รายงานข้อมูลการศึกษา 15 หัวข้อ
เรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ
รายงานข้อมูลการศึกษาเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ
11. มองแง่การศาสนา
บทความพิเศษ 11 ทวงคืนประเทศไทยไล่นายรัฐมนตรีออกจากประเทศ ณ สนามหลวง ASTV1 และ 3
วันอาทิตย์ 5 มี.ค.2549เวลา 18.00 น.ถึงเช้าวันที่ 6 ก.พ. 2549 จบลงด้วยการปลุกระดมสลายตัว โดยนัดชุมนุมต่อไปทุกวัน ระหว่าง 16.00-24.00 แล้วนัดประชุมใหญ่ 13 มี.ค. 2549วันที่ 14 มี.ค. 2549 จะยกขบวนไปทำเนียบรัฐบาล กดดันให้นายกรัฐมนตรีลาออกให้ได้
สถานการณ์แตกแยกของประชาชนไทย มองแง่การศาสนา
เมื่อคนพอกพูนความโกรธ นั่นก็คือไฟ
ไฟที่ไม่มีความคิด มันพอใจต่อเชื้อ และเชื้อเท่าไร ๆ ไฟก็ไม่รู้อิ่ม เผาได้ตั้งแต่สิ่งเล็ก ๆ คือ เผานุ่น ไปจนถึงเผาบ้านเผาเมือง
พระพุทธเจ้าของเราตรัสถึงความโกรธนี้ว่า
โกธํ ชเห วิปฺปชเหยฺย มานํ
สํโยชนํ สพฺพมติกฺเมยฺย
ตํ นามรูปสฺมิมสชฺฌมานํ
อกิญฺจนํ นานุปตนฺติ ทุกฺขา
ควรละความโกรธ ละมานะ
เอาชนะกิเลสเครื่องผูกมัดทุกอย่าง
ผู้ที่ไม่ติดอยู่ในรูปนาม หมดกิเลสแล้ว
ทุกข์ก็ครอบงำเขาไม่ได้
One should give up anger and pride,
One should overcome all fetters.
Ill never befalls him who is passionless,
Who clings not to Name and Form.
(จาก เสฐียรพงษ์ วรรณปก พุทธวจนะในธรรมบท พิมพ์ครั้งที่ 4 ส.ค.2525 หน้า257)
ประเด็นในพระคาถาธรรมบทบทนี้ก็คือ เรามีความทุกข์กันเหลือเกิน โดยแท้ที่จริงมาจากเราต่าง ผูกโกรธ คือโกรธใครคนหนึ่งคนใด หรือแม้กระทั่งโกรธตัวเราเอง (ที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ)
พระพุทธองค์ชี้ว่า เมื่อเราละความโกรธเสีย ทุกข์ก็ครอบงำเราไม่ได้
ในรายละเอียดก็คือ วิถีทางแห่งความโกรธ คือทางบาป
เมื่อเราไม่ละความโกรธเสีย ก็เป็นอันเสี่ยงว่า จะไปสู่กรรมบาปที่มีปริมาณมากขึ้น โดย
ประการที่ 1 บาปที่เกิดจาก มโนกรรม เมื่อเรามีความโกรธ ก็ย่อมมีความคิดให้ร้ายคนอื่น มีการมุ่งร้ายคนอื่น มีการปองร้ายคนอื่น มีเจตนาร้ายต่อคนอื่น และมีแผนร้ายต่อคนอื่น นั่นเป็นบาปทางจิตใจแล้ว
ประการที่ 2 บาปที่เกิดจาก วจีกรรม หรือวจีทุจริต มี 4 อย่างคือ
(1) มุสาวาท การพูดเท็จ หลอกลวง การโฆษณาชวนเชื่อ การปล่อยข่าวลือ
(2) ปิสุณาวาท วาจาส่อเสียด ที่เทียวยุยงให้คนหรือสถาบันของชาติแตกกันเป็นฝักเป็นฝ่าย โดยเจตนา หรือโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในข่าวสาร
(3) ผรุสวาท วาจาหยาบคาย การก่นด่าอย่างคั่งแค้นไร้สมบัติผู้ดี ต่ำ ทราม ส่ำสกุล ส่ำสถุล และ (4) สัมผลัปปลาปาวาท การพูดเพ้อเจ้อ คือพูดในเรื่องเพ้อฝัน เรื่องที่ไม่อาจจะเป็นจริงได้เลย พล่าม หลงตนเอง ซึ่งเกินความจริงและไร้เหตุผลที่จะเป็นไปได้ แต่พูดเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อ และโดยชักชวนคนอื่นให้เชื่อตามหลงลืมตนตามไป
ประการที่ 3 บาปที่เกิดจากกายกรรม นั่นคือเกิดการขัดแย้งถึงขั้นที่ใช้กำลังกายเข่นฆ่า ทำร้ายบุคคลอื่นหรือทำร้ายซึ่งกันและกัน เกิดการจลาจล ใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกันเอง เสียสติไม่นึกถึงประโยชน์ตนประโยชน์ของชาติ
กรรม 3 ทางนี้ โดยหลักการของพระพุทธศาสนาแล้ว มโนกรรมย่อมเป็นชั้นละเอียดอ่อน หากมโนกรรมไม่บริสุทธิ์เสียแล้ว ก็ยากที่จะเจริญวิปัสสนาญาณ ก็ไม่อาจบรรลุมรรคผลนิพพานได้
เมื่อลองมองอย่างเป็นรูปธรรม ก็จะมีคติตรงกันกับทางกฎหมายที่ว่า
กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา
การที่เราเรียกร้องอย่างเด็ดขาดเกินไป อย่างที่ฝรั่งเรียกว่ายื่นอัลติเมตั้ม(Ultimatum) นั้น แสดงถึงกรรมที่ชี้เจตนา คือเป็นมโนกรรม
เช่น ยื่นข้อเรียกร้องให้ถอนตัวจากการเมืองโดยถอนตนจากสิทธิในการเมืองไทยไปอย่างไม่มีเงื่อนไข
ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่มากเกินไป จนสุดวิสัยที่ใครจะทำได้
และข้อกล่าวหาก็เป็นเรื่องร้ายแรงสาหัสฉกรรจ์ คือข้อกล่าวหาว่า โกงชาติ ขายชาติ ทรราช โกงแผ่นดิน โคตรโกง โกงทั้งสกุล โกงทั้งโคตร
ซึ่งส่อทางธรรมที่เลวชาติมากเหลือเกิน จนแม้นรกก็แทบจะรับคนเลวขนาดนี้ไม่ได้
และที่สำคัญก็คือ เมื่อกล่าวหาเขาแล้ว เราเองนั่นแหละทำการตัดสินเองเสร็จสรรพ ในชั่วเวลาเพียงอึดใจเดียว โดยเอามาตรฐานของตนเองฝ่ายเดียวเป็นตัวตัดสิน ว่าเขามีความผิดร้ายแรงเช่นนั้นจริง แล้วออกคำสั่งบังคับเองเสร็จสรรพว่า เขาต้องลาออกจากตำแหน่ง และออกจากวงการเมืองไทยไปชั่วนิรันดร
ซึ่งเป็นการลงโทษที่หนักมาก ๆ ยิ่งกว่าตกนรกอเวจีทางจิตใจเสียอีก
เช่นนี้เห็นได้ว่า กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา เป็นการกระทำไปด้วยความโกรธ ที่มิใช่ธรรมดา แต่โกรธมาก ๆ
และเป็นความอาฆาตแค้นอย่างลึกซึ้ง เป็น ปฏิฆะ คือจองล้างจองผลาญ
และเป็นโมหะคืออวิชชา ความหลง
หลงในอัตตาตัวตน มีมานะ ว่าตนประเสริฐเลิศล้ำ รู้ผิดรู้ถูกทุกอย่างในโลก ตนเป็นบรรทัดฐานของสังคมนี้แต่เพียงผู้เดียว
ไม่คำนึงถึงความเป็นธรรม โดยหลักความยุติธรรมสากล ที่เป็นหลักมัชฌิมาปฏิปทา
และมโนกรรมย่อมไม่บริสุทธิ์
เช่นนี้ ย่อมเป็นบาป เป็นมโนทุจริต ต้องระวังว่าจะเป็นทางนำไปสู่วจีทุจริตและกายทุจริต อันเป็นบาปกรรมที่สาหัสขึ้นกว่าเดิม แล้วจะปิดกั้นมรรคผลนิพพานเสีย
คุณงามความดี หรือบารมีที่สะสมมาตลอดชาติก็จะเสื่อมสิ้นสูญไปพลันทันที อย่างน่าเสียดายอย่างยิ่ง
เหตุเพราะมีอัตตามานะ ทำให้หลงลืมไปว่าอะไรเป็นสาระ อะไรเป็นอสาระ
โลก แท้ที่จริงย่อมเป็นอสาระ
เหตุใดไปยึดโลกไว้
ในวิถีทางมรรคผลนิพพาน โลกเป็นสิ่งที่พึงสละ ปลดปล่อย ละวาง เท่านั้น
วางโลกเสียได้ ก็ถึงนิพพาน
โลกนี้แท้จริง ไร้ค่า
แต่ผู้มีโมหะเห็นว่ามีค่า จึงไม่บรรลุนิพพาน เพราะไม่ยอมปล่อยวางเสีย
เพียงปล่อยวางโลกที่ไร้ค่าเสียเท่านั้นเอง
ก็จะพบสัจธรรมว่า โลกนี้ไร้ค่า ไม่สมควรที่เราจะยึด แบกเอาเลย
เราจงมาเรียกร้องในสิ่งที่สมควร อย่าโต่งสุดขอบเกินไปจนปิดทางที่ใครอาจทำได้
จงมาสู่ มัชฌิมาปฏิปทา
ฉะนั้น เราน่าจะมาถึงเวลาแล้วที่คนผู้มีความโกรธ มาละความโกรธเสีย คนที่เรียกร้องอย่างสุดโต่ง จักมาสู่ทางสายกลาง
และคนที่กล่าวหาอย่างร้ายแรง จงมาสู่ความยุติธรรม
จงให้สถาบันของชาติบ้านเมือง เป็นการตัดสิน
จงอย่าตัดสินคนอื่น ด้วยมาตรฐานของตนเองเลย
คนทั้งหลายจงมารำลึกพร้อมกันถึง อภัยทาน ละมานะเสีย ให้ความอภัยต่อกันและกันดีกว่า แล้วความโกรธก็จะหายไป
ต้องตามพุทธพจน์ว่า
โยเว อุปฺปติตํ โกธํ
รถํ ภนฺตํ ว ธารเย
ตมหํ สารถึ พฺรูมิ
รสฺมิคฺคาโห อิตโร ชโน
ผู้ใดยับยั้งความโกรธที่เกิดขึ้นไว้ได้
เหมือนสารถีหยุดรถที่กำลังแล่น
ผู้นั้นเราเรียกว่า สารถี
ส่วนคนนอกนั้นได้ชื่อเพียง ผู้ถือเชือก
Whoso, as rolling chariot, checks
His anger which has risen up-
Him I call charioteer.
Other merely hold the reins.
(เล่มเดิม อ้างแล้ว หน้า 258)
และผลก็คือ เป็นผู้หยุดบาปเสียได้ ชีวิตก็มีความสุข นั่นคือ ควบคุมอารมณ์ไว้ได้ ไม่ให้เกิดความโกรธ เหมือนสารถีควบคุมม้าได้ ฉะนั้นแล้ว มรรคผลนิพพาน ย่อมอยู่ไม่ไกลมือเอื้อม.
ทางช้างเผือก
www.Newworldbelieve.com
13 มี.ค. 2549