รายงานข้อมูลการศึกษา 15 หัวข้อ
เรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ
เรื่อง การศึกษาการโฆษณาชวนเชื่อล้มล้างรัฐบาลทักษิณ 15 หัวข้อการศึกษานี้ เป็นผลงานการวิจัยสนาม โดยมีสื่อที่ถ่ายทอดข้อมูลโดยตรง สำหรับการรวบรวมข้อมูลอย่างละเอียดและครบถ้วนพอสำหรับการวิเคราะห์สรุปความหมาย ก็คือโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ในขณะนั้น นี่เป็นงานการบันทึกประวัติศาสตร์การเมืองอีกงานหนึ่งที่เราได้บันทึกเอาไว้ในหนังสือพิมพ์ดี และ เวบไซท์ของเราในขณะนั้น (http://www.newworldbelieve.com) และเวบไซท์ของเราในขณะนี้ (https://www.newworldbelieve.net) อย่างค่อนข้างสมบูรณ์ เรายังคงต้องติดตามเพื่อพิศูจน์ ว่าเราได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ด้วยความเป็นกลาง ปราศจากอคติเพียงไร สำหรับท่านผู้อ่านที่ยังไม่ทราบไม่เข้าใจวิธีการและความมุ่งหมายของเราที่สุจริต อาจจะถือว่า ขณะนี้ที่เรามั่นใจ คือความเป็นกลาง ปราศจากอคติ เป็นเพียงสมมติฐานก็ได้ โปรดติดตามพิศูจน์ไปพร้อม ๆ กับเรา ด้วยเหตุการณ์ใหม่ ที่กำลังเริ่มขึ้นต่อรัฐบาลสมัครอย่างคล้ายคลึงกันมากกับรัฐบาลทักษิณในขณะนั้น โปรดติดตามต่อไป
รายงานข้อมูลการศึกษาเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ
14. วิเคราะห์จำแนกประเภทกลุ่มม็อบ
รายงานบทที่ 14การชุมนุม ต่อต้านรัฐบาล (14) การชุมนุม ต่อต้านรัฐบาล (14) เอาประเทศไทยของเราคืนมา, 30- 31 มี.ค. 49 วันที่ 30 มี.ค. ม็อบเคลื่อนจาก ศูนย์การค้าสยามพารากอน , ASTV 1 และ 3 ม็อบเคลื่อนไปชุมนุมหน้าอาคาร กกต. 12.15 น.ฝนห่าแรก+พายุตกหนักม็อบแตกกระจาย, ผู้นำม็อบมีความแตกแยก เดิมมีข่าวจะสลายการชุมนุมวันนี้ แต่กลับไม่เลิกการชุมนุม แม้ได้นัดชุมนุมอีกครั้ง 7 เม.ย. 49 ไปแล้ว, คาราวานคนจนบุกเครือเนชั่นให้รับผิดชอบโฆษณาหมิ่นเบื้องสูงในคมชัดลึก, สนธิหนีไปเมืองจีน : ช่อง 7 เบรกข่าว2ทุ่ม 31 มี.ค. 2549
Research on propaganda aspect 6 comparative study
การศึกษาวิจัยบางแง่มุมของการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศไทย
เรายังมีแง่มุมที่ต้องติดตามศึกษาต่อไปอีกภายใต้หัวข้อ Research on propaganda aspect 6 : comparative study อีกเล็กน้อย โดยเราจะทำการบันทึกข้อมูลโดยย่อ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบม็อบกลุ่มพิเศษ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มมหาวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกลุ่มสันติอโศก ในสมมติฐานที่สำคัญ ๆ ดังต่อไปนี้
กลุ่มพิเศษที่ 1 กลุ่มมหาวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
บทบาทที่เห็นเริ่มมาจากคณะบดีคณะรัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ คือ ศ.ดร.อมรา พงศาพิศ ได้ออกมาประกาศก่อนเพื่อน ๆ ในวงการนักวิชาการว่า ให้ไล่ทักษิณออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วดำเนินการต่อมาอย่างลับ ๆ เพื่อให้สำเร็จตามความมุ่งหมายของตน โดยไม่เปิดเผยตนเองออกมาอธิบายเหตุผล ให้สมกับเป็นนักวิชาการทางรัฐศาสตร์ หลังสุดได้วิพากษ์กลุ่มคาราวานคนจนอย่างลับหลังและเป็นข่าวออกมาว่า เป็นกลุ่มคนจนที่ไม่มีความรู้ในทางการเมืองอะไร ที่ออกมาชุมนุมเพราะมีการรับอามิสสินจ้างจากผู้ว่าจ้าง(ซึ่งคณบดีคนนี้คงคาดเดาเอาเองว่าผู้ว่าจ้างไม่น่าจะเป็นคนอื่นนอกจาก ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีนั่นเอง) ทำให้กลุ่มรักทักษิณคาราวานคนจนไม่พอใจ ยกกองคาราวานไปยื่นหนังสือประท้วงที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าดูแคลนคนจน เข้าใจผิดในสาระสำคัญของการชุมนุมของคาราวานคนจน และเรียกร้องให้ออกจากตำแหน่งไปเสีย เพราะการได้มาซึ่งตำแหน่งคณะบดีคณะรัฐศาสตร์คนนี้ก็ได้มาอย่างไม่ถูกต้องเพราะเสียงส่วนใหญ่ไม่ได้เลือก
ภาพหลังสุดที่เห็นก็คือ นักศึกษา คณาจารย์กลุ่มหนึ่งมาจากหลายคณะแต่งชุดสีชมพูถือธงและไปร่วมขบวนม็อบแค้นต่อต้านรัฐบาลที่ศูนย์การค้าพารากอนด้วย เที่ยงวันที่ 31 มี.ค.นั้นโดนฝน-ลมถล่มอย่างหนัก และล่าสุดมีคณะบุคคล-ข้าราชการในเครือของมหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันออกประกาศให้ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณลาออกจากตำแหน่ง นรม.ก่อนวันเลือกตั้ง ก็บอกอยู่เหมือนกันว่าคณะนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่ในนามของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หากไม่บอกเช่นนี้ก็น่าจะไม่เป็นธรรม และไม่เป็นความจริง แม้ว่าภาพนี้จะดูประหนึ่งว่าเอาสถาบันทั้งสถาบันมาเกี่ยวข้องด้วย
ประเด็นในที่นี้ก็คือกรณีที่ไปดูถูกคนจนว่ามาชุมนุมเพราะรับอามิสสินจ้างนั้น แสดงถึงอคติ ไม่เข้าใจเจตนาของการชุมนุมของคาราวานคนจน และยังแสดงถึงความไม่เข้าใจระบอบและกลไกของประชาธิปไตยอีกด้วย ดังนี้
ประการที่ 1 คาราวานคนจน ตระหนักดีถึงความสำคัญของนโยบาย พวกเขาต่อสู้เพื่อนโยบาย ของรัฐบาลทักษิณที่ให้คุณกระทบโดยตรงแก่พวกเขา ได้แก่ นโยบาย 30 บาททุกโรค, หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์, ทุนการศึกษาคนจน- ผู้อยากเรียนได้เรียน, เรียนก่อนจ่ายทีหลัง, ทุนแพทย์ 1 อำเภอ, นโยบายบ้านเอื้ออาทร, นโยบายเศรษฐกิจพอเพียง, สหกรณ์การเกษตร, ระดับราคาที่มีเสถียรภาพ, การไฟฟ้าสาธารณูปโภค, การคมนาคมของท้องถิ่น, ระบบน้ำดื่มน้ำใช้, ระบบน้ำเพื่อการเกษตรกรรม, ขจัดความยากจนทั่วประเทศ, เมกกะโปรเจกต์เพื่อการมีงานทำ, กองทุนหมุนเวียน, SML, ฯลฯ
ซึ่งนโยบายเหล่านี้ ได้กระทบให้คุณประโยชน์ต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชนบทอย่างแรงจนรู้สึกเองเป็นธรรมชาติ เมื่อพวกเขาเห็นว่า คณบดีคนนี้ ไม่เข้าใจในเรื่องนโยบาย จะให้ไล่คนทำนโยบายเหล่านี้ไปเสีย ซึ่งจะเป็นผลให้พวกเขาเดือดร้อน เพราะไม่มีพรรคการเมืองใดเสนอนโยบายเช่นนี้อีก พวกเขาจึงออกมาให้กำลังใจแก่รัฐบาล และทั้งแสดงพลังมวลชนกลุ่มผลประโยชน์เพื่อต่อต้านผู้จะทำลายนโยบายเหล่านี้ เพื่อให้คงนโยบายเหล่านี้ต่อไป
ซึ่งเป็นความชอบธรรมอย่างสมบูรณ์ตามกฎกติกาของระบอบประชาธิปไตย
ก็ไม่น่าจะมีเหตุผลว่าพวกเขาจะต้องมีใครมาว่าจ้างให้ออกมาเดินขบวน ในเมื่อเป็นความจำเป็นของพวกเขาเองอยู่แล้ว พวกเขาก็ซึ้งในผลกระทบของนโยบายดีอยู่แล้ว
คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งนี้ต่างหากที่ไม่เข้าใจหลักรัฐศาสตร์ ไม่เข้าใจพวกเขา และมองอย่างดูแคลนคนยากคนจนมาตลอดเวลา ไม่เข้าใจการเมืองที่แท้จริง ทั้งระดับปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ไม่เคยรู้ผลกระทบจากนโยบายโดยตรงเช่นเดียวกับชาวชนบท ราวกับว่ามีความรู้ทางรัฐศาสตร์สู้คนจนในชนบทก็ไม่ได้
ประการที่ 2 ความคิดในการปฏิรูปการเมืองของท่านผู้นี้มีอยู่อย่างไร ไม่เคยออกมาแสดงอย่างเปิดเผย แต่จากท่าทีที่ไปตำหนิคนจนว่าไม่มีความรู้ทางการเมือง สู้ตนผู้เป็นคณบดีคณะรัฐศาสตร์ไม่ได้นั้น แสดงให้เห็นท่าทีที่น่าเป็นห่วง เพราะน่าเกรงเหลือเกินว่าจะเป็นแนวคิดเชิงเผด็จการชนชั้น จะจัดการอะไรให้เป็นชนชั้น เช่นพลเมืองชั้นปริญญาเอก ก็ควรมีเสียงมากกว่าพลเมืองที่ไม่มีปริญญา ควรจะมี 10 เสียง ส่วนคนจนไม่มีปริญญาจะต้องมีเพียง 1 เสียง เพราะไม่ควรเท่าเทียมผู้ได้ปริญญาเอกทางรัฐศาสตร์เหมือนตน อย่างนี้ก็เท่ากับไม่เข้าใจปรัชญาของระบอบประชาธิปไตยเลยแม้แต่น้อย
เพราะปรัชญาของระบอบประชาธิปไตยแท้จริงนั้นก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับทฤษฎีของความเป็นมนุษย์ นั่นคือ ภราดรภาพ เสรีภาพ และ เสมอภาค และโดยหลักการศาสนาหมายถึง คุณธรรม ซึ่งมีการพัฒนา เปลี่ยนแปลงไปได้ด้วยตนเองเสมอ เมื่อเป็นมนุษย์ก็มีความเท่าเทียมกันที่จะบรรลุคุณธรรม เท่ากัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามองว่ามนุษย์เป็นเวไนยสัตว์เท่ากัน จึงให้โอกาสที่จะบรรลุธรรมเท่ากัน (แม้แต่องคุลีมาลย์โจร ก็สามารถบรรลุธรรมได้ และแม้เจ้าชายเทวทัตก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้) นี่เป็นหลักการพระพุทธศาสนา และเห็นได้ว่าหลักประชาธิปไตยตรงกันกับหลักการพระพุทธศาสนาด้วย
ฉะนั้น การเรียนรู้ประชาธิปไตย ไม่น่าจะมองว่า ต้องเรียนรู้จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยนี้มาอ้างเท่านั้น และไม่เพียงการเรียนรู้จากทฤษฎีของตะวันตกอย่างเดียว แต่ควรเรียนจากหลักการพระพุทธศาสนาด้วย เพื่อที่จะได้เข้าใจความเป็นมนุษย์อย่างลึกซึ้งบางทีคนจนอาจจะรู้ศาสนธรรมสูงกว่าคนจบปริญญาเอก เมื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมโดยตรงกับหลักปรัชญาว่าด้วย เสรีภาพ ภราดรภาพ และ เสมอภาค หรือแม้กระทั่งพวกนักวิชาการที่เห่อตะวันตกแต่ไม่เข้าใจตะวันตกโดยแท้จริง เพราะไม่เห็นอย่างไรว่า หลักการของวิชาหรือศาสตร์ต่าง ๆของตะวันตก มาจากหลักการของพระพุทธศาสนาอยู่แทบทั้งสิ้น
กลุ่มพิเศษที่ 2 กลุ่มสันติอโศก
ภาพที่เห็นหลังสุดจากจอแก้ว ก็คือภาพพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ทะเลาะกับกลุ่มแม่ค้าที่บริเวณสี่แยก มิสกวัน ถนนราชดำเนินนอก พวกแม่ค้าเข้าไปขอร้องให้ม็อบสันติอโศกที่นั่ง ๆ นอน ๆ เฉย ๆ อยู่ถอยออกไปจากบริเวณนั้น เพื่อให้คนมาเที่ยวงานกาชาดเข้ามาซื้อหาข้าวของพวกเขาได้สะดวก ปรากฏว่าพล.ต.จำลองไม่ยอม เกิดเถียงกัน พวกแม่ค้าขอร้องว่าถ้าปิดทางอยู่อย่างนี้ พวกเขาก็ขายของไม่ได้ ก็จะเจ๊ง พวกเขาก็เดือดร้อน ถอยออกไปหน่อยพอให้งานแล้วเสร็จค่อยเข้ามาใหม่ก็ได้ เห็นพล.ต.จำลองจ้องตาถลนไม่ยอม อ้างว่าคนของตนตายไปคนหนึ่งที่นี่ จะถอยไปได้อย่างไร แม่ค้าเถียงว่า คนตายคนนั้นมานอนกลางถนนทำไม โดนเหยียบตายก็ดีแล้ว อะไรทำนองนั้น ทำให้พล.ต.จำลองโกรธ เวลาพล.ต.จำลองโกรธก็ดูสิ้นศักดิ์ศรีไปหมด เพราะด่าว่าพวกแม่ค้าเหล่านั้นว่าไม่เห็นค่าของคน เห็นเงินทองข้าวของดีกว่าคน ภาพที่ออกมาก็ไม่สวยงาม ไม่สมกับเป็นกลุ่มปฏิบัติธรรม หรือกลุ่มศาสนา ไม่ยอมทบทวนตนเองตามหลัก อตฺตนา โจทยตฺตานํ ว่าการไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเช่นนี้ จะเป็นความดีได้อย่างไร แล้วเรื่องจบลงที่ต่างฝ่ายต่างอ้างกฎหมาย อ้างความชอบธรรม พวกแม่ค้าก็ว่าจะไปฟ้องร้องตามสิทธิของตน พล.ต.จำลองก็บอกให้ไปฟ้องร้อง เชิญเลย อะไรทำนองนั้น พวกแม่ค้าพ่อค้าก็ถอนตัวไปอย่างเดือดดาล แต่ไม่ทราบว่าจะไปฟ้องตำรวจให้จับกุมพล.ต.จำลองหรือไม่ ล่าสุด พล.ต.จำลอง กับกลุ่มสันติอโศก ถูกประชาชนคนหัวหินต่อต้านห้ามเข้า เพราะเป็นเขตพระราชฐานและเขตความสงบและการท่องเที่ยว
เราบันทึกคน 2 กลุ่ม ม็อบ 2 กองนี้ไว้ เป็นกลุ่มพิเศษ ที่มีความคล้ายคลึงกันมาก โดยความมีทิฏฐิ และ มานะ อัตตาที่คล้ายคลึงกัน
ในเชิงการโฆษณาชวนเชื่อ ก็พอจะได้ข้อสรุปชั้นต้นที่แปลกแตกต่าง นั่นคือ การโฆษณาชวนเชื่อปลุกระดมมวลชนหรือกลวิธีการล้างสมอง(Brain washing)นั้น สามารถทำได้กับชนทุกชั้น และแม้กระทั่งตนเองก็ล้างสมองตนเองได้ ซึ่งมักปรากฏจากวงการศาสนา โดยถูกนำด้วยมโนภาพ หรือจินตนาการที่ผิดพลาด หรือมิจฉาทิฏฐิ เพราะความเขลา หรือทางศาสนาพุทธว่าเป็นโมหะ หรืออวิชชา ผลก็คือ มีการหลอกลวง โดยหลอกลวงคนอื่นและหลอกลวงตนเองอย่างสมบูรณ์
บานไม่รู้โรย
www.newworldbelieve.com/
1 เม.ย. 2549