1. การพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมชาย วงษ์สวัสดิ์ เป็นไปตามวิถีประชาธิปไตย
การยุบพรรคการเมือง 3 พรรค ก็เป็นไปตามวิถีประชาธิปไตย
เพราะเป็นไปตามกติกาที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งประชาชนในระบอบประชาธิปไตย และสถาบันในระบอบประชาธิปไตย ย่อมยอมรับ ตราบที่มีกติกานี้ใช้อยู่ แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือ คนบางกลุ่มไม่คิดว่า นี่เป็นวิถีทางประชาธิปไตยซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา คิดว่าเป็นเพราะแรงบีบบังคับของพวกเขา จึงเป็นผลให้มีการยุบพรรคการเมืองขึ้น และคนกลุ่มนั้นได้พากันประกาศชัยชนะอย่างเอิกเกริกอึงอลด้วยความเข้าใจผิด เพราะแท้ที่จริงประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ไม่มีฝ่ายใดแพ้ ฝ่ายใดชนะ นี่จึงเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ในประเด็นที่ว่าประชาชนเรายังไม่เข้าใจประชาธิปไตยดีพอ แล้วตำหนิว่าระบอบประชาธิปไตยใช้ไม่ได้ จะต้องสร้างการเมืองใหม่ขึ้นมา
ในเวลาต่อไปนี้ ก็เป็นเวลาที่จะได้มีการสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ สิ่งที่จะต้องถามหาก็คือ การจัดตั้งรัฐบาลใหม่นั้น ได้มีการกำหนดกติกาไว้ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 อย่างไร ถ้ามีคนไม่เข้าใจว่าเป็นประชาธิปไตยอย่างไรมีอยู่ในสังคมเป็นอันมาก และทั้งเข้าใจผิดเป็นอย่างอื่นแล้ว ก็อาจเป็นเหตุให้เกิดความยุ่งยากขึ้นได้ เพราะคนที่ไม่เข้าใจเหล่านั้น กลับจะไปส่งเสริมวิถีทางที่ผิด ๆ ที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางของประชาธิปไตย ก็จะเป็นเหตุให้สับสนขึ้นในสังคมไทยไม่รู้จบ
จึงเป็นสิ่งที่ไทยทั้งหมดจะต้องมาร่วมกันพิจารณา ยกพื้นฐานความเข้าใจประชาธิปไตยของประชาชนโดยรวมให้สูงขึ้น
แม้กระทั่งบรรดาชนผู้มีการศึกษาดี หรือแม้นักการเมืองเอง ก็ควรที่จะมาทบทวนว่า ประชาธิปไตยที่ถูก ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร ในเร็ว ๆ นี้ เราก็ได้เห็นตัวอย่าง อย่างดี บริบูรณ์จากวิถีทางประชาธิปไตยในอเมริกา คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เมื่อ 5 พ.ย.2551 ได้เห็นการต่อสู้ทางการเมืองในพรรคเดียวกัน (ดูนางฮิลลารี คลินตัน ต่อสู้กับนาย บารัค โอบามา) และการต่อสู้ต่างพรรค(ดูนายจอห์น แมคเคน ต่อสู้กับนายบารัค โอบามา) ว่าเป็นแบบอย่างอย่างไรบ้าง ประชาชนในประเทศนั้น พวกเขามีจิตใจสูงขนาดไหน และยอมรับในกติกาการต่อสู้ทางการเมืองขนาดใด (รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย อย่างไร)
คนไทยเข้าใจเพียงใด เมื่อ นายบารัค โอบามา ได้กล่าวปราศรัยในสวนสาธารณะของนครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ เมื่อ 5 พ.ย. 2551 ว่า จะใช้วิธีของประชาธิปไตยและความมีเสรีเป็นเครื่องมือของชัยชนะ
เราจะใช้ประชาธิปไตยสร้างชาติเราได้อย่างไร ถ้าเรายังไม่เข้าใจความสำคัญของระบอบประชาธิปไตยเลย และอย่างน้อยก็ควรจะมีจิตใจสูงใกล้เคียงชนอเมริกันทั้งหลายบ้าง
2. ประชาธิปไตยเป็นระบอบของความเป็นธรรม
ท่านลองคิดดู ประสบการณ์ที่สอนเรา ดังปรากฏว่ามีคนกลุ่มหนึ่ง ที่อ้างตัวเป็นประชาธิปไตย เพราะอ้างว่าเป็น กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่กลับก่อเหตุร้ายแรงขึ้นต่อประเทศชาติด้วยความเข้าใจผิดในหลักการว่าด้วยความเป็นธรรมของประชาธิปไตย นั่นคือเข้าใจว่าเมื่อมีประชาธิปไตยคนก็มีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้ จึงได้อ้างสิทธิไปก่อเหตุการณ์อันร้ายแรงขึ้นดังต่อไปนี้
1. พาพวกปิดกั้นถนนหนทาง แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จไปประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ ก็ต้องเสด็จเลี่ยงไปทั้ง 6 วันแห่งพระราชพิธีสำคัญนั้น
2. ยกพวกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ไล่คณะรัฐมนตรีออกไปจากทำเนียบและยึดทำเนียบไว้เป็นเวลากว่า 5 เดือน
3. ยกพวกไปปิดล้อมรัฐสภา 2 ครั้ง ครั้งสุดท้ายทำให้คณะรัฐมนตรี และสมาชิกรัฐสภาออกไม่ได้ ต้องปีนบันไดฉุกเฉินออกทางหลังรัฐสภา
4. ยกพวกปิดล้อมและยึดสถานีโทรทัศน์ NBT ไล่เจ้าหน้าที่ออกไปเพื่อทำการใช้งานเอง
5. ยกพวกเข้ายึดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง อันเป็นสนามบินนานาชาติ อันเป้ฯเหตุให้คนต่างชาติหลายหมื่นคนเดือดร้อน และประเทศไทยเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
6. กล่าวหาคนอื่น ด้วยวาจาหยาบคาย ใช้แต่คำดุด่า บริภาษคนทั้งหลายอย่างเต็มที่
คนเหล่านี้ไม่เข้าใจว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่คำนึงถึงความเป็นธรรมในสังคม และมองคนในระบอบล้วนมีคุณค่า และทุกคนมีความสำคัญ ทุกคนมีค่าเท่าเทียมกัน ในเรื่องสิทธิ ทุกคนในระบอบประชาธิปไตยต่างก็มีสิทธิเท่าเทียมกัน และเมื่อคำนึงความเป็นธรรมแล้วคนในระบอบประชาธิปไตยจึงต้องรู้จักการเอาใจเขาไปใส่ใจเรา มีความเห็นอกเห็นใจกันอย่างลึกซึ้ง รู้ในทุกข์และสุขของตนเองพอ ๆ กับของคนอื่น ๆ สิทธินั้นเปรียบเสมือนทรัพย์ หากบุคคลละเมิดสิทธิคนอื่นก็เสมือนละเมิดทรัพย์สินของคนอื่นนั่นเอง ระบอบประชาธิปไตยจึงกำหนดว่า หากคนหนึ่งคนใดไปละเมิดสิทธิของคนอื่นเข้า ย่อมเป็นการไม่ชอบธรรม เพราะการทำเช่นนั้นก็เสมือนการลักขโมยข้าวของของคนอื่น ย่อมเป็นการผิดศีลธรรมตามหลักการศาสนาด้วย แต่ กรณีการกระทำทั้ง 6 ประการดังกล่าว เช่นการบุกเข้ายึดครองสนามบินสุวรรณภูมิ ย่อมเห็นได้โดยชัดเจนว่าเป็นสิทธิอันชอบธรรมหรือไม่ เป็นการละเมิดสิทธิผู้อื่นอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปิดเส้นทางพระราชดำเนิน หมายถึงการละเมิดสิทธิของพระมหากษัตริย์ก็เสมือนละเมิดทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์
ฉะนั้น เพื่อความเป็นธรรมเมื่อประชาธิปไตยให้สิทธิแล้ว คนก็ต้องระวังว่าคนอื่นก็มีสิทธิเหมือนกัน ซึ่งบุคคลจะใช้สิทธิของตนให้ละเมิดสิทธิของบุคคลอื่นไม่ได้ ประชาธิปไตยจึงกำหนดว่า สิทธิของเราเท่ากับสิทธิของผู้อื่น เรามีสิทธิที่จะกระทำอะไรได้เท่าที่ไม่ไปล่วงล้ำหรือละเมิดสิทธิของบุคคลอื่นเท่านั้น หากปล่อยให้มีการละเมิดสิทธิได้อย่างเช่นที่พวกม็อบฯกลุ่มดังกล่าวกระทำไป แผ่นดินก็ไม่เป็นธรรม เพราะสิทธิคือของหวงของคนทั้งหลาย สิทธิคือทรัพย์ของคนทั้งหลาย เมื่อบุคคลอยู่ในระบอบประชาธิปไตย ก็ต้องเข้าใจ และมีจิตใจสูงพอที่จะยอมรับทั้งสิทธิของเราเองและสิทธิของผู้อื่น จึงจะเกิดแผ่นดินที่เป็นธรรมขึ้น และระบอบประชาธิปไตยมีคุณค่าก็เพราะเป็นระบอบของความชอบธรรม ที่รักษาบ้านเมืองให้สงบให้ตั้งอยู่ด้วยความเป็นธรรมขึ้นมาได้นั่นเอง
3. ประชาธิปไตยเป็นระบอบของความเป็นธรรม 2
ว่าด้วยนักการเมือง.
เพราะประชาธิปไตย บนพื้นฐานของพลเมือง ที่มีความมีคุณค่าของคนเท่ากันทุกคน ๆ มีความเป็นมนุษย์เท่ากันทุกคน ไม่มีทาสในระบอบนี้ ไม่มีสีผิวในระบอบนี้ ไม่มีศาสนาในระบอบนี้ นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ย่อมมีคุณค่าเท่าที่เขารับผิดชอบในฐานะที่เขาเป็นตัวแทนของประชาชน นักการเมืองทำหน้าที่เป็นผู้รับรู้ความต้องการของประชาชนแล้วใช้นโยบายที่ตนเสนอประชาชนไปแก้ไขให้ลุล่วงไปให้จนได้ นักการเมืองจะต้องมีอุดมการณ์ คือความซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่ตนแถลงต่อหน้าประชาชน นักการเมืองจึงต้องมีความรับผิดชอบต่อนโยบาย คือข้อสัญญาที่ให้ไว้แด่ประชาชนว่าตนจะแก้ไขปัญหาของประชาชนอย่างไร กรณีเช่นนี้ สำหรับประเทศที่มีศาสนา จะบอกไปถึงธรรมชั้นสูงของนักการเมืองตามหลักการของศาสนาในประเทศนั้น นักการเมืองจึงย่อมมีวาจาสัตย์ มีความละอายในการกระทำสิ่งที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเองและประชาชนอย่างสูง ต้องมีอุดมการณ์ที่แน่นอน จึงจะเกิดความเป็นธรรมและความมั่นคงทางการเมืองขึ้นมาได้เพราะได้สร้างความเลื่อมใสแด่ประชาชน แต่ในประเทศที่ยังไม่มีลักษณะคุณธรรมทางการเมืองที่สูงพอเทียบเท่าอเมริกา อังกฤษ หรือฝรั่งเศส นักการเมืองจะไม่เข้าใจหลักการประชาธิปไตยดีพอ หรือไม่เข้าใจเลย กล่าวคือไม่เข้าใจว่านักการเมือง จะต้องมีเหตุมีผล มีคุณธรรม และจะต้องเป็นผู้ปฏิบัติธรรม มิต่างจากนักบวชเลย เป็นต้นว่า นักการเมืองจะต้องถือความสัตย์ จะต้องรักษาคำพูดหรือความปฏิญญาณที่ให้ไว้แด่ประชาชน และความละอายใจ
สถานการณ์นักการเมืองไทยเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็ได้มีลักษณะที่ไม่สอดคล้องต่อคุณสมบัตินักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ได้เป็นมานานแล้วโดยไม่มีการทำความเข้าใจคุณธรรมของนักการเมืองเช่นนี้ พวกเขาไร้คุณธรรม จึงเป็นเหตุให้วงการเมืองไทยตกต่ำ ไม่มีความน่าเชื่อถือ พวกเขาทำลายตนเองลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงวันนี้ ก็ยังไม่ได้คำนึงคุณธรรมว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นของระบอบประชาธิปไตย ความเป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่มีคุณค่าอย่างไร มีความสนใจแต่เพียงว่าพวกเขาจะได้ประโยชน์อย่างไร คำพูดของนักการเมืองจึงมีอยู่เพียงประโยคเดียวคือ ทิศทางลม และเขาก็สอนทายาทของเขาไปเช่นนั้น คือ ทิศทางลม ซึ่งแท้ที่จริงเป็นทฤษฎีของคนกลับกลอก ไม่มีค่าคุณสมบัติพอจะเป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ได้
การพัฒนาการทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยจึงต้องเป็นเรื่องคุณธรรม จงดูคุณธรรมคือความมีจิตใจสูงของคนอเมริกัน คนอังกฤษเป็นตัวอย่างเถิด นักการเมืองต้องสำนึกว่าคุณธรรมเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับระบอบประชาธิปไตย ประชาธิปไตยจะขาดคุณธรรมไม่ได้ และผลของคุณธรรม คือความมีจิตใจที่สูง เลิศประเสริฐ ที่นักการเมืองจะต้องประพฤติปฏิบัติให้ได้ นี่เป็นหลักการแห่งความเป็นธรรม ที่ทำให้สังคมประชาธิปไตย มีความก้าวหน้า และได้พบความสงบสุขกันทุกฝ่าย ไม่ว่านักการเมืองเองและประชาชน
4. สนับสนุนรัฐบาลแห่งชาติ
เรียน บก.นสพ.ดี(อินเทอเนท)
อยากขอร้องทุก ๆ ฝ่าย ทั้งฝ่ายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และฝ่ายรัฐบาลเก่า รวมทั้งทหาร ตำรวจ หัวหน้าพรรคการเมือง อยากจะขอร้องให้พิจารณา เมื่อเดิมรัฐบาลเก่าว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ ก็แก้ไม่ได้เพราะมีฝ่ายเสื้อเหลืองออกมาเดินขบวนตั้งป้อมคัดค้าน เมื่อนายอภิสิทธิ จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับนายเนวิน ชิดชอบ ก็จะมีเสื้อแดง ออกมาตั้งป้อมคัดค้านอีก อยากเรียนว่า เอานายกแห่งชาติ รวมทุกพรรค ทุกฝ่าย ทั้งทหารตำรวจก็มารวมกันเป็นรัฐบาลเดียวกันจะไม่ดีกว่าหรือ ทุกวันนี้ประเทศเดือดร้อนมาก ประชาชนลำบากไปอย่างสุด ๆ ในสายตาต่างประเทศ เขามองเราตกต่ำไม่น่าเชื่อถือ ไม่อยากให้ห่วงแต่เก้าอี่ อย่าอยากนั่งเลย เก้าอี้ตัวนี้ใครนั่งก็ร้อน อยู่ได้ไม่นานหรอก มั่นใจได้เลย อยากขอร้องให้รีบช่วยกันพัฒนาบ้านเมือง บ้านเมืองและประชาชนกำลังแย่มาก ๆ เราควรเรียกเศรษฐกิจกลับมาโดยเร็ว ให้ต่างประเทศเชื่อว่าเราทำได้ การที่เราทะเลาะเบาะแว้ง แย่งเก้าอี้กัน แล้วเป็นเหตุให้ปั่นป่วนไปทั่วประเทศ ไม่สงสารพ่อหลวงบ้างหรือ ท่านไม่สบาย เราจะให้พ่อเราถือไม้เรียวเฆี่ยนสั่งสอนเราไปตลอดปีตลอดชาติเหรอ แม้ขณะนี้ท่านก็ไม่มีแรงแขนจะถือไม้เรียวอีกแล้ว และเราก็ตัวโต ๆ กันแล้ว ล้วนเรียนจบ ดร. การศึกษาสูง ๆ ก็ยังต้องให้พ่อเฆี่ยนตีสั่งสอนอยู๋อีก ตีคนโต ๆ ไม่ใช่ตีเด็ก ๆ จะไม่คิดดูหรือ ในเมื่อท่านจบ ดร.มาก็คงคิดได้ดีกว่าเด็ก ๆ ป.3 ป.4 จึงขอร้องมายังคุณอภิสิทธิ์ และทุก ๆ คน ให้มาจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันจะดีกว่า เสียเวลาเพราะอย่างไร ๆ ถ้านายอภิสิทธิเป้นนายกรัฐมนตรี ก็คงไปไม่รอดถึง 2 เดือนแน่ จะเสียเวลาเปล่า ๆ สงสารเศรษฐกิจประเทศไทยจะทรุดลงไปกว่าเก่า และประชาชนผู้หาเช้ากินค่ำจะลำบากไปอีก ถ้าตั้งรัฐบาลแห่งชาติแล้ว ก็จะได้มีคนเก่ง ๆ หลาย ๆ คนมาร่วมกันทำงาน เพราะเก่งคนเดียวไปไม่รอด ในเมื่อพวกเสื้อเหลืองออกมา ท่านก็กลัวเขาจะแก้รัฐธรรมนูญ ถ้าคุณอภิสิทธิ์ กับคุณเนวิน จะแก้รัฐธรรมนูญ อะไรจะเกิดขึ้น
- จาก สาวน้อยชนบท
10 ธ.ค.2551
5. ประเทศไทยน่าสงสารและไร้เกียรติลงไปในสายตาต่างประเทศหากแต่คนในประเทศไทยไม่รู้สึก
จะไปรู้สึกเอาเมื่อถูกนานาชาติรังแกเอารัดเอาเปรียบ เขามองว่าชาติที่ขี้ขลาดงมงาย และไร้ สติปัญญา
ภาพที่เห็นมานานจนถึงทุกวันนี้ บ่งบอกถึงความด้อยพัฒนาการในระบอบประชาธิปไตย อย่างค่อนข้างสิ้นเชิง หมายความว่าสังคมไทยทั้งหมดยังเป็นสังคมที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ในระบอบประชาธิปไตย เลย ไม่เข้าใจหลักการของประชาธิปไตยที่แท้จริง นั่นหมายถึงไม่เข้าใจวิถีทาง ที่พัฒนาไปของระบอบประชาธิปไตยอย่างไร อะไรเป็นประเด็นหลักของการพัฒนาของระบอบนี้ ในประเทศของเราที่เริ่มขึ้นด้วยความอ่อนแอ และความเขลา แม้ว่าในระยะหลัง ๆ นี้ ได้มีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และระดับปริญญา ถึงปริญญาเอกมากจนดูเกลื่อนกล่นไปในสังคมไทยแล้ว แต่มหาวิทยาลัยและระดับการศึกษาชั้นสูงกลับไม่ได้มีบทบาทที่ถูกต้อง ในการที่จะพัฒนาวิถีทางประชาธิปไตยของประเทศให้ก้าวหน้าไปอย่างไรเลย ประชาธิปไตยไทยมีแต่การสั่งสมแนวคิดที่ผิด ๆ และหลงทางประชาธิปไตยมาโดยตลอด และครั้นเกิดปัญหาทางการเมืองขึ้นในระยะนี้ ก็เป็นการเกิดขึ้นด้วยความเข้าใจผิด หรือหลงทางประชาธิปไตย ทำไทยกลายเป็นประเทศที่ชุลมุน สับสน ไม่รู้ทางเหมือนเดินไปในสายประชาธิปไตยมืดเลยทีเดียว นั่นก็คือ ไม่ได้มีการคิดนำวิธีการประชาธิปไตย และความมีเสรี(อย่างที่นายบารัค โอบามา แห่งสหรัฐอเมริกากล่าวต่อประชาชนอเมริกา) มาใช้เป็นเครื่องมือของชัยชนะของประเทศแล้ว แต่หลงทางประชาธิปไตยไปอย่างสุด ๆ
เริ่มแต่ภาพที่เห็นคนกลุ่มหนึ่งเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล เข้ายึดรัฐสภา เข้ายึดสถานีโทรทัศน์ เข้ายึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ และบังอาจแม้กระทั่งปิดกั้นเส้นทางพระราชดำเนินขององค์พระมหากษัตริย์ องค์ปัจจุบัน ซึ่งทรงเป็นมหาราชของชาติเป็นที่รักของประชาชนไทยทั้งประเทศ ซึ่งเป็นพฤติกรรมโจรแท้ ๆ แต่เมื่อเขาอ้างว่าเขาเป็น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการแอบอ้างหรือเอาประชาธิปไตยบังหน้าทำการก่อการร้ายดังกล่าว แต่ไม่ปรากฏว่ามีคนไทย เข้าใจว่านั่นมิใช่วิถีทางประชาธิปไตยเลย เป็นแต่เพียงการแอบอ้าง เอาสถาบันบังหน้าทำการก่อการร้าย นั่นคือการหลอกลวงประชาชนโดยซึ่งหน้า โดยเฉพาะนักวิชาการในมหาวิทยาลัย และสื่อมวลชนไทย ก็เรียกชื่อโจรกลุ่มนี้ว่าเป้นกลุ่มประชาธิปไตย มาอยู่จนถึงทุกวันนี้ แสดงว่าคนไทยไม่เข้าใจหลักการของประชาธิปไตยเลยแม้แต่น้อย กระทั่งแยกไม่ออกว่าอะไรใช่ อะไรไม่ใช่ประชาธิปไตย ผลเสียหายก็คือทำให้ประชาชนสับสนในหลักการของประชาธิปไตย และฉุดสถาบันประชาธิปไตยไทยให้ตกต่ำ เสื่อมเสีย และมัวหมอง
นักวิชาการในมหาวิทยาลัย ผู้ดำรงตำแหน่งอาจารย์ ถึงศาสตราจารย์ ผู้มีหน้าที่สอนเรื่องราวเหล่านี้ กลับไม่กล้ายืนยันความสำคัญของระบอบประชาธิปไตย ว่าโดยประชาธิปไตยนี้ จักทำให้ไทยเราชนะ และนำหน้าประเทศอื่นที่มิใช่ประชาธิปไตย มีบุคคลเหล่านี้ถึงขนาดหลงผิดไปก็มี เช่นมีคณะบดี หรือหัวหน้าสถาบันการศึกษาคนหนึ่ง ที่เคยเข้าร่วมในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่เลื่องชื่อของเยาวชนนิสิตนักศึกษาไทยในกรณี 14 ต.ค. 2516 ในฐานะผู้นำนิสิตนักศึกษาด้วยซ้ำ ได้ตำแหน่งเป็นถึงศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย ก็กลับไปสนับสนุนให้เลือกคณะรัฐบาลตามแบบเผด็จการ โดยการชี้นำของทหาร ด้วยซ้ำ ในวงการความมั่นคงของชาติคือเหล่าทหาร 3 เหล่า ต่างไม่เข้าใจหน้าที่ของตนตามระบอบประชาธิปไตย ปฏิบัติไปอย่างไร้ยุทธศาสตร์ของการพัฒนาการของประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง ประชาธิปไตยไทยวันนี้จึงตกต่ำ แต่คนไทยทั้งหลาย แม้เพียงได้ยินชื่อว่าประชาธิปไตยมีเพียงความเลื่อมใสความเชื่อจากชื่อของประชาธิปไตยเท่านั้น ก็ยังคงยืนยันกันเป็นส่วนใหญ่อยู่ว่าประเทศไทยต้องเป็นประชาธิปไตย ซึ่งแสดงถึงความหวังว่าไทยมีโอกาสที่จะก้าวหน้าไปได้ด้วยพลังของประชาชนส่วนใหญ่
ภาพที่เห็นจากการพิพากษายุบพรรคการเมือง 3 พรรค บ่งไปถึง ความกะปริดกะปรอยของภูมิปัญญาที่นำมาใช้ในการวินิจฉัยปัญหา กล่าวคือ เรื่องพรรคการเมืองของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยไม่ควรที่จะถูกตัดสินโดยภูมิปัญญาสาขากฎหมายเพียงสาขาเดียว เพราะพรรคการเมืองมีความใหญ่เกินกว่าจะมองเพียงด้านเดียว อุปมาเหมือนตาบอดคลำช้าง มองไม่เห็นช้างทั้งตัว จะตัดสินได้อย่างไรว่าช้างมีรูปร่างอย่างไร มีพฤติกรรมมาอย่างไรบ้าง ถูกและผิดของช้างมีอะไรบ้าง
ฉะนั้น จะต้องมีการปรับปรุงประชาธิปไตยไทยกันอย่างขนานใหญ่ โดยเริ่มกันแต่บทต้น ๆ ทางวิชาการประชาธิปไตยกันเลยทีเดียว
และเราเห็นว่า ควรมาเริ่มที่นักการเมืองกันเลย เราได้เห็นภาพถ่ายของนักการเมืองระดับผู้นำ คนหนึ่ง ในช่วงปี 2549 มานี้ เห็นเขาเปลี่ยนพรรคอยู่ตลอดเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ คือออกจากพรรคนี้ ไปอยู่พรรคนั้น แล้วออกจากพรรคนั้นไปอยู่พรรคนู้น และแม้ขณะนี้เขาก็ละจากขั้วหนึ่งไปยืนถ่ายรูปร่วมอยู่กับอีกขั้วหนึ่ง และยังมีนักการเมืองอีกคนหนึ่ง ถึงขนาดกล่าวว่า แม้จะทรยศต่อเพื่อน ต่อพรรค และต่อนาย ก็ต้องทำ เพื่อย้ายตนไปเข้ากับฝ่ายที่เคยเป็นฝ่ายตรงข้ามก็ยอมเพื่อร่วมจัดตั้งรัฐบาลใหม่ นี่เป็นภาพที่เห็นล่าสุดในระยะปัจจุบัน ซึ่งคนไทยก็ไม่เห็นว่า พฤติกรรมอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ควรเป็นสมบัติของนักการเมืองเลย คนในระบอบประชาธิปไตยจะต้องประณามเขาอย่างรุนแรง และไล่เขาออกจากความเป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยไปเสียทันที แต่การที่คนเช่นนี้ ยังคงอยู่ในวงการเมืองไทยได้นั้นก็แสดงให้เห็นว่าวงการนักการเมืองไทยไม่มีการพัฒนาการทางความคิดประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าเลย โดยเหตุผลก็คือ คนในสังคมไทยวันนี้ ไม่มีความเข้าใจประชาธิปไตยและวิถีทางของระบอบประชาธิปไตยเลย นั่นเอง
และนี่ เป็นบทต้นที่สุดและมีความสำคัญที่สุด ก็คือเราจะต้องเรียนรู้ศึกษาให้เข้าใจว่า พรรคการเมืองและนักการเมืองนั้น เป็นสถาบัน พรรคการเมืองต้องมีความเป็นสถาบัน และนักการเมืองก็ต้องมีความเป็น หรือพยายามสร้างตนให้เป็นสถาบัน เช่นเดียวกัน จึงจะไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ทรงคุณค่าประโยชน์แก่ปวงชนได้ ถ้าเราไม่เข้าใจความสำคัญของสถาบันนี้แล้ว พรรคการเมือง และนักการเมือง จะมีการพัฒนาการไปในทางที่เป็นประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ได้อย่างไร
และต้นบทที่สุดก็คือ คนไทยเราเข้าใจคำว่า สถาบัน ถูกต้องหรือไม่ อย่างไร?
คำว่าสถาบัน ( institution ) นิยามเบื้องต้นให้ความหมายในทางนามธรรม มิใช่รูปธรรม กล่าวคือ institution ไม่ได้หมายถึงวัตถุ คืออาคารสูง ใหญ่โต มีชื่อว่า สถาบัน นั้นนี้ แต่หากเป็นการจัดระเบียบ จัดวินัย จัดข้อบังคับ (รวมเรียกว่า Discipline) ในองค์การนั้น ๆ ในบุคคลนั้น ๆ เมื่อมองจากหลักธรรมในพระพุทธศาสนาแล้ว จะเห็นความสำคัญของคำว่า institution นี้ ในฐานะ พระธรรมวินัย หรือ Discipline สำหรับหมู่สงฆ์ นับแต่หมู่สงฆ์ธรรมดาไปถึง พระอริยบุคคล ความสำคัญของพระธรรมวินัยสำหรับหมู่สงฆ์มีเพียงไหน ความสำคัญของ ความเป็นสถาบัน ก็มีสำหรับนักการเมืองเพียงนั้น พอ ๆ กัน ในทางสงฆ์ มีอาบัตินับแต่อาบัติขนาดหนักคือ ปาราชิก (ต้องพ้นจากความเป็นสงฆ์) ไปจนถึง ลหุกาบัติ ฉันใด นักการเมืองก็ต้องมีบทลงโทษ ขนาดหนัก-เบา เหมือนหมู่สงฆ์ เช่นนั้น
และสถาบันนี้ ก็เหมือน พระธรรมวินัย ที่มีไว้เพื่อปฏิบัติสืบเนื่องไปตราบกาลนาน จนกว่าจะบรรลุมรรคผล พรรคการเมือง และนักการเมือง ก็เช่นเดียวกัน ที่จะต้องมีธรรมวินัย ต้องสร้างตนให้มีความเป็นสถาบัน มี Discipline คือกฎระเบียบอันสูงสุดที่คุมความประพฤติตนเองที่นำไปสู่ความมั่นคงและความเลื่อมใสขององค์การหรือสถาบัน และต้องมีสัจจะในการถือปฏิบัติไปอย่างไม่ละเลิกเสียจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายของทางการเมือง หรือความเป็นสถาบันได้ตั้งมั่นขึ้นแล้ว แล้วพรรคการเมือง และนักการเมืองก็จะเป้นเครื่องมือที่ดีของประชาชน ของประเทศในระบอบประชาธิปไตย อย่างแน่นอน
นี่เป็นข้อเสนอทางพัฒนาความเป็นสถาบันในพรรคการเมือง และนักการเมืองไทยในระดับต้น ๆ ที่ต้องเริ่มกันเลยเดี๋ยวนี้