บทบรรณาธิการ
นี่คือ หนังสือพิมพ์ดี :วิเคราะห์ข่าวในวงการเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดและสหธรรมิก ฉบับปีใหม่ ประจำเดือน มกราคม-กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๒
เราจะบินบินบินและบินไป สู่ขอบฟ้าสดใสในเบื้องหน้า
ดี ฉบับนี้ เป็นฉบับที่เริ่มเข้าปีที่ 3 ของเรา เราขอเรียนท่านผู้อ่านแต่เบื้องต้นก่อนว่า เราขออนุญาตเปลี่ยนชื่อส่วนที่ผนวก ขยายความ เพื่อให้ตรงกับข้อเท็จจริง และเป็นสากลขึ้นว่า วิเคราะห์ข่าวในวงการเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดและสหธรรมิก โดยตัดคำว่า ภาคอีสาน ออก และ เพิ่ม คำว่า สหธรรมิก เข้าไป
หนังสือพิมพ์ ดี ฉบับนี้ จึงมีชื่อเต็มใหม่ว่าดังนี้
หนังสือพิมพ์ดี (วิเคราะห์ข่าวในวงการเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดและสหธรรมิก)
ดี ฉบับปีใหม่ นี้ ออกมาในระหว่างที่มีเหตุการณ์ที่น่าสนใจ 2 ด้านคือด้านศาสนจักรและด้านราชอาณาจักร
ปัญหาวัดพระธรรมกาย เป็นปัญหาใหญ่ด้านศาสนจักร ที่เนื่องมาจากแผนและการดำเนินการของวัดพระธรรมกาย มิได้เป็นไปตามหลักพระธรรมวินัยที่แท้จริง ผู้บริหารมีความเข้าใจไม่ถูกต้อง ในหลักการแห่งพระพุทธศาสนา ไม่ว่า หลักการด้านปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธธรรม หากแต่เจตนาที่ดำเนินการนั้นเป็นเจตนาที่มีปรารถนาดี กระนั้น ด้วยทิฐิ ที่ไม่ถูกต้อง จักส่งผลบ่อนทำลายหลักการพระพุทธศาสนา อันเป็นหลักการที่สูงสุดและสำคัญที่สุด สถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อวัดพระธรรมกาย เป็นสถานการณ์ที่มองไปได้กว้างขวางและลึกซึ้ง จะมิค่อยต่างกันนักกับสถานการณ์สันติอโศก(ของท่านโพธิรักษ์) และสถานการณ์หุบผาสวรรค์:เมืองศาสนา(ของสุชาติ โกศลกิตติวงศ์ ขณะนั้น ปัจจุบันคือ อริยวงฺโสภิกฺขุ แห่งหุบเขาอริยะ เทือกเขาตะนาวศรี) ซึ่งหากวิเคราะห์ต้นเหตุจริง ๆ ก็จะมีความเกี่ยวข้องไปถึงองค์กรหลักของพระพุทธศาสนา ที่ขาดการเคลื่อนไหวต้อนรับสถานการณ์โลกและสังคมยุคใหม่ มีอุปมาเหมือนเรือใหญ่ที่ชะลอเชื่องช้าอยู่กลางทะเลใหญ่ จวนจะอัปปางลง พร้อมกับมหาคัมภีร์ที่ล้ำเลิศประเสริฐโดยพระปริยัติธรรม หากแต่หาได้ยึดถือปฏิบัติตามพระปริยัติธรรมอันสูงส่งล้ำเลิศนั้นไม่ ผลทางปฏิเวธธรรมใดใดจึงไม่บังเกิดขึ้น คนทั้งหลายมิได้เห็นผลธรรมอันสูงส่ง เห็นแต่ผลที่ตรงข้ามกับคำสอน จึงหนีไปสู่เส้นทางอื่น แม้ผลที่ได้เพียงตื้นเขิน แต่กระนั้นคนก็เห็นว่าดีกว่า ฉะนั้น หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงองค์กรสงฆ์แล้ว ก็ไม่อาจจะรักษาหลักการแห่งพระพุทธศาสนาที่แท้จริงไว้ได้ต่อไปอีก เพียงเพราะเหตุผลง่าย ๆ ว่า หลักการดีก็จริงแต่ไม่สามารถจะปฏิบัติตามได้ ก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด เพราะคนมิได้มองไกลไปถึงมรรคผลนิพพานที่แท้จริง
ทางราชอาณาจักร มาถึงขั้นที่ฝ่ายค้านต้องยื่นญัติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี 3 ท่านในคณะรัฐบาล ชวน หลีกภัย คือพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ในฐานะ รมว.มหาดไทย นายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ รมว.คลัง และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รมว.คมนาคม และแล้ว เมื่อ วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2542 เวลาประมาณ 0930 น. สภาผู้แทนราษฎรก็ได้ลงมติ ต่อ รัฐมนตรีทั้ง 3 ท่าน ด้วยคะแนน ไว้วางใจ : ไม่ไว้วางใจ:ไม่ออกเสียง เท่ากันหมดทั้ง 3 ท่าน ดังนี้คือ
1. พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ 251-125- 2
2. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ 251-125-2
3. นายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ 251-125-2
ดี ฉบับปีใหม่ 2542 เราได้ให้ความสำคัญปัญหาที่เนื่องจากฉบับที่แล้ว ๆ มา คือปัญหา วิชชาธรรมกายคืออะไร โปรดอย่าพลาดในคอลัมน์เฝ้าดูวัฒนธรรมโลกจากจอแก้ว
นอกจากนี้ อ่าน ประชาธิปไตยสงฆ์ ต่อ
แนวทางที่เสนอใหม่ ฉบับนี้ยังไม่มีรายงานการประชุมสภาสงฆ์ระดับชาติ
กรณี ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมประสานงานและการจัดกิจการพระพุทธศาสนา พ.ศ
ซึ่งได้นำเสนอไว้ย่อ ๆ ในฉบับที่แล้ว โดยได้ฝากข้อสังเกตไว้ว่า เป็นการร่างของฝ่ายฆราวาส มีเจตนาดี ในด้านเป็นการสนองตอบต่อแนวคิดความมั่นคงของพระพุทธศาสนา ในระดับรัฐ มีโครงสร้างที่น่าสนใจมาก และเราได้ให้ข้อสังเกตไว้แต่เพียงเล็กน้อยว่าน่าระวังว่าฆราวาสจะเอาธรรมะที่เรียกว่า นิวรณธรรม (ธรรมแห่งความกังวล) หรือธรรมแห่งความยึดมั่นถือมั่น มาสรวมใส่ให้พระสงฆ์องค์เจ้าหรือไม่
เราจะมาพิจารณา กรณีนี้เพิ่มเติมไปอีกสักหน่อย
ประเด็นที่ควรพิจารณาให้ดีก็คือ การจัดตั้งองค์กร ที่มีการกำหนดให้จัดตั้งองค์กรสำคัญขึ้นมา 2 ระดับ คือ
1. ระดับชาติ โดยอำนาจ ตามมาตรา 6 ให้ตั้ง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม ประสานงานและการจัดกิจการพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (กสป.พช.) ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
คณะกรรมการประกอบด้วยปลัดกระทรวงต่าง ๆ และเจ้าหน้าที่จากสภาความมั่นคง
กสป.พช. มีอำนาจหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรีในการกำหนดนโยบายแนวทางพัฒนาและคุ้มครองพุทธศาสนา ป้องกันและขจัดผู้เป็นอลัชชี ผู้ไม่ปฏิบัติกิจพระภิกษุสามเณร และไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคณะสงฆ์ รวมไปถึงการออกข้อบังคับการเรี่ยไรทรัพย์สินในพุทธศาสนา
2. ระดับ จังหวัด มาตรา 18 ให้ตั้ง คณะกรรมการส่งเสริมประสานงานและการจัดกิจการพระพุทธศาสนาส่วนจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน คณะกรรมการประกอบด้วยหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด
ทั้ง 2 ข้อ มีข้อที่น่าสังเกตตอนนี้ก็คือ องค์กรทั้งสองระดับนี้ เป็นองค์กรฆราวาส ที่มีกรรมการมาจากระบบราชการ ความนึกคิดอย่างฆราวาส อย่างข้าราชการ ต้องระวังผลสะท้อนในระยะยาว หากกำหนดมาตรการไว้ไม่สอดคล้องหลักธรรมะ จึงต้องคอยดูและคอยเสนอแนะ
บทที่เอื้อแด่การบริหารงานขององค์กรสงฆ์ระดับสูงสุด ซึ่งก็น่าจะหมายถึง มหาเถรสมาคม มีข้อความที่มีสำคัญที่น่าเอาใจใส่ ในมาตรา 74
โดยมาตรา 74 ระบุว่า กรณีใดที่จะทำให้พระพุทธศาสนาเสียหาย ถ้ามหาเถรสมาคมหรือผู้บริหารคณะสงฆ์ ไม่สามารถดำเนินการได้ ให้ กสป.พช. มีอำนาจวินิจฉัยสั่งระงับเหตุนั้นได้
ข้อสังเกต เหมือนข้างต้น คือ ความคิดอย่างฆราวาส ที่อาจจะไม่เข้าใจความนึกคิดของฝ่ายสงฆ์ผู้บริหาร อาจวินิจฉัยคำว่า ไม่สามารถดำเนินการได้ ออกมาไม่ค่อยตรงกันกับเหตุผลของฝ่ายสงฆ์ หากขาดหูตาดูแลจากสาธารณะเพียงพอ อาจมีผลเป็นเผด็จการโดยฆราวาส โดยเฉพาะในระยะยาวได้
ในช่วงปัจจุบันนี้ ก็ได้มีเหตุการณ์หลายกรณีที่ดูเหมือนว่า องค์กรบริหารฝ่ายสงฆ์จะอยู่ในฐานะ ไม่สามารถดำเนินการได้ ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงมาจากอะไร น่าจะได้พิเคราะห์ดูให้รอบคอบ
ในหมวด 8 ที่ว่า มีการกำหนดเพิ่มบทลงโทษผู้ที่กระทำความผิด ทำให้พระพุทธศาสนาเกิดความเสียหาย ให้มีความรุนแรงและเฉียบขาดมากยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
คำว่า ความผิด น่าจะมิหมายถึงเฉพาะอาบัติตามพระวินัย ประเภท ครุกาบัติ มีปาราชิก 4 เท่านั้น น่าจะหมายถึงความผิดนอกพระธรรมวินัยเช่นความผิดทางอาญา ทางแพ่ง ด้วย
ข้อที่น่าสังเกตอย่างยิ่งก็คือ ท่านออกเป็นพระราชบัญญัติ นั่นก็หมายความว่า สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา จะต้องพิจารณาอนุมัติการออกกฏหมายฉบับนี้ สมาชิกรัฐสภาและนักการเมืองทั้งหลายจึงน่าจะมีความเอาใจใส่สนใจอย่างจริงจัง โดยมี หลักการพิจารณาเป็นของตนเอง มีอิสระโดยอิงพื้นฐานความรู้ทางธรรมะ ในการพิจารณา ว่าชอบว่าควร หรือ ควรปรับ แก้ไขข้อความมาตราไหนบ้างอย่างไร น่าจะได้เห็นการอภิปรายในสภาอย่างกว้างขวาง เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ เพื่อให้ได้ความละเอียดรอบคอบพอ จึงจะเป็นไปเพื่อความเจริญงอกงามแห่งพระพุทธศาสนาที่แท้จริง โดยพยายามให้สงฆ์ได้สามารถกระทำกิจอันแท้จริงของสงฆ์ตามเจตนาที่ตั้งไว้ได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายขั้นตอน ก่อนที่กฎหมายจะออกใช้บังคับได้ โดยยังจะต้องผ่านมหาเถรสมาคม แล้วจึงผ่านสภาผู้แทนราษฎร และเราดูเหมือนจะคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ คงจะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อเข้าสู่มหาเถรสมาคม คือ ผ่านอย่างรวดเร็ว กับ ผ่านอย่างล่าช้าหรือถูกเก็บที่มหาเถรสมาคม ก็อาจเป็นได้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอย่างใด ก็ย่อมรับได้ กระนั้นเพื่อนสหธรรมิกเราก็ควรจะได้สนใจศึกษาดูตั้งแต่บัดนี้ เพื่อช่วยกันวิเคราะห์ในด้านธรรมวินัยและเสนอเพื่อแก้ไขให้ดีที่สุดต่อไป
พบกันฉบับหน้า ครับ.
บรรณาธิการ
ม.ค.-ก.พ. 42