เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (19 มี.ค.) ที่รัฐสภา ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นัดพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยมีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ท่ามกลางคณะรัฐมนตรีที่มานั่งรับฟังการประชุมกันอย่างคึกคัก ซึ่งการประชุมเริ่มขึ้น เมื่อนายชัย ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่าได้อนุญาตให้มีการถ่ายทอดสดการประชุมทั้งทางวิทยุกระสายเสียงและทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีตลอดการประชุม
จากนั้นร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ในฐานะประธาน ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ได้เริ่มอภิปรายเป็นคนแรกโดยได้แสดงชาร์ตที่มาที่ไปของเส้นทางเงินที่ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานกรรมการบริษัท ทีพีไอโพลีนจำกัด (มหาชน) นำเงินจากตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 263 ล้านบาท จ่ายเงินให้กับกลุ่มคนในพรรคประชาธิปัตย์ ผ่านบริษัทเมซไซอะ ซึ่งเป็นบริษัทรับทำธุรกิจโฆษณาที่ไม่มีโรงพิมพ์ โรงงาน ตั้งอยู่บ้านเลขที่108/12 หมู่11 กิโลเมตร 7 อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ด้วยทุนจดทะเบียนเพียง 1 ล้านบาทเศษ รวมทั้งนำสำเนาเช็คการจ่ายเงินให้กับบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และบุคคลในพรรคประชาธิปัตย์มาแสดงอย่างละเอียด
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า การอภิปรายครั้งนี้ตนติดลบมาตั้งแต่ต้น แต่ถ้าสิ่งที่พูดเป็นความเท็จขอให้ตนฉิบหาย ในทางตรงข้ามถ้าข้อมูลที่ตนพูดเป็นความจริงขอให้คนที่กระทำการเท็จฉิบหายด้วยเช่นกัน โดยขอกล่าวหานายกรัฐมนตรีว่า 1.นายกรัฐมนตรี ได้แจ้งบัญชีงบดุลประจำปี ณ วันที่ 31 ธ.ค.2547 และ 31 ธ.ค. 2548 อันเป็นเท็จ มีการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระถึงสองครั้ง โดยในปี 2547 บริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ได้จ่ายเงินสนับสนุนให้กับพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานกรรมการฯเซ็นชื่อลงนามจ่ายเช็คเพียงคนเดียวโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากกรรมการบริษัทฯ ถือเป็นการนำเงินของประชาชนผู้ถือหุ้นมาจ่ายให้กับพรรคและกลุ่มคนของพรรคประชาธิปัตย์ มิใช่เอาเงินของ บริษัท ทีพีไอโพลีนมาจ่าย จากหลักฐานที่พบว่ามีการจ่ายเช็คจำนวน 27 ฉบับ ผ่านเข้าธนาคารต่างๆ รวม 75 ครั้ง ภายในเวลา 84 วันโอนเข้าบัญชีบริษัทเมซไซอะ จากนั้นก็แยกย่อยกระจายเช็คไปยังบุคคลต่างๆ 4 กลุ่มด้วยกัน คือ 1.เข้าบัญชีนายประจวบ สังข์ขาว กรรมการบริษัทเมซไซอะ ซึ่งเป็นบริษัทรับใช้คนของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเคยมีกรรมการบริษัทชื่อน.ส.สุพัชรี ธรรมเพชร ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ และนายไทกร พลสุวรรณ ได้รวม 21,269,300บาท 2.เข้าบัญชีกลุ่มคนใกล้ชิดนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้นจำนวนรวม 33,728,000บาท 3. เข้าบัญชีกลุ่มของนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น13,600,000 บาท และ 4.เข้าบัญชีนายประพร เอกอุรุ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้รวม 43,409,740บาท ส่วนเส้นทางของเงินที่เหลือตนไม่สามารถหาหลักฐานได้ เนื่องจากมีคนในรัฐบาลไปสั่งให้เจ้าหน้าที่ระงับการให้เอกสารเหล่านั้น
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า การโอนเงินดังกล่าวจากนายประชัย เป็นช่วงเวลาเดียวกับช่วงใกล้เลือกตั้งพอดี ที่สำคัญเมื่อคืนวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา มีฝ่ายรัฐบาลไปบังคับข้าราชการ เพื่อไปขอคำให้การในคดีดังกล่าว จึงอยากถามว่าหากแน่จริงจะกลัวอะไร ไหนว่าไม่เคยโกงแล้วเมื่อคืนไปบีบเอาเอกสารจากข้าราชการทำไม ถือว่าเป็นการทำนิติกรรมอำพรางผ่านบริษัทเมซไซอะ เพื่อส่งเงินต่อไปยังบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ทั้งที่บางคนมีอาชีพทำแพปลา บางคนมีอาชีพเป็นแม่บ้านของบริษัท โดยทุกอย่างเกี่ยวโยงกับ นายธงชัย ดลศรีชัย ซึ่งเป็นน้องชาย ลูกพี่ลูกน้องของนายประดิษฐ์ ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.พิจิตร ซึ่งเป็นคนที่เกี่ยวโยงกับนายประจวบ โดยตรง และเป็นคนที่นำนายประจวบให้เข้ามารู้จักกับพรรคประชาธิปัตย์ และเกิดการไซฟ่อนขึ้น จึงขอกล่าวหาว่านายกฯได้ทำความผิดฐานฉ้อราษฎร์เอาเงินประชาชนจากตลาดหลักทรัพย์ และบังหลวงไม่แสดงบัญชีรายรับของพรรคประชาธิปัตย์อย่างตรงไปตรงมา ปกปิดรายรับกรณีได้รับเงินจากบริษัททีพีไอโพลีน กระทำผิดกฎหมายอาญามาตรา 137 ฐานแจ้งความเท็จ และอยากให้ประชาชนที่ซื้อเสียประโยชน์จากเรื่องนี้ในปี2547-2549 ฟ้องบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ใช้โอกาสทางธุรกิจ ทำการทุจริตแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเอง ขณะที่บริษัทเมซไซอะ โดยนายประจวบ สังข์ขาว มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน คอยช่วยเหลือและทำใบกำกับภาษีปลอมให้กับพรรคประชาธิปัตย์จนบริษัทของตัวเองถูกฟ้องล้มละลายเพราะติดหนี้กรมสรรพากรถึง 14 ล้านบาท
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังพบว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้กระทำการไซฟ่อนเงินที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกกต.จำนวน 29 ล้านบาท โดยก้อนแรกให้นายธงชัย ดลศรีชัย น้องชายนายประดิษฐ์ได้ว่าจ้าง น.ส.วาศินี ทองเจือไปทำป้ายโฆษณาให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่ง น.ส.วาศินี ก็ได้ว่าจ้าง บริษัทเกิดเมฆแอทเวอร์ไทซิ่ง และบริษัทแมกเน็ตไซ อีกต่อหนึ่ง ขณะนี้มีความพยายามตัดตอนว่านายธงชัยไม่เกี่ยวข้องกับพรรค แต่หากไปดูหลักฐานการยื่นภาษีภงด.53 ของพรรคประชาธิปัตย์ต่อกรมสรรพากร จะพบว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ส่งบิลโดยผ่านนายธงชัยไปยัง น.ส.วาศินี ก่อนโอนต่อไปให้บริษัทเกิดเมฆจำนวน 2 ล้านบาทเศษ และให้บริษัทเมกเน็ตไซ 8 หมื่นกว่าบาท
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า นอกจากนั้นพรรคประชาธิปัตย์ ยังนำเงินที่ได้รับจาก กกต. ไปว่าจ้างบริษัทเมซไซอะจำนวน 23,314,200 บาท โดยอ้างว่าเป็นค่าจ้างจัดทำป้ายโฆษณา แต่ไม่มีการทำธุรกรรมอย่างแท้จริง กระทำการเพียงแค่สร้างเรื่องเพื่อต้องการเอาเงินของ กกต.มาใช้ เห็นชัดเจน เนื่องจากภายหลังที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเงินจาก กกต.มา ก็ได้โอนให้กับนายประจวบ ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทเมซไซอะ เมื่อวันที่10 มกราคม 2548 และเพียงแค่วันเดียวคือวันที่ 11 ม.ค.2548 บริษัทแห่งนี้ก็โอนเงินกระจายแยกย่อยไปให้กลุ่มบุคคลต่างที่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์และคนของบริษัททันที 11 คน ซึ่งเหตุที่ตนกล่าวหาว่านายอภิสิทธิ์กระทำผิดในเรื่องนี้ด้วย เพราะนายอภิสิทธ์ ได้เซ็นรับรองงบดุลประจำปีของพรรคประชาธิปัตย์ ณ วันที่ 31 ธ.ค.2548 ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นพฤติกรรมทุกอย่างนายอภิสิทธิ์ล้วนต้องรับรู้รับทราบ จึงขอกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้บริหารพรรคบางส่วน ได้กระทำผิดฐานรับเงินสนับสนุนพรรคการเมืองโดยไม่เปิดเผย และไม่จ่ายเงินที่ได้รับจาก กกต.ให้เป็นไปตามที่กฏหมายกำหนด แต่นำเงินส่วนหนึ่งมาฟอกในบริษัทเมซไซอะเพื่อนำไปใช้ ซึ่งความผิดฐานที่ไม่แจ้งรายรับต่อ กกต.มีโทษถึงขั้นยุบพรรค ตนจึงอยากพิสูจน์คำว่านิติธรรม นิติรัฐที่นายกรัฐมนตรีพร่ำบอกอยู่เสมอนั้นว่าจะเป็นจริงหรือไม่ หรือพอเหตุเกิดกับคนกลุ่มหนึ่งต้องผิดทุกเรื่อง แต่พอเกิดกับอีกกลุ่มหนึ่งไม่มีความผิด จึงอยากรู้ว่าบ้านเมืองนี้มีความยุติธรรมอยู่จริงหรือไม่ |