บทวิเคราะห์เรื่องราวของพม่า
4. เราขอเนื้อที่สักนิดหนึ่งสำหรับพูดเรื่องพม่า อะไรที่อเมริกากลัวเกี่ยวกับพม่า เห็นจะไม่มีอะไรเท่ากลัวพม่าจะเป็นเผด็จการรุนแรง กดขี่ประชาชน รวบอำนาจ และนำไปสู่สงครามเข่นฆ่าเผ่าพันธ์ประชาชนผู้มีความคิดเห็นแตกต่าง มหาศาลและก่อความยุ่งยากแก่ประเทศเสรีอื่น ๆ อย่างเช่นที่เห็นเขมรแดงคือ ลอนนอล ในกัมพูชา และซัดดัม ฮุสเซนในอิรัค
อะไรที่พม่ากลัว คือแนวคิดแบบอเมริกานำไปสู่ความเละเทะทางสังคมวัฒนธรรม พม่ามองว่าตนเองเป็นแดนบริสุทธิ์ เป็นแดนหลักของพระพุทธศาสนาโลก พม่ามีสมบัติมหาศาลทางพระพุทธศาสนาที่ต้องรักษาไว้ด้วยชีวิตของประชาชนชาติพม่าทุกชั้นวรรณะ แต่พม่าถูกจำกัดอยู่ในกรอบคติเถรวาท พม่ามองไม่เห็นเหลี่ยมคมปัญญาเหลี่ยมอื่นแห่งพระพุทธศาสนา หรืออย่างน้อยก็ เหลี่ยมคมอย่างมหายาน จึงเกรงอย่างมากว่าประชาธิปไตยแบบที่เห็นในสหรัฐอเมริกานั้นจะนำไปสู่กามารมณ์ เอดส์ และอนารยธรรมอย่างอเมริกา พม่าหวงแหนวัฒนธรรมพม่า อย่างที่พม่าเป็นอยู่ นั่นคือ การเคารพพระสงฆ์ผู้ทรงศีลและธรรมอย่างสูง เคารพพระพุทธเจ้าว่าเลิศประเสริฐ และประชาชนพม่าจึงประพฤติวัฒนธรรมที่เคารพพระพุทธเจ้า ไม่ยินดีในวัฒนธรรมเปลือย กามารมณ์ และหน้าด้านอย่างอเมริกา พม่ามองด้วยความวิตกว่า การเสื่อมแห่งวัฒนธรรมคือการเสื่อมลงแห่งพระพุทธศาสนาในพม่า (เป็นความคิดเดียวกับท่านประธานเหมาเจ๋อตุง) และบัดนี้ พม่ากำลังถูกบังคับให้คิดทำสิ่งเดียวกับที่อาฟกานิสถานได้เคยทำมา คือทำอิสลามให้บริสุทธิ์ ส่วนพม่ากำลังจะทำพม่าให้เป็นพุทธบริสุทธิ์ และยินดีจะปลีกไปอยู่โดดเดี่ยวจากสังคมโลก โดยลักษณะเศรษฐกิจแบบสันโดษ เพียงพอเฉพาะตน ซึ่งก็จะเป็นไปไม่ได้อีกสำหรับยุคไร้พรมแดน เพราะประชาชนย่อมไม่อาจพัฒนาจิตใจไปได้ขนาดระดับที่พ้นทุกข์แล้ว คงถูกอเมริกาและประเทศเพื่อนบ้านเคาะประตูเหมือนนายพลแมทธิว ซี เปอรรี่ เปิดประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง
เราจึงขอเสนอว่า พม่าควรจะหันมามองสถานการณ์โลกสากลอย่างพินิจพิเคราะห์เสียบ้าง จะพบว่า การทวนกระแสโลกเกินไปนั้น จะเป็นอันตรายเสียก่อนบรรลุมรรคผลกันทั้งชาติ จะเสียหายแก่ตนเอง ควรผ่อนตามไปบ้าง และมองประชาธิปไตยอย่างตรงหลักการประชาธิปไตยที่แท้จริง นั่นคือเคารพในความเป็นมนุษย์ของประชาชน ซึ่งนี่คือหลักปรมัตถธรรมของศาสนาพุทธทั้งสิ้นนั่นเอง ควรประยุกต์ภูมิปัญญาอันสูงสุดของพระพุทธธรรม เพื่อให้เกิดการมองเหลี่ยมคมอันใหม่แห่งการแก้ปัญหาใหม่ของยุคนี้ ภูมิปัญญาเหลี่ยมคมใหม่จะให้ความมั่นใจขึ้น และเห็นแสงสว่างอันรุ่งโรจน์รอคอยอยู่ จึงควรเปิดโอกาสให้แด่ฝ่ายค้าน คือ อ่องซานซูจี เพราะเป็นโอกาสที่เหมาะเจาะมากที่สุดแล้ว เพราะถึงอย่างไร อ่องซานซูจีก็เป็นชาวพุทธ และทรงภูมิปัญญาอย่างพุทธที่เยี่ยมยอด ก็จะไม่เป็นอันตรายแก่ขุมทรัพย์ทางพระพุทธศาสนาในพม่า หากไม่เช่นนี้ พวกกะเหรี่ยงคริสต์ก็จะก่อเกิดการนำด้านฝ่ายค้านขึ้นมาแทน ก็จะเทียวไปยุแยกชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ยัดเยียดความเป็นเผด็จการให้รัฐบาลพม่า และยกตนประเสริฐเลิศกว่าว่าตนเป็นประชาธิปไตย เป็น กองทัพพระเจ้า(God Army) ให้ต่อต้านเผด็จการ พวกเขาก็จะชูธงประชาธิปไตยขึ้นต่อสู้ ตามแบบแผนชั้นเชิงสกปรกของคริสต์คาทอลิก จึงควรร่วมมือกันทุกฝ่ายร่างรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยขึ้นมาขณะนี้ และเดินตามข้อตกลงร่วมกันและเร่งด่วน
ทางฝ่ายอเมริกา ควรจะมองให้เข้าใจพม่า โดยเข้าใจว่าพม่ารังเกียจอเมริกาอย่างไร นั่นคืออนารยธรรม (เช่นเดียวกับโลกมุสลิมก็รังเกียจอเมริกาในประเด็นนี้) และระวังว่าจะไปเน้นความจงเกลียดจงชังอเมริกา ในเรื่องการใช้อำนาจบาทใหญ่ การเอาแต่ใจตัวเอง ควรให้เวลาและค่อยให้ความมั่นใจไปตามลำดับ โดยให้เข้าใจว่าประชาธิปไตยที่อเมริกาต้องการจะไม่เป็นทางแห่งความเสื่อมเสียวัฒนธรรมอันดีของพม่า แต่เพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการปกครองตนเอง การช่วยเหลือตนเอง การไม่เป็นทาสความคิดของผู้อื่น ซึ่งที่จริงก็คือหลักการพระพุทธศาสนานั่นเอง และควรให้ความช่วยเหลืออย่างถูกใจของประชาชนชาวพม่า ซึ่งเป็นชาวพุทธ
นั่นคือ ชาวพุทธเลื่อมใสใน ทาน อเมริกาควรให้ความช่วยเหลือ ไม่ใช่ตัดความช่วยเหลือ ให้ความอุปการะ ไม่ใช่ตัดความอุปการะ จึงควรเสนอความช่วยเหลือทางการพัฒนาต่าง ๆ โดยบริสุทธิ์ใจ คือไม่หวังผลประโยชน์ใดใดตอบแทน เป็นการให้ที่บริสุทธิ์ เช่นการให้ที่ไม่เป็นการทำลายวัฒนธรรมอันดีงามของชาติพม่า ก็จะสามารถเจรจากับพม่าได้ และบังเกิดความเป็นมิตรอย่างแน่นแฟ้นต่อไปได้ การลงทุนส่วนนี้ของอเมริกาก็คุ้มค่า