บทบรรณาธิการ
ปรารภหนังสือพิมพ์ดี(อินเทอเนต) เล่มที่ 35 ปีที่ 10
รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ของสนธิ ลิ้มทองกุล
นี่คือ หนังสือพิมพ์ดี(อินเทอเนต) : วิเคราะห์ข่าวในวงการเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดและสหธรรมิก ประจำเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน-ธันวาคม พุทธศักราช 2548- มกราคม-กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2549 ฉบับนี้เป็นเล่มที่ 35 และเป็นฉบับสุดท้ายของปีพุทธศักราช 2548 ขึ้นต้นปีที่ 10 พุทธศักราช 2549 ของหนังสือพิมพ์ดี
เราจะบินบินบินและบินไป สู่ขอบฟ้าสดใสในเบื้องหน้า
สำหรับบทบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ดีเล่มนี้ เราได้รวมเรื่องราวต่าง ๆ ที่คั่งค้างมาวิเคราะห์ เป็นจำนวนหลายเรื่องราว จนกระทั่งกล่าวได้ว่า เรื่องสำคัญ ๆ ของหนังสือพิมพ์ดี อยู่ที่หน้าบรรณาธิการแทบทั้งหมด และเรามีรายงานบุคคลแห่งปีของหนังสือพิมพ์ดีอยู่ช่วงท้ายบทบรรณาธิการนี้แล้ว และเราจะเริ่มวิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ ไปตามลำดับข้อ ดังต่อไปนี้
กรณีรายการเมืองไทยในรอบสัปดาห์
1. เราคิดว่ามีเรื่องที่ต้องพูดถึงก่อน ก็คือเรื่องจริยธรรมทางการเมือง เรามองว่า การเมืองเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง และเป็นเรื่องที่สร้างความนิยม มีประชาชนเป็นเป้าหมาย ก็เป็นข้อมูลที่น่าสนใจ เมื่อสถาบันเอแบค ได้สำรวจความนิยมของประชาชนออกมาเมื่อต้นเดือนมกราคม 2549 พบจากคำถามที่ว่า บุคคลใดได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างไร พบว่า พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร มีความนิยม ถึง 77 % เป็นอันดับ 1 สูงกว่าผู้นำฝ่ายค้านคือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลิบลิ่ว เพราะได้ความนิยม 7 % เศษ ส่วนบุคคลที่ไม่คาดหมายก็คือ สนธิ ลิ้มทองกุล ได้เป็นที่ 3 ร้อยละ 6 เศษ ๆ
ตามนี้ก็แสดงว่า ความนิยมของ ดร.ทักษิณ ยังสูงมาก แท้จริงประชาชนน่าจะมีความวินิจฉัยได้ดีว่า อะไรเป็นอะไร สำหรับหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านที่คะแนนตกต่ำมากเมื่อเทียบกับหัวหน้าพรรครัฐบาลแล้ว ก็ไม่น่าจะเดือดร้อนอะไร เพราะเสียงประชาชนย่อมเปลี่ยนไปได้ตามผลงาน เมื่อฝ่ายค้านสร้างผลงานขึ้นบ้าง มีเหตุผลขึ้น ความนิยมก็ย่อมเพิ่มขึ้นและมีความหวังเสมอ
ส่วนบุคคลอีกบุคคลหนึ่ง คือสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งขณะนี้ประชาชนยังไม่ทราบเหมือนกันว่ามีเป้าหมายอะไร ในทางการเมือง หรือ ความนิยมส่วนตัว แต่พฤติกรรมของเขา เป็นพฤติกรรมของฝ่ายค้าน แต่เป็นฝ่ายค้านที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายพรรคการเมือง จึงมีคนเรียกเขาว่า ขบวนการสนธิ การสำรวจความนิยมในรอบปีที่ผ่านมาก็เป็นเพราะมีคนอยากรู้ว่าที่เขาพูด ๆ ไป โจมตีรัฐบาลไป ผิดบ้างถูกบ้าง เดาสุ่มไปบ้าง คุยโม้โอ้อวดยกตนไปบ้างนั้น ว่ามีความนิยมอยู่เท่าไร ก็พบว่ามีความนิยมอยู่เหมือนกัน คือได้ 6 % เศษ ดังกล่าว ซึ่งเมื่อเทียบกับหัวหน้ารัฐบาลก็ห่างกันมาก เทียบกันไม่ติด
ในเรื่องการเมือง เราคิดว่าขบวนการสนธิ ลิ้มทองกุล ค่อนข้างจะไม่ค่อยชอบธรรม คนไม่เคยรู้ว่าสนธิ ลิ้มทองกุลทำประโยชน์อะไรแก่ประเทศชาติ รู้แต่ว่าเป็นหนึ่งในวงการสื่อสารมวลชนเหมือนกัน แต่เคยล่มจมทางธุรกิจ ยุค พ.ศ. 2540 มา แล้วประกาศจะทำคุณประโยชน์ด้านการตรวจสอบรัฐบาลขึ้น แต่วิธีการของเขาดูดื้อดึง เพราะสู้แบบหัวชนฝา มุ่งปลุกกระแส ความเกลียดชังต่อหัวหน้ารัฐบาลเกินงาม แสดงถึงความเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่าจะเป็นเรื่องสาธารณะ และที่ไม่ชอบธรรมอย่างยิ่งก็คือวิธีการเสนอของเขาค่อนข้างจะไร้จรรยาบรรณ การพูดของเขาเร้าใจ แต่หยาบคายมาก เป็นวจีกรรมที่ไม่ชอบด้วยหลักธรรมในพระพุทธศาสนา(คือหยาบคาย ส่อเสียด เป็นเท็จ และเพ้อเจ้อ มีครบในการพูดของเขา) เราคิดว่า ถ้าคนเรามีปัญญา ก็น่าจะพูดกันแบบนักวิชาการ แสดงเหตุ แสดงผลตามหลักวิชาวารสารศาสตร์ เอาคมปัญญาล้วน ๆ ออกมาทิ่มแทงกันดีกว่า เริ่มจากเอาข้อมูลความจริงมาวาง วิเคราะห์โดยมีมาตรฐานทางวิชาการวัด สรุปและมีข้อเสนอแนะการแก้ไขสิ่งที่เราตำหนิเขาอยู่ นี่ก็น่าจะรู้ เพราะเขาก็มีความรู้ความชำนาญสูงอยู่แล้ว จนได้รับเชิญไปสอนวารสารศาสตร์ที่ธรรมศาสตร์ สอนเขาอย่างไรก็น่าจะประพฤติอย่างนั้น
การออกรายการเมืองไทยในรอบสัปดาห์ เป็นการแสดงแบบอย่างแก่ลูกศิษย์วารสารศาสตร์ที่ธรรมศาสตร์หรือไม่ น่าจะคิด เพราะความหยาบคายในการเสนอเช่นนี้ มิใช่มาตรฐานสากลของวิชาชีพการสื่อสารเมวลชนอย่างแน่นอน จะดึงมาตรฐานทางวิชาการ Journalism ให้ตกต่ำ และ ผลเสีย มิใช่ที่ผู้อื่น แต่อยู่ที่ตนเอง เพราะเมื่อเสนองานไปเช่นนี้ เท่ากับดูถูกคนฟัง คนฟังมีสติปัญญาวินิจฉัยได้ รู้ฟังเหตุ รู้ฟังผล เมื่อไร้เหตุผลเช่นนี้ ผลก็คือความนิยมต่อท่านก็จักหายจ๋อมไป (เราก็กลายเป็นตัวอะไรไปที่พูดพล่ามถึงสวรรค์นรกอยู่คนเดียว เหมือนอย่างพระเทศน์พรรณนาโวหารฉบับยาว ญาติโยมทยอยหนีไปทีละคนสองคน พอเงยหน้า เห็นแต่เสาศาลา) อย่างเช่นการโฆษณาเมื่อ 4 ม.ค. 2549 เวลา 1850 น. ทาง ASTV 1 แทรกรายงานข่าวมีพิธีกรชายหญิง หน้าตายุ่ง ๆ รายงานไปฉอด ๆ ว่า คน ๆ นี้กลัวจนกล้า (มีภาพสนธิ ลิ้มทองกุล ภาพเท่มาก) แล้วมีคำพูดต่อว่า ส่วนคน ๆ นี้ กลัวจนบ้า (มีภาพนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เลือกเอาภาพเท่น้อยกว่า) แล้วว่า ให้ไปฟังสนธิ-สโรชา วันที่ 13 ม.ค. 2549 ซึ่งนอกจากดูลบหลู่ผู้อื่น หยาบคาย แล้วสะท้อนถึงจริยาด้วย ตามที่คนไทยมักพูดกันว่า ต่ำช้า ไร้สมบัติผู้ดี สมัยใหม่เป็นวิชาการว่า ไร้จรรยาบรรณ นั่นเอง แล้วยังมีประเด็นสำคัญคือย่อมเป็นการดูถูกคนฟังอย่างยิ่ง เพราะท่านไม่ต้องตัดสินแทนเราหรอกว่าใครเป็นคนดีใครเป็นคนบ้า เราสามารถตัดสินเองได้ ในวิสัยสังคมคนเป็นประชาธิปไตย ถ้ามีใครกล้าตัดสินแทนคนอื่น ก็ถือว่ากล้าสนตะพายเขา มองเขา เหมือนวัวเหมือนควาย นั่นหมายถึงดูถูกคนชม ดูถูกประชาชน นั่นเอง
เราคิดว่า สนธิ ลิ้มทองกุล ควรลดวิธีการเสนอที่หยาบคาย ลงไป เพราะเสี่ยงต่อการหมิ่นประมาทผู้อื่น แล้วจะเดือดร้อนตนเอง และยังเสี่ยงต่อชีวิต เพราะเห็นความนิยมทักษิณ สูงขนาดนี้ ย่อมมีคนที่รักมาก เราไป ดุด่า คนที่รักเขามีอยู่มาก ครอบครัวเขาก็มีมาก เขาก็ย่อมไม่พอใจ อาจลุแก่โทสะได้ และที่สำคัญก็คือคนยังสงสัย ยังไม่เข้าใจ ยังไม่เชื่อมั่นในพลังของ สนธิ ว่าจะทำอะไรให้ประเทศชาติได้ และเป็นบุญเป็นคุณอย่างไรต่อประเทศชาติ ได้พิศูจน์ความสามารถมาอย่างไร หากตัวเองยังเอาตัวไม่รอดแล้วจะช่วยชาติได้อย่างไร ก็ต้องคิดดูมาก ๆ
และน่าจะมีจุดยืนบนวิชาการ บนธรรมะ เพราะงานสื่อสารมวลชน ก็ต้องเล่นกันมีจรรยาบรรณ นี่คือหลัก Fair Play ที่เพาะความนิยมทางการต่อสู้ แบบวีรบุรุษ อันเป็นจรรยาบรรณข้อหนึ่งของการสื่อสารมวลชน