รายงานข้อมูลการศึกษา 15 หัวข้อ
เรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ
เรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ
10. สถานการณ์ของชนชั้นนักวิชาการ
รายงานบทที่ 10 รายงานการชุมนุม ต่อต้านรัฐบาล[10] การชุมนุม ต่อต้านรัฐบาล (10) ทวงคืนประเทศไทย, 5-6 มี.ค. 49 ณ สนามหลวง, ASTV 1 และ 3 วันอาทิตย์ ที่ 5 มี.ค. 2549 เวลา 18.00 น.ถึงเช้าวันที่ 6 ก.พ. 2549 จบลงด้วยการปลุกระดมสลายตัว โดยนัดชุมนุมต่อไปทุกวัน ระหว่าง 16.00-24.00 แล้วนัดประชุมใหญ่ 14 มี.ค. 2549
6 สถานการณ์ของชนชั้นนักวิชาการไทยยุคปัจจุบัน
(The Six Events)
สถานการณ์ในวันนี้นับว่าเป็นสถานการณ์บ้านเมืองที่สับสนอยู่
นั่นคือ ไม่มีใครรู้อย่างแน่ชัดว่าอะไรเป็นอะไร และมีข้อสังเกตถึงความแตกต่างทางความคิด ทางอารมณ์ อย่างมาก ๆ ก็คือ ความเห็นที่แตกต่างระหว่าง ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะรากหญ้าในชนบท ซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ กับ ประชาชนในสถาบันการศึกษา ที่เรียกว่านักวิชาการ โดยเฉพาะกลุ่มชนในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาของสังคม
เราลองมาจับตาดูสถานการณ์ของชนกลุ่มที่อ้างตัวว่าเป็นนักวิชาการ หรือ ปัญญาชนยุคนี้กันดู
ในเชิงความเป็นธัมมวิจัย นั่นคือความเป็นธรรม
โดยจิตใจที่รักความเป็นธรรมและการต่อสู้ที่รักความเป็นธรรม และเพื่อความเป็นธรรม
อันเป็นวิปัสนาญาณ เพื่อการรู้แจ้งจริงแห่งสัจจะ(The mean to approach the Truth)
สถานการณ์ที่ 1 มีคณะบดีคณะรัฐศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จู่ ๆ ก็ออกมาแถลงการณ์ขับไล่นายกรัฐมนตรีให้ออกไปเสียจากตำแหน่ง
โดยไม่แสดงเหตุผลทางรัฐศาสตร์ ทั้ง ๆ ที่ตนเป็นครูอาจารย์ของนักรัฐศาสตร์ และจนกระทั่งบัดนี้ คณะบดีคนนั้นยังไม่เคยออกมาให้ความรู้ทางรัฐศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องที่ตนเสนอนี้แด่สังคมอย่างไร กลับหายเข้ากลีบเมฆไป เข้าทำนองที่ชาวชนบทว่า ตีหัวเข้าบ้าน อันเป็นกริยาของคนขี้ขลาดตาขาวในหมู่นักเลง นั่นเอง
ซึ่งย่อมทำให้คนมองได้ว่า นักวิชาการไม่มีจิตใจต่อสู้ในเชิงวิชาการเลย นักวิชาการควรจะมีอะไร ๆ มากกว่าการเป็นเพียงนักวิจารณ์ นั่นคืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องเข้าใจว่าเป็นจริยธรรมของนักวิจารณ์ ที่ว่า เมื่อมีข้อตำหนิ ก็ต้องมีข้อเสนอแนะควบคู่ไปด้วย เราตำหนิเขาอย่างไร ก็ต้องชี้ทางออกให้เขาพ้นไปจากข้อที่เราตำหนิเขานั้นด้วย
สถานการณ์ที่ 2 กรณีสมาชิกวุฒิสภาสายวิชาการจำนวน 27 คน ยื่นเรื่องฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ แล้วศาลรัฐธรรมนูญไม่รับฟ้อง
มีเหตุการณ์ก็คือ ก่อนฟ้อง นักวิชาการกลุ่มนี้ออกมาเคลื่อนไหวอย่างแรงในเชิงบีบบังคับศาลรัฐธรรมนูญให้รับคำฟ้อง จนศาลรัฐธรรมนูญได้ออกมาเตือนว่า ระวังจะเป็นการก้าวก่ายการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีอำนาจหน้าที่ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ (ดู บทบาทนายแก้วสรร อติโพธิ ส.ว.กรุงเทพมหานคร อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัย)
แล้วในวันตัดสิน นักวิชาการกลุ่มนี้ ก็พากันไปรอรับฟัง ด้วยท่าทีว่าศาลรัฐธรรมนูญจะต้องรับฟ้องของตนแน่ ๆ จนถึงมีการเตรียมดอกไม้ไปมากมายเพื่อมอบแด่ศาลรัฐธรรมนูญพร้อมที่จะสรรเสริญว่า เป็นศาลของประชาชน เป็นศาลไคฟง อะไรดี ๆ ทำนองนั้น แต่ครั้นศาลรัฐธรรมนูญตัดสินออกมาว่าไม่รับคำฟ้อง นักวิชาการกลุ่มนี้ก็โกรธ ไม่ยอมรับ ถึงกับออกอาการทั้งหมู่โห่ฮาขับไล่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญฝ่ายที่ตัดสินไม่รับฟ้อง ต่อหน้าศาลนั่นเอง และยกยอสรรเสริญฝ่ายที่รับฟ้องว่าเป็นคนของประชาชน (ดูนายเหวง โตจิราการ เป็นตัวอย่าง) แล้วดอกไม้ที่เตรียมไปก็เอาไปเผาขับไล่ศาลรัฐธรรมนูญแทน ที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญนั่นเอง
ซึ่งเป็นกริยาที่ไม่สมควรแก่ความเป็นนักวิชาการ
กลับสะท้อนถึงความ อนารยธรรมป่าเถื่อนอย่างยิ่ง
และน่าจะเป็นเหตุการณ์ในระดับประวัติศาสตร์ไทยต่อไป
สถานการณ์ที่ 3 เมื่อกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(กกล.) ออกมาตัดสิน โดยชี้แจงให้ทราบอย่างละเอียดถึงเรื่องราวการขายหุ้นของเครือชินคอร์ป แล้วสรุปได้ตามหลักฐานชัดเจนว่า นรม.ไม่มีความเกี่ยวข้องกับกรณีนี้เลย นั่นหมายถึงเป็นผู้บริสุทธิ์
ส่วนนายพานทองแท้ ชินวัตร มีความผิดอย่างเบา ฐานไม่รายงานให้กกล.ทราบเท่านั้นเอง และมีโทษเพียงปรับเป็นเงิน 200-300 ล้านบาทเท่านั้นเอง
นักวิชาการเหล่านี้ก็ไม่ยอมรับ มีหลายคนไปปรากฏตัวบนเวทีของกลุ่มม็อบปลุกระดมที่สนามหลวง แล้วยังคงอ้างเรื่องนี้ต่อไป เพื่อให้เกิดภาพการขายชาติ ปล้นชาติ ปล้นประชาชน ต่อไป ซึ่งไม่มีความเป็นธรรมอย่างยิ่ง เพราะไม่เคารพสิทธิในทรัพย์สินของคนอื่น
แล้วยังเอาไปเบี่ยงเบนประเด็นเป็น ปัญหาจริยธรรมทางการเมืองของผู้นำรัฐบาล พยายามโฆษณากลับขาวเป็นดำ กลับดำเป็นขาว กลับดีเป็นชั่ว หลอกลวงล้างสมองกลุ่มม็อบที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต่อไป
และในขณะเดียวกันไม่มีนักวิชาการคนใด ให้คำอธิบายโดยแน่ชัดถึงคำว่า จริยธรรม หมายความว่าอย่างไร เป็นเพียงการพูดถึงนามธรรมอันไพเราะ ที่เพ้อฝัน โดยที่ต่างคนต่างก็เพียงพูดกันไปโดยตนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า จริยธรรมหมายถึงอะไรกันแน่ อันเป็นการหลอกลวงคนอื่นและแม้แต่ตนเองก็หลอกลวงตนเอง
สถานการณ์ที่ 4 เมื่อทางการเมืองประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภา ให้มีการเลือกตั้งใหม่ใน 2 เม.ย. 2549 นักวิชาการ เหล่านี้ได้เข้าชื่อกัน อ้างตนเป็นเครือข่ายร่วมร้อยเครือข่าย ที่น่าเกรง ยกพวกไปฟ้องร้องศาลปกครอง ขอให้ศาลปกครองพิจารณายกเลิกพระราชกฤษฎีกาประกาศใช้พรฎ.ยุบสภา
และศาลปกครองก็ไม่รับฟ้อง
แต่ นักวิชาการกลุ่มนี้ก็ไม่ยอมรับอีก เอาไปเป็นเหตุปลุกระดมต่อไปว่า องค์กรยุติธรรมเหล่านี้ ตกอยู่ใต้อำนาจระบอบทักษิณ คือ ทักษิโนมิคส์
ทำให้คนทั้งหลายมองได้ว่า นักวิชาการเป็นกลุ่มคนที่หาเรื่องหาราวคนอื่นอย่างไร้เหตุผลอย่างยิ่ง เพราะไม่ยอมรับสถาบัน ไม่ยอมรับกติกาสังคม และดูจะไม่ยอมรับอะไรทั้งสิ้นในสิ่งที่ไม่ตรงตามความต้องการของฝ่ายตน
คนชนบทชาวไร่ชาวนาก็มองอย่างดูหมิ่นว่ากระทำตนเป็นศาลสถิตย์ยุติธรรมเสียเองได้อย่างไร? ถูกต้องตามหลักประชาธิปไตยหรือ ?
นี่ก็คือ ประพฤติตนอย่างเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เอาใจตนเองเป็นใหญ่ อยากได้อะไรก็ต้องได้โดยไม่คำนึงเหตุผลความชอบธรรม
ไร้วุฒิภาวะ
สถานการณ์ที่ 5 กลุ่มนักวิชาการระดับแนวหน้า ที่เคยมีชื่อเสียงและบุคคลิกภาพดี ๆ จำนวน 98-99 คน ถวายฎีกาให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานรัฐบาลลงมา อาศัยมาตรา 7
ซึ่งทำให้เห็นว่า เป็นการหาเรื่องหาราวต่อไปอีก เป็นคนพาลที่พยายามเลี่ยงกฎหมาย หรือเลี่ยงบาลี ต่อไป ไม่ได้ด้วยเล่ห์ จะเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกลจะเอาด้วยมนต์คาถา เพราะมาตรา 7 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ระบุไว้ว่า "ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"
ซึ่งจะเห็นว่า มีเงื่อนไขบอกความแน่ชัดอยู่ที่ประโยค "ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด"
ซึ่งพูดด้วยภาษาของชาวบ้าน ๆ ก็คือ เมื่อจนหนทาง หาทางออกไม่ได้แล้ว จึงค่อยใช้ประเพณี
และตามหลักของกฎหมายเอง ประเพณีย่อมมีศักดิ์ในระดับที่เป็นรองไปกว่ากฎหมาย กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อพระเอกยังไม่ตาย พระรองอย่าเพิ่งออกมา
แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้ มีบทบัญญัติที่กำหนดแนวทางแก้ปัญหา เป็นทางออกไว้อย่างครบถ้วน อย่างรอบคอบทุกประเด็นปัญหาอยู่แล้ว
และตามความสำนึกโดยสุจริตของพสกนิกรผู้จงรักภักดีแล้ว การยื่นถวายฎีกา จะต้องระวังให้มาก ๆ เพราะอาจมีนัยความหมายในทางที่ละเมิดเบื้องสูง และทำให้ทรงระคายเบื้องยุคลบาทได้ จะต้องเป็นกรณีที่ประกอบด้วยองค์ 3 คือ 1. ต้องจนหนทางทางกฎหมายจริง ๆ 2. ต้องเป็นเหตุผลทางความยุติธรรมอย่างเด่นชัด และ 3 ต้องเป็นกรณีที่มีความเห็นต้องตรงกันของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ(เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่อยู่ในฐานะที่จะเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่อยู่ที่องค์รวม)
หากสถานการณ์ที่มีทางออกอยู่ และแม้มีความขัดแย้งกันก็เป็นความขัดแย้งตามปกติของระบอบประชาธิปไตยเช่นนี้ หากคนไม่เข้าใจอะไรเป็นธรรมดาอย่างไร ก็จะอ่อนไหวเกินไปแบบกระต่ายตื่นตูม คือตาขาวกลัวเกินเหตุไปจนผลีผลาม หากไร้ปัญญามองทางข้างหน้าก็จะมืดไปหมด ส่วนคนมีปัญญา มองไปก็รู้วิธีการที่จะแก้ไขได้ตามครรลองของสถานการณ์เช่นนั้น ๆ ประการแรกอุปมาก็เหมือนสตรีนางห้ามเพียงได้กลิ่นของสงครามก็พากันร้องกรีดกราดเสียแล้ว ก็เข้าหลักการตัดสินใจโดยภยาคติแท้ ๆ ก็จะไปสร้างความไม่บังควรขึ้น อันเป็นเหตุให้ระคาย ระเคืองใต้เบื้องยุคลบาท โดยไม่จำเป็นเลย
อนึ่ง ในสถานการณ์ที่ประชาชนแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายเช่นนี้ น่าพิจารณาเสียก่อนว่าเป็นผลมาจากอะไร และแก้ที่เหตุนั้นโดยพยายามอย่างเต็มที่ของเราเสียก่อน เมื่อหนักหนาสาหัสสากรรจ์ จึงค่อยไปรบกวนใต้เบื้องพระยุคลบาท
อีกประเด็นสำคัญ ที่อาจจะหลงลืมไม่มองความสำคัญก็คือ การมีรัฐบาลใหม่นั้น รัฐบาลใหม่ก็ต้องมองเสียก่อนว่ารัฐบาลเก่าได้สร้างสานอะไรไว้ มีอะไรที่รัฐบาลเก่าทำค้างอยู่ ที่จะต้องสานต่อไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
เท่าที่ผ่านมา ก่อนหน้าจะเกิดเรื่อง น้ำผึ้งหยดเดียวขึ้นมา รัฐบาลก็ได้ทำงานหนักในต่างประเทศ เพื่อขยายตลาดการค้าของไทยออกไป เพื่อการรองรับการผลิตขนาดใหญ่ของประชาชน ถ้าคนมองด้านเดียว ในด้านการผลิต มองว่ามีความสามารถผลิตแล้วผลิตออกมาอย่างไม่คำนึงตลาด ก็จะไปรอดได้อย่างไร แต่ต้องมองว่าผลิตออกมาแล้วจะอาไปขายที่ไหน นี่เป็นหลักการค้าง่าย ๆ ถ้าไม่มีตลาด ก็ต้องเทของทิ้งเท่านั้นเอง รัฐบาลเดิมเขาสานสร้างไปถึงไหน เมื่อเสนอให้เอารัฐบาลใหม่มา ได้มองปัญหารอบด้านอย่างนี้แล้วหรือไม่ ดูด้วยความเข้าใจทำนองนี้หรือไม่ มีความสามารถหรือไม่ ถ้านึกอยากได้อะไรตามใจไร้เหตุผล นั่นก็จะพากันไปสู่หายนะอย่างไม่รู้ตัว
และสิ่งนี้ก็สะท้อนอีกเหมือนกันว่า นักวิชาการพยายามมองเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานสูงสุด
พยายามที่จะไปตัดสินใจแทนคนอื่นอยู่ทุกเรื่องทุกราว ทั้ง ๆ ที่ทำอะไรไปก็ไม่เข้าท่าเข้าที
แม้ในสาขาที่ตนมีความชำนาญ เพียงแค่นั้นก็ไม่พอ
สถานการณ์ที่ 6 นักวิชาการต่อต้านการเจรจา เสรีทางการค้า (FTA)
แต่น่าเป็นห่วงว่า นักวิชาการอาจจะไม่เข้าใจรอบคอบในเรื่องนี้
ถ้าเราตั้งท่าอย่างเอาเป็นเอาตายเลยว่า การเจรจาเราต้องได้เปรียบทุกประเทศแล้ว ก็จะไม่มีประเทศใดคบหากับเรา เราก็จะกลายเป็นหมาหัวเน่าที่ไม่มีใครมอง และจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว หาตลาดโลกไม่มีเลย (เข้าใจเหตุผลหรือไม่?)
มองความจริงบ้าง เช่น แม้ไม่มีเอฟทีเอ สินค้าของญี่ปุ่น ของอเมริกา ก็หลั่งไหลเข้ามามากเกินดุล อยู่แล้ว ในเชิงเอฟทีเอ เรามุ่งหมายให้เราได้การประกันบางอย่างว่า เราจะเอาสินค้าเราเข้าไปขายประเทศเขาได้อย่างมีหลักประกัน นั่นก็น่าจะเป็นผลที่ดีเยี่ยมแล้ว ต่อไปเราก็เร่งความสามารถ เร่งผลิตผลคุณภาพ ก็จะค่อยก้าวหน้าไป ขณะนี้เราก็ไปจัดการกับประเทศที่อยู่รอบนอก ๆ ไปก่อน ค่อยทำให้ดีขึ้นเป็นขั้นเป็นตอน จะเอาทีเดียวให้รวยเลยได้อย่างไร
ฉะนั้น เมื่อนักวิชาการมาเบลอในประเด็นนี้ไปอีก ก็น่าเป็นห่วงมาก ๆ
นี่คือข้อสังเกตจากสถานการณ์ 6 ครั้ง ( the 6 events) เกี่ยวกับบทบาทของนักวิชาการขณะนี้
ที่น่าคิดเหลือเกินว่า นักวิชาการได้กระทำบทบาทที่เป็นคุณต่อประเทศชาติอย่างไร ในสถานการณ์ที่สับสนทางความคิดขณะนี้
เราขอเสนอว่า นักวิชาการควรจะต้องมีความเป็นธรรม มีจินตนาการเชิงมโนธารแห่งมโนธรรมเสียบ้าง (หมายถึงมีอิทัปปัจยาการในการมองเหตุการณ์ใดหนึ่งบนความเป็นธรรม)
และควรมีจุดยืนของนักวิชาการบ้าง
ในการวิเคราะห์วิจัยปัญหาใด ควรมีข้อควรระวัง ให้เป็นกลางตามหลักวิชาการดังนี้
ประการที่ 1 Bias คือความลำเอียง มี 4 อย่างคือ
(1.) ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก
(2.) โทสาคติ ลำเอียงเพราะชัง
(3.) ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว
(4.) โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลง รู้เท่าไม่ถึงการณ์
ประการที่ 2 Prejudice ระวังการตัดสินที่อยู่บนการข่าว ข่าวสาร และข้อมูลที่ผิดพลาด หรือการที่ได้รับแอบสอบ(absorb)มาจากการโฆษณาชวนเชื่อ นั่นเอง
สองประการนี้ก็คือหลักการวิจัยที่นักวิชาการย่อมรู้กันดีอยู่แล้ว ในที่นี้ก็เป็นแต่เพียงการเตือนสติกันบ้าง เมื่อเรายึดเป็นกฎหลักของนักวิชาการ นั่นก็คือ สิ่งที่จะนำไปสู่สัจธรรม คือความรู้และความจริงที่ไม่หลอกลวง หรือตามหลักการศาสนาก็คือ หลัก ธัมมวิจัย (ดู โพชฌงค์ 7) เพื่อนำไปสู่ความรู้แจ้งสัจธรรม(Truth) ด้วยตนเอง และนำไปสู่พุทธิปัญญาอันสูงสุด เพื่อโลกุตตระ มิใช่เพียงโลกียะเท่านั้น
เมื่อนักวิชาการตั้งอยู่บนการวิจารณ์ วิจัยที่เที่ยงธรรมตามการเสนอนี้ ก็จะช่วยลดทอนบรรเทาความสับสนเชิงความคิดในสังคมขณะนี้ลงไปได้มาก ภาพนักวิชาการมีความสง่างามขึ้นกว่าเดิม และนั่นจะทำให้การเสนอเชิงวิชาการมีน้ำหนักกว่า.
ธรรมาชีพ ธรรมาชน, ป.ธ.ร.
http://www.newworldbelieve.com/
7 มี.ค. 2549