รายงานข้อมูลการศึกษา 15 หัวข้อ
เรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ
รายงานข้อมูลการศึกษาเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อในยุครัฐบาลทักษิณ
2. ไม่มีโอกาสต่อรอง-ไม่ชนะไม่เลิก
รายงานบทที่ 2 รายงานการชุมนุม ต่อต้านรัฐบาล[2] บทวิเคราะห์พิเศษ (2)รายการชุมนุม กู้ชาติ 11 ก.พ. 49 ปิดบัญชีทักษิณณ ลานพระบรมรูปทรงม้า, ASTV 1 และ 3 วันที่ 11 ก.พ. 2549 เวลา 1200 - 2400 น
เรามามองดูในมุมมองของสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ว่ากลุ่มชนที่ไปชุมนุม เป็นอย่างไร
แน่นอน ในวันนี้ ที่ 11 ก.พ. 2549 เมื่อการชุมนุมเสร็จสิ้นลง เราได้ทราบแล้วว่า แกนนำการชุมนุมเขาได้ประกาศเป้าหมายอันแน่ชัดว่า หมดเวลาที่จะให้มีการต่อรองแล้ว "ไม่ชนะไม่เลิก" และนัดชุมนุมอีกครั้งในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2549
ความหมายของพวกเขาชัดเจนขึ้นในวันนี้ ด้วยคำประกาศเปิดเผยว่า ตราบใดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พวกเขาก็จะชุมนุมต่อต้านต่อไป จนกว่าจะไล่ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ และไม่มีทางเลือกของนายกรัฐมนตรี คนที่ชื่อทักษิณ อีกต่อไป
ซึ่งคำประกาศนี้ ค่อนข้างจะท้าทาย หรือกล่าวอย่างชาวบ้านก็คือ วางก้ามแบบนักเลงโต นั่นเอง และคงมีคนอยากรู้ อยากทดสอบว่า จะเป็นนักเลงโตได้แค่ไหน จะไปได้กี่น้ำกัน
แต่เราพิจารณาว่า นั่นเป็นสิทธิอันชอบธรรมตามกติกาการเมืองระบอบประชาธิปไตย
คนกลุ่มนี้จะใช้ปากของพวกเขาไปประกาศอะไรอย่างไร ก็เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ อย่างเช่นบทบัญญัติของมาตรา 39 ที่บัญญัติว่า "บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูดการเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น/ การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง จะกระทำมิได้ ......../การสั่งปิดโรงพิมพ์ สถานีวิทยุกระจายเสียง หรือสถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อลิดรอนเสรีภาพตามมาตรานี้จะกระทำมิได้
../ การให้นำข่าวหรือบทความไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจก่อนนำไปโฆษณาในหนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง หรือวิทยุโทรทัศน์ จะกระทำมิได้.............."
และตามกฎกติกาอันชอบธรรมของระบอบประชาธิปไตย
แต่โดยหลักทางสังคม-มานุษยวิทยา ชนกลุ่มนี้แสดงออกซึ่งบทบาทและหน้าที่อะไร และมีความรับผิดชอบอย่างไร หรือไม่?
เราหวังว่า
ประการที่ 1 ต้องมีกฎระเบียบของกลุ่ม ของหมู่ หรือสัญญาประชาคมของกลุ่ม ของหมู่ที่มาร่วมแสดงบทบาทด้วยกัน ที่แสดงถึงความรับผิดชอบ เพื่อคุ้มครองหมู่กลุ่มของตนเอง ให้ปลอดภัย
นั่นหมายถึง ทำหมู่กลุ่มของตนให้อยู่ในวิถีวัฒนธรรมของคนผู้มีจิตใจสูง มีความเป็นมนุษย์ ตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 28 บัญญัติไว้ว่า "บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน"
นั่นหมายถึง เป็นกลุ่มมนุษย์ยุคใหม่ที่มีซีซีสมองโตกว่ามนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์ เมื่อสามล้านปีมาแล้ว และมีสติปัญญาพินิจพิจารณาเหตุและผลเองได้ ไม่ควรจะอาจเอื้อมไปสนตะพาย หรือมองประชาชนอย่างดูหมิ่นดูแคลน เหมือนมิใช่มนุษย์
ประการที่ 2 วิถีทางการต่อสู้ หากใช้วิธีการเดิม ๆ คือใช้เพียงปากอย่างเดียวแล้ว คงยากแก่การยอมรับ สิ่งที่สังคมต้องการคือข้อมูลความจริง การวิเคราะห์ต้องอยู่บนฐานของข้อมูลความจริง ไม่ใช่เพียงการคาดเดา ที่แม้ตนเองก็ยังไม่รู้ความจริง และที่ร้ายไปกว่า ก็คือ ไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องราวที่ตนพูดถึงอยู่ เช่นไม่เคยรู้เลยว่าตลาดหุ้นมีกฎเกณฑ์กติกาไว้อย่างไร การเล่นหุ้นเขาเล่นกันอย่างไร ไม่รู้เรื่องเลย แต่ไปใช้เพียงการคาดเดาเอาไปกล่าวโทษคนอื่น ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตน เป็นต้น อันเป็นการไม่ชอบธรรมอย่างยิ่ง
เพราะเมื่อเอาข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง ที่เป็นเพียงการคาดเดาเอาเองมาเน้นให้ร้าย ว่าร้ายคนอื่น ดั่งว่าเป็นเรื่องจริงเช่นนี้ นั่นก็คือการโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) ที่บิดเบือนข่าวสารโดยมีเจตนาหลอกลวงหลอกใช้ประชาชนนั่นเอง
และกติกาการต่อสู้ที่ชอบธรรมมีอยู่อย่างไร ควรคำนึงว่า คนอื่นก็ย่อมสามารถใช้กติกาการต่อสู้อันนั้นได้ด้วย ไม่ใช่เราเพียงฝ่ายเดียวที่มีสิทธิ์ใช้ได้ เมื่อตนสามารถใช้กำปั้นได้ ก็ควรคิดด้วยความเป็นธรรมว่า คนอื่นก็มีความชอบธรรมที่จะใช้กติกาเดียวกับตน เพราะคนอื่นก็มีกำปั้นเหมือนกัน อย่างนี้เป็นต้น
และโดยกติกานี้ จะไม่คำนึงเลยหรือว่า ใครเล่ากำปั้นใหญ่กว่าใคร?
ประการที่ 3 คืออนารยธรรม ในหมู่กลุ่มชนที่มาอยู่รวมกันเป็นหมู่ใหญ่ จะมีระบบของหมู่ที่ปกครองอย่างไร จึงจะไม่ให้สายตานับล้าน ๆ คู่ที่มองดูอยู่ เกิดความรู้สึกว่าเป็นกลุ่มชนที่ล้าหลัง และมีอนารยธรรม หรือวิถีทางความนึกคิดและพฤติกรรมที่ต้อยต่ำที่ไม่สมควรแก่ความเป็นมนุษย์
ฉะนั้น ด้วยข้อเสนอแนวการมองดังกล่าวมานี้ หากเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ในการบริหารกลุ่มชนในเชิงสังคม-มานุษยวิทยา คือมองที่บทบาทหน้าที่ของบุคคลในกลุ่ม ที่สัมพันธ์กันด้วยกฎกติกา ข้อควรละเว้นและข้อควรกระทำของหมู่กลุ่ม อย่างไร
การชุมนุมก็ถือว่าเป็นการสร้างสรรค์
เป็นอุปการะแด่ระบอบประชาธิปไตย และนำไทยไปสู่อารยธรรมยุคใหม่
ในระดับหมู่กลุ่ม ย่อมป้องกันหมู่กลุ่มจากหายนะ คือ อนารยธรรม นั่นหมายถึงกู้หมู่กลุ่ม ชุมชนตนเอง ที่มารวมกันอยู่ ที่มายึดเอาท้องถนนหนทางเป็นบ้านที่อาศัย ให้พ้นจากหายนะหรืออนารยธรรมเสียก่อน จึงย่อมกู้ชาติ
และจะต่อสู้ไปอีกกี่ปีกี่ชาติ หรือกี่ชั่วโคตร - โคตรานุโคตร ก็ไม่มีผู้ใดตำหนิเลย
ธรรมาชีพ ธรรมาชน, ป.ธ.ร.
http://www.newworldbelieve.com/
17 ก.พ. 2549