆ ตกลงมาตุ๊บ  ตายไปทีละตัว ๆ (เวลาสิงโตจะปฏิบัติการ มันจะกระโดดสูงก่อน  นักรบก็เตรียมแผนมา ก็ล้มตัวลง เอาดาบสอดเข้าท้องมัน เท่านั้นเองมันก็ตกลงมาตายหมด...)   ......... แล้วสู้กับยอดทหารรสุดโหดของโรมัน 4 คน แต่ละคนถืออาวุธคนละอย่าง น่าจะรอดยากจริง ๆ(ที่ผมเสียวมาก ๆ ก็คือลูกตุ้มเหล็กมีสายโซ่ยาว  มันแกว่ง ๆ หมุนรอบตัว จนกลายเป็นกงจักร  แล้วมันก็ปล่อยออกมา  ..ใจหาย...พระเอกเอาดาบรับพอเหมาะพอดียังกับการแสดง ลูกตุ้มก็หมุนรอบดาบ แทนที่จะหมุนรอบคอเหยื่อ  ดึงมาเบา ๆ เอามีดสั้นแทงสวนไป นักรบลูกตุ้มก็ดับชีพ...เฮอ!!  สนุก เพราะฝ่ายที่เราเชียร์ชนะ)    แต่ วีรบุรุษที่แท้จริงก็รอดได้  จนกษัตริย์ ต้องลงสู่สนามเอง   .....  แสร้งวำตนเป็นนักรบที่จิตใจสูง  ทำเป็นว่าใจดี ใจเป็นธรรม  ปากประกาศถึงความชื่นชมคู่ต่อสู้ ว่าเก่งจริง  ขอจับมือด้วย (เพื่อหลอกประชาชนให้ชื่นชมตน)  ตอนนี้รู้กันแล้วนะครับว่าใครเป็นใคร ที่แท้ก็ปลอมมาแก้แค้นและชิงคนรักผู้สูงศักดิ์คืน นั่นเอง       ปากก็หลอกลวงว่า เราจะสู้กันอย่างยุติธรรมในสนามแห่งเกียรติยศ  แล้วพอเผลอก็เสียบมีดสั้นลงที่โคนแขนขวาของคู่ต่อสู้ ....  เพียงตัดกำลังคู่ต่อสู้ลงไม่เจตนาให้ตายขณะนั้น   .....  แล้วสู้กัน  ในสายตาประชาชนก็มองเห็นความเป็นธรรม .......และแล้ววีรบุรุษชนะ  แผนตัดกำลังเกือบหวุดหวิดสำเร็จ   ....แต่  แพ้      พอล้มลงกลางดิน  ยกหอกสูง ...ประชาชนก็ร้อง  ฆ่ามัน ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ   เพราะเขามองความยุติธรรมในสนามการต่อสู้ ....โดยฝีมือล้วน ๆ  ..... ไม่ได้มองว่าใครเป็นใคร....คุณคิดว่าอย่างไร  ถ้าคนไทยก็คงคิดว่า เมตตามัน อย่าฆ่ามันเลย.....แต่นักรบเขาไม่คิดอย่างนั้น  ถ้ารักชีวิตจะลงสู่สนามรบได้อย่างไร (เหมือนนายสุเทพ เทือกสุบรรณขณะนี้แหละครับ เมื่อคุณรักจะเป็ฯกบฏคุณก็ทำไป  แต่คุณต้องรับผลของมันอย่างหน้าชื่นตาบาน)    ฉะนั้น คำสั่งประชาชน   ฆ่ามัน ๆ ๆ ๆ ๆ   จึงได้รับการสนอง   และคนขี้ขลาดกลัวตายจึงไม่มีโอกาสอยู่ต่อไป      
 
ก็เหมือน  คมช. 2549 นี่แหละครับ  เขียนรัฐธรรมนูญเอาเอง  กำหนดกติกาเอาเอง  หวังว่าใชข้มาตรการเอาเปรียบทุกอย่าง  เอากองทัพทั้งกองทัพไปปิดล้อมบังคับประชาชนให้ลงคะแนนให้อมาตย์   ก็จะชนะการเลือกตั้ง ...... โดยได้รับคำสรรเสริญว่าชนะโดยความเป็นธรรม    แต่ชนะไหมครับ   ?     
มันแพ้ราบเรียบเลย 
มันก็ไม่ยอมยังไงล่ะครับ   ไม่ยอมมาจนถึงขณะนี้   พวกมันไม่ยอมให้มีการเลือกตั้งสำเร็จ 
กกต.เถื่อน  ...............
ก็ดูว่าจะทานพลังประชาชนได้อย่างไร ?  เพราะยุคนี้ ไม่ใช่โรมัน  แต่ยุคประชาธิปไตย 
ยอดเยี่ยม ยิ่งยง 
26 เม..2557 10.30.30 น.
 
 
 ความเห็นที่ 25 (3388870)
 
 เราจะมาพูดถึง นิติศาสตร์ ที่กำลังสับสนและก่อปัญหาน่าอันตรายอย่างยิ่งใหญ่แก่ประเทศชาติอยู่ขณะนี้
 
โดยนักนิติศาสตร์ได้เกิดความขัดแย้งกันขึ้นอย่างแรง จนกลายเป็นนักนิติศาสตร์หลายฝ่ายหลายสำนัก  ที่ถกเถียงกันในวงการแคบ ๆ คือวงการนิติศาสตร์ของตนเอง  เหมือนกบในกะลา  ไก่จิกตีกันในกรงขัง จึงยังหาจุดจบลงไม่ได้  
โดยมี  องค์กรอิสระ  เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ  เป็นตัวปัญหา     
 
แท้จริงถ้าเราเข้าใจว่า  นิติศาสตร์เป็นเพียงศาสตร์แห่งการรับใช้  กล่าวคือ  นิติธรรม  นิติวิธี  หรือวิถีทางแห่งนิติศาสตร์  เป็นวิถีทางแห่งการรับใช้ หรือคนรับใช้  นิติศาสตร์ไม่ได้อยู่ในฐานะเป็นนาย (แต่เป็นขี้ข้า)   
 
องค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเราก็ได้เคยตรัสเตือนนักกฎหมายไว้ว่า.....กฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือ....เมื่อจำเป็นต้องแก้ไขก็แก้ได้ ......(ลองไปค้นดูนะครับ)  อันบอกความหมายของการรับใช้  ไม่มีอำนาจโดยตัวเองมาแต่เดิม  แต่ได้อำนาจมาจากนายอีกทีหนึ่ง   และนาย  ย่อมแก้ไข หรือยกเลิก  เลิกจ้าง   ได้      จริงไหมครับ ?    
 
ผมกำลังจะพูดถึงประเด็นนายกรัฐมนตรีรักษาการณ์นะครับ   
 
คุณอย่าไปดูที่คนรับใช้สิครับ   ต้องไปดูที่เจ้านายเขา    คือหลักรัฐศาสตร์   
 
ถ้าคุณจะเอานิติศาสตร์ตัดสิน ในเมื่อมันได้บ่งบอกถึงความไม่ชอบมาพากลของตัวบทหลายบทที่ขัดแย้งกัน เชิงนิติศาสตร์ น่าก่อเกิดกลียุคขึ้นอยู่เช่นนี้แล้ว จะอาศัยนิติศาสตร์ตัดสิน  มันก็เท่ากับตั้งใจทำลายประเทศชาติเท่านั้นเอง  โดยโง่เขลา   
 
ซึ่งคุณจะไปทำเช่นนั้นทำไม ?     
 
คุณไปดูหลักรัฐศาสตร์ซีครับ   อย่าหาว่าผมสอนเลย  
 
หลักรัฐศาสตร์นั้นคือการอธิบายเหตุผลว่าทำไมจึงต้องมีรัฐบาลผู้ทำหน้าที่บริหาร   หรือขับเคลื่อนประเทศให้เดินไป   และความสำคัญตรงนี้มีมากมายขนาดไหน คำว่าผู้นำหรือนายกรัฐมนตรีนั้นหมายถึงความสำคัญในประเด็นไหนที่มีความ สำคัญอย่างยิ่ง? 
 
เขาอุปมาเหมือนเรือใหญ่  ประเทศเปรียบเสมือนเรือใหญ่  หรือที่เห็นชัดกว่าก็คือรถครับ   คนทุกคนอยู่บนรถคันเดียวกัน  มีรัฐบาล คือหัวหน้ารัฐบาล  บ้านเราก็คือนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ถือพวงมาลัย ..........  เข้าใจแล้วยังครับว่า.....ในขณะใดขณะหนึ่งต้องมีผู้ถือพวงมาลัยรถจึงจะวิ่งไปตรงทางอย่างปลอดภัย 
 
มีเรื่องหนึ่งที่เป็นอุทาหรณ์ก็คือคราวยุโรปเขาตกลงกันทำยุโรปเป็นอียู  คือสมาคมประเทศยุโรป เปิดแดนถึงกัน เปิดสกุลเงินเดียวกัน        กว่าจะตกลงกันได้ก็นานหลายปี  คราวนั้นก็ฉลองกัน  มีมิตรประเทศมาร่วมฉลอง   แล้วเขาก็ถ่ายภาพให้เห็นพวกนายกรัฐมนตรี-ประธานาธิบดี ผู้นำประเทศเขาขึ้นขี่รถจี๊ปคันเดียวกันแน่น มะรุมะตุ้มกันไปหมดเพราะรถคันเล็ก บางคนก็ห้อยโหนกันไป น่าหวาดเสียว  ขับออกสู่สนามฟุตบอล  ขับวนไปวนมาอย่างสนุกสนานครึกครื้น  ประเด็นคือเขาให้นายจอร์จ บุช ปธน.สหรัฐถือพวงมาลัยรถ  คนอื่นช่วยชี้ไม้ชี้มือบอกทาง  คนนั้นชี้ให้เลี้ยวขวา  คนนั้นชี้ให้เลี้ยวซ้าย....แต่ไม่มีใครแย่งพวงมาลัยจากนายบุช   ปล่อยให้ถือพวงมาลัยจนจบ 
 
เขาทำเป็นเครื่องเตือนสติกันเองไงครับ   และมีความหมายทางรัฐศาสตร์ ว่าการบริหารประเทศนั้นจะต้องมีนายกรัฐมนตรี ทำการบริหารไป   ตลอดที่มีประเทศเดินไปอยู่  เหมือนตลอดที่รถมันวิ่งไปอยู่นั้น   จะต้องมีคนถือพวงมาลัย และแม้คนถือพวงมาลัยเอง ก็จะปล่อยมือไม่ได้เป็นอันขาดอีกด้วย    และในวาระเช่นนั้น  จะไม่มีการเปลี่ยนคนถือพวงมาลัยเป็นอันขาด(เหมือนทางทหารว่า อย่าเปลี่ยนม่าศึกกลางลำน้ำเชี่ยวนั่นแหละครับ)    เพราะรถมันต้องเลี้ยวซ้ายเลี่ยวขวา  อุปมาเหมือนบ้านเรา  รถกำลังวิ่งไปบนเขา  ในทางที่คดโค้ง โค้งไปโค้งมาบนปากเหวหลายโค้ง   เสี่ยงต่อการแหกโค้ง  ถ้าวางมือ หรือเปลี่ยนคนขับในขณะนั้น ก็เสี่ยงตกเหวลงไป  ก็ตายกันหมด  ....... 
 
เข้าใจอะไรขึ้นไหมครับ   .......... 
 
หลักรัฐศาสตร์ก็มาจากความจริงอย่างนี้เองครับ   คือตราบที่รถมันวิ่งอยู่  จำเป็นต้องมีคนถือพวงมาลัย   มันจำเป็นอย่างยิ่งเลย   ฉะนั้น  ถึงแม้รัฐบาลจะได้ยุบสภาไปแล้ว ตนพ้นจากอำนาจไปแล้ว   แต่ตราบใดที่เรายังไม่ได้คนมาถือพวงมาลัยแทนแล้ว  อย่างไร ๆ ก็ต้องถือพวงมาลัยไปก่อน  วางไม่ได้เด็ดขาด  โดยเฉพาะเวลาที่เกิดการวิกฤตทางการเมืองเช่นนี้ จะวางพวงมาลัยไม่ได้เด็ดขาด   หลักรัฐศาสตร์มันบังคับเอาไว้ด้วยเหตุผลเช่นนี้   .........   แล้วจริง ๆ  นิติศาสตร์ก็เอาไปบัญญัติไว้ต่อไป  เพียงแต่มีคนที่หาเรื่อง....แล้วไม่ยอมมองย้อนไปที่หลักการของรัฐศาสตร์  ดังกล่าว  
 
ถ้าเรายอมรับเหตุผลตามหลักรัฐศาสตร์   และยอมรับนิติศาสตร์เฉพาะส่วนที่รับใช้  รับเอาหลักรัฐศาสตร์นั้นมากำหนดไว้อย่างสอดคล้องหลักรัฐศาสตร์ มันก็เป็นการชอบธรรมแล้ว     นิติศาสตร์ใดที่ไม่สอดคล้องหลักรัฐศาสตร์ เราก็ไม่ต้องพิจารณา  ตัดออกไปเลย โดยมีข้อพิจารณาอย่างง่าย ๆ ว่าเป็นนิติศาสตร์ที่ทรยศต่อรัฐศาสต์ ผู้เป็นนายตัวเอง)     ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างเป็นธรรม ชอบธรรม และยุติธรรม  ใช่ไหม ?     และง่าย    ...... ใช่ไหม? 
 
ฉะนั้น   อย่ามองกฎหมายว่า   กฎหมายมีความสำคัญในตัวเอง  ต้องมองกฎหมายว่าเป็นเพียงเครื่องมือ ที่รับใช้   อย่างที่ผมว่า  นิติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่รับใช้ นั่นแหละครับ   เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างคนรับใช้ มั่วไปหมดเช่นนี้  วิธีแก้ก็ต้องถามไปถึงเจ้านายของพวกเขา    
 
เพราะฉะนั้น  ตามหลักคิดนี้   ก็ยุติลงว่า  นายกรัฐมนตรี ต้องรักษาการณ์ต่อไป(ซึ่งมีกฎหมายรับรองไว้อยู่แล้ว) จนกว่าจะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่มาอย่างถูกต้องตามหลักรัฐศาสตร์การปกครองประชาธิปไตยมาสืบอำนาจแทน  จึงจะไป  วางมือจากพวงมาลัยได้ 
 
ตกลงไหมครับ ?  
 
 
 
 
 
 
 
 
นิติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่รับใช้ 2
 
 บทแทรกที่ 1   
 
รัฐธรรมนูญเถื่อน(รัฐธรรมนูญโจร) พ.ศ.2550  มีความบกพร่องเป็นอันมาก  เนื่องเพราะเขียนขึ้นอย่างสุกเอาเผากิน มีลักษณะสนองต่อระบอบเผด็จการ  ไม่ตรงไปตามหลักรัฐศาสตร์  และอ้างหลักรัฐศาสตร์ที่ไม่ถูกต้อง  ตัวอย่างเช่น 
1.   ไม่ได้ระบุถึงหลักการขององค์กรอิสระ ตามมาตรา 204 - มาตรา 258  ว่าเป็นองค์กรที่มาจากเจ้าของอำนาจอธิปไตย(คือประชาชน)อย่างไร  มีความเชื่อมโยงไปถึงเจ้าของอำนาจอธิปไตย(คือประชาชน) อย่างไร
2.  กรณีศาลรัฐธรรมนูญ (ตามมาตรา 204 - 217)  ได้ทำการตัดสินคดีที่สำคัญยิ่ง เป็นผลให้มีการถอดถอนนายกรัฐมนตรี 2 คนจากตำแหน่ง ยุบพรรคการเมือง 4 พรรคการเมืองอย่างง่ายดาย  เป็นองค์กรที่ไม่ได้ปฏิบัติงานและหรือตัดสินความไปโดยกฎหมาย ตามมาตรา 138(5) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ (เพราะยังไม่มีการบัญญัติกฎหมายนี้ มาบังคับใช้กับศาลรัฐธรรมนูญ แต่ศาลพิจารณาไปอย่างไม่มีกฎหมาย...อันเป็นการขัดทั้งหลักการรัฐศาสตร์และหลักการนิติศาสตร์ ในหลักรัฐศาสตร์นั้นหมายถึงการพิจารณาไปตามการอนุมัติแนวทางพิจารณาโดยประชาชน(หากผ่านสภาผู้แทนราษฎร)  อันจะแสดงถึงการเชื่อมโยงกับประชาชน ในระดับหนึ่ง  แต่ได้ปรากฎว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีพรบ.นี้ใช้เป็นแนวทางพิจารณาตัดสินความเลย  แต่ศาลรัฐธรรมนูญยังจะอาศัยสถานะอันไม่ชอบนี้ ทำการตัดสินคดีที่เสี่ยงต่อการต่อต้านคัดค้านของคนทั้งแผ่นดินต่อไปอีกคดีหนึ่ง คือคดีถวิล เปลี่ยนศรี .....
3.   องค์กร ปปช.   (ตามมาตรา 246-251) จำนวน 9 คน  ไม่มีความเสมอในมาตรฐานของหน้าที่  โดยข้อเท็จจริงมีกรรมการ 6 คน ที่ไม่ได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ปฏิบัติหน้าที่  จึงมีความลักลั่นในสถานะบุคคล  มองจากหลักรัฐศาสตร์องค์กรหรือหลักรัฐประศาสนศาสตร์แล้วแท้จริงเป็นการทุจริตชนิดหนึ่ง  ไม่สมควรจะได้ชื่อว่า ปปช.หรือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
4.   กล่าวมาเป็นตัวอย่าง  มีอีกหลายกรณีในรธน.2550 นี้ที่เขียนขึ้นอย่างอ้างหลักรัฐศาสตร์ที่ไม่ถูกต้อง  เช่น ในเรื่ององค์กรอิสระ อ้างไม่ถูกหลักการ ก็เลยบัญญัติองค์กรมากมายหลายองค์กร ทั้ง ๆ ที่แท้จริงควรมีอยู่เพียง 2 องค์กรเท่านั้นเอง คือ  กกต.  กับ องค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ   ในหมวดแนวนโยบายแห่งรัฐ ก็ถือว่าบัญญัติขึ้นมาโดยขัดหลักรัฐศาสตร์ว่าด้วยพรรคการเมือง และการเลือกตั้งโดยการเสนอนโยบายให้หลายหลาก...ทันยุคทันสมัย เพื่อการพิจารณาเลือกของประชาชนได้หลายหลาก ทันยุคทันสมัย .....  เป็นต้น (น่าดู กรณีนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ตลก.รธน.  มีเหตุผลที่คัดค้านไม่อนุมัติหลักการกู้เงิน 2 ล้าน ล. บาท ว่า รัฐบาลควรไปทำถนนลูกรังให้ทั่วประเทศก่อนดีกว่า  นั่นเป็นการสร้างหนี้สินมหาศาลแก่ประเทศ ลูกหลานต้องแบกรับภาระหนี้ไปเป็นศตวรรษ...ดูว่านโยบาย ตลก.รธน.เช่นนี้ มีประชาชนคนไหนรับได้บ้าง?...และดูว่าคนระดับนี้...เหมาะสมแก่การนั่งตรงนั้นอย่างไร   มิลากประเทศถอยหลังไปสู่ยุคไดโนเสาหรือ?)    
5.   ในเมื่อ รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นรัฐธรรมนูญเถื่อน รัฐธรรมนูญโจร  เมื่อมีองค์กรอิสระ  ก็พลอยเถื่อนไปด้วย นั่นคือขาดความชอบธรรมที่จะปฏิบัติหน้าที่อยู่แต่แรกแล้ว  ...และการพิจารณาไปตามรธน.เถื่อนที่อ้างหลักการรัฐศาสตร์ไม่ถูกต้องเลย จะเป็นเหตุให้เกิดการลุกฮือต่อต้านของประชาชน ขนาดใหญ่   ก็ควรจะพิจารณาตนเอง   ลดบทบาทลงเสีย   
  • สุไหงปาดี ชินะกุล
    24 เม.ย.2557  23.30.23 น. 
 
 
 
นิติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่รับใช้ 3
 
บทแทรกที่ 2
 
ท่านอ้างเสมอว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 เป็นรัฐธรรมนูญเถื่อน รัฐธรรมนูญโจร ถ้าเช่นนั้นท่านปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญเถื่อน รัฐธรรมนูญโจร ไปทำไม ?  ท่านก็ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญเถื่อน รัฐธรรมนูญโจรไปด้วย มิใช่หรือ?   ฉะนั้น ท่านเหมือนเกลียดตัวกินไข่  เมื่อได้ประโยชน์ก็สรรเสริญ  เมื่อไม่ได้ประโยชน์ก็ด่าว่ารัฐธรรมนูญเถื่อนรัฐธรรมนูญโจร ...?
 
นั่นเป็นคำถามที่บ่งบอกวิสัยที่คับแคบ ไร้เหตุผลอย่างยิ่ง
 
ก็เวลานั้น คุณเอากองกำลัง กองทหารทั้งกองทัพ มี สนธิ บุณยรัตนกลิน(ปลดยศ พล.อ.แล้ว) ที่คุมกองกำลังอาวุธทับดิน...ทับน้ำ...ทับลม....ทั้ง3กองทับมาปลดจี้เราให้ออกไป  มึงไม่ออกไปกูจะเป่าขมองมึงให้ดับดิ้นลงเดี๋ยวนี้ (ถ้าคุณไม่ไป คุณคิดหรือว่ามันจะไม่เป่าขมองคุณ)   ตั้ง คมช.แล้วร่างกฎเถื่อนนี้ขึ้นมา.....คมช.มันก็เลือกเอาคนของมันทั้งนั้น ไปสุมหัวกันที่สนามม้า  มีนายมีชัย ฤชุพียธุ์ ที่ว่าเก่งกฎหมายนั่นแหละมาเขียนกติกาโจรขึ้นมา  แล้วประกาศออกไปทั่วราชอาณาจักรว่า บัดนี้ให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าทุกองค์กร ทุกส่วนราชการงานเมือง    ถือปฏิบัติตามกฎใหม่นี้ ....ก็นี่แหละรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ...รัฐธรรมนูญเถื่อน  รัฐธรรมนูญโจร 
 
ไม่เคยดูหนังโรมันยุคเรืองอำนาจบ้างหรือไร ?   นับตั้งแต่ยุคพระเยซู แห่งศาสนาคริสต์  มา   เวลาโรมันแผ่อาณาจักรไปในดินแดนต่าง ๆ จนได้เป็นเจ้าโลก  โรมันก็จะต้อนเอาชะเลยศึกมาด้วย  ที่เป็นนักรบนักสู้หรือระดับพระราชา ก็เอามาขังไว้ในกรง ใต้ฐานโคลีเซียม คือสนามกีฬาขนาดยักษ์  รอการกำจัดให้สิ้นเสี้ยนหนามไปอย่างแยบยล   ก็นัดประชาชนมาดูกีฬา ชาวโรมันยุคนั้นโปรดปรานการกีฬาเป็นชีวิต และมีวีรบุรุษเกิดจากสนามกีฬานี้ไม่เคยขาด   เอานักรบเชลยเหล่านี้แหละออกมาสู้กันเองบ้าง  สู้กับสิงโตบ้าง  เสือบ้าง โดยกติกาของโรมัน(กติกาที่ชะเลยเสียเปรียบทุกประตู ทางรอดยาก  ก็เพราะเขาเจตนาเอามาประหารนั่นเอง) แต่ที่พิเศษ คือ ให้สู้กับวีรบุรุษนักรบโรมัน .......  ถ้ารอดก็รอด  ไม่รอดก็ตาย .........บังเอิญมียุคหนึ่ง ที่เป็นศึกอาฆาตแค้นผสมเรื่องรักพิสวาทอันลึกซึ้ง ในระบอบกษัตริย์โรมันเอง        ชะเลยที่จับมาได้วางแผนแก้แค้นกษัตริย์โรมมาอย่างดี .....  และยอมรับเงื่อนไข กติกาทุกอย่างที่โรมกำหนดให้อย่างได้เปรียบ  ......  ในความจริง เขาต้องเป็นนักรบที่ซุ่มฝึกฝีมือมาอย่างดีแน่นอน จึงสามารถผ่านแดนรถศึก  ผ่านแดนสิงโตไปได้ ...เขาปล่อยสิงโตขึ้นมากลางสนาม อย่างไม่รู้ตัว สิงหโตกระโดดเข้าฮุบเหยื่อแต่เหยื่อล้มตัวลงทันพร้อมสอดปลายดาบเข้าหว่างท้องมัน ๆ ตกลงมาตุ๊บ  ตายไปทีละตัว ๆ (เวลาสิงโตจะปฏิบัติการ มันจะกระโดดสูงก่อน  นักรบก็เตรียมแผนมา ก็ล้มตัวลง เอาดาบสอดเข้าท้องมัน เท่านั้นเองมันก็ตกลงมาตายหมด...)   ......... แล้วสู้กับยอดทหารรสุดโหดของโรมัน 4 คน แต่ละคนถืออาวุธคนละอย่าง น่าจะรอดยากจริง ๆ(ที่ผมเสียวมาก ๆ ก็คือลูกตุ้มเหล็กมีสายโซ่ยาว  มันแกว่ง ๆ หมุนรอบตัว จนกลายเป็นกงจักร  แล้วมันก็ปล่อยออกมา  ..ใจหาย...พระเอกเอาดาบรับพอเหมาะพอดียังกับการแสดง ลูกตุ้มก็หมุนรอบดาบ แทนที่จะหมุนรอบคอเหยื่อ  ดึงมาเบา ๆ เอามีดสั้นแทงสวนไป นักรบลูกตุ้มก็ดับชีพ...เฮอ!!  สนุก เพราะฝ่ายที่เราเชียร์ชนะ)    แต่ วีรบุรุษที่แท้จริงก็รอดได้  จนกษัตริย์ ต้องลงสู่สนามเอง   .....  แสร้งวำตนเป็นนักรบที่จิตใจสูง  ทำเป็นว่าใจดี ใจเป็นธรรม  ปากประกาศถึงความชื่นชมคู่ต่อสู้ ว่าเก่งจริง  ขอจับมือด้วย (เพื่อหลอกประชาชนให้ชื่นชมตน)  ตอนนี้รู้กันแล้วนะครับว่าใครเป็นใคร ที่แท้ก็ปลอมมาแก้แค้นและชิงคนรักผู้สูงศักดิ์คืน นั่นเอง       ปากก็หลอกลวงว่า เราจะสู้กันอย่างยุติธรรมในสนามแห่งเกียรติยศ  แล้วพอเผลอก็เสียบมีดสั้นลงที่โคนแขนขวาของคู่ต่อสู้ ....  เพียงตัดกำลังคู่ต่อสู้ลงไม่เจตนาให้ตายขณะนั้น   .....  แล้วสู้กัน  ในสายตาประชาชนก็มองเห็นความเป็นธรรม .......และแล้ววีรบุรุษชนะ  แผนตัดกำลังเกือบหวุดหวิดสำเร็จ   ....แต่  แพ้      พอล้มลงกลางดิน  ยกหอกสูง ...ประชาชนก็ร้อง  ฆ่ามัน ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ   เพราะเขามองความยุติธรรมในสนามการต่อสู้ ....โดยฝีมือล้วน ๆ  ..... ไม่ได้มองว่าใครเป็นใคร....คุณคิดว่าอย่างไร  ถ้าคนไทยก็คงคิดว่า เมตตามัน อย่าฆ่ามันเลย.....แต่นักรบเขาไม่คิดอย่างนั้น  ถ้ารักชีวิตจะลงสู่สนามรบได้อย่างไร (เหมือนนายสุเทพ เทือกสุบรรณขณะนี้แหละครับ เมื่อคุณรักจะเป็นกบฏคุณก็ทำไป  แต่คุณต้องรับผลของมันอย่างหน้าชื่นตาบาน)    ฉะนั้น คำสั่งประชาชน   ฆ่ามัน ๆ ๆ ๆ ๆ   จึงได้รับการสนอง   และคนขี้ขลาดกลัวตายจึงไม่มีโอกาสอยู่ต่อไป      
 
ก็เหมือน  คมช. 2549 นี่แหละครับ  เขียนรัฐธรรมนูญเอาเอง  กำหนดกติกาเอาเอง  หวังว่าใช้มาตรการเอาเปรียบทุกอย่าง  เอากองทัพทั้งกองทัพไปปิดล้อมบังคับประชาชนให้ลงคะแนนให้อมาตย์   ก็จะชนะการเลือกตั้ง ...... โดยได้รับคำสรรเสริญว่าชนะโดยความเป็นธรรม    แต่ชนะไหมครับ   ?     
มันแพ้ราบเรียบเลย 
มันก็ไม่ยอมยังไงล่ะครับ   ไม่ยอมมาจนถึงขณะนี้   พวกมันไม่ยอมให้มีการเลือกตั้งสำเร็จ 
กกต.เถื่อน  ...............
ก็ดูว่าจะทานพลังประชาชนได้อย่างไร ?  เพราะยุคนี้ ไม่ใช่โรมัน  แต่ยุคประชาธิปไตย 
ยอดเยี่ยม ยิ่งยง 
26 เม.ย.2557 10.30.30 น.
 
 
 
 
 
นิติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่รับใช้ 4
 
 บทแทรกที่ 3  บทสรุป
 
มีข้อเท็จจริงจากวงการนิติศาสตร์ไทยขณะนี้ ที่ได้ปรากฏออกไปทั่วโลกว่าเป็นวงการที่มีวิสัยทัศน์อันคับแคบ แต่เต็มไปด้วยอัตตา ความยึดมั่นถือมั่นในทิฏฐิแห่งตน ๆ ทำให้ประเทศไทยมีปํญหาที่เกิดจากนิติศาสตร์ วงการที่คับแคบนั้น จึงมีลักษณะของปัญหาอุปมาเหมือนปัญหากบในกะลา  เบ่งอวดความรู้กันและกันอยู่ในกะลาแคบ ๆ นั้น  และเสมือนพวกไก่แม้เบียดเสียดกันอยู่ในสุ่มในกรงขังรอเขาเอาไปเชือดทำอาหาร แต่ก็ยังทะเลาะจิกตีกันอุตลุต  นั่นคือปัญหาทิฏฐิ และอวิชชา  
 
ในประเด็น นิติศาสตร์เป็นศาสตร์แห่งการรับใช้  แม้กระทั่งเป้าหมายแห่งนิติศาสตร์เอง คือ ความยุติธรรม นิติศาสตร์มีหน้าที่รับใช้ ความยุติธรรม  นิติศาสตร์ไทยก็ยังไม่คำนึงถึง เห็นได้จากการสร้างกฎหมายเอาเอง  กรณีมาตรา 68  ที่ตีความภาษาไทย ผิดไปจากความเข้าใจของคนไทยทั้งโลก ในเมื่อไปตีความคำว่า  และ  เป็น  หรือก็ได้  เป็น และ ก็ได้  ตามอำเภอใจตนเอง ซึ่งแท้จริง เมื่อได้กระทำผิดไปแม้ครั้งหนึ่งครั้งเดียวแล้ว  ศาลรัฐธรรมนูญก็ควรจะได้รับการลงโทษและให้ยุติบทบาทลงเสียโดยทันที  ไม่ให้มีโอกาสตัดสินความให้ประโยชน์แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ต่อไปอีก  อุปมาเหมือนภิกษุในพระพุทธศาสนา  แม้กระทำผิดพระวินัยเป็นครุกาบัติครั้งเดียวครั้งแรกแล้วก็ต้องปาราชิก จะได้กระทำผิดต่อมาอีกกี่ครั้ง ๆ ก็ไร้ความหมาย เพราะความผิดสำเร็จลงตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว นี่ก็เป็นหลักการสากลของนิติศาสตร์
 
ในกรณีที่มีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่สภาผู้แทนราษฎรขอเสนอแก้รัฐธรรมนูญ ประเด็นวุฒิสมาชิก โดยแก้ที่มาของวุฒิสมาชิก จากหลักการเดิมที่มาจากการสรรหา เป็น มาจากการเลือกตั้ง  ว่าเป็นการกระทำผิดต่อการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย  จำเลย คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 312 คน ต้องได้รับโทษและต้องพ้นจากตำแหน่ง  นั้น ....  จะมีข้อกฎหมายใดอาจให้ลงโทษเช่นนั้นได้  ในเมื่อแม้ข้อกล่าวหา ก็ยังเห็นได้ว่า เขลา อวิชชาอย่างยิ่ง  เพราะการเลือกตั้งย่อมเป็นหลักสากลเบื้องต้นของระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว ท่านจะกล่าวหาว่า การเลือกตั้งสว.เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร ? โปรดมองดูที่ความเป็นธรรมและหลักวิชาที่มาที่ไปแห่งหลักการบ้าง  ในขณะเดียวกัน หลักการสรรหานั้นเป็นหลักการเผด็จการ จะไม่เข้าใจเลยหรือว่าใช่หรือไม่ใช่?   สำหรับประเทศไทยเรา กำลังจะปฏิรูปประเทศจากเผด็จการไปเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ จึงย่อมมีความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว (ดูมาตรา 2 )   ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินลงโทษได้อย่างไร ? คุณจะอ้างเอาเหตุนี้ไปลงโทษ สส. สว. 312 คนนั้นได้อย่างไร ?   และโดยเหตุผลทางสถานะบุคคล สส.เป็นตัวแทนประชาชน มีประชาชนทั่วประเทศนับล้าน ๆ สนับสนุนอยู่ ในฐานะคนของประชาชน(หมายความว่าคุณจะตัดสินคนของประชาชน โดยว่างเปล่าปราศจากประชาชนไม่ได้  เขา...คนนับล้าน ๆ คนมองดูคุณอยู่)  แต่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีสถานะเถื่อน ไม่ได้มาจากระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้มาจากประชาชน แต่มาจากเผด็จการ ซึ่งไม่มีความชอบธรรมในตำแหน่งหน้าที่ตรงนี้อยู่แล้ว  จะบังอาจกล้ามาปลดคนของประชาชนได้อย่างไร ?  ประชาชนเขาจะยอมหรือ? (ประชาชนจะยอมให้เกิดความอยุติธรรมอย่างนี้ขึ้นได้อย่างไร?)    ซึ่งกรณีเช่นนี้ ไม่เห็นต้องใช้หลักวิชานิติศาสตร์มาพิจารณาเลย  เพียงเรามีสามัญสำนึกของความเป็นคน อันเป็นหลักพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น ก็ยังเห็นได้ว่า ไม่ใช่วิถีทางแห่งความเป็นธรรม หรือเป็น นิติธรรมอย่างไรเลย   แต่ระวัง  ทิฏฐิ และ อวิชชา(ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญต้องไปศึกษาจากหลักธรรมในพระพุทธศาสนาให้แตกฉานเสียก่อนจึงควรมานั่งในตำแหน่งนี้)  จะเป็นตัวทำลายโลก
เช่นเดียวกับกรณี ถวิล เปลี่ยนศรี  ในเมื่อหลักการ กฎกติกาการบริหารราชการ  ย่อมให้อำนาจแก่ฝ่ายบริหารที่จะโยกย้ายข้าราชการ ทั้งฝ่ายการเมืองและประจำได้อยู่โดยปกติหลักการสากลของการบริหารราชการ หรือหลักรัฐประศาสนศาสตร์อยู่แล้ว  ก็จำเป็นจะต้องไปฟ้องร้อง เป็นคดี เป็นความใหญ่กันขึ้นมา และจะต้องมีการตัดสินลงโทษอย่างฉกาจฉกรรจ์ ถึงต้องปลดนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ  ได้อย่างไร ?     จะมีการตัดสินให้เรื่องราวมันวุ่นวายไปขนาดนั้นไปทำไม ?
นี่คือปัญหาทิฏฐิ และอวิชชา  เมื่อวิเคราะห์ตามหลักสัจธรรมแห่งพระพุทธศาสนา มันเป็นปัญหาอวิชชา ในแง่ที่ว่า  เหมือนกับเด็กเล่นไม้ขีดไฟ ไปใกล้คลังน้ำมันเบนซิน จะทำการเผาบ้านเผาเมืองและเผาตัวเองไปด้วยโดยไร้เดียงสา   ท่ามกลางสายตาชาวโลกที่มองอย่างระทึกตกอกตกใจอยู่ขณะนี้  มันเป็นปัญหาทิฏฐิ ในแง่ที่ว่าศาลรัฐธรรมนูญ ยึดมั่นว่าตนเป็นคนสำคัญเหนือองค์กรอื่น และมีนักวิชาการพยายามจะให้เกิดทิฏฐิเช่นนี้เพื่อประโยชน์ของพวกเขา(เช่น นายบวรศักดิ์ อุวรรโณ ยกว่าศาลรัฐธรรมนูญควรเป็นศาลที่มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินชี้ขาดปัญหาการบริหารประเทศ)ซึ่งตามหลักประชาธิปไตยแล้ว มันจะต้องไม่ได้สำคัญเหนือองค์กรอื่น  แต่ต้องเป็นแบบเสมอภาค  เข้าใจไหม? (อำนาจทั้ง 3 คือ นิติบัญญัติ  บริหาร และตุลาการ ต่างเป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน ๆ ตรงไหนเป็นหน้าที่ของใคร ใครมีความชำนาญการอย่างไร ด้านไหน  ก็ให้เขาใหญ่ในตรงนั้น ทำหน้าที่ตรงนั้น เราอย่าไปก้าวก่าย ไปทำเกินหน้าที่ ไปแสดงความใหญ่เหนือเขา)   ในเมื่อมีทิฏฐิอันผิดไปจากหลักการที่ถูกต้อง จึงย่อมเป็นการไม่ยุติธรรมต่อสังคม  ทำสังคมวุ่นวายเสียหายอย่างสุดประมาณอยู่ขณะนี้   
 
ฉะนั้น  ไม่ต้องพิจารณาตามหลักนิติศาสตร์ที่ลึกซึ้งของนักนิติศาสตร์ไทยยุคนี้หรอก  เพียงพิจารณาตามสามัญสำนึกของประชาชนผู้มีวิญญาณประชาธิปไตยเท่านั้น  มันก็เห็นอะไรยุติธรรม  อะไรไม่ยุติธรรมอยู่อย่างแจ่มแจ้งแล้ว
และ  ความอยุติธรรมได้ปลุกกระแสต่อต้านอมาตย์ และขบวนการอำมาตย์ ซึ่งรวมถึงนิติศาสตร์ฝ่ายอำมาตย์ที่โง่เขลาอวิชชานี้ด้วย ...มาอย่างตลอดต่อเนื่อง  จนกลายเป็นพลังอันชอบธรรมและทรงพลังขณะนี้แล้ว หากจะทำการตัดสินเรื่องราวอันไร้สาระให้กลายเป็นเด็กเล่นไม้ขีดไฟอยู่ต่อไปอีก  ก็เท่ากับว่า เราไม่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมมาเลย    ปัญหาไม่ได้ถูกแก้ไขจากองค์กรที่มีหน้าที่แก้ไขให้ความยุติธรรมได้ กลับสร้างปัญหาอันยิ่งใหญ่เสียเอง แล้ว  มันก็ต้องเดือดร้อนถึงประชาชนทั่วประเทศผู้รักความยุติธรรม  ที่ต้องลุกขึ้นมาต่อสู้กำจัดอธรรมเสียให้สิ้นไปทั้งโคตร  นี่คือโอกาสของการปฏิรูปประเทศไทยครั้งสำคัญ ที่ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยจะไม่พลาดโอกาสอย่างแน่นอน
ยอดเยี่ยม ยิ่งยง
27 เม.ย.2557
  08.30.20 น.
 
ต้นเรื่อง :-
นิติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่รับใช้   
เวบบอร์ด เปรมตินสูลานนท์ ถูกบันทึกในช่องคนเลว 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
พล.อ.เปรม มีข้อสงสัยไม่จงรักต่อสถาบันกษัตริย์FB Phayap Panyatharo   

 FB : Phayap Panyatharo

 พล.อ.เปรม ตินสูลานนท์ เป็นประธานองค์มนตรี แต่ไม่เคารพในพระราชดำรัส ที่ทรงตรัสเรื่องมาตรา 7 ว่า นรม.ที่มาจากม.7 ไม่เป็นประชาธิปไตย..ใครคิดก็มั่ว....พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยอมรับว่า ประชาธิปไตยเป็นหนทางการพัฒนาของประเทศยุคนี้ ทรงรับหลักการธรรมดา ๆ ของระบอบนี้ ในแง่ที่ว่า ทรงเป็นกษัตริย์อยู่ใต้กฎหมาย นั่นคือทรงมอบอำนาจอธิปไตยไว้แด่ประชาชน ....
และทรงปล่อยให้การเมืองเป็นไปตามระบบการเมือง แก้ปัญหาการเมืองด้วยระบบการเมืองเอง ตามหลักการรัฐศาสตร์ที่ว่า การเมืองแก้ด้วยการเมือง
แต่พล.อ.เปรม ไม่เคยยอมรับพระราชดำรัส การเมืองแก้ด้วยการเมือง ดังได้เห็นพฤติกรรมมาแล้วหลายครั้งที่พล.อ.เปรมได้กระทำการแทรกแซงการเมืองไทยมาโดยตลอด นับตั้งแต่การทำรัฐประหาร 19ก.ย.2549 ซึ่งเป็นการละเมิดดำรัสพระมหากษัตริย ์มาครั้งหนึ่งแล้ว เร็ว ๆ นี้พล.อ.เปรม แม้อายุ 94 แล้วก็มิได้วางมือการเมือง ได้ปรึกษากับ พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีตผบ.สส.คนแก่อายุ 92 พอ ๆ กัน ซึ่งคน ๆ นี้ได้ยกหางตนเองว่าเป็น รัฐบุคคล Man of Stateว่าจะต้องขับไล่ นรม.ยิ่งลักษณ์ออกไปและจัดตั้งนรม.ฝ่ายอมาตย์ตามม.7
[พล.อ.สายหยุด เกิดผลได้กล่าวอาฆาต นรม.ยิ่งลักษณ์ว่า จะลาออกเองหรือจะให้ไล่ออก(แล้วก็จริง เมื่อศาลรธน.ตัดสินให้พ้นจากตำหน่ง นรม.เมื่อวันที่ 7 พ.ค.2557)
อันเป็นสิ่งที่ไม่เป็นไปตามพระราชประสงค์ แต่คิดจะช่วยพวกของตน โดยวิธีที่ไม่เป็นไปตามพระราชประสงค์ คือประสงค์ต่อระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง นั่นคือจะหาทางช่วยนายสุเทพ ซึ่งเป็นคนต้องโทษข้อหากบฏแผ่นดิน ที่อสส.สั่งฟ้องไปแล้ว ตั้งนรม.ม.7 ให้ได้.....โดยเดิมจะให้กองทัพทำการรัฐประหารแต่กองทัพไม่เอาด้วย จึงมาใช้งานองค์กรอิสระที่เคยรับใช้มาอย่างซื่อสัตย์อีกครั้งหนึ่ง อันเป็นผลให้นรม.ยิ่งลักษณ์พ้นจากตำแหน่งไปเมื่อ 7 พ.ค.2557 .....
นี่คือพฤติกรรมที่พล.อ.เปรม ไม่ซื่อตรงต่อสถาบัน
 
ซึ่งในอดีตยังมีหลักฐานชัดเจนก็กรณีม็อบพันธมิตร-ประชาธิปัตย์ยกขบวนปิดกั้นเส้นทางพระราชดำเนินในปีพ.ศ.2551โดยปิดถนนราชดำเนิน ไม่ยอมให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมพระราชวงศ์ (พร้อมคณะรัฐบาลและคณะทูตานุทูต) เสด็จผ่าน ในคราวพระราชทานเพลิงศพ พระเจ้าพี่นางเธอ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่สนามหลวง โดยปิดเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินช่วงถนนราชดำเนินอยู่ทั้ง 6 วันที่ทรงเสด็จไปทรงพิธีกรรม จนพระองค์ต้องทรงเสด็จเลี่ยงไปทางถนนลูกหลวง อันเป็นการเสื่อมเสียพระเกียรติยศของสถาบันอย่างมากมายจนมิอาจอภัยให้ได้ อันเป็นโทษหนักถึงกบฏ
แต่พล.อ.เปรม ในฐานะประธานองค์มนตรีก็ไม่ได้ทำการปกป้องเกียรติของสถาบันแต่อย่างไร แต่กลับปกป้องพวกพ้องตนเองคือพรรคประชาธิปัตย์ผู้นำม็อบขวางเส้นทางพระราชดำเนินคราวนั้น นี่คือคนทรยศ และทรราช
 
ทุกวันนี้ไม่มีใครแม้ประชาชนผู้จงรักภักดีก็ไม่อาจจะตรวจสอบได้ถึงความจงรักภักดีของพลเอกเปรมต่อสถาบันกษัตริย์ แต่ได้มีข้อสงสัยมากมายว่าพล.อ.เปรมมีความซื่อสัตย์จงรักภักดีและเป็นที่น่าไว้วางใจต่อสถาบันขนาดไหน ?
 
 
 
 
 
 
 
 
บทกวีเสรีภาพ
ประชาชนไม่กลัว  
 
ประชาชนไม่กลัวคุณหรอก            เพราะเขาเป็นประชาชน
เขาไม่กลัวดาวบนบ่าของคุณ        เพราะเขาเป็นประชาชน 
เขาไม่กลัวเครื่องแบบสีเขียวขี้ม้า       ของคุณ
เพราะเขาเป็นประชาชน
เอาละนะ พลเอกประยุทธ          จันทร์โอชา
คุณรู้แล้วหรือยัง                         ว่าทำไม ?
 
ผมจะบอกให้
ก็เพราะเขาเป็นประชาชน
ผมอยากขอให้คุณมาเป็นประชาชนอย่างผม        
หรืออย่างพวกเขา   เสื้อแดง
ไม่ใช่ว่าจะร่ำจะรวยเงินทองหรอกครับ
แต่ได้จิตใจที่ยิ่งใหญ่ ที่ไม่กลัว.........และรวยน้ำใจ
ก็    เพราะ เขาเป็นประชาชน ... 
ผู้ตั้งกระทู้ บัวระย้า ชะบาบุญเสฏฐ์:: วันที่ลงประกาศ 2011-04-20 17:32:41 
 
[1] 
ความเห็นที่ 1 (3291840)   
 
จริงแท้ทีเดียวที่ประชาชนเขาไม่กลัวรถถัง ไม่กลัวรถหุ้มเกราะ ไม่กลัวดาวบนบ่าของคุณ แต่เขากลัวชีวิตเขาจะไม่ได้รับความยุติธรรม ไม่มีสิทธิเสรีภาพ ไม่มีความสุข ไม่มีโอกาส เพราะนั่นคือความปรารถนาของประชาชนในทุกประเทศ แล้วทำไมเขาต้องกลัวคนกลุ่มหนึ่งที่ตลอดชีวิตมืดบอด มัวเมา ไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจความเป็นไท และไม่เคยเข้าใจประชาชน    
ผู้แสดงความคิดเห็นวิญญูชนวันที่ตอบ 2011-04-20 23:16:21
 
 
ความเห็นที่ 2 (3293051)   
 
วันนี้เห็นภาพคุณสมยศ พฤกษาเกษมสุขแกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา เดินเข้าห้องขังด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสอย่างผู้มีชัยชนะ และอาจตามด้วยแกนนำกลุ่ม นปช. 9 คน ที่อาจถูกถอนประกัน แต่หัวใจของคนเหล่านั้นกลับบรรเจิด กล้าแกร่งและพร้อมจะต่อสู้ด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตยโดยไม่หวั่นเกรงหวั่นไหว ไม่ยอมก้มหัวให้กับอำนาจเผด็จการ บวกกับส.ส.ในพรรคเพื่อไทยที่ประกาศเดินหน้าสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง โดยไม่กลัวการถูกยุบพรรค ด้วยวันนี้ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนเดินได้ด้วยอุดมกาณ์และขาของตนเอง แม้จะมีแกนนำหรือไม่มีแกนนำแต่หัวใจของคนเสื้อแดงก็ยังแข็งแกร่ง พิสูจน์ได้จากตอนที่ 9 แกนนำถูกคุมขังแต่คนเสื้อแดงกลับมีพลังในการต่อสู้และนับวันมีแต่เพิ่มยิ่งขึ้น ดังที่นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยได้กล่าวไว้ว่าตายสิบเกิดแสน  
 
ผู้แสดงความคิดเห็นกระจกเงาวันที่ตอบ 2011-05-03 00:02:02
 
 
ความเห็นที่ 3 (3295107)   
 
โถปะถิโถ...ไอ้พวกสมองหมาปัญญาควาย...ไม่รู้ว่าเกิดมาบนผืนแผ่นดินไทยได้งัยน่าจะไปเกิดในเขมรซะไป๊  
ผู้แสดงความคิดเห็นพลังเงียบวันที่ตอบ 2011-05-22 21:38:08
 
 
ความเห็นที่ 4 (3295112)  
 
เห็นด้วยคับ..ทำมัยพวกลาวอีสานมันถึงโง่เป็นควาย..ทักษินสั่งให้ทำอะไรก็ทำ..ไอ้พวกเรียนมาก็สูงแต่ให้เขาจมูกสนสพายอยู่ได้มันเผาบ้านเผาเมืองมันบอกว่าถูกต้องตามหลักประชาธิปไตย...โธ่สมองยิ่งกว่าควายมีเขาอีก....
 
ผู้แสดงความคิดเห็นเด็กเหนือวันที่ตอบ 2011-05-22 21:46:13
 
ความเห็นที่ 5 (3305255)  
 
น่าสมเพทจิง ๆ  
ผู้แสดงความคิดเห็นเด็กใต้วันที่ตอบ 2011-08-27 20:19:20
 
ความเห็นที่ 6 (3316423)  
 
โอ้แม่เจ้ามีพวกถูกล้างสมองจากเจ๊กลิ้มมาป่วนด้วย เราไม่ว่ากันเข้ามาเยอะๆก็ดีนะจะได้ฟังบัณฑิตเขาพูดคุยกัน ไม่รู้ใครโง่นะ เพราะมีความจริงเห็นๆอยู่ยังมองไม่เห็น เช่นนิยมรัฐบาลที่คิดนโยบายขายไข่ไข่ชั่งกิโลตั้ง 69 ล้านบาท นโยบายติดกล่องแทนกล้องวงจรปิด นโยบายแจกเช็คช่วยชาติ นโยบายปิดประตูระบายน้ำเขตรอยต่อของกรุงเทพกับปทุมธานีจนน้ำจำนวนมหาศาลมาจ่อคอหอยคนกรุงเทพแล้วก็กลั้นไม่อยู่เพราะน้ำย่อมไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเดือดร้อนกันจนบัดนี้ ลาวอีสานที่คุณว่าโง่เป็นควายนะเขาไม่ฟูมฟายตีโพยตีพายเวลาเกิดปัญหานะ เขาคุยกันด้วยเหตุด้วยผล มีความสงบกายสงบใจ คุณไม่เคยเห็นค่ายอพยพคนอีสานหลายหมื่นคนที่หนีระเบิดที่รัฐบาลเงาไปหาเรื่องชาวบ้านจนเป็นเรื่องไหมล่ะ เขาไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งไม่แย่งข้าวของกัน เขาไม่ด่าบริภาษทหาร คนฉลาดๆที่คุณเด็กเหนือว่าเขาคิดอย่างไร หากจะให้ดีลองอธิบายอะไรๆที่ฉลาดๆหน่อย คำพูดซ้ำๆซากๆว่าทำไมพวกลาวอีสานมันถึงโง่เป็นควาย..ทักษินสั่งให้ทำอะไรก็ทำ..เช่น ทักษินสั่งว่าจะซื้อข้าวชาวนาเกวียนละ 15,000-20,000 บาท ชาวนาเขาขายทันที แต่คุณดาวเหนือไม่ขายจะขาย 6000+2000 ของ ปชป.นี่นะฉลาดๆ ยังมีอีกหลายนโยบายนะที่ยังไม่ได้ชำแหละ  
ผู้แสดงความคิดเห็นกระจกเงาวันที่ตอบ 2011-11-02 23:49:55
 
 
 
ความเห็นที่ 7 (3316424)   
 
ตอนนี้คนลาวอีสานที่ไม่ถูกน้ำท่วมกำลังส่งข้าวสารอาหารแห้ง น้ำดื่มหลายคันรถไปบริจาคเลี้ยงดูคนที่ถูกน้ำท่วมในภาคกลางและ กทม. อย่างต่อเนื่อง วันก่อนอุดรขนไป 15 คันรถ 10 ล้อ ชัยภูมิก็ไม่น้อย แม้แต่ศรีสะเกษที่น้ำท่วมหลายอำเภอเขาก็ส่งไปบริจาคทั้งในจังหวัดและนอกจังหวัด อีกไม่นานคนลาวอีสานคงขนข้าวไปช่วยคนภาคใต้ที่อุทกภัยวาตภัยจะมาเยือน เพราะวัฒนธรรมอีสานเขาสอนให้มองคนในแง่ดีไม่อาฆาตมาดร้าย รักสงบไม่เป็นศัตรูกับใคร แยกแยะผิดถูกได้ และดูคนที่เนื้อผ้าอย่าดูผิวเผิน และเขาต้องช่วยเพราะเป็นหน้าที่ของ ... คนไทย มิใช่ช่วยเพราะสมเพทเพราะวัฒนธรรมของเราไม่เคยสอนให้รู้สึกเช่นนั้นกับคนอื่น  
ผู้แสดงความคิดเห็นกระจกเงาวันที่ตอบ 2011-11-03 00:02:33
 
 
 
ความเห็นที่ 8 (3319379)   
 
เหลืองอยู่ไหน เข้ามาเลยในเว็ปนี้ มาเยอะๆยิ่งดีจะได้ยินบัณฑิตเขาพูดให้ฟังตาจะได้สว่างเสียที รับรองเขาไม่ด่าไม่ว่าคุณแน่ๆ แต่เขาอยากให้คุณพูด พูดมาเยอะๆ บัณฑิตเขาจะได้รู้ว่าคุณไม่รู้อะไรอีกมาก เขาจะได้เตือนสติถูก ดังที่เราเคยบอกไว้แล้วว่าเว็ปนี้เขามีหน้าที่ทำคนมืดให้หูตาสว่าง 
 
ผู้แสดงความคิดเห็นกระจกเงาวันที่ตอบ 2011-12-06 13:43:29
 
 
ความเห็นที่ 9 (3321550)   
 
นี่คือบทกวีนะครับ   บทกวีแห่งดวงตา   ของประชาชนประชาธิปไตย
คุณยังห่างไกลอยู่มาก    นะครับ
ห่างไกลจากประชาธิปไตย     และสปิริตแห่งประชาธิปไตย
คุณเป็นบุคคลที่น่าเป็นห่วง   
เพราะคุณยังงมไป ในเมื่อคนส่วนใหญ่เขาสว่างไป 
และคุณคิดอะไรผิด ๆ เพราะคุณคิดไปไม่ถึงที่สุด 
คือคุณคิดไปไม่ถึงแสงสว่างน่ะครับ   เหมือนคุณเจาะน้ำบาดาล แต่ลงไปไม่ถึงแอ่งน้ำ
 
คุณรู้ไหม
เมื่อเราไปไกลถึงแสงสว่าง   นั่น นำไปสู่โลกที่น่าปิติยินดีเพียงไร  
ก็เท่ากับเราเจาะลงไปถึงแอ่งน้ำ มันน่ายินดีปรีดาแค่ไหน
และมีความหวังมหาศาลมากมายเพียงใด
อุปมาเหมือนได้ดวงตาที่เดิมมืดมัวกลับไสวสว่างดังเดิม   
คุณยังตามืดมัวอยู่      คุณจึงยังมองไม่เห็นนะครับ  
ผมสมเพทในความคิดนึกของคุณ
เพราะคุณมองโลกจากตาที่บอด        มืดมัว  
คุณต้องเริ่มจากการมองโลกในแง่ดี      จะดีกว่า  
ถ้าคุณมองโลกในแง่ร้ายอยู่เช่นนี้ นั่นเป็นการปิดกั้นตัวเองนะครับ   
ทำไมคุณไม่มองโลกใหม่        โลกที่เป็นประชาธิปไตย  
คุณจะอยู่ในโลกเก่าแห่งอมาต เผด็จการ      ไปได้อย่างไร 
คุณจะทนต่อการรับใช้    เป็นทาส     ไปตลอดชีวิตทีเดียวหรือ  
ในเมื่อมีทางออกแห่งชีวิต นั่นคือเสรีภาพ  
นั่นแหละชีวิตที่สง่างามที่สุดของความมีชีวิต  
ชีวิตของเสรีชน  
คุณไม่เข้าใจหรืออย่างไร ?
จากผม บัวระย้า ชะบาบุญเสฏฐ์
 
ผู้แสดงความคิดเห็นบัวระย้า ชะบาบุญเศรษฐ์วันที่ตอบ 2011-12-28 22:43:39
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ตลกรัฐธรรมนูญตัดสินแล้ว ไม่ยุบพรรคเพื่อไทย

 

 
 
ผ่านแล้วครับรายงานจากศ.รธน.
ยกคำร้องทั้ง 5 คำร้องครับ /15.00 น.
 
 
 
13 ก.ค.2555
บทสรุปประเทศไทยวันนี้
ไม่เกี่ยวกับ ตลก รธน. 8-9 นาย บนบัลลังก์อัปยศ  
 
 
แต่เกี่ยวกับความจริงต้นตอปัญหาของประเทศนี้ ผู้ที่ตาสว่างคือแดงทั้งแผ่นดิน กับผู้รักความเป็นธรรมทั้งประเทศ ทั้งโลก
 
 
และผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลาย
 
 
 
 
 
ความเห็นที่ 61 (3339165) 
 
ทุเรศตลก รธน.จริง ๆ    .............................
 
 
 
แต่ละคนก็อายุอานามแก่จะเข้าโลงแล้ว .............   สิ่งที่เปิดเผยในวันนี้ก็คือ คนกลุ่มนี้เป็นพวกเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์   นี่คือตัวการที่คอยตัดสินช่วยพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด   จนกระทั่งช่วยรอดยุบพรรค แบบหน้าด้าน ๆ   คือ   หมดอายุความ   15 วัน
 
เป็นพวกขี้ข้าอมาตย์.............. ที่ทำลายประเทศชาติไปจนเกิดความเสียหายอย่างมหันต์อย่างเหลือที่จะประมาณค่าได้
 
แล้วจะมีสถานะอะไรเป็น ผู้ตัดสินความยุติธรรมเหลืออยู่   ........  คนรู้ความชั่วของพวกคุณทั้งแผ่นดินแล้วในวันนี้    ว่ามัวหมอง ไม่มีสิทธิที่จะอยู่บนบัลลังก์ต่อไปอีก   ไม่อายหรืออย่างไร   แก่ ๆ   แล้ว     ไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรีทุกอย่าง    แม้ความเป็นคน ๆ หนึ่ง ก็ไร้ค่า ไปหมดแล้ว     ..........      เขาออกมาต่อต้านทั้งแผ่นดินว่าคุณทำผิดกฎหมาย . ละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญเสียเอง  
 
 
 
กฎหมายนั้นเขียนเป็นภาษาไทย คุณไม่คำนึงข้อเท็จจริงตรงนี้เลย   เหมือนเด็กอ่านไม่รู้ภาษาไทย ...............
 
และยุคประชาธิปไตย เขาเขียนเพื่อประชาชนไทยทุกคนอ่านออกรู้ความหมายตรงกัน กฎหมายเพื่อคนเข้าใจตรงกันในสิทธิและหน้าที่ของเขา   .... คนไทยทุกคนจำเป็นจะรู้อย่างถูกต้องตรงกันในสิทธิและหน้าที่ตามระบอบประชาปไตย    ไม่ใช่เขียนให้คุณอ่านได้คนเดียว    ไม่ใช่ไปพูดอะไรตลก ๆ ว่าให้ไปดูฉบับภาษาอังกฤษ นั่นมันความคิดโง่ ๆ ที่โง่ในเรื่องระบอบประชาธิปไตยจริง ๆ   ............
 
 
 
อายแทนจริง ๆ............. นี่เป็นครูอาจารย์นักกฎหมายทั่วประเทศเสียด้วยนะ ไปสอนธรรมศาสตร์ จุฬา ฯลฯ   ............. แต่วันนี้เขาด่ากันทั้งมหาวิทยาลัย   เว้นนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ กับนายสุรพล 2 คน   ..........   แล้วคุณจะอยู่อย่างไรบนแผ่นดินนี้ ........ สมเพชจริง ๆ .
 
 
 
แน่ละ   ตุลาการ ผู้พิพากษา เหล่านี้   ย่อมต้องได้ศึกษาธรรมะในหลักศาสนาพุทธ และหลักของพระสงฆ์ผู้ทรงคุณธรรม ...............แปลว่าธรรมะก็ได้เรียนรู้ได้ศึกษามาอย่างลึกซึ้ง สมกับสติปัญญาระดับนี้..........แต่กลับตระบัตรสัตย์ ทรยศต่อธรรมไปอย่างหน้าด้าน ๆ   ไร้หิริโอตตัปปะโดยสิ้นเชิง ..............   แล้วพวกคุณจะเอาหน้าไปไว้ไหน   มองไม่ออกจริง ๆ   เป็นเรื่องน่าสมเพช   เป็นเรื่องคนไทย 9 คน ที่น่าสงสารที่สุด ................. มาทำลายตนเองไปหมดสิ้นเอาตอนแก่นี่เอง
 
 
 
แน่ละ   ไม่มีใครแคร์เลยว่าคุณจะตัดสินอะไรออกมาในวันพรุ่งนี้ ............   คุณไม่มีสิทธิ์ตัดสิน.........ไม่มีความชอบธรรมที่จะตัดสิน เพราะทำผิดมาแต่ต้นแล้ว และตกกะไดพลอยโจน ตามครรลองชั่วต่อไป    แต่คราวนี้ คุณแก้ตัวต่อประชาชนไม่ได้แล้ว เพราะประชาชนตามทัน คนเขาเก่งพอแล้ว     ไอ้ที่ว่า   และ   แปลว่า   หรือ นั้นน่ะ มันหลอกเด็กอ่อนที่ยังพูดไม่เป็นได้ แต่หลอกคนโตไม่ได้    ...................... เพราะคนในประเทศนี้เป็นคนไทย พูดเขียน เป็นภาษาไทยเหมือนคุณนั่นแหละแล้วคุณจะมีอภิสิทธิอะไรจะไปแปลความให้มันผิดเพี้ยนไปจากวัฒนธรรมประเพณีทางภาษาเขา    ...............   และ มันก็ต้องแปลว่า และ ............. คุณจะไปอ้างอะไรมาให้แปลว่า หรือ นั้นมันไปไม่รอด   ผมหมายถึงนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตลกคนนั้น
 
 
 
คือผมหมายความว่า   คณะตลกนี้ไร้ค่าจริง ๆ   จนในความรู้สึกของผมวันนี้ขณะนี้   .....มองคนพวกนี้อย่างทุเรศ ๆ   น่าสงสาร   น่าสมเพชไปหมด ........เหมือนดูเด็ก ๆ เล่นละครกันนั่นแหละ   ก็คือเขาจะตัดสินอะไรก็ตามใจเถอะ   ไม่มีใครถือสาอยู่แล้ว  
 
หมายความว่าคนเขาไม่ทำตามอยู่แล้ว     เข้าใจไหม   ตลก..... อยากเป็นเหมือนอียิปต์หรือ ? 
 
ก็แล้วแต่ว่าตลกจะอยากทำอะไร ...    ไม่มีใครแคร์หรอก.......
 
  • ผู้แสดงความคิดเห็น สุนาย ธีระกุล วันที่ตอบ 2012-07-12 21:23:07

 

 

 

 

 

รัฐประหาร 22 พ.ค.2557 16.30 น. 
จาก FB. Phayap Panyatharo
 
 
 Gneral Prayuth Janocha becomes Chief of National Peace and Order Maintaining Council. It's a new coup d'etat in Thailand taking place today May 22,2014[2557] 16.30. And the NPOMC is now playing martial songs alternating with Prayuth'order one by one. The orders are all way of olden backward autocrat. Thai soldiers keep destroying what they don't know its value to their own country for a long time. I myself would like to apologize all democratic countries in the world for spoiling world democracy once. As for myself I still have a strong determine to fight for democracy in my country with all friends. I expect Prayuth's regime could hardly last long. It'll end by itself by Prayuth's wisdom.
 
พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา กลายมาเป็นหัวหน้าคณะผู้รักษาความสงบแห่งชาติ มันคือคณะรัฐประหารชุดใหม่ในประเทศไทย ที่ทำการเมื่อวันนี้เอง วันที่ 22 พ.ค.2557 เวลา 16.30 น. ละขณะนี้ คสช กำลังเล่นเพลงปลุกใจทหารสลับไปกับคำสั่งประยุทธออกมาเป็นระยะ ๆ คำสั่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนถึงวิถีทางเผด็จการที่ล้าหลังโบราณทั้งนั้น ทหารไทยยังคงสืบต่อการทำลายสิ่งที่พวกเขาไม่รู้คุณค่าของมันต่อประเทศของตนเองมานาน ข้าพเจ้าเองใคร่ขอแสดงความเสียใจขอโทษต่อประเทศประชาธิปไตยทั้งหลายในโลกในการที่มีคนทำลายประชาธิปไตยโลกอีกครั้ง ในส่วนของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าก็ยังคงมีเจตนาอันแข็งแรงที่จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อไปในประเทศของข้าพเจ้า พร้อมกับเพื่อนทั้งหลาย ข้าพเจ้าคาดว่า ระบอบประยุทธจะไม่อาจยั่งยืนไปนานได้ มันจะไปสู่จุดจบด้วยตัวของมันเอง ด้วยสติปัญญาของคนชื่อประยุทธ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 พรรคที่ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงแก่ประชาชนไทยคือพรรคประชาธิปัตย์
 
 
มีหัวหน้าพรรคชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ยุคที่มีที่ปรึกษาชื่อ นายชวน หลีกภัย
ซึ่งล้วนเป็นประเภทคนดีแต่พูดเลยไป
ถึงการโกหกพกลมไปวัน ๆหนึ่ง
(กว่าจะได้ออกมาอย่างภาพ ก็ฝึกมานาน
คิดเอาดีเพียงการสร้างภาพ ทำอะไรไม่เป็น)
 
เราฟังเอาไว้ แล้วคิด สังเกต วิเคราะห์   ก็จะพบความจริงอันนี้    แล้วเราจะให้มีพรรคการเมืองที่ไร้สาระเช่นพรรคประชาธิปัตย์ไปทำไม
·         ผู้ตั้งกระทู้ สุไหงปาดี ชินะกุล :: วันที่ลงประกาศ 2013-06-04 16:21:35
 
 
[1] 
ความเห็นที่ 1 (3367550) 
 
ไปฟังรายการคนแดนไกล พูดดีกว่า ชัดเจนมาก
·         ผู้แสดงความคิดเห็น นายตาดี วันที่ตอบ 2013-06-04 16:24:08
 
 
 ความเห็นที่ 2 (3368142) 
ล่าสุด ออกมาโจมตีโครงการจำนำข้าวของรัฐบาล   ว่าขาดทุน.........เขาตอบกลับอย่างเจ็บแสบ ยังกะถลกหนังหมาทาเกลือ
·         ผู้แสดงความคิดเห็น สุคนธ์ สิงศิษย์ วันที่ตอบ 2013-06-11 21:18:52
 
 
 ความเห็นที่ 3 (3370176) 
 
ล่าสุด นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหน.ปชป. ออกมาแถลงว่าพรรคประชาธิปัตย์จะดำเนินนโยบายประกันราคาข้าว จะไม่เอาจำนำข้าวอย่างเด็ดขาด .......   จำไว้ครับ
พรรค ปชป.ทำตัวเหมือนสังคมหมาครับ..........เวลาหอนขึ้นตัวหนึ่ง ตัวอื่น ๆ ก็หอนตามไป โดยไม่คำนึงว่าถูกผิดหรือไม่ ทุกวันนี้รับกันเป็นทอด ๆ ไม่ว่าเรื่องอะไร ที่ให้ร้ายรัฐบาล ให้ร้ายพรรคเพื่อไทยและให้ร้ายทักษิณ ........ พวกมันหอนรับกันเป็นทอด ๆ  
การกล่าวว่ารัฐบาลขาดทุนในโครงการจำนำข้าวนั้น ไม่ทราบว่าพรรคปชป.ได้ข้อมูลมาจากไหน   เพราะตัวเลขนั้นสูงถึง 2 แสน 6 หมื่นล้านบาท มีการให้รายละเอียดไปอีกว่า ถึงชาวนาจริง 8 หมื่นล้านบาท รัฐบาลโกงไป 1 แสน 8 หมื่นล้านบาท 
แต่มีข้อน่าสังเกตอย่างยิ่งว่า ข้อมูลดังกล่าวนี้มาจากสำนัก ทีดีอาร์ไอ TDRI มี ดร.อัมมาร สยามวาลา ดร.ฉลองภพ สุสังกรกาญจน์ ดร.สมเกียรติ์ ตั้งกิจวานิชย์.....   เป็นนักวิจัยคนสำคัญอยู่นั้น .สำนักนี้ทำงานวิจัยด้านการประกันราคาข้าวมาเป็นเวลานานมาก.........แล้วเสนอพรรคประชาธิปัตย์ ๆ ก็รับไปทำนโยบาย.............ครั้นนโยบายออกผลมา มีข้อผิดพลาดเต็มไปหมด มีการทุจริตอย่างร้ายแรงหลายเรื่องหลายครั้ง และมีข้อเท็จจริงคือ มันไม่ได้ส่งผลด้านดีขึ้นแด่ชาวนาเลยแม้แต่น้อย ......   ก็ไม่สนใจที่จะทำการวิจัยหาข้อบกพร่องของโครงการ ...... หรือสนใจไปทำวิจัยการจำนำข้าวอย่างสมบูรณ์ ก็เปล่า แต่แล้วกลับไปโจมตีโครงการจำนำข้าของพรรคเพื่อไทย ทั้ง ๆ ที่ตนไม่ได้ทำการวิจัยในส่วนการจำนำข้าวมาเลย ......... สถาบันทีดีอาร์ไอ นี้เป็นสถาบันวิชาการวิจัย ที่ลำเอียงอย่างที่สุด น่าขายหน้า   การที่ไปวิจัยด้านเดียว คือด้านการประกันราคาข้าว และทั้งการวิจัยที่สุดห่วย ......(เพราะผลมันออกมาห่วยแตกภายหลังที่พรรคประชาธิปัตย์เอาไปทำนโยบาย) จะน่าเชื่อถืออย่างไร ตามหลักวิชาการก็ใช้นำไปอ้างอิงไม่ได้อยู่แล้ว ........   ฉะนั้น ด้วยฝีมือการวิจัยที่ห่วยมากนี้ เท่ากับการเดาเอา    .....   ด้วยอคติที่มีต่อโครงการจำนำข้าวของพรรคเพื่อไทย ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามตน ก็จึงน่าเป็นไปได้ว่า สำนักนี้เองที่ปั้นเรื่องราวสร้างตัวเลขขึ้นมาได้ ที่ว่า รัฐบาลขาดทุนจำนำข้าวถึง 2แสน6หมื่นล้าน มีการทุจริตโดยเงินตกถึงประชาชนแค่ 8 หมื่นล้านบาท รัฐบาลโกงไป 1 แสน 8 หมื่นล้านบาท แล้วพรรคเช่นพรรคประชาธิปัตย์ก็ฉวยเอาปุ๊ป เอาไปใส่ร้ายรัฐบาลต่อไป เพราะพรรคนี้ไม่ใช่พรรคการเมืองอยู่แล้ว แต่เป็นเพียงกลุ่มพวกอันธพาลที่ถูกรับรองโดยกฎรัฐธรรมนูญโจร เท่านั้นเอง .....
ทีดีอาร์ไอ      นี่คือสถาบันวิจัยที่ห่วยที่สุดของประเทศนี้.
·         ผู้แสดงความคิดเห็น นายธำรงค์ สนธิประชา วันที่ตอบ 2013-07-09 15:02:14
 
 
 ความเห็นที่ 4 (3370219) 
 
นั่นซีครับ   ชื่อใหญ่โต ว่าเป็นสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ตั้งขึ้นโดยพล.อ.เปรม ตินสูลานนท์ สมัยนู้น .......... ดร.อัมมาร นี่แหละ ที่พูดถึงการวิจัยประกันราคาข้าวไว้เป็นอย่างมาก แต่ได้ดำเนินการวิจัยอย่างเป็นวิชาการวิจัยเพียงใด ไม่ปรากฎว่ามีการเปิดเผยหรือพูดถึงวิธีการวิจัยเลย ...... เราคิดอยู่ตลอดว่าสถาบันนี้ มั่ว ๆ ไม่ได้มีการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดรอบคอบจริง ....... และก็จริง   เพราะผลงานที่พรรคของตนที่ตนสนับสนุนได้นำเอาไปทำนโยบายประกันราคาข้าว    ผลออกมา ชาวนาไม่ได้ประโยชน์จากนโยบายนี้เลย มีแต่พวกพ่อค้าต่างประเทศ พวกโรงสี พวกนักการเมือง ที่ได้กำไรมหาศาล จนกระทั่งพรรคนี้เอาไปคุยได้ตลอดว่า การส่งข้าวไทยไปตลาดต่างประเทศเป้นอันดับหนึ่งของโลก   แต่รัฐบาลประชาธิปัตย์ลืมคิดด้านคุณธรรมไป ที่ว่าการเป็นอันดับหนึ่งของการส่งข้าวออกนั้น ได้ส่งผลต่อความอยู่ดีกินดี การกระเตื้องขึ้นของชาวนาบ้างหรือไม่   ซึ่งข้อเท็จจริงก็คือ ไม่ได้เป็นผลดีอย่างไรแก่ชาวนาเลย ชาวนายังจนอยู่เท่าเดิม   และที่สำคัญ ยังเป็นการกดหัวชาวนา ชนส่วนใหญ่ของประเทศให้ตกอยู่ใต้ความเชื่อของวัฒนธรรมทาสต่อไป .........อันเป็นการขัดหลัก ขัดความก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตยของประเทศ    ..... นี่คือผลงานอันห่วยมากของ ทีดีอาร์ไอ และพรรคประชาธิปัตย์   ที่นอกจากไม่กตัญญูต่อชาวนาไทยแล้ว ยังกดหัวชาวนาให้อยู่ในระบบทาส มีวัฒนธรรมทาสครอบชาวนาอันไพศาลของไทยต่อไป   ........... แต่พอมีจำนำข้าว ทุกสิ่งทุกอย่างกลับตาละปัตร ชาวนาคืนฟื้นสู่อิสระภาพ ยืนบนขาตนอย่างมั่นใจ มั่นคง เป็นไท ...........และรู้วิถีทางประชาธิปปไตย...........
 
ที่เป็นประเด็นก็คือ ทีดีอาร์ไอ ไม่เคยปรากฎว่าได้ทำการวิจัยทั้งสองด้าน โดยที่ไม่เคยปรากฎว่าได้ทำการวิจัยระบบจำนำข้าวและลักษณะรายละเอียดของนโยบายจำนำข้าวของพรรคเพื่อไทยเลย ..........   เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ออกมากล่าวเป็นตุเป็นตะได้อย่างไร ว่าอะไรดีกว่าอะไร ระหว่างระบบประกันราคา กับ ระบบจำนำข้าว เพราะเป็นการลำเอียงในเชิงการวิจัยแต่ต้นแล้ว   ใช่ไหม?
ถ้าเราไม่ได้ชื่อว่า   สถาบัน และ มีคำว่า วิจัย และมีคำว่า เพื่อการพัฒนาประเทศ .............. คุณจะพูดอะไรไปก็ได้    มั่ว ๆ ไปก็ไม่มีใครถือสา   แต่นี่ เป็นถึงสถาบัน ที่มันไม่สมศักดิ์ศรีคำว่า สถาบัน    มีงานของตนว่า งานวิจัย   ที่ใหญ่โตเพราะเพื่อการพัฒนาประเทศ
คือคุณมีฝีมือต้อยต่ำขนาดนี้เชียวหรือ ? ไม่ละอายใจเลยหรือที่ไปโจมตีระบบจำนำข้าว..สิ่งที่ตนไม่เคยมีข้อมูลเชิงการวิจัยอยู่ในมือเลย   ดร.อัมมาร สยามวาลา ?...........มาคำนึงผลงานเช่นนี้แล้ว ประพฤติผิดหลักการสำคัญ โดยลำเอียงเสียแต่ต้นแล้วนี้ รู้อยู่ แล้วเอาความรู้ที่ผิด ๆ ด้วยข้อมูลที่มั่ว ๆ นั้นไปประกาศ อันเป็นการให้ร้ายแก่รัฐบาล......ที่ไม่รับเอานโยบายประกันราคาข้าวของคุณไปทำ....เอาระบบจำนำข้าวไปทำแล้วที่ได้สร้างผลงานเป็นที่ประทับใจชาวนาทั่วประเทศด้วยระบบจำนำข้าว(อันมีรายละเอียดของเท็คนิกเฉพาะของพรรคเพื่อไทยเอง)  คุณไปวิจัยดูซี ....... แล้วยอมรับในสัจธรรมเกี่ยวกับชาวนาเสียที ............
 
หรือถ้าคุณจะเสนอระบบประกันราคาข้าว   คุณก็ไปทำการวิจัยต่อไปอีก ทำให้เสร็จสมบูรณ์เสียก่อน............และครั้นทำสองด้านคือทำวิจัยทั้ง2ระบบรวมทั้งระบบจำนำข้าวเสร็จสมบูรณ์   จึงค่อยมาเสนอ................และในการเสนอนั้น คุณก็ไม่จำเป็นต้องบอกว่า   ระบบไหนดีกว่า คนเขาอ่าน ทราบข้อมูล เขาตัดสินใจเองได้   จากข้อมูลที่ละเอียดสมบูรณ์ของคุณที่ได้ศึกษามาอย่างถูกหลักการของ research methodology นั้น ............... นี่สิ จึงจะสมศักดิ์ศรีของสถาบันวิจัย เพื่อการพัฒนาประเทศ.....................   เข้าใจไหมครับ ด๊.อัมมาร สยามวาลา ?
และยอมรับผิดมาโดยดี ว่าต้นเรื่องที่ไปที่มาของข้อมูลมั่ว ๆ ที่ว่า   โครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทำรัฐบาลขาดทุนถึง 2 แสน6หมื่นล้านบาท เงินตกถึงมือประชาชนเพียง8 หมื่นล้านบาท รัฐบาลโกงไป 1 แสน 8 หมื่นล้านบาท ............. นั้น เป็นฝีมือของสถาบันห่วยที่ชื่อ ทีดีอาร์ไอ. 
·         ผู้แสดงความคิดเห็น ประยุกต์ นามเสพ วันที่ตอบ 2013-07-10 07:09:09
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
วันแจ้งความแห่งชาติ
1 เม.ย. พุทธศักราช 2557

 วันแจ้งความแห่งชาติ 

1 เมษายน พุทธศักราช 2557
ขอเพียงแค่ความเป็นธรรม

 
ทำไม เพราะเหตุใดจึงมีวันนี้  วันที่มีความหมายใหญ่โตชนิดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนในโลก.  ก็เพราะเหตุผลเดียวคือ  มีคนกลุ่มหนึ่งในระบอบดั้งเดิมท้าทายอำนาจของประชาชน ผู้รักประชาธิปไตยทั้งประเทศ  พวกเขาได้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายมาตลอด นับตั้งแต่มีการเคลื่อนไหวของประชาชน เพื่อการสร้างระบอบการเมืองใหม่ ให้สำเร็จไปตามเป้าหมายและตามที่กฎหมายรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ ให้การรับรองเอาไว้ แม้ในรัฐธรรมนูญเถื่อน(รัฐธรรมนูญโจร) ของคณะ คมช.ที่ยึดอำนาจ ทำลายระบอบประชาธิปไตยลง เมื่อวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549  ก็ได้รับรองเอาไว้ในมาตรา 2 ว่าดังนี้
 
<<<มาตรา ๒ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข>>>
และรับรองอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยเอาไว้ในมาตรา 3 4 และ 5  ดังนี้ 
 
<<<มาตรา ๓ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้
การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม>>>
 
<<<มาตรา ๔ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง>>>
 
<<<มาตรา ๕ ประชาชนชาวไทยไม่ว่าเหล่ากำเนิด เพศ หรือศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน>>>
 
 
คนกลุ่มนั้นมีชื่อตามกฎหมายว่า  ศาลรัฐธรรมนูญ  หน้าตาคนพวกนี้มีปรากฎตามสื่ออย่างมากมายแล้วในขณะนี้
 
ความผิดของคนพวกนี้ มีอะไรบ้าง  ทำไมได้ก่อความสงสัยอย่างมากมายเหลือเกินว่า พวกเขาได้กระทำความผิดอันยิ่งใหญ่ขนาดใด ถึงกับคนทั้งแผ่นดินลุกขึ้นมาต่อต้าน และแจ้งความกันทั้งแผ่นดิน จนตั้งชื่อว่าวันแจ้งความแห่งชาติ
1.   เป็นกลุ่มคนผู้ทำหน้าที่อย่างทุจริต ผิดกฎหมาย  และ สร้างกฎหมายเอาเองตามอำเภอใจ  พวกเขาได้สร้างมาตรฐานการวินิจฉัยที่ผิดเอาไว้ในระบบการยุติธรรมแห่งชาติ โดยทำการตีความกฎหมายเอาตามอำเภอใจเพื่อประโยชน์ของตนและพวกของตนเป็นหลัก  เร่ิมด้วยการตีความมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ซึ่งบัญญํติไว้ดังนี้
<<<มาตรา ๖๘ บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้  มิได้
ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทำการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทำดังกล่าว ย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือนการดำเนินคดีอาญษต่อผู้กระทำการดังกล่าว
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้พรรคการเมืองใดเลิกกระทำการตามวรรคสอง ศษลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองตามวรรคสาม ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองที่ถูกยุบในขณะที่กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นระยะเวลาห้าปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งดังกล่าว >>>
ศาลรัฐธรรมนูญ หรือที่รู้จักกันในมวลชนว่า ตลก.รัฐธรรมนูญ ได้ละเมิดมาตรา 68 วรรค 2  ที่บัญญัติไว้ว่า <<<ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทำการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทำดังกล่าว ย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือนการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการดังกล่าว>>>
โดยที่ในตัวบทกฎหมาย การรับเรื่องราวที่มีผู้เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการนั้น จะต้องยื่นที่อัยการสูงสุด ไม่มีข้อความใดในบทบัญญัตินี้ ที่อนุญาตให้ยื่นโดยตรงต่อ ศาลรัฐธรรมนูญได้ ........  และ ไม่มีข้อความใดที่ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญจะอาจสามารถรับเรื่องราวได้เอง
 
ฉะนั้น เราจึงจะเห็นได้ว่า  การบัญญัติไว้เช่นนี้ ย่อมเป็นการชอบธรรม ในแง่ที่ว่า  อัยการสูงสุดก็จะเป็นผู้ทำการกลั่นกรองเรื่องราวเสียก่อน และกฎหมายให้อำนาจตรงนี้แด่อัยการสูงสุดก็เพื่อที่ระบบการยุติธรรมตรงนี้จะเป็นการกระทำการโดยความสุขุมรอบคอบ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแด่ทั้งฝ่ายจำเลยและฝ่ายโจทก์...และในสมัยนี้ ย่อมเป็นธรรมแด่ประชาชนพลเมืองด้วย   ในเมื่อ ศาลรัฐธรรมนูญได้กระทำการโดยไม่มีอำนาจ หรือไม่มีบทบัญญัติให้อำนาจไว้ โดยรับเรื่องราวเสียเองโดยตรงเช่นนี้........   ก็มีนักกฎหมายให้ความวินิจฉัยไว้ทั่วไปเอิกเกริกอยู่แล้วว่า  ท่านได้กระทำการเกินอำนาจหน้าที่ของท่าน ........
 
ในตรงนี้ อาจจะอธิบายตามหลักการของระบอบประชาธิปไตยได้ว่า  กฎหมายได้กำหนดหน้าที่ไว้ต่างกัน  ในมาตรานี้ได้กำหนดให้อัยการสูงสุดเป็นผู้รับเรื่อง และ กลั่นกรอง ซึ่งมีความเหมาะสมแก่สถานะของอัยการสูงสุด เหมาะสมแก่ความรู้ ความสามารถ และหน่วยงานที่อาจจะประสานในเรื่องข้อมูลได้อย่างดีกับฝ่ายอำนาจบริหาร   หรือตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายอื่น ๆ ของรัฐบาล    ส่วนท่านเป็นศาล  ท่านมีหน้าที่อย่างเดียวคือ  ดำรงตนอย่างตรงไปตรงมา  ท่านต้องทำตนเหมือนเป็นพระรูปหนึ่ง (มีธรรมะคือ อุเบกขา)  นั่นคือ  พิจารณณาคดีไปตามข้อมูล หรือข้อเท็จจริง แล้วเอาหลักกฎหมายที่มีอยู่มาตัดสิน หากไม่มีกฎหมาย  ก็จะต้องยกประโยชน์ให้จำเลย  จึงจะเป็นความยุติธรรม  
เนื่องจากยุคนี้เป็นยุคที่ประชาชนเจริญ หมายถึงมีความรอบรู้กว้างขวาง  มีอิสรภาพในการแสวงหาความรู้  มีเสรีภาพที่จะโต้แย้งเชิงวิชาการกับใคร ๆ ก็ได้และไปยุติที่การมีเหตุผล ยอมรับในเหตุผลของกันและกัน  นี่คือลักษณะประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังเผชิญอยู่  
ข้อสำคัญก็คือคำว่า หน้าที่  ซึ่งหมายถึง อำนาจ และความเป็นใหญ่เฉพาะตนนั้น หมายถึงสิ่งที่ให้ความเป็นธรรมชาติของหลักการประชาธิปไตยข้อสำคัญคือหลักความเสมอภาค (EQUALITY) โดยเอาความชอบธรรมที่้จะเสมอกันจากหน้าที่ของคนแต่ละคนที่มีอยู่ว่ามีความสำคัญพอ ๆ กัน เสมอกันทั้งสิ้น  บุคคลทุกคนต่างมีหน้าที่ทุกคน และทุกคนมีความเสมอกันที่หน้าที่อ อันเป็นหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย  หากเราไม่เคารพในหน้าที่ของคนอื่น ไปก้าวก่ายเสีย ก็จะเป็นการกระเกินหน้าที่  การทำเกินหน้าที่ก็ไม่เป็นความเสมอภาค ไม่เป็นประชาธิปไตย  ซึ่งตรงนี้ตุลาการ ผู้พิพากษาทั้งหลายจะต้องฟังในหลวงทรงดำรัสไว้ เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 นี่เอง มีข้อความสำคัญว่า 
 
<<<เดี๋ยวนี้ยุ่ง เพราะว่าถ้าไม่มีสภาผู้แทนราษฎรไม่มีทางจะปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย.  มีของเรามีศาลหลายชนิด มากมาย แล้วมีสภาหลายแบบ และก็ทุกแบบนี่จะต้องเข้าใจกัน ปรองดองกัน และคิดทางที่จะแก้ไขได้.  นี่พูดเรื่องนี้ค่อนข้างจะประหลาดหน่อย ที่ขอร้องอย่างนี้  แล้วก็ไม่อย่างนั้นเขาก็จะว่าต้องทำตามมาตรา 7 มาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ.  ซึ่งขอยืนยัน  ยืนยันว่ามาตรา 7 นั้น ไม่ได้หมายถึงให้มอบให้ พระมหากษัตริย์มีอำนาจที่จะทำอะไรตามใจ ไม่ใช่.  มาตรา 7 นั้นพูดถึงการปกครองแบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ได้บอกว่าให้พระมหากษัตริย์ตัดสินใจทำอะไรได้ทุกอย่าง.  ถ้าทำเขาจะต้องว่าพระมหากษัตริย์ทำเกินหน้าที่.  ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยเกิน  ไม่เคยทำเกินหน้าที่.  ถ้าทำเกินหน้าที่ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย. >>>
 
ตามระราชดำรัสนี้ ทรงขอยืนยันอะไร?.............ทรงยืนยันว่า  มาตรา 7 นั้นไม่ได้หมายถึงให้มอบให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจที่จะทำอะไรตามใจ.........
ทรงตรัสชัดเจนว่า     ถ้าทำเกินหน้าที่ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย......  เห็นไหม?  
และทุกถ้อยคำพระราชดำรัส ล้วนมีความหมายต่อระบอบประชาธิปไตยทั้งสิ้น โปรดศึกษาให้เข้าใจ ...คำว่า  ถ้าไม่มีสภาผู้แทนราษฎรก็ไม่มีทางจะปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย.........   เข้าใจไหม   เป้าหมายคืออะไร ?.......การเลือกตั้ง   เท่านั้น   
 
ในกรณีมาตรา 68 นี้ การที่ศาลรัฐธรรมนูญ ไปรับเรื่องเอาเอง โดยไม่ผ่านอัยการสูงสุด...ตามที่กฎหมายมาตรานี้บังคับเอาไว้ นั้น    จึงเป็นการกระทำความผิด...และธรรมดาเมื่อบุคคลกระทำความผิดย่อมต้องมีโทษ  ท่านก็ต้องได้รับโทษ  ฐานทำเกินหน้าที่ ต้องตามพระราชดำรัสของในหลวงนี่เอง  
และในระบอบประชาธิปไตย  ถือว่าไม่เคารพสิทธิของอัยการสูงสุด...สิทธิที่จะทำหน้าที่ของเขา  ท่านไปก้าวล่วงสิทธิของคนอื่น นั้นเป็นความรู้ขั้นต้นของระบอบประชาธิปไตย  และเมื่อมีใครละเมิด ผู้นั้นก็ต้องได้รับโทษ เช่นเดียวกัน ....ตามหลักของพุทธศาสนาที่ว่าไว้ว่า  กลฺยาณการี กลฺยานํ  ปาปการี จ ปาปกํ  ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว (ไม่ละเว้น)  ศาสนาอื่น ๆ ก็ไม่ละเว้นเช่นกัน จึงมีวันสิ้นโลกในศาสนาคริสต์  วันกิยามะ ในศาสนาอิสลาม  ซึ่งเมื่อถึงวันสิ้นโลก  คนทั้งปวงจะได้รับการพิพากษาชำระโทษอย่างไม่ละเว้น  
 
อีกอย่างหนึ่ง  มาตรา 68 นี้ ได้กล่าวถึงเรื่องราวที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งของระบอบประชาธิปไตย  นั่นคือ เรื่องของอำนาจนิติบัญญัติ  กับเรื่องของอำนาจบริหาร ....   เพราะระบอบประชาธิปไตยจะจัดการให้อำนาจบริหาร นิติบัญญัติ มีทิศทางไปสู่การสร้างสรรค์อันยิ่งใหญ่ของประเทศ จึงต้องมีเส้นทางที่ทรงพลัง สง่างาม ภายใต้ความต้องการ ความปรารถนาของประชาชน อันไม่อาจจะมีองค์กรหนึ่งใดขัดขวางยับยั้งได้ นอกจาก   ประชาชน เท่านั้น ซึ่งระบบเช่นนี้ เราชาวไทยยังต้องเรียนรู้อยู่อีกมาก
 
ในเมื่อศาลรัฐธรรมนูญ ทำเกินหน้าที่  ไปโดยไม่ตระหนักในความสำคัญของเรื่องราวที่ตนตัดสิน   ทำการตัดสินไปอย่างลวก ๆ ไม่รอบคอบ  ไม่รู้สาระที่แท้จริงของเรื่องราวที่ตนตัดสิน(เช่นกรณี ปปช.ตัดสินคดี 2 ล้าน ล.เพื่อพัฒนาระบบคมนามคม ของพรรคเพื่อไทย รัฐบาลยิ่งลักษณ์  นายสุพจน์ ไข่มุกด์ และนายวิชา มหาคุณ กก.ปปช กล่าวว่า  ไม่เหมาะสม  เพราะสิ้นเปลืองเงินทองจำนวนมหาศาล และมองว่าการเป็นหนี้เป็นสิ่งที่เลว  และยังเสนอว่าควรสร้างถนนลูกรังให้ครบทุกตำบลหมู่บ้านในประเทศไทยเสียก่อน...ซึ่งบ่งบอกถึงความคิดที่ล้าหลัง ไม่เข้าใจสาระของนโยบายของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย.....ไม่เข้าใจหลักการว่า  นโยบายนั้นคือสิ่งที่ประชาชนเลือก ที่รัฐบาลต้องทำโดยปราศจากการขัดขวางของผู้หนึ่งผู้ใดโดยสิ้นเชิง   ก็เพราะเจ้าของอำนาจอธิปไตยสูงสุดคือประชาชนเขาอนุมัติมาโดยตรงแล้ว ....หากมิฉะนั้น จะได้ทำอะไรเมื่อไรเล่า ?  ประเทศจะเดินหน้าไปได้อย่างไร ?  ฉะนั้น ถ้าได้คนอย่างตลก.รธน.นี้ปกครองประเทศไทย ก็คงไม่ทันความเจริญของโลกแน่ ๆ ประเทศไทยต้องเก็บตัวเองอยู่แต่ในกะลาเท่านั้น)   และไม่มีข้อมูลทางการสืบสวนสอบสวนที่มีระบบประกันได้ว่าพร้อมพอที่จะอำนวยความยุติธรรม   จึงเป็นการตัดสินไปอย่างชุ่ย ๆ สุกเอาเผากิน (วลีนี้เป็นสิ่งที่ได้รับการรับรองจากนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ผู้ซึ่งเคยเป็นอดีตประธาน ศาลรัฐธรรมนูญเอง  นี่คือพยานของเรา  ได้พูดวิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญเอาไว้ต่อสาธารณชน ที่อ้างอิงได้จริงว่า ชุ่ย สุกเอาเผากินจริง)  ย่อมไปเพิ่มน้ำหนักโทษานุโทษแด่คณะกรรมการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไปอีก     ...
 
 
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญทำการตัดสิน  ให้นายสมัคร สุนทรเวช พ้นสถานะนายกรัฐมนตรี  โดยไม่ได้อ้างอิงกฎหมายเลย(ไม่มีตัวบทกฎหมายให้อำนาจไว้ กระทำการเกินหน้าที่)  กลับไปอ้างพจนานุกรม มาเป็นสาระสำคัญของการตัดสินความ  จึงถือว่าเป็นการตัดสินที่อยุติธรรมอย่างยิ่ง และเป็นการตัดสินความที่ชุ่ย สุกเอาเผากินอย่างยิ่ง  นอกจากนั้นยังบอกไปถึงพื้นฐานความรู้ความเข้าใจในหน้าที่และความรับผิดชอบของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ตนมีหน้าที่อันยิ่งใหญ่ต้องดูแลบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและระบบกฎหมายของประเทศ   แต่มันหมายความว่า ตุลาการคณะนี้ ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าคำว่า กฎหมาย  หมายความว่าอย่างไร  พจนานุกรมเป็นกฎหมายหรือจึงอาจเอามาอ้างอิงได้? และไม่คำนึงสาระสำคัญของเรื่องราวที่ตนตัดสิน ว่าจะไปก่อความเสียหายอย่างไรต่อระบบการปกครองทั้งมวลของประเทศ และจะทำลายวิถีทางประชาธิปไตยไปอย่างไร  ไม่คำนึง  ฉะนั้นนี่จึงเป็นการกระทำผิดไปอีก เป็นเหตุให้เพิ่มโทษไปอีกอย่างที่อภัยให้ไม่ได้  
และครั้นเมื่อมาตัดสินความใหญ่   คือ  ยกให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ.2557 เป็นโมฆะ เสีย   นั้น มันบอกไปถึงการตัดสินความที่ตนเองตัดสินไปอย่างลวก ๆ ไม่รอบคอบ ไม่รู้สาระที่แท้จริงของเรื่องราวที่ตนตัดสิน เป็นการตัดสินความอย่างสุกเอาเผากินอย่างยิ่งอีกครั้งหนึ่ง  โดยครั้งนี้ มันได้บอกไปอย่างชัดเจนเลยว่า คณะตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีความรู้พื้นฐานพอที่จะเข้าใจคำว่า รัฐธรรมนูญด้วยซ้ำไป  และไม่เข้าใจสาระสำคัญของเรื่องราวที่ตนตัดสินว่าเป็นอย่างไร  มีผลกระทบไปอย่างกว้างขวางเพียงไร  ไม่เข้าใจเชิงความหมายสำคัญของประชาธิปไตยเลยที่ว่า มันเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องไปถึงเรื่องสิทธิและหน้าที่ของปวงประชามหาชน เจ้าของอธิปไตยของประเทศ อย่างไร  น้ำหนักแห่งปัญหาเป็นอย่างไร  เบา หนัก อย่างไร ไม่เข้าใจทั้งนั้น   จึงเป็นตัวการสร้างความเสียหายอย่างยิ่งใหญ่แก่ประเทศชาติ(เฉพาะเงินงบฯ 3,800 ล้านบาท ในการเลือกตั้งครั้งนี้ นั้นยังไม่ใช่ประเด็น เมื่อเทียบกับการเสียหายของทั้งระบบ)
 
ที่สำคัญ คณะตุลาการทั้ง 9 คนนี้   ไม่มีความรู้ความเข้าใจในหลักการปกครองประเทศ และวิถีทางที่จัดการปกครองประเทศที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ...ได้พิศูจน์ว่า เป็นคณะคนตาบอด ไม่รู้กฎหมาย   ไม่รู้ความหมายของพระราชดำรัสที่เสมือนเป็นกฎหมายสำหรับ ศาลรัฐธรรมนูญเองโดยตรง   จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะปล่อยให้บุคคลเหล่านี้อยู่ในตำแหน่งที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติเช่นนี้ อีกต่อไปแม้แต่วันเดียว .........เพราะเท่าที่ได้ทำลายประเทศชาติมาด้วยความเขลาอวิชชาของตนมาก็มากเกินพอแล้ว   
 
นี่จึงเป็นที่ไปที่มาของวันที่ 1 เมษายน 2557 วันแจ้งความแห่งชาติ.....และเราขอเพิ่มเติมไปว่า เป็นวันแห่งเจตนารมณ์ร่วมกันของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั้งประเทศ จักดำรงปณิธานร่วมกันว่า ในวันหน้าถ้าประชาธิปไตยต้องเดินหน้าไปให้ได้แล้ว จะต้องชำระสะสางองค์กรที่ไร้ความเป็นธรรม ไร้ความสามารถและ ความรู้ในระบอบประชาธิปไตยนี้เสีย ที่เรียกว่าองค์กรอิสระทั้งหมดตามรัฐธรรมนูญเถื่อน รัฐธรรมนูญโจร 2550 นี้ จะต้องได้รับการชำระอย่างเรียบเกลี้ยงในอนาคตไม่ไกลนักนี้  
 
 
ทำองค์กรเถื่อนเหล่านี้ให้เป็นองคกรที่ชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย ทำรัฐธรรมนูญเถื่อน รัฐธรรมนูญโจร ให้ตกไป  นำรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยกลับคืนมา นั่นคือระบบของประเทศนี้ทุกระบบต้องอยู่ใต้อธิปไตยของประชาชนพลเมืองไทยทั้งประเทศ .....โดยเด็ดขาด 
 
ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
3 เม.ย.2557 09:10:23
 
 
 
 
 
 
 
 
ศาล เมื่อไม่สถิตยุติธรรม ก็ต้องอาบัติปาราชิก 
 
 
เมื่อวานนี้ 18 ก.พ.2557 ขณะที่ ศรส.ทางรัฐบาลปฏิบัติการขอพื้นที่คืน 5 แห่ง  ทางฝ่ายตรงข้ามมี ปปช.ก็ได้ประกาศว่า รับข้อกล่าวหา นรม.ยิ่งลักษณ์ทุจริตโครงการจำนำข้าว ด้วยมติ กก.ปปช. 8:0 และให้ นรม.ไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 27 ก.พ.2557  และจะเร่งชี้มูลความผิดภายในเดือนมีนาคม 2557  (หากคดีมีมูล นรม.ต้องหยุดการทำหน้าที่ รก.นรม.)
 
เช้าวันนี้มีรายงานว่า  ชาวนานำ500อีแต๋นบุกกทม....นี่ก็เป็นผลจากการยุยงส่งเสริมจาก พรรคประชาธิปัตย์ กับปฏิบัติการม็องล้มล้างรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดย กปปส.ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
 
ในทางการเมือง นี้เป็นสิ่งที่ชัดเจนถึงการกบฎ  การแสดงบทบาทของ ปปช.  กกต. ระยะนี้เห็นชัดเจนว่าเร่งช่วยฝ่ายตนคือสุเทพ เทือกสุบรรณ กบฏประเทศ ผู้ต้องหาฆ่าประชาชน 99 ศพ โดยดำเนินการสกัดกั้นการรุกคืบหน้าของฝ่ายรัฐบาลโดยลัดคิวพิจารณาคดีอื่นโดยเฉพาะคดีพรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายตนเอง ที่มีคดีโกงประกันราคาข้าวมาก่อนนี้ตั้งแต่เป็นรัฐบาลอภิสิทธิ์    เป็นปฏิบัติการอริต่อฝ่ายรัฐบาล โดยเลือกปฏิบัติ ไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่ ....  และเลือกที่จะอยู่ตรงข้ามฝ่ายประชาธิปไตย  เข้าช่วยเหลือกบฏข้างฝ่ายขุนนางอมาตย์ เป็นเครื่องมือของฝ่ายอมาตย์เต็มตัว  ............โดยปฏิบัติการอย่างไม่ซื่อตรงต่อวิชาชีพทางกฎหมายหรือนิติศาสตร์ของตน ...... ใช้ความรู้ทางนิติศาสตร์เพื่อช่วยเหลือพวกพ้องของตนที่เป็นกบฏ   เพื่อสร้างความวุ่นวายแตกหักให้แก่ฝ่ายตรงกันข้ามของตน .. เพื่อฝ่ายตนได้ขึ้นสู่อำนาจ…ซึ่งในการนี้มีการปฏิบัติตอบโต้ขององค์กรอิสระเถื่อนเหล่านั้นอย่างทันการณ์ราวกับวางแผนทางยุทธศาสตร์ไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่คำนึงฐานะหน้าที่ของตนผู้อยู่ในตำแหน่งทรงความยุติธรรมเห็นได้ชัด  .......เมื่อไม่ทรงความยุติธรรม ทำตาชั่งแห่งความยุติธรรมเสียหายไปทั้งหมดก็มิต่างอะไรกับสงฆ์มีมลทินด้วยต้องอาบัติสูงสุด ตามพระวินัยแห่งพระพุทธศาสนาคือปาราชิก  ผู้ต้องอาบัตินี้โดยฝ่ายสงฆ์ฝ่ายสงฆ์ก็พ้นจากความเป็นสงฆ์โดยอัตโนมัติเอง ไม่พึงให้มีใครชี้ตัดสิน  ศาลสถิตยุติธรรมหรือผู้ทำหน้าที่ตัดสินคดีความอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม นี้ ย่อมเป็นที่พึ่งของสังคมในนัยะเช่นเดียวกับฝ่ายสงฆ์ นั่นคือผู้ดำรงความบริสุทธิ์ยุติธรรมของสังคม หากไม่ดำรงยุติธรรมแล้ว ใช้ตำแหน่งทำการทุจริต ไม่ตรงไปตามหลักวิชาชีพของตน  ก็ต้องพ้นจากหน้าที่ไปโดยอัตโนมัติ ไร้สิ้นซึ่งความนับถือศรัทธา เสมือนพระต้องปาราชิกไม่มีผิดเลย  ทางฝ่ายพระปาราชิก ต้องลาสิกขา หากไม่ลาสิกขาประชาชนก็จะรวมตัวกันทั้งหมู่บ้าน ตำบล ทั้งประเทศมาขับไล่ ไม่ให้อยู่เสียสถาบันอันสูงส่งบริสุทธิ์ที่กราบไว้บูชาของประชาชนอีกต่อไป    ผู้ทรยศต่อความยุติธรรม  ไม่ดำรงความเป็นธรรม มัวหมอง ทำลายสถาบัน ก็ต้องปาราชิกเหมือนสงฆ์นั่นเอง หากไม่ละอายใจ ไม่ทรงเทวธรรมคือหิริโอตตัปปะ ด้วยตนเองนั่นคือลาออกหรือทำให้ตนเองยุติบทบาทเองโดยอัตโนมัติแล้วประชาชนก็ย่อมจะมาขับไล่ไปเสียจากฐานะอันสูงส่งนั้นในที่สุด
 
ช.ห.บ. ชนบท
19 ก.พ. 2557:09:10:15
 
 
 
 
คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ 20 พ.ย. 2556 ท่านจะต้องเรียนรู้ไปมากกว่านี้อีกเยอะเลย

 คำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญ 20 พ.ย.2556 

  
การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ วันที่ 20 พ.ย. 2556 เป็นสิ่งที่เปิดเผยออกมาถึงความไม่ตรงไปตรงมาต่อหน้าที่และความทรยศต่อหลักการแห่งนิติธรรมและนิติศาสตร์ของสิ่งที่เรียกว่าศาลรัฐธรรมนูญไทยตามสิ่งที่เรียกว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 นี่คือความละเมิดอันยิ่งใหญ่ต่อประชาชนไทยผู้รักความเป็นธรรมทั้งประเทศ ในความหมายของการดูถูกดูหมิ่น หรือการหมิ่นแคลนประชาชนทั้งชาติ   เป็นพฤติกรรมที่ละเมิดต่อความยุติธรรมและความเป็นธรรมของสังคมตามระบอบประชาธิปไตยที่แสวงหามากว่า 81 ปี
 
เป็นการตัดสินที่มีเจตนาโดยตรงที่ขัดขวางการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาลที่มาจากประชาชน และที่ได้เสนอนโยบายผ่านการรับรองของประชาชน อันเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ อันเป็นการชอบธรรมตามหลักการประชาธิปไตย และทั้งเป็นพฤติกรรมที่ถ่วงความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติ ที่มุ่งหมายก้าวเดินไปตามระบอบการเมืองสากลระหว่างประเทศคือระบอบประชาธิปไตย โดยอ้างว่าการเดินทางไปตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นการนำประเทศไปสู่ความล้าหลัง ไม่ใช่ทางก้าวหน้าที่เจริญของประเทศนี้ แต่เป็นการนำประเทศถอยหลังเข้าคลองที่ย้อนไปสู่ยุคอดีตเก่าก่อน ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจที่ผิดและโง่เขลาต่อระบอบประชาธิปไตย   มันเป็นความอยุติธรรมอย่างร้ายแรงที่สุด ที่มีความตั้งใจสกัดกั้นความปรารถนาที่ก้าวหน้าไปตามระบอบการปกครองประชาธิปไตยของคนทั้งชาติ และของคนทั้งโลก  
 
ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั้งประเทศ นักวิชาการผู้รักความเป็นธรรมทุกสถาบัน จะต้องลุกขึ้นมายืนยันเจตนารมณ์ของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยว่าประชาธิปไตยเป็นสุดยอดการปกครองที่เราปรารถนา และทำการขับไล่ ทำการอัปเปหิไปเสียซึ่งศาลรัฐธรรมนูญนี้ที่เป็นศัตรูและมีพฤติกรรมทรยศต่อระบอบประชาธิปไตย ที่ทรยศต่อรัฐบาลผู้มีความชอบธรรมสมบูรณ์ในการใช้อำนาจบริหาร และทรยศต่อรัฐสภาแห่งชาติ อันมีที่มาถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย ในฐานะตัวแทนของประชาชน   โดยทั้งสองสถาบันของประชาชนกำลังดำเนินการบริหารประเทศตามนโยบายที่ได้รับการรับรองของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมาแล้ว เพื่อแผ้วถางทางสำหรับวิถีทางนำเอาประชาธิปไตยมาสู่ประเทศนี้ สังคมนี้ให้จงได้
 
และเราจะต้องเริ่มต้นการเดินหน้าในระดับเข้มข้น ณ บัดนี้แล้ว
 
 
ความเห็นที่ 30 (3380502) 
เราฟังการอ่านคำตัดสินของ ศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่เวลาที่ลุกขึ้นเคารพศาล เมื่อ 13.26.16 น.   ถึง 14.11.18 น. ที่สิ้นสุดการอ่านลง...........................
 
เห็นได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญ พยายามที่จะเอาหลักการประชาธิปไตยมาอ้าง ......... ในหลาย ๆ ตอน .............. เราคิดว่า ดีเหมือนกัน ที่ทำให้คนระดับนี้เริ่มสนใจหลักการประชาธิปไตยขึ้นมาแล้ว .........   น่ามีหวังว่า วงการวิชาการกฎหมาย จะได้ตื่นตัวเสียทีว่า มาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญ ทั้ง ของพ.ศ. 2550 และ ของ พ.ศ. 2540 นั้น มันยังลึกซึ้งอยู่มากนัก เมื่อเทียบกับสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญ พยายามแอบอิงมาอ้างในวันนี้
 
 
 
คือ เรามองว่าดี .... ตรงที่เป็นการเริ่มต้นเรียนรู้ เรื่อง "การปกครองระบอบประชาธิปไตย"   .....   และเห็นได้ว่า อุตส่าห์อ้างเรื่องระบอบประชาธิปไตยมา   ก็ดูไม่มั่นใจตนเองนัก ว่ามันถูกหรือไม่ ........ สงสัยในความรู้ของตนอยู่ เหมือนกลัวผิดกลัวถูกอยู่นั้นเอง
 
มีหลายเรื่องที่ท่านยังไม่เข้าใจ และหมายถึงการเข้าใจผิด ได้แก่   เรื่องเสียงส่วนมาก กับเสียงส่วนน้อย .............. เรื่องสมดุลระหว่างอำนาจ ............   เรื่องมาจากการเลือกตั้ง กับมาจากการสรรหา ...................และท่านไม่เข้าใจเลยเรื่องกระบวนการ หรือวิถีทางประชาธิปไตย
 
 
 
ภาพของท่านยังไม่ดี ในเรื่องความเข้าใจระบอบประชาธิปไตย ................ และเห็นไหม   เมื่อเราไม่เข้าใจ ก็นำมาสู่การตัดสินเรื่องสำคัญของประเทศ และเรื่องสำคัญของระบอบประชาธิปไตย   เสียหายหมด
 
 
 
ท่านทำลายความก้าวหน้าของประเทศในเรื่อง ถ่วงความก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตย    .......โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
 
 
 
มันยากที่จะอธิบายโดยเร็ว   แต่กระนั้น สิ่งที่ดีก็คือ   การไม่พิพากษายุบพรรคการเมือง และตัดสิทธิ สส. สว. และที่สำคัญที่สุดก็คือล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์
 
ซึ่งจะเป็นเรื่องโกลาหล และเกิดการขัดกันอย่างยิ่งใหญ่
 
 
 
ระหว่างศาลรัฐธรรมนูญ   กับประชาชนเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย
 
 
 
ในแง่ที่ว่า   ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายที่บอดใบ้ในเรื่องประชาธิปไตย แต่กลับมาอยู่ในฐานะที่ตัดสินชี้ผิดชี้ถูกเรื่องสำคัญสูงสุดของแผ่นดิน .....นี่คือศาลรัฐธรรมนูญ   กับฝ่ายที่เป็นจำเลย ซึ่งรู้เรื่องประชาธิปไตยอย่างเข้าในสายเลือด รู้ผิดรู้ถูกดีในหลักการของระบอบประชาธิปไตย รู้กระบวนการของประชาธิปไตย ......... ถึงแม้พวกเขาเป็นชนชั้นรากหญ้า ติดดินก็ตาม แต่กลับเก่งรู้ประชาธิปไตยดีกว่า...... ...........ดีกว่าใครล่ะ ?    โอโฮ ฐานะทางสังคมเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย ....... 
 
 
 
ท่านจะต้องเรียนรู้ไปมากกว่านี้อีกเยอะเลย   ........ 
 
1.    หลักของการปกครองระบอบชาธิปไตยเป็นหลักการปกครองที่มองมนุษย์อย่างยุติธรรม และเป็นธรรม โดยธรรมชาติของมนุษย์ ที่ได้ชื่อว่า ปุถุชน หรือ mankind   ต้องเข้าใจสถานะของความเป็นมนุษย์ในฐานะ ปุถุชน ให้ถูกต้องก่อน ...... แน่ละ ตรงนี้ ในสังคมเราจะยังมีความขัดแย้งอยู่มากมาย   แต่เราต้องเรียนรู้ให้เข้าใจถึงความเป็นธรรม และความยุติธรรม ที่เกิดจากระบอบการปกครองที่ว่า ประชาธิปไตย ให้ได้ก่อน .......... ให้เข้าใจว่า     อย่างไร ? ประชาธิปไตย ไม่ใช่เพียงชื่อ   แต่ประชาธิปไตยเป็น ความหมาย
 
2.    ประชาธิปไตยเป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้นเอง   ไม่ใช่สิ่งที่ยากลำบากสลับซับซ้อนอย่างไรเลย    วิธีของประชาธิปไตยก็เพียงเรายอมรับว่าคนก็เสมอกัน   ถ้าสังคมยอมรับได้ว่า คนเสมอกัน ไม่มีชนชั้น ไม่แบ่งว่าดีว่าชั่ว   แต่เสมอกันโดยความเป็นคนแล้ว   ก็จะเข้าใจและยอมรับได้ว่า ทำไมจึงต้องใช้หลัก Majority rule minority right และต้องมองเห็น เข้าใจว่า หลักการนี้มันมีความยุติธรรม และเป็นธรรมอยู่ในหลักการนี้จริง ๆ   จึงเป็นสิ่งที่ดีของระบอบนี้ ที่ดีมากพอที่จะสู้เพื่อเอามาใช้ในประเทศของเรา มันไม่ใช่แบบที่ท่านอ้างวันนี้ แบบเดียวกับพรรคอันธพาลในขณะนี้ที่ว่า เสียงข้างมากเป็นเผด็จการรัฐสภา นั้นน่ะ   นั่นมันมองผิวเผินเกินไป
 
3.    รัฐธรรมนูญเป็นเพียงกติกาของปวงชน เท่านั้นเอง    แต่กติกานี้ต้องศักดิ์สิทธิ์ และในหลักการที่ต้องกำหนดที่สำคัญก็คือ หลักการอำนาจสูงสุด 3 อำนาจ   ท่านต้องเข้าใจว่าทำไมจึง 3 อำนาจ ?    และจะต้องยอมรับว่า อำนาจทั้ง 3 นั้น จะต้องมาจากปวงชนชาวไทย หรือผูกพันกับปวงชนชาวไทย   ในหลักการว่า เป็นอำนาจของประชาชน   (ไม่ใช่เป็นอำนาจของผู้ครองอำนาจ ผู้ครองอำนาจเป็นเพียงตัวแทนของประชาชน ที่ได้รับการอนุมัติจาประชาชนเท่านั้นเอง และมาครองอำนาจเพียงเวลาจำกัด ไม่เกิน 4 ปี 8 ปี ก็ต้องออกไปให้คนอื่นหมุนเวียนเข้ามาครองอำนาจ)     นี่ เห็นไหม มีความยุติธรรม-เป็นธรรมอยู่ในทุกหลักการของประชาธิปไตย ต้องศึกษาให้ลึกซึ้ง
 
4.     กฎหมาย เป็นสิ่งสำคัญสูงสุดของระบอบนี้      กฎหมายต้องศักดิ์สิทธิ์ เพียงดังพระคัมภีร์ และจะต้องเป็นกฎหมายของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน   ประชาชนเป็นผู้บัญญัติกฎหมาย ประชาชนเป็นศาสดา ประสงค์สิ่งใดก็บัญญัติออกมาเป็นกฎหมาย   เมื่อประเทศเราเป็นประชาธิปไตย นั่นหมายถึงเรามีกฎหมายที่บริสุทธิ์ ทรงธรรม ศักดิ์สิทธิ์ จะมีการชำระกฎหมายครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศนี้ ......... มาสู่กฎหมายของประชาชน ประชาชนเขียนกฎหมายเอง ตีความกฎหมายเอง   จะต้องศึกษาให้เข้าใจความหมายที่ว่า กฎหมายเป็นพระคัมภีร์   และประชาชนเป็นศาสดาให้ดี   .......   เพราะตรงนี้จะนำไปสู่การปฏิวัติระบบวัฒนธรรม ประเพณีครั้งใหญ่ของประเทศด้วย ..........ตรงนี้ต้องเข้าใจกฎหมายในลักษณะของ   วิทยาศาสตร์   และประเพณี วัฒนธรรมในลักษณะของ วิทยาศาสตร์............... ยังต้องทำความเข้าใจอีกเยอะนะครับ
 
5.     พื้นฐานของประชาธิปไตยในบ้านเมืองเรา ยังต้องยกระดับให้สูงขึ้นไปกว่านี้   นี่เป็นความหมายของความตั้งมั่น และก้าวหน้าเดินไปได้ของประชาธิปไตยสากลเลยทีเดียว รวมไปถึงเป็นประเด็นของประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่น่าเป็นห่วง เช่นลาว พม่า กัมพูชา มาเลเซีย ด้วย ......... นั่นหมายถึงสถานะของประชาชนทั้งหมดทั้งมวล จำเป็นต้องยกสูงไปพ้นจากสถานะความเป็นทาส               ประชาชนต้องมาสู่สถานะของเสรีชน ทั้งด้านความคิดเห็นและเศรษฐกิจ ......... ไทยเรากำลังก้าวหน้าไปในการสร้างพื้นฐานอันนี้.........จงศึกษาเถอะว่าความก้าวหน้าในการยกพื้นฐานนี้ เคยมีพรรคการเมืองเช่นพรรคประชาธิปัตย์ ได้อนุเคราะห์สถานะนี้บ้างหรือไม่ แต่พรรคทักษิณนั้นแหละ ได้มีคุณูปการแก่ประชาธิปไตยอย่างสูงในแง่นี้ ประชาชนลืมตาอ้าปากได้ มีเงินในกระเป๋า มีฐานะที่ไม่ต้องงอนง้อกินน้ำใต้ศอกใคร นั่นแหละคือสถานะพื้นฐานเบื้องต้น สำหรับความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตย นโยบายสำคัญของพรรคการเมืองคือ ขจัดคนจนไปทั้งประเทศ ....นี่คือรัฐบาลประชาธิปไตยของทักษิณ และยิ่งลักษณ์ ประชาชนจึงรักเขา อย่างไรล่ะ   และนั่นหมายถึงการก้าวไปของประชาธิปไตยไทย ....ส่วนพรรคใดดีแต่ด่า.......การดีแต่ด่านั่นแหละบอกความหมายของความที่ไม่เข้าใจหลักการประชาธิปไตยเสียเลย   จะชนะใจประชาชนได้อย่างไร
 
6.    จะต้องเข้าใจอย่างดีว่า ประชาธิปไตยมีวัฒนธรรม คนไทยต้องมีวัฒนธรรมประชาธิปไตย   ที่สำคัญที่สุดก็คือ ความไม่อาฆาต พยาบาทจองเวร คนไทยต้องยอมรับในกฎกติกาการแข่งขันในทางการเมือง    เหมือนกติกาการกีฬา...........นั่นคือภายหลังการแข่งขันในทางการเมืองแล้ว  ประชาชนก็กลับคืนมาเป็นมิตรกัน ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย จนกว่าจะถึงเวลาที่เป็นรอบของการเลือกตั้งอีกครั้ง จึงมาสู้กันอีก และเวลานั้นให้สู้กันด้วยนโยบายพรรคการเมืองอย่างเต็มที่ เอาสิ่งที่ดีที่สุดของตนมาเสนอต่อประชาชน แล้วภายหลังประชาชนส่วนใหญ่เลือกพรรคการเมืองแล้ว ประชาชนก็กลับมาดีกัน อภัยแก่กันและกันในสิ่งที่ละเมิดกันและกันขณะต่อสู้ หมุนเวียนไปเช่นนี้   นี่คือความดีของระบอบประชาธิปไตย ประเทศจึงไม่แตกแยก ทุกครั้ง ๆ เราต้องเล่นการเมืองเช่นนี้ โดยวัฒนธรรมนี้ และควรระลึกถึงธรรมะว่าด้วยจิตว่าง(ที่ท่านพุทธทาสภิกขุสอนไว้) ......... แต่ทุกวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อแพ้เลือกตั้งทุกครั้งทุกคราว คนในพรรคนี้ นับแต่หัวหน้าพรรคลงไปถึงลูกพรรค ไม่เคยยอมแพ้ กลับไปเน้นย้ำให้ประชาชนฝ่ายที่เลือกพรรคตน(คือชาวใต้)เพิ่มพูนความแค้น ความอาฆาต พยายาท จองเวร ฝ่ายที่ชนะ ย้ำลงไปตลอดเวลาว่าชนะเพราะการจ้าง ซื้อเสียงจึงชนะ ไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมอภัยกัน   ไม่ยอมรับว่าหลังการแข่งขันแล้วก็หันมาโอภาปราศรัยกันได้อย่างดี ลืมเรื่องเดิมไปเสียชั่วคราว ต้องถือหลักภราดรภาพนิรันดร เราคิดต่างกันได้ทางนโยบายครับ   ฉะนั้นนี่คือจุดที่เรายังต้องสร้างขึ้นมาในด้านวัฒนธรรมประชาธิปไตย คืออย่าอาฆาต พยาบาท จองเวร   จะต้องเลิกการขัดเคือง หรือขัดแย้ง การแบ่งเป็นพวกเป็นพรรค ว่านั่นพรรคเรา นั่นพรรคเขา    และโดยวัฒนธรรมเสรีชนประชาธิปไตย ประชาชนเป็นเสรี    ไม่ผูกพันกับพรรคการเมืองไปตลอดกาล หรืออาจจะผูกพันไปตลอดกาลก็ย่อมได้ แต่โดยหลักวัฒนธรรมอย่างนี้
 
7.    จะต้องเข้าใจคำว่า Liberty [freedom] Equality Fraternity................คำว่าเสรีชนนั้น หมายถึงสิทธิและหน้าที่   และสิทธิของเราเสรีภาพของเราอยู่ที่ไม่ไปละเมิดสิทธิของคนอื่น ไม่งั้นก็ขัดหลัก เสมอภาค    ต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และมันจะสัมพันธ์ไปกับวัฒนธรรมประชาธิปไตย ...............วัฒนธรรมประชาธิปไตยโดยพื้นฐานแล้วนั้นต้องเป็นวิทยาศาสตร์ 
 
8.     ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยทุก ๆ คน ไม่มีเสียเลย   มีแต่ได้   ขอให้เข้าใจให้ดี เพราะมีคน คณะ กลุ่ม หรือ พรรค อาสามาทำงานให้ประชาชน เพียงแต่ประชาชนตรวจสอบ พิจารณา ว่าเขาจะสามารถทำงานให้เราได้หรือไม่ อย่างไร หมายถึงนโยบายของเขา พรรคของเขา คณะของเขา หรือแม้ตัวเขาเอง ประชาชนมีอย่างเดียวคืออำนาจที่จะให้เขาไป 1 เสียง ที่จะสนับสนุนเขา พรรคของเขา คณะของเขา แต่ประชาชนไม่จำเป็นต้องเสียอกเสียใจอะไรเลยเมื่อเขา พรรคของเขา หรือคณะของเขาพ่ายแพ้การเลือกตั้ง แต่ควรจะมีวัฒนธรรมการคิดว่า พรรคที่ชนะนั้นก็คงมีนโยบายที่ดี ๆ กว่าพรรคของเรา จึงมีคนชอบมากกว่าพรรคของเรา และที่สำคัญต้องคิดให้เห็นความจริงที่ว่า ประชาชนไม่มีเสีย มีแต่ได้ ในแง่ที่ว่าถึงพรรคของเราแพ้ แต่ไม่หมายความว่า ฝ่ายเราจะเป็นฝ่ายแพ้ไปด้วย แท้จริง เราก็พลอยได้ชัยชนะไปด้วยกับฝ่ายที่ชนะ เพราะอะไร ? เพราะประชาธิปไตยให้สิ่งที่เรียกว่า ความเสมอภาคหรือ equality แก่เรา เท่าเทียมกับฝ่ายประชาชนผู้พรรคเขาชนะ นั่นคือหลักความเสมอภาค ฉะนั้นแม้เราแพ้ แต่เราก็ได้ผลของนโยบายของพรรคที่ชนะเสมอพอ ๆ กับประชาชนทั่วไปทั้งหมดของประเทศ หมายความว่าพรรคการเมืองที่ได้เป็นรัฐบาล ต้องบริหารอย่างเสมอภาค จะเลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้ นี่คือสิทธิของคนส่วนน้อยในระบอบประชาธิปไตยนั่นเอง นี่จึงเป็นความดี ความยุติธรรมอย่างยิ่งของระบอบนี้ จึงเป็นสิ่งที่ดีของระบอบประชาธิปไตย จนกล่าวได้ว่า ประชาชนในระบอบนี้ไม่มีคนใดคนหนึ่งจะต้องเสียเลย มีแต่ได้ และพูดให้ลึกซึ้งตรงความหมายที่สุดก็คือ ประชาชนในระบอบนี้ล้วนเป็นผู้ชนะ ไม่มีแพ้เลย  
 
9.   ฝ่ายค้านมีสิทธิ์ได้เป็นรัฐบาลเสมอ เพราะระบอบนี้เขาจำกัดระยะเวลาการอยู่ในอำนาจ โดยหลักการว่า อำนาจนั้นควรแบ่งปันกัน จึงจะเป็นความยุติธรรม เขาจึงมี 4 ปีเลือกตั้งครั้งหนึ่ง ฝ่ายค้านต้องต่อสู้ตามกติกาของรัฐสภา อย่าต่อสู้นอกรัฐสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านต้องรู้สิทธิและหน้าที่ของท่าน ท่านไม่มีสิทธิ์คิดล้มล้างรัฐบาลโดยวิถีทางนอกรัฐสภา อย่างที่ประชาธิปัตย์ทำอยู่วันนี้ นั่นหมายถึงกบฏ โทษแรงอย่างแน่นอน ทั้งนี้เพราะประชาธิปไตยต้องการกำจัดผู้คิดการณ์ที่บ่อนทำลายรับาลโดยวิธีนอกรัฐสภา ไปให้เกลี้ยง ให้มาต่อสู้ในรับสภาทางเดียวเท่านั้น และหรือคิดล้มล้างระบอบประชาธิปไตยไม่ได้ นี่จึงจะเป็นระบอบประชาธิปไตย และเห็นได้ว่ามันได้ให้ความเป็นธรรมแก่ประเทศ ในด้านที่ว่าประเทศเดินหน้าไปได้ หากทำอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์ทำอยู่ คือไม่รับรู้กติกาเลย ไม่รู้กฎหมายด้วยซ้ำ ทำตนเป็นอันธพาลทั้งในและนอกรัฐสภา เช่นนี้แล้ว ประเทศชาติก็เดินหน้าไม่ได้ เสียหายแก่สังคมหลายด้านอย่างมหาศาล
 
10.    อื่น ๆ อีกหลายหลักการของประชาธิปไตย   ที่พอสรุปได้ว่า ระบอบประชาธิปไตยมีความหมายสำหรับประเทศไทย ยิ่งใหญ่มากในฐานะที่เป็นเครื่องมือนำประชาชนไทย และประเทศไทยไปสู่อนาคต .........ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือแห่งอนาคตโดยแท้จริง     เราจะต้องศึกษาให้เข้าใจว่า   ทำได้อย่างไร ?
 
ครับ เอาไว้เท่านี้ก่อน
 
วันนี้ก็พอใจ ที่เริ่มที่ชนชั้นระดับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่เห็นอยู่แต่ต้นแล้วว่า ไม่ประสีประสาในระบอบประชาธิปไตย เริ่มมาสนใจหลักการประชาธิปไตย จนอุตส่าห์เอามาอ้างอย่างกร้อมแกร้ม.............จนดูแล้ว น่าสมเพช น่าสงสารจริง ๆ ครับ   ท่านต้องเรียนรู้ไปอีกมากว่านี้ ตามหัวข้อที่เสนอมานี้แหละครับก่อน  
 
  • ผู้แสดงความคิดเห็น ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์ วันที่ตอบ 2013-11-20 16:00:15
 
 
 ความเห็นที่ 31 (3380505) 
 
ถึงอย่างไร ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ วันนี้ ก็ยังไม่เข้าใจในหลักการประชาธิปไตยที่เอามาตัดสินความ.........เราคิดว่า เมื่อประกอบด้วยเหตุผลอื่น คือสถานะของศาลรัฐธรรมนูญเอง ที่โดยหลักการประชาธิปไตย ตามมาตรา 2 มาตรา 3 รธน. 2550 ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรเถื่อน ไม่มีอำนาจใดใดเลย ในฐานะที่เป็นองค์กรเถื่อน
 
พวกเขายังไม่รู้สถานะตนเองตามระบอบประชาธิปไตยอยู่ตราบใด นั่นบ่งถึงความไม่เข้าใจประชาธิปไตยอยู่ตราบนั้น   และวันนี้ พวกเขาก็เข้าใจผิดไปหมด   ความรู้ยังไม่พอเพียงที่จะอยู่ในฐานะที่สูงส่งจนสามารถตัดสินเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ .............จะกลายเป็นผู้สร้างปัญหาแด่ประเทศชาติ และประชาธิปไตยไทย ต่อไปอย่างไม่สิ่นสุด
 
จึงน่าจะพิจารณาถอนตัวเสีย ลดบทบาทตนเองลงไปเสีย จะเกิดผลดีต่อประเทศชาติเป็นอเนกอนันต์
 
แต่แน่นอน การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็น ไม่วันนี้ ก็วันหน้า จนได้ และปัญหาของประเทศประชาธิปไตยไทย ก็คือ มีคณะบุคคลเช่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน นั่งอยู่ตรงนั้น......นั่นเป็นปัญหาของประเทศแน่นอน 
 
  • ผู้แสดงความคิดเห็น นายยอดเยี่ยม ยิ่งยง วันที่ตอบ 2013-11-20 16:21:25

 

 

 

 

 
นามธรรมและประชาชนจะลงโทษองค์กรอิสระ

 นามธรรมและประชาชนจะลงโทษองค์กรอิสระ 



องค์กรอิสระ ตามรธน.2550 รธน.เถื่อน รธน.โจร ได้กระทำสิ่งที่โลกตกตะลึงอีกครั้งหนึ่ง และโดยเชื่ออย่างสุจริตว่าตนกระทำไปตามหลักนิติธรรม ในคราวก่อน ๆ ก็มีคราวที่ได้ตัดสินให้ นายสมัคร สุนทรเวช พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยไร้เหตุผล เพราะการที่นายกฯสมัครไปออกรายการชิมไปบ่นไปทางโทรทัศน์ มันเป็นความผิดอย่างไร? มันเป็นโทษภัยแด่ใคร? โดยที่รายการนั้นก็เป็นเรื่องโภชนาการ ที่ให้ความรู้ในด้านโภชนาการ การอยู่ดีกินดีของคนทั้งหลาย ที่สำคัญเมื่อมองไปที่เจนาอันแท้จริงของท่านนายกฯสมัครก็จะเห็นว่าเป็นเจตนาดีล้วน ๆ ไม่ได้มีเจตนาร้ายอย่างใดเลย แม้มองในเรื่องผลประโยชน์ก็มองไม่เห็นจะเป็นไปได้ เพราะในฐานะนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ทำนุบำรุงสุขแก่ประชาชนทั้งประเทศ ในฐานะที่ท่านเป็นคนที่เชี่ยวชาญ มีความรู้ดีในเรื่องโภชนาการ ได้คิดว่าพอมีเวลาก็จะได้ให้ความรู้ในเรื่องการกินดีอยู่ดีและการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ ระดับรากหญ้า จะได้เอาไปทำอาหารการกินอย่างง่าย ๆ ราคาถูก ช่วยฐานะเศรษฐกิจของประชาชน ตามนโยบายของรัฐบาล เช่นแนวคิดของท่านในเรื่องมะนาวแพง เรื่องหมูราคาแพง ท่านก็แนะนำเรื่องต้มซี่โครงหมูใส่มะระ ...ฯลฯ แล้วท่านมีความผิดอย่างไร ? 

ในทัศนะขององค์กรอิสระ การที่ได้มองบทบาทนี้ว่ามีความผิดอันยิ่งใหญ่ จนจำเป็นต้องเอาท่านออกไปเสียจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้ได้นั้น ...มันเป็นการไม่ถูกต้อง และไม่เป็นธรรมเลย แล้วท่านได้ตัดสินเอาไทษอย่างหนักสาหัสฉกรรจ์ นั้น เท่ากับการตัดสินให้คนที่ไม่มีความผิดเลยแม้แต่น้อย ได้รับโทษถึงประหารชีวิตนั้น ..... เป็นการกระทำที่ผู้รักความเป็นธรรมมิอาจจะรับได้....และโดยนามธรรม นี่เป็นการก่อเวรก่อกรรมอันยิ่งใหญ่ไว้แด่ท่านสมัคร เพราะหลังจากนั้นท่านก็ป่วย มีปัญหาสุขภาพจนต้องเดินทางไปรักษาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วยังโดนกลุ่มคนของนายสนธิ ลิ้มทองกุล(พวกเดียวกับพรรค ประชาธิปัตย์และองค์กรอิสระเหล่านี้) เข้าห้อมล้อมถือป้ายประจารในต่างประเทศ ให้เป็นที่อับอายไปทั่วโลก นี่เป็นการสร้างเวรกรรมอันยิ่งใหญ่ไว้แด่ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีสมัคร ซึ่งยมบาลแห่งยมโลกจะต้องจารึกจดจารเอาไว้ เพื่อการพิพากษาชดใช้กรรมนี้อย่างสาสมในโลกแห่งนามธรรม 

ยิ่งไปกว่านั้น ในด้านนิติศาสตร์ที่ท่านมีความชำนาญ เป้นสาขาวิชาชีพของพวกท่าน ที่เอามาใช้เป็นเหตุเป็นผลสำหรับการพิจารณาฐานแห่งความผิด ท่านก็ไม่ได้อ้างกฎหมาย และไม่มีกฎหมายที่ใช้บังคับในกรณีนี้เลย กล่าวกันว่า คณะผู้ตัดสินได้พลิกกฎหมายฉบับแล้วฉบับเล่า ก็ไม่พบกฎหมาย แม้แต่บทบัญญัติเดียวที่จะเอาโทษแก่นายกรัฐมนตรี ..... แต่คณะผู้ตัดสินนี้ก็ยังตั้งใจมั่นที่จะต้องหาทางลงโทษนายกรัฐมนตรีสมัครอย่างเป็นโทษที่ร้ายแรงระดับประหารชีวิตให้ได้ ในที่สุดก็จึงได้อ้างพจนานุกรม ซึ่งไม่ใช่กฎหมายตามความหมายของนิติศาสตร์ อ้างเอาคำว่า ลูกจ้าง มาใช้ตัดสินลงโทษนายกรัฐมนตรี ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน มาตามระบอบประชาธิปไตย จนได้ 

นั่นเป็นการกระทำการตัดสินที่เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความลำเอียง ตามหลักการแห่งนิติธรรมและนิติศาสตร์ และไร้เหตุผลโดยสกลศาสตร์ และเป็นการกระทำเกินอำนาจหน้าที่ของตน ....อันย่อมเป็นความผิด และซึ่งคณะบุคคลคณะนี้ สมควรที่จะได้รับการพิพากษาและลงโทษ และควรจะได้สำนึกในความผิดที่ร้ายแรง แม้เป็นความผิดอันแรก แต่ร้ายแรงพอที่จะต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ลงเสีย ด้วยความละอายใจของตนเอง (แบบประเทศที่เจริญทางตะวันตก ที่เขามีคุณธรรม เมื่อได้กระทำผิดแล้ว ลาออกจากตำแหน่งไปเสียเอง) ...แต่คณะผู้ตัดสินคณะเดิมนี้ ยังคงได้โอกาส ใช้ตำแหน่งหน้าที่ที่ตนดำรงอยู่กระทำการอันทุจริตต่อมา โดยทำการพิพากษายุบพรรคการเมือง 3 พรรค ลง โดยไร้เหตุผลทั้งทางหลักการนิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ อีกเช่นเคย อันเป็นเหตุให้ นายกรัฐมนตรีอีกคนหนึ่งของประเทศไทยคือท่านสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องพ้นจากตำแหน่ง และทั้งลงโทษกรรมการพรรคการเมืองถึง 111 คน ให้ถูกตัดขาดจากการเมืองเป็นเวลา 5 ปีต่อมา ราวกับมีเจตนาลิดรอนพรรคการเมืองคู่แข่งของตนให้ปราศจากพลังความสามารถที่จะสู้กับพรรคของตนคือประชาธิปัตย์ 

นี่คือความอยุติธรรม อีกหนหนึ่งของคณะบุคคลคณะเดียวกันนี้ 

ต่อมา ไวไวนี้เอง คือเมื่อวันก่อนและวันวานนี้เอง คณะองค์กรอิสระ บุคคลคณะเดิม ๆนี้ ได้ทำการตัดสินและลงโทษระดับประหารชีวิตนายกรัฐมนตรี ให้พ้นจากตำแหน่งไปอีกคนหนึ่ง คือ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร....โดยไร้เหตุผล และโดยกระทำการเกินอำนาจหน้าที่ของตนในฐานะฝ่ายตุลาการ ที่เข้าไปก้าวก่ายอำนาจฝ่ายบริหาร 

มาถึงเวลานี้ จึงได้มีปรากฎการณ์ของประชาชนตื่นตัวขึ้นมาเพราะความอยุติธรรมที่ประชาชนได้รับ ...ได้เคยมีสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือ มี วันที่ 1 เมษายน2557 วันแจ้งความแห่งชาติ ที่ประชาชนทั่วประเทศแห่ไปแจ้งความเอาผิด ตลกทั้ง 9 ศาลรธน. เจ้าเก่าที่ตัดสินให้ การเลือกตั้ง 2 ก.พ.2557 เป็นโมฆะ นั่นหมายถึงการที่ประชาชนเริ่มการต่อสู้อย่างเข้มข้นที่จะชำระสะสางประเทศให้เกิดความเป็นธรรม จากองค์กรอิสระ ที่ลุแก่อำนาจ ที่ไร้เหตุผล ไร้มาตรฐาน ไม่เคารพกฎหมาย สร้างกฎหมายเอาเองตามอำเภอใจ และรับใช้อำมาตย์ระบอบเก่าก่อน จึงกระทำการย่ำยีคนของประชาชนผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย อย่างไร้ฐานะ การเกิดปรากฎการณ์วันแจ้งความแห่งชาติ น่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้องค์กรอิสระได้สำนึกตัว ละอายใจตัวเอง อย่างที่ประเทศที่เจริญ ด้วยจิตใจที่สูงส่งเขาปฏิบัติ เช่นในญี่ปุ่น ที่ นรม.ลาออกเป็นปกติ โดยสมัครใจตนเองคนแล้วคนเล่า หรืออเมริกา อังกฤษ ก็มีตัวอย่างที่ดี ๆ พอเอาเป็นบรรทัดฐาน แต่องค์กรอิสระไทย ได้กระทำความผิดซ้ำซาก และหน้าด้านไร้ความอาย และยังคับแคบเหมือนกบในกะลา ไก่ในสุ่ม เพราะแกไม่เคยฟังเสียงประเทศต่าง ๆ ในโลกที่เตือนมาให้ระวังการเมืองในประเทศไทยต้องเป็นไปในวิถีทางประชาธิปไตย ไม่เคยรู้เรื่องการเมืองอาเซียนว่าไทยจะต้องไปมีส่วนกับองค์กรอาเซียนอย่างไร และต้องเตรียมตัวอย่างไร อย่างกรณีล่าสุดนี้ทั้งนายบัน ซี มูน ลธ.ยูโน และเสียงจากบารัค โอบามา ปธน.สรอ. ก็เตือนประเทศไทยให้หาทางออกโดยวิถีทางประชาธิปไตย โดยให้จัดการเลือกตั้งโดยเร็ว และองค์กรเหล่านี้ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าตนมีสิทธิ์ที่จะเดินทางไปต่างประเทศอย่างมีเกียรติศักดิ์ศรีสมเป็นองค์กรสูงสุดของประเทศอย่างไร? 

บัดนี้จึงได้รับการตอบแทน ด้วยการปลุกประชาชนที่คั่งแค้นขึ้นทั่วแผ่นดิน จะปฏิบัติการกวาดล้างองค์กรเถื่อน รัฐธรรมนูญเถื่อนไปเสีย สร้างรากฐานประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ขึ้นมาเท่านั้น จึงจะสร้างระบบและระบอบที่เป็นธรรมขึ้นมาได้ 

แต่แม้จะเกิดปรากฎการณ์ของแผ่นดินที่ต่อต้านเตือนกันขนาดนี้แล้ว องค์กรเถื่อนเหล่านี้ก็ดูจะไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร กับการกระทำผิดของตน โดยคิดแบบหลงอำนาจไปสุด ๆ ว่า ใครจะอาจลงโทษพวกเขาได้ 

นั่นแหละ !! ถึงโดยรูปธรรม ประชาชนอาจจะลงโทษพวกเขาไม่ได้ขณะนี้ แต่วันหน้ายังมี ต้องเอามาชำระให้ได้ แต่โดยนามธรรม นั้นยากจะหลีกหนี 

พุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้ใน นิพเพธิกสูตร ฉักกนิบาต อังคุตตรนิกาย ไว้ว่า <<< เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ เจตยิตฺวา กมฺมํ กโรมิ กาเยน วาจาย มนสา >>> แปลว่า <<< ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า เจตนานั่นแหละเป็นกรรม เมื่อมีเจตนาแล้ว บุคคลย่อมกระทำกรรมโดยทางกาย วาจา ใจ >>> 

ในภาคนามธรรมตามหลักพุทธศาสนา คือ องค์รวมของ เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ องค์กรอิสระเหล่านี้ มี ศาลรธน. และ ปปช. เป็นต้น ย่อมรู้ดีแก่ใจตนเอง ว่าตนไม่มีความสุจริต และทุจริตต่อวิชาชีพของตนอย่างร้ายแรง ได้กระทำกรรมบาปโดยให้โทษให้ทุกข์แก่คนอื่น .... ในนามนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สส.และสว. ท่านมีความหมายรวมถึงประชาชนนับล้าน ๆ คนด้วย เพราะนายกรัฐมนตรีและคนสำคัญเหล่านี้ในระบอบประชาธิปไตย หมายถึงการเชื่อมโยงไปถึงเจ้าของประชาชนเสมอ องค์กรเหล่านี้ได้ทำโทษทุกข์แก่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สส.และสว.ที่มาจากประชาชนนับล้าน ทั้ง ๆ ที่โดยสถานะของตนเป็นเพียงองค์กรเถื่อน ที่นั่งบนบัลลังก์การพิพากษาในนามองค์พระมหากษัตริย์ แต่มิได้มีพระบรมราชโองการ...จึงมีความผิดในด้านจริยธรรมไปอีกสถานหนึ่งอันฉกรรจ์ต่างหาก อนึ่งบุคคลเหล่านี้ คือ นรม.ก็ดี สส.ก็ดี สว.เลือกตั้งก็ดี พรรคการเมืองก็ดี โดยหลักการประชาธิปไตยแล้ว ไม่อาจจะมีผู้ใดหรือองค์กรใดลงโทษให้ออก ปลดออก ไล่ออกได้ นอกจากประชาชนเท่านั้น ซึ่งนี้เป็นหลักการสำคัญที่แม้คนผู้อยู่ในหน้าที่ตำแหน่งสูงในระบบไทยยังไม่เข้าใจอยู่ 

และความผิดขององค์กรเหล่านี้ จะต้องได้รับการลงโทษทางนามธรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกด้วย เพราะเจตนาของตน ๆ ย่อมรู้ดี สมพุทธวจนะ ข้างต้นที่ว่า...เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ ....ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าเจตนานั่นแหละเป็นกรรม....จะปฏิเสธตนเองไม่ได้ ฉะนั้น ทำกรรมอันใดไว้ ย่อมได้รับผลกรรมทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ต้องตามหลักศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลาม ทุกประการ

ทางพุทธ โดยวัดวาอารามสวดกันเป็นประจำโดยภาษาตลาด ๆ ง่าย ๆ ทั้งญาติโยมและภิกษุสงฆ์สามเณรทุกวันธรรมสวนะ เตือนคนทั้งหลายว่า 

กัมมัสะโกมหิ เรามีกรรมเป็นของตัว

กัมมะทายาโท มีกรรมเป็นผู้นำมามอบให้

กัมมะโยนิ มีกรรมเป็นผู้นำมาเกิด

กัมมะพันธุ มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์และพวกพ้อง

กัมมะปะฏิสะระโณ มีกรรมเป็นเครื่องยุยงเป็นเครื่องระลึก

ยัง กัมมัง กะริสสามิ เราจักทำกรรมอันใดไว้

กัลยาณัง วา ดีก็ตาม

ปาปะกัง วา ชั่วก็ตาม

ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ เราจักต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น 


บัวระย้า ชะบาบุญเสฏฐ์
9 พ.ค.2557  08:45:50
 
 
 
 
 
 
 
 
สรุปประเทศไทยวันนี้  

บทสรุปประเทศไทยวันนี้
บทแทรกที่ 1 จากกระทู้ในเวบบอร์ด
พรรคประชาธิปัตย์ สุดถ่อย อัปรยศ
สุดถ่อย อัปรยศในการทำหน้าที่ในรัฐสภา  บอยคอตการเลือกตั้ง อย่างหน้าด้าน ไร้ความอายที่สุด ถึง 2 ครั้ง
แล้วยังต่อต้านขัดขวางการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557 อีก เท่ากับเป้นกบฏ  ควรยุบพรรคเสียเลย
<!--[if !supportLists]-->·         <!--[endif]-->ผู้ตั้งกระทู้ 001 :: วันที่ลงประกาศ 2014-01-31 16:34:45
 
 
ความเห็นที่ 1 (3385277)
 
กปปส.+ปชป. ร่วมกันบอยค๊อตการเลือกตั้ง 2 ก.พ.2557  ส่งม็อบติดอาวุธไป ยิง ถล่มกันที่หน่วยเลือกตั้งหลักสี่ ......การคัดค้าน ขัดขวางการเลือกตั้งเป็นความผิดร้ายแรงขนาดไหน ในระบอบประชาธิปไตย  ปชป.หารู้ไม่ 
ร้ายแรงถึงขั้นยุบพรรคนะครับ  และบัดนี้ ปชป.เหมือนไม่ใช่พรรคแล้ว   เป็นหมู่โจรหมู่หนึ่งเท่านั้นเอง
<!--[if !supportLists]-->·         <!--[endif]-->ผู้แสดงความคิดเห็น สุ วันที่ตอบ 2014-02-02 15:21:58
 
 
 
ความเห็นที่ 2 (3385400)
 
ตลอดเวลาที่เป็นพรรคฝ่ายค้าน ทำสิ่งเดียวซ้ำซากคือ  หาเรื่อง   ค้านทุกเรื่องโดยไม่คำนึงเหตุผล และจริยธรรมใดใดของสังคมมนุษย์
 
หลังเลือกตั้ง นายวิรัตน์ กัลยาศิริ อดีตสส.สงขลาหลายสมัย มือหาเรื่อง  สร้างเรื่องส่ง  ศาล รธน.   ขณะนี้เตรียมยื่นฟ้องข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อหาเรื่องยุบรัฐบาลยิ่งลักษณ์อีกแล้ว   โดยจะยื่นฟ้องให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ.2557 เป็นโมฆะ...
 
มันหน้าด้านจริง ๆ   และต่ำทรามมาก  เป็นพวก ป่าเถื่อน อนารยชนจริง ๆ  ดวงใจเต็มไปด้วยความเคียดแค้น รุ่มร้อนด้วยความอาฆาต พยาบาท จองเวร .........
 
ที่น่าคิดก็คือ มันไร้เหตุผลขนาดนี้แล้ว  หาก ตลก.รธน.ฉวยเอาไปล้มรัฐบาล....ตลก รัฐธรรมนูญ  นี่จะยิ่งกว่าป่าเถื่อนอนารยธรรมเสียอีก ...............
 
หากเป็นเช่นนั้น   เราค่อยปรึกษากันอีกครั้งหนึ่ง  อย่างสุขุมรอบคอบที่สุด แต่ต้องเด็ดขาดจริง ๆ ....  สวะที่ไร้ค่าก็ต้องกวาดให้เรียบหมดใช่ไหม?
 
<!--[if !supportLists]-->·         <!--[endif]-->ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2014-02-04 23:06:24
 
 
 
ความเห็นที่ 3 (3385418)
 
การเมืองไทยวุ่นวายเพราะอะไร?..........เพราะพรรคบอดประชาธิปัตย์นี้เองครับ   ......... นี่คือสัจธรรม   และโดยระบอบประชาธิปไตยแล้ว  ในเมื่อพรรคนี้สละสิทธิ์ ไม่ลงเลือกตั้ง นั่นหมายความว่าละบทบาททางการเมืองไป  พรรคนี้ก็จะต้องยอมรับว่าบทบาทในรัฐสภาของตนจบสิ้นลง   .............   แต่ถ้าคุณไปทำบทบาทนอกสภาในทางที่ขัดขวางการเลือกตั้ง และทำลายล้มระบอบประชาธิปไตย   นั่นก็ย่อมผิดกฎหมาย ....ร้ายแรงระดับ กบฏ  ล้มล้างประชาธิปไตย
 
ข้อเท็จจริงเป็นอยู่ขณะนี้  แล้ว กกต.  และตลก รธน.  ปปช.   จะมองไม่เห็นหรืออย่างไร ?
 
มันเป็นความผิดซึ่งหน้า  ว่า  เป็นกบฏ  ล้มล้างระบอบประชาธิปไตย   หาก ศาลรัฐธรรมนูญ กกต.  ปปช.มองผิดไปนอกนี้   ก็เท่ากับสนับสนุนกบฏ เท่านั้นเอง    ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยย่อมมองตรงกันอย่างนี้ด้วยเหตุผลอย่างนี้  ในวันนี้ มันบ่งบอกถึงความไม่ชัดเจนของกติกา หรือกฎหมาย ทำให้คนโกงเบี้ยวได้  ในวันหน้า ประชาชนจะสร้างกฎหมายขึ้นมาให้ชัดเจนอย่างนี้  เพื่อกำจัดคนโกงออกไปจากระบอบของเราให้เรียบเกลี้ยง กติกาประชาธิปไตยต้องชัดเจน จนไม่ต้องอาศัยนักกฎหมายใดมาตีความ  และประชาชนย่อมมองตรงกันหมด จึงจะได้ชื่อว่า กฎหมายของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
 
แบบที่ต้องการตีความจาก กกต.  ปปช.  จาก  ตลก รธน.  ที่ตีความเข้าข้างตนเองมาตลอดเช่นนี้  เป็นเรื่องที่ไม่ชอบด้วยระบอบประชาธิปไตย   ต้องมีการปฏิรูป 
<!--[if !supportLists]-->·         <!--[endif]-->ผู้แสดงความคิดเห็น นายวิจัยประชาธิปไตย วันที่ตอบ 2014-02-05 08:10:51
 
 
 สรุปประเทศไทยวันนี้
อะไรคือปัญหาประเทศไทย มี 2 ลักษณะคือ 1.  ปัญหาความไม่รู้ ไม่เข้าใจ หรือภาษาพุทธศาสนาว่า อวิชชา  2.  ปัญหาความดึงดื้อถือดี โดยหลงไปยึดมั่นถือมั่นในแนวคิดที่ผิด  ไม่ยอมลดละอัตตาตัวตน ยอมรับ กลับใจจากสิ่งที่ผิดมาเป็นสิ่งที่ถูก เรียกปัญหานี้ว่า ทิฏฐิ 
 
ใครเป็นผู้สร้างปัญหาทั้งหมดนี้  คือพรรคการเมืองเก่าแก่พรรคหนึ่ง ชื่อพรรคประชาธิปัตย์  ปัญหามีดังนี้คือ
1.   พรรคการเมืองนี้เริ่มต้นขึ้นด้วยเหตุอะไร ไม่คำนึง  ในที่นี้การมีพรรคการเมืองขึ้นนั้น เนื่องมาจากประเทศสยามนี้ ได้ตั้งใจที่จะนำการปกครองแบบทันสมัยในโลกเจริญมาใช้ปกครองประเทศ  เรียกว่า ประชาธิปไตย  พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อได้เห็นเช่นนี้จึงได้ตั้งพรรคขึ้นตามหลักการประชาธิปไตย  ตั้งชื่อพรรคของตนว่า ประชาธิปัตย์ ซึ่งแปลความหมายได้ตามหลักภาษาไทยและความหมายของระบอบประชาธิปไตย ได้ว่า พรรคที่สนับสนุนให้อำนาจการปกครองสูงสุดเป็นของประชาชน  (ประชา=หมู่คน,หมู่พลเมือง, ประชาชน,ประชาราษฎร์  อธิปัตย์=อธิปไตย,อำนาจสูงสุดของรัฐที่จะใช้บังคับบัญชาภายในอาณาเขตของตน) 
นั่นเป็นอวิชชาในพรรคประชาธิปัตย์ เพราะตั้งแต่ตั้งพรรคขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ.2489 วันที่ 6 เดือนเมษายน 2489 ซึ่งบัดนี้มีอายุจะครบ 58 ปีเต็มแล้ว จนกลายเป็นพรรคเก่าแก่ที่สุดในระหว่างพรรคการเมืองทั้งหลาย  แต่พรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคที่มีแต่ชื่อว่า  ประชาธิปัตย์  ในเนื้อหาของพฤติกรรมของพรรคการเมืองพรรคนี้ ไม่เคยสะท้อนความหมายของการปกครองที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนเลย  พฤติกรรมเป็นตรงกันข้าม นั่นคือ มิไ้ด้สนับสนุนให้การเมืองประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย ตามชื่อ  แต่คัดค้านระบอบประชาธิปไตย และมุ่งทำลายบุคคลในระบอบประชาธิปไตย(เช่นกรณี ดร.ปรีดี พนมยงค์ เป็นต้น) โดยตลอดมา  นั่นเป็นเพราะอวิชชา และทิฏฐิ ดังกล่าว  เลยทำให้พรรคการเมืองนี้ เป็นพรรคที่เริ่มต้นความหมายของการเมืองของตนด้วยการหลอกลวงตลบแตลงมาตั้งแต่ต้น และตลบแตลงมาจนถึงปัจจุบันนี้ ที่พรรคประชาธิปัตย์โดยการนำของบุคคลระดับหัวหน้า-รองหัวหน้า-เลขาธิการของพรรคและสมาชิกพรรคที่เป็นสส.ทั้งหมดในระยะปัจจุบัน ได้ดำเนินการต่อสู้ในสภาและนอกสภามาอย่างป่าเถื่อน โดยไม่เข้าใจวินัยทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตยเลย นั่นคือไม่เข้าใจเรื่องสิทธิ และ ไม่เข้าใจเรื่องหน้าที่ 
และไม่เข้าใจประชาธิปไตย  ไม่เข้าใจกฎหมายที่บัญญัติไว้อย่างสูงสุด นั่นคือรัฐธรรมนูญไทยทั้ง 18 ฉบับ ที่ต่างก็ได้เขียนข่้อความไว้ตรงกัน ที่บังคับเอาไว้ว่าประเทศไทยต้องปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย  อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  
โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปีพุทธศักราช 2540 อันเป็นรัฐธรรมนูญที่ได้รับการรับรองโดยสภาผู้แทนราษฎร(ในรูปรวมคือรัฐสภา) หรือ ปวงชนชาวไทยเจ้าของอำนาจได้รับรองไว้ ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 2 ว่า
 
<<<มาตรา ๒ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข>>>  
 
แม้กระทั่งรัฐธรรมนูญเถื่อน(รัฐธรรมนูญโจร) พุทธศักราช 2550 ที่ออกโดยคณะ คมช.ก็ยังรับรองเอาไว้  บังคับเอาไว้ว่า ประเทศไทยต้องมีการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่นเดียวกัน  
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และ 2550 ยังรับรองหลักการที่ว่าด้วยอธิปไตยของประชาชนและเรื่องสิทธิ เสรีภาพ  ความเสมอภาค และภราดรภาพอันเป็นหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตยเอาไว้ ตรงกันหมด อย่างเป็นข้อบังคับว่าประเทศไทยจะต้องดำเนินการเมืองไปตามที่รัฐธรรมนูญ(แม้เป็นรัฐธรรมนูญโจรก็ตาม)ไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ  นั่นคือ
 
<<<มาตรา ๓ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้
การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม>>>
 
<<<มาตรา ๔ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง>>>
<<<มาตรา ๕ ประชาชนชาวไทยไม่ว่าเหล่ากำเนิด เพศ หรือศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน>>>
 
 
พรรคประชาธิปัตย์  ไม่เข้าใจบทบัญญัติในมาตรา 2 มาตรา 3 มาตรา 4 และมาตรา 5 เหล่านี้ นี่คืออวิชชา  พรรคนี้จึงไม่เคยมีการยอมรับในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนชาวอีสาน และชาวเหนือ โดยผู้นำพรรคและสส.พรรคได้กล่าวเสมอ ๆ ว่า  เสียงประชาชนอีสาน 15 ล้านเสียงนั้นสู้เสียงคนกรุงเทพมหานคร 3 แสนคนไม่ได้ นายเสรรี วงศ์มณฑา ยิ่งเน้นไปอีก  ฉะนั้น รัฐบาลที่ได้มาจากการเลือกของคนอีสาน คนเหนือ จึงเป็นรัฐบาลโง่ ๆ  คนฉลาดอย่างคนกรุงเทพมหานคร จึงไม่อาจจะยอมรับได้จำเป็นต้องล้มรัฐบาลโง่ ๆ เสียทุกรัฐบาลไป และมีนักวิชาการฝ่ายประชาธิปัตย์ เช่นนายสมบัติ ธำรงค์ธัญญวงศ์(เป็นถึงศาสตราจารย์ในสถาบันชั้นสูง)  ได้กล่าวว่า  หลักการ 1 คน 1 เสียงใช้ไม่ได้สำหรับประเทศไทย จะต้องเป็น 70 : 30 อย่างนี้   อันเป็นการขัดแย้งบทบัญญัติใน 4 มาตราสำคัญ ในรัฐธรรมนูญไทยดังกล่าว  และหมายความว่าเป็นผู้ประพฤติผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ   ขัดขวางล้มล้างระบอบประชาธิปไตย นั่นเอง  ประชาธิปไตยไทยจึงถูกขัดขวางจากสิ่งที่เรียกว่า อวิชชา มาตลอด 81 ปีที่ผ่าน 
 
การที่มีบทบัญญัติบังคับไว้ในรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ รวมทั้งหมด 18 ฉบับ ในทำนองเดียวกับที่ยกตัวอย่างมาจากรัฐธรรมนูญ 2540  2550 นั้นก็หมายความว่า  ประเทศไทยต้องดำเนินการปกครองไปตามระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น  ไม่มีทางเลือกอื่น  หากมีฝ่ายใดคิดนำระบอบอื่นมาใช้ นั้นหมายถึงกบฏต่อระบอบประชาธิปไตยอย่างแน่นอน นั่นเอง 
และซึ่ง ตลอดเวลามา 58 ปีแล้ว ที่พรรคการเมืองชื่อ ประชาธิปัตย์ นี้ ได้ประพฤติตนเป็นผู้ขัดขวาง ต่อต้าน ทำลาย  ประชาธิปไตย   ไม่เคารพกฎหมายรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุด  และนั่นหมายถึง กระทำผิดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุด  ย่อมมีโทษฐานเป็นกบฏ ผู้คิดล้มล้างระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตามมาตรา 68 วรรค 1 
 
เช่นที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำการซ่องสุมผู้คน ติดอาวุธในสวนลุมพินี จำนวนมากขณะนี้  ย่อมได้ชื่อว่าคิดล้มล้างระบอบประชาธิปไตย
 
แต่นอกไปจากพฤติกรรมนี้ พรรคประชาธิปัตย์ยังได้พยายามที่จะนำหลักการปกครองที่ไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย และที่ไม่เป็นไปตามหลักการที่บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ    เช่นหลักการที่กำหนดอำนาจบริหาร ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ยกตัวอย่างเพียงมาตรา 172  ดังนี้
 
<<< มาตรา ๑๗๒ ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกตามมาตรา ๑๒๗
การเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามวรรคหนึ่ง ต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรรับรอง
มติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยุ่ของสภาผู้แทนราษฎร การลงมติในกรณีเช่นว่านี้ให้กระทำไปโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผย>>> 
 
ซึ่งมาตรา ๑๗๒ นีั้ ได้กำหนดที่มาที่ไปของประมุขของอำนาจฝ่ายบริหารเอาไว้ว่า  ต้องเป็นประชาธิปไตย ต้องมาโดยครรลองประชาธิปไตย นั่นคือ  ต้องได้รับการรับรองจากผู้แทนของประชาชน หรือในที่นี้ก็คือ สภาผู้แทนราษฎร นั่นเอง   ชัดเจนอยู่เช่นนี้   และรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับก็รับรองไว้ อย่างถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย  ถูกตามมาตรา ๒  ที่กำหนดไว้ให้ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย  ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ พรรคการเมืองใดใด  รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะต้องเคารพบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญนี้  และดำเนินการไปตามนี้   ไม่มีทางเลือกอื่น   เพราะนี้เป็นข้อบังคับสำหรับประเทศไทย ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ มาเนิ่นนาน ร่วม 81 ปีแล้ว  ฉะนั้น ในเมื่อมีพรรคการเมืองที่ไม่เคารพ และกระทำผิดต่อรัฐธรรมนูญ ไปอย่างฉกรรจ์ เช่นพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้ทำการบอยคอตต์และทำการขัดขวางการเลือกตั้งมาแล้วครั้งหนึ่งในปี 2549  และอีกครั้งหนึ่งในปัจจุบัน ในการเลือกตั้ง 2 ก.พ.2557  และยังพยายามทุกวิถีทางที่จะขัดขวางมิให้ประชาชนไปสมัครรับเลือกตั้ง จนเป็นเหตุให้ ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้อยู่บัดนี้ถึง 28 เขตเลือกตั้ง .....  นี่คือความผิดอันฉกรรจ์ ต่อระบอบประชาธิปไตย  และผิดต่อการขัดขวางสิทธิ ของประชาชน  และขัดต่อเสรีภาพของประชาชน  สมควรแก่การที่จะยุบพรรคการเมืองนี้เสีย  หรืออย่างน้อยก็เป็นพรรคที่ได้แสดงฐานะ ภูมิปัญญา วิชชา  ออกมาว่า ไม่มีคุณสมบัติพอสำหรับการเมืองระบอบประชาธิปไตยอีกต่อไปแล้ว   ไม่นับการที่พรรคนี้มีความประพฤติทุจริตประการอื่น ๆ ในอดีตอันไม่นาน จนมีการฟ้องร้องให้ยุบพรรคการเมืองนี้เสีย
 
 
ด้วยเหตุนี้  สรุปประเทศไทยวันนี้  ปัญหาทั้งสิ้นเกิดขึ้นจากพรรคประชาธิปัตย์    วิธีปฏิบัติก็คือ
 
1.    บุคคลหรือพรรคการเมืองกระทำผิดกฎหมาย  ทางเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายก็สมควรจับกุมตัวไปลงไทษเสียโดยเร็ว  อุปมาเหมือนมีหมาบ้าเกิดขึ้นในหมู่บ้าน  ชาวบ้านต้องรีบเร่งจัดการกำจัดไปโดยพลันทันที  ไม่งั้นหากปล่อยให้เนิ่นไปหมาบ้าย่อมมีโอกาสกัด ทำร้ายเด็ก หรือประชาชนในหมู่บ้านได้
 
2... เมื่อพรรคประชาธิปัตย์บอยคอตต์การเลือกตั้งนั้น  หมายความว่า เขามีสิทธิ์ที่จะทำได้ ตามหลักเสรีภาพของบุคคลและพรรคการเมือง  แต่สิ่งที่เขาไม่มีสิทธิ์ก็คือ การขัดขวางการเลือกตั้ง  ที่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ ที่มีการขัดขวางการเลือกตั้ง จนทำให้ไม่สามารถเลือกตั้งได้ 28 หน่วย  นั้นเป็นความผิด และนี่เป็นการกระทำอย่างมีความจงใจ มีเจตนาอย่างเต็มที่ และยังเป็นการกระทำความผิดซ้ำสอง จากการที่เคยขัดขวางการเลือกตั้งมาเมื่อปี 2549 ความผิดต่อระบอบประชาธิปไตย จึงมีความฉกรรจ์ที่สุด และในเมื่อประเทศปกครองโดยกฎหมาย  ผู้กระทำผิดกฎหมายย่อมต้องได้รับการลงโทษอย่างฉกรรจ์ตามไปด้วย
 
3.   การเสนอที่โง่เง่า ก็คือ  เสนอแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 7  ก็เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตรัสไว้ชัดเจนแล้วว่า  การเสนอแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 7 นี้  ไม่ถูกต้องตามหลักการประชาธิปไตย  ทรงตรัสแบบชาวบ้าน ๆ ว่า เป็นการกระทำแบบ มั่ว ๆ   ด้วยซ้ำไป  และพระองค์จะไม่ทรงกระทำการเกินหน้าที่  การทำการเกินหน้าที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย  ท่านทรงกล่าวไว้ (อันนี้น่าที่องค์กรอิสระ ฝ่ายอำนาจตุลาการ น่าจะได้สำนึกในพระราชดำรัสข้อนี้  เพราะทรงตรัสสอนคณะผู้พิพากษาโดยตรง  การทำเกินหน้าที่โดยหลักประชาธิปไตยก็คือ  ก้าวก่ายหน้าที่อำนาจอื่นเขา  โดยตนไม่เข้าใจก็ตัดสินอยุติธรรมออกมาอย่างตลก ๆ เช่นตนไม่เข้าใจเรื่องการเศรษฐกิจ เงิน ตลาด การลงทุนอะไรเลย ก็ไปตัดสินระงับการลงทุนเขา ...เขาจะสร้างรถไฟความเร็วสูง ก็ระงับ  ว่าสร้างถนนลูกรังดีกว่า....รู้ไหมว่ามันเป็นตลกที่ขายหน้าระดับโลกไปแล้ว)   อวิชชาปิดหูปิดตาพรรคประชาธิปัตย์อย่างมืดบอดเช่นนี้ ก็ย่อมทำลายระบอบประชาธิปไตยลงไปอีกทางหนึ่ง และย่อมไม่เป็นการเคารพและจงรักภักดีต่อสถาบัน  ที่ยังดื้อดึงคิดตั้ง นรม.ม.7 ต่อไป
 
4.   การเสนอที่โง่เง่าอีกที  ก็คือปล้นอำนาจเอาดื้อ ๆ   คิดดูเอาเองก็แล้วกันว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้กระทำไปอย่างโง่ ๆ  อย่างไร  เช่นเหตุการณ์เดือน พ.ย.-ธ.ค. 2556   นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ระดมประชาชนมาแสนกว่าคนเศษ...ถูกละมีสิทธิชุมนุม ตราบที่ไม่ไปละเมิดสิทธิของประชาชนคนอื่นเขา ...  ก็สถาปนาตนเองเป็นรัฏฐาธิปัตย์ และได้ออกโทรทัศน์แถลงการณ์  ออกคำสั่งไปยังนายกรัฐมนตรีว่า ให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ลงภายใน 24 ชั่วโมง  และวันต่อมาก็ได้ออกคำสั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้งประเทศมารายงานตัวต่อนายสุเทพ ณ ศูนย์ราชการ ที่ตนยกพวกปล้นยึดครองอยู่  ออกคำสั่งให้ปลัดกระทรวงทุกกระทรวงไปรายงานตัว   ออกคำสั่งให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติถอนกองกำลังออกไป  (ให้พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ยกกำลังมาเสริมแทน พล.อ.ประยุทธ จึงได้ตั้งบังเกอร์ขึ้นทั้่วกรุงเทพมาจนถึงบัดนี้ อันบอกไปถึงว่า  ใครบ้างที่ฟังคำสั่ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ)   และนี่คือ  เรื่องโง่ ๆ  หรือ อวิชชาของพรรคประชาธิปัตย์  ....ประชาชนโง่หรือ ที่จะเดินตามก้นคนบอดใบ้เช่นนี้....ปรากฎว่าประชาชนฉลาด  ม็อบสุเทพ-ประชาธิปัตย์จึงร่อยหรอลงไป  เหลือแต่พวกการ์ดโจรและบังเกอร์ล้อมรอบสุเทพอยู่และซ่องสุมกันณ สวนลุมพินี ทุกวันนี้ 
5.  พรรคและสมาชิกประชาธิปัตย์ มีความผิด ตามกฎหมายอะไรบ้าง   ก็ต้องได้รับการจับกุมตัวไปลงโทษ โดยเฉพาะความผิดล่าสุด คือการขัดขวางการเลือกตั้ง  นั้นเสมือนการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยโดยตรง ย่อมมีความผิดฉกรรจ์ถึงขั้นยุบพรรค ปรับ และจำขัง  
นี่ก็เป็นแนวทางแก้ปัญหาทางฝ่ายผู้รักษากฎหมาย
และทางฝ่ายประชาชนเสื้อแดงและประชาชนผู้รักประชาธิปไตย เข้าใจประชาธิปไตย  ผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย  แน่นอน  ย่อมดำเนินการไปตามวิถีทางอันชอบด้วยประชาธิปไตย ในอันที่จะรักษาต่อต้านระบอบอื่น ต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ  แม้แบบล่าสุด สุเทพ-อภิสิทธิ์ รักษาแนวทางตรงสู่ประชาธิปไตยทางเดียวเท่านั้น
ยืนยัน ทางเดียวเท่านั้น  คือ ประชาธิปไตย    นั้นเป็นทางชนะของประชาชนและประเทศชาติ
 
  • ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
    27 มี.ค. 2557 05:42:23
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ศึกษาประชาธิปไตย 
นโยบายการบริหารของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ควรเป็นอย่างนี้ !!!!!!
 
จาก หน้ารวมกลุ่มเว็บบอร์ด > นโยบายทักษิณ เพื่อไทย ถึง นโยบายยิ่งลักษณ์ บทวิเคราะห์ของนักวิชาการ ถึงเสวนาเรื่องสัพเพเหระ > ทักษิณแถลงแนวนโยบายพรรคการเมือ...
ทักษิณแถลงแนวนโยบายพรรคการเมืองไทย-พรรคเพื่อไทย 23 เม.ย.2554 บทวิเคราะห์
 
 
ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ประชาชนพ้นทุกข์ ได้ปัญญา ตาสว่างทั้งแผ่นดิน
 
ทักษิณคิดอย่างไร ได้ฟังกันแล้วเมื่อ วันที่ 23 เม.ย. 2554 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต
และขณะนี้ วันนี้ วงการสื่อสารมวลชน นักวิชาการ นักการเมือง และประชาชนทั่วไปก็ตกอยู่ในอาการตื่นกับความคิดของทักษิณ ในทัศนะของเราเห็นว่า แนวความคิดนี้ ก็เป็นสิ่งที่ได้แสดงผลออกมาแล้วในยุคพรรคไทยรักไทยปกครองประเทศ ครั้นพรรคไทยรักไทยถูกยุบด้วยอำนาจอมาตยาธิปไตย หัวล้าหลัง ที่ได้โกงอำนาจและรัฐบาลประชาชนไป โดยมีผู้มีบารมีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ เป็นตัวชักใยวางแผนล้มล้างรัฐบาล ด้วยความคิดอันล้าหลังสุดกู่แต่มักใหญ่ใฝ่สูง จึงทำประเทศล่มจมลงไปอยู่ในขณะนี้ เป็นเหตุให้คนรู้ความจริง และประชาชนได้เรียกร้องนโยบายทักษิณ พรรคทักษิณ และทักษิณเอง กลับคืนมา จนบัดนี้ มีโอกาสได้รับฟังว่านโยบายที่จะฟื้นประเทศไทยที่กำลังค่อยจมลงไปด้วยหัวอำมาตย์ล้าหลัง   เป็นอย่างไร      ประเด็นสำคัญของนโยบายนี้ ไม่ใช่มีความสำคัญเพียงว่า ทำอย่างไรประเทศไทยจึงจะหายจากความยากความจน มาสู่ความร่ำรวย ที่อาจจะร่ำรวยกันได้ทุกชั้นวรรณการอาชีพ และมีเกียรต์ในสายตาต่างประเทศ   แต่มีนัยยะสำคัญของความเป็นประชาธิปไตย ในแง่ที่ว่าทำอย่างไรประชาชนจึงจะสามารถขึ้นมาสู่อำนาจอธิปไตยของประเทศ และรักษาอำนาจเอาไว้เป็นของประชาชนอย่างถาวรต่อไป   นั่นคือความเป็นประชาธิปไตย..........และความคิดทักษิณนี้แทบทั้งหมดนั่นแหละ กระตุ้นวงจรลัดให้แด่ประชาธิปไตยไทย มันลัดไปได้อย่างเร็วเกินความคาดหมาย   โดยการปลุกประชาชนให้ตื่นและรู้จักคิดและรู้จักทำได้ด้วยตนเอง   ....    เป็นนโยบายอันเร่งรัดและข้ามขั้นตอนการวิวัฒนาการของประชาธิปไตยไปได้เป็นศตวรรษ        เราจึงสนับสนุนนโยบายและตัวบุคคลผู้จะทำนโยบายนี้อย่างเต็มที่
 
ส่วนที่จะมีเกิดขึ้นของปฏิกริยาในทางไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ ก็ย่อมมี   สำหรับพรรคการเมือง และบุคคลผู้ตามไม่ทันการเมืองยุคใหม่..และไม่เข้าใจอะไรเป็นอะไรเกี่ยวกับประชาธิปไตย ไม่เข้าใจหน้าที่ของพรรคการเมืองและนโยบายทางการเมือง ....มีพรรคการเมืองลักษณะนี้อยู่ในประเทศไทย ที่ไม่รู้จักประชาธิปไตย ไม่รู้จักทำนโยบายมาก่อนเลย แม้จะเกิดมานานกว่าพรรคการเมืองอื่น...ก็ได้แก่พรรคประชาธิปัตย์และทหาร   ที่ได้เป็นรัฐบาลในขณะที่มิได้มีอะไรอยู่ในหัวเรื่องนโยบายของพรรคการเมืองเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จึงไม่ได้มีการแถลงนโยบายก่อนขึ้นปกครองประเทศ(การที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้แถลงนโยบายในสภาผู้แทนราษฎร แต่เลี่ยงไปแถลงนโยบายที่กระทรวงการต่างประเทศนั้น ถือว่าไม่ได้แถลงนโยบาย และสะท้อนถึงการไร้นโยบาย และหมายถึงการเสี่ยงนำรัฐนาวาไปท่ามกลางความมืด ไร้หางเสือ ซึ่งก็ได้พิศูจน์แล้วว่าได้นำรัฐนาวาคือประเทศและประชาชนไปสู่ความหายนะแล้ว...และถลำไปคิดผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิที่ร้ายกาจ...กล่าวคือไปคิดวิธีการบริหารอันโหดเหี้ยมเยี่ยงสัตว์ป่าขึ้นมาใช้กับประชาชนตนเอง (เพราะคิดอย่างคนผู้เป็นประชาธิปไตยไม่เป็น)   นั่นคือฆ่าประชาชนส่วนหนึ่งทิ้งเสีย...อย่างน้อยก็ 91 ศพ... โดยข้ออ้างว่า เป็นมะเร็ง คือส่วนที่เลวร้ายของเลือดและเนื้อที่ไม่มีทางรักษาให้หายได้.....ในทัศนะของพรรคประชาธิปัตย์และทหารที่โง่เง่า..... มีทางเดียวคือตัดก้อนเนื้อร้ายนั้นทิ้งเสีย...แต่แล้วเนื้อที่อ้างว่าร้ายนั้นกลับงอกขึ้นมามากกว่าเดิมและงอกขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งสิ่งที่คิดว่าเนื้อร้ายนั้นจะท่วมตัวท่วมตนจนคนที่อ้างว่าเนื้อดีนั้นค่อยฝ่อลงไปจนจวนจะไม่มีที่อยู่แล้ว ) เมื่อเป็นเช่นนั้นรัฐบาลประชาธิปัตย์และทหาร จึงจำต้องยอมลอกกากนโยบายพรรคการเมืองอื่น เช่นพรรคไทยรักไทยไปทำ อย่างไม่เข้าใจเหตุผล แนวคิดอย่างประชาธิปไตยที่ซ่อนเร้นไว้นั้น   รัฐบาลนี้เขลาขนาดที่ต้องไปเสียค่าโง่ เพื่อจ้างบริษัทต่างประเทศให้ทำนโยบายเรื่องไข่ชั่งกิโล เสียเงินซื้อไปถึง 71 ล้านบาท แต่แล้วก็โดนตุ๋นเสียเปื่อย ...... น่าอับอายโลกทั้งโลกจริง ๆ (เขาก็จะเอาไปพูดว่า ขอให้ ปชป.ได้เป้นรัฐบาลอีก เขาจะเสนอนโยบายอย่างนั้นอย่างนี้ เรียกเงินค่าทำนโยบายเท่านั้นเท่านี้ได้อย่างสบาย)   แล้วยังไปลอกกากนโยบายประชานิยมมาจากอดีตประธานาธิบดีตูนีเซีย มาทำอย่างตูนีเซีย ที่แจก ๆ ๆ ๆ ตลอดมานั่นแหละ จนประธานาธิบดีตูนีเซียเผ่นหนีไปแล้ว ยังไม่รู้คิด (อันผิดหลักการประชาธิปไตยในแง่ที่ไม่ช่วยให้คนคิดเป็นทำเป็น) และยังมีก๊กการเมือง คือก๊กการเมืองใหม่ และก๊กภูมิใจไทย(ที่เรียกก๊กก็เพราะไม่มีลักษณะที่จะเรียกได้ว่าพรรคการเมือง) ที่มืดบอด สิ่งที่ไม่ใช่นโยบายไปประกาศว่าเป็นนโยบาย   เช่น เอาหลักการโฆษณาชวนเชื่อมาประกาศว่าเป็นนโยบายได้อย่างไร จนกกต.เขาตำหนิ แล้วก็คิดอับอายตนเอง รีบปลดป้ายลงทั่วประเทศ เสียเงินเท่าไรไม่คำนึง   ..อันเป็นท่าทีที่หมิ่นแคลนประชาชน นึกว่าคนไม่รู้ทัน .. เราคิดว่าพรรคเหล่านี้ควรจะถอนตัวจากการเลือกตั้งเสีย เพราะ นี่คือวัชพืชของประชาธิปไตย ทำให้ทางเดินของประชาธิปไตยรก...........  
 
เราพบว่าคนทั้งหลายกำลังตื่นในนโยบายใหม่เอี่ยมของพรรคเพื่อไทย โดยทักษิณ วันนี้   เพราะแม้ชาวนาในชนบทก็วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างอึงคะนึงในเรื่องเครดิตถ์การ์ดและหนี้เกษตรกร ....ทางชลบุรี   ทางใต้ก็คงตื่นเรื่องการถมทะเลสร้างเมืองใหม่..การป้องกันน้ำท่วม....ตลอดทั้งนิสิตนักศึกษาผู้จบการศึกษาแล้วที่จะได้มีโอกาสได้งานเงินเดือนไม่ต่ำกว่า 15,000 บาท บ้านใหม่ รถคันใหม่ และการเริ่มต้นชีวิตใหม่......แม้พี่น้องชาวมุสลิม3จังหวัดใต้ก็มีสิทธิได้เขตปกครองตนเองตามสิทธิประชาธิปไตย ....และอย่าลืมว่า มีประชาชนตาดำ ๆ ผู้ที่มีปากเหมือนน้ำท่วมปาก...(เพราะเขาป่วยอยู่).....เขาไม่อาจจะพูดได้   ว่าสิ่งที่พวกเขารอคอยคือ...... 30บาททุกโรค.....ทุกโรค........ในรายละเอียดของนโยบาย นั่นเป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อไทย นักการเมือง และประชาชนผู้สร้างประชาธิปไตย จะนำมาขยับขยายความออกไปตามลำดับ ๆ และให้เห็นว่าทั้งหมดของนโยบายทักษิณ....ไม่อาจจะแยกส่วน....แต่เป็นการสัมพันธ์กันเป็นองค์รวม.............
 
สุไหงปาดี ชินะกุล
24 เม.ย.2554
 
ผู้ตั้งกระทู้ สุไหงปาดี ชินะกุล :: วันที่ลงประกาศ 2011-04-24 16:42:36
 
 
 
[1] 
ความเห็นที่ 1 (3292802) 
 
นโยบายเหล่านี้ ให้ใครทำไม่ได้หรอกครับ   ลอกไปก็ทำไม่ได้ .............ต้องให้คนที่จัดเจนจริง ๆ .................. และแม้กระนั้น   อย่าลืมว่า การจะใช้นโยบายทักษิณ มันหมายถึง   การจัดการกับระบบไทยที่ล้าหลังทุกระบบด้วย ........มิฉะนั้นก็จะขับเคลื่อนนโยบายเหล่านี้ไปไม่ได้ . ฉะนั้น การจะขับเคลื่อนนโยบายอันยิ่งใหญ่ ฉลาดเหล่านี้ ผู้บริหารจะต้องมองทะลุว่าจะจัดการกับระบบที่ล้าหลังเหล่านั้นอย่างไร   ..............ให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี โดยไม่เป็นอันตรายหรือรับแรงกดอันหนักมาเข้าตน จนเดินต่อไปไม่ได้ ................... เหมือนทักษิณเคยกระทำมา .........และ ได้รับผลร้าย....... จากระบอบที่โง่เง่า ล้าหลังเหล่านั้น.มาครั้งก่อนแล้ว................แต่สำหรับคราวนี้ เราคิดว่า    มาคราวนี้ เขาจะต้องเตรียมพร้อมทุกอย่างจริง ๆ    ...................   จะไม่พลั้งพลาดให้แก่ระบบที่โง่เขลาดั้งเดิมอีก................ และนั่นหมายถึง ประเทศไทยสามารถเคลื่อนไปบนนโยบายเหล่านี้ได้อย่างพร้อมเพรียง   เหมือนกิ้งกือ 1000 ขาขยับไปได้พร้อมกันอย่างน่าดูน่าชมยิ่ง ................
 
และสามารถพูดได้ว่า   ให้คนอย่างพรรคประชาธิปัตย์ทำไม่ได้หรอก........ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะลอกกากนโยบายไป................เพราะถึงลอกไปก็ทำไม่ได้ เพราะเหตุผลอย่างเดียวคือ ประชาธิปัตย์นั่นเองคือตัวการที่ขวางทางการขับเคลื่อนของนโยบายเหล่านี้ เนื่องเพราะความเป็นระบบไทยที่ล้าหลังของประชาธิปัตย์...........นั่นเอง    ระบบที่จะต้องจัดการเสียก่อน จึงจะใช้นโยบายเหล่านี้ได้..........
 
ดังเห็นมาแล้ว   จากนโยบายโอทอบ ก็ดี   30บาทรักษาทุกโรคก็ดี ชุมชนพอเพียง ก็ดี   ประชานิยมต่าง ๆ ก็ดี การศึกษาก็ดี SML ก็ดีฯลฯ ที่ประชาธิปัตย์ลอกไป แต่ล้มเหลวไปหมด ก็เพราะ ความที่ประชาธิปัตย์เป็นตัวระบบที่ล้าหลังในตัวเอง.....ที่จะต้องจัดการก่อนเอานโยบายดังกล่าวไปใช้ นั่นเอง 
 
นั่นคือเหตุผลที่ว่า จะต้องเอาคนผู้คิดนโยบาย มาทำนโยบายด้วย
 
และหากได้ดั่งนี้แล้ว เป็นอันว่ามั่นใจจริง ๆ ว่า การขับเคลื่อนนโยบายเหล่านี้ จะต้องสร้างโลกที่ดีกว่าขึ้นในประเทศไทยอย่างทันตาเห็นจริง   
 
เราจึงเห็นความมีเหตุผลของชาวเสื้อแดง และขอร่วมต่อสู้ด้วยอย่างเต็มที่
 
ผู้แสดงความคิดเห็น บุษบา บุญเสฏฐ์ วันที่ตอบ 2011-04-29 21:12:13
 
 
 ความเห็นที่ 2 (3293286) 
 
ปราศรัยใหญ่พรรคเพื่อไทยพร้อม2เวทีเชียงใหม่-ขอนแก่น
คนเสื้อแดงแน่นหน้าสองเวทีเหนือ-อีสาน
 
เสื้อแดง เวทีขอนแก่น ขณะนี้เวลา 20.40 น. 30 เม.ย.2554 ฑิตย์สึกใหม่ อดิศร เพียงเกษ วีรบุรุษอีสาน กำลังพูดอยู่ อย่างเผ็ดร้อนด้วยเหตุผลของประชาธิปไตย
 
มาแล้ว วีดิโอลิ้งค์ของ ทักษิณ ชินวัตร 21.05 น. ถึง 2 เวทีพร้อมกัน ว่า มติชนลงข่าวรายการอภิสิทธิ์ ไม่เชื่อมั่นประเทศไทย วารสารอีโคโนมิสต์ วิจารณ์ว่าช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยในไทยห่างออกไปมากขึ้น ๆ    สถิติที่น่าอายในโลก ไทยเป็นที่ 2 รองจากโคลัมเบีย ปุ๋ยแพง ราคาข้าวตกต่ำ ของขึ้นราคาทุกวัน น่าอับอายที่สุด   สำหรับการบริหารรัฐบาลนี้ ........ เพื่อไทย.... ขอคิดใหม่ทำใหม่ อีกครั้ง..
 
สี่ปีข้างหน้า โบกมือลา.....ลาก่อนน้ำท่วม ลาก่อนฝนแล้ง.......ผมจะดูดน้ำจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามา ไม่ว่าพม่า ลาว เขมร เพราะเราไม่ทะเลาะกับเพื่อนบ้าน......... ถมทะเล สร้างเมืองใหม่ เอาให้เท่ห์เลยประเทศไทยเรา....... ยิ่งกว่าที่ผมสร้างสุวรรณภูมิ...........เมืองทั้งเมืองสร้างไม่ต้องกู้เงิน มีวิธีการ     ....ภาคใต้จะให้เม็ดเงินสะพัดทั่ว..... สี่ปีข้างหน้า พี่น้องตบกระเป๋ามีเงินตุง.... ทุกวันนี้มีแต่ใบกู้หนี้.......จะเติมเงินให้ท้องถิ่น กองทุนหมู่บ้าน ปัจจุบัน 1 ล้าน เอาไปอีก 1 ล้านเอาไปเลย.....จัดสวัสดิการ เงินฌาปนกิจ ให้   SML ก็ต้องเพิ่ม ..ปัญหายาเสพติดเป็ฯปัญหาใหญ่ของสังคม เราจะให้เสร็จใน 12 เดือน ....ไม่ใช่ต้องปราบอย่างเดียวแต่มีบูรณาการ........   คนไม่จบม.6 อยากจบม.6 จะให้จบม.6 ทุกคนภายใน 8 เดือน .... จะให้ราชภัทร...สถาบันอื่น ๆ ค้นหาตนเองว่าชำนาญเรื่องอะไร ......พี่น้องเข้าเรียนได้โดยไม่ต้องจ่ายตัง เข้าเรียนได้เลย ....มีสถานที่มั่วสุมอย่างสร้างสรรค์   ให้นักเรียนฉลาด มีคอมพิวเตอร์ถือไปโรงเรียน   ประเทศคาวิเกียผมเคยไป คน 80 % เป็นพุทธ คนชอบเล่นหมากรุก เขาบรรจุหมากรุกเข้าในหลักสูตร คาวิเกียเก่งเพราะฝึกให้เด็กคิดเป็นตั้งแต่เด็ก...ด้วยหลักสูตรหมากรุก.......ผมจะให้มีคอมพิวเตอร์....และมีพยาบาลประจำในโรงเรียน ๆ ละคน ...........เราจะมีโรงเรียนตัวอย่าง เพื่อเป้ฯแบบอย่างทุกดอำเภอ........ ใครมีหนี้สินยกมือขึ้น....คนเป้นหนี้ต่ำกว่า 5 แสนจะพักหนี้ให้   เกิน 5 แสน ไม่เกิน 1 ล้านจะปรับโครงสร้างหนี้ใหม่    จะให้หยุดหนี้ก่อน .... ให้สบายใจ. ไปทำมาหากินได้ มีชีวิตสดใสมีความหวัง......ข้าวหอมมะลิ จะให้ได้ราคาอยู่ได้..........ให้เครดิตถ์การ์ด ............
 
จะให้มีกองทุนตั้งตัวได้ มี 2 ระดับ เอาความคิดมากู้ เอาเงินไปได้   ........ บ้านหลังแรก รถคันแรก คืนภาษีให้    บ้านสำหรับชาวชนบทไปอยู่กรุงเทพ....... จะจัดคอนโดขายถูก ๆ ที่สถานีรถขนส่งมวลชน ให้พี่น้องกรรมกร.....ผู้กำลังสร้างตัว ..... 
 
พรรคเพื่อไทยไม่คิดไปแก้แค้นใคร เราจะคืนความยุติธรรมให้คนทุกสี   เพื่อประนีประนอมกันได้.......... อย่าซื้อเสียงเด็ดขาด   ห้ามซื้อเด็ดขาด ไม่จำเป็นต้องซื้อ.......... ให้เข้าใจให้ถูกว่าใคร รัฐบาลซื้อเสียง นั่นหมายถึงเอาเงินภาษีอากรประชาชนมาซื้อ ขอให้คืนเขาไป
 
พี่น้องเชียงใหม่.........ขอนแก่นครับ   อยากให้ผมกลับบ้านไหมครับ ?
 
ผมไปรอบโลก...สั่งสมประสบการณ์ไว้เยอะ.... มองไปประเทศไทยมันทะลุปรุโปร่งไปหมด ถามว่าสุขภาพเป็ฯอย่างไร อายุ 62 ยังแข็งแรง พร้อมจะรับใช้   ขอให้เพื่อไทยชนะอย่างถล่มทะลายนะครับ.....ผมทราบว่าจังหวัดที่มีเพื่อไทย 2-3 สส.บัดนี้เต็มพื้นที่แล้ว   ถ้าประชาชนจะมีอำนาจจริง ๆ ประชาชนต้องได้รัฐบาลที่เป้นของประชาชนจริง ๆ รัฐบาลก็จะรับใช้ประชาชน ทำงานให้พี่น้อง ..... ยิ่งได้คะแนนมากเท่าไรยิ่งทำได้เร็วขึ้น
 
เพลงนี้ ส้มโป๊ะ เขียน ให้ผมลองร้องดู ผมร้องแล้วฟังแล้วน้ำตาผมซึม...ผมจะร้องให้ฟัง......ผมฟังเทปแล้ว...ไม่น่าเชื่อว่าทำไมจึงเพราะกว่าความเป้ฯจริงอย่างไม่น่าเชื่อ..............
 
เพลง......คิดฮอดบ้านแฮง ...นาฬิกากี่โมงกี่ยาม...........ชีวิตน่าอดสู อยู่ดี ๆ ต้องจากบ้านมา.....อยู่ดูไบ
 
คิดฮอดหลายเด้อ........เลือกตั้งคราวนี้ ขอให้เลือกพรรคเพื่อไทย............คงได้กลับบ้าน.......
 
อย่าลืมนะครับ พาผมกลับบ้านด้วยนะครับ   จบเวลา 21.54 น.
 
ผู้แสดงความคิดเห็น บุษบา บุญเสฏฐ์ วันที่ตอบ 2011-05-04 20:47:23
 
 
 ความเห็นที่ 3 (3296398) 
 
ผมนึกอยู่แล้ว เรื่องดีเบทกับพรรคประชาธิปัตย์นี่..............ประชาธิปัตย์ไม่รู้เรื่องหรอก ...........
 
เหตุผลก็เพราะนโยบายพรรคเพื่อไทยมันสูงเกินความคิดของประชาธิปัตย์............และเป็นองค์รวม ไม่ใช่แยกส่วนแบบปชป.คิด.............ผมฟังดีเบทระหว่าง พท.ดร.สุชาติ.......กับปชป.คุณหมอวรงค์..รายการ ธีรัตถ์ intelligence.......................เรื่องนโยบายการเกษตร........พูดถึงบัตรเครดิตถ์ของพรรคเพื่อไทย ที่ชาวนาตื่นเต้นกันมากอยู่ขณะนี้.........   เรื่องจำนำข้าว    ประกันราคาข้าว   .........ตลาดข้าว........
 
 
 
ดี   ที่พท.โดย ดร.สุชาติ มีโอกาสขยายแนวนโยบายให้เข้าใจยิ่งขึ้น โดยมี หมอวรงค์ เป็นผู้ชี้ประเด็นปัญหา........
 
 
 
ดังที่บุษบา บุญเสฏฐ์   ว่าไว้แหละครับว่า    ...............   ให้คนอย่างพรรคประชาธิปัตย์ทำไม่ได้หรอก........ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะลอกกากนโยบายไป................เพราะถึงลอกไปก็ทำไม่ได้ เพราะเหตุผลอย่างเดียวคือ ประชาธิปัตย์นั่นเองคือตัวการที่ขวางทางการขับเคลื่อนของนโยบายเหล่านี้ เนื่องเพราะความเป็นระบบไทยที่ล้าหลังของประชาธิปัตย์...........นั่นเอง    ระบบที่จะต้องจัดการเสียก่อน จึงจะใช้นโยบายเหล่านี้ได้..........
 
 
 
ประชาธิปัตย์ก็พูดว่า   ทำไม่ได้ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ   ทำอย่างผมจึงจะทำได้.............และทำอย่างประชาธิปัตย์คือ     ไม่ทำอะไรเลย....มีแต่ข้อแก้ตัว..............
 
 
 
ฟังหมอวรงค์วันนี้   เห็นว่า     ยังเก็บข้อมูลมาไม่สมบูรณ์ ได้มาเฉพาะบางส่วนบางเสี้ยว เอามาทำนโยบาย   และยังอ่อนในหลักวิชา   นี่อันตรายครับ .................. แล้วก็ไปอ้างคนอื่น   เช่นอ้างนักวิชาการคนนั้นคนนี้..........แบบนี้ไม่ได้หรอกครับ     มาถึงตอนเป็นนโยบายนี่   ต้องอยู่ที่ข้อมูลล้วน ๆ    .............................
 
 
 
ผมว่าคนประชาธิปัตย์ ติดนิสัยแอบอ้างครับ............เช่นพูดไป ๆ ก็ว่า   ทำให้ชาวนาดีขึ้น พอใจขึ้น..........ชาวนามีรายได้มากขึ้นแล้ว................   แท้จริง    ว่าเอาเอง...............
 
ประชาชนจึงต้องฟังประชาธิปัตย์แบบรู้เท่าทันนะครับ....................
 
ผู้แสดงความคิดเห็น นายยอดเยี่ยม ยิ่งยง วันที่ตอบ 2011-06-02 21:38:26
 
 
 ความเห็นที่ 4 (3296439
 
ผมอยากให้พรรคเพื่อไทยเบอร์ 1 ได้เป็นนายก ก๊าบ!!!
 
 
 
จาก เด็ก จ.เชียงราย อ.เชียงแสน บ.เวียง หมู่บ้าน ห้วยเกี๋ยง ซอย 1 ก๊าบ!!!
 
ผู้แสดงความคิดเห็น พิษณุ ทะลุกำแพง (pitsanu1174-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-06-03 09:46:27
 
 
 ความเห็นที่ 5 (3296598) 
 
ดีเบทอีกครั้ง      คราวนี้ระหว่างชำนิ ศักดิ์เศรษฐ์ ปชป. กับ ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ พท.     สรยุทธ สุทัศนะจินดา ตั้งประเด็น ช่อง 3   แต่ผมไม่ได้ดูหรอกครับ ผมเลิกดูโทรทัศน์พวกนั้นนานแล้ว     แต่ได้ทราบเพราะ............
 
มีนักวิชาการอิสระ..พรศักดิ์ ศรีละมุน..............กับ.ตรีชฎา ศรีชาดา น้องปอย...............    เอามาพูดกันในเอเซียอัพเดท............................ขณะนี้ ผมฟังอยู่
 
 
 
ว่าชำนิ ศักดิ์เศรษฐ์ อมใบกะท่อมมาพูดกับณัฐวุฒิ...........วันนู้นพูดยอด ชั้นหนึ่ง   แต่วันนี้ ไม่ใช่......... "บ้าไปแล้ว"     ..............ดีเบทวันนี้ ณัฐวุฒิ ยิ่งใหญ่มาก    พยากรณ์ว่า แลนด์สไลด์.............แผ่นดินถล่ม..........
 
 
 
ว่าที่จริง   นักวิชาการอิสระ ค่อนข้างจะมองประชาธิปัตย์อย่างเลว    ..............   ว่าชำนิ เป็นของชำรุดทางประวัติศาสตร์ไปแล้ว     ..... และยังอ้างเรื่องล้าหลังเก่า ๆ มาโจมตีฝ่ายตรงข้าม.....
 
 
 
......วันดีคืนดี ปชป.ก็ให้คนไปยิงจอหนังและตะโกนว่า ปรีดีคิดล้มล้างสถาบัน..................วันนี้นายชำนิ   ก็พยายามอ้างว่า พท.คิดล้มสถาบัน...............
 
 
 
มีประเด็น   ชนะแล้ว   ชำนิไม่ให้ตั้งรัฐบาล    ต้องได้เกินกว่า 249 เสียก่อนจึงจะให้ตั้งได้................... แกดันอย่างแข็งแรง...........ไม่พูดอ้อมค้อม......................อ้างกฎหมาย............
 
 
 
ฟังแล้วน่าเศร้าใจ กับมือที่มองไม่เห็น ที่ยังมีอำนาจเหนือรัฐบาลอภิสิทธิ์ ...............
 
พรุ่งนี้ ยังจะมีต่อ....................
 
ถามว่าให้เกียรติ 2 วันสำหรับชำนิ ศักดิ์เศรษฐ์ เพื่ออะไร     ว่าเพราะประชาชนฟังอย่างมันมาก ชื่นชมณัฐวุฒิ์ ไสยเกื้อ...เลียะพะ ชำนิ ศักดิ์เศรษฐ์
 
ผู้แสดงความคิดเห็น นายหัวหมอ วันที่ตอบ 2011-06-04 18:14:21
 
 
 ความเห็นที่ 6 (3296601) 
 
การดีเบทแบบนี้ ประเด็นของปัญหา มันบอกถึงความเป็นสังคมด้อยพัฒนาทางการเมืองจริง ๆ    ...เสียเวลาที่มีค่าของวาระการเผยแผ่นโยบายของพรรคการเมืองจริง ๆ ...........จะโดยกฎหมาย---วัฒนธรรมประเพณี หรืออะไรก็แล้วแต่ .........ถ้ามาถามกันอยู่ว่าชนะแล้วจะให้เป็นรัฐบาลได้ไหม ?      นี่มันล้าหลังจริง ๆ     ................ประชาชนจะต้องตื่นขึ้นมาอย่างพรึบพร้อมครับ    ว่าเราจะไม่ยอมให้มีประเด็นปัญหามาถกเถียงกันอย่างนี้อีก   .....................................
 
 
 
คือประชาชนต้องจัดการอย่างเด็ดขาดกับ อมาตยาธิปไตย  
 
 
 
แล้วเราก็จะก้าวข้ามเลยไปพูดสิ่งที่มีสาระสำคัญของการพัฒนาประเทศโดยระบอบประชาธิปไตย    นั่นคือ   การดีเบทเชิงนโยบายของพรรคการเมือง    ........................
 
การเตรียมตัวของพรรคการเมืองทั้งพรรคเล็กพรรคใหญ่ ในเรื่องว่า   ทำอย่างไรประเทศไทยจึงจะเจริญรุ่งเรือง มีกินมีใช้ มีเงินในกระเป๋า ปราศจากหนี้ มีความสง่างามในสังคม และสังคมระหว่างประเทศ ไปตลอดถึงระบบนามธรรมต่าง ๆ ของสังคม   อันเป็นเบื้องลึกที่กำหนดวัฒนธรรม ศาสนาและประเพณีของสังคม ประเทศนั้น   ...............   เอาเรื่องเหล่านี้มาดีเบทกัน................
 
 
 
ดูสิ      เวลานี้ วงการนักวิชาการก็พูดกันอยู่ในเรื่องไร้สาระนี้แหละ    ใครทำให้เกิดเรื่องไร้สาระนี้ขึ้น..............
 
คนเขาไม่สงสัยแล้วว่าเป็นพวกทหาร และ กอ.รมน.   ..
 
 
 
ทหารและ กอ.รมน. จะล้าหลัง   ไร้ความคิดความอ่าน ขนาดไม่รู้อะไรเป็นอะไร    เลยหรือ ??????
 
 
 
ฉลาดน้อยไปหรือ   ?
 
ทำไมคุณไม่คิดเข้าข้างฝ่ายที่ถูกต้อง และฝ่ายที่จะชนะโดยการตัดสินของประชามหาชน ทั้งประเทศ (หมายความว่า คุณต้องพูดว่า ฝ่ายที่ชนะการเลือกตั้งมีสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาล.....และทหารเป็นของประชาชน .......... นั่นแหละถูกต้องตามหลักประชาธิปไตย)
 
 
 
เป็นการฉลาดหรือโง่   ที่คิดทวนกระแสของประชามหาชน ??
 
อยากเป็นลิบเบีย   หรืออยากเป็น   กัดดาฟี 
 
อย่าไปดูแคลนพลังประชาชน เพราะเขาคือ เจ้าของอำนาจการปกครองประเทศนี้   เขาเป็นผู้บังคับบัญชาทหาร......... เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดตัวจริง
 
เข้าใจไหมครับ ??
 
 
ผู้แสดงความคิดเห็น นายหัวหมอ วันที่ตอบ 2011-06-04 18:50:51
 
 
 ความเห็นที่ 7 (3297359) 
 
แทนคุณ อิสสระ   ปชป. กทม.   มาพบ.intelligence จอม เพชรประดับ............ฝ่ายเพื่อไทยไม่มา   ก็ดีแล้ว เสียเวลา     เอาแต่พูด ๆ    พูดภาษาอนาคตกาลล้วน ๆ   จะ จะ   จะ    และพูดรูปธรรมไม่เป็น     เอาแต่ ผมคิดว่า   ผมเชื่อว่า   ....................   แปลว่าไม่ได้พูดสิ่งที่เป็นนโยบายอะไรเลย..... เป็นนักการเมืองได้อย่างไร ?
 
ถ้าคุณไม่อาจจะสร้างนโยบายและเอานโยบายมาพูด   เป็นข้อ ๆ อธิบายออกไปเป็นข้อ ๆ   หรือหลาย ๆ ข้อ แล้ว   ก็อย่าเพิ่งมาเกะกะการเมืองเขาเลย...................
 
ผู้แสดงความคิดเห็น นายหัวหมอ วันที่ตอบ 2011-06-11 20:51:04
 
 
 ความเห็นที่ 8 (3297732) 
 
คุณธีรัตถ์   เข้าใจจัดมวย ผมชอบมาก ๆ     vote 2011
 
ชอบ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงค์เวช เพื่อไทย แกพูดแล้วมีความหวัง เลือดฉีดแรง  
 
ผู้แสดงความคิดเห็น นายหัวหมอ วันที่ตอบ 2011-06-14 21:31:04
 
 
 ความเห็นที่ 9 (3297748) 
 
จัดทีไรเพื่อไทยชนะน๊อคทุกที   แบบนี้เสื้อแดงชอบครับ
 
ผู้แสดงความคิดเห็น นายบัฟฟาโล(นายควาย) วันที่ตอบ 2011-06-15 09:10:13
 
 
 ความเห็นที่ 10 (3297749) 
 
อนุสรณ์ ธรรมใจ วิทยากร เชียงกูล ม.รังสิต พาพวกออกมาออกมาดนักวิชาการ วิจารณ์ นโยบายด้านเศรษฐกิจของพรรคการเมือง ............นโยบายประชานิยม
 
 ว่าจะเอาเงินมาจากไหน ?  
 
 
 
คุณคิดว่าอย่างไรครับ เกี่ยวกับสิ่งที่คุณว่า ประชานิยม  
 
1.    ควรทำ หรือ
 
2.    ไม่ควรทำ
 
 
 
กาข้อไหน ?
 
ผู้แสดงความคิดเห็น นายประชาธิปไตย วันที่ตอบ 2011-06-15 09:11:41
 
 
 ความเห็นที่ 11 (3297751)
 
คำถามเกี่ยวกับ ผู้หญิง หรือ ผู้ชายดี      นี่ก็ล้าหลังอีกแล้ว......... สังคมประชาธิปไตย เขาไปไกลถึงขนาดถามว่า หมาตัวหนึ่ง เสือตัวหนึ่ง กระต่ายตัวหนึ่ง ไก่ตัวหนึ่ง เป็ดตัวหนึ่ง กับ คน ๆ หนึ่ง คุณจะเลือกใคร...................
 
 
 
ดูหนังประเภทจินตนาการสู่อนาคต เช่น   สตาร์วอร์ซิครับ   แม้กระทั่งหุ่นยนต์ เขาก็ถือว่ามันมีสิทธิ์เสรีภาพเหมือนกัน  
 
 
 
คนในโลกอนาคต เขามองสิ่งที่ประกอบเป็นสิ่งที่มีชีวิตในโลก    อย่างค่อนข้างมีภราดรภาพ นะครับ   ถึงจะไม่ถึงระดับ อีควอลลิตี้ ..........................เลยทีเดียว
 
 
 
มันมีวัฒนธรรมของมันครับ   ประชาธิปไตยนี่มีวัฒนธรรมของมัน   
 
คุณพอจะตามผมทันไหม ????
 
ผู้แสดงความคิดเห็น นายประชาธิปไตย วันที่ตอบ 2011-06-15 09:42:29
 
 
 ความเห็นที่ 12 (3298007) 
 
นายชวน หลีกภัย หาเสียงภาคเหนือตอนใต้ กับเขาด้วย...................................
 
ผมไม่ทราบว่านายชวนเกิดมาเพื่ออะไร ?.............. ทำลายตนเองตอนแก่จวนจะไปโลกอื่นแล้ว   ลงอย่างสิ้นเชิง
 
1.      แกเป็นคนที่ไม่มีประโยชน์ต่อประชาธิปไตยเลย     มีแต่อาศัยเกาะกินกับประชาธิปไตยและการเมืองไปเรื่อย ๆ   ............. แกอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรเกือบทุกสมัยทุกวาระ   โดยไม่มีความละอายใจเลยแม้แต่น้อย ว่า   อำนาจของประชาชนนั้น ตามหลักการประชาธิปไตยแล้วควรต้องแบ่งให้คนอื่นหมุนเวียนเข้าไปใช้บ้าง แต่นี่จองคนเดียวตลอดชีวิต     จริงอยู่ ประชาชนเป็นคนเลือก แต่ประชาธิปไตยต้องการสปิริต ที่ยอมรับอำนาจเป็นของประชาชน ๆ มีสิทธิ์หมุนเวียนเข้าไปใช้อำนาจได้ นายชวนยจึงควรเปิดโอกาสให้คนอื่นบ้าง    ดูตัวอย่างในต่างประเทศ   จะเห็นจากระบบของประเทศประชาธิปไตยที่แท้จริงที่เจริญแล้วทุกประเทศ   ตัวอย่างประธานาธิบดีอเมริกา   นรม.อังกฤษ นรม.ญี่ปุ่น   มีหรือที่เขากุมอำนาจอยู่ยาวนานเช่นนายชวน ......... อย่างนานก็ 2 สมัยแล้วเขาก็ออกไป ไม่หวนมาอีก .... มองไปลึก ๆ นายชวนก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่อยู่ในการเมืองไทยที่ต้องการพัฒนาไปสู่ประชาธิปไตย แต่ไม่เข้าใจประชาธิปไตยเลย ...........ผลก็คือ เขาไม่เคยสร้างอะไรให้แด่ประชาธิปไตยเลย    ที่จริงจึงเป็นได้เพียงนักกฎหมายหัวเก่า ๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง ที่มีโชคดีสามารถยึดอาชีพในสภาทำมาหากินมาจนชั่วชีวิต  และไม่เคยออกความคิดไอเดียอะไรในการปรับปรุงการเมืองไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงเลย 
 
2.     นายชวนเป็น นรม.ไทย 2 วาระ เป็นรัฐมนตรีแทบทุกกระทรวง แม้กระทั่งล่าสุดก็เป็นพลเรือนคนแรกที่ได้เป็น รมว.กลาโหม ............กระนั้นนายชวนก็ไม่เคยทำสร้างผลงานอะไรโดดเด่นเลย .......   นายชวนไม่เคยเข้าใจคำว่า นโยบาย   จึงนำประชาธิปัตย์มาเรื่อย ๆ จนถึงยุต รัฐบาลเด็กอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยปราศจากการบริหารประเทศอย่างมีนโยบาย ............ และมีเขตแผ่นดินที่ปลอดนโยบายอย่างยิ่งก็คือ ภาคอีสาน ทั้งภาค ที่ไม่เคยได้รับผลประโยชน์อะไรจากพรรคประชาธิปัตย์เลย   และกระนั้นก็ยังสร้างความเจ็บช้ำให้ประชาชนอีสาน ในกรณีเขาพระวิหารมาจนถึงทุกวันนี้   กระนั้นนายชวนก็หาเข้าใจเหตุผลอะไรเป็นอะไรไม่ ....    ยังกลับกล่าวหาว่า ชาวอีสานเสื้อแดงเป็นพวกก่อการร้าย เป็นพวกล้มเจ้า มีผังล้มจ้าวที่นายชวนจะพาพรรคประชาธิปัตย์ขัดขวางไม่ยอมให้เข้าสู่การเป็นรัฐบาลบริหารประเทศแน่นอน
 
3.     นายชวนไร้อุดมการณ์และสปิริตของประชาธิปไตย โดยการร่วมมือกับทหารและฝ่ายเผด็จการอมาตยาธิปไตย ทำการยึดอำนาจรัฐบาลประชาธิปไตย เริ่มตั้งแต่นายชวนเป็นคนแรก ๆ   คนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ที่ขึ้นเวที พธม. ของเจ๊กลิ้ม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันเอเอสทีวีจากศาล และประกาศคุ้มครองเอเอสทีวีอย่างเปิดเผย   ว่าใครจะล้มใครก็ได้แต่ล้มเอเอสทีวีไม่ได้ อ้างว่าเอเอสทีวีเป็นช่องทางความคิดที่แตกต่าง ที่เสนอการมองมอง 2 ด้านให้แก่สังคม   ทั้ง ๆ ที่แท้จริง เอเอสทีวีคือทีวีโฆษณาชวนเชื่อ ..........และแล้วก็ปรากฎชัดขึ้นว่านายชวนนี่เองได้ให้ความเห็นดีเห็นงามไปกับเผด็จการ อมาตยาธิปไตย ที่เข่นฆ่าประชาชน 91-92 ศพ ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553    โดยล่าสุดนายชวนได้ออกมาประกาศในพรรคประชาธิปัตย์ ต่อสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะยอมให้พรรคการเมืองที่คิดล้มเจ้า และพวกเผาบ้านเผาเมืองขึ้นปกครองประเทศไม่ได้    เขาหมายถึงคนเสื้อแดงผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย   นั่นเอง    ซึ่งบทบาทระยะหลังนี้แสดงถึงความไม่รู้และไร้น้ำใจต่อประชาธิปไตยของนายชวน 
 
4.      นายชวนทำท่าเป็นนักบุญ ดำรงชีพสมถะ   แต่แท้จริงเป็นคนค่อนข้างคับแคบและเนรคุณ     เคยอาศัยวัดอยู่ อาศัยหลวงพีในวัดหลับนอนเรียนหนังสือมาแต่เป็นเด็ก    แต่เมื่อได้เป็นใหญ่เป็นโต ไม่เคยคิดตอบแทนบุญคุณ   ............    นี่เป็นเรื่องจริง ที่น่ารังเกียจสำหรับคนเช่นนายชวน หลีกภัย
 
เราบันทึกเอาไว้เพื่อชี้ให้เห็นว่า   คนอย่างนายชวนนี่เอง ที่ทำให้เวลาเพื่อการพัฒนาประชาธิปไตยไทยล่วงเลยไปเปล่า ๆ โดยไม่มีการริเริ่มสร้างสรรคประชาธิปไตยเลย แต่กลับมีการร่วมมือกับทหารทำการรัฐประหารตัดตอนการพัฒนาของประชาธิไตย เป็นครั้ง ๆ    ตลอดเวลาที่มีคนชื่อชวน หลีกภัย อยู่ในการเมืองไทย    นั่นเป็นเพราะนายชวน ก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่แท้จริงแล้ว ไม่เคยรู้จักเลยว่า ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงเป็นอย่างไร    .... แท้จริงนายชวนจึงเป็นเพียงตัวอะไร   ที่เปรียบเสมือนกาฝากของประชาธิปไตย ที่เกาะกินประชาธิปไตย ทำลายประชาธิปไตยมาจนถึงวันนี้      เท่านั้นเองจริง ๆ
 
วันนี้ เราจึงอยากให้มองให้เห็นความจริงของนักการเมืองอาวุโสนายหนึ่ง นั่นคือบทบาทของนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี และสส.ในสภาหลายสมัย ที่ไม่เคยมีผลงานอะไรเลย นอกจากคำโฆษณาชวนเชื่อว่าตนเป็นคนมือสะอาด ปราศจากคอรัปชั่น....???   อย่างนี้   เป็นบทบาทที่ไม่สอดคล้องวิถีทางประชาธิปไตย     แล้วไร้ประโยชน์ต่อประชาธิปไตย แล้วยังไร้สปิริต แล้งนำใจอย่างยิ่ง เป็นมารของประชาธิปไตยตัวจริง และเป็นเชื้อสายของเผด็จการอมาตยาธิปไตยอย่างแท้จริง    แล้วประชาชนยังจะเอาเขามาเชิดชูอยู่ทำไม ?
 
 แสดงความคิดเห็น นายยอดเยี่ยม ยิ่งยง วันที่ตอบ 2011-06-16 23:57:21
 
 
 
 ความเห็นที่ 13 (3298027) 
 
ก็มวยคู่เมื่อคืนนี้อีกคู่ครับ   ที่ประชาธิปัตย์จวนจะถูกน๊อคโดยเพื่อไทยตั้งแต่เริ่มยกต้นแล้ว      มันเป็นสิ่งที่สนับสนุนว่า ประชาธิปัตย์ไม่ประสีประสาในเรื่องระบอบประชาธิปไตยและเรื่อง นโยบายการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เหตุก็เป็นเพราะชินอยู่กับเผด็จการทหาร อมาตยาธิปไตยมานานนั่นเอง    
 
 
 
ประเด็น มาบตาพุดครับ    เรื่องใหญ่เรื่องสำคัญ เร่งด่วนขนาดนี้ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ กลับทำเป็นเรื่องเล่น ๆ   .......   ฝ่ายประชาธิปัตย์ ส่งคนมาดีเบท เป็น แคนดิเดทสส.เขตในระยองเองเลย ...........   แต่ข้อมูลที่เอามาอ้าง เห็นว่าไม่สมบูรณ์ขาดการจัดระเบียบข้อมูล   ใช้เพียงสามัญสำนึก นึกเอา คิดเอา เชื่อเอา (คุณต้องใช้กระบวนการโปรเซสข้อมูลโดยคอมพิวเตอร์อย่างขาดไม่ได้เลยนะครับ   จึงจะสมบูรณ์.โดยตรวจสอบ ทาน ยืนยันได้อย่างมั่นใจ.........แบบทักษิณทำน่ะครับ)   ............... ในขณะที่เพื่อไทยส่งขิงแก่ นักมวยอันตรายขึ้นประกบ   .. ซึ่งพร้อมจริง ๆ   พร้อมทั้งข้อมูลเหตุผล และนโยบาย ........... และความมั่นใจของตน................ขนาดอ้างความรับผิดชอบได้เต็ม ๆ   .... หมายถึง การจัดการระบบที่สัมพันธ์     แนวคิดและนโยบาย   และหลักวิชาใหม่ ๆ    รวมทั้งเทกนิคใหม่เอี่ยม.......... พร้อมที่จะเอาไปจัดการกับ มาบตาพุด ..........    สมบูรณ์จริง ๆ ครับ    ......... มีหลักวิชาบางวิชา และเทกนิคบางอย่างที่ทันสมัยมาก ๆ ที่จะเอามาใช้จัดการกับปัญหาบางปัญหาที่พิเศษ ๆ ที่ผมฟังยังตื่นเต้นเลย เพราะไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่าเขามีวิชาการระดับนั้นแล้ว ......ซึ่งนี่แหละครับ หมายถึงพรรคการเมืองที่มีชีวิต   คือต้องตื่นติดตามปัญหาของประชาชนอยู่ตลอดเวลา ของความเป็นพรรคการเมือง   .........   และในที่สุด นักมวยฝ่ายประชาธิปัตย์ก็โยนผ้ายอมแพ้...............
 
 
 
ก็ตรงที่คุณพูดว่า..............   นี่เป็นความคิดของผมเองนะครับ ผมคิดเช่นนี้   ไม่ใช่ความคิดของพรรคนะครับ   .......
 
นั่นหมายถึงการโยนผ้ายอมแพ้ ของฝ่ายนักมวยประชาธิปัตย์
 
 
 
ในการดีเบทหน้าสิ่วหน้าขวานศึกเช่นนี้   คุณพูดอย่างนี้ได้อย่างไร   ............อะไรที่คุณเอามาพูดวาระนี้   จะต้องเป็นนโยบายของพรรคการเมืองอย่างสมบูรณ์มาแล้ว    .........  คุณต้องพูดในฐานะพรรคการเมืองอย่างสมบูรณ์    ไม่งั้นประชาชนจะมั่นใจได้อย่างไร ........ในเมื่อคุณยังไม่พร้อมในนโยบาย   นั่นหมายความว่าคุณยังไม่พร้อมในการขึ้นสู่ฐานะของรัฐบาล   และประชาชนย่อมไม่กล้าเสี่ยงแน่ ๆ ........... และในกรณีนี้ ยังบอกถึงการขัดกันเอง    เพราะนายอภิสิทธิ์บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์สามารถเริ่มต้นได้ภายในวันเดียว...............   ถ้าคุณพูดเช่นนี้ ก็หมายความว่า แม้ได้เป็นรัฐบาล ก็ยังไม่อาจจะเริ่มต้นได้ คุณต้องเสียเวลาไปปรึกษาคิดนโยบายในพรรคก่อน และสิ่งที่แถลงในสภา ก็อาจจะเป็นคนละเรื่องละราวกับที่คุณพูดกับประชาชนคราวหาเสียงเลือกตั้ง     ซึ่งนั่นมันขัดหลักการประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ................และสำหรับประชาธิปัตย์   2 ปีที่บริหาร ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยว่า ปัญหาอะไรจะจัดการด้วยนโยบายอย่างไร......โดยเฉพาะมาบตาพุด   ซึ่งนายอภิสิทธิ์ทำเฉยเมยไปอย่างสนิท ไม่เคยบอกเลยว่าปัญหานี้จะจัดการอย่างไร นโยบายที่จะจัดการเป็นอย่างไร    จนแม้ขณะนี้ ตัวแทนพรรคที่มาดีเบทก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะจัดการอย่างไร   เช่นนี้แล้ว คุณก็เท่ากับโยนผ้ายอมแพ้แล้ว........ก็ควรจะถอนตัวไปเลยนะครับ   ถอนตัวเถอะ....การไร้ความรับผิดชอบอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ แล้วยังมาเสนอตัว เป็นการเสียมารยาทอย่างร้ายแรง .....และก็มีตัวอย่างที่เห็นกันจะจะมาแล้ว   มีนโยบายที่ตนเองไม่สามารถทำเองได้ ต้องไปจ้างนักธุรกิจต่างประเทศทำให้ แล้วโดนหลอกต้มตุ๋นค่าทำนโยบายไปถึง 69 ล้านบาท   น่าเสียดายและอดสูใจจริง ๆ    นโยบายชั่งกิโลไข่ขาย .ประเทศจึงพัง...........   และแค่นโยบายชั่งกิโลไข่ขายเพียงนโยบายเดียว   ก็สมควรที่รัฐบาลนี้จะลาออก หลบหนีไปซ่อนตัวซ่อนตนเสีย   แต่เมื่อไม่อายบากหน้าออกมาอีก    แล้วยังไม่รู้เรื่องรู้ราวต่อไปอีกแล้ว    ก็น่าจะได้รับการศึกษาติดตาม.........ว่าเขาจะใช้แทคติกส์อะไร ในทางที่ไม่ซื่อตรงต่อประชาธิปไตย ......และเมื่อประชาชนฉลาดพอแก่ประชาธิปตย พรรคประชาธิปัตย์จะได้รับการลงโทษจากประชาชน..........ผู้ตื่นตัวทางประชาธิปไตย อย่างแน่นอน.............  
 
ผู้แสดงความคิดเห็น นายวิจัย ประชาธิปไตย วันที่ตอบ 2011-06-17 09:17:29
 
 
 ความเห็นที่ 14 (3298157) 
 
ดีเบท 3 พรรค จอม เพชรประดับตั้งประเด็น มีพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคชาติพัฒนาเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวานนี้ ........... คนที่มาจากพรรคทั้ง 3 ผมมองว่ายังเป็นวิสัยทัศน์แบบเก่า ๆ   สักเมื่อ 50 ปีที่แล้ว   ...............   ผมว่าใช้ไม่ได้ทั้ง 3 พรรคแหละครับ 
 
 
 
ผมมองว่าไม่ทันยุค........... หรือไม่ก็ไม่ฉลาด
 
 
 
ผมคิดว่าการต่างประเทศไทยควรจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างฉลาด    เอาแบบเก่า ๆ ทิ้งไปเสีย   เขาจะว่าไม่เป้นผู้ดีก็ช่างเขา .......... แต่เรามองหาประโยชน์ที่จะได้จากการต่างประเทศและนโยบายการต่างประเทศมากกว่า
 
ดูของอเมริกา   อิริค จี จอห์น แกเป็นได้หมดทุกอย่างในประเทศไทย   แม้กระทั่งนักสืบ ซีไอเอ นักการศาสนาและวัฒนธรรม     ดูแกมีหน้าที่อยู่ตลอดเวลาในการศึกษาประเทศไทยทุกแง่ทุกมุม 
 
 
 
ถูกละครับ   อย่าพยายามไปขีดเส้นที่เขตแดนที่เป็นปัญหา นั่นล้าหลังเกินไป
 
และมติว่า   ทำสนามรบให้เป็นตลาดการค้า   ทำนองนั้นแหละ ไม่ใช่เพียงเล่นสำนวน คมคาย    ที่จริงสถานทูตไทยทั้งโลกควรจะเป็นเอเยนต์การค้าของประเทศไทย ..........   แบบวิธีการทูตควรจะแปรไปเป็น พาณิชยการ.............. ประเทศอื่นไม่เอา เราเอา..... เพราะนี่เป็นวิธีที่จะได้ประโยชน์ ได้เปรียบเขา
 
 
 
แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรีก็ต้องเข้าใจเชิงพาณิชยการอย่างดีด้วย   ไม่ใช่รอตลาดข้าววิ่งมาหาเฉพาะหน้าแล้ว ยังขายไม่ออก   เหมือนอดีตนายกท่านหนึ่ง 
 
ยุคนี้ นโยบายต่างประเทศ ต้องเป็นตาตลาดสินค้าไทยด้วยครับ   จะได้ขายข้าวได้เยอะ ๆ ขายอาหารได้เยอะ ๆ และราคาแพง ๆ
 
(ที่จริง ทักษิณ ชินวัตร คิดตรงนี้ไว้แล้ว)
 
ผู้แสดงความคิดเห็น นายยอดเยี่ยม ยิ่งยง วันที่ตอบ 2011-06-18 16:42:18
 
 
 ความเห็นที่ 15 (3298235
 
เท่าที่ให้การวิเคราะห์เรื่องสำคัญของการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมานี้ ท่านจะเห็นว่าเรื่องพรรคการเมืองและนโยบายของพรรคการเมืองนั่นเอง เป็นสิ่งที่มีความหมายมากที่สุดของระบอบประชาธิปไตย    ท่านทราบหรือไม่ว่า พรรครับผิดชอบในหน้าที่สร้างนโยบาย    นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำอย่างสุกเอาเผากิน  
 
เราได้เห็นมาแล้วว่านโยบายที่ทำอย่างสุกเอาเผากิน หรือไม่มีนโยบายอยู่เลยในขณะที่พรรคการเมืองหนึ่งใดขึ้นเป็นรัฐบาล นั่นแหละทำให้ประชาธิปไตยไทยไร้ความหมาย   พอจะเห็นได้จากการวิจัยบางประเด็นปัญหา ว่าทั้งนี้เป็นเหตุมาจากนักการเมืองเขลาไม่เข้าใจการทำนโยบาย ....และนี่เองเป็นเหตุของความล้าหลังของการเมืองไทยภายหลังการเลือกตั้งแทบทุกครั้ง    แล้วไปลงว่า เลือกตั้งไปทำไม เลือก ๆ ไปก็เหมือนเดิม
 
 
 
ฉะนั้น มาถึงยุคนี้แล้ว   เราจงพิจารณาเลือกพรรคการเมือง นักการเมืองจากนโยบายเถิด 
 
 
 
พรรคไหนที่แถลงการณ์ในขณะหาเสียงไปแบบปราศจากนโยบายแล้ว   นั่นหมายถึงความที่ไม่พร้อมจะเป็นรัฐบาล เลือกเข้าไปเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่เป็น......................
 
ตัวอย่างเช่น พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่สามารถชี้บอกนโยบายอะไรที่ชัดเจนออกมาแม้แต่นโยบายเดียว    ..............    นี่คือมาตรการการตัดสินใจครับ 
 
 
 
เมื่อเขาไม่สามารถแถลงนโยบายออกมาได้ แล้วจะเลือกไปทำอะไรได้    ............    ก็เป็นเพียง   พวกดีแต่พูดเหมือนเดิม ...........
 
 
 
เมื่อท่าน ประชาชนฉลาดและรู้แล้วว่า พรรคนั้นไม่มีนโยบายอะไรเลย .............   ก็จะไม่เลือกอยู่เอง   นั่นเป็นเหตุผลธรรมชาติ
 
ฉะนั้น หลักการเลือกตั้งก็มีแค่ เรารู้จักดูคำแถลงของพรรคนั้น ๆ ว่าเป็นนโยบายหรือไม่ อย่างไร   ..
 
ซึ่งสถานการณ์การเลือกตั้งครั้งนี้ เพียงดูว่า   มีนโยบายหรือไม่ก็พอแล้ว
 
 
 
เพราะเท่าที่ผ่านมาถึงวันนี้   เห็นได้ชัดเจนเลยว่า พรรคการเมืองแทบทั้งหมดทุกพรรคที่ลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้   แทบเข้าลักษณะนี้   คือ   ไม่มีนโยบาย
 
 
 
เช่นพรรคภูมิใจไทย   ที่ปิดป้ายโฆษณาก่อนพรรคใดทั้งสิ้น แต่มีคำแถลงของตนว่า      เทิดทูนสถาบัน ต่อต้านรัฐไทยอิสระ .(จน กกต.ท้วง จึงถอดป้ายลงหมดทั่วประเทศ) ........นี่เป็นตัวอย่าง....สำหรับคิดว่า ...    นี่เป็นนโยบายอย่างไร....... ในเมื่อไร้นโยบาย สร้างนโยบายไม่ได้ ก็กลายเป็นพรรคที่ลงสมัครเปล่า ๆ ขาดแนวคิดที่จะทำอะไร อย่างไร ใช้เทกนิค วิชาการด้านไหนมาประกอบนโยบายบ้าง   ............
 
ท่านเลือกเข้าไปเขาก็ทำอะไรไม่ได้   ทำได้ก็ทำแบบตามใจเขา   ทำไปอย่างโง่ ๆ ไม่สนใจว่าอะไรตรงประเด็น ๆ ความเดือดร้อนจริง ๆ ของประชาชน ซึ่งรัฐบาลไทยหลังการเลือกตั้งมักจะเป็นเช่นนี้มาก่อนนานแสนนาน..ถึงรัฐบาลยุคประชาธิปัตย์ปัจจุบัน.......อันมีส่วนสำคัญเนื่องมาจากความไม่เข้าใจวิถีทางประชาธิปไตย...ไม่เข้าใจสาระสำคัญของการเลือกตั้ง   ว่าเริ่มด้วยพรรคการเมืองต้องพิถีพิถันอย่างยิ่งในการตระเตรียมนโยบายและต้องมีการเสนอนโยบาย.......และประชาชนผู้ออกไปใช้สิทธิ ต้องเลือกจากนโยบาย .....ยิ่งมีหลายหลากนโยบาย สำหรับแก้ปัญหาอันเดียวกัน ประชาชนยิ่งได้ประโยชน์ นั่นเอง   ในเมื่อพรรคการเมืองไม่เข้าใจประชาธิปไตย นั่นเป็นผลจากไม่เคยมีการเตรียมนโยบายเอาไว้ก่อนการเลือกตั้ง ในการเลือกตั้ง ไม่เคยเข้าใจว่าจะต้องเตรียมไว้เสนอประชาชนก่อนการเลือกตั้ง และเอาไปปฏิบัติหลังผ่านการเลือกตั้ง ไร้นโยบาย สร้างนโยบายไม่เป็น ...........พอได้เป็นรัฐบาล ก็เป็นรัฐบาลในขณะที่หัวว่างเปล่าจากนโยบาย ....... ก็ไปงุบงิบเขียนขึ้นมาเดี๋ยวนั้น..เพื่อเอาไปแถลงต่อสภา ด้วยความมั่นใจว่าอย่างไร ๆ ก็ผ่านอยู่แล้ว.....ก็เอาไปบริหารอย่างไร้สำนึกของการนโยบาย      ก็ทำสะเปะสะปะไป ..........ก็แก้ปัญหาของประชาชนไม่ได้   ก็กลายเป็นเหตุให้การเลือกตั้งกลายเป็นของน่าเบื่อหน่าย   ประชาธิปไตยเป็นของที่ไร้ค่า เลวร้ายไม่น่าศรัทธา........ ไปหมด ....
 
 
 
ฉะนั้น   การปฏิวัติการเลือกตั้งของประชาชน   จึงควรมีขึ้น     โดยทำให้ถูกครรลองของประชาธิปไตย
 
เพียงดูว่าพรรคการเมืองใดเสนอนโยบายหรือไม่
 
 
 
ทุกวันนี้พบพรรคการเมืองแทบทั้งหมด   ไม่ได้เสนอนโยบายเลย    ............ แม้กระทั่งพรรคใหญ่ อายุยาวนานอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่ได้เสนอนโยบาย แต่ไปเสนออย่างอื่น เช่นเสนอวาทะกรรมเชิงการโฆษณาประชาสัมพันธ์ หรืออาจจะเลยไปถึงลักษณะการโฆษณาชวนเชื่อ หลอกลวงประชาชนด้วยซ้ำ
 
 
 
พรรคมาตุภูมิ   ของสนธิ บุณยรัตน์กลิน ............    ไม่ได้เสนอนโยบายอะไรเลย     นอกจากคำแก้ตัวเรื่องหัวหน้าพรรคทำรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549   เท่านั้น    .... แท้จริงมีเลศนัย สร้างพรรคขึ้นมาเพื่อได้โอกาศกลบเกลื่อนความผิดของตนคราวทำรัฐประหาร เท่านั้นเอง   จะเกลื่อนอย่างไรก็ไม่พ้น
 
ก็ตัดออกไปเลย
 
 
 
พรรคของคุณปุรชัย   ก็ไม่ได้เสนอนโยบายอะไร...นอกจากบอกว่าพรรคตนดี ซื่อสัตย์ ไม่โกงไม่กิน............อย่างนี้ไม่ใช่นโยบายครับ
 
 
 
มีพรรคประกาศตนเองเป็นพรรคอาระยะบุคคลผู้เหนือมนุษย์.คือ พรรคเพื่อฟ้าดิน .......ยิ่งกว่าซื่อสัตย์ ไม่โกง ไม่กิน .. นั่นคือพวกโง่เขลาที่สุด   ที่ไม่เข้าใจเรื่องประชาธิปไตยเลย ..................... เหยียดพรรคอื่น คนอื่นเป็นสัตว์นรกไปหมด(นายประพันธ์ คูณมี พูดประโยคนี้ทุกวัน ในเอเอสทีวี แล้วยกตนเป็นอาระยะบุคคล (เก๊ ๆ).....พวกโหวดโน นั่นแหละ   ...........................
 
 
 
พรรคแทบทั้งหมดแหละครับ..........วาระนี้ ขณะนี้   ยังเป็นพรรคการเมืองที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับประชาธิปไตย ..ไม่มีความคิดเลยว่าการบริหารประเทศต้องมีหางเสือและหางเสือนั้นคือนโยบาย ..อย่าไปเลือก............(บางที่พวกที่อยากโหวดโน ก็อาจจะตีความทำนองนี้แหละ   แต่ด้วยเหตุผลคนละอย่าง)
 
 
 
สรุป   มีพรรคเพื่อไทยพรรคเดียวที่มีนโยบาย    .....(ผมถูกบังคับโดยเหตุผลให้พูดตรง ๆ) ....หมายความว่าเป็นพรรคการเมืองเดียวขณะนี้ที่รอบรู้ประชาธิปไตยที่แท้จริง และรู้วิถีทางที่จะนำประชาชนไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง .............   มองจากนโยบายซิครับ     ไม่ได้ลำเอียง   เป็นเช่นนี้จริง ๆ...............
 
 
 
วันนี้   ถ้าคุณเลือกพรรคการเมืองอื่นไปเป็นรัฐบาล   บ้านเมืองก็จะเหมือนตกสู่ความเคว้งคว้างอีกครั้งหนึ่ง เพราะพรรคเหล่านี้..........ไร้นโยบาย   คุณฟังเขาพูดสิ มันเป็นนโยบายอย่างไร   ....(ดูคำประกาศของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะไปตั้งเวทีพูดที่ราชประสงค์.วันสองวันนี้........เขาไม่ได้คิดพูดเรื่องนโยบายเลย...แต่จะพูดเรื่องใครเผาบ้านเผาเมือง..ใครคิดล้มเจ้า.......ทำนองนี้...ลองฟังเขาก่อนแล้วมาวิเคระห์กันอีกที )    .......................แล้วคุณจะเลือกเข้าไปทำไม   ???
 
 
ฉะนั้น    ผมไม่อาจจะขอร้องให้ ....เลือกพรรคเพื่อไทย   .....   เพราะท่านมีสิทธิ์    .......เลือก หรือ ไม่เลือก   เป็นของท่าน ผมเคารพ..................................
 
และ   นั่นคือประชาธิปไตย .................ประชาชนฉลาดพอที่จะเลือก..............
 
และมาถึงยุครุ่งเรืองจริง ๆ   ด้วยประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเข้าใจประชาธิปไตย .เลือกได้ถูกต้อง 
 
ปล่อยให้พรรคการเมืองเง่า ๆ เหล่านั้นเข้าโรงเรียนชั้นประถมทางประชาธิปไตยไปก่อน  
 
ผู้แสดงความคิดเห็น นายยอดเยี่ยม ยิ่งยง วันที่ตอบ 2011-06-19 22:24:10
 
 
 
 ความเห็นที่ 16 (  3298563)
 
(ยกมาจากกระทู้ กอ.รมน.ครับ เห็นเป้นเรื่องเดียวกันเลยก๊อปปี้มา) 
 
บทบาทของกองทัพกับการเลือกตั้ง 3 ก.ค.2554   จอม เพชรประดับ พบ สนธิ บุณยรัตนกลิน หน.พรรคมาตุภูมิ
 
พยายามจะเจาะเอาความจริงใจ และ ภาควิชาการใต้จิตสำนึกอันแท้จริง ของนักรัฐประหารผู้นี้    ออกมาดูอย่างจะแจ้งดูให้ได้
 
พบว่า พล.อ.สนธิ สับสนในความหมายของ วินัย แกคิดว่าเมื่อทหารอยู่ในคำสั่ง อย่างดี   นั่นหมายถึงวินัยที่ดี   และเป็นสิ่งที่ถูกต้อง 
 
ที่น่าแปลกใจก็คือ แกยืนยันว่าทหารรู้เรื่องประชาธิปไตยดี และทหารนี่แหละได้ออกไปสอนประชาธิปไตยให้ชาวบ้าน...(คงเป็นพวก กอ.รมน.)................... เป็นอย่างนั้นไปเสียอีก...................
 
 
ผมได้พบคำตอบตรงนี้เอง   
 
 
ทหารก็เลยเป็นต้นเหตุ   ตัวการของความปั่นป่วนของระบอบและวิถีทางประชาธิปไตยไทยมาไม่รู้หยุดหย่อน ............ นับแต่ทหารตัวใหญ่ระดับคุมกำลัง ....... ไปจนถึงทหารตัวเล็กระดับ พลทหาร ผู้ออกไปสอนประชาธิปไตย(ประชาธิปไตยที่โง่เง่า)แก่ประชาชน
 
 
โดยสรุปที่สุด   ผมว่าทหาร(รวมทั้งนักวิชาการ ครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัย) โยนตำราประชาธิปไตยทิ้งเสีย   แล้วมาเรียนใหม่    เรียนจากประชาชนเชิร์ตแดง   ครับ       
 
 
แล้วคนอย่างพลเอกสนธิ บุณยรัตกลิน นี่   แกมองตัวเองไม่ออก   ว่าแกเป็นตัวตลกของประชาธิปไตยโลก     (วันนี้ยิ่งเน้นมุขตลกเข้าไปกว่าเดิมอีก ในฐานะที่แกไปเข้าใจว่าทหารรู้จักประชาธิปไตยดีและเป็นพวกที่ส่งเสริมประชาธิปไตยโดยออกไปสอนประชาชนชาวบ้านอยู่ทั่วงประเทศ ทหารเองก็กล้าเถียงผู้บังคับบัญชามากขึ้น)      
 
 
ท่านมองตัวเองไม่ออกในสองประเด็นครับ
 
 
1.     กรณีทำรัฐประหาร 19 ก.ย.2549    ท่านตอบไม่ได้ว่าทำไปทำไม และนั่นหมายถึงความเข้าใจประชาธิปไตยและวิถีทางประชาธิปไตยหรือ?    อาจจะเป็นไปได้ว่า ในขณะที่ยังสับสน ๆ อยู่ บังเอิญเจ๊กลิ้มอะโพรชตัวเองเข้าไป เข้าไปพูดโน้มน้าวปั่นหัวล้างสมองเอาว่าระบอบทักษิณกำลังวางแผนร้ายสุดด้วยคิดล้มล้างสถาบัน ท่านก็เลยกระตุก กระทำรัฐประหารไปจนได้   และยังเข้าใจผิดทักษิณมาจนถึงขณะนี้   นี่เป็นเหตุให้เจ๊กลิ้มอายุยืนเพราะมีโอกาสระบายออกไปกับการระบิดเสียงหัวเราะก๊าก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เป็นครั้งคราว มาจนถึงทุกวันนี้)
 
2.     การตั้งพรรคการเมือง ลงสนามแข่งขันกับเขาด้วย    ท่านก็ตอบไม่ได้อีกเหมือนกัน ว่าทำไปทำไม ในเมื่อตั้งพรรคการเมืองขึ้นแล้ว เวลาหาเสียง ไม่เห็นว่ามีข้อนโยบายอะไรมาแถลงแก่ประชาชนเลยแม้แต่ข้อเดียว   ท่านคงเข้าใจอยู่เหมือนกันว่า ในทัศนะของประชาชนที่ทำรัฐประหารเป้นผลให้ชาวพุทธ์แตกแยกอย่างแรงทั้งประเทศนั้น ได้ชื่อว่า มุสลิมชั่วร้าย ขึ้นมาทันที   ก็เป็นโอกาสของการฟอกตัวเองเท่านั้น...   นี่ก็ยิ่งไม่เป็นความชอบธรรมไปใหญ่......
 
ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2011-06-21 10:27:50
 
ผู้แสดงความคิดเห็น บก.ก๊อปปี้มา วันที่ตอบ 2011-06-22 09:24:02
 
 
 ความเห็นที่ 17 (3298572) 
 
จอม เพชรประดับกำลังขอความคิดเห็นจาก ประชาชนคนรักประชาธิปไตย 3 คน
 
1.   คุณพเยาว์ อัคฮาด   เสียลูกสาวไปในวัดปทุมวนาราม   สตรีท่านนี้น่าสรรเสริญมาก และถือว่าเป็นผู้ดำรงหลักการของประชาธิปไตยไว้อย่างเหนียวแน่น ในสถานการณ์ที่ประชาธิปไตยมีศัตรูร้ายแรง    และที่สำคัญเธอดำรงความจริง หรือ สัจธรรมอย่างไม่คลอนแคลน    การพูดของเธอที่ผ่าน ๆ มา เห็นได้ว่าเป็นบทบาทเหมาะแก่การเป็นครูสอนประชาธิปไตยที่แท้จริงได้เลยทีเดียว และวันนี้ ขณะนี้เธอก็พูดได้ตรงหลักการประชาธิปไตย แบบที่นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ไม่กล้าที่จะโต้วาที หรือดีเบททางการเมืองด้วยได้ 
 
2.    คุณจิตรา คชเดช ที่ปรึกษาชมรมแรงงานไทรอัมฟ์ ผู้ถือป้าย ดีแต่พูด ประท้วงนายอภิสิทธิ์ วันแรงงานสตรี  สตรีผู้นี้มีเหตุผลอย่างดีมาก ๆ   อันเป็นครรลองประชาธิปไตยล้วน ๆ    ดูเอาสิ   เธอพูดถูกทุกอย่างเลย    นี่แหละคือคนผู้เข้าใจประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และมองดู เธอก็เป็นคนมีฐานะอยู่ระดับรากหญ้า   ไม่ได้เรียนหนังสือในมหาวิทยาลัยไหน แต่กลับมีความเข้าใจประชาธิปไตยและวิถีทางการต่อสู้แนวระบอบประชาธิปไตยอย่างดีมาก (มันตรงกับความคิดของผมครับ ผมก็ว่าดี...คุณไม่จำเป้นต้องเชื่อผม   แต่คุณดูเอาเอง โดยเอาหลักการประชาธิปไตยเป็นเกณฑ์)
 
3.    คุณไพฑูรย์ เปรมประชา คนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแบบมีเหตุผล ไม่ถอย   เขาไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียง เวลโนลเลย   แต่ฟังเขาสิ..........เขาพูดด้วยหลักการประชาธิปไตยล้วน ๆ เลย      ผมว่าคุณจอม เพ็ชรประดับ ยังต้องถามตัวเองเลยว่าเรารู้ทันเขาหรือไม่
 
 
 
ผมมองแต่แรกแล้วว่า ถ้าคนไม่เข้าใจประชาธิปไตย หรือรัฐบาลเผด็จการที่ไม่เข้าใจประชาธิปไตย คนทั้ง 3 ท่านนี้ ก็ย่อมมีอันตราย ..............หมายความว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นรม.เด็ก จบมาจากอ๊อคฝอร์ด แกมากล่าวหาว่า คนเหล่านี้ไปก่อกวนการหาเสียงของแก ซ้ำไปกล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทย คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปยุยง     ก็ยิ่งบอกให้รู้ถึงความไม่เข้าใจหลักประชาธิปไตยของนายกไทยคนนี้.................และบอกถึงไร้สปิริตทางประชาธิปไตยไปอย่างสิ้นเชิง ........... ตั้งแต่ผมเห็นนายอภิสิทธิ์เป็นหน.ปชป.มา แกแพ้เลือกตั้ง ไม่เคยกล่าวคำยอมแพ้ฝ่ายชนะ   ยังไปยุประชาชนฝ่ายตนให้เกลียดฝ่ายชนะไปอีก........หาว่าฝ่ายชนะเล่นโกง ใช้เงินหาเสียง   (พูดเหมือนนายชวน หลีกภัย)    ...........   ตอนปชป.บอยคอตการเลือกตั้ง .............   แกทำแบบอันธพาลในวงการประชาธิปไตยได้เลย อย่างไม่ละอายใจ   โดยปกติบอยคอตได้   แต่เมื่อประกาศบอยคอตแล้วต้องอยู่นิ่ง ๆ ไม่ทำกิจกรรม.......... แต่ปชป.ประกาศบอยคอต(คือประกาศไม่ลงเลือกตั้งในการเลือกตั้งครั้งนั้น) แล้ว ไม่ยอมอยู่นิ่ง ๆ   ยังดำเนินแผนทำลายพรรคค่แข่ง คือ ไทยรักไทยขณะนั้น อย่างเปิดเผย   เช่นดำเนินแผนยุทธศาสตร์ดาวกระจาย    จัดกองกำลังนักพูดโฆษณาชวนเชื่อ ออกไปพูดปราศัยโจมตีพรรคไทยรักไทยทุกทิศทุกทาง................. นี่เป็นความไม่ชอบมาพากลของพรรคประชาธิปัตย์โดยการนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..........คน ๆ นี้ แล้งน้ำใจอย่างที่สุด.............มีอีกคราวหนึ่ง   ปรากฎในสภา เมื่อนายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ ชนะโหวด นายกรัฐมนตรี ต่อนายอภิสิทธิ์   นายสมชายลุกขึ้นยืน และรีบก้าวมาหานายอภิสิทธิ์ จากฝั่งหนึ่งมาฝั่งหนึ่ง เพื่อจับมือกับฝ่ายค้าน แสดงความปรองดอง   แต่นายอภิสิทธิ์ กระด้างจริง ๆ   ........   ผมคิดว่าเขาควรจะก้าวออกมาจากที่ยืนอยู่สักก้าวสองก้าว   หรือถ้าจะดีก็ไปพบกันสักครึ่งทาง..............ก็เพื่อแสดงมารยาทหน่อยเท่านั้นเองครับ    ถึงจะเกลียด ชัง หรือเป็นศัตรูกันขนาดไหน   ก็ต้องแสดงมารยาทกันบ้าง    แต่นายอภิสิทธิ์เฉยเมยจนนายสมชายมาถึงยื่นมือให้จับ แทบว่านายอภิสิทธิ์ไม่ยอมจับด้วยซ้ำ......................... ไม่ได้หรอกครับ   คนไทยเรา เรื่องมารยาทนี้   บอกไปถึงความเป็นผู้ดีนะครับ.........อีกครั้งทำนองเดียวกันนี้ก็คือ      คราวประชุมอาเซียน.......คุณทำและพูดอย่างที่คุณทำไปต่อผู้นำกัมพูชาเช่นนั้น ไม่ได้หรอกครับ    มันเสียหายและเสียมารยาทชาติผู้ดี   คนไทยถือ ผลมันเลวร้ายจนถึงขนาดอาจสูญเสียสิ่งสำคัญอีกครั้งก็ได้ 
 
แล้วเรื่องอะไรที่นายอภิสิทธิ์ ไปฟ้องคุณยิ่งลักษณ์     ......   ?   เรื่องที่ 3 คนข้างต้นและคนอื่น ๆ ไปยกป้ายถามคุณ..........   ไปฟ้องเขาทำไม ?   ไม่เข้าใจจริง ๆ 
 
 
ข้อแนะนำก็คือ     ใครอยู่เบื้องหลัง ผลักดันอยู่ ก็พอเสียเถิด..........สิ่งนี้สิ้นสภาพเสียแล้ว.
 
ผู้แสดงความคิดเห็น นายประชาธิปไตย วันที่ตอบ 2011-06-22 10:30:38
 
 
 ความเห็นที่ 18 (3298583) 
 
คุณศุภชัย ใจสมุทร์   พูดทำนองว่า ประชาธิปไตยไทย ก็ต้องเป็นอย่างไทย ๆ    ต้องมายอมรับกันว่า จะเป็นอย่างฝรั่งไม่ได้       "ผู้ใหญ่เขาพูดกันแล้ว"    ขนาดคุณศุภชัย ยังไม่เป็นผู้ใหญ่อีกหรือ ?        แล้วถ้าไม่เอาหลัก Equality มาใช้แล้ว ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ? ทำไมคุณศุภชัยต้องลดตัวเองลงไปเป็นเด็ก ๆ (ทั้ง ๆ ที่โตแล้ว)    และทำไมเด็กไทยจะต้องพูดได้แต่คำว่า "ครับผม" กับผู้ใหญ่  
 
 
 
ผมว่า ภูมิใจไทยนี่ไปไกล      คนละเรื่องละราวเลย 
 
 
คือ ระบอบประชาธิปไตย ก็ควรจะเป็นอย่างที่ประชาธิปไตยเป็นหรือควรจะเป็น   ไม่มีหรอกครับ ประชาธิปไตยฝรั่ง,    ประชาธิปไตยพม่า   ประชาธิปไตยไทย ประชาธิปไตยจีน................  
 
 
ถ้าไทยเป็นประชาธิปไตย ก็ต้องเป็นประชาธิปไตยตามที่ประชาธิปไตยเป็น หรือควรที่จะเป็น ...ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ
 
ถ้าพม่าเป็นประชาธิปไตย ก็ต้องเป็นประชาธิปไตย ตามที่ประชาธิปไตยเป็น หรือควรที่จะเป็น ...ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบพม่า ๆ
 
ถ้าจีนเป็นประชาธิปไตย ก็ต้องเป็นประชาธิปไตย ตามที่ประชาธิปไตยเป็น หรือควรที่จะเป็น ....ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบจีน ๆ
 
 
และฝรั่ง อังกฤษ เยอรมัน อเมริกา คานาดา ออสเตรเลีย เขาได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยก็เพราะเป็นประชาธิปไตย   ตามที่ประชาธิปไตยเป็น หรือควรที่จะเป็น
 
 
 ........แต่ภูมิใจไทย ยังสับสน อยู่เช่นนี้ เวลาสำคัญเช่นนี้ เสียเวลาคิดจะรอมชอม-โต้เถียงเปล่า ๆ ก็ ให้ไปเข้าโรงเรียนชั้นประถมหลักสูตรประชาธิปไตยไปพลางก่อน
 
 
เริ่มจากความเข้าใจที่ว่า ประชาธิปไตยเป็นอย่างที่ประชาธิปไตยเป็น หรือควรที่จะเป็น  
 
 
ผู้แสดงความคิดเห็น นายประชาธิปไตย วันที่ตอบ 2011-06-22 11:22:36
 
 
 ความเห็นที่ 19 (3298913) 
 
คุณมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ จบลงว่า   ประเทศไทยต้องเป็นเศรษฐี.................. ผมชอบจริง ๆ     และไม่คิดว่าจะมีใครพูดดีเท่าคุณมิ่งขวัญ...........
 
ผมว่าประเทศไทยโชคดีนะ.......
 
ผมหมายถึง วิธีการหาเงินเข้าประเทศของพรรคเพื่อไทย โดยมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ   บอกจอม เพ็ชรประดับ   .......   นั่นแหละทำให้เข้าใจว่า เขาจะทำอะไรตามนโยบายหรู ๆ ได้อย่างไร   คอยดู..........
 
ผู้แสดงความคิดเห็น นายประชาธิปไตย วันที่ตอบ 2011-06-24 21:35:16
 
 
 ความเห็นที่ 20 (3299131) 
 
คุณมิ่งขวัญว่า    ต้องให้เขาเป้นผู้บริหารนโยบายด้วยตนเอง........... ขอเป็นรองนายกครับ   .......... ผมว่าไม่น่ามีปัญหานะ ......... หรืออย่างไรครับ ?
 
ผู้แสดงความคิดเห็น คนคุ่ย วันที่ตอบ 2011-06-26 21:07:41
 
 
 ความเห็นที่ 21 (3299854) 
 
เวลา 17.50 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาถึงสนามราชมังคลากีฬาสถาน ทักทายประชาชนแล้วรอเวลาปราศรัย ณ เวลาประมาณ 19.00 น.
 
เวลา 18.10 น. ฝนตก(ภาพล่าง) แต่ประชาชนเลือดแดงเชียร์ประชาธิปไตยก็สู้ไม่ถอย ทางสนามลานพระบรมรูปทรงม้า ด้านพรรคประชาธิปัตย์ ประชาชนก็กรำฝนลืมหูลืมตาไม่ขึ้นเหมือนกัน แต่ประชาชนมาเยอะเหมือนกัน รายงานว่าประมาณ 10,000 คน
 
ทางน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แคนดิเดท นายกรัฐมนตรี ได้พูดนโยบายล้วน ๆ แต่ละนโยบายฟังชัดเจน มีลักษณะ simple มากจนคนทั่วไปฟังเข้าใจทันที   มีที่น่าสังเกตก็คือ การสร้างระบบจราจร ระบบรถไฟฟ้า กทม.ทั้ง 10 สาย(ตามข้อ 6 ที่โฆษณาใน ข่าวสด ฉบับ 1 ก.ค.2554 หน้า 5 นั้น) จะสามารถทำได้โดยพยายามเอาสินค้าข้าวและสินค้าไทยไปแลกเปลี่ยน นี่เป็นตัวอย่างของการหาเงินและดำเนินนโยบายอย่างฉลาด ในหลาย ๆ นโยบายของพรรคไทยรักไทย   โดยที่ทางพรรคเพื่อไทยจะมีความชำนาญเป็นพิเศษในการบริหารงานแบบการขายความคิด หรือการเอาความคิดไปแลกเป็นเงิน นอกจากนี้ก็มีนโยบายสร้างเขื่อนกั้นทะเล ถมทะเล สร้างเมืองใหม่ และระบบป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพ (ตามข้อ 10 ข่าวสดที่อ้าง)   สร้างสนามบินเพิ่มอีก ที่สนามบินดอนเมือง และอู่ตะเภา(ตามข้อ 15 ฯ)   นี่เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นทั้งนั้น   นโยบายการศึกษาก็ล้ำหน้ามาก ๆ    นโยบายชนบท มีกองทุนชุมชน จะเพิ่มให้อีก 1 ล้านบาท   ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ใน 9 ปีข้างหน้าจะเป็น 1,000 บาท   จบปริญญาตรีวันนี้เงินเดือน 15,000 บาท อีก 9 ปีข้างหน้าเป็น 30,000 บาท แล้วมีนโยบายบ้านหลังแรก รถยนต์คันแรก โดยช่วยคืนภาษีให้    มีอีกเรื่องที่เกี่ยวกับเสื้อแดงและราชมังคลากีฬาสถาน (ที่เหมือนอนุสาวรีย์การต่อสู้ของเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย) คือย้ำว่าจะให้คณะกรรมการนายคณิต ณ นคร ทำงานตรวจสอบความจริงต่อไปโดยรัฐบาลให้อิสระเต็มที่   ทางรัฐบาลจะเพิ่มงบประมาณให้อีก ยังมีอีกหลายนโยบาย ที่มีเหตุผลมาก ๆ ........   และดูประชาชนเข้าใจ เชื่อว่าจะทำไปได้จริง   ....   ที่สำคัญก็คือ เพื่อไทย เป็นเพียงพรรคการเมืองเดียว ที่มีการศึกษาการทำนโยบายอย่างรอบคอบมายาวนาน ก่อนเสนอต่อประชาชน ส่วนพรรคอื่น ๆ อีก 39 พรรค แทบว่าไม่ได้ศึกษามาก่อนเลย การเสนอนโยบายอะไรจึงหละหลวม แทบเรียกได้ว่าไม่ได้เป็นนโยบายเลยก็ว่าได้   จึงไม่น่าที่จะมีปัญหาอะไรสำหรับพรรคเพื่อไทยที่จะได้รับคะแนนนิยมนำพรรคการเมืองอื่น และผลการเลือกตั้ง 3 ก.ค.2554 มีแนวโน้มส่งผลให้ประเทศไทยได้มีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย
 
* 001 รายงาน
   1 ก.ค.2554
 
ผู้แสดงความคิดเห็น 001 รายงาน วันที่ตอบ 2011-07-02 20:49:20
 
 
 ความเห็นที่ 22 (3299937) 
 
ขอให้ทำให้ได้ก่อนเถอะ   แล้วค่อยมาพุด เอานะดยบายเพ้อฝันพวกนี้มาทำให้มันเปนจิงให้ได้ก่อน ก่อนจะชมอะไรไปเรื่อยเปื่อยดดยไม่ใช้สมองคิด ว่าศักยภาพของประเทศไทยและเงินคงคลังมีเท่าไหนก่อจะมาดีใจนั้นนี้   ถ้าสามารถทำได้ก่อดี แต่คนทั้งประเทศก่อจะดุเหมือนกันว่าจะพลาดเหมือนสมัยที่พี่คุนทำพลาดมามั้ย เพราะถึงยิ่งลักษณ์จะเปนนายก แต่ก่อไม่มีอำนาจอะไรถ้าทักษฺณไม่ได้ใส่เพราะคุนก่อคือหมากตัวหนึ่งเท่านั้นในเกม    หวังว่านโยบายที่คุนให้ไว้คุนคงทำตามสัญญานะ คงไม่ได้เปนนโยบายเพ้อฝันเพียงอย่างเดว
 
ผู้แสดงความคิดเห็น คนไม่โง่ วันที่ตอบ 2011-07-04 11:18:48
 
 
 ความเห็นที่ 23 (3300249) 
 
เราต้องมีวิธีมองซีครับ   ว่านโยบายที่เขาเสนอจะใช้ได้หรือไม่ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนมีปัญญาดู ฟัง เห็น ก็สามารถวิเคราะห์ออกก่อน    หากจะเป็นโทษ ก็จะได้ยับยั้งได้ก่อน ไงครับ    แต่หากเห็นว่าจะได้ประโยชน์ จริง ยิ่งใหญ่ ก็จะได้เอาประโยชน์จากสิ่งที่เขาเสนอนั้น
 
 
 
ทางเราเห็นว่า     จะมีประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่   เรามองเห็นก่อนโดยภูมิปัญญา   ไม่ใช่คอยไปดูเอาตอนที่ปะเทศเจ๊งไปแล้ว    อย่างรัฐบาลอภิสิทธิ์นี่ เรามองแต่แรกเลยแล้วว่าประเทศชาติจะเสียหายเพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์    มอง เตือนล่วงหน้าแล้ว   อย่างไรครับ
 
ไม่ต้องคอยให้ผลมันเกิดภายหลัง 2 ปีเศษ ๆ ก่อน
 
 
 
ก็เพราะเรามีหลักการวิเคราะห์อย่างไรครับ    ทำให้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ 
 
 
 
ไม่ใช่หลับตาสนับสนุน ชมเชยไปโดยไร้เหตุผลอย่างที่คุณว่า 
 
 
 
อุปมานะครับ      ถ้าคุณเป็นควายนี่          คุณยังไม่วิ่งหรอก จนกว่าจะเห็นสิงโตพุ่งจะเข้ามาเขมือบ หรืองับคอคุณ    นั่นเพราะสติปัญญาอย่างควายไงครับ
 
แต่ถ้าอย่างคน ๆ ก็ศึกษาอย่างละเอียด    ไม่เห็นหรือ   การวิจัยสัตว์โลก   เขาทำด้วยปัญญา   จนรู้แทบทุกอย่างของสัตว์ร้าย จนเอามันอยู่
 
เพราะฉะนั้น   คุณต้องฝึกตน ให้ทันเขาครับ หมายถึงทันโลกด้วย      ไม่ใช่ว่า   ขอให้ทำได้ก่อน......
 
 
 
แต่เราต้องรู้ล่วงหน้าก่อน    ว่าจะเสียอะไร   จะได้อะไร
 
ถ้าเราเห็นแล้วว่าจะได้อะไร เราก็ต้องรีบทำ   จริงไหม 
 
 
 
อย่างนโยบายทักษิณ หรือ เพื่อไทยนี่    เราเชียร์อย่างมีเหตุผล และมองกาลข้างหน้า   เหมือนกับคนส่วนใหญ่ ที่เขาเลือกพรรคเพื่อไทยแหละครับ
 
ก็คอยดู ถ้าคุณยังมองไม่ออก (เพราะใช้ปัญญาควาย)
 
ผู้แสดงความคิดเห็น นายบัฟฟาโล(นายควาย) วันที่ตอบ 2011-07-07 10:13:39
 
 
 
 ความเห็นที่ 24 (3300255) 
 
เฝ้าดูพรรคเล็กเมื่อเข้าร่วมรัฐบาล กับพรรคใหญ่
 
 
 
พรรคใหญ่เขาชนะมาเพราะได้เสนอนโยบายชัดเจนไปหมดแทบทุกด้าน ประชาชนหวังว่าภายหลังได้เป็นรัฐบาลเขาจะต้องเห็นการขับเคลื่อนนโยบายนั้น ๆ
พรรคเล็ก 4 พรรคที่เข้าร่วมรัฐบาลนั้นน่าคิดดูให้รอบคอบนะครับ ผมเองมองว่าพรรคเล็กก็ไม่ได้เสนอนโยบายอะไรแก่ประชาชน ตามเหตุผลของความเป็นพรรคเล็กนั่นแหละครับ ตรงนี้ควรปรองดองกันให้ดี
มามองตามหลักการนี้ก็ได้ครับ คือ ประชาชนส่วนใหญ่เขาอยากได้นโยบายอะไร ก็ให้เป็นไปตามที่เขาอยากได้  
เขาอยากให้พรรคเพื่อไทยขับเคลื่อนนโยบายไปทั้งหมด ผมอยากให้ปรองดอง ยอมรับความจริง   และการทำงานที่มีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อได้คนที่เหมาะกับงาน   right man on right job นั่นแหละครับ  
วันนี้ พวกเกษตรกรเขาก็เป็นกังวลว่าพรรคเพื่อไทยจะโยนเรื่องพวกเขาไปให้พรรคเล็กทำเสีย เรื่องสำคัญอย่างนี้พรรคเล็กอย่าอาสาเลยนะ   รับความจริงกันหน่อย ว่าพรรคเรายังมือไม่ถึงขั้น    ควรมองอะไรเป็นองค์รวมของรัฐบาลทั้งหมดจะดีกว่า คือคุณเอาตำแหน่งไปแต่การขับเคลื่อนนโยบายเป็นของพรรคเพื่อไทย ที่เขามีนโยบายเยี่ยมยอดกว่า ส่วนพรรคเล็กไม่เห็นมีนโยบายอะไร ที่เป็นแก่นเป็นสารเลย   แล้วก็จะแหกโค้งไปคนเดียวโดด ก็พังกันหมด
ถ้าทำตรงนี้ไม่ได้ ระวังสิ่งที่เรียกว่า นโยบายปรองดองของคุณจะเป็นของเก๊นะครับ
·        ผู้ตั้งกระทู้ สุไหงปาดี ชินะกุล :: วันที่ลงประกาศ 2011-07-06 19:55:30
 
ผู้แสดงความคิดเห็น 001 วันที่ตอบ 2011-07-07 10:17:30
 
 
 ความเห็นที่ 25 (3300444) 
 
ถ้าคุณเป็นนักประชาธิปไตย ต่อไปคุณจะคิดอะไร อย่างไร ?
 
มองที่พรรคการเมืองครับ    
 
ต่อไปต้องเป็นบทบาทของพรรคการเมือง    อย่างเข้มข้น
 
พรรคที่ได้เป็นรัฐบาล มีหน้าที่ทำคำมั่นสัญญาให้ปรากฎ   ประชาชนมีหน้าที่ดูและรับผลของนโยบาย โดยทั่วหน้ากัน ไม่ว่าคุณจะสนับสนุนพรรครัฐบาลมาหรือไม่ก็ตาม ได้เท่ากันหมด  อย่าลืมหลักการ majority rule minority right ครับ
 
พรรคฝ่ายค้าน   มีหน้าที่   ไม่ใช่คอยตรวจสอบเขาอย่างเดียว    ...............    ในไทย เคยทำมาแล้ว ตรวจสอบถี่ยิบเลย .............   ที่จริงคุณควรจะสบายใจได้พักผ่อน   และทำหน้าที่อย่างสำคัญคือการศึกษาประชาชน มีโอกาสที่จะทำสิ่งนี้ต่อไปข้างหน้าอย่างน้อยก็ 4 ปี    และจริง ๆ 4 ปีก็อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการศึกษาประชาชน และองค์ประกอบทั้งมวล แล้วนำมาวิเคราะห์ สร้างนโยบายที่ดีที่สุด    ทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลานะครับ ไม่ใช่ว่าคุณจะทำเสร็จภายใน เดือน 2 เดือน   ปี 2 ปี     เพราะนี่คือกระบวนการศึกษาวิจัยทางเทคนิก วิชาการสารพัดที่จำเป็น ที่จะทำนโยบายของคุณให้ดีกว่า 
 
อย่างพรรคเพื่อไทยนี่ เขามีคนเก่งที่มีประสบการณ์อย่างสูง และเคยมีผลงานทำความสำเร็จมาแล้ว และนำมาเป็นตัวแบบสำหรับการสร้างนโยบายใหม่ ๆ ออกมา เขาเคยได้ทำการพิศูจน์ ทดลองนโยบายตัวแบบเหล่านั้น จนเชื่อมั่นเป็นทฤษฎีที่ไว้ใจได้แล้ว ............    และผลก็คือประชาชนได้ประจักษ์เองถึงความมีประสิทธิภาพของนโยบาย...........................   ในขณะที่พรรคการเมืองอื่น ๆ   ยังเคว้งคว้าง และไม่เคยคิดทำนโยบายอย่างถูกหลักการของประชาธิปไตย และหลักของประสิทธิภาพมาเลย
 
หมายความรวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีอายุยาวนานด้วย  
 
และประชาชนจะได้ประโยชน์จากพรรคการเมือง ก็โดยระบอบประชาธิปไตยนี่แหละครับ   ที่ให้โอกาสการจัดตั้งพรรคการเมือง และให้ความประกันในความมั่นคงของพรรคการเมือง ไปตราบเท่าที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอยู่    ..ในเมื่ออำนาจการเลือกเป็นของประชาชน ของพวกเขา     พวกเขามีสิทธิ์อยู่อย่างกับนายอยู่ตลอดเวลาที่เป็นประชาธิปไตย   
 
ตรงนี้คือความหมายครับ
 
หมายความว่า พรรคที่ประชาชนสนับสนุนอยู่วันนี้ เมื่อเกิดทำพลาดเข้า .....หรือทรยศ.............หรือทำผลงานไม่เข้าตา    ใช่ว่าประชาชนจะต้องผูกพันอย่างกับทาส   ของพรรคนั้น    ไม่ใช่............ แต่ไม่หมายความว่าไล่รัฐบาลออกทันควัน ....มาก่อม็อบไล่รัฐบาลไป   ไม่ใช่   ต้องทำไปตามกติกาสุภาพบุรุษ....(คือมีจรรยาบรรณครับ)    ถ้าไม่ร้ายแรงถึงเข่นฆ่าประชาชน ก็ต้องรอไปจนถึงโอกาสคือถึง เทศกาลการเลือกตั้งครั้งใหม่     .............     คราวใหม่ ประชาชนก็มีสิทธิ์เลือกพรรคใหม่อีกครั้ง   ....   นี่คือลักษณะที่ควรเป็นไปในระบอบประชาธิปไตย ครับ  
 
 
เพราะฉะนั้น   ต่อไปจึงเป็นบทบาทของพรรคการเมืองล้วน ๆ     พรรคฝ่ายค้าน สาระสำคัญไม่ใช่ที่การตรวจสอบรัฐบาล   แต่คุณต้องรีบเร่งศึกษาและสร้างนโยบายเตรียมเอาไว้เพื่อแข่งขันกับพรรครัฐบาลในคราวต่อไป    ........คุณคิดว่าง่ายหรือ   ?   โดยเฉพาะพรรคที่เกิดใหม่ ยังสับสนในเรื่อง   วิถีทางของประชาธิปไตยอยู่    สับสนเรื่องเท็คนิกการสร้างนโยบายอยู่ .....4 ปีข้างหน้าอาจจะไม่พอด้วยซ้ำ   .......    คุณต้องศึกษาภาคอีสาน ......ศึกษาวัฒนธรรมของพวกเขา    เป็นต้น    และทุกวันนี้ มีเทคโนโลยี และวิชาการใหม่ ๆ พรรคฝ่ายค้านจะต้องทำการศึกษาเพื่อเอาคนที่เก่ง เอาวิชาการ เทคนิกที่ทันสมัย มาใช้สร้างนโยบาย    ต้องแข่งเขาในด้านนโยบายให้ได้    ............   จริงอยู่คุณมีหน้าที่ตรวจสอบ แต่อันนี้ มันทำไม่ยาก คุณมีปากก็พูดไป   .......และไม่ใช่สาระสำคัญ ๆ คือแข่งในด้านนโยบาย     พรรคการเมืองจึงจำเป็นต้องมีอายุยืน อย่างไรครับ   เพื่อมีโอกาสการสร้างนโยบายได้อย่างรอบคอบ ทั่วถึง ไม่พลาด และยาวนาน      ............ 
 
 
 
ประชาชน...ที่มีจิตใจประชาธิปไตยจริง.....ไม่ใช่ทาสของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งนะครับ......   อยู่ที่พรรคการเมืองกับประชาชนเขาเข้าใจกันรัก ไว้วางใจกัน และสร้างประโยชน์ให้กันและกันอย่างไร   เหมือนสัมพันธภาพของบุคคลต่อบุคคลนั่นเอง    แต่หลักการประชาธิปไตยนั้น ต้องตั้งอยู่บนผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง   ประชาชนจึงได้ประโยชน์จากสิทธิของการเลือก อย่างเต็มที่
 
 
 
พรรคฝ่ายค้น ก็ต้องพากเพียรไป    อย่างพรรคกรรมกรของอังกฤษ กว่าจะเอาชนะ พรรคคอนเซอเวทิฟได้    ก็พยายามเอาชนะใจประชาชนมา   สร้างตัวมา ด้วยการศึกษานโยบาย มาแข่งกับพรรครัฐบาล ใช้เวลาร่วมครึ่ง ศตวรรษ   ในยุคนายโทนี่ แบล เร็ว ๆ นี้เอง จึงได้ชนะมาจนถึงบัดนี้ ...........    และซึ่งบัดนี้ ก็มีท่าทีว่า พรรคคอนเซอเวทีฟ อังกฤษ ทำท่าว่าจะเอาคืนได้   ด้วยนโยบายที่ถูกต้องกว่า ...    อเมริกาก็เหมือนกัน   ...........   แสดงถึงความฉลาดของประชาชนเขา   มีการเลือกอย่างฉลาดในการเอาประโยชน์จากพรรคการเมือง สับเปลี่ยนไปมาระหว่างพรรคดีโมแครต กับพรรครีพับลิก   ซึ่งคุณจะเห็นในอเมริกา ว่าไม่นานนัก ก็มีการเปลี่ยนขั้ว   แต่เขาเปลี่ยนขั้วตามกติกาของครรลองประชาธิปไตย   เขาไม่เคยมีทหารออกมา เพราะทหารไม่อาจจะทำเช่นที่ พล.อ.สนธิ บุณยรัตนกลิน(ทหารแขกอิสลาม ทำการยึดอำนาจรัฐบาลพุทธ...ประเทศพุทธ..ทำได้อย่างไร ?   โดยไม่โดนรุมกระทืบ ในอเมริกา ทำเช่นนี้ไม่ได้   และไม่มีทหารไหนจะคิดทำ เพราะรู้อยู่ ขืนทำไปโดนรุมกระทืบแบนแน่)    เนื่องจากประชาชนเขาฉลาด รักประชาธิปไตย และคุ้มครองระบอบนี้เอาไว้เนิ่นนานมาแล้ว    ซึ่งทำให้อเมริกาเป็นระบบพรรคการเมือง 2 พรรคใหญ่อย่างชัดเจน และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างสูง 
 
 
 
ฉะนั้น   วิถีทางประชาธิปไตย ต่อจากนี้ จึงเป็นวิถีทางของพรรคการเมือง   ที่จะต้องตรวจสอบตนเอง   ตามหน้าที่ให้ดีที่สุด    และพรรครัฐบาลมีหน้าที่ทำ .......     ตามที่ให้สัญญาไว้แด่ประชาชน    ....... ต้องระดมมันสมองทุกฝ่ายมาทำตามสัญญาให้ได้   ............   และซึ่งการระดมมันสมองนี้..... เขาไม่มีขีดจำกัดหรอกครับ   ประชาชนไทยต้องฉลาดในการเอาประโยชน์......เอาประโยชน์จากคนเก่ง ๆ ทั่วโลก ใครก็ได้ นั่นเป็นวิถีทางที่ฉลาด ..(เช่นพรรคประชาธิปัตย์ไปจ้างนักวิจัยตลาดฝรั่งให้ทำนโยบายไข่ให้....ออกมาเป็นไข่ชั่งกิโล...แต่ฉลาดไม่ทันเขา ๆ ก็โกงเอา งาบเงินไปถึง 69 ล้านบาท...นั่นก็เป็นแนวคิดที่ดี เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่กรณีนี้ไปพลาดตอนทำ ต้องทำอย่างฉลาด ไม่ใช่ทำอย่างโง่....นี่แหละคนไม่เคยก็เสียท่าเขาได้). ทำไมเราจะต้องจำกัดตัวเองในการแสวงหาวิชาความรู้ .......    แม้กระทั่งนักโทษฉกรรจ์ในคุกที่รอประหาร ...เราก็อาจจะแสวงหาความรู้บางอย่างจากเขาได้.........(มีงานการวิจัยต่าง ๆ ออกมา เขาไปวิจัยคนร้าย   ไปวิจัยคนดี......   เขาต้องการอะไร....... เขาต้องการความรู้ทั้งนั้นแหละครับ   ถ้าคุณมัวยึดมั่นถือมั่น อย่างไร้เหตุผล......   ก็ไม่ได้วิชา.............ในอเมริกานี่งานวิจัยเป็นไปอย่างรอบด้านหลายหลากมากมายจริง ๆ จนอาจกล่าวได้ว่างานวิจัยอยู่กับชีวิตปกติประจำวันไปแล้ว....แม้กระทั่งแนวคิดในเชิงงานวิจัยนี้ก็รุดหน้า   ถึงขนาดคิดวิจัยมุษย์พันธ์ใหม่..การวิจัยมนุษย์กลหรือหุ่นยนต์......เหมือน ๆ กับการวิจัยพันธุกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าสัตว์และพืช ที่ก้าวหน้าไปมากแล้วในประเทศเขา เพราะเขาไม่ยึดมั่นถือมั่นในการแสวงหาความรู้....... อย่างคนไทยบางพวก เอาเรื่องแก้แค้นส่วนตัวมายึดมั่นถือมั่น ก็กลายเป็นว่าปิดกั้นทางวิชาการ ที่พึงมีพึงได้ไป...... เช่นคนเก่ง ๆ อย่างคุณทักษิณ นี่ มีกี่คนในโลก...คุณไปปิดกั้นทำไม คิดไปปิดกั้นทำไม่ ได้ประโยชน์หรือ ? .... ทำไมไม่คิดเอาประโยชน์จากคนไทยด้วยกัน .....เอาเขามาเป็นที่ปรึกษา   เอามาทำงานที่เขาถนัด   ฯลฯ    เอาความอิจฉาริษยาส่วนตัวมาปิดกั้นประโยชน์เช่นนี้ ก็ไม่ได้ความรู้ .......กลายเป็นประเทศ อื่นที่ได้ประโยชน์ไป อย่างน่าเสียดาย ประมาณนี้)
 
 
 
ถ้าพรรคการเมืองคุณ ไม่คิดต่อสู้ด้วยนโยบายแล้ว   คุณจะต่อสู้ด้วยอะไร ??   คุณก็เอาวิธีเก่า ๆ ในแนวคิดแคบ ๆ แบบเผด็จการ ขี้อิจฉาริษยา มา    และถนัดในหน้าที่ฝ่ายค้านที่มักรู้หน้าที่ตนเองเพียงว่า   มีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล...... ไม่ต้องตรวจสอบมากหรอกครับ    มีประชาชนคอยให้คะแนนอยู่   ผลงานบริหาร มันตกแก่ประชาชน ๆ เขารู้สึกได้โดยตรง   สัมผัสโดยตรง    ........ พอครบวาระประชาชนก็ให้คะแนนเอง..... ต่อไปนี้จึงเป็นการทุ่มเทให้กับงานการสร้างนโยบายของฝ่ายค้าน   ซึ่งแน่นอน   ต้องประกอบด้วย การศึกษานโยบายของฝ่ายรัฐบาล อย่างไม่ลำเอียง แต่ศึกษาเพื่อให้รู้เขา รู้เรา ตามทันเกมส์เชิงนโยบาย .......ศึกษาหลักวิชา......ถ้าเขามีหลักวิชาในการทำนโยบาย รู้เหตุและผลของเขาตามจริง   เราก็จะได้ไม่ค้านเขาอย่างไร้เหตุผล ถูไปข้าง ๆ คู ๆ อย่างคนโง่เถียงกัน อย่างไรครับ    ก็ไม่เป็นการสร้างสรรค์   และเราก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรงอกเงยขึ้นมา แต่ทางที่เราทำการศึกษา    หมายถึงการศึกษาข้อมูลรอบด้านทางการเมือง และประชาชน   อย่างรอบคอบ นี่พรรคการเมืองใหญ่สามารถทำได้   ก็ควรเร่งศึกษาไปตลอดเวลาที่เป็นฝ่ายค้าน ตลอดเวลานาน 4 ปีก็อาจจะไม่พอด้วยซ้ำ       อย่างพรรคประชาธิปัตย์นี่ เคยคิดหรือเปล่าว่าการศึกษาภาคอีสาน นี่ คุณจะต้องใช้เวลากี่ปี หรือกี่สิบปี.......จากการเริ่มต้นที่จุด ๐   ของพรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้     .............   แต่ในฐานะความเป็นพรรคการเมืองใหญ่นี่แหละ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง ยิ่งกว่าสถาบันการศึกษาใดใดเสียอีก  
 
ผู้แสดงความคิดเห็น บัวระย้า ชะบาบุญเสฏฐ์ วันที่ตอบ 2011-07-09 05:46:17
 
 
 ความเห็นที่ 26 (3300499) 
 
ยิ่งนานวันก็ยิ่งเห็นทาสแท้เขาพรรคเก่าแก่มีอายุมานานกว่า 60 ปี แต่ไม่เข้าใจความต้องการของประชาชน และยังเล่นการเมืองแบบเก่าๆอยู่ เพราะทำนโยบายไม่เป็น ขนาดแพ้การเลือกตั้งอย่างยับเยินก็ยังมองปัญหาของตัวเองไม่เห็น ว่าพรรคของคุณอยู่กับการสร้างภาพ ภาพที่ประชาชนอยู่ดีกินดีไม่ได้ภาพที่หลอกลวงเจ้าของภาพว่าเป็นความสุขไปวันๆ หากไม่ปรับตัวก็คงถึงกาลอาวสาน
 
ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2011-07-09 22:41:23
 
 
 ความเห็นที่ 27 (3300725) 
 
ข้อสังเกตก็คือ เมื่อพ่ายแพ้การเลือกตั้งครั้งนี้ไปอย่างพังทะลายราบ และ เป็นการพ่ายแพ้ติดต่อกันมาทุกครั้งของการเลือกตั้งทั่วไป    ให้แด่พรรคเดิมที่เอาชนะมาตลอด นับแต่ไทยรักไทย ถึงพรรคเพื่อไทย .......ถึง 4 ครั้งติดต่อกัน   ทั้ง ๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ทุ่มเทความพยายามทุกประการ โดยเฉพาะการตามล่าล้างบุคคลากรผู้นำของพรรคฝ่ายตรงข้าม และทั้งรวมหัวกับพันธมิตร ฝ่ายอมาตยาธิปไตย ทำการยุบพรรคฝ่ายตรงข้ามไปถึง 2 ครั้ง 2 พรรค คือพรรคเพื่อไทย และ พลังประชาชน ก็ยังไม่สามารถจะเอาชนะพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน ที่ถูกยุบแล้วตั้งใหม่เป็นพรรคเพื่อไทย ได้   พรรคประชาธิปัตย์ก็น่าจะได้คิด ในแนวคิดอย่างประชาธิปไตย ว่า ประชาชนส่วนใหญ่คิดอย่างไรกับพรรคประชาธิปัตย์    และน่าคิดถึงประชาชนชาวใต้ในทางที่เห็นอกเห็นใจ และประนีประนอมกับประชาชนที่ซื่อต่อพรรคมาตลอด น่าเห็นใจพวกเขา ที่พรรคไม่สามารถจะเอาชนะทางการเมืองประชาชนภาคอื่นได้เลย มีแต่ผูกพันกันไว้เปล่า อย่างไร้ผลทางการเมืองเลย แถมยังมีข้อสงสัยในเรื่องการใช้อำนาจรัฐในมือทุจริตเอากับประชาชนกรุงเทพมหานครอีก..... ......พรรคประชาธิปัตย์จึงควรที่จะได้ข้อสรุปทางวิชาการที่มีเหตุผล สอดคล้องความเห็นที่ 25-26 ดังกล่าว   เพื่อเริ่มต้นใหม่
 
 
 
แต่อะไรเป็นเหตุ    น่าคิด ... พรรคนี้ขาดบุคคลากรกระมัง ทั้ง ๆ ที่เห็นชัดเจนว่าผู้บริหารชุดที่พ่ายแพ้การเลือกตั้ง 3 ก.ค. 2554 นี้ เปรียบประดุจสื่งชำรุดไปแล้ว แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังไม่อาจจะโยนทิ้งไปได้   นั่นน่าหมายถึงการขาดแคลน พรรคไม่สามารถหาหาอะไรมาชดเชยได้ ................ แต่นั่นแหละ มันเน้นย้ำเข้าไปถึงความหมายของความเสื่อมทรุด ตกต่ำของพรรคประชาธิปัตย์ .........   และไร้วิสัยทัศน์ของการจะพัฒนาพรรคไป ............. ตามแนวทางที่ควรเป็น โดยวิถีทางประชาธิปัย...
 
 
 
และไม่ช้าไม่นานต่อมาก็เริ่มเห็นบทบาทเก่า ๆ เดิม ๆ ที่สกปรก ...   อันเกิดจากการลอกเลียนแบบวัฒนธรรมเดิม ๆ ของพรรคประชาธิปัตย์    โดยสมาชิกพรรค และสส.พรรครุ่นใหม่คนใหม่ ที่เลื่อมใสศรัทธาแบบเดิม ๆ ของพรรคนี้ ที่น่าสนใจก็คือ
 
 
 
บทบาทของพันธมิตร นายสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาประกาศว่า   ระบอบทักษิณ "คือระบอบการเมืองชั่วที่กลืนบ้านกลืนเมือง" พันธมิตรกับพรรคประชาธิปัตย์ต้องจับมือร่วมโค่นล้มต่อไป ทันทีที่ผ่านการเลือกตั้งเพียง 2 วัน (เอเอสทีวี 5 ก.ค.2554 เวลา 22.00 น.)
 
แล้วไม่นานต่อมา บุญยอด สุขถิ่นไทย   ว่าที่ สส.ปชป. เห็นช่องทางที่จะเอาชนะได้อีกครั้งหนึ่ง โดยเล่ห์กลเดิม ๆ       ยื่นฟ้อง กกต.ให้ ยุบพรรคเพื่อไทย      ..............    
 
 
 
นี่คือสัญญาณของการตกต่ำย่ำลงไปสู่อดีตที่ล้าหลังของพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งหนึ่ง ............    โดยไม่ยอมฟังข้อสรุป ท่านต้องระงับยับยั้งวิถีทางเดิม ๆ เช่นนี้เสีย    ...............   แต่แน่นอน ถ้ายังคงมีบุคคลากรที่ชำรุดบริหารอยู่   ก็คงไม่ไปไหน 
 
 
 
เพราะการยุบพรรคเพื่อไทย...หรือพรรคการเมืองใดหนึ่ง ล้าสมัยไปแล้ว เพราะการยุบพรรคการเมืองเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะกระทำได้ในวิถีทางระบอบที่อำนาจเป็นของประชาชน    ประชาชนได้รู้แล้ว ถึงความจำเป็นของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และความที่พรรคการเมืองจะต้องมีความมั่นคง และอายุยาวนาน ตามปรารถนาของประชาชน    ....ท่านไม่อาจจะทำการให้ยุบพรรคการเมืองได้    ท่านอาจจะได้รับความร่วมมือจาก กกต.+ทหาร+ศาล+มือลึกลับ.....ทำไปได้..........แต่ ประชาชนเขาไม่ยอม ก็จบเท่านั้นเอง
 
 
 
เมื่อคิดได้เช่นนี้   ท่านทั้งหลาย ก็คงได้สติและคิดใช้วิธี decision ที่ฉลาด ๆ ที่ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกันต่อไป......สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ เพียงจัดการกับสิ่งที่ชำรุดภายในพรรคของเราเองเสีย   ....และอย่าเลี้ยง....ปล่อยคนอย่างบุญยอด สุขถิ่นไทย ไปกินแกลบเสีย ...............แผ่นดิน แม่ธรณีบีบมวยผม ก็จะสูงขึ้นเยอะ   ............ และ......เริ่มเดินหน้าใหม่ครับ.....อย่าถอยไป ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ 
 
 
 
ให้พรรคที่ประชาชนเลือกมา บริหารประเทศไปพลางก่อน คุณก็ใช้เวลาปรับปรุง พัฒนาตนเอง ..... จะไม่ดีกว่าหรือ ?
 
 
 
ท่านไม่เข้าใจหรือ ........ ว่าต้นเหตุสำคัญมีไม่มากเท่าไร   สรุปประเด็นหลักจริง ๆ อยู่ใน 3 ประการนี้ ไม่นอกไปจากนี้(หมายความว่าคุณจัดการ 3 ประเด็นนี้ได้ ก็เรียบร้อย)   นั่นคือสิ่งที่ประชาชนพลเมือง รวมถึงสถาบันการเมือง การปกครองร่วมคิดกันอยู่    1.   คืนประชาธิปไตยให้ประชาชน    ประเทศไทยจะต้องดำเนินไปตามวิถีทางของประชาธิปไตย   สนธิ บุณยรัตนกลิน มุสลิมชั่วร้าย ทำการยึดอำนาจจากรัฐบาลประชาธิปไตยไป อย่างไม่ชอบธรรมด้วยประการทั้งปวง ประชาชนเขาขอคืน   .... เราก็เพิ่งได้คืนมา อย่างเสียเลือดเสียเนื้อแลกเอากับรัฐบาลเผด็จการ .....และได้รัฐบาลประชาธิปไตยคืนมาแล้ว....คุณก็รอสักหน่อยซิ    2.   คนเขาอดหยากระส่ำระสายเพราะการอยู่การกินการครองชีพ และเขาเลือกพรรคที่เสนอวิธีการที่จะทำให้พวกเขาประชาชน อยู่ดีกินดี มีการครองชีพดีขึ้น เขาบอกนโยบายไปอย่างชัดเจน และมีเสียงมากพอจะขับเคลื่อนนโยบายได้ ขณะนี้ประชาชนก็รอและหวังอยู่ตรงจุดนี้...คุณอย่าไปพูดเขวไปนอกประเด็น..นอกเรื่องสิ ....เมื่อรัฐบาลทำได้ ประชาชนอยู่ดีกินดี ความปรองดองก็เกิดขึ้น เอง ....คุณก็รอหน่อยซี...   3.    ความเป็นธรรม   ใครฆ่าประชาชน 91 ศพกลางเมืองกรุงเทพมหานคร 19 พ.ค. 2553 คุณเป็นคนมีน้ำจิตน้ำใจอย่างคนหรือเปล่า ก็รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่เคยให้ความกระจ่างเลย เขาจึงไล่ออกไป...รัฐบาลใหม่...เขาคิดว่าพอจะมอบให้นายคณิต ณ นคร     เขาไว้วางใจว่าคน ๆ นี้จะอาจเรียกศรัทธาคืนมาสู่สถาบันตนเองได้...   ก็คอยหน่อยอย่าเพิ่งไปพูดให้คนเข้าใจเขวไป......... ....เท่านั้นเอง 
 
ผู้แสดงความคิดเห็น สุไหงปาดี ชินะกุล วันที่ตอบ 2011-07-12 10:31:51
 
 
 ความเห็นที่ 28 (3300828) 
 
วันนี้ดูรายการ the daily dos คุณปลื้มวิเคราะห์ได้ดีทีเดียวว่าหากพรรค ปชป. ยังเลือกหัวหน้าพรรคแบบเก่าๆ วิสัยทัศน์ล้าหลัง ก็คงต้องพ่ายแพ้เพื่อไทยตลอดไป เพราะแพ้มาทุกครั้ง หากอยากชนะพรรคเพื่อไทยหรือมีคะแนนสูสีพอจะจัดตั้งรัฐบาลได้คงต้องเปลี่ยนวิธีคิดและมองหานักการเมืองเก่งๆที่เคยแสดงฝีมือทางด้านการบริหารให้เป็นที่ประจักษ์ อย่าง ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หรือ มรว.ปรีดียาธร เทวกุล และแม้แต่คนที่เชียร์พรรค ปชป. ก็คงอยากเห็นชัยชนะ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้เลยหากยนังเลือกหัวหน้าพรรคแบบที่เคยๆทำมา
 
ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2011-07-12 23:26:16
 
 
 ความเห็นที่ 29 (3300919)  
 
กกต.นี่มีอำนาจเหนือเสียงประชาชนหรือเปล่า ? ...... ไม่ใช่เฉพาะ 15 ล้านเสียง ของพรรคเพื่อไทย ที่ได้มา    แต่ของพรรคประชาธิปัตย์ด้วย   11 ล้านเสียง............. ถูกละ ....   โดยกฎหมาย หรือระเบียบ .....ของประเทศไทย......   ดูเหมือนกกต.จะมีอำนาจ ..... ถึงขนาดล้มพรรคการเมือง ยุบพรรคการเมือง   .......   และ อย่าลืม กรณีนายกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวช   .................   นั่นเป็นกรณีที่น่างุนงงสงสัยมาอยู่จนถึงขณะนี้ .........และกรณีคดีที่ดินรัชดา ......ก็สร้างความงุนงงได้ไม่แพ้กัน   
 
 
แน่นอนกรณีที่ กกต.ประกาศรับรองสส.ครั้งแรก 12 ก.ค.2554 รับรอง 358 คน และที่น่าตระหนกก็คือ แขวน สส.พรรคเพื่อไทยไว้ 11 คน ของประชาธิปัตย์ 3 คน ในนั้นมี ว่าที่นายกรัฐมนตรี หมายเลข 1 ของพรรคเพื่อไทย และรักษาการณ์นายกรัฐมนตรี ของพรรคประชาธิปัตย์ ด้วย ..โดยเหตุผลว่ามีการร้องเรียนว่าทุจริตในการเลือกตั้ง...........กรณีนายกสมัคร สุนทรเวช ในอดีตไม่ไกลนักนี้ ....รวมทั้งกรณียุบพรรคการเมือง .....ประชาชนคงไม่ลืม ว่ามันช่างง่ายดายจริง ๆ ที่อำนาจนอกระบอบประชาธิปไตยไทยยุคนี้ จะอาจล้มล้างรัฐบาล และพรรคการเมืองของประชาชน ......... และนี่จะเป็นอีกครั้งหนึ่งหรือ ?
 
 
นี่คือเหตุผลของความหวาดระแวงครับ.......   แต่เราไม่คิดหรอกว่า กกต.จะมีเจตนาที่จะให้โทษร้ายแรงถึงขนาดนั้น   ........... เพราะเมื่อกกต.มาระลึกถึงหลักการของระบอบที่เคารพเสียงของประชาชน ด้วยอำนาจการอนุมัติเป็นของประชาชนแล้ว    ........
 
 
ก็ดูซิครับ    ครรลองประชาธิปไตยไทย เพิ่งจะเริ่มต้น และมีนิมิตหมายที่น่าชื่นชม   เมื่อพรรคการเมืองใหญ่สองพรรค คือประชาธิปัตย์ และ เพื่อไทย รับรองซึ่งกันและกันไปแล้ว   
 
ประชาธิปัตย์มีประชาชน 11 ล้านลงคะแนนเสียงให้   เพื่อไทย 15 ล้าน    รวมเป็น 26 ล้าน มีความเห็นลงตัวกันแล้วตั้งแต่วันทราบผลการเลือกตั้ง   ยังไม่ง้อ กกต.ประกาศผลด้วยซ้ำไป   เข้าใจไหมครับ   ?
 
 
 
คือเวลาประมาณ 2 ทุ่มเศษ ๆ วันเลือกตั้ง 3 ก.ค.2554 นั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ และที่สำคัญนายกอภิสิทธิ์ ยังได้แสดงความยินดีต่อ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ คนที่ 28 และเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย แล้วอีกไม่กี่นาทีต่อมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครสส.สัดส่วนหมายเลข 1 จากพรรคเพื่อไทย ก็ออกมาขอบคุณประชาชน และขอบคุณหน.พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคการเมืองที่ต่อสู้อย่างสร้างสรรค์ และพูดถึงนโยบายบางประการในฐานะ ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ .................รวมคนที่เขายอมรับซึ่งกันและกันในประเทศไทยขณะนี้ อย่างน้อยก็ถึง 26 ล้านคน 11 ล้านคนยอมรับความพ่ายแพ้และยินดีที่ประเทศไทยจะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ อีก 15 ล้านคนก็ขอบคุณ 11 ล้านคนฝ่ายแพ้ และยินดีปรีดาที่จะได้การบริหารตรงตามนโยบาย ยินดีกับชัยชนะการที่คนที่ตนสนับสนุนจะได้ขึ้นบริหารงานตามนโยบายที่ปรารถนา
 
 
 
ความหมายคืออะไรครับ ?    ..........
 
 
 
คือไม่ใช่เฉพาะคนไทย....แต่โลกทั้งโลกเขาก็รู้กันแล้วอย่างปราศจากความสงสัย ว่า คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะต้องไปเป็นฝ่ายค้านแล้วอย่างเต็มใจเพราะยอมรับในความพ่ายแพ้    และคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร    จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่   นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย   ......... แม้ตลาดหุ้นก็ยังแสดงผลของความยินดีปรีดาเลยครับ........ถ้าไม่เป็นไปตามนี้แล้ว ไม่ใช่เพียงคนไทย 26 ล้าน เป็นอย่างน้อย(11ล้านของพรรคประชาธิปัตย์และ 15ล้านของพรรคเพื่อไทย)   แต่โลกทั้งโลกก็จะรุมเข้ามาครับ      แม้ขณะนี้ โลกก็ยังงง เหมือนที่คนไทยงงกันนี่แหละ
 
(คราวนี้การเลือกตั้งไทย เข้าสู่จรรยาบรณ ตามแบบอเมริกาเขาทำเลยครับ........เรากำลังหวังว่าประชาธิปไตยไทยเริ่มก้าวออกไปในก้าวสำคัญแล้วเทียว ......... แต่แล้ว กกต.ก็ทำให้เส้นกระตุก....และแดงผู้รักประชาธิปไตยทั้งสิ้น เขาต้องมองครับ....อย่างหวาดระแวง และพร้อมสู้)
 
 
 
ผมไม่ได้ตำหนิ กกต.นะครับ   แต่ผมอยากจะให้เข้าใจว่า   แนวคิดเราต้องกว้างขวาง ทันสมัยทันระบอบกว่านี้ ............... กฎหมาย..ระเบียบเราก็ต้องกว้างขวาง ทันสมัยทันระบอบกว่านี้ .......   และการ decision making   ของเราก็ต้องกว้างขวาง ทันสมัย ทันระบอบกว่านี้ ........คือกฎหมายต้องสอดคล้อง และรับรองแนวคิดอันกว้างขวางของระบอบประชาธิปไตยครับ      ตัวอย่างที่น่าสนใจขณะนี้ ขอยกประเด็นเดียวก็คือ กฎหมายต้องให้นำหนักอย่างถูกต้อง ตามความหมายของหลักการประชาธิปไตย    ไม่ใช่เรื่องเล็กนิดเดียว   ล้มพรรคการเมืองได้แล้ว ปลดนายกรัฐมนตรีได้แล้ว     ......ผมจึงมองเรื่องกฎหมาย...ระเบียบว่าล้าหลังที่สุดไงครับ.............. และ กกต.ก็มักอ้างว่าปฏิบัติไปตามกฎหมาย...ระเบียบที่ล้าหลังนั้น    ที่ว่าล้าหลังก็เพราะกฎหมาย...ระเบียบ ไม่สอดคล้อง ไม่รับรองแนวคิดอันกว้างขวางของระบอบประชาธิปไตย นั่นเองครับ   ........... และแน่นอน   ก่อนการเลือกตั้งคราวต่อไป กฎหมายจะต้องได้รับการปรับ แก้ไข ไปในแนวทางที่มันสมัยขึ้น..... นั่นคือให้สอดคล้อง รับรองแนวคิดอันกว้างขวางของระบอบประชาธิปไตย.....ซึ่ง กกต.จะต้องมองเห็นแนวทางดังกล่าวนั้น ตั้งแต่บัดนี้แล้ว   .......   
 
ผู้แสดงความคิดเห็น นายประชาธิปไตย วันที่ตอบ 2011-07-13 20:29:25
 
ผู้แสดงความคิดเห็น บก.ก๊อปปี้มา (newworldbelieve-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-07-13 20:39:02
 
 
 ความเห็นที่ 30 (3300989)  
 
ผมจะให้ดูบันทึกการข่าวนะครับ วันที่ 3 ก.ค.2554 ที่ รก.นรม.อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่ นรม.คนใหม่....ตกลงออกแถลงการณ์ ตามลำดับเหตุผลเดียวกัน ดังนี้ครับ :-
 
 
 
 
เวลา 19.41 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแถลงที่พรรคประชาธิปัตย์ ยอมรับในความพ่ายแพ้และแสดงความยินดีกับพรรคเพื่อไทยที่ชนะ และขอแสดงความยินดีต่อคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย
 
 
เวลา 19.50 น.   น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรแถลงที่พรรคเพื่อไทย ขอบคุณประชาชน ขอบคุณสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ ขอบคุณคุณอภิสิทธิ์และพรรคการเมืองทุกพรรคที่ทำให้บรรยากาศการเลือกตั้งเป็นไปอย่างสร้างสรรค์   ขอเรียนยืนยันว่าจะทำนโยบายทุกนโยบายอย่างเต็มที่ตามที่ได้บอกกล่าวประชาชน   ไม่อยากพูดว่าพรรคเพื่อไทยชนะ แต่อยากบอกว่าประชาชนชนะ   งานข้างหน้ายังมีมากต้องทำเพื่ออนาคตของประเทศไทย เป็นหน้าที่หนัก   คงต้องรอผลจากการประกาศเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง   ทางพรรคเพื่อไทยได้คุยกับพรรคชาติไทยพัฒนาแล้ว    ดิฉันจะทำหน้าที่นี้อย่างดีที่สุดขอบคุณ
 
มีคำถามหลายข้อ ตามมา โดยเฉพาะประเด็นเสื้อแดงกับคดีเสื้อแดง ตอบว่าจะมอบนายคณิต ณ นคร คำถามจากชาวต่างประเทศว่าจะทำอะไรก่อน ตอบว่าเรื่องเศรษฐกิจของประชาชน   ......
 
* 001 รายงาน
   3 ก.ค. 2554/20.03 น.
 
 
นี่คือ จริยธรรม ที่เหมือนลอกจริยธรรมมาจากอเมริกา .....   ยังไม่ทันที่กกต.หรือใคร อำนาจใดจะประกาศรับรองหรอกครับ เขามองจากเสียงประชาชน มั่นใจในเสียงประชาชน ....นั่นแหละเขาจึงรับว่า เสียงสวรรค์... ซึ่งเป็นที่น่ายินดี น่าชื่นชม แต่ประเด็นก็คือ   ความหมายของกริยาอันนี้ มันหมายถึงอะไรในความหมายของระบอบประชาธิปไตยและเราเข้าใจมันหรือไม่ ?
 
 
คือไม่ใช่เพียงมารยาทให้แล้ว ๆ ไปนะครับ    ในเมื่อคุณยอมรับความพ่ายแพ้ และทั้งแสดงความยินดีต่อฝ่ายชนะด้วยประการต่าง ๆ แล้ว ...หมายถึง ประชาชนที่สนับสนุนคุณ 11 ล้านเสียงก็ยอมรับด้วยและยินดีกับประชาชนฝ่ายที่ชนะด้วย..........และอีกฝ่าย ซึ่งคงได้นัดกันไว้เหมือนอเมริกาเขา ก็ออกมาขอบคุณฝ่ายที่พ่ายแพ้ ซึ่งหมายถึงขอบคุณประชาชนฝ่ายที่พ่ายแพ้ 11 ล้านเสียงด้วย .... และแน่นอนฝ่ายประชาชนที่ชนะ 15 ล้านคน ก็พลอยยินดีไปตาม ๆ กัน และหมายถึงขอบคุณประชาชนด้วยกันเอง 11 ล้านฝ่ายที่พ่ายแพ้นั้นด้วย   นี่คือคุณธรรมในระบอบประชาธิปไตย ที่ต้องการ ...... ตรงนี้คือถ้าจะให้ถูกต้องจริง ๆ ต้องถือปฏิบัติตามหลักธรรมพุทธศาสนาคือ การเลิกจองเวรแก่กันและกัน ทำใจให้บริสุทธิ์สะอาดอีกหนหนึ่ง มาเป็นกลางกันหมด คือ อยู่ในภาวะ อุเบกขา    ............. ไม่ยินดียินร้ายกับฝ่ายใด......... ไม่มีฝ่าย.... ไม่มีเหลือง   ไม่มีแดง ..(มีแดงในความหมายของประชาธิปไตย ก็ไม่แปลกอะไร).... แต่เป็นฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกันหมด .......และตรงนี้ย่อมหมายถึงพลเมืองทั้งหมดประเทศด้วย ไม่ว่าอยู่ระดับการงาน ยศชั้น ตำแหน่งไหน ..ไม่ว่าลัทธิ นิกายศาสนาใด ... มาวางใจอุเบกขาลง ภายหลังการเลือกตั้ง เหมือนพลเมืองประชาธิปไตยทั่วโลก และย่อมรับรู้สิทธิของตน ตามที่ควรจะเป็น อย่างปราศจากข้อสงสัย นั่นคือมีสิทธิ์ที่จะรับผลของนโยบายเท่าเทียมกันหมด   พลเมืองทุกคนต้องได้อะไร ๆ เท่ากันหมด และการบริหารของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าพรรคใดก็ตามที่ชนะการเลือกตั้งแล้วได้ขึ้นเป็นรัฐบาล (ทุกรัฐบาลทั่วโลกที่เป็นประชาธิปไตย)   ก็ต้องบริหารไปตามหลักการที่เป็นธรรมต่อประชาชนทั้งปวง เขาจึงมีหลักการที่ว่า majority rule minority right   นั่นคือ ไม่ว่า majority หรือ minority เช่นคนมุสลิม 3 จว.ชายแดนภาคใต้ หยิบหนึ่ง กับ คนพุทธแทบหมดประเทศ เป็นต้น ต้องได้รับผลของนโยบายเท่าเทียมกันหมด   ประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ภายหลังการเลือกตั้งทุกครั้ง จึงสามารถคาดคะเนตัวบุคคลที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาลได้ทันที   และทั้งคาดคะเนผลประโยชน์ที่ตนจะได้ทันทีเช่นเดียวกัน นั่นคือนโยบายย่อมเป็นนโยบายเสมอ ไม่ว่าตนจะได้อะไรเสียอะไร ก็เท่าเทียมกับคนอื่นอยู่แล้ว แม้ว่าก่อนการเลือกตั้ง ประชาชนต่างมีความคิด ความปรารถนาที่แตกต่างกัน หรือแบ่งกันเป็นฝักเป็นฝ่ายตามนโยบาย ในขณะเดียวกันแข่งกันทางนโยบาย เป็นผู้สนับสนุนและต่อต้านอย่างแข็งแรงให้พรรคของเราได้รับชัยชนะการเลือกตั้ง    ได้ขึ้นสู่อำนาจการบริหาร ก็ตาม   ฉะนั้น นี่คือคุณธรรมของระบอบประชาธิปไตย ที่พรรคการเมืองและประชาชนจะต้องเข้าใจตรงกัน นั่นคือ ก็จะเกิดความปรองดองขึ้นมาไงครับ    ประเทศ ประชาชนก็กลับมาเป็นเนื้อเดียวกัน คือ ประชาธิปไตยเท่ากันหมด  
 
 
 
และบัดนี้ได้แสดงความหมายออกมา ให้น่ามีความหวัง
 
 
การแสดงความยอมรับการพ่ายแพ้ และยินดีในชัยชนะของฝ่ายค้าน การขอบคุณของฝ่ายชนะ จึงมีความหมายอย่างยิ่งดังกล่าว   และตัวความหมายประเด็นสำคัญก็คือ   พลเมืองไทยทุกฝ่าย ทุกชนชั้น ทุกศาสนา มีความชอบธรรมที่จะเชื่อแล้วว่า นายกรัฐมนตรีคนต่อไปจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้ จะต้องเป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คนนี้เท่านั้น     
 
นี่คือกระแสพลังประชาชนที่เรี่ยวแรงกว่าเดิมมาก ๆ นะครับ เพราะ อย่างที่ว่าแหละครับ ประชาชนทั้งฝ่ายชนะการเลือกตั้ง และประชาชนฝ่ายที่แพ้การเลือกตั้ง อย่างน้อยก็ 26 ล้านคน เขาได้ยอมรับซึ่งกันและกัน รวมกันเป็นกระแสเดียวคือ กระแสประชาธิปไตย และต้องการเห็น นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี   ในขณะที่ยอมรับให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นฝ่ายค้าน 
 
ถ้าไม่เป็นไปตามนี้   ก็ระวัง สินามิ    นะครับ.........
 
ผู้แสดงความคิดเห็น นายประชาธิปไตย วันที่ตอบ 2011-07-14 12:22:33
 
 
 ความเห็นที่ 31 (3301141) 
 
การ decision making ของฝ่ายเผด็จการ อมาตยาธิปไตย ใต้มือมืดอัปลักษณ์ กำลังผิดพลาดนะครับ   ..........
 
ระวังการประเมินกำลังของเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตยผิดพลาด
 
1.      แกนนำแดง   ไม่ใช่เพียง 11-18 แกนนำในคุก....และอื่น ๆ อีกประมาณ นับตัวได้เหมือนเดิมนะครับ   แต่มีตัวโทนโท่อยู่จะจะถึง 265 คนแล้ว   ก็สส.พรรคเพื่อไทยทั้งหมดอย่างไรครับ   เพราะพรรคเพื่อไทย - พลังประชาชน - ไทยรักไทย เขาเป็นฝ่ายประชาธิปไตย เขาก็ร่วมสู้มา
 
2.     บวกแกนนำ นปช. แกนนำอื่น ๆ และแกนนอนต่างๆ ทั้งเดิมและใหม่ ๆ อีกทั่วทั้งแผ่นดินไทย และที่สำคัญชาวอีสานทุกคน ชาวเหนือทุกคน ภาคกลางทุกคน กรุงเทพ     ยิ่งกว่าแกนนำเสียอีก
 
3.     ทักษิณ ชินวัตร เพียงคนเดียว อมาตยาธิปไตยก็แย่แล้ว พ่ายเรียบไปแล้ว   แต่นี่เขามี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพิ่มมาเป็น 2 แรง เพิ่มความรักความศัทธาเข้าไปในจิตใจของประชาชนที่รักประชาธิปไตย ที่ถูกกดขี่ข่มเหงมาจากฝ่ายอมาตย์ พร้อมสู้ตายถวายชีวิต     แล้วฝ่ายอำมาตย์มีอะไร ?..... ทหารก็ไม่เอาด้วยแล้ว.....เชื่อสิ
 
4.      ประชาชนมีความหวังแห่งชีวิตที่ดีกว่าและความอยู่ดีกินดีที่ดีกว่ารออยู่ข้างหน้าและสืบทอดไปอีกยาวนาน....เมื่อมองรัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเครือประชาธิปไตย..........ฝ่ายอมาตย์มีอะไร นอกจากความห่อเหี่ยวแห้งแล้ง เหมือนเดินฝ่าเข้าไปในทะเลทราย ......   คิดเพียงแค่นี้ เขาก็ยอมไม่ได้แล้ว 
 
ตัดปัญหาเสียแต่ต้น เหมือนตัดไฟต้นลมดีกว่าครับ ......   อย่าทำให้ประเทศชาติต้องเสียเวลาอีกต่อไปเลย..........
 
ด้วยการเดินไปตามครรลองประชาธิปไตย ............   เอาครรลองประชาธิปไตยเป้นหลักในการ decisio making.....
 
 
ผู้แสดงความคิดเห็น นายหัวหมอ วันที่ตอบ 2011-07-16 15:43:00
 
 
 ความเห็นที่ 32 (3301536)  
 
กกต.ผ่าน สส.อีก 12 คนแล้ววานนี้   ภายหลังถูกยับยั้งไว้......ตามคำร้องของเครือข่ายต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ
 
 
 
เครือข่ายต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ พวกเดียวกับเอเอสทีวีนี่แหละ    พวกกะเลวะราด พวกเจ๊กลิ้ม ... มีหน้าที่ก่อกวนสังคม ไม่ให้เดินไปโดยปกติ และมีหน้าที่โดยตรง(อ่านจากเจตนาของพวกเขา)ในการสร้างความระส่ำระสายให้แก่สังคม ไปจนถึงสร้างความวิบัติแด่สังคมไทย จนถึงที่สุด................เป็นพวกที่ยึดทำเนียบรัฐบาลยุคนายกสมัครและนายกสมชาย 2 ยุคของนายกรัฐมนตรีเลยทีเดียว จนก่อเกิดประวัติศาสตร์นายกรัฐมนตรีไทยที่ได้อยู่ในตำแหน่งโดยไม่มีโอกาสเข้าไปเหยียบทำเนียบรัฐบาลเลย...... แล้วยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่เข้าใจการกระทำของตนเองว่าถูกหรือผิด ถึงกับพวกนายจำลอง เอาพื้นที่ส่วนหนึ่งหน้าทำเนียบ ทำเป็นนา   ดำนาไปหลายแปลง อีกด้วย   ยึดไว้ถึง 193 วัน    แล้วยึดทำเนียบนี้ไว้ใช้เป็นฐานการก่อการร้ายต่อไป โดยไปยึดทีวีช่อง 11 ไประรานรัฐบาลใหม่ที่จะเข้าประชุมแถลงนโยบายของรัฐบาลใหม่ ปิดกั้นเส้นทางพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวติดต่อกันถึง 6 วัน ขณะเสด็จโดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมาร์ค เพื่อประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพพระพี่นางเธอ ฯ สนามหลวง... แล้วไปกระทำการก่อการร้ายยึดสนามบินสุวรรณภูมิ อันเป็นสนามบินนานาชาติ เพิ่มความผิดเข้าไปอีก ............แล้วไม่มีใครเอาผิดได้ กลายเป็นอันธพาลครองเมืองยุคหลังรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 ยุคแขกมุสลิมครองเมือง    ...แล้วลอยนวลมาจนถึงวันนี้ ซึ่งรัฐบาลไทยยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ที่อ้างว่าตนมาจากครรลองประชาธิปไตย เป็นประชาธิปไตยเหมือนกัน) มองเรื่องราวเหล่านี้อย่างคนไร้สติ   ...........   เพราะไม่มีการ decision ปัญหานี้เลย
 
 
 
ในขณะเดียวกัน สถาบันกฎหมาย......ก็พลอยไร้สติไปด้วย    เพราะไม่ปรากฎว่ามีสถาบันกฎหมายใด ๆ ในประเทศนี้ แสดงถึงปฏิกริยาใดใดต่อการกระทำอันเป็นการผิดกฎหมายของบุคคลเหล่านี้ ต่อประเทศนี้
 
 
อย่างเช่นมีสมาคมทางกฎหมายก็หลายสมาคม............. มีมหาวิทยาลัย   มีคณะที่สอนกฎหมาย...... มีผู้พิพากษา อัยการ ตุลาการ...............   ทำไมจึงไม่สนใจเหตุการณ์เหล่านี้เลย................ถ้าหากจะทำการวิจัยเชิงกฎหมาย...ก็น่าจะเป็นการสะดวกง่ายดายที่จะเก็บรวบรวมข้อมูล ...ทำได้ง่าย ๆ ในขณะที่มีเหตุการณ์อยู่   แต่ไม่มีใครตามเก็บข้อมูลเลย........   จึงไม่ค่อยปรากฎแนวคิดใหม่ ๆ ทันโลก ทันยุค ......นักกฎหมายไทยไม่เคยสร้างทฤษฎีทางกฎหมายใหม่ ๆ ขึ้นมา ....... มีแต่แนวคิดตามก้นต่างประเทศ.....ไม่มีแนวคิดตนเองที่สอดคล้องกับสังคมตนเอง ไม่เข้าใจในเชิงเหตุและผลกฎหมายกับสังคม ในประเทศไทย   มีแต่กฎหมายเก่า ๆ คร่ำครึ การเรียนกฎหมายเป็นเพียงการท่องจำ เพื่อให้แม่นยำในการเอาไปอ้างอย่างล้าหลังต่อไปเท่านั้น   .......... และนั่นคืออุปสรรคของการพัฒนาประเทศเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคประชาธิปไตยที่สมบูรณ์    ....   อันเป็นยุคที่กฎหมายจะถูกสร้างขึ้นจากคนชั้นรากหญ้าของสังคม.............(เพราะจะมีคนที่มีดีกรีในมหาวิทยาลัย ในสถาบันกฎหมาย...ฯลฯ....คอยออกมากำราบ โดยอ้างอะไร ๆ ที่ตนจดจำมาได้อย่างแม่นยำ....พร้อมที่จะเหยียดหยามว่าคนรากหญ้าไม่รู้หลักกฎหมาย..และยับยั้งคนรากหญ้าที่จะสร้างกฎหมายขึ้นมาตามหลักการของประชาธิปไตย ......   นั่นคือกฎหมายของประชาชน โดยประชาชน   และเพื่อประชาชน...... ประมาณนี้)
 
 
ผู้แสดงความคิดเห็น สุนาย ธีระพงษ์ วันที่ตอบ 2011-07-20 09:43:34
 
 
 ความเห็นที่ 33 (3301683) 
 
สรุปแนวคิดสุนาย ก็คือ ประเทศไทยตกอยู่ใต้ปัญหาทางกฎหมาย นิติศาสตร์ และ นิติธรรม   แต่วงการกฎหมายเองหาได้สำนึกไม่   ประเด็นกฎหมาย นิติศาสตร์ นิติธรรม เป็นประเด็นใหญ่ที่ก่อปัญหาให้แด่ประเทศชาติ ....... คนที่ควรมองก่อนคนอื่นก็คือวงการกฎหมายนั่นเอง ............ในกรณีพวกกะเลวะราดที่ว่า ล้วนทำผิดกฎหมายอย่างฉกรรจ์ เป็นความผิดถึงขั้นกบฎในราชอาณาจักร โดยการบุกรุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล และการยกพวกยึดสนามบินนานาชาติ ......    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีใครที่อาจปฏิเสธว่า การปิดกั้นเส้นทางพระราชดำเนิน เป็นความถูกต้องชอบธรรม เป็นความจงรักภักดี....แต่เป็นกบฏทรราชย์ชัด ๆ ความผิดถึงบั่นหัว 7 ชั่วโคตร ???      แต่แล้วพวกคนเหล่านั้น ซึ่งยังคงมีตัวตนอยู่ครบถ้วน ลอยนวลพ้นความผิดอยู่อย่างเปิดเผย ไม่สะดุ้งหวั่นไหวกับการกระทำของตน   และซ้ำยังคงก่อกวนสังคมอยู่ต่อมา......โดยรัฐบาลอภิสิทธิ์ล่าสุดก็ยังให้ความคุ้มครองป้องกัน เสียอีก .........................แต่เคยมีคนมีสติปัญญาในวงการกฎหมาย ในสถาบันกฎหมายออกมาศึกษา และเสนอความคิดเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ไม่มีนายอำเภอออกมาพร้อมกับปืนรวอลเวอร์(อย่างในหนังคาวบอยน่ะครับ) ตามล่าพวกกะเลวะราด เอาตัวมาตัดสินจำคุก เพื่อยืนยันความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายบ้านเมืองเลย   
 
 
 
ครับ   เห็นด้วยครับ หากนักกฎหมาย หรือวงการกฎหมาย สถาบันกฎหมายพูดขึ้น ถึงความสำคัญของตนเองนี่ก็คือ   RULE BY LAW จำเป็นที่การปกครองประเทศทั้งปวงต้องถือหลัก Rule by law ไม่ถือหลักกฎหมายแล้วประเทศก็ระส่ำระสาย ประชาชนก็ระส่ำระสาย ........   นี่ได้ปรากฎในประเทศไทยอย่างเปิดเผย ชัดเจนมายาวนานแล้ว   แต่นักกฎหมายผู้กระดี๊กระด๊า ระริกระรี้   คิดว่าตนเข้าใจการปกครอง แต่ไร้สติสตังที่จะมองดูว่า   Law ของคุณ.....ไม่ว่าตัวบทกฎหมาย และทั้งกระบวนการ ...... การบังคับใช้กฎหมาย   มันเป็นต้นเหตุของความระส่ำระสายแห่งประเทศนี้   แล้วยังเฉยเมย ไม่มีความรู้สึก   ......
 
 
 
มีคนทำความผิดปรากฎชัดอยู่ต่อหน้านักกฎหมายคนหนึ่ง สถาบันกฎหมายแห่งหนึ่ง   แต่นักกฎหมายคนนั้น สถาบันกฎหมายนั้น กลับถ่างตาดูอยู่ได้อย่างไร้ความรู้สึก เช่นนี้  
 
นี่ก็คือพวกอีเดียทประเภทหนึ่งนั่นเอง .................. และครั้นคนรากหญ้าพูดขึ้นว่า กฎหมายต้องไม่เป็นสอง มาตรฐาน กฎหมายต้องเป็นของประชาชน โดยประชาชน   และเพื่อประชาชน     คนรากหญ้าจะสร้างกกฎหมายเองละ   .......ก็ขมึงตา .........อย่างที่ผมว่านี้ไหม???  
 
ผู้แสดงความคิดเห็น สถาวร ผดุงสิทธิ์ วันที่ตอบ 2011-07-21 11:29:15
 
 
 ความเห็นที่ 34 (3301687
 
ผมเห็นนายอะไรที่ผมหยิก ๆ น่ะครับ    แกเป็นหัวหน้าสถาบันกฎหมายนี่แหละ................ แต่ไป ๆ มา ๆ แกเป็นพวกโจร   ใช้กฎหมายโจรไป.......   นี่ก็เป็นปัญหาตัวบุคคลในวงการกฎหมายไทยนะครับ .......   แต่พวกสถาบันกฎหมายก็ไม่รู้สึกอีก............. จะเป็นปัญหาว่า   วงการนี้มีคนรู้ดีมากเกินไปไหมครับ ทำอะไรก็แย้งกันไปหมด........... แบบว่ามีคนรู้ดีแต่ไม่มีใครรู้จริง นั่นแหละ   ???
 
 
 
ผมหมายความว่า ในที่สุดก็กลายพันธ์ไป   เป็นพวกอยู่ใต้กระบอกปืน   คอยรับใช้อมาตย์....
 
ออกมารับหน้าแทน.......ออกโวหารทางกฎหมาย คอยโต้แย้งแทนเจ้านาย.......ผิดถูกไม่เอาตามกฎหมายแล้ว   เอาตามใจเจ้านายไป....เอากฎหมายไปรับใช้โจร......เป็นหมาเฝ้าบ้านเขา เขาเปิดปากก็ได้เห่าไป.......ว่างั้นเถอะ
 
 
 
ก็คงยังงั้น ๆ    ....
 
ผู้แสดงความคิดเห็น สนอง ไทกุล วันที่ตอบ 2011-07-21 12:00:09
 
 
 ความเห็นที่ 35 (3301709)  
 
ฟัง ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวส พูดเรื่องนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เป็น 300 บาท ท่านอธิบายได้เข้าใจง่ายเห็นภาพพจน์ว่านโยบายที่พรรคเพื่อไทยประกาสมาทั้งหมดเกิดจากการศึกาข้อมูลไว้รอบด้านแล้ว และเตรียมการตั้งแต่เห็นการทำงาน 2 ปีกว่าของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ว่าจะช่วยประชาชนให้อยู่ดีกินดีได้อย่างไร การที่พรรคปชป. ออกมาโจมตีว่าจะเอาเงินที่ไหนมาบริหาร ท่านตอบได้ดีมากเลยว่ารายได้ของประเทศชาติก็มาจากภาษีประชาชนจำนวนหลายแสนล้านนั่นแหละคือเงินทุนที่มอบให้รัฐบาลมาบริหารโดยไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน และรัฐบาลของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนในอดีต และในอนาคตก็พรรคเพื่อไทยที่จะต้องมีความสามารถในการนำงบประมาณส่วนนี้มาลงทุนให้เกิดผลกำไรงอกเงยให้กับประเทศชาติ และสร้างสวัสดิการดีให้กับประชาชน ท่านกล่าวว่าการบริหารของพรรคเพื่อไทยจะมีตัวเลขงบประมาณที่เพิ่มขึ้น เรื่องนี้ประชาชนคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินวิสัยทัศน์ที่ลุ่มลึกเช่นนี้ เพราะตลอดเวลาที่พรรค ปชป. และพรรคร่วมรัฐบาลบริหารไม่เคยได้ยินฝ่ายเศรษฐกิจที่บอกว่ารัฐบาลมีรายได้อยู่แล้วจากภาษีอากรที่เก็บได้และจะทำเงินเหล่านี้ให้งอกเงย ได้ยินแต่ว่ารัฐบาลจำเป็นต้องกู้เงินจากต่างประเทศ หรือไม่ก็ระดมทุนจากการออกพันธบัตร จนขณะนี้หนี้สินของประเทศที่ประชาชนต้องรับไปเต็มๆหัวละหลายหมื่นบาท จึงไม่แปลกใจเลยที่ประชาชนเขาเทคะแนนให้กับพรรคเพื่อไทยอย่างท่วมท้น 
 
ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2011-07-21 13:55:16
 
 
 ความเห็นที่ 36 (3301710)  
 
คือทำไมการทำนโยบายต้องรอบคอบ สุขุม มองเป้าหมายและวิถีทางเดิน อย่างทะลุปรุโปร่ง และต้องมีการศึกษา วิจัย พร้อมหลักเทกนิกและวิชาการคอยแบ็คอย่างแน่นอน มั่นคง ซึ่งจะทำอย่างสุกเอาเผากินไม่ได้ ..... .....    ในตรงนี้มันหมายถึง   การแยกวิเคราะห์นโยบายแต่ละนโยบาย    ว่าเป้าหมายของนโยบายอยู่ตรงไหน ใกล้หรือไกลเพียงใด    ระหว่างทางที่จะเดินไปสู่เป้าหมายนั้นจะสะดวก ราบรื่น หรือจะมีอุปสรรค ปัญหาอะไรรออยู่ ...... ก็ต้องมองอย่างทหารเคลื่อนพลเข้ายึดจุดยุทธศาสตร์สำคัญนั่นแหละ   จะต้องมีการข่าวกรองอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้รู้ได้ว่า มีอะไร ๆ อยู่ข้างหน้าบ้าง มีมิตรอย่างไร มีศัตรูอย่างไร อาวุธยุทโธปกรณ์ของฝ่ายเขามีอะไร ...พื้นภูมิประเทศเป็นห้วยเป้นเหว เป็นเนินเป็นโกรกเหว   เป็นที่ราบ อย่างไร ......จะพบกับอุปสรรคปัญหาอะไรบ้าง เมื่อพบแล้วจะแก้อย่างไร ด้วยวิธีการอย่างไร   จึงจะทะลุไปสู่เป้าหมายได้ ..............   เหล่านี้   จะต้องมองให้ทะลุไปก่อนให้ได้ ................ ก่อนจะประกาศออกมาสู่ปวงประชามหาชนในวาระที่มีการเลือกตั้ง    ว่าเป็นนโยบายของพรรคการเมือง 
 
 
นโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาท นี่แหละเป็นตัวอย่าง ยังไม่ทันเริ่มต้นขับเคลื่อนนโยบายเลย   ศัตรูก็เริ่มโจมตีเสียแล้ว..... ซึ่งในการนี้ เรามั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะต้องได้มองไว้ก่อนแล้ว........ เราเชื่อเช่นนั้น.... เพราะเรามองที่เหตุผลของนโยบาย และทั้งสติปัญญาที่จะบริหารปรากฎจากพรรคการเมืองและสมาชิกผู้บริหารพรรคการเมืองนี้.....เราเชื่อว่า พรรคเพื่อไทยได้มองทะลุไปแล้ว และคิดยุทธวิธีตอบโต้ หรือแก้ไขอย่างไรไว้พร้อมแล้วทีเดียว   .....    เพียงแต่ยังไม่เปิดเผยอาวุธลับสำคัญออกมาอย่างครบถ้วน...........
 
 
แต่   ในที่สุดต้องมาถึงการจัดการอย่างเรียบเกลี้ยง ของพรรคเพื่อไทย ต่อนโยบายตัวนี้    เราจะต้องคอยดู และมั่นใจก่อนเลือกตั้งแล้วว่า จะทำได้........
ผู้แสดงความคิดเห็น ยอดเยี่ยม ยิ่งยง วันที่ตอบ 2011-07-21 13:57:58
 
 
 ความเห็นที่ 37 (3302043) 
 
ยังไม่ยุติครับ     ยังไม่เงียบครับ .......   เรื่องการวิพากษ์นโยบาย......   ที่ได้รับการตัดสินมาแล้ว...
 
คราวนี้ นักเศรษฐศษสตร์ออกมาตำหนินโยบาย 300 บาท    15,000 บาท........ ว่าจะเป้ฯเหตุเสียหายอย่างนั้นอย่างนี้.....
 
 
 
คือจะเป็นเช่นที่คุณคิดหรือไม่ก็ตาม   แต่ขณะนี้จะต้องเงียบ ๆ ไว้ก่อนครับ...........เพราะสิ่งที่คุณวิพากษ์นี้.......ไม่ใช่เวลานี้ครับ......เขามีเวลาให้คุณพูดในขณะที่มีการหาเสียงเลือกตั้งอยู่....... ถ้าคุณพูดตอนนั้นก็จะเป้นผลให้อาจจะระงับนโยบายนี้ลงได้ ด้วยการจูงใจประชาชนให้เห็นตามเหตุผลของคุณ และไม่เลือกพรรคที่เสนอนโยบายนี้ก็ได้ ............ แต่คุณมาพูดตอนนี้ มันไม่มีผลต่อนโยบาย....หรืออะไรเลย เพราะได้ผ่านการตัดสินมาแล้ว ........   ในวาระที่มีการเลือกตั้ง ประชาชนเขาก็ได้ฟัง   ว่าใครพูดว่าอย่างไรบ้าง ........คนที่พูดอย่างคุณนี่ก็มีเยอะแยะไป ประชาชนเขาก็ได้ฟัง...... ก็มีพรรคฝ่ายค้านคือประชาธิปัตย์ เขาก็พูดแรงกว่าคุณอีก ประชาชนเขาก็ได้ยิน   ...........   แล้วคุณจะมาคิดว่าประชาชนเลือกไม่เป็น ประชาชนโง่ เลือกรัฐบาลบ้านนอกมาให้คนกรุงล้ม....... คุณคิดอย่างนี้หรือ ????    นี่แหละความคิดที่ดูถูกประชาชน ...... ผมเพียงแต่คิดว่า บัดนี้ควรจะรอดูก่อนและหยุดการวิพากษ์วิจารณ์ลงก่อน เพราะมันไม่ช่วยอะไร มันหมดเวลาแล้ว คุณจะไปยับยั้งเขาไม่ให้ทำนโยบายนี้ไม่ได้หรอก   ......   ก็เท่านั้นเอง    ......ผมก็อยากจะเสนอว่าคราวหน้า การเลือกตั้งคราวน้า ให้รู้กาละเทศะ ว่าเวลาเขาให้พูดเมื่อไร.....ก็เทศกาลการเลือกตั้ง คุณก็พูดได้อย่างเต็มที่ และพูดเพื่อให้ประชาชนยอมรับคุณให้ได้ ........เขาจะได้เลือกคุณอย่างไร   ขณะนี้คุณพูดอย่างไร ๆ เขาก็คืนคำตัดสินให้ไม่ได้ ก็มวยชกครบยก ตัดสินไปแล้ว นี่   คุณมันคุ่ยจริง ๆ   
 
แท้ที่จริง นโยบายค่าแรง 300 บาทต่อวันทั่วประเทศนี้ ก็มาจากหลักการเศรษฐศาสตร์ง่าย ๆ เบื้องต้น ๆ นี่เองครับ   ซึ่งได้รับการพิศูจน์มาตั้งแต่รัฐบาลทักษิณแล้ว เขาก็เอาทฤษฎีนั้นกลับมาใช้ใหม่.......ก็เท่านั้นเอง    คุณเป็นนักเศรษฐศาสตร์แบบแคบหรือเปล่า......
 
คือเวลาคนไม่มีเงินใช้นี่คนก็อยู่กันเฉย ๆ โดยเฉพาะคนภาคอีสาน คนส่วนใหญ่ที่สุดของประเทศนี้ ร่วม 40 ล้านคนนี่   ..... เขาจะพากันจำศีล เหมือนกบ นั่นแหละ เช้าก็ปั้นเข้าเหนียวจิ้มปราร้า   จิ้มเกลือ   หรือเอามะเขือพวงมากินกับพริกแดง ๆ ข้าวเหนียวนี่อร่อยมาก   เคยไหมครับ ?   ลองดูนะครับ   มีพริกป่นแดง พริกแก่อย่างเผ็ดเลยนี่ ข้าวเหนียวปั้นตุ้ยพริกแดง ๆ เข้าปาก แล้วกัดกินมะเขือพวงไปทีละลูกตามเข้าไป...แก้เผิดไปด้วย อร่อยด้วย     อร่อยเด็ดเลยครับ    ...........   เขาก็อยู่ได้.......แต่เขาขายของไม่ได้หรอกครับ   เคยเด็ดผักตำลึงริมรั้วไปขาย    มะ นาวในสวนก็ขายไม่ออก ข้าวโพดก็ปล่อยให้งัวควายกินไป........เพราะคนไม่มีเงินซื้ออย่างไรครับ.............. แล้วพอให้เงินเขามาหน่อย นี่ เพียง 10 บาท   คุณว่าเขาเอาไปฝากธนาคารหรือใส่กะปุกไว้.............. เขาก็เอาไปจ่าย ซื้อ.....อะไรต่ออะไร.......... คนมีของขายก็ได้ขายของ.......คิดต่อไปเองก็แล้วกัน..............ผมขี้เกียจคิดให้............
 
พวกติดหนี้..................ก็มีแต่คิดจะฆ่าตัวตาย..............พอได้พักหนี้ไปไกล ๆ   เขาก็มีความหวัง แทนที่จะเป้นประชาชนเสื่อม....ไร้ประโยชน์......ก็กลายเป็นประโยชน์ขึ้นมา.................   มันก็เป็นทางออกที่ดีกว่าใช่ไหมครับ   ?
 
ฯลฯ    คิดต่อไปเองนะครับ.........
 
เงินก็มาหมุนเวียน.......................... ก็ได้เงินมาแบบนี้แหละมาใช้บริหารนโยบายต่อไป...........
 
ผู้แสดงความคิดเห็น ดร. ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆิน วันที่ตอบ 2011-07-24 09:27:35
 
 
 ความเห็นที่ 38 (3302074) 
 
เข้าใจแล้วครับ ดร.ฆิกเมฆ   เมื่อคน 40-60 ล้านคนมีแรงซื้อ ก็เคลื่อนวงจรเศรษฐกิจ... ๆ   ก็เดินหน้าไป...........
 
ผู้แสดงความคิดเห็น คนอ่าน วันที่ตอบ 2011-07-24 19:35:37
 
 
 ความเห็นที่ 39 (3302714) 
 
สวัสดีค่ะ    รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะทำนโยบายค่าแรงวันละ 300 บาท ได้ไปศึกษาอย่างรอบคอบแล้วหรือยัง ขณะนี้ค่าแรงแค่ 200 บาทเศษ ๆ โรงงานก็แย่อยู่แล้ว ดิฉันเกิดในโรงงานเย็บเสื้อผ้า เติบโตมาในโรงงานเย็บผ้า และทำงานในโรงงานเย็บผ้า รู้ดีคะ ปัญหาคือชั่วเวลาไม่นานนักนี้ สินค้าเสื้อผ้าของโรงงานถดถอย ถูกระงับใบสั่งซื้อลงไปตลอด ทั้งในต่างประเทศและในประเทศเอง โรงงานมีปัญหามาตลอด มีหลายโรงงานต้องเลิกกิจการไป เริ่มแต่อุบลราชธานี มาถึงโคราช ถึงพัทยา มีทะยอยปิดโรงงานทอผ้าลงไปตามลำดับ ๆ ที่จริงไม่อยากกล่าวหาว่าตั้งแต่อภิสิทธิ์เป็นรัฐบาลมานี่แหละ ในยุคทักษิณ เจริญมาก ข้าวของออกไปต่างประเทศได้เยอะ จนกระทั่งบัดนี้ โรงงานก็อยู่ในสภาพย่ำแย่ อยู่ในฐานะประคองตัวไปวัน ๆ ก็ว่าได้   ถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ดำเนินนโยบายค่าแรง 300 บาท ต่อวันเมื่อไร โรงงานจะเลิกกิจการลงไปอีก ดิฉันมั่นใจว่า จะกว่า 70 % แล้วคนนับหมื่นจะตกงาน ทางรัฐบาลจะต้องคิดให้ดี ๆ และหาทางแก้ไขไว้ล่วงหน้าก่อน
 
ดิฉันชอบนโยบายเกี่ยวกับการเกษตร อยากให้มีเวลาพักชำระหนี้ให้พอ เช่นเราเลี้ยงลูกโค 1 ตัว กว่าจะเติบโตก็ต้อง 3 ปีขึ้นไป เราจึงควรให้พักหนี้ได้ 3 ปี - 5 ปีเพื่อรอผลิตผล   อย่างนี้เป็นต้น     อยากให้ทำอย่างทักษิณ ในนโยบายยาเสพติด คือจับได้แล้วริบทรัพย์ด้วย คนกลัวริบทรัพย์มากกว่า 
 
อีกอย่างหนึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ต้องจัดการเรื่องหนี้นอกระบบ ประชาชนเดือดร้อนมากจากการขูดรีดของพวกตำรวจ ดิฉันชอบวิธีการของทักษิณจับได้ให้ออกจากราชการเลย     ตำรวจก็ไม่กล้าขุดรีด   เพราะทักษิณเอาจริง    ดิฉันพบประชาชนที่มีความผิดนิดเดียว ตำรวจจับไปเป็นคดีความอยู่ถึง 2 ปีก็ไม่แล้วเสร็จ ญาติ ๆ ก็ใช่ว่าร่ำรวย วิ่งเต้นเสียเงินทองไปเป็นแสนบาท ....แต่ในที่สุดก็ติดคุก 2 เดือน นี่เป้ฯเรื่องจริง ที่ศรีสะเกษ ขอโทษที่เอ่ยชื่อ   เสียเวลาและเสียเงินไปเปล่า ๆ อย่างไม่เป็นธรรมเลย  อยากให้เปิดโอกาสให้ประชาชนทำมาหากินด้วย อย่าไปอิจฉาประชาชนเพราะยุคนี้ถึงหาได้ก็ไม่รวย
 
มีอีกหลายเรื่องที่ดิฉันอยากเสนอรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ในปีที่แล้ว ๆ มามีปัญหามาก เช่นเรื่องการชดเชยภัยพิบัติน้ำท่วม ที่รัฐบาลทำอย่างลวก ๆ มากเลยเสียความรู้สึกจริง ๆ คือคนไม่มีนาแต่มีชื่อรับเงินก็มี   มีนาน้อยใส่ตัวเลขไปเยอะ ๆ ก็ได้ อย่างนี้ ไม่เป้ฯธรรม    ผู้ใหญ่บ้าน   กำนัน อบต. เปลืองเงินเดือนไปทำไม ฯลฯ...อยากให้จัดการใหม่ .....
 
ผู้แสดงความคิดเห็น สาวน้อยโรงงานโคราช วันที่ตอบ 2011-07-30 10:29:59
 
 
 ความเห็นที่ 40 (3302929) 
 
ยุทธศาสตร์นั้นแน่นอน      แต่ยุทธวิธี มีหลายหลาก
 
บางยุทธวิธี เราอาจจะยอม ถอยหรือ ขาดทุน  
 
แต่องค์รวมแล้ว ได้กำไร      ............... ต้องมีการถัวไปถัวมาครับ   ยอมขาดทุนในบางเรื่อง เพื่อไปเอากำไรมหาศาลทดแทนมาจากบางเรื่อง   นี่เป็นลักษณะการกระทำที่ฉลาด  
 
ทรท. และ พท. ใช้วิธีการเช่นนี้ครับ
 
ผู้แสดงความคิดเห็น ดร.ฆิกเมฆ วันที่ตอบ 2011-08-02 08:45:19
 
 
 ความเห็นที่ 41 (3303529) 
 
เหมือนม้าแข่ง.....................พร้อมจะวิ่งโชว์ฝีเท้าอยู่แล้ว    แต่ก็มีอะไรตุกติก ๆ    .......................
 
วันนี้จะเรียบร้อยหรือเปล่าครับ ?
 
ผู้แสดงความคิดเห็น แดงแท้แจ๋ วันที่ตอบ 2011-08-08 11:05:26
 
 
 ความเห็นที่ 42 (3304132) 
 
เรียบร้อยแล้วครับ ยังแต่ จัดรูปนโยบาย และกระบวนการในรัฐสภาเท่านั้นเอง อีกอึดใจครับ 
 
 
 
ล่าสุด ญี่ปุ่นรับรองทักษิณ ชินวัตร แล้ว หลังจากเยอรมัน รับรองไปก่อน   ทำให้เราทราบว่ายุคอภิสิทธิ์ ทำกับต่างประเทศ ในเรื่องการให้ข่าวสารเท็จอย่างไร (พอ ๆ กับหลอกลวง โกหกพกลม ประชาชนไทยทั้งประเทศเป็นปกตินิสัย)    เขาทราบภายหลังว่ารัฐบาลเด็กหลอกเขา ทำให้เข้าใจผิดเรื่อง ดร.ทักษิณ ประการต่าง ๆ ................. เดี๋ยวนี้เขาเข้าใจถูก จึงคืนสิทธิให้ ดร.ทักษิณ    คือสิทธิ เสรีชน ที่จะเที่ยวไปทั่วโลก   อย่างไรครับ   .....   ก็เขาเป็นประชาธิปไตยนี่ครับ    ......   นี่คือแบบอย่างประชาธิปไตย ..... คุณจะเห็นว่าต่างจากพม่า ขนาดพายุนากิสมาท่วมประเทศ คนพม่าตายเป็นแสนขึ้นไป ยังไม่ยอมให้องค์การสหประชาชาติ และประเทศต่าง ๆ เอาของไปช่วยประชาชนผู้หิวโหย บ้านแตกสาแหรกขาดเลย     นั่นคือ เผด็จการทหารพม่าไงครับ....   ให้เรียนรู้อย่างเร็วไปเลย..................
 
เช่นเดียวกับเอกอัครราชทูตประเทศต่าง ๆ    และรวมทั้งหัวหน้ารัฐบาลประเทศต่าง ๆ ๆ ก็ส่งสารแสดงความยินดีกับคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อได้เป้นนายกรัฐมนตรีเต็ม 100 % เขาชื่นชมในชัยชนะ ที่ได้มาจากวิถีทางประชาธิปไตย มีท่านบารัค โอบามา และท่านฮุนเซน เป็นต้นครับ    
 
นี่คือ   การต่างประเทศแบบสากลครับ   ส่วนแบบอภิสิทธิ์ เป็นแบบแคบแบบปิดประตูเมือง อยู่คนเดียวไงครับ.......... ครับ   เรียนรู้อย่างเร็วเลยนะครับ     ......
 
และเรียนรู้    กษิต ภิรมย์     เรียนรู้ข้อเท็จจริง ว่าเขาได้ทำอะไรในขณะเป็นรัฐมนตรีกท.ต่างประเทศไทย .......... พิสูจน์ชัดเจนเลยว่า เขามีหน้าที่เพียงอย่างเดียว คือเทียวไปใส่ความ อดีตผู้นำไทย ทักษิณ ชินวัตร ด้วยประการต่าง ๆ เป็นต้นว่า โกงกินประชาชนทั้งชาติจนร่ำรวยมหาศาล กระทำผิดทางอาญาประการต่าง ๆแล้วหลบหนีคดีความมาอยู่ต่างประเทศ    รวมทั้งคิดสร้างประเทศไทยเป็นสาธารณรัฐ ตัวการใหญ่ที่คิดล้มล้างสถาบัน ตั้งตนเป็นประธานาธิบดี    .........
 
ผมว่ากษิต ภิรมย์ ได้กระทำผิดต่อประชาชนไทย ประเทศไทย และต่างประเทศ ฐานเอาข้อความเท็จไปบอกกล่าวให้ต่างประเทศเข้าใจผิดต่ออดีตผู้นำทางประชาธิปไตยของประเทศไทย ...   เขาควรได้รับการกล่าวหาไปอีกกระทงหนึ่ง อย่างไม่น่าอภัยเลยตลอดชีวิตของเขา ................ นอกจากคดีก่อการร้าย สนามบินนานาชาติ สุวรรณภูมิ......
 
ผู้แสดงความคิดเห็น บัวระย้า ชะบาบุญเสฏฐ์ วันที่ตอบ 2011-08-15 14:38:44
 
 
 ความเห็นที่ 43 (3304363) 
 
มาคิดเรื่อง นโยบาย ขึ้นค่าแรงไป 300 บาทต่อวันก่อนครับ    ................
 
เป็นเรื่องที่จำเป็นจริง ๆ อย่างขาดไม่ได้ และรัฐบาลนี้หรือรัฐบาลไหนก็ต้องทำ    ..................
 
 
เหตุผลหรือครับ...........ก็ถามตัวคุณเอง ว่าคุณอยากได้เงินเดือนขึ้นหรือเปล่า ........คุณก็อยากได้เงินเดือนขึ้นใช่ไหม ?    เพราะคุณก็เป็นคนธรรมดา มีกิเลส อยากได้อยากดีเหมือนคนอื่น ๆ   
 
 
สส.ไทยทุกวันนี้ ก็ใช่ว่าเงินเดือนพอใช้   ถาม สส.ปชป.     ก็อยากได้เงินเดือนขึ้นเหมือนกัน   ......    รัฐมนตรี ก็อยากขึ้นเงินเดือนตนเอง .............. นายกรัฐมนตรีไทยก็ควรจะได้รับเงินเดือนขึ้น    ศาล ตุลาการ...... อยากขึ้นเงินเดือนขึ้นหมด และแน่นอน ข้าราชการก็ต้องได้ขึ้นกับเขาด้วย 
 
 
ก็เริ่มจากประชาชนไงล่ะครับ   ............   จำเป็นต้องให้ประชาชนเขาขึ้นก่อน ..........เพราะเขาเป้นเจ้าของอำนาจและเป็นพลังส่วนมากที่สุด
 
ถ้าคุณอยากได้เงินเดือนสูงขึ้น ๆ ไป.....สูงกว่าทุกวันนี้ ทั้ง ๆ ที่คุณเป็น สส.นี่แหละ เป็น รมต. นี่แหละ   เป็นศาล นี่แหละ ....คุณจะเริ่มอย่างไร.............. คุณจำเป็นต้องเริ่มตรงนี้ครับ    เริ่มที่เงินรายได้ของแรงงานทั้งประเทศวันละ 300 บาทก่อน(ที่จริงยังน้อยไป น่าจะ 400 บาท)   ................
 
 
 
เข้าใจแล้วยังครับ
 
วันหนึ่งก็ถึงคราวคุณเอง   ได้ขึ้นเงินเดือน.......
 
นี่คือโครงการยกระดับเศรษฐกิจทั้งมวลของประเทศไทย    มีแนวคิดมาตั้งแต่ยุคทักษิณ ชินวัตรแล้ว   ยุคยิ่งลักษณ์ ก็ตามแนวคิดเดิมนั้นไป.............(อะไรดี   ก็เอามาทำต่อ.......ถูกต้องไหม ?)
 
 
 
ถ้าจะให้ชัดเจนในความคิดยิ่งขึ้น   ก็ลองไปจับกรณีศึกษาประเทศสิงคโปร์ดู 
 
ทำไมเงินเดือนของเขาจึงสูงลิ่วไปได้ขนาดนั้น   ประมาณว่า 10 เท่าของคนไทย     นายกรัฐมนตรีเขาก็ได้ 10 เท่าของนายกรัฐมนตรีไทย   สส.เขาก็ได้ 10 เท่าของ สส.ไทย   รมต.เขาก็ได้ 10 เท่าของรมต.ไทย   ........... ไทยได้เดือนละ 1 แสนบาท เขาได้ 1 ล้านบาท นี่โดยประมาณ   (นรม.สิงคโปร์ได้ประมาณ เดือนละ 10 ล้านบาท) 
 
 
 
ฉะนั้น.............เริ่มที่ แรงงานขั้นต่ำ 300 บาทครับ    วงจรเศรษฐกิจก็จะเริ่มหมุนไป ๆ ๆ ๆ   แล้วเติมพลังไปเป็นระยะ ๆ ก็จะยิ่งแรงไปเรื่อย ๆ   เงินก็จะเข้าประเทศเราค่อยทวีขึ้น ๆ     ประเทศเราก็ได้เงินมา....คราวนี้ก็จึงค่อยเป็นพวกเรา....ได้ขึ้นเงินเดือนให้เราทุกคน ......(มันหมายถึงการคืนกลับมาสู่โรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ เองโดยตรงด้วย)      อย่าคิดติดอยู่กับที่ ซีครับ......
 
 
 
ก็ขอให้ใช้ความคึดครับ   อย่าคิดทำอะไร ๆ ไร้สาระ น่ะ......รู้จักมองอะไรไกล ๆ บ้าง..........
 
มาร่วมมือกันดีกว่าขัดแย้งกันนะครับ   เพราะเรามีผลประโยชน์ข้างหน้าร่วมกันจริง ๆ   
 
ผู้แสดงความคิดเห็น ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆิน วันที่ตอบ 2011-08-17 21:14:57
 
 
 ความเห็นที่ 44 (3305071) 
 
กรณีนิพิธ อินทร์สมบัติ สส.ปชป.พัทลุง เมื่อวานนี้
 
นี่แหละครับ   สส.ที่ชาวใต้ชอบ     สส.คนนี้เขาพยายามทำบทบาทให้ถูกใจชาวใต้เท่านั้นเอง   .........   ชาวใต้ชอบนักวาทะ จะผิดหรือถูกไม่สำคัญ สำคัญที่ทำให้คู่ต่อสู้ เกิดอาการครั่นคร้าม หรือเพลี่ยงพล้ำให้เห็น ไปจนถึงล้มคว่ำลงได้ก็พอ  
 
 
 
วานนี้ นายนิพิธ ทำหน้าที่เพื่อพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างน่าชนะใจชาวใต้ที่สนับสนุนพรรคมาแต่เดิม     นั่นคือ ทำความปั่นป่วนให้เกิดขึ้น ต่อพรรคใหญ่ที่ได้เป็นรัฐบาล     ไม่ว่าจะผิดหรือถูก   เขาทำได้อย่างนี้ ประชาชนเช่นนั้นก็เฮ   .....
 
 
 
แต่เมื่อพรรคเพื่อไทย ตามทันเสียแล้ว   วานนี้ก็ถึงทำให้นายนิพิธ อินทร์สมบัติ   ถึงสะอื้นในหัวอก   และน่าจะปิดฉากชีวิตในรัฐสภาของคน ๆ นี้ลงเสียได้ตั้งแต่วันวานนี้    พร้อมการถดถอยไปเรื่อย ๆ ของพรรคประชาธิปัตย์
 
 
 
เพราะมันได้พิศูจน์อีกครั้งว่า   พูดดี พูดหาเรื่อง พูดส่อเสียด เหน็บแนม และพูดเท็จ หยาบคายพร้อม จนสรุปลงไปที่คำ ๆ เดียว    คือ ดีแต่พูด จริง ๆ 
 
 
 
ผมเองคิดว่า ปชป.ทำไม่เหมาะสม   วันนี้ ทางรัฐบาลมีความหวังในการที่จะผ่านนโยบายไปอย่างสง่างาม ....แต่แล้วก็มีการก่อกวนของคนพรรคประชาธิปัตย์ แล้วลามไปเป็นพรรคเป็นพวกระหว่างฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน   และฝ่ายเชิรตแดง-ทักษิณ กับฝ่ายสุเทพ เทือกสุบรรณไป    โดยไม่สมควร    ปชป.ควรจะคิดว่าการแถลงนโยบายนี้   แท้จริงก็มีเจตนาเพียงให้รัฐสภารับทราบ เท่านั้นเอง    วาระสำคัญคือการปฏิบัติ   ถ้าปชป.เห็นว่ารัฐบาลจะทำไม่ได้ ก็น่าจะให้คำแนะนำเพียงเบา ๆ   ไม่น่าจะถึงขนาดว่าต้องล้มคว่ำให้ได้ นั่นเป็นการเสียมารยาท ขาดจริยธรรมของระบอบประชาธิปไตย   เพราะรัฐบาลยังไม่ได้ทำอะไรเลย   ที่ถูก ก็น่าจะคอยดู และคอยคิดแก้ไขเอาไว้ เผื่อเวลาที่ตนได้ทำนโยบายเช่นนั้น จะได้ทำให้ได้ดีกว่า   
 
 
 
หรือรอไว้เสนอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลก็ได้
 
 
 
ปชป.ควรจะคำนึงว่า   พรรคเพื่อไทยได้เสียงท่วมท้นมาเป็นรัฐบาล   เพราะประชาชนสนับสนุนนโยบายของพรรคเพื่อไทย...แม้ว่าจะมีบางส่วนของนโยบายที่คลาดเคลื่อนไปจากเวลาที่หาเสียงอยู่บ้าง เมื่อไม่ใช่ประเด็นหลักประเด็นสำคัญอะไรของนโยบาย ประชาชนเขาก็ยอมรับได้ โดยที่ ปชป.ก็ไม่น่าจะเดือดร้อนออกหน้ารับอาสาขนาดเอาเป็นเอาตายเช่นนั้น คลาดเคลื่อนไปหน่อยก็เป็นสิ่งที่ย่อมเป็นไปได้แหละครับ   คุณจะเอาให้ได้ตรงเป๊ะเลย นั่น ไร้เหตุผลเกินไป     ขณะนี้ พรรคเพื่อไทยก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลย   เขาเร่งจะทำ จะเริ่มทันทีภายหลังผ่านรัฐสภาวันนี้   ......   ถ้าประชาธิปัตย์คิดล้มรัฐบาลทันทีเช่นนี้    หรือแสดงให้เห็นว่า นโยบายที่เสนอสู่รัฐสภาวันนี้ เป็นแนวคิดที่ไม่อาจจะทำได้เลย หรือเหยียดหยามว่าไร้สาระ หรือทำนโยบายเอาใจคนภาคเหนือ ภาคอีสาน แต่ภาคอื่นไม่เอาใจใส่เลย อันเป็นเท็จเช่นนี้   ก็จะกลายเป็นว่า ประชาธิปัตย์ต่อต้านกระแสแรงของมวลมหาประชาชนที่เลือกพรรคเพื่อไทยมา เพื่อทำนโยบายให้พวกเขา .........
 
 
 
วันนี้   ประชาธิปัตย์ได้พบกระแสแรงเช่นนั้นแรงไปอีกเรื่อย ๆ แล้ว
 
 
 
แม้ประชาชนชาวใต้เอง ที่เคยมองผิด ๆ ในเรื่อง   ความสำคัญของวาทะกรรม    ซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยคมคำพูดโกหกพกลม เสียดสี เพียงเพื่อเอาชนะด้วยวาทะ   แต่ข้อเท็จจริง เป็นเพียง   ดีแต่พูด. พวกเขาก็จะเริ่มตาสว่างกว้างขึ้น และเริ่มรู้สึกว่า สส.ของเขา เช่นนายนิพิธ อินทรสมบัติ แม้เป็นตัวแทนของประชาชน ยังไม่เข้าใจสาระสำคัญพื้นฐานของประชาธิปไตย เลย ประชาธิปไตยที่แท้จริงเป็นอย่างไร ก็จะเริ่มมีการตื่นตัวศึกษาขึ้น ในวงกว้างขวางของประชาชนภาคใต้    และเริ่มไล่ตามประชาชนเหนือและอีสาน เรื่องความเข้าใจประชาธิปไตยที่แท้จริง   ถูกละครับ   ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์นั้น จำเป็นที่ประชาชนทั่วประเทศ ทุกภาคส่วนของประเทศไทย ต้องเป็นประชาธิปไตยด้วยกัน   ขณะนี้คนเหนือ คนอีสาน คนกรุงเทพ คนภาคตะวันออก ต่างแบกขนภาระประชาธิปไตยกันไปแล้ว   ยังแต่คนภาคใต้ ที่ยังเอารัดเอาเปรียบ......แต่วันนี้ ท่านคงจะรู้สึกตัวแล้ว ....
 
ส่วนสถานการณ์ในรัฐสภา   สส.เช่นนายนิพิธ และ ประชาธิปัตย์ทั้งสิ้น   นับแต่นายกรณ์ จาติกวณิชย์ ไป   ก็จะถูกกดข่ม...... ตามหลักการปกครองว่า    นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ (พึงข่มบุคคลที่ควรข่ม พึงชมบุคคลผู้ควรชม...มาจากพระไตรปิฏกครับ)   เพราะพรรคเพื่อไทยในรัฐสภา เป็นพวกส่วนมาก พวกแดงพิทักษ์ธรรม    หากอธรรมส่วนน้อย ประพฤตไร้เหตุผล ไม่อยู่ในระเบียบขององค์การ หรือสถาบันสูงสุดของประชาชน   เช่นพฤติกรรม ปชป.วันวานนี้    สส.ส่วนมากที่เป็นธรรมก็ต้องช่วยกันถอนเขี้ยวถอนเล็บเสียให้เกลี้ยง .....................น่าเป็นแผนการณ์อันชอบธรรมของรัฐสภาไทยยุครุ่งโรจน์ทางประชาธิปไตย 
 
ผู้แสดงความคิดเห็น บัวระย้า ชะบาบุญเสฏฐ์ วันที่ตอบ 2011-08-25 13:05:18
 
 
 ความเห็นที่ 45 (3305297) 
 
การแถลงนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์            
 
ประธานรัฐสภา                                           นายกรัฐมนตรี
นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์                         น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
 
 
การแถลงนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต่อรัฐสภา กำหนดมีการแถลง 2 วัน ๆ ที่ 23-24 ส.ค.2554 แต่ในวันที่ 24 ส.ค.ที่กำหนดปิดการประชุมนั้น ได้เกิดความรุนแรงในรัฐสภา ทำให้องคประชุมไม่ครบ พรรคประชาธิปัตย์วอล์คเอาท์ ประธานสภาจำต้องเลื่อนไปอีกเป็นวันที่ 3 วันที่ 25 ส.ค.2554 จึงจบเสร็จลง
 
ในการแถลงนโยบายของรัฐบาล เห็นได้ว่าพรรคฝ่ายค้านคือพรรคประชาธิปัตย์ มิได้มองการแถลงนโยบายว่ามีนัยยะสำคัญเพียงแจ้งให้รัฐสภาทราบเท่านั้น เพื่อที่รัฐบาลจะได้ทำงานต่อไปตามนโยบายที่แถลง การเปิดให้อภิปรายนโยบายนั้น ตามหลักแล้วฝ่ายค้านต้องจดหัวข้อเอาไว้ เพื่อการติดตามไปดู ว่ารัฐบาลจะได้ทำงานอย่างไร มีประสิทธิภาพเพียงใดหรือไม่ หากได้พบว่ามีการบริหารไม่ตรงตามนโยบาย ไร้ประสิทธิภาพ หรือมีการผิดพลาดประการใดใด อย่างร้ายแรงโดยมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนที่ชัดเจนชัดแจ้ง ฝ่ายค้านก็สามารถยื่นเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อถอดถอนรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี หรือรัฐบาลทั้งคณะได้ ซึ่งกติกาของระบอบประชาธิปไตยข้อนี้ นี้ได้ระบุในรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับอยู่แล้ว   
 
 
แต่การประชุมรัฐสภาเพื่อแถลงนโยบายคราวนี้ พรรคฝ่ายค้านกลับไม่สังวรณ์ว่านัยยะอะไรเป็นอะไร ออกท่าทีประหนึ่งว่าเป็นการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่บริหารงานล้มเหลวลงโดยสิ้นเชิง ประมาณนั้น จึงได้เกิดการตอบโต้ระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านขึ้นอย่างรุนแรง และเมื่อจนต่อเหตุผล ก็ไม่ยอมรับเป็นเหตุให้พรรคประชาธิปัตย์เกิดทิฏฐิในทางที่จะเอาชนะ วอล์คเอาท์ ทำให้ไม่ครบองค์ประชุม    จำต้องปิดประชุม เป็นเหตุให้เสียเวลาของสภาไปอีก 1 วัน และมีนักหนังสือพิมพ์เอาไปคาดคะเนในทางที่ไม่ดีต่อการเดินไปของระบบรัฐสภาไทยยุคนี้ว่าจะไม่ราบรื่น รัฐบาลจะต้องเผชิญกับฝ่ายค้านฝีปากจัดต่อไปจนอาจจะเพลี่ยงพล้ำได้   ยังมีประเด็นสำคัญที่สส.ฝ่ายค้านพรรคประชาธิปัตย์ยกขึ้นมาพูด อย่างไม่คำนึงถึงความสำคัญและความหมาย นั่น คือแนะนำรัฐบาลว่าควรนำเอาแนวพระราชดำริไปทำก็พอ ไม่ต้องไปคิดสร้างนโยบายอื่นอีกหรอก พร้อมโอ้อวดว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่แล้ว ได้นำเอานโยบายตามพระราชดำริไปทำทั้งหมด ซึ่งการพูดนี้เท่ากับกล่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้นำเอาพระบรมราโชบายทุกอย่างไปบริหารประเทศ ตนบริหารไปในนามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวล้วน ๆ   แต่ผลการบริหารตามแนวพระราชดำริของพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมากลับล้มเหลว เศรษฐกิจตกต่ำเข้าของ น้ำมันราคาแพงลิ่ว แม้กระทั่งน้ำมันปาล์มทั้งราคาแพงทั้งขาดตลาด ต้องเข้าคิวซื้อ สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนทุกหย่อมหญ้า เกิดกรณีล้อมเข่นฆ่าประชาชน 91 ศพ ปิดกั้นข้อฎีกาของประชาชนที่ฎีกาถึงในหลวง แล้วทำให้ประเทศไทยเกิดข้อพิพาททางชายแดนกับกัมพูชา เกิดการปะทะตามชายแดนศรีสะเกษ สุรินทณ์ บุรีรัมย์ หวิดเป็นสงครามระหว่างประเทศ ประชาชนไทยต้องอพยพกันจ้าละหวั่น นับหมื่น ๆ คน แล้วเกิดคดีเยอรมันยึดเครื่องบินส่วนพระองค์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช มกุฏราชกุมารไทย ขึ้นล่าสุด เป็นเหตุเสื่อมเสียถึงพระองค์ อันนี้ สส.ผู้เสนอแนะนั้นจะถือว่าพรรคประชาธิปัตย์บริหารงานตามพระบรมราชโองการล้มเหลวลงโดยสิ้นเชิงหรือไม่ เท่ากับรับพระบรมราชโองการไปแล้ว กระทำการชั่วโฉด ไร้ผลตามพระราชดำริ หรือไม่ ถ้าเป็นยุคก่อนก็เท่ากับรับดาบอาญาสิทธิ์แล้ว แพ้ศึกสงครามมา โทษก็ต้องหนักถึงประหารชีวิต ทั้งแม่ทัพนายกอง   แต่ประชาธิปัตย์ไม่ได้คิดถึงความจริงเช่นนี้เลย   จึงใช้วาทะกรรมออกไปอย่างไร้สติ ปราศจากความยั้งคิดใดใด มุ่งเอาชนะคะคานอย่างเดียว เป็นเหตุให้สภาวุ่นวาย แม้ว่าที่จริงก่อผลเสียหายแก่พรรคประชาธิปัตย์เอง ที่ได้ออกท่าทีไม่ให้ความร่วมมือในการบริหารประเทศในองค์รวมของประเทศประชาธิปไตยไทย  
 
 
แล้วทางฝ่ายรัฐบาล ที่โดนโจมตีอย่างหนักว่านโยบายทำไม่ได้ ไม่ตรงตามที่รับปากประชาชน เป้นต้น อย่างไรก็ตาม มาเช้าวันที่ 27 ส.ค. 2554 ประเทศไทยทั้งประเทศก็ได้พบกับผลของนโยบายพรรคเพื่อไทยนโยบายแรก โดยทำตามสัญญาข้อแรกที่ด่วน นั่นคือลดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลง โดยชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เอาจากกองทุนน้ำมันมาใช้ก่อนชั่วคราว ส่งผลให้ราคาดีเซลลดลงลิตร 3 บาท เบนซิน 95 ลดลิตรละ 8.20 บาท และเบนซิน 91 ลิตรละ 7.17 บาท มีผล 27 ส.ค. 2554 นี้ ปรากฎว่าเสียงประชาชนและเสียงหนังสือพิมพ์ตอบรับกันอย่างอื้ออึงอยู่ขณะนี้   นับว่าเป็นการเริ่มประเดิมนโยบาย ตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับประชาชน ซึ่งนี่คือนัยยะสำคัญของรัฐบาลประชาชน เพื่อประชาชนและโดยประชาชน เสียงประชาชนย่อมเป็นเสียงสวรรค์ เมื่อบริหารไปตามครรลองประชาธิปไตยแล้ว ย่อมได้รับการสนับสนุนของประชาชนตลอดไป  
 
 
แต่อย่ามองเฉพาะเรื่องนี้เรื่องเดียว ดูว่าพร้อม ๆ กันนี้ และแม้ก่อนการแถลงนโยบาย ก็พอเห็นได้แล้วว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้เอาใจใส่ต่อประชาชนกรณีน้ำท่วมมาก่อนแล้ว   มีอีกหลายนโยบายที่กำลังขับเคลื่อนไปเป็นระลอก ๆ รวมทั้งสถานการณ์ตอบรับจากต่างประเทศ เช่นญี่ปุ่นก็ค่อยดีขึ้น ๆ เราเองก็ยังต้องคอยมองดูเหมือนกัน และเชื่อว่ารัฐบาลจะทำได้
 
 
•สุไหงปาดี ชินะกุล
28 ส.ค.2554/08.00 น.
 
ผู้แสดงความคิดเห็น บก.คัดมาจากหน้า1 (newworldbelieve-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-08-28 16:01:34
 
 
 ความเห็นที่ 46 (3306879) 
 
สองวันนี้ขายผ้าได้เยอะ ขายสนุก ขนกันไปแน่นวันละ สี่-ห้าคันรถเลย มูลค่าหลายล้านบาท   ใบสั่งเพิ่มมาเรื่อย ๆ    สนุกมาก โรงงานจะไม่ล้มแล้ว    พวกเราก็จะมีงานทำต่อไป
 
ผู้แสดงความคิดเห็น สาวน้อยโรงงานโคราช วันที่ตอบ 2011-09-13 22:15:41
 
 
 ความเห็นที่ 47 (3315160) 
 
การเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศไทย ไม่อยู่ในการคาดคิดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ หรือ พรรคเพื่อไทยเลย    เมื่อเกิดเรื่องราวขึ้นมาพร้อมกับการได้ฐานะความเป็นผู้บริหารประเทศ จึงดูไม่มีนโยบายด้านนี้ ไว้รอรับ   จึงเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อย่างไม่มีการวางนโยบายไว้ล่วงหน้า
 
ผู้แสดงความคิดเห็น นายนักข่าว002 วันที่ตอบ 2011-10-16 18:47:51
 
 
 ความเห็นที่ 48 (3316650)

 

 
เรื่องภัยธรรมชาติครั้งนี้ยิ่งใหญ่มากคาดการณ์ได้ยาก การจะกำหนดนโยบายในการแก้ปัญหาก็ต้องศึกษาจากปัญหาที่เกิดขึ้นจึงจะมองเห็นต้นเหตุของปัญหาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่าเป็นการยากที่จะวางแผนแก้ปัญหาโดยที่มันยังไม่เกิด และมนุษย์ที่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาเขาต้องพบกับปัญหาจึงจะเห็นสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาก่อน นโยบายจะถูกจัดวางได้ก็ต่อเมื่อเป็นความต้องการร่วมกันของประชาชน ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้นั่นแหละนโยบายของพรรคเพื่อไทยเรื่องการวางแผนบริหารจัดการน้ำจะต้องเป็นนโยบายเร่งด่วนของชาติเพราะประชาชนขานรับเต็มที่พร้อมๆกันทั้งประเทศ
 
ผู้แสดงความคิดเห็น กระจกเงา วันที่ตอบ 2011-11-05 23:33:44
 
 
 ความเห็นที่ 49 (3375407) 
 
 วันนี้ สภาอภิปรายมาตรา 10 คนที่อภิปรายอยู่ขณะนี้(อภิปรายมาตั้งแต่ 14.24 ผมฟังมาตอนนั้น เป็นสส.พรรคประชาธิปัตย์ ชื่อนายธนา เจียรวนิช ภาพนี้ถ่ายจากจอโทรทัศน์ขณะนายธนาอภิปรายยู่ขณะนี้ .......ผมเห็นเขาคนนี้อภิปรายครั้งหนึ่งแต่เมื่อเช้าแล้ว ด้วยท่าทางเย่อหยิ่งมาก ซ้ำข่มขู่ว่าพวกปชป.จะยื่นฟ้อง ตลกรัฐธรรมนูญ ...คำว่าเย่อหยิ่งของผม หมายถึงนายธนานี้แกมองคนอื่นต่ำต้อยกว่าแก โง่กว่าแก ไม่รู้กฎหมายเท่าแก อะไรประมาณนั้น การมองคนไม่ใช่คนนี้ บอกถึงความป่าเถื่อน เผด็จการ เป็นประชาธิปไตยยาก   ขณะนี้เวลา 15.00 น. นายธนาก็ยังอภิปรายไม่จบอยู่ รวมเวลาอภิปรายมา 30 นาทีแล้ว ยังไม่เข้าเรื่องเข้าราวเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวสงวนคำอภิปรายไว้อย่างไร ผม ในฐานะราษฎรคนหนึ่งนี่ เห็นว่า ท่าทางของผู้แทนราษฎรคนนี้ ดูเย่อหยิ่งแล้ว โง่อวดฉลาดอีก และครั้นพิจารณาไป ๆ สส.ปชป.ก็เหมือน ๆ กับนายคนนี้แหละ แกพยายามจะอวดความรู้ทางกฎหมายของแก (อวดผิด ๆ น่ะครับ นึกว่าคนโง่ ฟังแกไม่ทัน)   เอาละซี ! มาถึงบทนี้แล้วซี ..... พยายามจะสอนประธานสภา ออกภาพว่าตัวเก่งเหนือใคร ๆ เป็นยอดปราชญ์ อะไรประมาณนั้นครับ .....   แล้วพอพลาดท่าแก่ประธานสภา ก็มองหาเพื่อน ๆ ก็ลุกขึ้นช่วยแก้สถานการณ์ไป กล้อมแกล้ม แกก็ได้ใจไปอีกต่อหนึ่ง เรื่องก็เลยยืดไปอีก ......พายัพ ปั้นเกตุ สส.พท.ขอให้ยึดข้อบังคับ อย่าไปใส่ร้ายคนอื่น .... ประธานสภา ก็ย้ำไปอีกว่า นายธนาไม่ควรใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นในสภา   นายธนายังไม่ยอม .....ประธานสภาว่า พยายามให้เกียรติ์นายธนา รอว่าจะจบ ก็ไม่จบสักที มันก็ซ้ำและฟุ่มเฟือย    ประธานอบรมว่า ไม่อยากให้ภาพพจน์ไม่ดีออกไปสู่ภายนอก ขอให้สรุปได้แล้ว ....(ก็ 15.23 น.แล้วขณะนี้) ขอให้ให้เกียรติ์ซึ่งกันและกัน นาที 2 นาทีก็คงพอ อย่างลูกผู้ชาย.......สุรเชษฐ์ แวอาแซ ปชป.ลุกขอประท้วงประธานสภาตามข้อ 5 ....ว่านายธนาให้เหตุผลหลักการที่ฟังได้ ควรให้เวลา......ท่านประธานไม่น่าใช้อารมณ์ ท่านประธานทราบหรือไม่ว่าคนเข่ารู้สึกอย่างไรต่อประธานสภา   ผมขอประท้วงประธานตามข้อ 5 ....ประธานว่าอย่าโกหก ....โกหกกลางสภา .....การประชุมต้องมีกติกาแล้วประธานสมศักดิ์ก็สอนว่า .......อำนาจการวินิจฉัยของประธานเป็นที่สุด ให้ประธานวินิจฉัย ไม่ใช่ตัวท่านวินิจฉัย ..... มุสลิมนี่คงฟังไม่รู้เรื่อง     แล้วจ่าประสิทธิ์ ไชยศรีษะ สส.สุรินทร์ พท. ลุกขึ้นยืนยัน นายสุรเชษฐ์ท่านโกหกกลางสภา ผมยืนยันได้ แล้วจ่าประสิทธิ์เสนอปิดอภิปราย   ประธานว่าการเสนอปิด ควรเป็นคนละวาระกับการประท้วง ..... ยังไม่ทันที่จ่าประสิทธิ์จะเสนอปิด ก็มีฝั่งปชป.ยืนขึ้น.........สภาทำท่าจะเละเทะอีกครั้ง .............แต่แล้วจ่าประสิทธิ์ เสนอว่าที่ว่าหัวล้านเหมือนกัน ผมไม่ได้ว่าท่าน ผมก็หัวล้านเหมือนกัน   มาชนหัวล้านกันไหมล๋ะ จะได้จบกัน    สภาทั้งสองฝั่งหัวเราะ ...   ประธานให้นายธนา   ว่าขอแบบลูกผู้ชาย ......นายธนาว่า ผมก็จะให้ท่านเหมือนลูกผู้ชายเหมือนกัน .........แล้วอภิปรายต่อ ...... ไม่ทราบอีกนานไหม นายธนาจะยอมจบลงเสียที ผมฟังเขาพูดมาตั้งแต่ 14.24 น. ถึงเวลานี้ 15.30 น.แล้ว หมายความว่าเสียเวลาช่วงนายธนาพูดนี้ ไปกว่าชั่วโมงครึ่งแล้ว โดยไม่ได้สาระอะไรเลย.......ผมเน้น ไม่ได้สาระอะไรเลย เพราะสส.ปชป.เวลาอภิปราย ไม่ได้เคารพกฎข้อบังคับ ซึ่งในที่นี้ก็คือ ที่สงวนสิทธิ์คำอภิปรายเอาไว้นั้นอย่างไร และที่สำคัญไม่มีจุดยืนหรือแนวคิดอยู่ข้างหลักการประชาธิปไตย แต่ยึดอยู่กับหลักการเผด็จการอมาตยาธิปไตย ...หรือโดยรวมก็คือ พวกหัวล้าหลังคร่ำครึในสังคมประชาธิปไตยโดยแท้จริง..........  
 
•นายยอดเยี่ยม ยิ่งยง
11 ก.ย.2556/15.55 น.
 
 
บทแทรก  
 
มาพิจารณากัน ในประเด็นที่ว่า โง่อวดฉลาด ..."โง่อวดฉลาดอีก และครั้นพิจารณาไป ๆ สส.ปชป.ก็เหมือน ๆ กับนายคนนี้แหละ แกพยายามจะอวดความรู้ทางกฎหมายของแก (อวดผิด ๆ น่ะครับ นึกว่าคนโง่ ฟังแกไม่ทัน)"   เช่น สส.พรรคนี้จะอ้างอยู่บ่อยเลยว่า ข้อบังคับ จะใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้ ..... จะต้องเอารัฐธรรมนูญเป็นหลัก .....แล้วอ้างแนวคิดนี้ไปถกเถียง ..... จริงอยู่เราถกเถียงกันได้ แต่เราจะถกเถียงในสิ่งที่ไร้สาระเช่นนี้ไปทำไมในสภาของชนชั้นผู้นำของชาติ สภาเขามีไว้สำหรับบัณฑิตเราฉลาดหรือโง่ล่ะ   คือการอ้างเช่นนี้ เท่ากับไม่เข้าใจหลักการปกครอง บริหารเลย......ข้อบังคับมันไม่ใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญนั่นก็ถูกแล้ว แต่มันต้องดูว่าเรื่องอะไร .... ในที่นี้ ข้อบังคับนั้น มันก็อ้างมาจากรัฐธรรมนูญนั่นแหละ รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้ ในเมื่อมาเข้ากฎข้อใดของข้อบังคับ ๆ ก็มีอำนาจตัดสิน ชี้ผิดชี้ถูกได้     เข้าใจไหมครับ ?   ผมก็ได้ฟังมานานที่สส.พรรคปชป.หลายคนพูดกันโง่ ๆ มาอย่างนี้ และคิดว่าน่ามีใครอธิบาย สั่งสอนสส.ปชป.ให้เข้าใจหน่อย บังเอิญวันนี้ท่านประธานสภา(สมศักดิ์) ท่านอธิบายประเด็นนี้นิดหน่อย ผมมาอธิบายเพิ่มเติมไป คือ คุณต้องมี reference น่ะ เข้าใจไหม คุณธนา ? ตอนนี้คุณต้องอ้างมาจาก ข้อบังคับ ไม่ใช่อ้างรัฐธรรมนูญ เพราะมันอยู่ที่ว่าเรื่องอะไร ........อีกเรื่องหนึ่ง ที่เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก เป็นหัวใจหลักของประชาธิปไตย แต่พรรคปชป.ทั้งพรรคยังมืดแปดด้าน แกพยายามจะอ้างว่าพวกมากลากไป แทนความหมายของ Majority ในภาษาสากล ซึ่งนอกจากแสดงถึงความไม่เข้าใจหลักการและวิถีทางประชาธิปไตย...ทำลายตัวเอง ทำลายสง่าราศีของตัวเองแล้ว(ในวันนี้คนอาจจะยังเห็นไม่ชัดว่ามีตัวโง่ในรัฐสภาไทยเช่นสส.ประชาธิปัตย์ แต่ในวันนี้มันได้จารึกเรื่องราว...ความคิดโง่ ๆ ....รวมทั้งพฤติกรรมอันธพาลของพรรคนี้ไว้สำหรับรุ่นต่อไปไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว) ยังหมายถึงออกนอกลู่นอกทาง แล้วยังพาคนตาบอดอื่นเดินตามไปอีก แล้วยังหมายถึง ด้วยเหตุที่ไม่เข้าใจ หรือด้วยอวิชชานั้น เป็นเหตุให้ตัวเองประพฤติในทางที่ขัดขวางความเจริญของประชาธิปไตยไทย และกลายเป็นพรรคที่มุ่งทำลายระบอบประชาธิปไตย ที่ชาติไทยทั้งชาติสถาปนามาตั้งแต่ปี 2575 แล้ว....อีกต่างหาก      ...... ในวันนี้ ไม่เข้าใจแม้กระทั่งเรื่องเบื้องต้นของประชาธิปไตย
 
เรื่องประชาธิปไตยนั้น เขาต้องมองมาตั้งแต่มีการเสนอตัวเข้ารับใช้ประชาชนนู่น ในระบอบนี้เขาให้ประชาชนเป็นใหญ่ จึงให้สิทธิในการเลือกของประชาชน   พรรคประชาธิปัตย์ต้องไปมองมาตั้งแต่วันเลือกตั้ง 3 พ.ค.2553 และก่อนหน้านู้น ดูว่าท่านได้บอกประชาชนไว้อย่างไรบ้าง .... ผมหมายถึงนโยบายน่ะ....พอจะเข้าใจไหม อะไรคือนโยบาย ?   ........ ก็ปรากฎมาตั้งแต่จุดเริ่มต้นนั้น ที่พรรคประชาธิปัตย์ทำนโยบายไม่เป็น...เป็นนักลอกกากนโยบายตัวยง....ก็เพราะไม่รู้ว่านโยบายคืออะไรนั่นเอง....จะยกตัวอย่าง นโยบายไข่ชั่งกิโล .... ทำเองไม่เป็นก็ไปจ้างนักวิจัยฝรั่งทำให้ .... ปรากฎว่าให้ค่าจ้างเขาถึง 69 ล้านบาท แล้วออกมาเป็นนโยบายไข่ชั่งกิโล.........มาพูดถึงนโยบายอันนี้วันนี้ ไม่ทราบเหมือนกันว่านายอภิสิทธิ์จะรู้สึกอับอายขายหน้าเด็ก ๆ ยุคนี้กันหรือไม่ ? นอกจากตัวนโยบายไม่สนองความต้องการของประชาชนแล้ว ก็มีประเด็นครับ คือไปจ้างเขาถึง 69 ล้านบาท รู้หรือไม่ว่าแท้จริงเขาใช้เงินเพียง 10,000 บาทเท่านั้นเองในการสร้างนโยบายระดับนี้ เหลือนั้น 68ล้าน 9แสน 9 หมื่น งาบอย่างสบาย ๆ   ........ คุณได้รู้อะไรขึ้นมาล่ะ..... ก็คือพรรคประชาธิปัตย์เมื่อตอนเข้าสนามเลือกตั้งครั้งล่าสุด ที่พรรคเพื่อไทยชนะถล่มทะลายและยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยนั้น พรรคนี้ยังไม่รู้ว่านโยบายคืออะไร เวลาพูด ก็ไปเอาอะไร ๆ ที่คร่ำครึในกฎหมายคร่ำครึมาหาเสียงกับประชาชน ถ้าดูเวทีประชาธิปัตย์นัดยิ่งใหญ่ที่ราชประสงค์ก่อนเลือกตั้ง .....ก็ดูสิว่าพรรคนี้แถลงนโยบายอะไร ....ก็ได้พบแล้วว่า เขาไม่ได้แถลงนโยบายอะไรเลย ...สิ่งที่เขาพูดในเวทีวันนั้นนั้นคือเรื่องโกหกพกลม ใส่ร้ายใส่ความคนเสื้อแดง ....ว่าเป็นผู้ก่อการร้าย คิดล้มสถาบัน เป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง ....และเข่นฆ่าทหาร ซึ่งในตอนนี้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถึงหลั่งน้ำตาบนเวทีเห็นใจทหารที่ถูกสังหาร(แทนที่จะสงสารประชาชน 98 ศพ) ......   นั่นมันไม่เกี่ยกับนโยบายอะไรเลย .........แปลว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่เข้าใจนโยบาย ไม่มีแม้แต่คำเดียวที่บอกประชาชนว่าจะทำอะไรบ้าง แต่กล้าอาสาไปรับใช้ประชาชน ............ประชาชนเขาก็ไม่เอายังไงล่ะ .......... แล้วทำไมเขาไปเอาพรรคทักษิณ พรรคเพื่อไทยล๋ะ ? ก็เพราะพรรคเพื่อไทย เขารอบรู้เรื่องราวของประชาธิปไตย ทำให้เขาเข้าใจประชาชน ....เขาก็คิดทำอะไร ๆ ก็เพื่อประชาชนทั้งสิ้น เพื่อความเจริญของประชาธิปไตยทั้งสิ้น แล้วเขาก็ไปรีเสิรชมาว่าจะทำอะไร(พูดถึงเรื่องรีเสิรช ปชป.ก็ไม่กระดิกอีก ทุเรศจริง ๆ ก็ไม่แปลกใจตอนได้เป็นรัฐบาลก็พาประเทศชาติเข้าป่าเข้าดงไป)   และจะทำอย่างไร จะใช้เทกโนโลยีตัวไหนมาสร้าง เราเองทำไม่ได้     จะเอาคนที่ไหนจึงจะทำนโยบายตัวนี้ได้ เขาก็นำเสนออกไปสู่ประชาชนทั้งหมดในวาระการเลือกตั้งนั่นเอง (ลองไปอ่าน.....นโยบายทักษิณ ๆ คิด เพื่อไทยทำ ตามลิ้งค์นี้ครับ "ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ ประชาชนพ้นทุกข์" คลิกไปเลย......จะได้ฉลาดขึ้น)   มันบอกอยู่แล้วว่า   พรรคเพื่อไทยเหนือชั้นในด้านการบริหารจัดการนโยบายและการเข้าถึงความเดือดร้อนของประชาชนกว่าพรรคประชาธิปัตย์ อย่างผู้ใหญ่กับเด็ก เด็กกับผู้ใหญ่ นั่นเลยทีเดียว ......มาวันนี้ .....สิ่งที่ประชาธิปัตย์ทำได้ก็คือเด็กเกเร เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ตกอยู่ใต้อารมณ์อันธพาล ก๊ยการเมือง กุ๊ยข้างถนน ควบคุมตัวเองไม่ได้    มันดีอย่างไรที่คุณไปยื้อยุด ฉุดประธานสภา ในอาการขับไล่ออกจากตำแหน่งที่ทรงเกียรติของประชาชน และมันดีอย่างไรที่คุณไปโยนแฟ้มใส่ประธานสภาซึ่ง ๆ หน้า ในสภาที่ทรงเกียรติ์ เพราะนั่นมีความผิด ฐานล้มล้างระบอบรัฐสภาโดยตรง คุณเป็นนักกฎหมายไม่เข้าใจหรือ ? ทำไมไม่สังวรณ์ในหลักความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายล่ะ ? ถ้ากฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้วสังคมจะสงบลงได้อย่างไร? และล่าสุด น่าอดสูที่สุดคือเมื่อ ต้นเดือนก.ย.นี้เอง นายวัชระ เพชรทอง ก่อกวนสภาให้เกิดเหตุน่าอดสู ถูกตำรวจสภาควบคุมตัวหามออกไปจากที่ประชุม กับนายเชน เทือกสุบรรณ น้องชายนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ลุกขึ้นมาทุ่มเก้าอี้ใส่ประธานสภา ถึง 2 ตัว เก้าอี้ถึงแขนหัก แล้วยังเดินออกไปชี้หน้าชี้ตาด่าประธานสภา.....แล้วนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หน.พรรคปชป.ก็ออกมาเท้าแขนด่าประธานสภาต่อ   แล้วยังไม่พอนายชวน หลีกภัย ออกมายกหางให้ท้ายนายเชนต่อไปอีก นีคือช่วยกันสร้างความอดสู อับอายต่างชาติ (คุณอาจจะไม่รู้สึก แต่คนไทยเขารู้สึก แม้กระทั่งคนไทยในเท๊กซัส เช่นคุณอำนาจ สุนทรวัฒน์ ที่อยู่อเมริกามานานถึงกว่า 30 ปี เขากลับมาเมืองไทยวันสองวันนี้ ยังมาออกอากาศบอกอดสูใจ บอกว่าพรรคการเมืองเช่นนี้ทำลายประชาธิปไตยไทยเอง และทำลายตัวเอง และจะต้องตกจากตำแหน่ง.....ผู้นำฝ่ายค้าน!!!)  
 
ทีนี้ ในเมื่อตัวเองโง่เง่าเต่าตุ่นขนาดนี้แล้ว จะไปทำอะไรได้ ? ซ้ำพกความอิจฉาริษยามาทั้งพรรคทั้งพวก (พวกเขาคืออะไร ใครบ้างประชาชนเขาก็รู้ ๆ กันหมดแล้ว หัวหน้าพรรคปชป.ตัวจริงเขาก็รู้ โดยเฉพาะสว.40 องค์กรอิสระ ตลกต่าง ๆ เป็นต้น ประชาชนเขาก็รู้กันทั่วหมดแล้ว ไม่มีซ่อนเร้นสายตาประชาชนไปได้แล้ว ณ เวลานี้
 
แล้วคุณเข้าใจไหมว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่วางระบบไว้อย่างดีมากทุกระบบเลย ถ้าคุณเข้าใจแล้ว นี้แหละเป็นระบบของการก้าวหน้าของประชาชนของชาติ และเป็นระบอบของอนาคตอย่างแท้จริง.......ความหมายตรงนี้คือ   แนวโน้มของประเทศต่าง ๆ บนโลกนี้ จะต้องเป็นประชาธิปไตย .......หลายประเทศ แม้เป็นเผด็จการอยู่ ก็ยังแอบเอาชื่อประชาธิปไตยไปใช้เลย .....ดูคำว่าสาธารณรัฐ ...สหภาพประชาชนเพื่อประชาธิปไตย... นำหน้าชื่อประเทศ   เป็นต้น
 
มายกตัวอย่างง่าย ๆ สักตัวอย่างหนึ่งก่อนก็แล้วกัน 
 
ก็เรื่องนโยบายนี่ไง  แน่ละประชาธิปัตย์ไม่มีนโยบายอะไรเลย...ประชาชนเขาก็ไม่ค่อยเห็นความสำคัญนักเขามองว่าไม่ประสีประสา   แต่พรรคเพื่อไทยที่เสนอนโยบายเอาไว้ ล้วนโดนใจประชาชนทั้งสิ้น แต่โดยระบอบประชาธิปไตยประชาชนจะต้องได้รับการประกันว่าจะได้มีการนำนโยบายเหล่านี้ไปทำขึ้นจริง ๆ.....ไม่เพียงการพูดหาเสียงเปล่า ๆ ...เช่นนโยบายด้านคมนาคมนี่แหละครับ รถไฟความเร็วสูง เขาเสนอไว้ก่อนการเลือกตั้ง ........ นโยบายเรื่องประกันราคาข้าว ฯลฯ   เป็นต้น ...เพื่อให้มีการประกันว่านโยบายเหล่านี้ต้องได้รับการขับเคลื่อนไปจงได้ ไม่ให้ชงักงันเป็นเพียงคำพูด    ........... นี่แหละระบอบประชาธิปไตยจึงกำหนดให้ระบบการตัดสินใจโดยเสียงส่วนมาก............นั่นคือ Majority rule minority right        ฝ่ายที่ได้เสียงส่วนมากมาจากการเลือกตั้งจึงหมายถึงผู้ที่จะต้องไปทำนโยบาย ไปทำงานเหล่านี้ให้แล้วเสร็จ ฉะนั้น แม้ว่าในสภาจะมีเสียงส่วนน้อยไม่เห็นด้วย แต่โดยเสียงส่วนมากนั่นเอง   มีความชอบธรรม ตามระบอบประชาธิปไตย ในแง่ที่ว่าต้องทำตามความประสงค์ของประชาชนผู้เลือกตั้งรัฐบาลเข้ามา   .......   เข้าใจไหมครับ
 
ถ้าไปทำตามฝ่ายค้าน แล้วมันจะได้ทำอะไรล่ะ?   เพราะฝ่ายค้านไม่ได้บอกไว้เลยว่าเขาจะทำอะไร ...มันไม่ชอบธรรมใช่ไหม ? (คลิกไปดูทักษิณคิด เพื่อไทยทำนะครับ อ่านแล้วจะฉลาดขึ้น มีคนอ่านร่วมหมื่นแล้ว....มันเรียนรู้ประชาธิปไตยครับ)
 
ฉะนั้น พรรคเพื่อไทยจึงมีสิทธิ์ มีความชอบธรรมทุกประการ ที่จะทำนโยบายทุกนโยบายที่เสนอผ่านการเลือกตั้งของประชาชนมา .............และเขาจะต้องทำได้ ผ่านสภาไปได้ทุกนโยบาย ตามการประกันของหลักการประชาธิปไตย ในหลักที่ยอมรับกันทั้วไปอย่างเป็นหลักการสำคัญดังกล่าว คือหลัก majority จะต้องเข้าใจให้ดี ว่ามีความชอบธรรมโดยการเลือกของประชาชนส่วนใหญ่นั่นเอง ทีนี้ตามหลักของส่วนน้อย ๆ ก็สามารถให้เหตุผลในเชิงการเสริมเพิ่ม เติมไปให้นโยบายทำดีไปกว่าเดิม หรือจะหัก อย่างประชาธิปัตย์ทำไปโง่ ๆ นี้ก็ได้ แต่คุณต้องเข้าใจและยอมรับเสียงส่วนใหญ่ โดยความชอบธรรมอย่างไร และหลักการจริง ๆ นั้น เพื่อเกิดความมีเหตุมีผล ท่าทีของพรรคฝ่ายค้านจะต้องอยู่ในท่าทีของความเคารพในเสียงส่วนใหญ่และเคารพในความต้องการของประชาชน...ผู้เลือกนโยบาย และต้องการให้มีการทำนโยบายที่เขาเลือกนั้น ให้เสร็จลงไปอย่างมีประสิทธิภาพจนได้.........คุณต้องสังวรในมารยาท ไม่หักหาญ ไม่ทำลายความสุขของคนส่วนใหญ่ ส่วนที่เขาเลือกนโยบาย ................   และคุณก็เข้าใจไม่ใช่หรือว่าผลของนโยบายดี ๆ ของพรรครัฐบาล(รัฐบาลไหนก็ตาม) ตามหลักการประชาธิปไตย   ย่อมเสมอภาค   เข้าใจไหมครับ? .....   หมายความว่าประชาชนชาวใต้ที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ก็ย่อมได้รับอานิสงส์ไปด้วยเท่าเทียมกับประชาชนส่วนใหญ่ผู้เลือกพรรครัฐบาล นั่นเอง   นี่คือความดีของระบอบประชาธิปไตย ฉะนั้นคุณควรเคารพคนส่วนมาก
 
และเคารพผมด้วย ครับ   เพราะขณะนี้ ผมในฐานะประชาชนผู้เลือกนโยบายพรรคเพื่อไทยมา อยากเห็นรถไฟหัวจรวดแล่นบนแผ่นดินไทยเต็มทีแล้ว   ประชาธิปัตย์โง่ ๆ ความคิดไม่ทันเขา อย่าสะเออะมาขวางเลย ขอร้อง   อีก2-3 ปีก่อน   ปชป.ควรเจียมตัว อย่าเอาหัวกฎหมายที่คร่ำครึมาก่อกวนเลย ค่อยเรียนรู้ไปสัก2-3ปีข้างหน้า ปชป.จึงจะค่อยรู้อะไรขึ้นบ้าง ในเรื่องประชาธิปไตย ถ้าไม่โดนชาวใต้ยุคใหม่ไล่ออกจากสภาไปเสียก่อน
อนึ่ง ความสมบูรณ์ของประชาธิปไตยไทยอยู่ตรงจุดไหน.....อยู่ตรงเรื่องกฎหมายนี่เองแหละครับ    ปชป.ต้องค่อยเรียนรู้ไป วันหนึ่งก็คงจะเข้าใจได้ทุกอย่าง รวมทั้งเข้าใจเรื่องที่คนประชาธิปไตยกำลังเข็นกันอยู่คือ......ทำไมจึงต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ?
 
•ดร.ฆิกเมฆ สุวรรณเมฆินทร์
12 ก.ย.2556/10.55 น.  
 
ผู้แสดงความคิดเห็น 001 วันที่ตอบ 2013-09-12 21:26:01
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
วันศุกร์, พฤศจิกายน 07, 2557
การศึกษาไทย ในมุมมองของจีน อ่านจบพูดไม่ออก อึ้งเลย
[ก็จริงนี่ครับ ฝากรบ.ประยุทธคิดดู จริงไม่จริง! บก.]
 
 
การศึกษาไทย ในมุมมองของจีน อ่านจบพูดไม่ออก ทำผมนี้อึ้งไปเลย
 
 
ที่มา Job108.com
3 พฤศจิกายน 2557
 
 
 
การศึกษาไทย ในมุมมองของจีน
 
ห่วยสุดๆ ตั้งแต่ระดับมัธยม จนถึงระดับ มหาวิทยาลัย
 
1. สถานทูตจีน เขียนรายงาน (เป็นภาษาจีน) ระบุการศึกษาบ้านเรา เน้นแต่ด้าน ศิลปศาสตร์ นิติฯรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การตลาด บริหารธุรกิจ ซึ่งจบมาแล้ว ไม่มีงานทำ ความรู้กระจอก สักแต่ให้มีปริญญา ไม่ได้สร้าง value-added ใดๆ
 
นักวิทยาศาสตร์ การวิจัย แทบจะเป็นศูนย์
 
Guanmu อดีตเอกอัครรทูตจีน บอกว่า25ปีที่ผ่านมา ไทยผลิตยาง ยังไงก็ยังทำแบบนั้น ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม ทำเป็นยางรถยนต์ หรือสิ่งประดิษฐ์ อะไรเองไม่เป็น สร้างคิดห่าเหวไรไม่ได้
 
2. มหาวิทยาลัยไทย รวมไปถึง ธรรมศาสตร์จุฬาฯ กิจกรรมเน้นเต้น หลีดโชว์หล่อสวย แต่โง่ ไม่มีการฝึกงานอะไร ที่เป็นประโยชน์ ขอเงินพ่อแม่ เที่ยวกลางคืน เย่อกันไปวันๆ โชว์วัตถุนิยม ว่ารถกูขับรถไร สังคมมันวัดกันแค่นี้ (เห็นมากับตา) พวกดีๆ ก็มีแต่มันน้อย เอาจริงๆนะ ผมว่ามีแค่10% ในขณะที่เด็กสหรัฐฯ พวก MIT Stanford
 
หรือเด็กจีนชิงหัว ปิดเทอม พยายามหางานทำ ฝึกงาน UN World Bank JP Morgan
หรือมาค่ายผู้ลี้ภัย ชาวโรฮิงญาในไทย
 
3. จ่ายครบจบแน่ ปริญญาขยะ เต็มบ้าน คือ หางานไรทำไม่ได้ มีแต่อยากจะรวย "ผมจะทำธุรกิจ" คือมันคิดไรไม่ออก นอกจากขายของ นอกจากนี้ ยังทุจริต ผลันงบกระทรวงศึกษา ให้ทุนกู้ยืม มหาวิทยาลัยเอกชน ที่มีนักการเมือง เป็นเจ้าของ สุดท้ายหนี้ศูนย เพราะเด็กบ้านนอก ได้มาเข้ากรุง สักว่าจบปริญญา ประดับบ้าน แต่มันหางานทำไม่ได้ ปึหนี่งหมดเงิน ภาษีประเทศซาติ ไปหลายหมื่นล้าน เรื่องเลวๆนี้ ไม่เคยถูกตรวจสอบ
 
4. ภาษาอังกฤษ ห่วยแตกขั้นเทพ จริงๆ อจ.จุฬาฯส่วนใหญ่ ก็ลอกบทความฝรั่ง มาแปลๆ ไม่มีความคิด อะไรใหม่ หาน้อยคน ที่จบระดับโลก ไปดูCVเอาเอง ได้จบมหาลัยห้องแถว B-class ทั้งนั้น งานวิจัยขยะ copy/paste เด็มไปหมด ครูมัธยม เอาแค่โรงเรียน ในกรุงเทพฯ ผมเคยถูกเชิญไปพูด ยังออกเสียง สะกดศัพท์ไม่ถูกเลย จะสอนเด็กให้ถูก อย่างไร แล้วโรงเรียน ในอ.ปัว จังหวัดน่าน มันจะห่วยแตก ขนาดไหน
 
5.ความรู้ใหม่ๆ หรือเทคโนโลยี มันหมุนเวียน เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งคนไทยรู้แต่ ภาษาไทยตัวเอง ไม่มีความสามารถ แข่งขันอะไร ในระดับโลก โลกทรรศน์สุดจะแคบ สำนักข่าวไทย รายงานแต่เรื่องเส็งเคร็ง ไม่ได้สร้างคุณค่า ความรู้อะไร คนนั้นท้องกับคนนี้ ตำรวจตั้งด่านไถตังค์ ไปวันๆ ไปทำงานมา หลายประเทศ เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ บอกได้เลย
 
นักเรียนไทย โคตรจะขี้เกียจ ไม่รู้ปีหนึ่งๆ อ่านหนังสือกัน กี่เล่ม?
 
มีเงิน จ่ายครบ จบแน่. นี่คือความจริงอันน่าหดหู่ของประเทศไทย !
ooo
 
 
"ในตอนนี้ระบบการศึกษามี 3 คำคือ แพง ห่วย และเหลื่อมล้ำ
การศึกษาแพงเพราะต้นทุนในการบริหารจัดการสูง ทั้งที่มีงบการศึกษาที่สูงงกว่างบบริหารจัดการภาครัฐทั่วไป เพราะในด้านนโยบายเกิดปัญหาเรื่องการจัดการ ไม่มีใครกล้าแตะปัญหาในเชิงโครงสร้างที่เกี่ยวพันส่งผลต่อคนจำนวนมาก"
 
 
 
สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์
ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
กล่าวในการสัมมนาทางวิชาการประจำปีของคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ 30 ตุลาคม 2557
ที่หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทสไทย
ประชาชื่น
 
 
Posted by Special Correspondence at 11/07/2557 04:43:00 ก่อนเที่ยง  
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดของหนังสือพิมพ์ดี
ได้ทางเวบไซต์ของเรา คือ
 
และ
www.facebook.com phayap panyatharo
 

 




ดี เล่มที่ 45 - 53 + 54 + 55+56+57+58+59+ 60

หนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 28
หนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 29
หนังสือพิมพ์ดี เล่มที่ 30
ดี เล่มที่ 45
ดี เล่มที่ 46
ดี เล่มที่ 47
ดี เล่มที่ 48
ดี เล่มที่ 50
ดี เล่มที่ 51
ดี เล่มที่ 52
ดี เล่มที่ 53
ดี เล่มที่ 54
ดีเล่มที่ 55
ดีเล่มที่ 56
ดีเล่มที่ 57 BUDDHISM toTHE NEWWORLD ERA
ดีเล่่มที่ 58 Buddhism to the New world Era
ดีเล่มที่ 59
การเมืองเสนอให้คิด คนไทยไปสู่ประชาธิปไตยจริงๆ ชุดที่ 1-5 18เรื่องต้นฉบับไทยสมบูรณ์



แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
----- ***** ----- โปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate นี่คือเวบไซต์คู่ www.newworldbelieve.com กับ www.newworldbelieve.net เราให้เป็นเวบไซต์ที่เสนอธรรมะหรือ ความจริง หรือ ความคิดเห็นในเรื่องราวของชีวิต ตั้งใจให้ธัมมะเป็นทาน ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แด่คนทั้งหลาย ทั้งโลก ให้ได้รู้ความจริงของศาสนาต่าง ๆในโลกวันนี้ และได้รู้ศาสนาที่ประเสริฐเพียงศาสนาเดียวสำหรับโลกยุคใหม่ จักรวาลใหม่ เรามีผู้รู้ ผู้ตรัสรู้ ผู้วินิจฉัยสรรพธรรมสรรพวิชชา สรรพศาสน์ และสรรพศาสตร์ พอชี้ทางสู่โลกใหม่ ให้ความสุข ความสบายใจความมีชีวิตที่หลุดพ้นไปสู่โลกใหม่ เราได้อุทิศเนื้อที่ทั้งหมดเป็นเนื้อที่สำหรับธรรมะทั้งหมด ไม่มีการโฆษณาสินค้า มาแต่ต้น นับถึงวันนี้ร่วม 14 ปีแล้ว มาวันนี้ เราได้สร้างได้ทำเวบไซต์คู่นี้จนได้กลายเป็นแดนโลกแห่งความสว่างไสว เบิกบานใจ ไร้พิษภัย เป็นแดนประตูวิเศษ เปิดเข้าไปแล้ว เจริญดวงตาปัญญาละเอียดอ่อน เห็นแต่สิ่งที่น่าสบายใจ ที่ผสานความคิดจิตใจคนทั้งหลายด้วยไมตรีจิตมิตรภาพล้วน ๆ ไปสู่ความเป็นมิตรกันและกันล้วน ๆ วันนี้เวบไซต์นี้ ได้กลายเป็นโลกท่องเที่ยวอีกโลกหนึ่ง ที่กว้างใหญ่ไพศาล เข้าไปแล้วได้พบแต่สิ่งที่สบายใจมีความสุข ให้ความคิดสติปัญญา และได้พบเรื่องราวหลายหลากมากมาย ที่อาจจะท่องเที่ยวไปได้ตลอดชีวิต หรือท่านอาจจะอยากอยู่ณโลกนี้ไปชั่วนิรันดร ไม่กลับออกไปอีกก็ได้ เพียงแต่ท่านเข้าใจว่านี่เป็นแดนต้นเรื่องเป็นด่านข้ามจากแดนโลกเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง และซึ่งเป็นโลกหรือบ้านของท่านทั้งหลายได้เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาต่างศาสนา ได้โปรดใช้การแปลของ กูเกิล หรือ Google Translate แปลเป็นภาษาของท่านก่อน ที่เขาเพิ่งประสบความสำเร็จการแปลให้ได้แทบทุกภาษาในโลกมนุษย์นี้แล้ว ตั้งแต่ต้นปีนี้เอง นั้นแหละเท่ากับท่านจะเป็นที่ไหนของโลกก็ตาม ทั้งหมดโลกประมาณ 7.6 พันล้านคนวันนี้ สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในโลกของเราได้เลย เราไม่ได้นำท่านไปเที่ยวแบบธรรมดาๆ แต่การนำไปสู่ความจริง ความรู้เรื่องชีวิตใหม่ การอุบัติใหม่สู่ภาวะอริยบุคคล ไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปพ้นจากทุกข์ ทั้งหลายไปสู่โลกแห่งความสุขแท้นิรันดร คือโลกนิพพานขององค์บรมศาสดาพุทธศาสนา พระบรมครูพุทธะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ท่านโปรดใช้บริการการแปลของ Google Translate ท่านก็จะเข้าสู่โลกนี้ได้ทันทีพร้อมกับคน7.6พันล้านคนทั้งโลกนี้. ----- ***** ----- • หมายเหตุ เอาขึ้นเวบไซต์ แทนของเดิม ทั้ง 2 เวบ .net .com วันที่ 21 เม.ย. 2565 เวลา 07.00 น. -----*****-----