รายงานข้อมูลการศึกษา 15 หัวข้อ
เรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ
รายงานข้อมูลการศึกษาเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ
9. ปลุกระดมให้ต่อสู้อย่างยาวนานถึงชาติหน้า
รายงานบทที่ 9 รายงานการชุมนุม ต่อต้านรัฐบาล[9] การชุมนุม ต่อต้านรัฐบาล (9) ทวงคืนประเทศไทย, 5 มี.ค. 49 ณ สนามหลวง, ASTV 3 วันอาทิตย์ ที่ 5 มี.ค. 2549 เวลา 18.00 น.ถึงเช้าวันที่ 6 ก.พ. 2549 จบลงด้วยการปลุกระดมสลายตัว โดยนัดชุมนุมทุกเย็นอย่างยืดเยื้อ จนกว่าจะไล่ทักษิณลงได้
Research on propaganda aspect 3
การศึกษาวิจัยบางแง่มุมของการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศไทย
มาวันนี้ เราสามารถสรุปได้ว่า การโฆษณาชวนเชื่อนั้น คือการทำให้คนสะใจ มันในอารมณ์อย่างยิ่ง ด้วยคำพูด ด้วยการแสดงดนตรี ละคร งิ้ว ลิเก ด้วยการสร้างภาพที่ดูสะใจประดาคนผู้ผิดหวังและเคียดแค้น ในขณะเดียวกันปลอบใจ โดยการให้ความหวัง แม้เป็นเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ เรื่องที่ไม่อาจเป็นจริงได้ ก็ฝันเอาว่าจะเป็นจริงได้ และเลยเถิดไปถึงความฝันถึงวิมานสวรรค์ พล่ามถึงสิ่งที่สวยงามเหลือเชื่อ แม้สิ่งที่อยู่ในโลกนี้ และแม้กระทั่งโลกหน้า ชาตินี้ และชาติหน้า เช่นกล่าวว่าการต่อสู้จะไม่หยุดอยู่แค่ชาตินี้ จะต่อสู้ไปจนถึงชาติหน้า(ตอนสาย ๆ หรือ บ่าย ๆ ก็ไม่จำกัด) เป็นต้น
และในการศึกษาเรื่องนี้ ก็มาสู่คำถามที่ทันสถานการณ์ว่า สังคมไทยได้เปิดโอกาสให้ความเป็นธรรมและคนชอบธรรมได้ต่อสู้เพียงไหน? และคำตอบก็คือเพียงเท่าที่คนทั้งหลายมีอิสระที่จะคิดเอง มีการตัดสินใจเอง ไม่ถูกครอบงำ ไม่ถูกสนตะพาย จะต้องมีความเป็นมนุษย์
นั่นคือวิถีทางประชาธิปไตย และหลักการสำคัญข้อหนึ่งของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540
นั่นหมายความว่า การโฆษณาชวนเชื่อและประชาธิปไตยย่อมไม่อาจจะไปด้วยกันได้
ที่ใดมีประชาธิปไตย ที่นั่นไม่มีการโฆษณาชวนเชื่อ และที่ใดมีการโฆษณาชวนเชื่อ ที่นั่นไม่ใช่ประชาธิปไตย
และเรามองเหตุการณ์ทั้งหลายขณะนี้ เพื่อวิสัชนาในเชิงความเป็นธรรม ความชอบธรรม ความยุติธรรม และด้วยจิตใจที่รักความเป็นธรรม และด้วยปราศจากอคติ ตามข้อมูลการมองของปัจเจกบุคคลคนหนึ่งเมื่อมาเกี่ยวข้องกับเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อ
การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลทักษิณวันนี้ ที่ 5 มี.ค. 2549 เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่การต่อสู้มีความแหลมคมและก้าวไปอีกขั้นหนึ่งหรืออย่างไร?
น่าจะยังตอบเช่นนั้นไม่ได้ เพราะสภาพของมวลชนกลุ่มตัวอย่างของเราดูเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า การจัดตั้งยังสะเปะสะปะ เห็นจากการเคลื่อนขบวนออกไปจากสนามหลวงเมื่อประมาณ 21.30 น. เพื่อแสดงภาพ สร้างภาพ
พวกเขาต้องการสร้างภาพที่เหนือกว่าภาพการชุมนุมทุกแห่งของฝ่ายรัฐบาล ไม่ว่าการชุมนุมที่สนามหลวงเมื่อ 3 มี.ค.49, ที่เชียงใหม่ 4 มี.ค.49 และ ที่ขอนแก่น 5 มี.ค. 49 ซึ่งพวกม็อบน่าจะผิดหวัง เพราะปริมาณเทียบกันไม่ติด (จนมีเครือข่ายม็อบออกมาแก้ตัวให้ แต่กล่าวเชิงดูถูกดูแคลนประชาชน ในระบอบประชาธิปไตยว่า ฝ่ายรัฐบาลล้วนเป็นชาวชนบทบ้านนอกคอกนา ส่วนฝ่ายม็อบล้วนเป็นปัญญาชนผู้มีการศึกษา โดยไม่มองข้อเท็จจริงว่า จะเป็นใครมาจากไหนก็ 1 เสียงเท่ากัน อย่านึกว่าเป็นด๊อกเตอร์แล้วจะเก่งกว่าชาวบ้าน เพราะเดี๋ยวนี้ชาวบ้านเก่งกว่าด๊อกเตอร์ ขณะนี้เหตุการณ์กำลังจะพิศูจน์ประเด็นนี้อยู่)
ขั้นตอนใหม่ก็คือ การเคลื่อนกำลัง ทดสอบการจัดตั้ง และระเบียบวินัยของกองกำลังม็อบ แล้วกลับมาสู่ห้องอบรมปลุกระดมล้างสมองกันต่อไปตลอดคืน
ก็ได้เห็นการเคลื่อนกำลัง และเห็นการสร้างวีรกรรม เช่นกล้าเป็นหัวหอกชนฝ่าแถวตำรวจออกไปที่สะพานมัฆวาน ดูเป็นภาพที่ค่อนข้างแหลมคม ที่วีระอาจหาญอย่างยิ่ง
แต่แท้จริง นั่นเป็นการลองกำลัง
ภาพรวมที่เห็นก็คือ ภาพของความรู้สึกที่ไหวหวั่น ความวิตกและกลัว ต่อสถานการณ์ร้ายที่จะเกิดขึ้น ทุกคนกลัวและลาน จนกระทั่งน่าระวังว่าจะกลัวจนไร้สติ ทำให้กลายเป็นจลาจลง่าย ๆ เพราะเมื่อกลัวจนบ้าคลั่งแล้ว ก็หยุดยาก
ณ วันนี้ เรายังเห็นการใส่ไคล้ป้ายสีต่อไป โดยที่ไม่มีใครรู้โดยแน่ชัดว่าสิ่งที่เอามาพูดนั้น มีความจริงอยู่เพียงใด เรายังคงได้พบว่า ข้อมูลที่นำมากล่าวร้าย ยังไม่ชัดเจนในเชิงข้อเท็จจริง(Fact) และสัจธรรม(Truth)
และพวกม็อบเรียกร้องบุคคลในรัฐบาลให้ออกไปจากประเทศไทยอีกหลายคนคือ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ, เนวิน ชิดชอบ, คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์, ยงยุทธ ติยไพรัชต์ รวมทั้งสกุลชินวัตรและดามาพงศ์(อีกหน่อยคงวนมาไล่พวกเดียวกันเองหรอก เพราะชักจะมั่ว ไม่อยู่กับร่องกับรอยเสียที)
การเรียกร้องอะไรที่ขัดกับความเป็นธรรมนั้นแหละทำให้ยากแก่การประสานกัน และการมองผิด โดยคาดคะเนผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ชอบประเมินคนอื่นด้วยการมองภายใน มองความคิดของคนอื่นว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ น่าระวังเหลือเกินว่า การมองความคิดของคนอื่นนั้นอาจจะผิดพลาดได้ ควรจะมีมาตรการการมองแบบวิทยาศาสตร์เป็นหลัก นั่นคือ มัชฌิมาปฏิปทา
เอาหลักฐาน มาพิศูจน์ อย่าไปซ้ำเติมความสับสนเข้าไปในสังคมเลย
เช่นวันนี้ก็ย้ำข้อกล่าวหาว่า การที่นายกรัฐมนตรียังไม่ยอมลาออกก็เพราะเหตุผล 2 ประการคือ ประการที่ 1 เขายังไม่ได้รับเงินค่าขายหุ้นจากเทมาเสก และประการที่ 2 เขาวิตกอยู่ตลอดว่าหากลาออกไปแล้วอาจโดนพิพากษาให้ริบทรัพย์ และยังเน้นเชิงเดาใจว่าทักษิณไม่ยอมเพราะเหตุนี้เอง
และทั้งมีแรงกล่าวหาเสริมเข้ามา ว่า มีคนไปบอกท่านว่า ภรรยานายกรัฐมนตรีขายหุ้น 73,000 ล้านบาท เอาเงินไปกวาดซื้อที่ดินหนองงูเห่า 6,000 ไร่ ซึ่งเมื่อปล่อยขายแล้วจะได้ราคาถึงไร่ละ 12 ล้านบาท โดยที่ท่านไม่มีหลักฐานอะไรเลย ท่านเพียงอ้างว่า มีคนมาบอกท่าน แล้วท่านสรุปว่า ไม่ใช่โคตรโกง แต่ โกงทั้งโคตร (นั่นแน่!ปลุกระดมเป็นเหมือนกัน ทำไมชอบใช้คำว่าโคตร กันนัก?)
แม้ท่านเองก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าจริงหรือไม่จริง เช่นนี้ ไปตอกย้ำ ไปกระชุ่นเข้าไปในระบบการโฆษณาชวนเชื่อ ปลุกระดมมวลชน ฝ่ายนั้นก็หยิบทันทีเพื่อไปใช้ได้ประโยชน์ทางการปลุกระดมมวลชนต่อไป อุปมาเหมือนได้เชื้อเพลิงอย่างดี เติมเข้าไปในกองไฟที่กำลังริบหรี่ ก็โชติช่วงขึ้นมาอีกครั้ง
อย่างนี้ก็ไม่เป็นความชอบธรรม และเมื่อคนระดับนี้ก็ไม่เห็นอะไรเป็นความชอบธรรมอย่างไร เพราะพูดลอย ๆ พล่อย ๆ ไปอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อเป็นการพูดที่สร้างความเสียหายแด่คนอื่นอย่างยิ่งใหญ่ สาหัสฉกรรจ์ ปานนั้น ถ้าสถานการณ์ปกติเขาก็มีสิทธิ์ที่จะฟ้องร้องได้ฐานทำให้เสียชื่อเสียงสกุลวงศ์ของเขา
(ป่านนี้คงเข้าบัญชีดำไว้เรียบร้อยแล้ว)
ความไม่ยุติธรรมมาแต่ต้นก็คือ การบีบบังคับให้คนผู้ใดผู้หนึ่งออกไปเสียจากสถานะความเป็นอยู่ของเขาขณะนั้น
โดยวิถีทางที่ไม่ชอบด้วยกฎกติกาของบ้านเมือง
และโดยที่เกิดจากข้อเสนอของคนเพียงกลุ่มหนึ่งที่จิบจ้อย(ปัญญาก็ฟั่นเฝือ) เมื่อเปรียบกับประชาชนทั้งหมดของประเทศไทย ในขณะที่คนจำนวนมากมายมหาศาลยังเชื่อยังรักและไว้วางใจนายกรัฐมนตรีของเขาอยู่ ตามที่เห็นพลังกันอยู่จะแจ้งแล้ว
และประชาชนถามว่า คนเหล่านี้มาจากไหนจึงมาไล่คนของประชาชน ที่เขามอบหมายให้เป็นตัวแทนมาปกครองประเทศ กลุ่มคนที่ไม่ปรากฏชัดถึงที่มาที่ไปกลุ่มนี้ มีความชอบธรรมอย่างไร จึงบังอาจมาดูถูกประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เช่นนี้ ?
ก็ยังไม่มีคำตอบ
สนธิมาจากไหน?(ติดหนี้ธนาคารอยู่เท่าไร รายงานด่วน ไม่งั้นก็ถือว่าไม่โปร่งใสต่อประชาชน)
และ ดร.คนนั้น ดร.วุฒิพงศ์ เพียบจริยวัฒน์ คนนั้น ไปร่ำเรียนมาจากสำนักไหน ถึงได้คล่องงานโฆษณาดีนัก?
และวิธีการที่ใช้โดยการปลุกระดมมวลชน กระชุ่นอารมณ์คนนั้น มีทั้งทางบวกและทางลบ
เมื่อกล่าววาทะที่หยาบคาย ขึ้น ฝ่ายม็อบก็พอใจ สะใจ แต่กลับทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเคียดแค้น
นี่เป็นความเป็นธรรมหรือไม่?
เพราะทำให้ประชาชนเกิดการแตกแยกและรุนแรงทางอารมณ์รักและเคียดแค้นหนักไปทุกที
และทำไมไม่พิจารณาถึงต้นเหตุ ว่าใครเป็นคนก่อขึ้น
ข้อต่อรองเพื่อทางออกร่วมกันจึงน่าจะเป็น การที่ฝ่ายม็อบหยุดการโฆษณาชวนเชื่อ
ประชาชนกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลเขาเคียดแค้นต่อผรุสวาท ที่ม็อบใช้โจมตีรัฐบาลของประชาชนและการเรียกร้องมากเกินไป(โลภมากลาภหาย) คือเรียกร้องเสียจนกระทั่ง ปิดทางที่เขาจะกระทำได้ เพราะเรียกร้องให้ออกไปจากประเทศไทยสถานเดียว เพราะเขาโกงประเทศชาติ เพราะสกุลนี้ขายชาติ ปล้นชาติ ปล้นประชาชน
ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงมาก ถ้ามีการยอมรับคนอื่นบ้าง มีความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจเขาเข้าใจเราเอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้เอาใจเราไปใส่ใจเขาบ้าง (ตามที่ในหลวงทรงพระราชทานโอวาทไว้ ว่า เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนานั่น) ก็จะรู้สึกเองว่าเป็นข้อกล่าวหาที่ฉกรรจ์เกินไป ถึงขนาดจะเป็นตราบาปไปในประวัติศาสตร์กันทั้งสกุลชินวัตร ฉะนั้นจึงต้องให้ความเป็นธรรม เพราะเมื่อลาออกไปเขาก็ไม่มีโอกาศพิศูจน์ ซักฟอกตัวเอง ก็เท่ากับว่าเขายอมรับผิด อย่างที่ท่านกล่าวหา แล้วคนที่รักความเป็นธรรมก็ยอมไม่ได้ (คือนายกรัฐมนตรีท่านก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นธรรมได้)
แม้ตัวของท่านเองก็ย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธข้อกล่าวหา และต่อสู้เพื่อความชอบธรรมแก่ตัวเอง และในข้อเท็จจริงกรณีขายหุ้น ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ตัดสินไปแล้ว 2 ครั้งสองครา และ คณะกรรมการหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย( กกล.) ก็ได้ตัดสินไปแล้วว่าบริสุทธิ์
คนพาลที่ถูกล้างสมองไปแล้วเท่านั้นจึงมืดบอดไม่ยอมรับ
เรามองว่า เมื่อเอาสถาบันเป็นตัวกลาง แล้วเราก็ต้องให้ความเป็นธรรมตามนั้น
เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์(Science) และความเป็นกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา)
นี่ก็เป็นความชอบธรรม
และจิตใจที่รักความเป็นธรรมก็ไม่อาจจะยอมแก่อธรรมได้ อย่างแน่นอน
เราจึงเห็นทางออกว่า ควรที่จะหันมามองอย่างกลาง ๆ ต้องเอาเหตุผล เอาหลักฐานที่ชัดเจนมาอ้างอิง การพูดอย่างราษฎรอาวุโสท่านพูดนั้นเราเห็นว่าสาหัสแต่ปราศจากหลักฐาน เพราะไม่มีใครรู้แน่ว่า ที่ท่านพูดนั้นเป็นความจริงเพียงไร เป็นเพียงการกล่าวลอย ๆ ซึ่งไปกระชุ่นความเกลียดชังของฝ่ายนั้นให้พลุ่งโพลงไปอีกโดยไม่เป็นธรรม
และในขณะเดียวกัน ไปเพิ่มพลังกล้าแกร่งที่ให้ความสนับสนุนแก่บุคคลที่รักเคารพรัฐบาลไปอีก ก็เกิดความแตกแยกไปอีก โดยเพียงคำพูดพล่อย ๆ ของคน ๆ นั้น(การพูดพล่อย ๆ หมายถึงพูดโดยเลินเล่อคะนองใจ ลืมข้อเท็จจริง ไม่ตั้งอยู่ในความเป็นผู้ใหญ่)
และนี่เป็นการส่งเสริมการปลุกระดมมวลชน ทำให้เสียความยุติธรรม
และเราเห็นว่า ไม่ยุติธรรม
และเราพูดเพื่อความยุติธรรม
และเมื่อเหตุการณ์มาถึงขณะนี้แล้ว ก็น่าจะมองอย่างพินิจพิจารณาให้มาก
เมื่อ ฝ่ายรัฐบาลที่อ้างได้แล้วว่าพยายามหาทางแก้ปัญหาอย่างเต็มที่แล้วโดยยอมทุกอย่างแล้ว ทางรัฐบาลกล่าวได้อย่างเต็มคำว่า เมื่อได้ยอมถอยจนถึงที่สุดแล้ว ลองใช้หัว........คิดดูว่า นั่นคือรหัสความหมายของอะไร? หมายความว่าอย่างไร?
และเมื่อม็อบเร่งเร้าอย่างแรง ให้รีบเผด็จทักษิณในวันนี้ชั่วโมงนี้ ช้าไม่ได้
ส่อสัญญาณเตือนถึงอะไร?
ก็น่าถวิลถึงสงครามในประวัติศาสตร์ยุคนะโปเลียน โบนาพาร์ต และ เนลสัน มีคำกล่าวของนักรบว่า การสงคราม แพ้หรือชนะอยู่ภายใน 15 นาทีเท่านั้นเอง
และนั่นคือข้อเท็จจริงของผู้ชนะในสงครามวอเตอร์ลู(Waterloo)
และสงครามยุทธหัตถีระหว่างนเรศวรมหาราชแห่งไทยและพระมหาอุปราชาแห่งพะม่า
และบัดนี้ ดูเหมือนทุกฝ่ายต่างมีความรู้สึกสังหรณ์ (6th sense feeling) ถึงสิ่งนี้ อุปมาเหมือนหมู่มดสำนึกภัยน้ำหลากมาฉะนั้นแล้ว
จึงดูเหมือนว่าต่างฝ่ายต่างพยายามชิงไหวชิงพริบกันอย่างจะคลาดสายตาไม่ได้แล้ว
ฝ่ายปลุกระดมต้องเร่งอย่างเร็ว เพื่อให้ทักษิณลาออกอย่างแร็วที่สุด ภายในชั่วโมง นี้ วันนี้
เพราะมิฉะนั้นก็อาจจะช้าไปเสียแล้ว
และหมายถึงการถูกเผด็จ ไม่ใช่เป็นผู้เผด็จ
ซึ่งกลุ่มม็อบย่อมได้รับสัมผัสอย่างดีโดยความสังหรณ์หรือซิ๊กส์เซนส์ดังกล่าว โปรดสังเกตจากการประลองกำลังกันเล็กน้อยที่สะพานมัฆวาน เมื่อคืนนี้ ทำให้สัมผัสได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และทั้งรู้ดีอยู่แล้วว่า ฝ่ายตรงข้ามตนมีสิทธิ์ที่จะทำอะไร มีสิทธิ์ที่จะใช้เครื่องไม้เครื่องมืออะไร และรู้อีกด้วยว่ารัฐบาลมีความชอบธรรมตามระบบสากลของโลก มีความชอบธรรมที่จะสลายม็อบ ผู้ก่อกวนสังคมให้วุ่นวายสับสน ด้วยเครื่องมือของผู้กุมอำนาจ
ฉะนั้นเราจึงควรรำลึกถึงความเป็นธรรม
และความเป็นธรรมอยู่ที่ไหน ถ้าอยู่ ๆ ก็มีม็อบกลุ่มหนึ่งมาพิพากษาให้หัวหน้ารัฐบาลลาออกโดยไร้หลักฐาน ข้อพิศูจน์
และเพียงอ้างว่า ลาออกก็จบ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่เอารัดเอาเปรียบเหลือเกิน และท่าทีปานประหนึ่งว่าตนเป็นเจ้านายใหญ่ทรงอำนาจดังพระเจ้า ที่จะออกคำสั่งประการใดใดแก่ทาสของตนก็ย่อมได้(ก็กลายเป็นเรื่องตลก รัฐบาลไหนใครจะมองดู) เพราะแสดงถึงความเห็นแก่ตัวไปอย่างสุด ๆ ไม่เคยคิดในมุมกลับ หรือมองหลาย ๆ มุม มีเพียงสายตาที่สวมแว่นสีแดง เหมือนวัวกะทิง ก็บ้าขวิดทุกอย่างที่ขวางหน้า และเมื่อขอต่อรองบ้างว่า ขอให้ม็อบถอยไป ก็จบได้เหมือนกัน
เพียงแต่ท่านหยุดก่อม็อบ เลิกการปลุกระดมมวลชน เท่านั้น ก็จบลง และประเทศไทยไม่เสียหาย ไม่บอบช้ำ และกลับมาสู่กติกาการเมืองตามรัฐธรรมนูญของประชาชนดังเดิม
ก็ เพียงคำสั่งคำเดียวว่า "สลายตัว" เท่านั้นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จบ ง่ายมาก
ง่ายกว่าข้อเสนอของฝ่ายม็อบอย่างเทียบกันไม่ได้
ขอย้ำ เพียงหยุดก่อม็อบเท่านั้นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จบ
รู้จักมองสองทางอย่างนี้บ้างหรือไม่?
นี่คือปัญหาความยุติธรรม อยู่ที่คำว่า "ยุติธรรม"
กระนั้น เมื่อมาถึงบัดนี้แล้ว ก็ยากที่ใครคนใดคนหนึ่งจะเดาใจรัฐบาลได้
แต่รัฐบาลย่อมลาออกไม่ได้ เพราะจะทรยศต่อประชาชน และจะพิศูจน์ทันทีว่า หนีความจริง มีความเลวทราม เป็นทรราช ขายชาติ ปล้นประชาชน โคตรโกง โกงทั้งโคตร ..... เช่นที่พวกม็อบกล่าวหา
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่น่าสังเกตเป็นประเด็นสำคัญ ที่ดูจะชี้ทางออกให้อยู่เหมือนกัน เราหมายความว่า ออกไปจากสถานการณ์รุนแรง นั่นคือ ประเด็นศาสนาและการเมือง
ม็อบมีทางออก ด้วยการหันไปเอาอุดมการณ์ทางศาสนาเข้ามาใช้ ดังนี้
ประการที่ 1 ใช้อุดมการณ์อหิงสาไปจนจบ และยึดมั่นในอุดมการณ์นี้ให้ตลอด และลดการโฆษณาชวนเชื่อ การปลุกระดมมวลชนลง มาฟังเหตุผลและหลักฐานข้อพิศูจน์เพิ่มขึ้น และลดการปองร้ายลงไป เพราะการปองร้าย แม้ด้วยการปองร้ายด้วยวจีกรรม (ออกปากขับไล่เขา) ก็ถือเป็นผิดศีล 5 และผิดอธิศีล (เจ้าสำนักสันติอโศกน่าจะเข้าใจดี เพราะกินผักกินหญ้ามาตลอดชีวิต ถ้าไม่เข้าใจเรื่อง วจีทุจริต มาพลาดท่าเพราะ ทำวจีทุจริตเยี่ยงนี้ จะมิเป็นการทำลายตนเองตอนชราภาพเข้าเสียแล้วหรือ? แล้วจะมีสิทธิกล่าวเรื่อง อารยะ ขัดขืนได้อย่างไรอีก? ต้องถึงกับถอนตัวออกจากคำว่า "โพธิสัตว์" ตลอดไปทันทีอีกด้วย เพราะหากไม่เข้าใจ วจีทุจริต ก็เสียสถาบันพระโพธิสัตว์ ไม่มีสิทธิ์ที่จะเอ่ยคำว่า พระโพธิสัตว์อีกต่อไป)
ประการที่ 2 ใช้อุดมการณ์ศาสนาล้วน ๆ โดยไปร่วมกับกลุ่มศาสนา เช่นสันติอโศก รับแนวปฏิบัติมักน้อย สันโดษ และกินมังสวิรัติ (สันติอโศกต้องการขยายกลุ่มอยู่แล้ว และโอกาสนี้มีโอกาสจะเติบโตเร็ว) และหรือ
ประการที่ 3 ถอยจากการเมืองเสีย และก่อตั้งกลุ่มศาสนาขึ้นแทน เพื่อร่วมในอุดมการณ์ศาสนาด้วยกันอย่างแท้จริง โดยร่วมกับสันติอโศก หรือสร้างกลุ่มขึ้นมาใหม่ ดังที่เคยรู้จักกันในต่างประเทศเช่น กลุ่มฟาหลุนกง (โดยคุณสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นประธานพรรคศาสนานี้ จะได้มีความสุขตามอัตภาพในวัยชราและบรรลุธรรมชั้นสูงสุดได้ นี่ย่อมประเสริฐเลิศกว่าได้เสวยบัลลังก์นายกรัฐมนตรีเสียอีก หรืออย่างเลวที่เสี่ยงต่อการไปอยู่คุกก็จะเสียหายไปทั้งชาติ) ฟาหลุนกงนี้เอาการกีฬาเข้ามาเป็นกิจกรรมร่วมของสมาชิก แต่เราอาจจะเอาอย่างอื่นมาเป็นกิจกรรมร่วมก็ได้ เช่นกรณีของ สาทิส อินทรกำแหง เป็นต้น แต่ระวังไม่ควรเลยเถิดไปหลงใหลในอุดมการณ์ที่เพ้อฝันเกินไป เช่น โอมชิรินเกียวในญี่ปุ่น หรือหลงใหลเรื่องการทรงเจ้าเข้าผี เป็นต้น
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ย่อมยังประโยชน์อันสูงสุด คือพระพุทธศาสนาย่อมมีทิศทางไปหลายหลาก นั่นคือความเจริญของพระพุทธศาสนาในยุคนี้
และสัจธรรม(Truth) ครองสังคม ครองโลก
ไม่ใช่การโฆษณาชวนเชื่อ(Propaganda) ครอบสังคมตามที่เป็นอยู่ขณะนี้ อย่างแน่นอน
นี่คือบทสรุปบทสุดท้ายของ Research on Propaganda Aspect in Thailand 2549.
บานไม่รู้โรย
http://www.newworldbelieve.com/
6 มี.ค. 2549