วานนี้ (8 มิ.ย.) นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก หลังจากที่ฝ่ายกัมพูชาได้ยื่นแผนที่ฉบับใหม่ให้ไทยพิจารณา ว่า คงจะใช้เวลาพิจารณาไม่นาน จะรีบให้คำตอบกับกัมพูชาโดยเร็วที่สุด ทราบดีว่าคนไทยต้องการจะดูแผนที่ดังกล่าว เพราะอยากให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ แต่เนื่องจากขณะนี้ยังไม่ได้ข้อยุติในเรื่องนี้ จึงต้องขอเวลาดูแผนที่ให้เรียบร้อยก่อน โดยจะเปิดเผยเอกสารให้ดูได้ หลังจากจากที่ 2 ฝ่ายสามารถตกลงกันได้แล้ว เพราะเป็นเอกสารประกอบการยื่นขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก
ทั้งนี้ สมเด็จฮุนเซนนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และนายซก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ให้ความร่วมมือกับไทยเป็นอย่างดี จึงไม่อยากให้เรื่องนี้กระทบความสัมพันธ์หรือดำเนินไปอย่างไม่ราบรื่น ท่ามกลางบรรยากาศแห่งมิตรภาพเช่นนี้ ต้องให้เครดิตกับกัมพูชาด้วย
นายนพดล กล่าวว่า การยื่นขอจดทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารร่วมกับกัมพูชาตามที่นักวิชาการบางคนเรียกร้องเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ เพราะต้องยอมรับว่า กรรมสิทธิ์เหนือตัวเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา แต่เมื่อตัวปราสาทได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว จะมีคนเดินทางมาท่องเที่ยว ซึ่งจะต้องขึ้นจากฝั่งไทย เพราะสะดวกกว่า เราก็จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวตามมา ในส่วนของพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่ทั้งสองฝ่ายยังอ้างสิทธิทับซ้อนกันนั้น ตามความตกลงในแถลงการณ์ร่วมหลังสองฝ่ายได้ข้อยุติในเรื่องแผนที่ฉบับใหม่ จะกำหนดให้ทั้งสองฝ่ายไปทำแผนในการบริหารจัดการพื้นที่นั้นร่วมกัน แล้วยื่นให้คณะกรรมการมรดกโลกภายใน 2 ปี หรือภายในเดือน ก.พ. 2553 ซึ่งจะมีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกอีกครั้ง ดังนั้นส่วนของพื้นที่ตรงนี้ยังมีเวลาอีก 2 ปีที่จะหารือกัน
นายนพดล กล่าวด้วยว่า หลังตกลงเรื่องแผนที่เสร็จแล้ว ทั้ง 2 ประเทศจะออกแถลงการณ์ร่วม โดยแนบแผนที่เข้าไว้ด้วย ซึ่งจะมีผลผูกพันทั้ง 2 ประเทศ ทั้งนี้เนื้อหาสาระหลักในแถลงการณ์ประกอบด้วยการสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารร่วมกัน การกำหนดให้ทำแผนที่แนบท้าย กำหนดให้ 2 ประเทศจัดทำแผนการบริหารจัดการพื้นที่ร่วมในเขตที่ยังมีการอ้างสิทธิทับซ้อน เพื่อยื่นต่อที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 14 ในอีก 2 ปีข้างหน้า ขอยืนยันว่า เรื่องดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการปักปันเขตแดน พร้อมขอขอบคุณยูเนสโกที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดสถานที่เพื่อการพูดคุยกัน
ต่อกรณีที่นายอดุล วิเชียรเจริญ ประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกระบุว่า หากไปตกลงให้กัมพูชาเพิ่มพื้นที่ขึ้นอีก 30 เมตร เท่ากับไทยจะเสียดินแดนนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ต้องเข้าใจก่อนว่าตามแผนที่แอล 7017 เหนือดินแดนดังกล่าวที่ประกาศใช้ตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี 2505 ซึ่งยึดถือกันมาจนถึงปัจจุบัน การกำหนดพื้นที่ของปราสาทมีพื้นที่ว่างระหว่างเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งกว้างกว่า 30 เมตรอยู่แล้ว ไม่ใช่กำหนดพื้นที่ชิดติดกับตัวปราสาทเลย |