เมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้ (20 มี.ค.) ที่ห้องประชุมสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ พุทธมณฑล จ.นครปฐม มีการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) โดยภายหลังการประชุม นายอำนาจ บัวศิริ ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า ในระหว่างการประชุม พระธรรมกิตติเมธี โฆษกมหาเถรสมาคม ได้นำร่างแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ (ฉบับที่
) พ.ศ
. ที่นายประกอบ จิรกิตติ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมคณะอีก 24 คน เตรียมที่จะเสนอเข้าสู่การประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยพระธรรมกิตติเมธี ชี้แจงในที่ประชุมว่า ในร่างแก้ไข พ.ร.บ.ดังกล่าว อาจจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนา จึงต้องการให้คณะกรรมการมหาเถรฯได้ร่วมกันพิจารณา และศึกษาข้อดี ข้อบกพร่องของร่างแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ โดยที่ประชุมมหาเถรฯ มีมติแต่งตั้งพระพรหมเวที พระธรรมกิตติเมธี และพระธรรมวรเมธี เป็นคณะกรรมการติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
ด้านพระธรรมกิตติเมธี กล่าวว่า มีคนนำร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวมาให้ และยอมรับว่ามหาเถรฯ ยังไม่รู้เรื่อง ส.ส.ที่เสนอร่างพ.ร.บ.นี้ก็ทำโดยที่ไม่นำมาหารือที่ประชุมมหาเถรฯ ทั้งที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคณะสงฆ์ ซึ่ง ในร่างแก้ไขพ.ร.บ.คณะสงฆ์ฉบับนี้ มีรายละเอียดการแก้ไขแค่มาตราเดียว แต่จะกระทบต่อคณะสงฆ์อย่างมาก โดยจะมีการแก้ไขในมาตรา 29 แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และให้ระบุว่า พระภิกษุรูปใดถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราว และเจ้าอาวาสแห่งวัดที่พระภิกษุรูปนั้นสังกัดไม่รับมอบตัวไว้ควบคุม หรือ เมื่อพนักงานสอบสวนโดยความเห็นชอบของนายอำเภอในพื้นที่เกิดเหตุ หรือ ผู้อำนวยการเขตสำหรับพื้นที่ในเขต กทม. ไม่เห็นสมควรให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุม หรือพระภิกษุรูปนั้น มิได้สังกัดในวัดใดวัดหนึ่ง ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสีย ซึ่งที่ประชุมมหาเถรฯไม่เห็นด้วย และอยากให้ทบทวน พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่าทำไมแก้แค่มาตราเดียว เพราะถ้าหากจะแก้ไขก็ควรแก้ไขทั้งฉบับ และควรนำเสนอที่ประชุมมหาเถรฯ ก่อน เพราะยอมรับว่ามีบางมาตราที่คณะสงฆ์ไม่เห็นด้วย ซึ่งในเร็วๆนี้ พระพรหมเวที จะนัดประชุมเพื่อหารือแนวทางในการดำเนินการต่อไป
โฆษกมหาเถรสมาคม กล่าวต่อว่า มาตรา 29 ของ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เดิมก็ให้อำนาจเจ้าพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการสามารถดำเนินการให้พระภิกษุที่ต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาสละสมณเพศได้อยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นสิ่งที่คณะสงฆ์ไม่เห็นด้วย แต่กลับมาแก้ไข และเพิ่มอำนาจให้กับนายอำเภอเข้าไปอีก เท่ากับว่านายอำเภอสามารถสึกพระได้ และหากมีบางพื้นที่นายอำเภอไม่ชอบพระ ก็จะสามารถมีอำนาจสึกพระได้ทันที ทั้งที่การที่ต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาตามมาตรา 39 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ระบุว่า ในคดีอาญาต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด แต่หากให้สละสมณเพศตั้งแต่คดียังไม่ถึงที่สุด สังคมก็จะมองว่าพระมีความผิด เพราะการสึกพระเหมือนเป็นการประหารชีวิตพระ ทั้งที่สุดท้ายแล้วพระรูปนั้นอาจจะไม่มีความผิดก็ได้ พระธรรมกิตติเมธี กล่าวด้วยว่า สำหรับแนวทางในการดำเนินการแก้ไขนั้น สมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้ย้ำในที่ประชุมว่า ให้ดำเนินการตามหลักกฎหมายแผ่นดิน พระวินัย และจารีต พร้อมทั้งยังกล่าวถึง พ.ร.บ.ลักษณะการปกครองสงฆ์ ร.ศ.121 ที่มีข้อความ 45 มาตรา กำหนดอำนาจหน้าที่การปกครอง การแต่งตั้งบุคคลดำรงตำแหน่ง การถอดถอน การบำรุงรักษา การอบรมสั่งสอนกุลบุตร ตลอดจนการเผยแผ่พระศาสนา ที่สำคัญคือเป็นการกำหนดให้คณะสงฆ์ปกครองกันเอง โดยมีตำแหน่งหน้าที่ลดหลั่นกันจากสูงไปต่ำ ครอบคลุมทั่วสังฆมณฑล พ้นจากการปกครองของฆราวาสกรมสังฆการี |