ทันทีที่เปิดสมัยประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ
การเมืองในเวทีสภาก็ร้อนแรงขึ้นมาทันตาเห็น
แน่นอน เป็นที่รู้ๆกันว่า การเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในช่วงวันที่ 9-27 มิถุนายน ทางรัฐบาลต้องการให้มีการเรียกประชุมสภา เพื่อพิจารณาร่างกฎหมายที่สำคัญจำเป็นต่อการ บริหารราชการแผ่นดิน
โดยเฉพาะการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552
ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ ที่ต้องออกเป็นกฎหมายออกมาบังคับใช้ ให้ทันภายในระยะเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
รวมไปถึงพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ที่มีการผลักดันจากฝ่ายรัฐบาล เพื่อรองรับการทำประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
พูดง่ายๆ เป็นการเปิดประชุมสภา เพื่อเน้นผลในด้านการออกกฎหมายเป็นหลัก
แต่ปรากฏว่า การเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญครั้งนี้ กลับมีวาระพิเศษร้อนๆหลายเรื่อง สอดแทรกเข้ามา
เริ่มตั้งแต่การที่สมาชิกวุฒิสภา จำนวน 61 คน ประกอบด้วย ส.ว.สรรหา 48 คน และ ส.ว. เลือกตั้ง 13 คน ร่วมกันเสนอญัตติต่อนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา
ขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161
โดยเนื้อหาในญัตติที่กลุ่ม ส.ว.ยื่นขอเปิดอภิปรายรัฐบาลได้ระบุเหตุผลอย่างชัดเจนว่า
รัฐบาลภายใต้การนำของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ทำงานมากว่า 4 เดือน ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่าจะบริหารราชการ เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขต่อประเทศชาติบ้านเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ขณะนี้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบสุขทั่วบ้านเมือง อาทิ การชุมนุมประท้วงของกลุ่มพันธมิตรฯที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยตำรวจไม่สามารถป้องกันการปะทะกันของมวลชนที่มีความคิดเห็นแตกต่างได้ ขณะที่นายกฯได้แถลงผ่านสถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์มีลักษณะยั่วยุ
และยังมีการชุมนุมประท้วงปิดถนนของชาวนาในหลายพื้นที่ มีการเผาเรือประมงประท้วงในภาคใต้ เกษตรกรรายย่อยจะเดินทางเข้ามาชุมนุม
มีปัญหาราคาสินค้าแพง รวมถึงการแก้ปัญหาราคาข้าวสาร ที่ไม่ได้แก้ปัญหาจริง และปัญหาราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่ ครม.บริหารงานส่อไปในทางล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง และมีข้อสงสัยว่าการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ได้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล มีการโยกย้ายข้าราชการที่ไม่เป็นธรรม
แทรกแซงตัดตอนกระบวนการยุติธรรมด้วยการโยกย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีความพยายามใช้กลไกอำนาจ สืบสวนสอบสวนทางราชการคุกคามกลั่นแกล้งกดดันองค์กรอิสระ
ไม่สร้างความชัดเจนต่อสาธารณะที่อดีตนายกรัฐมนตรี ชักนำนายทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนอย่างกว้างขวาง ซึ่งถูกสังคมตั้งข้อสังเกตว่า เสมือนเป็นการเตรียมยึดครองทรัพยากร และผลประโยชน์ของชาติและสิทธิสัมปทานต่างๆในอนาคต
เช่น เรื่องแลนด์บริดจ์ที่เปิดโอกาสให้ชาวตะวันออกกลางเข้ามาลงทุนผูกขาด ในการทำการขนส่งทางบกเชื่อมต่อระหว่างชายฝั่งทะเลตะวันออกไปชายฝั่งทะเลตะวันตก หรือเรื่องการทำนา การบริหารทั้งหมดส่อว่าบ้านเมืองจะเสียหายครอบคลุมทุกมิติ ส.ว.จึงเข้าชื่อยื่นญัตติเพื่อให้ ครม.ชี้แจงข้อเท็จจริง
ตั้งแท่นอภิปรายซักฟอก
ขอคำชี้แจงจากรัฐบาลในประเด็นปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองทุกเม็ดทุกช็อต
ในขณะเดียวกัน ทางด้านฝ่ายค้าน พรรคประชาธิปัตย์ ก็มีการเคลื่อนไหวโดยใช้เวทีสภาเข้มข้นขึ้น
ไล่ตั้งแต่การที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เข้าพบหารือกับนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ พร้อมตัวแทนวิปรัฐบาลและวิปฝ่ายค้าน
เสนอให้ใช้เวทีสภาคลี่คลายความขัดแย้งเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
โดยการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาพิจารณาศึกษา เปิดโอกาสให้คนภายนอกเข้าร่วมเป็นกรรมาธิการด้วย
เป็นที่มาของการที่พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นญัตติขอให้สภาฯตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการบังคับใช้ และการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ และพรรคพลังประชาชนเสนอญัตติขอให้ตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ เมื่อ ส.ว.ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปคณะรัฐมนตรีโดยไม่ลงมติ ในวุฒิสภา
ทางแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ก็ออกมาเสนอให้ นายกฯสมัคร ใช้ช่องทางตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 179
แจ้งไปยังประธานรัฐสภา ขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อรับฟังความคิดเห็นของ ส.ส.และ ส.ว. เกี่ยวกับปัญหาการบริหารราชการแผ่นดิน โดยไม่มีการลงมติ ในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา
เพื่อเปิดโอกาสให้ ส.ส.และ ส.ว.ได้ร่วมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาวิกฤติต่างๆที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง
จากภาพความเคลื่อนไหวทั้งหมดของกลุ่ม ส.ว.และฝ่ายค้าน พรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนี้ ก็พอมองได้ว่า
เป็นความพยายามที่จะนำปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองขณะนี้ เข้าไปพูดจาหาทางแก้ไขปัญหากันในรัฐสภา
เพื่อไม่ให้การเมืองนอกสภา เพิ่มดีกรีความปั่นป่วน
โดยเฉพาะในห้วงที่ประเทศกำลังเผชิญปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ ข้าวยากหมากแพง น้ำมันราคากระฉูดไม่หยุด ประชาชนเดือดร้อนไปทั่ว
ไม่อยากให้เกิดชนวนล่อแหลมรุนแรง ซ้ำเติมวิกฤติประเทศ
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการเคลื่อนไหวของกลุ่ม ส.ว.และฝ่ายค้าน พรรคประชาธิปัตย์ ที่แสดงอาการว่า ต้องการจะดึงปัญหาต่างๆเข้าไปแก้ไขในสภา
ปรากฏว่า ทางฝ่ายรัฐบาลไม่มีปฏิกิริยาขานรับ
มีแต่การแสดงลีลาในลักษณะ คมเฉือนคม ออกมาให้เห็น
ไล่ตั้งแต่การออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปของ ส.ว. เหมือนกับเป็นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
กระแนะกระแหนเรื่องความเป็นกลางในการทำหน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภา
ขณะเดียวกัน แกนนำพรรคพลังประชาชนบางคนก็ออกมาโจมตีการยื่นญัตติ ขอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการบังคับใช้และการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ของพรรคประชาธิปัตย์ว่า
ซ่อนเล่ห์ แฝงกล
ไม่ใช่การศึกษาประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการศึกษาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ เพื่อตรวจสอบจับผิดรัฐบาล
ตั้งแง่เล่นเกมการเมืองใส่กัน
เหนืออื่นใด นายสมัครก็ออกมาแสดงท่าทีไม่เอาด้วยกับข้อเสนอของฝ่ายค้าน พรรคประชาธิปัตย์ ที่ขอให้เปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อรับฟังความเห็นของสมาชิกรัฐสภาโดยไม่ลงมติ
โดยได้ระบุในที่ประชุมรัฐมนตรีและแกนนำพรรคพลังประชาชนว่า
อาจไม่มีเวลาพอที่จะให้เปิดอภิปรายทั่วไป
เพราะการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเริ่มตั้งแต่วันที่ 9-27 มิถุนายน มีวาระสำคัญที่ต้องพิจารณาหลายเรื่อง
ชิ่งนิ่มๆ เวลาไม่พอ
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางเกมการเมืองที่ต้องเชือดเฉือนกัน ทางฝ่ายค้าน พรรคประชาธิปัตย์ ก็ออกมาเปิดเกมขู่กลับ
ถ้าชัดเจนว่ารัฐบาลไม่ยอมเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 179 ทางฝ่ายค้านก็จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทันที
งัดลีลา คมเฉือนคม ออกมาใช้เหมือนกัน
ทั้งนี้ หากว่ากันตามสภาพการณ์ทางการเมือง ฝ่ายรัฐบาลไม่มีทางที่จะเปิดเวทีให้ฝ่ายค้านอภิปรายถล่มตัวเองแน่ ถึงแม้จะเป็นการอภิปรายที่ไม่มีการลงมติก็ตาม
เพราะรู้ดีว่าเป้าหมายของฝ่ายค้าน ไม่ได้อยู่ที่การลงมติ เพราะโหวตยังไงก็ไม่มีทางชนะ เพียงแต่ต้องการใช้เวทีสภาอภิปราย แสดงให้ประชาชนเห็นถึงความอ่อนด้อยของรัฐบาล
แถมยังมีดาบสอง ในการขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจถล่มซ้ำ
ถ้าหลงเดินตามเกมของฝ่ายค้าน มีหวังน่วมแน่
เพราะต้องยอมรับว่า รัฐบาลมีจุดอ่อนหลายเรื่องที่ฝ่ายค้านจะหยิบมาเป็นประเด็นอภิปรายถล่ม
เอาแค่ปัญหาเรื่องภาวะผู้นำของนายสมัคร ก็สามารถเอาไปโขกสับในสภาได้แล้ว
โดยเฉพาะในปมของการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พูดจากลับไป กลับมา เดี๋ยวแก้ เดี๋ยวไม่แก้ ทีแรกบอกไม่ต้องทำประชามติ ต่อมาบอกต้องทำโดยเร็ว ล่าสุดบอกไม่ต้องทำ
พลิกลิ้นไปเรื่อย
ที่สำคัญในภาวะที่ประเทศเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจ พิษราคาน้ำมันกระฉูด ข้าวยากหมากแพง ชาวบ้านเดือดร้อนสาหัส รัฐบาลแก้ปัญหาไม่เป็นชิ้นเป็นอัน
แตะเมื่อไหร่ก็ยุ่ยเมื่อนั้น
ยังไม่รวมถึงพฤติกรรมหางโผล่ของคนในรัฐบาลที่จ้องหาผลประโยชน์ ถอนทุน
โดยเฉพาะโครงการยกเลิกรถเมล์ร้อน 3,000 คัน จัดเช่ารถเมล์ปรับอากาศ 6,000 คัน มาวิ่งแทน วงเงินงบประมาณกว่า 100,000 ล้านบาท ที่ฝ่ายค้านกำลังขุดคุ้ยข้อมูลหลักฐาน ออกมาแฉ
เรื่องร้อนๆอย่างนี้ ถ้าถูกเปิดโปงกลางสภา
สะเทือนซางแน่
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของฝ่ายค้านในการเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดอภิปรายทั่วไป ในเวทีรัฐสภาโดยไม่ลงมติ ตามมาด้วยการขู่เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ก็สามารถมองได้ว่า เป็นเรื่องของเกมพลิกอำนาจ
ชิงจังหวะเปลี่ยนขั้ว
เพราะต้องไม่ลืมว่า ถ้าฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดว่าห้ามยุบสภา
เมื่อถึงตอนนั้น ถ้ารัฐบาลโดนนวดจนน่วม สังคมไม่ยอมรับ
ก็ถือเป็นความชอบธรรมของพรรคร่วมรัฐบาลที่จะอิงกระแสหลัก ตัดสินใจถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล
พลิกข้างเปลี่ยนขั้วได้ง่ายๆ.
"ทีมการเมือง" |