รายงานข้อมูลการศึกษา 15 หัวข้อ
เรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ
รายงานข้อมูลการศึกษาเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ
4. หลอกเด็กเยาวชนมาร่วมงานสกปรก
รายงานบทที่ 4 รายงานการชุมนุม ต่อต้านรัฐบาล[4] บทวิเคราะห์พิเศษ (4)รายการชุมนุม กู้ชาติ 11 ก.พ. 49 ปิดบัญชีทักษิณณ ลานพระบรมรูปทรงม้า, ASTV 1 และ 3 วันที่ 11 ก.พ. 2549 เวลา 1200 - 2400 น
แล้ว การขยายเครือข่าย รวมพลังไล่ทักษิณ ก็ขยายไปสู่กลุ่มเด็ก ๆ อย่างที่เห็นล่าสุดในวันนี้ก็คือ การขยายเครือข่ายเข้าไปสู่นักเรียนมัธยม จนมีเด็กนักเรียนร.ร.เตรียมอุดมศึกษา 3 คน อายุ 17 ปี ออกมาประกาศไล่ นายกรัฐมนตรี ที่สี่แยกคอกงัว ด้วยเหตุผลหลายข้อ อย่างไร้เดียงสาทางการเมือง
ซึ่งเป็นการเห็นแก่ตัวและไร้ความรับผิดชอบอย่างยิ่งของกลุ่มต่อต้านรัฐบาล ที่พยายามทุกทางเพื่อหาแนวร่วมด้วยการไปยุยงคนกลุ่มเหล่าต่าง ๆ ให้แตกแยก ดังที่เห็นมา แม้กระทั่งกลุ่มบรรพชิต ที่ท่านปล่อยละวางแล้ว ก็ยังพยายามจะไปยุยง อันเป็นบาปกรรมแก่ตนอย่างยิ่ง บัดนี้มายุยงส่งเสริมเด็ก ๆ จึงเป็นการไม่สมควรและไร้ความรับผิดชอบอย่างยิ่ง เพราะโดยมติของการเมืองไทยเห็นว่าเด็กไทยมีวุฒิภาวะทางการเมือง ก็ต่อเมื่ออายุครบ 18 ปี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 และยังต้องระวังอย่างยิ่งว่า การเมืองมีเหลี่ยมคมที่เป็นอันตรายมากหลายเหลี่ยมคมอย่างยิ่ง ที่แม้แต่ผู้ใหญ่ หรือนักการเมืองอาชีพเอง ก็ได้พบความหายนะทางการเมืองมาคนแล้วคนเล่า จนกระทั่งมีคำกล่าวว่า การเมืองฆ่าคนดี ๆ ของสังคมไปคนแล้วคนเล่า นั่นอย่างไร จึงยังไม่เหมาะไม่ควรสำหรับเด็กนักเรียนจะเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเมืองภาคปฏิบัติ แต่ควรเรียนรู้การเมืองไปตามลำดับ คือเรียนรู้ทฤษฎีให้เพียงพอเสียก่อนจึงไปสู่การปฏิบัติชั้นตื้นและลึกเมื่อมีวุฒิภาวะแล้ว (เหมือนพระท่านมีปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ เป็นชั้นๆ ไปตามลำดับ หากไม่มีปริยัติแล้วจะเลยไปสู่ปฏิบัติและปฏิเวธได้อย่างไร)
เพราะการเมืองเป็นสิ่งที่มีเหลี่ยมคมที่อันตรายสุดยอด โปรดดูท่านป๋วย อึ๊งภากรณ์ ปรีดี พนมยงค์ จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม กษัตริย์สีหนุ หรือ กาลิเลโอ ผู้ประกาศสัจธรรม ก็ยังได้รับอันตรายจากการเมือง เป็นต้น หรือดูไปถึงจูเลียส ซีซาร์ หรือ อเล็กซานเดอร์มหาราช หรือแม้ นะโปเลียน โบนาพาร์ต ว่าเป็นอย่างไร
และได้ทบทวนมองเหลี่ยมมุมอันตรายเช่นนี้บ้างหรือยัง?
แต่หากหลวมตัวเข้ามาแล้วเช่นนี้ ก็ควรมีทัศนะการมองให้ซื่อสัตย์ต่อการเมือง และระวังว่าการเมืองต้องสะอาด ยุติธรรม และที่สำคัญหมู่กลุ่มของตน ต้องไม่หันไปสู่ความอลหม่าน ไร้ระเบียบวินัย ตลอดไปจนถึงการออกนอกกฎกติกาแห่งความสันติธรรม เพราะหลักธรรมที่สูงสุดนั้น คือหลักสันติภาพ และการต่อสู้แบบไร้ความรุนแรง คือ อหิงสา
ถ้าไม่เหลิงตน มองรอบ ๆ ด้านบ้าง และมีความเป็นธรรมต่อผู้อื่น โดยมองไกลไปถึงต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่เป็นแม่แบบของประชาธิปไตยในตะวันตกและอเมริกา มีอเมริกา อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส และเยอรมัน เป็นต้น แล้ว ก็จะพบว่า การชุมนุมเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ทำได้อย่างปกติธรรมดา ไม่ใช่เรื่องที่น่าตื่นเต้นอะไร พวกเขามีสิทธิ์ และมีการชุมนุมหรือการชูป้ายขับไล่ผู้นำเช่นนี้มากันนานนักแล้ว และมีอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลดำเนินนโยบายที่มีผลแรง ที่กระทบความรู้สึกของประชาชนขนาดหนัก เช่นนโยบายของประธานาธิบดี ยอร์จ ดับเบิลยู บุช ที่เปิดสงครามรุกอิรัคในกลางปี 2546 เป็นต้น ซึ่งจะเห็นกันว่า การดำเนินนโยบายของเขาได้รับการต่อต้านจากทั้งประชาชนอเมริกาเองและประชาชนต่างประเทศอย่างหนักหน่วง บุชต้องเผชิญขบวนการขับไล่ เผาหุ่น ชูป้ายและการชุมนุมทุกแบบ เพื่อปลดเขา จนกระทั่งในการประชุมเอเปก หรือการประชุมประเทศเครือข่ายเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก ในเดือน ต.ค. 2546 ในประเทศไทย บุชต้องขนเก๋งดำหุ้มเกราะกันกระสุน อันเป็นพาหนะประจำตัวของตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกันมาใช้ในประเทศไทยเองด้วย กระนั้น เมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีวาระต่อมาเมื่อ 2 พ.ย. 2547 บุชกลับได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น
ฉะนั้น เรื่องวิสัยทัศน์อันกว้างขวางเช่นนี้ จึงเป็นสิ่งที่ผู้เข้าสู่การเมืองจะต้องมองบ้าง ถ้ามองอย่างแคบเกินไป ก็จะก่อให้เกิดความเหลิง ทะนงตน และครั้นเมื่อเอาวิถีอนารยธรรมาใช้ในหมู่กลุ่มผู้หวังประโยชน์และสนองความแค้นอย่างรุนแรง แล้วครั้นเมื่อไม่ได้ดั่งใจจริง ๆขึ้นมา ก็จะขาดความยับยั้งทางอารมณ์จิตใจ ก็อาจจะก่อการร้าย ก่อการจลาจล ก่อความปั่นป่วน โดยโน้มเอียงไปในทางก่อการร้ายใช้กำลังเป็นการต่อสู้ต่อไป ก็อาจก่อให้เกิดหายนะขึ้นต่อประเทศชาติได้ สิ่งที่น่าคาดหวังจึงไม่ควรเป็นทางบวกอย่างเดียวคือชัยชนะ แต่ต้องวางทางหนี ทางไล่ เมื่อมีทางไล่ก็ต้องมีทางหนี ทางหนีที่น่าคาดหวังไว้บ้างก็คือ การที่ไม่อาจจะได้อะไรดังใจหวัง และอาจจะต้องกลายเป็นชนกลุ่มน้อยอย่างถาวร ผู้มีหน้าที่เพียงเที่ยวไปชูป้าย ที่มีข้อความขับไล่ผู้นำของตน ว่า ..............,ออกไป ...............,ออกไป โดยที่จำต้องทำหน้าที่นี้ไปนานแสนนานชั่วชีวิต เพื่อการประชดและลบล้างความอดสูของตนเองที่คิดการใหญ่ไม่สำเร็จ
เราจึงหวังว่า ขบวนการต่อต้านรัฐบาลยุคนี้ อันเป็นยุคประชาธิปไตยตามระบอบรัฐธรรมนูญของประชาชนโดยแท้จริง ควรจะมองรอบด้านบ้าง หากมองผลชนะอย่างเดียว แล้ว ไม่ได้ดั่งใจก็อาจจะผิดหวังดังกล่าว และจะไม่มีทางออกของอารมณ์ที่เคียดแค้น และโดยเหตุผลทางจิตวิทยา(Psychological effect) อาจลามปามเป็นเหตุอันไม่พึงหวัง คือจลาจล เผาบ้านเผาเมืองเหมือนเหตุการณ์ 14 ต.ค. 16 วันมหาวิปโยค หรือ18 พ.ค. 2535 กรณีพฤษภาทมิฬ ก็ได้ และยังอาจร้ายแรงไปถึงการทำอัตวนิบาต-ฆาตกรรมตนเอง ของกลุ่มแกนนำผู้ผิดหวัง อันเป็นการประชดและประท้วงฟ้าและดินก็ย่อมเป็นไปได้
ฉะนั้น หากเด็ก ๆ จะออกมาก็ต้องรับผิดชอบตัวเองด้วยและต้องระมัดระวัง มีสติรู้ว่าอะไรชอบธรรมไม่ชอบธรรมอย่างไร
และต้องคำนึงด้วยว่า กติกาประชาธิปไตย ไม่ได้เปิดโอกาสให้แด่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่เปิดโอกาสให้ทุกฝ่าย และทุกฝ่าย มีสิทธิต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
เพราะทุกฝ่ายมีความรักในประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน
นี่คือความเป็นธรรมโดยแท้จริง เป็นการสร้างสรรค์ประชาธิปไตยโดยแท้จริง
หรือมิใช่?
ธรรมาชีพ ธรรมาชน, ป.ธ.ร.
http://www.newworldbelieve.com/
22 ก.พ. 2549