ข้อบังคับ
มูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร)
หมวด 1
ชื่อเครื่องหมายและสำนักงานที่ตั้ง
ข้อ 1. มูลนิธินี้ให้ชื่อว่า “มูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร)” ใช้อักษรย่อ “มท.ส.” เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า The PraThebvaramuni [Sen Panyavachiro] Foundation ใช้อักษรย่อว่า “PTS.”
ข้อ 2. เครื่องหมายของมูลนิธินี้ คือ ตราเสมาธรรมจักรกลม มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 3 เซนติเมตรขอบล่างระบุชื่อของมูลนิธิว่า มูลนิธิพระเทพวรมุนี (เสน ปญฺญาวชิโร) เครื่องหมายของมูลนิธิมีรูปดังนี้
ข้อ 3. สำนักงานมูลนิธิตั้งอยู่ที่ วัดมหาพุทธาราม เลขที่ 0167/1 ถนนขุขันธ์ ตำบลเมืองเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ
หมวด 2
วัตถุประสงค์
ข้อ 4. วัตถุประสงค์ของมูลนิธินี้ คือ
4.1 ส่งเสริมการศึกษาทางพระพุทธศาสนา สำหรับพระภิกษุสามเณรในจังหวัดศรีสะเกษและภูมิภาคอื่น ๆ ที่มาศึกษาเล่าเรียนในจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนาให้สถิตสถาพรสืบต่อไป
4.2 ส่งเสริมสืบสานวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมท้องถิ่น อันเนื่องด้วยพระพุทธศาสนา
4.3 ส่งเสริมงานวิจัยวรรณกรรมท้องถิ่นและการข่าวสารข้อมูล เพื่อประโยชน์แห่งการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิต
4.4 เผยแผ่อุดมการณ์ด้านการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม รวมถึงผลงานของหลวงพ่อพระเทพวรมุนี (เสน ปญฺญาวชิโร) ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
4.5 ร่วมมือกับองค์กรสาธารณกุศลอื่น ๆ ในการดำเนินงานเพื่อประโยชน์สุขของสังคมและประเทศชาติ
หมวด 3
ทุนทรัพย์สินและการได้มาซึ่งทรัพย์สิน
ข้อ 5. ทุนทรัพย์ เริ่มแรกของมูลนิธินี้ คือเงินสดจำนวน 350,000.- บาท
( สามแสนห้าหมื่นบาทถ้วน)
ข้อ 6. มูลนิธิอาจได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยวิธีดังต่อไปนี้
6.1 เงินหรือทรัพย์สินที่ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคให้
6.2 เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้ยกให้โดยพินัยกรรมหรือนิติกรรมอื่นๆ โดยมิได้มีเงื่อนไขผูกพันให้มูลนิธิต้องรับผิดชอบในหนี้สินหรือในภาระติดพันแต่ประการใด
6.3 ดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินของมูลนิธิ
6.4 มูลนิธิจัดหามาได้โดยวิธีการอื่นๆ
หมวด 4
คุณสมบัติและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ
ข้อ 7. กรรมการของมูลนิธิต้องมีคุณสมบัติดังนี้
7.1 มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์
7.2 ไม่เป็นบุคคลล้มละลายหรือไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
7.3 ไม่เป็นบุคคลต้องคำพิพากษาหรือจำคุก เว้นแต่จะได้การกระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ
7.4 เป็นผู้มีศีลธรรมอันดีงามไม่เป็นที่รังเกียจของสังคม
ข้อ 8. กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
8.1 ถึงคราวออกตามวาระ
8.2 ตายหรือลาออก
8.3 ขาดคุณสมบัติตามความในข้อบังคับข้อ 7
8.4 เป็นผู้มีความประพฤติและปฏิบัติตนเป็นที่เสื่อมเสีย และคณะกรรมการมูลนิธิมีมติให้ออกโดยมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของคณะกรรมการมูลนิธิ
หมวด 5
การดำเนินงานของคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ 9. มูลนิธินี้ดำเนินการโดยคณะกรรมการมูลนิธิ มีจำนวนไม่น้อยกว่า 5 คน แต่ไม่เกิน
15 คน ประกอบด้วยประธานกรรมการมูลนิธิ รองประธานกรรมการมูลนิธิ เลขาธิการมูลนิธิ เหรัญญิก และตำแหน่งอื่นๆ ตามแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร
ข้อ 10. ในวาระเริ่มแรกให้คณะกรรมการผู้ริเริ่มจัดตั้งมูลนิธิเป็นผู้เลือกคณะกรรมการดำเนินงาน ของมูลนิธิขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วย ประธานกรรมการมูลนิธิ และกรรมการอื่นๆ ตามจำนวนที่เห็นสมควรตามข้อบังคับ
ข้อ 11. วิธีเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิให้ปฏิบัติดังนี้
ให้คณะกรรมการมูลนิธิชุดที่ดำรงตำแหน่งอยู่ เลือกตั้งประธานกรรมการมูลนิธิและกรรมการอื่นๆ ตามจำนวนที่สมควรตามข้อบังคับ
ข้อ 12. กรรมการดำเนินงานของมูลนิธิ อยู่ในตำแหน่งคราวละ 2 ปี
ข้อ 13. การเลือกตั้งคณะกรรมการมูลนิธิ ให้ถือเอาเสียงข้างมากของที่ประชุมกรรมการมูลนิธิเป็นมติของที่ประชุม
ข้อ 14. กรรมการมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระแรก อาจได้รับเลือกเข้าเป็นกรรมการมูลนิธิได้อีก
ข้อ 15. ถ้าตำแหน่งกรรมการมูลนิธิว่างลง หากต้องการให้คงจำนวนกรรมการอยู่เท่าเดิมโดยไม่ขัดข้อบังคับข้อ 9 ให้กรรมการมูลนิธิที่เหลือตั้งบุคคลอื่นเป็นกรรมการมูลนิธิแทนตำแหน่งที่ว่าง กรรมการมูลนิธิผู้ได้รับตั้งซ่อมอยู่ในตำแหน่งเท่าวาระของผู้ที่ตนแทน
หมวด 6
อำนาจหน้าที่คณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ 16. หากมีความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการมูลนิธิใหม่ทั้งคณะ ให้ที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ พิจารณาลงมติ โดยเสียงข้างมากของที่ประชุมนั้น ให้กระทำได้
ข้อ 17. คณะกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินกิจการของมูลนิธิตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ และภายใต้ข้อบังคับข้อบังคับนี้ ให้มีอำนาจหน้าที่ต่างๆ ดังต่อไปนี้
17.1 กำหนดนโยบายของมูลนิธิและดำเนินงานตามนโยบายนั้น
17.2 ควบคุมการเงินและทรัพย์สินต่างๆ ของมูลนิธิ
17.3 เสนอรายงานกิจการ รายงานการเงินและบัญชีงบดุล รายได้ – รายจ่าย ต่อกระทรวงมหาดไทย
17.4 ดำเนินการให้เป็นไปตามมติ ที่ประชุมคะกรรมการมูลนิธิและวัตถุประสงค์ของข้อบังคับนี้
17.5 ตราระเบียบที่เกี่ยวกับการดำเนินกิจการ ของมูลนิธิ
17.6 แต่งตั้งหรือถอดถอนคณะกรรมการขึ้น คณะหนึ่งหรือหลายคณะ เพื่อดำเนินกิจการ ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการมูลนิธิ
17.7 เชิญผู้ทรงคุณวุฒิหรือบุคคลที่ทำประโยชน์ให้มูลนิธิเป็นพิเศษเป็นกรรมการ
กิตติมาศักดิ์
17.8 เชิญผู้ทรงเกียรติเป็นผู้อุปถัมภ์มูลนิธิ
17.9 เชิญผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิ
17.10 แต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าหน้าที่ประจำ ของมูลนิธิ มติให้ดำเนินการตามข้อ 17.7,17.8
และ 17.9 ต้องเป็นมติเสียงข้างมากของที่ประชุมและที่ปรึกษาตามข้อ 17.9 ย้อมเป็นที่ปรึกษาตามข้อ 17.9 ย่อมเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิที่เชิญเท่านั้น
ข้อ 18. ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ดังนี้
18.1 เป็นประธานของการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
18.2 สั่งเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
18.3 เป็นผู้แทนของมูลนิธิ ในการติดต่อกับบุคคลภายนอก และในการทำนิติกรรมใดๆ ของมูลนิธิ หรือการลงลายมือชื่อในเอกสาร ข้อบังคับและสรรพหนังสือ อันเป็นหลักฐานของมูลนิธิและในการอรรถคดีนั้น เมื่อประธานกรรมการหรือผู้ทำการแทนหรือกรรมการมูลนิธิ 2 คนได้ลงลายมือชื่อแล้ว จึงเป็นอันใช้ได้
18.4 ปฏิบัติการอื่นๆ ตามข้อบังคับและมติคณะกรรมการของมูลนิธิ
ข้อ 19. ให้รองประธานกรรมการมูลนิธิ ทำหน้าที่แทนประธานกรรมการมูลนิธิ เมื่อประธานไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือในกรณีที่ประธานกรรมการมอบหมายให้ทำการแทน
ข้อ 20. ถ้าประธานกรรมการมูลนิธิและรองประธานกรรมการมูลนิธิ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ในการประชุมคราวหนึ่งคราวใดได้ ให้ที่ประชุมเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิหนึ่งเป็นประธานสำหรับการประชุมคราวนั้น
ข้อ 21. เลขาธิการมูลนิธิ มีหน้าที่ควบคุมกิจการและดำเนินการ ติดต่อประสานงานทั่วไป รักษาระเบียบข้อบังคับของมูลนิธิ ที่ประชุมกรรมการตามคำสั่งของประธานกรรมการมูลนิธิ และทำรายงานการประชุม ตลอดจนรายงานกิจการมูลนิธิ
ข้อ 22. เหรัญญิกมีหน้าที่ควบคุมการเงิน ทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนบัญชีเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง และเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด
ข้อ 23. สำหรับกรรมการตำแหน่งอื่นๆ ให้มีหน้าที่ตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด โดยทำเป็นคำสั่งระบุอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจน
ข้อ 24. คณะกรรมการมูลนิธิมีสิทธิ เข้าร่วมประชุมกรรมการหรืออนุกรรมการอื่นๆ ของมูลนิธิได้
หมวด 7
อนุกรรมการ
ข้อ 25. คณะกรรมการมูลนิธิ อาจแต่งตั้งหรือถอดถอนอนุกรรมการได้ตามความเหมาะสม โดยจะแต่งตั้งให้เป็นอนุกรมการประจำ หรือเพื่อการใดเป็นกรณีพิเศษเฉพาะคราวได้ หรือเพื่อการใดเป็นกรณีพิเศษเฉพาะคราวได้ และในกรณีที่คณะกรรมการมูลนิธิไม่ได้แต่งตั้งประธานอนุกรรมการ ก็ให้อนุกรรมการแต่ละคนแต่ตั้งกันเองดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้
ข้อ 26. อนุกรรมการอยู่ในตำแหน่งจนกว่าจะเสร็จงานที่ได้รับมอบหมายให้กระทำ ส่วนอนุกรรมการประจำอยู่ในตำแหน่งตามเวลาที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด ซึ่งถ้ามิได้กำหนดไว้ก็ให้อยู่ในตำแหน่งเพียง เท่าวาระของคณะกรรมการมูลนิธิซึ่งเป็นผู้แต่งตั้ง และอนุกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งอาจได้รับการแต่งตั้งได้อีก
26.1 อนุกรรมการมีหน้าที่ดำเนินการตามที่ คณะกรรมการมูลนิธิมอบหมาย
26.2 อนุกรรมการมีหน้าที่ เสนอความคิดเห็นต่อคณะกรรมการมูลนิธิเกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมาย
หมวด 8
การประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ 27. คณะกรรมการมูลนิธิ จะต้องจัดให้มีการประชุมสามัญประจำทุกๆปี ภายในเดือนสิงหาคม และต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าร่วมประชุมอย่างน้อย กึ่งหนึ่งของที่ประชุมทั้งหมด จึงจะถือว่าเป็นองค์ประชุม
ข้อ 28. การประชุมวิสามัญอาจมีได้เมื่อประธานกรรมการมูลนิธิ หรือคณะกรรมการมูลนิธิตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป หรือผู้ทำการแทน ขอให้มีการประชุม ก็ให้เรียกประชุมวิสามัญได้
ข้อ 29. กำหนดการประชุมและองค์ประชุม ของอนุกรรมการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนดซึ่งถ้ามิได้กำหนดไว้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกำหนดการประชุมให้คณะกรรมการตกลงกันเอง และในส่วนที่เกี่ยวกับมีองค์ประชุมให้ข้อ 27 บังคับโดยอนุโลม
ข้อ 30. ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ หรือคณะอนุกรรมการ หากมิได้มีข้อกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น มติของที่ประชุมให้ถือเอาคะแนนเสียงข้างมาก ในกรณีที่มีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมเป็นผู้ชี้ขาด กิจกรรมใดที่เป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อย ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจสั่งให้ใช้วิธีสอบถามมติทางหนังสือ แทนการเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ แต่ประธานกรรมการมูลนิธิจะต้องรายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ ในคราวต่อไป ถึงมติและกิจการที่ดำเนินไปตามกิจการนั้น กิจการใดเป็นประจำ หรือเป็นกิจการเล็กน้อยหรือไม่ ย่อมอยู่ในดุลพินิจของประธานกรรมการ มูลนิธิ
ข้อ 31. ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ หรืออนุกรรมการให้ประธานกรรมการมูลนิธิ หรือประธานที่ประชุมมีอำนาจเชิญหรืออนุญาตให้บุคคลที่เห็นสมควร เข้าร่วมประชุมในฐานะแขกผู้มีเกียรติ หรือผู้สังเกตการณ์หรือเพื่อชี้แจง หรือเพื่อให้คำปรึกษาแก่ที่ประชุมได้
หมวด 9
การเงิน
ข้อ 32. ประธานกรรมการมูลนิธิ หรือรองประธานกรรมการมูลนิธิในกรณีทำหน้าที่แทน มีอำนาจสั่งจ่ายเงินได้คราวละไม่เกิน 3,000 บาท (สามพันบาทถ้วน) ถ้าเกินกว่าจำนวนดังกล่าว ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมาก
ข้อ 33. เหรัญญิกมีอำนาจเก็บรักษาเงินสดของมูลนิธิได้ ไม่เกิน1,000 บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) ถ้าเกินกว่าจำนวนนี้ ต้องนำฝากธนาคารในบัญชีของมูลนิธิทันทีที่โอกาสอำนวยให้
ข้อ 34. เงินสดของมูลนิธิหรือเอกสารสิทธ์ ต้องนำฝากไว้กับธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่นใด ที่รัฐบาลให้การค้ำประกัน แล้วแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร
ข้อ 35. การสั่งจ่ายโดยเช็คหรือสั่งจ่ายเงิน จะต้องมีลายมือชื่อประธานกรรมการมูลนิธิหรือผู้ทำการแทน กับเหรัญญิก ลงนามทุกครั้ง จึงจะเบิกจ่ายเงินได้
ข้อ 36. ในการใช้จ่ายเงินของมูลนิธิ ให้จ่ายเพียงดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินที่เป็นทุนของมูลนิธิ และเงินที่ผู้บริจาคมิได้แสดงเจตนาให้เป็นเงินสมทบทุน โดยเฉพาะ
ข้อ 37. ให้คณะกรรมการมูลนิธิวางระเบียนเกี่ยวกับ การเงิน การบัญชี และทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนการกำหนดหน้าที่ต่างๆ เกี่ยวกับการรับและการจ่าย นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
ข้อ 38. ให้ผู้สอบบัญชีของมูลนิธิ ซึ่งคณะกรรมการมูลนิธิเห็นชอบและแต่งตั้งจากบุคคล ที่มิใช่กรรมการหรือเจ้าหน้าที่อื่นของมูลนิธิ โดยจะให้ดำรงตำแหน่งกิตติมศักดิ์หรือได้รับค่าตอบแทนอย่างไร สุดแต่ที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิจะกำหนด
ข้อ 39. ผู้สอบบัญชีมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบบัญชี ของมูลนิธิและรับรองบัญชีงบดุลประจำปี ที่คณะกรรมการมูลนิธิจะต้องรายงานต่อกระทรวงมหาดไทย ผู้สอบบัญชีมีสิทธิตรวจสอบบัญชี และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับมูลนิธิในเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวกับการเงิน การบัญชี และเอกสารดังกล่าวได้
หมวด 10
การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ
ข้อ 40. การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ จะกระทำได้โดยเฉพาะที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ ซึ่งต้องมีกรรมการมูลนิธิ เข้าประชุมไม่น้อยกว่าสามในห้าของจำนวนกรรมการทั้งหมด และมติให้แก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับนั้น ต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อย กว่าสองในสามของจำนวนกรรมการที่เข้าร่วมประชุม
หมวด 11
การเลิกมูลนิธิ
ข้อ 41. ถ้ามูลนิธิต้องเลิก โดยมติของคณะกรรมการหรือโดยเหตุใดก็ตาม ทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิที่เหลือยู่ ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่วัดมหาพุทธาราม ตำบลเมืองเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ ตามที่กรรมการมูลนิธิกำหนด
ข้อ 42. การสิ้นสุดของมูลนิธินั้น นอกจากที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ในมูลนิธิเป็นอันสิ้นสุดลง โดยมิให้ศาลสั่งเลิกด้วยเหตุต่อไปนี้
42.1 เมื่อมูลนิธิได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้วไม่ได้รับทรัพย์สินตามคำมั่นสัญญาเต็มตามจำนวน
42.2 เมื่อกรรมการมูลนิธิจำนวนสองในสามมีมติให้ยกเลิก
42.3 เมื่อมูลนิธิไม่อาจหากรรมการ ได้ครบตามจำนวนกรรมการที่กำหนดไว้
ในข้อบังคับ
42.4 เมื่อมูลนิธิไม่สามารถดำเนินการต่อไป ได้ไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ
หมวด 12
บทเบ็ดเตล็ด
ข้อ 43. การตีความในข้อบังคับของมูลนิธิ หากเป็นที่สงสัย ให้คณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมาก ของจำนวนกรรมการที่มีอยู่ เป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 44. ให้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมาย ว่าด้วยมูลนิธิมาใช้บังคับ เมื่อข้อบังคับมิได้กำหนดไว้
ข้อ 45. มูลนิธิจะต้องไม่กระทำการค้ากำไร และจะต้องไม่ดำเนินการนอกเหนือไปจากข้อบังคับที่กำหนดไว้
พระพยับ ปญฺญาธโร
ตัวแทนคณะผู้ริเริ่มก่อตั้งมูลนิธิ
ผู้จัดทำข้อบังคับ