รายงานข้อมูลการศึกษา 15 หัวข้อ
เรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ
รายงานข้อมูลการศึกษาเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ
12. จากสนามหลวงสู่ทำเนียบรัฐบาลนายกฯหนี
รายงานบทรายงานบทที่ 12 รายงานการชุมนุม ต่อต้านรัฐบาล[12] การชุมนุม ต่อต้านรัฐบาล (12) เอาประเทศไทยของเราคืนมา, 13-14 มี.ค. 49 ม็อบเคลื่อนจาก สนามหลวง, ASTV 1 และ 3 ไปสู่บริเวณทำเนียบรัฐบาลเช้าวันที่ 14 มี.ค. 2549 เวลา 0700 น.ประกาศยึดพื้นที่ปลุกระดมอย่างยืดเยื้อ จนกว่าจะไล่ทักษิณลงได้
Research on propaganda aspect 4
การศึกษาวิจัยบางแง่มุมของการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศไทย
เรายังมีแง่มุมที่ยังต้องติดตามศึกษาต่อไปอีกภายใต้หัวข้อ Research on propaganda aspect 4 โดยได้กลุ่มม็อบต่อต้านรัฐบาล เป็นกลุ่มตัวอย่าง ในสมมติฐานที่สำคัญ ๆ
ตามที่ เราได้ข้อสรุปมาแล้ว ว่า
การโฆษณาชวนเชื่อนั้น คือการทำให้คนสะใจ มันในอารมณ์อย่างยิ่ง ด้วยคำพูด ด้วยการแสดงดนตรี ละคร งิ้ว ลิเก ด้วยการสร้างภาพที่ดูสะใจประดาคนผู้ผิดหวังและเคียดแค้น ในขณะเดียวกันปลอบใจ โดยการให้ความหวัง แม้เป็นเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ เรื่องที่ไม่อาจเป็นจริงได้ ก็ฝันเอาว่าจะเป็นจริงได้
และเลยเถิดไปถึงความฝันถึงวิมานสวรรค์ พล่ามถึงสิ่งที่สวยงามเหลือเชื่อ แม้สิ่งที่อยู่ในโลกนี้ และแม้กระทั่งโลกหน้า ชาตินี้ และชาติหน้า เช่นกล่าวว่าการต่อสู้จะไม่หยุดอยู่แค่ชาตินี้ จะต่อสู้ไปจนถึงชาติหน้า(ตอนสาย ๆ หรือ บ่าย ๆ ก็ไม่จำกัด) เป็นต้น
บัดนี้เรามีประเด็นการศึกษาเพิ่มเติมไปอีกหลายประเด็น ดังต่อไปนี้
ประเด็นที่ 1 ลักษณะกลุ่มม็อบ
โดยที่ข้อเท็จจริงหรือหลักวิชามีว่า กลุ่มชนที่มาร่วมในกิจการงานโฆษณาชวนเชื่อนั้นย่อมมีหลายกลุ่มหลายลักษณะกัน แต่กลุ่มที่พึงเพ่งเล็งมากที่สุดก็คือ กลุ่มที่มีความผิดหวังในชีวิตมา ที่มีความคั่งแค้นซ่อนลึกฝังใจมา จะเป็นกลุ่มที่ต้องการที่สุด เพราะเป็นกลุ่มที่จะสามารถปลุกระดมและล้างสมองได้ง่าย เนื่องจากในจิตใจมีเชื้อความเกลียดชังฝังลึกอยู่แล้ว เราจะลองวิเคราะห์กลุ่มม็อบที่มาต่อต้านรัฐบาล ออกเป็นกลุ่มผู้ผิดหวังและคั่งแค้น จริงหรือไม่ ดังต่อไปนี้
กลุ่มที่ 1 กลุ่มสันติอโศกนำโดย โพธิรักษ์
โพธิรักษ์ เดิมบวชในคณะสงฆ์ไทย แล้วยังไม่ทันพ้นนวกภูมิ(5พรรษา) ก็ตั้งตนเป็นอาจารย์ รวบรวมสมัครพรรคพวกเป็นกลุ่มก้อนขึ้น เป็นหมู่กลุ่มประพฤติตนเป็นนักมังสวิรัติ แล้วอวดอ้างต่อหมู่พวกว่าตนเป็นพระอริยบุคคลชั้นอรหันต์ และเป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งหมายถึงผู้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปในอนาคต
ต่อมาหมู่นักปราชญ์ในคณะสงฆ์(นำโดยพระธรรมปิฏก) ได้ออกมาตักเตือน ให้ละเลิกพฤติกรรมอวดอุตริมนุสธรรมเสีย จนโดนอัปเปหิออกไป และพ่ายแพ้คดีในศาล จนต้องออกจากความเป็นสงฆ์ในระบอบของมหาเถรสมาคม มาใช้คำว่า สมณะ แทน และต้องห้ามใช้การห่มครองแบบหมู่สงฆ์มหาเถรสมาคม ก็นับเป็นกลุ่มที่เคียดแค้นและผิดหวังกลุ่มใหญ่ ที่มาร่วมในอุดมการณ์ขับไล่นายกรัฐมนตรี
ในประเด็นเกี่ยวกับการโฆษณาชวนเชื่อ พวกเขาก็จะได้อ้างเอาความเป็นนักบวช และความเป็นอรหันต์ ความเป็นโพธิสัตว์นี้เป็นโล่กำบังตนเอง และได้โอกาสโฆษณาชวนเชื่อปลุกเร้าหมู่กลุ่มตนให้บ่อนทำลายรัฐบาลของประชาชนที่มาโดยกติกาการเมืองระบอบประชาธิปไตยยิ่งขึ้นต่อไป
กลุ่มที่ 2 สนธิ ลิ้มทองกุล และเครือข่ายทีวีโฆษณาชวนเชื่อ ASTV 1 และ 3 แม้กระทั่งบัดนี้ ก็ไม่มีใครรู้เบื้องหลังของเขา ในเรื่องประวัติส่วนตัว วันเกิด เดือนเกิด ปีเกิด เวลาเกิด สถานที่เกิด ในระยะแรกของการ ออกรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ที่ช่อง 9 ก็เป็นผู้สนับสนุน ที่ชื่นชม ดร.ทักษิณ เป็นอย่างยิ่ง จนถึงกับออกปากฟันธงว่าทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดของประเทศไทย เขาแสดงออกถึงความเลื่อมใสอย่างยิ่งต่อฝีมือเชิงธุรกิจของ ดร.ทักษิณ ก่อนที่จะถูกปลดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ เป็นช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในท่าทีบุคลิกภาพของเขาไปมาก เขาเริ่มเป็นคนเราะราย ชอบเปิดประเด็นเสี่ยง ๆ ต่อสถาบัน ไม่ว่าสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ และหันมาด่าคุกคามนายกรัฐมนตรีทักษิณ อย่างรุนแรง เขาแสดงความอาฆาตมาดร้ายว่า แม้ดร.ทักษิณจะออกจากนายกแล้วไปไหนก็ตามจะให้เครือข่ายการข่าวของเขาตามไปดู ว่าคนอย่างดร.ทักษิณจะเจริญหรือไม่ จะตามเอามาประจานอย่างเจ็บแสบ มีคนเห็นว่าเขาหยาบคายเกินไป จนเรียกเขาว่า กุ๊ยข้างถนน ล่าสุดมีอาจารย์ทางมหาวิทยาลัยเก่าแก่แห่งหนึ่งเรียกเขาว่า กุ๊ยการเมือง คำว่ากุ๊ย บางทีก็อาจจะเห็นจากการแสดงอารมณ์ที่แรงมาก ๆ ของเขา เช่นกรณี แคทริยา แม็คอินทอช เขาก็เคยประณามอย่างเสีย ๆ หาย ๆ มาแล้วอย่างไม่ลดรา คารมก้าวร้าวลงเลย ต่อมาจึงค่อยมีความจริงเปิดเผยว่า เขาเป็นกลุ่มผู้ล้มในธุรกิจยุค พ.ศ. 2540 มาแล้ว และขณะนี้ยังติดหนี้สินอยู่มากมาย บางส่วนได้กลายเป็นเอนพีแอลไป แท้ที่จริงเขาจึงเป็นกลุ่มบุคคลผู้เอารัดเอาเปรียบประเทศชาติ มีความผิดหวังในเรื่องการขอสนับสนุนเงินทุน จากธนาคาร และเรื่องส่วนตัวกับนายกรัฐมนตรี
กลุ่มที่ 3 พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กลุ่มมูลนิธิกองทัพธรรม ผิดหวังจากนโยบายด้านต่าง ๆ ของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายด้านการนำอบายมุขให้ขึ้นบนดิน ให้ชอบด้วยกฎหมาย และการนำเบียร์ช้างเข้าตลาดหุ้น และมีความแค้นส่วนตัวอีกหลายอย่าง นับตั้งแต่ทางด้านบุคลิกภาพที่เข้ากันไม่ได้ พล.ต.จำลองมองตนเองว่ามีสติปัญญาทางธรรมะสูงกว่า มีความรู้ทางธรรมะและทั้งมีการปฏิบัติธรรมะสูงกว่าดร.ทักษิณ หลังสุดคือ วาทะของ ดร.ทักษิณที่ว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง ซึ่งทั้งพล.ต.จำลอง และ โพธิรักษ์ ออกมาวิจารณ์ในทำนองว่า ดร.ทักษิณ ไม่รู้เรื่องอะไรในทางธรรมะ เพียงแต่พูดไปตามตัวหนังสือ แต่ ดร.ทักษิณ กลับแสดงความหมายว่า รู้ธรรมะลึกซึ้งกว่า และทันสมัยกว่า โดยอ้างหนังสือของท่านพุทธทาสภิกขุ ว่า ตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง ดร.ทักษิณ ยังแสดงถึงการไม่ยึดมั่นถือมั่น โดยออกปากว่า ตนเป็นศิษย์เอกของพล.ต.จำลอง เรื่องธรรมะนี้ทางสันติอโศกมีความยึดมั่นถือมั่นมาก ในเชิงมานะอัตตา ถือตัวว่าดี ดีกว่า ดีที่สุด หรืออย่างน้อยที่สุดก็ทะนงตนว่าดีกว่าสงฆ์ฝ่ายมหาเถรสมาคม เอาตัวเองเป็นมาตรฐานการตัดสินผู้อื่นมาโดยตลอด แต่เมื่อ ดร.ทักษิณ ทำท่าว่ารู้ดีกว่าก็ยอมไม่ได้ ละมานะไม่ได้ ยอมรับในภูมิรู้ภูมิธรรมของคนที่เหนือกว่าไม่ได้ พล.ต.จำลอง มักอ้างว่าพลกองทัพธรรมมีความอึดมากกว่าทักษิณ นั่นเป็นปมเด่นของเขา ก็ชอบอวดชอบแสดง การที่มาชุมนุมก็เพียงเพื่อจะอวดว่าพลังผักอึดได้ไม่จำกัดเท่านั้นเอง โดยไม่คำนึงว่าได้ประโยชน์อะไรแก่ตนแก่การปฏิบัติธรรม และแก่ประเทศชาติ
กลุ่มที่ 4 นายสุริยะใส กตะศิลา ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไป ทราบแต่ว่า ไม่ไปออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งในการเลือกตั้งคราวที่แล้ว ซึ่งถือว่า บกพร่องในการทำหน้าที่ประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย มีความผิดตามรัฐธรรมนูญ ไม่เข้าใจประชาธิปไตย ที่ว่า การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ แล้วมาอ้างประชาธิปไตยเป็นโล่ป้องกันตัวเองตลอดมาจนถึงบัดนี้ สุริยะใส กตศิลา เป็นบุคคลที่ถูกตั้งคำถามถึงสถานะส่วนตนมากอีกผู้หนึ่ง ภาพที่ปรากฎทั่วไปก็คือเขาเป็นคนที่ไร้อาชีพ ไร้การระบุถึงการทำมาหากินว่า ทำมาหากินอย่างไร มีชีวิตครอบครัวเผ่าพันธ์เป็นอย่างไรบ้าง เป็นอีกผู้หนึ่งที่ผิดหวังในสังคม ไม่ว่าทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม ทุกอย่าง และเป็นคนประเภทที่มองโลกในแง่ร้าย
กลุ่มที่ 5 มี ส.ว.และกลุ่มการเมือง ที่ผิดหวังในเรื่องราวต่าง ๆ เช่นมีส.ว.คนหนึ่ง ที่มีเรื่องในสภาในการประชุมครั้งล่าสุดของปีนี้ เพราะใช้วาจาต่ำ หยาบคายในการวิจารณ์ และดื้อด้าน จนประธานสภาสั่งให้เจ้าหน้าที่คุมตัวออกไปจากสภา ซึ่งเป็นเรื่องขายหน้าไปทั่วพาราประชากรโลก ก็มาขึ้นเวทีสนับสนุนการโฆษณาชวนเชื่อด้วย และล่าสุดมีระดับอดีตประธานวุฒิสภา และเป็นวุฒิสมาชิกอยู่คือ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ไปปราศรัยสนับสนุนม็อบ ว่าทหารควรออกมาจัดการสถานการณ์ ที่เวทีทำเนียบนายกรัฐมนตรีด้วย กลุ่มเหล่านี้เป็นกลุ่มจร ที่มีความคั่งแค้นผิดหวังมาเช่นเดียวกัน ที่เป็นประโยชน์ให้แด่ฝ่ายม็อบโฆษณาชวนเชื่อ โดยเทกนิก The sun also rises พระอาทิตย์ก็พลอยส่องแสงกับเขาด้วย นั่นเอง
ประเด็นที่ 2 สถานการณ์ม็อบเชิงการโฆษณาชวนเชื่อขณะนี้ ยังมีสมมติฐานที่น่าศึกษาต่อไปอีกหลายข้อ เพื่อพิศูจน์ว่าพวกเขาได้นำเอาหลักการและทฤษฎีของสงครามนอกแบบมาใช้จริงหรือไม่ นั่นคือ
สมมติฐานที่ 1 ม็อบจะเรียกร้องให้ทุกฝ่ายรักษาอหิงสาธรรม แต่ซ่อนแผนแท้จริงเอาไว้ เช่นแผนการปล่อยข่าวลือ, แผนการโฆษณาบิดเบือนข่าวสารในบางที่บางแห่งและบางกลุ่มเป้าหมาย, แผนก่อกวนทั่ว ๆ ไปให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และแผนใช้ความรุนแรงก่อการจลาจลเมื่อสถานการณ์เปิดโอกาสให้ ผู้นำระดับ 5 บิ๊ก ฝ่ายม็อบจะมีการประชุมเตรียมแผนไว้พร้อมหลายหลากมากมาย แต่จะเกลื่อนเหมือนไม่มีอะไร และไม่มีการแจ้งให้กลุ่มติดดินที่เป็นเพียงเครื่องมือราคาถูกทราบอย่างเด็ดขาด
สมมติฐานที่ 2 ในด้านการต่อรองของม็อบมี 2 ลักษณะ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป คือ ประการที่ 1 ยืนยันอย่างกร้าวแกร่งในข้อเสนอเดิม และประการที่ 2 ผ่อนปรนลงไป แต่มีนัยยะความหมายแตกต่างกันมาก เมื่อยืนยันอย่างกร้าวแกร่งในข้อเสนอเดิม จะหมายถึงการสู้ตายเพราะรู้ดีว่าตนทำความผิดเอาไว้ค่อนข้างฉกรรจ์ยากจะได้รับการอภัยโทษ ส่วนการผ่อนปรนลงไป อ่อนข้อลงไปกว่าเดิม ก็แสดงความหมายว่า มีความจริงใจขึ้น มีความเป็นมนุษย์ขึ้น
ขณะนี้มีสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในทางที่ฝ่ายม็อบจะต้องพิจารณาอย่างหวาดหวั่นก็คือ การพูดของ ท่านอดีตประธานวุฒิสภา มีชัย ฤชุพันธุ์ และล่าสุด ศ.ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน (ที่พูดเรื่องจุดยืนของระบอบประชาธิปไตยไทยและสากลอย่างชัดเจนมาก ว่าจะต้องหันเข้าหากติกาตามหลักวิชาประชาธิปไตย) และ ฯพณฯ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองค์มนตรี ที่ได้เตือนสติทุกฝ่าย ตลอดทั้งท่าทีกลาง ๆ อย่างนักร้องดัง เช่น เอกชัย ศรีวิชัย และนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงคุณฉลาด วรฉัตร ที่อดอาหารประท้วงม็อบ และยื่นฟ้องแกนนำม็อบในข้อหาพยายามล้มล้างการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย ตลอดทั้งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ มี กกต. แสดงจุดยืนที่เป็นหลักการประชาธิปไตยอย่างหนักแน่น ชัดเจน
สมมติฐานที่ 3 กลุ่มม็อบย่อมแสดงท่าทีที่รักชาติ แต่แท้ที่จริงขาดความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมืองโดยสิ้นเชิง จะเสนอข้อเสนอที่ขัดแย้ง ที่ตรงข้ามกับรัฐบาลทุกเรื่อง ไม่ยินดีในการประนีประนอม แต่จะพยายามก่อเรื่องให้ยุ่งเหยิงไปยิ่งขึ้นเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง เมื่อมีข่าวสถานการณ์ด้านต่าง ๆ ที่เป็นไปในทางร้ายของประเทศ โดยเฉพาะสถานการณ์เศรษฐกิจ ที่เริ่มรวนเรไป กลุ่มม็อบจะมีความยินดี จะกระซิบกระซาบในหมู่กลุ่มตนอย่างยินดี และเอาไปเป็นหัวข้อปลุกระดมล้างสมองยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันเร่งกล่าวโทษรัฐบาล ผู้ปกครอง ผู้บริหาร โดยสำทับให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหา และเร่งให้นายกรัฐมนตรีลาออก การระส่ำระสายในฐานะเศรษฐกิจของชาติไม่ว่าด้วยเหตุผลใด จะเป็นเหตุให้การปลุกระดมด้วยการโฆษณาชวนเชื่อยิ่งทวีขึ้น และเมื่อมีสถานการณ์ร้าย ม็อบจะเรียกร้องอย่างเด็ดขาดว่า เพียงนายกรัฐมนตรีลาออกไปก็จบ (ซึ่งในอดีตม็อบมิเคยรับผิดชอบเลยว่าสถานการณ์เลวร้ายด้านต่าง ๆ จะส่งผลแก่ประเทศชาติและสังคมอย่างไร)
สมมติฐานที่ 4 ยุทธศาสตร์การต่อสู้ของม็อบคือหลักการยืดเยื้อ และขยายเครือข่ายออกไปในหมู่คนประเภทเดียวกันคือกลุ่มผู้ผิดหวัง หรือสูญเสียผลประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาเศรษฐกิจ จะแสวงหาแนวร่วมอย่างไม่หยุดยั้ง แม้กระทั่งกลุ่มเด็กนักเรียน กลุ่มผ้าอ้อม โดยอ้างว่าเพื่อประชาธิปไตย ในหมู่กลุ่มจะถูกเร่งรัดให้รับผิดชอบกันเป็นงานสำคัญเร่งด่วนอย่างยิ่ง การเร่งในเรื่องนี้ เพื่อให้ทันกับการสนับสนุนของฝ่ายรักทักษิณ ที่มีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวกันมากยิ่งขึ้น และให้ทันมาตรการการข่าวสารของรัฐบาล
สมมติฐานที่ 5 การปลุกระดมล้างสมองจะทำได้ถี่ขึ้น เน้นย้ำลงไปในอุดมการณ์ จนกระทั่งมวลชนขาดความเป็นตัวของตัวเอง หล่อหลอมความคิดของทุกคนให้เกิดเป็นกระแสโดยไม่คำนึงทิศทางหรือความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง จะมุ่งไปสู่เป้าหมายของตนเพียงทางเดียว ด้วยอำนาจการล้างสมอง อุปมาก็เสมือนใส่โปรแกรมเข้าไปในหุ่นยนต์ นั่นเอง สถานการณ์ที่อ่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ การจับกุมหรือทำร้ายบุคคลในม็อบ หรือแกนนำ จะเป็นสถานการณ์ที่อ่อนไหวมาก จะเกิดกระแสตอบโต้ทั้งหมู่
สมมติฐานที่ 6 กลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาล ได้อาศัยช่องว่างของระบอบประชาธิปไตยทุกอย่าง มาเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ นับตั้งแต่ อุดมการณ์ที่ว่า Majority rule minority right การปกครองโดยคนส่วนมากและสิทธิของคนส่วนน้อย หรืออ้างตนว่าเป็น กลุ่มพันธมิตรเครือข่ายประชาธิปไตย แต่ในทางปฏิบัติจริง กลุ่มม็อบได้เดินตามวิถีประชาธิปไตยหรือไม่
สมมติฐานที่ 7 ตามที่มีมาตรา 63 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ระบุไว้ดังนี้
มาตรา 63 บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้
ขณะนี้นายฉลาด วรฉัตร ได้ยื่นฟ้องแกนนำกลุ่มม็อบเหล่านี้ ว่าผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 63 และมาตราอื่น ๆ อีกหลายมาตรา น่าศึกษาว่า ในเชิงการโฆษณาชวนเชื่อ กลุ่มม็อบจะดำเนินการไปอย่างไร จึงจะไม่ไปเพิ่มหลักฐานให้แก่ทางฝ่ายผู้ฟ้องร้อง มีการโฆษณาปลุกระดมในเชิงการต่อต้านการเลือกตั้งอย่างไรหรือไม่ แสดงท่าทีเคารพเลื่อมใสต่อสถาบันอิสระตามรัฐธรรมนูญบ้างหรือไม่
สมมติฐานที่ 8 เพื่อป้องกันตนเอง ม็อบจะพูดถึงความซื่อสัตย์ต่าง ๆ อ้างกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ดี ๆ อ้างจริยธรรม แม้กระทั่งเรื่องเงินทอง ก็จะอ้างว่าตนไม่มีการทุจริต มีระบบที่ดี อะไรดี ๆ จะกล่าวกันเอาไว้ก่อนเสมอ พอเกิดเรื่องขึ้น ก็จะอ้างได้ว่าตนได้อยู่ในระเบียบดีมาแต่ต้นแล้ว เรื่องความเลวเช่นนี้ทางฝ่ายตนไม่มี ต้องเป็นของฝ่ายอื่นทั้งสิ้น เช่นเมื่อมีการวางระเบิด เขาก็จะกล่าวหาทันทีว่า เป็นฝีมือของฝ่ายรัฐบาล แน่ ๆ
สมมติฐานที่ 9 การบริหาร การปกครองของม็อบ เป็นเผด็จการ อำนาจสูงสุดอยู่ที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล คณะอีก 4 คนผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดเป็นเพียงภาพลวงและเครื่องมือสร้างภาพเท่านั้น การตรวจสอบของประชาชน หรือคนในกลุ่มม็อบทั้งหมดนั้นจะกระทำไม่ได้ โดยเฉพาะในด้านการเงิน ประชาชนไม่มีทางตรวจสอบได้ว่า เงินที่เข้าบัญชีสนธิ ลิ้มทองกุล ตลอดมาแล้วนั้น มาจากไหนบ้าง ถูกใช้จ่ายไปเท่าไร เพื่อทำอะไร มีหลักฐานการเงินอยู่อย่างไร มีความโปร่งใสเพียงใด และเป็นรายได้อย่างไรบ้าง ต้องเสียภาษีรัฐหรือไม่ ประชาชนเสียรู้แก่นายสนธิ ลิ้มทองกุลหรือไม่
สมมติฐานที่ 10 ม็อบโฆษณาชวนเชื่อ จะพยายามขยายสิ่งที่เรียกว่า สงครามประสาท ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความขัดแย้งในเชิงการเมืองรุนแรงขึ้นจนเกิดสภาวะทางสุขภาพจิต คนมีอาการผวาทางระบบประสาท นั่นจะเป็นสิ่งที่ฝ่ายม็อบมีความพอใจยินดี มองว่านี่เป็นข้อได้เปรียบของฝ่ายตน และจะพยายามขยายสถานการณ์นี้ให้ตีวงกว้างออกไปเรื่อยๆโดยย้ำลงไปในประเด็นที่มีความขัดแย้งยิ่งขึ้น มองความทุกข์ความเดือดร้อนของประชาชนเป็นข้อได้เปรียบของตน
สมมติฐานที่ 11 จุดประสงค์ของม็อบ
มีความชัดเจนมาแต่เดิม ตั้งแต่เริ่มก่อม็อบเมืองไทยรายสัปดาห์ว่า ต้องการไล่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ออกออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วยังต้องออกจากวงการเมืองไทยไปด้วย และทั้งต้องเดินทางอพยพไปจากประเทศไทย ไปอยู่ต่างประเทศ กล่าวคือ ไม่ให้มีทั้งสิทธิและหน้าที่โดยประการทั้งปวงในการบ้านการเมืองของประเทศไทย อีกต่อไป
บัดนี้ ได้มีการเพิ่มเติมจุดมุ่งหมายไปในลักษณะที่ ต้องการรัฐบาลใหม่ โดยวิถีทางการเมืองทุกรูปแบบ ไม่ว่าชอบหรือไม่ชอบด้วยระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ หรือไม่ก็ตาม
เรากำลังติดตามศึกษาอย่างใกล้ชิดว่าม็อบได้มาถึงขั้นนี้แล้วหรือยัง
เรามั่นใจว่า แม้ขณะนี้ ก็มีข้อพิศูจน์สมมติฐานดังกล่าวมานี้บางข้อได้เกิน 50 % ไปแล้ว แต่ในบางข้อก็ยังไม่มีข้อพิศูจน์ที่ชัดเจน จึงต้องติดตามศึกษาอย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อให้ได้พิศูจน์ข้อสมมติฐานทั้ง 11 ข้อนี้สมบูรณ์ ตราบที่ยังมีตัวอย่างที่ให้โอกาสอย่างดีในการศึกษาอยู่ขณะนี้.
บานไม่รู้โรย
www.newworldbelieve.com
17 มี.ค. 2549