54 วิสัยทัศน์มหาเธร์ โมฮำมัด บันทึกโลก
WORLD MEMORYบันทึกโลก
ช่อง 9 เสาร์ 18 ก.ย. 2547 13.05 น.
ธนากร โปษยานนท์ นำสารคดี วิสัยทัศน์มหาเธร์ โมฮำมัด Vision 2020 ที่พยายามค้นหาความดี ความสามารถของอดีตผู้นำมาเลเซีย และพบว่า มหาเธร์ โมฮำมัด เป็นผู้นำของประเทศ และทั้งยังเป็นผู้นำของศาสนาอิสลามคนหนึ่งด้วย เห็นได้จากบทบาทของเขาที่ได้พยายามแก้ตัวแทนข้อกล่าวหาโจมตีของสหรัฐอเมริกา อังกฤษและประเทศตะวันตก ที่ฉกรรจ์ ๆ เช่น ที่ว่ามุสลิมล้วนเป็นพวกหัวรุนแรง ที่เป็นต้นเหตุของความไม่สงบในโลก โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง
ซึ่งมหาเธร์ ได้แก้ว่า สหรัฐกล่าวหาโลกมุสลิมเกินไป เพราะไม่ใช่มุสลิมทั้งโลกเป็นพวกหัวรุนแรง ข้อกล่าวหาที่ว่าชาวมุสลิมเป็นผู้ก่อการร้าย ออกนามว่า ผู้ก่อการร้ายมุสลิม เขาแก้ต่างแทนว่า ทำไมจะต้องประณามมุสลิมทุกทีว่า เป็นผู้ก่อการร้ายมุสลิม ในเมื่อผู้ก่อการร้ายมีอยู่ทั่วโลก มหาเธร์ พยายามแก้ต่างแทนโลกมุสลิมแทบทุกประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น และป้องกันมุสลิมจากการถูกดูหมิ่นดูแคลนโดยตลอดมา และวาจาเขาค่อนข้างจะเผ็ดร้อนต่อกรณีอิรัค เขาว่า เรื่องอิรัค ไม่ควรมีประเทศใดประเทศหนึ่งทำตัวเป็นตำรวจโลก ซึ่งปรากฎว่าถูกใจประชาชาติมุสลิมอาหรับเป็นอย่างยิ่ง สารคดีเรื่องนี้ ดูเหมือนจะพยายามฉายภาพความเป็นนักสู้และความเป็นผู้นำของมหาเธร์ โมฮัมมัด ในแง่ความทันสมัย ทันโลก อาจสามารถนำประเทศชาติมุสลิมไปทันโลกยุคใหม่ได้ ถึงค.ศ.2020
แต่อย่างไรก็ตาม กรณี อัลวา อิบราฮิม กลับสะท้อนว่า มหาเธร์ยังคิดแคบอยู่ในเรื่องการเมือง เขายังคิดแบบมุสลิมอยู่ คือคิดแบบเผด็จการ ที่ถนัดในการบริหารแบบรวบอำนาจ เขายังมองไม่เห็นว่า ถ้าเกิดเป็นพรรคการเมือง 2 ฝ่ายขึ้นมาแล้ว ประเทศชาติมุสลิม จะเดินไปอย่างไรได้ เขาจึงพยายามยืนยันพรรคการเมืองเดียวอย่างเหนียวแน่น นั่นก็คือ การสะท้อนภูมิปัญญาส่วนลึกซึ้งของเขาว่ายังไม่ทันสมัย เพราะเขายังไม่เข้าใจประชาธิปไตยดีพอ นั่นเอง และนั่นคือแนวคิดสากลของประเทศรัฐอิสลามมุสลิมทั้งหลายขณะนี้ เช่นเดียวกับมุสลิมทั้งโลก ที่ยังไม่เข้าใจประชาธิปไตย ไม่ศรัทธาในเทกนิกหรือเครื่องมือของระบอบประชาธิปไตย ว่าจะสร้างความเจริญให้แก่ประเทศชาติและสังคมได้อย่างไร และในช่วงเวลาสมัยใหม่นี้ สิ่งที่มาเลเซีย น่าจะได้ระวังต่อไปก็คือภายใต้กรอบเผด็จการอย่างอิสลาม การเมืองสองขั้ว มีอัลวา อิบราฮิม เป็นอีกขั้วหนึ่ง ในเมื่อมาถึงยุคนี้แล้ว ทำอย่างไรมาเลเซียจะบริหารสร้างความก้าวหน้าโดยวิธีการของระบอบประชาธิปไตยไปได้ มิฉะนั้นแล้ว การเมืองสองขั้ว อาจนำไปสู่ความรุนแรง เพราะไม่เข้าใจเทกนิกของประชาธิปไตย และยังไม่อาจเอาความคิดมุสลิมหัว รุนแรงออกไปจากวิสัยทัศน์เสียได้ เพราะประชาธิปไตยที่แท้จริงจะป้องกันการเมืองสองขั้วในโลกมุสลิม ไม่ให้ทวีไปสู่ ความรุนแรงสุดโต่งได้
และการเมืองยุคใหม่ ประเทศใดก็ตามที่ไม่เข้าใจเงื่อนไขการบริหารประเทศ โดยต้องอยู่ในกรอบของประชาธิปไตยแล้ว ย่อมนำประเทศออกนอกลู่นอกทางและกลายเป็นผลเสียหายร้ายแรงได้ในภายหลัง เมื่อ นายอัลวา อิบราฮิม พ้นข้อกล่าวหาว่า ประพฤติลามกอนาจาร กับคนเพศเดียวกัน โดยศาลฎีกายกฟ้องเมื่อต้นเดือนกันยายน 2547 นี้ ว่าข้อกล่าวหาไม่หนักแน่น ขาดหลักฐานพอจะยืนยันให้ลงโทษได้ เขาได้รับการปล่อยตัว มีภรรยาและลูกสาว และประชาชนไปห้อมล้อม เขาได้กล่าวประโยคสำคัญว่า กระบวนการยุติธรรมขณะนั้นไม่มีความเป็นกลาง แต่น้อมไปตามการเมืองยุคมหาเธร์ โมฮำมัด เขาจึงถูกลงโทษโดยไม่ยุติธรรม รายงานข่าว แสดงภาพมวลชนที่สนับสนุน เขายังคับคั่ง
เพราะเมื่อ เขารีบเดินทางไปเยอรมัน เพื่อรักษาตัว คืออาการเจ็บปวดกระดูก สันหลัง มาถึงลำคอ ก้านคอ ที่ใส่เฝือกเอาไว้ เขาว่าถูกซ้อมในระหว่างมีเรื่องราวก่อนเข้าคุกจำขัง ได้รับบาดเจ็บมาตั้งแต่นั้น ที่สนามบินมีคนไปส่ง เขาเป็นจำนวนนับหมื่น ที่แสดงว่ายังมีประชาชนจำนวนมหึมาที่นิยมในตัวเขา ทำให้ภาพการเมืองในมาเลเซีย กำลังน่าดูว่าจะแบ่งเป็นสองขั้วที่อาจพัฒนาไปสู่ความรุนแรงต่อไป ซึ่งประเด็นนี้ มีความน่าสนใจน่ามองเป็นอย่างยิ่ง
เพราะมาเลเซีย ได้รับวัฒนธรรมอิสลาม และเป็นประเทศอิสลามอีกประเทศหนึ่ง แม้จะมีพื้นฐานเป็นพุทธมาแต่อดีตยาวนานและแม้ปัจจุบันก็มีชาวพุทธจีน ไทย มาเล ปนอยู่หลายเปอร์เซนต์ก็ตาม แต่วัฒนธรรมโดยรวมเป็นอิสลามอยู่ นั่นหมายความว่าโดยวัฒนธรรมอิสลามจะไม่คุ้นกับการแบ่งเป็นขั้ว การแบ่งเป็นขั้ว หากมีขึ้นเมื่อไรแล้ว โดยวัฒนธรรมอิสลาม มักนำแต่ละขั้วนั้นไปสู่นโยบายรุนแรงสุดโต่งเสมอ ดังจะเห็นสัจธรรมนี้เกิดขึ้น เมื่อสหรัฐอเมริกา และยุโรป พยายามให้เกิดการเมืองสองขั้วขึ้นในประเทศรัฐอิสลามตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นศูนย์เข้มของวัฒนธรรมอิสลาม โดยสหรัฐอเมริกามักอ้าง เหตุผลหลักเสมอว่า เพื่อประชาธิปไตยของประชาชนยุคใหม่ ซึ่งจุดอ่อนนี้ มหาเธร์ โมหัมมัด รู้และระมัดระวังเป็นอย่างดี แต่เขาก็ไม่มีทางออกอื่น
ฉะนั้น ขณะที่เขาอยู่ในอำนาจ เขาจึงปฏิบัติไปทางเดียวคือพยายามกำจัดบุคคลที่พยายามจะตั้งตนเป็นขั้วที่ 2 ลงอย่างเด็ดขาด ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่า ในขณะที่มหาเธร์ ยังกุมอำนาจอยู่นั้น อัลวาอิบราฮิม จึงเป็นเป้าหมายของการที่จะถูกกำจัดออกไป เพื่อให้มาเลเซีย มีเพียงขั้วเดียว ในขณะเดียวกันที่ประเทศไทยก็ดี ประเทศสหรัฐอเมริกาก็ดี พยายามที่จะให้ประเทศต่าง ๆ ในโลก มีระบบบาลานซ์ทางการเมืองเกิดขึ้น นั่นคือการมี การเมืองสองขั้วเป็นสิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชน ตามทฤษฎีแห่งวิถีทางประชาธิปไตย
แต่เหตุที่ ประชาธิปไตยได้กลับกลายเป็นจุดอ่อนของประเทศอิสลามทั้งหลายนั้น ก็เนื่องมาจาก อิสลาม ไม่มีวัฒนธรรมความประนีประนอม นั่นเอง เมื่ออิสลามแบ่งเป็นสองพวกเข้าเมื่อใด ความที่ขาดวัฒนธรรมประนีประนอมดังกล่าว ก็ยิ่งไปเร่งให้ แต่ละพวกเดินไปสู่จุดสุดโต่งของตนกลายเป็นศัตรูกันอย่างรุนแรงขึ้นทันที เพราะในขณะที่อิสลามขาดวัฒนธรรมการประนีประนอม และ ความสันติภาพ โดยเฉพาะการประนีประนอมโดยเหตุผลทางวิชาการ การยอมรับกันโดยวิชาการยุคใหม่ แล้ว ยังมี วัฒนธรรมทิฏฐิมานะจัดหรือที่ชาวพุทธเรียกว่า มีอัตตาจัด คือไม่ยอมอ่อนน้อมให้ใครทั้งสิ้น ถือพวกถือหมู่อย่างเฉียบ เข้มจัด รุนแรงในทางที่จะเอาชนะฝ่ายตรงข้าม ทั้งนี้ก็เพราะมาจากบทบัญญัติในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน หลายโองการที่เป็นบ่อเกิดวัฒนธรรมแห่งทิฏฐิมานะอันแรงร้ายสุดขั้วไปเช่นนั้น เช่นโองการที่ว่า
"ดังนั้นพวกเจ้าทั้งหลายอย่าหมิ่นแคลนสงคราม อย่าเรียกร้องไปสู่การอ่อนข้อ ด้วยการประนีประนอมกับพวกเนรคุณ ขณะที่การรบกับพวกเขากำลังดำเนินอยู่ทั้งที่พวกเจ้ามีภาษีเหนือกว่าพวกนั้น ดังนั้นจำต้องบุกตะลุยจนได้ชัยชนะในที่สุด" (พระมหาคัมภีร์ หน้า 2309)
ฉะนั้น ในยุคมหาเธร์เอง แม้จะได้ชื่อว่าเขาเป็นคนทันสมัย ได้ชื่อว่า วีรบุรุษเสือเหลือง แต่เขาก็ยังคงถูกครอบอยู่กับคำสอนอันดั้งเดิมของอิสลาม (เขายังอ่านพระคัมภีร์อัลกุรอานไม่ทะลุปรุโปร่ง) จึงมองไม่เห็นทางที่จะแก้ไขจุดอ่อนทางการเมืองแบบสองขั้วได้ มีทางเดียวก็คือพยายามขจัด ไม่ให้มีสองขั้วขึ้นมา อย่างที่เขาพยายามขจัดอัลวา อิบบราฮิม นั่นเอง ซึ่งบัดนี้ ภาพของเขาเลยไปถึงขนาดว่า ใส่ความคนอื่นอย่างน่ารังเกียจ คือกล่าวหาว่าอัลวา อิบราฮิมมีเพศสัมพันธ์กับคนลักเพศ หรือตามข้อกฎหมายว่า เขามีความผิดปกติทางเพศหรือมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ นั้น และบัดนี้ผลร้าย อันเกิดจากความไม่เป็นธรรมครั้งนั้น ก็เกิดขึ้น ในแง่ที่การเมือง เริ่มมีขั้วที่ 2 รุนแรงแข็งแกร่งขึ้น และหากขาดวัฒนธรรมการประนีประนอมทางวิชาการ ยอมรับการประนีประนอมทางวิชาการสมัยใหม่ แบบประชาธิปไตยแล้ว
ในขณะ เดียวกัน ก็ควรลบล้างค่านิยม ตามหลักการศาสนา ที่สอนให้ดูหมิ่นดูแคลน ฝ่ายตรงข้าม หรืออีกขั้วความเห็นหนึ่ง (พรรคการเมืองอีกฝ่ายหนึ่ง) ว่าเป็น กาฟีร์ คนป่าเถื่อน มุนาฟิก คนทรยศ ไปเสีย โดยมองตรงความเป็นจริงที่ว่า คน ย่อมแตกต่างกัน แต่คนไม่น่าจะแตกต่างจนเกินไป จนขาดความเป็นคน ถึงขั้นจะประนามเขาว่าเป็น กาฟิร์ คนป่าเถื่อน หรือยกตน หรือมองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดีเด่นเลิศลอยกว่าฝ่ายหนึ่งและอีกฝ่ายหนึ่งเลวทรามลงไปประดุจดังอยู่ในระบบทาสนั้น ยุคนี้ไม่มีอีกแล้ว จึงควรยอมรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน ประสานกันที่การวิเคราะห์ข้อมูล เอาที่ตรงความจริงเป็นรูปธรรม ที่เห็นร่วมกันได้ มาเป็นหลักในการ ประนีประนอม นั่นคือหลักวิชาการ ก็จะแก้ไขจุดอ่อนมาแต่ดั้งเดิมได้ หากไม่เช่นนั้น ก็จะกลายเป็นมุสลิมสองพวก เกิดขึ้นในมาเลเซีย และต่างจะมุ่งหมายเอาชนะอย่าง เด็ดขาด มีทิฏฐิว่าแต่ละฝ่ายต่างเป็น มุนาฟิก คนทรยศของกันและกัน ไม่มีคำว่า รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย เกิดขึ้นแล้ว ก็จะลงเอยด้วยความรุนแรง ตามวิถีทางวัฒนธรรมเดิมของมุสลิมนั่นเอง ภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะไทย และ สิงคโปร์ก็จะพลอย เดือดร้อนตามไปด้วย นี่เป็นการพยากรณ์ ที่น่ามองดูอย่างยิ่ง จึงต้องติดตามไปดูอย่างใกล้ชิดต่อไป.